หูยยยยยยย!!!! อุตส่าห์แอบมาอัพ ยังมีคนตามมาส่อง
ขอโทษนะคะ พอดีแก้ชื่อตอนแล้วย้อนกลับไปเขียนเติมอีกหน่อยเลยยังไม่ได้โพสต์ค่ะ
....
ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย
เต็มฟ้าขมวดคิ้วมองเจ้าของใบหน้าระรื่นที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะถัดไปด้วยสายตาขุ่น ๆ ทั้งที่เพิ่งแยกย้ายกันไปเมื่อคืนตอนเกือบสี่ทุ่มนับมาถึงตอนนี้ยังไม่ครบสิบสองชั่วโมงเลยด้วยซ้ำอีกฝ่ายก็เสนอหน้าหล่อ ๆ มาให้เห็นตั้งแต่เช้า มาก่อนหมูอ้วนกับยะหยาที่วันนี้นัดกันว่าจะมาลงสีเซรามิกที่ปั้นไว้ตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเสียอีก
“พี่เต็มคะ ทำไมแก้วของยะหยามันถึงเป็นสีนี้ล่ะคะ เมื่ออาทิตย์ก่อนมันยังเป็นสีดำ ๆ อยู่เลย” เด็กหญิงจ้องมองทรงกระบอกมีหูเบี้ยว ๆ ที่เธอให้นิยามมันว่า ‘แก้ว’ ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนจากสีดินดำกลายเป็นสีนวลแบบเปลือกไข่ไก่ไปแล้ว
“ก็พี่เอาไปตากแดดให้แห้งแล้วก็เข้าเตาเผาไง มันก็เลยออกมาเป็นสีนี้” ชายหนุ่มที่กำลังผสมสีให้เด็ก ๆ ที่ล้อมวงกันอยู่ที่โต๊ะริมระเบียงอธิบาย
“แล้วถ้าเราระบายสีทับลงไปแล้วมันจะเป็นมัน ๆ เงา ๆ เหมือนตุ๊กตาที่พี่ชลเอาไปขายที่ถนนคนเดินหรือเปล่าครับ” เด็กชายตุ้ยนุ้ยถามพลางยื่นหน้ามามองสีข้น ๆ ในถาด
“สีเนี่ยเขาเรียกว่าสีเคลือบ ตอนระบายลงไปสีมันก็จะยังซีด ๆ อยู่ พี่จะเอาเข้าเตาเผาเคลือบให้อีกที ทีนี้แหละก็จะออกมาเหมือนตุ๊กตาที่พี่ชลขายเลย”
“ว้าว!! ยะหยาอยากเห็นตอนเผาเสร็จแล้วจัง”
“อาทิตย์หน้าก็น่าจะเรียบร้อยแล้วพี่จะฝากตามไปให้นะ”
“อิจฉาตามจัง มีพี่เต็มคอยสอนให้ทำงานศิลปะด้วย” เด็กหญิงผมเปียกล่าวพลางหันไปพูดกับเด็กชายที่เอาแต่นั่งยิ้มอยู่ข้าง ๆ กัน
“ยะหยาอยากเรียนอะไรล่ะ ให้พี่เต็มสอนให้ก็ได้” พูดไปแบบนั้นเพราะลืมตัว มานึกได้ทีหลังว่ายังไม่ได้ถามความเห็นของคนสอน ตามตะวันจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปส่งสายตาถามพี่ชาย เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าก็ค่อยยิ้มออก
“ได้เหรอคะพี่เต็ม”
“ได้สิ ยะหยาอยากเรียนอะไรบอกพี่ได้เลย”
“ยะหยาอยากให้พี่เต็มสอนวาดรูป ระบายสี แล้วก็สอนปั้นดินแบบนี้ค่ะ”
“สบายมาก”
“หมูอ้วนเรียนด้วย ๆ” เด็กชายแก้มยุ้ยละล่ำละลัก
“อืม ถ้าอย่างนั้นก็เรียนกันหมดนี่แหละ อาทิตย์ไหนอยากเรียนอะไรก็บอกกับตามมาก็แล้วกัน พี่จะได้เตรียมอุปกรณ์ไว้รอ”
“เย้ๆ ๆๆๆ ๆ” เมื่อได้ฟังคุณครูใจดีพูดแบบนั้น เด็ก ๆ ก็พากันร้องดีใจจนบรรดาแขกต่างก็หันมามองกันเป็นตาเดียวจนหัวหน้าแก๊งเด็กต้องปราม
“เอาละ ลงมือระบายสีกันดีกว่า” ริมฝีปากบางยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเลื่อนถาดที่ผสมสีเอาไว้แล้วไปที่กลางโต๊ะพร้อมกับแจกพู่กันให้เหล่าหนู ๆ
ทั้งหมูอ้วน ยะหยาและตามะวันต่างก็ลงมือระบายสีผลงานของตัวเองเงียบ ๆ หมูอ้วนใช้พู่กันจุ่มสีฟ้าระบายลงบนจานรูปหมูน้อยของตัวเองที่ตั้งใจว่าจะเอาไปให้แม่ใช้ใส่อาหารเช้าจะได้กินข้าวอร่อยขึ้น ส่วนยะหยาก็ระบายสีแก้วน้ำด้วยสีชมพูแบบที่เธอชอบ
“ของตามรูปอะไร” ร่างสูงที่เดินมาชะโงกหน้ามองด้วยความอยากรู้อยากเห็นเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหนุ่มน้อยที่เงียบที่สุดในกลุ่มเริ่มลงมือระบายบนภาชนะครึ่งวงกลมที่มีรูปปั้นนูนต่ำยื่นออกมา
“ตามปั้นชามข้าวให้เจ้าแข็งแรงฮะ” ตามตะวันกล่าวพลางยกชามที่ว่าขึ้น ชี้ไปที่รูปทรงนูนต่ำพร้อมกับอธิบาย “นี่ตามปั้นเจ้าแข็งแรง ส่วนนี่คือพี่เต็ม ตาม แล้วก็พี่ปุ่น”
คนฟังฉีกยิ้มกว้างเมื่อรู้สึกว่าตัวเองก็มีความสำคัญสำหรับอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน แต่ก็หยุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อระบบเบรกเอบีเอสเริ่มทำงาน
“หึ ภูมิใจเนอะ ถูกจารึกชื่อไว้บนชามข้าวหมา”
“หมูอ้วนว่าแข็งแรงต้องเจริญอาหารแน่ ๆ เลย”
“นั่นน่ะสิ พี่ก็คิดแบบนั้นแหละ” เต็มฟ้ากล่าวหน้านิ่ง ๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเก็บสีลงในกล่อง แต่ถึงจะพยายามแค่ไหนแก้มเนียนที่เปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อก็ไม่รอดพ้นสายตาต่อสายตาของคนที่กำลังเฝ้ามองอยู่
ศิธาพัฒน์เดินมานั่งลงข้าง ๆ คนช่างเหน็บก่อนจะพูดลอย ๆ ตั้งใจให้อีกฝ่ายได้ยิน “เห็นนะว่าแอบยิ้ม....” พูดจบก็หัวเราะในลำคอเมื่อเห็นหน้าง้ำงอของคนอายุน้อยกว่าที่พยายามสงบปากสงบคำไม่แสดงร่างจริงต่อหน้าเด็ก ๆ
“หิวแล้ว ทำอะไรให้กินหน่อย”
คำพูดเอาแต่ใจทำเอาคนฟังหันขวับ มือบางเอื้อมคว้ากระดาษกับปากกาที่วางอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะยื่นให้ “อยากกินอะไรก็เขียนมา เดี๋ยวเต็มให้แม่ครัวทำให้”
“ไม่เอา” ผู้ใหญ่เอาแต่ใจตัวเองขมวดคิ้วน้อย ๆ “...อยากกินฝีมือเต็มนี่นา” คำพูดตอนท้าย ๆ นั้นมันช่างบางเบาราวกับปุยนุ่นที่ลอยฟุ้งในอากาศและค่อย ๆ ลอยต่ำลงจนกระทั่งมาคลอเคลียอยู่กับข้างแก้ม
“เรื่องเยอะอีก” เต็มฟ้าพึมพำ เมื่อเห็นว่าได้เวลาอาหารกลางวันพอดีจึงหันไปถามเด็ก ๆ ว่าอยากทานอะไร แต่ผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ชิงตอบให้คันหัวใจเล่นหน้าตาเฉย
“ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่”
เมื่อได้ฟังดังนั้นสามหนูน้อยที่กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการระบายสีก็เลยพร้อมใจกันสั่งตามบ้างจะได้ไม่ต้องเสียเวลาคิด
“ทานแบบพี่ศิธาไม่ได้หรอก เป็นเด็กเป็นเล็กต้องทานผักด้วย” คุณครูที่กำลังจะสลัดคราบมาเป็นพ่อครัวกล่าวก่อนจะลุกขึ้น แต่คำถามของเจ้าหนูจำไมอย่างยะหยาก็ทำให้ต้องชะงัก
“ทำไมพี่เต็มไม่รียกพี่ปุ่นว่าพี่ปุ่นล่ะคะ ทำไมถึงเรียกว่าพี่ศิธา”
ง่ายมาก....คนถูกถามนึกในใจ “ก็ไม่ได้สนิทอะไรกัน เรียกแบบนี้ก็พอแล้ว”
ศิธาพัฒน์มองริมฝีปากสีส้มที่กำลังเผยอยิ้มน้อย ๆ นั่นแล้วให้รู้สึกอยากจะคว้าแขนมา....
....ตีมือเสียให้เข็ด
ไม่เข้าใจว่าปากบาง ๆ ที่ท่าทางจะนุ่มนิ่มนั่น ทำไมช่างพูดคำที่มันทำร้ายจิตใจคนฟังได้มากมายขนาดนี้
เต็มฟ้าหายเข้าไปในครัวพักใหญ่ก่อนจะกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับจานข้าวผัดร้อน ๆ ที่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายสี่จาน
เมื่ออาหารถูกยกมาเสิร์ฟกิจกรรมทุกอย่างก็หยุดลงชั่วขณะ เด็ก ๆ พากันเดินชักแถวไปล้างมือตามคำสั่งของรองหัวหน้าแก๊ง จากนั้นก็กลับมานั่งประจำที่จ้องมองข้สวผัดหน้าตาน่ากินในจาน
“สับเสียละเอียดเชียวนะ” คนไม่กินหอมใหญ่บ่นพลางโครงศีรษะไปมา มือก็หยิบช้อนเขี่ยข้าวผัดในจานไปด้วย นอกจากมีหอมใหญ่ซอยละเอียดแล้วยังมีใบคะน้าสีเขียวกับมะเขือเทศสีแดงสดผสมมาด้วยราวกับจะหลอกล่อให้เด็กไม่กินผักยอมกินผักในคราวนี้
“ช่วยไม่ได้” พ่อครัวดีเด่นตอบเพียงสั้น ๆ ก่อนจะนั่งลง บอกให้เด็ก ๆ เริ่มทานอาหาร แต่ก็ไม่วายหันมามองผู้ใหญ่ที่ยังคงนั่งเขี่ยผัก “ระวังแพ้เด็กนะ”
“ระดับนี้” พูดจบคนถูกท้าทายก็คุ้นมะเขือเทศที่อยู่ใต้ข้าวขึ้นมาจัดการส่งเข้าปาก กะว่าอย่างไรก็จะไม่ยอมแพ้เหลือผักเอาไว้ให้อีกคนเหน็บแนมแน่ ๆ
“เด็ก ๆ เคยเห็นมังกรพ่นไฟไหม”
หนูน้อยสามคนพากันส่ายหน้าก่อนที่มังกรที่ว่าจะส่งเสียง “ฮ่า!!!” ศิธาพัฒน์อ้าปากกว้างจนเห็นไอร้อนจากมะเขือเทศชิ้นหนาที่เพิ่งตักเข้าปากลอยออกมา เพราะไม่อยากขายหน้าก็เลยไม่ทันเป่าให้หายร้อนเสียก่อน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนตักเข้าปากไปแล้วทำเอาชิ้นชาไปหมด จะคายก็ไม่ได้เพราะคนทำตักคอไว้เสียก่อน
“ห้ามคายนะ เต็มอุตส่าห์ทำ”
เมื่อได้ฟังดังนั้นคนโดนแกล้งจึงจำใจต้องเคี้ยวมะเขือเทศร้อน ๆ ที่อยู่ในปากก่อนจะกลืนลงคอในที่สุดพร้อมกับตั้งใจว่ายังไงก็ต้องเอาคืนให้ได้
‘ไอ้ตัวแสบ’
หลังจากเด็ก ๆ รับประทานอาหารกลางวันแล้วก็ลงมือระบายสีกันต่อกระทั่งบ่ายคล้อยทุกอย่างจึงเสร็จเรียบร้อย ศิธาพัฒน์อาสาขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งหมูอ้วนและยะหยาที่บ้านแทนการที่พ่อและแม่ของแต่ละคนต้องละจากงงานที่ทำอยู่มารับลูก ๆ ของตนเอง เมื่อส่งเพื่อน ๆ ที่หน้าบ้านแล้วตามตะวันก็กลับเข้ามาเล่นกับเจ้าแข็งแรงซึ่งกำลังนอนเกลือกกลิ้งอยู่ที่สนามหญ้าด้วยความดีใจราวกับเก็บกดมานาน นั่นอาจเป็นเพราะว่าวันนี้เด็ก ๆ ต่างก็ใจจดใจจ่ออยู่กับผลงานของตัวเองจึงไม่มีใครสนใจเล่นกันมันเลย เจ้าขนยาวจึงต้องนอนหลบมุมอยู่เงียบ ๆ เกือบตลอดทั้งวัน เต็มฟ้ายืนมองน้องชายและเจ้าหมาน้อยจากด้านหนึ่งก่อนจะเดินไปเก็บอุปกรณ์ทั้งพู่กันและถาดผสมสีที่เด็ก ๆ ช่วยกันล้างตากเอาไว้มาใส่ลงกล่องแล้วจึงเดินไปเก็บที่ท้ายรถ จากนั้นก็ง่วนอยู่กับการจัดของให้เข้าที่เพราะเกรงว่างานของเด็ก ๆ จะได้รับความเสียหายระหว่างนำกลับไปเผาเคลือบที่โรงงาน เต็มฟ้ายืดตัวขึ้นตรวจดูวามเรียบร้อยอีกครั้งก่อนจะเอื้อมมือปิดฝากระโปรง ทันใดนั้นมือของใครคนหนึ่งก็วางลงข้าง ๆ กัน เพียงปลายจมูกสัมผัสน้ำหอมกลิ่นสปอร์ตก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นศิธาพัฒน์ไม่ผิดแน่ เมื่อฝากระโปรงปิดลงชายหนุ่มเจ้าของรถก็ได้ทำเพียงสบตาอีกฝ่ายผ่านเงาสะท้อนที่ปรากฏอยู่บนกระจกติดฟิล์มทึบ ภาวนาว่าอย่าให้เขาเข้ามาใกล้มากกว่านี้เลย ไม่เช่นนั้นคงจะได้ยินเสียงรัวกลองใต้อกเสื้อด้านซ้ายแน่ ๆ
ศิธาพัฒน์หันข้างพิงท้ายรถใช้มือเท้าเข้ากับฝากระโปรง นัยน์ตาคมมองแก้มเนียนของเจ้าของมือบางซึ่งกำลังขยับออกห่างจากสัมผัสที่แตะกันอยู่เพียงบางเบา
"นึกว่าพี่ศิธาจะกลับเลยเสียอีก"
เมื่อประโยคนั้นลอยหายไปในอากาศ ลมหายใจอุ่น ๆ ของคนถูกขัดใจก็ถูกผ่อนผ่านปลายจมูกลดลงบนต้นคอระหงตามด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
"เมื่อไรจะเลิกเรียกแบบนี้สักทีนะ"
"เรียกแบบไหน”
“ก็เรียกว่าพี่ศิธาไง สงสัยจริง ๆ ว่าใครกันที่สอนให้เรียกแบบนี้ ไม่ชอบเลย”
เต็มฟ้ามุ่นคิ้วพร้อมกับสำรวจเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก แน่ใจว่าตรงแก้มที่กำลังรู้สึกวูบวาบอยู่ในขณะนี้ไม่ได้เปลี่ยนสีจนคนอยู่ใกล้สังเกตได้ เพิ่งรู้ก็วันนี้ว่าเจ้าของชื่อไม่ชอบให้เรียกแบบนี้ แต่จะไปสนใจทำไมกันว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบในเมื่อตัวเขาเองพอใจแบบนี้
“เรียกแบบนี้แล้วทำไม ลุงเดชกับป้าบัวก็เรียก" พูดจบเจ้าของริมฝีปากบางก็หันมาสบตาคนฟังเป็นครั้งแรก ในขณะที่ศิธาพัฒน์นั้นได้แต่โครงศีรษะอย่างเหนื่อยใจกับคนที่ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยคนนี้
"ไม่เหมือนกันสักนิด"
"ไม่เหมือนกันยังไง"
"ก็ตอนนี้เป็นแฟนกันแล้ว ถึงจะระยะทดลองก็เถอะ"
เงื่อนไขนี้เล่นเอาคนเต็มฟ้าต้องรีบเบือนหน้าหนีแต่ร่างสูงก็ยิ่งขยับเข้าใกล้พร้อมกับจ้องลึกลงไปในดวงตาชวนมองที่สะท้อนอยู่บนกระจก จมูกโด่งสูบกลิ่นหอมจากตัวของคนที่ก่อนหน้านี้ทำให้เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการที่จะคิดว่าอีกฝ่ายก็เป็นแค่เพียงน้องชายร่วมโลก แต่สุดท้ายแล้วเขาก็พบว่าสมองไม่อาจแสดงอำนาจเหนือหัวใจได้
...ยิ่งใกล้มากกันเท่าไรก็ยิ่งห้ามหัวใจตนเองไม่ได้เท่านั้น...
ในขณะที่คนหนึ่งไม่อยากใกล้ แต่อีกคนหนึ่งกลับใกล้เข้ามาจนยากจะหลบลี้ ปากอิ่มเลื่อนไปที่ข้างหูของคนที่กำลังยืนนิ่ง ดวงตาสองคู่ยังคงไม่ละออกจากกันเลยแม้แต่สักวินาที
"เมื่อไรรู้สึกว่าสนิทแล้วละก็ ช่วยเรียกพี่ปุ่นให้ชื่นใจหน่อยนะ"
หากการพ่ายแพ้คือความรู้สึกร้อนวาบไปทั่วทั้งใบหน้า หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะและตัวเบาหวิวเหมือนกำลังลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศแล้วละก็ เต็มฟ้าก็อดคิดไม่ได้ว่าหรือตอนนี้เขากำลังพ่ายแพ้ให้เจ้าของรอยยิ้มอ่อนโยนนั่นอย่างราบคาบ
‘ไม่มีทาง’
(มีต่อค่ะ)