ตอนเย็นใหญ่มารับผมตามที่บอกไว้ บนตัวยังมีผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลที่สวมทับเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงยีนตัดขาอยู่เลย สงสัยคงรีบมากจริงๆ ผมสอดตัวเข้าไปในรถก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปหอมแก้มสากแล้วส่งยิ้มกว้างให้ ซึ่งใหญ่ก็หันมายิ้มบางตอบพร้อมส่งปลายนิ้วมาหยิกแก้มเบาๆ
หลังจากนั้นเราก็ไปร้านเช่าชุดเอาสูทที่ใหญ่เช่ามาเมื่อวานไปคืน ตอนแรกกะจะซื้อแต่นายหมาตูบไม่ยอม เขาให้เหตุผลว่าคงไม่มีโอกาสได้ใส่บ่อยนักไม่คุ้มกับเงินที่เสียไปเช่าเอาดีกว่า ช่างเป็นคนที่คิดทุกเม็ดทุกหน่วยจริงๆ
“ใหญ่ จอดรถข้างหน้าหน่อยสิ” ผมบอกใหญ่กะทันหันเมื่อเหลือบไปเห็นบางอย่างข้างทาง
ใหญ่จอดรถเทียบฟุตบาทเลยที่เกิดเหตุไปประมาณสองเมตร ผมเปิดประตูลงมาจากรถก่อนหยุดยืนมองหนึ่งชายแก่และหนึ่งเด็กน้อยที่นั่งกอดกันอยู่ตรงมุมตึก
“น่าสงสารจัง” ภาพตรงหน้าทำเอาผมสะเทือนใจไม่น้อย ผมไม่รู้สาเหตุว่าเพราะอะไรถึงทำให้ชายมีอายุคราวปู่กับเด็กผู้หญิงตัวน้อยไม่น่าจะเกินห้าขวบในชุดมอซอทั้งคู่มาอยู่ตรงนี้ได้ สิ่งที่สะดุดตาผมและไม่สามารถมองผ่านไปได้คือดวงตาเศร้าหม่นแสงของทั้งคู่
ผมหันไปมองคนตัวโตที่ยืนข้างๆ เขาพยักหน้าให้อย่างเข้าใจว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไงและอยากจะทำอะไร
ผมเม้มปากก่อนค่อยๆก้าวเดินเข้าไปหาเป้าหมาย ทรุดตัวนั่งยองลงตรงหน้าขณะที่สายตาหม่นสองคู่จะเงยขึ้นมอง
“คุณตาครับ มีอะไรให้ผมช่วยไหม”
จบประโยคคนต่างอายุทั้งคู่ก็มองผมด้วยสายตามึนงงก่อนจะหันกลับไปมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจและเริ่มหวาดระแวง เอาล่ะ ผมควรจะต้องค่อยเป็นค่อยไปให้พวกเขาค่อยๆวางใจ
ผมจึงยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร “กินอะไรกันหรือยังครับ”
เหมือนผมจะมาถูกทางเพราะจากท่าทางกระตือรือร้นไหนจะดวงตาเป็นประกายของเด็กหญิงตัวน้อย
“หิว หนูหิว” ผมยิ้มกว้างส่งมือไปลูบศีรษะเล็กทุย พลางเอ่ยอย่างผู้ใหญ่ใจดี
“หนูหิวหรือคะ งั้นไปหาของกินอร่อยๆกับพี่ไหม”
“ไปๆ หนูหิว” เด็กน้อยร้องพลางขย่มตัวบนตักคุณตาอย่างตื่นเต้นก่อนหันไปพูดกับคนอุ้มเจ้าตัว “ตาจ๋าๆ หนูหิว ไปนะๆ” แววตาประกายมีหวังทำให้คุณตาทำหน้าปั้นยาก เหมือนใจหนึ่งก็อยากไปแต่อีกใจก็ยังหวาดระแวง
“ไปเถอะ คงไม่มีทางเลือกที่ดีไปกว่านี้หรอก” เสียงทุ้มของนายหมาตูบที่ยืนอยู่ด้านหลังเอ่ยเสียงเรียบ เอ๊ะ ทำไมนายพูดจาใจร้ายจัง ไปตอกย้ำเขาทำไมกัน แต่เหมือนประโยคจี้ใจดำข้างต้นจะทำให้คุณตาตัดสินใจได้และยิ่งหันไปมองหน้าหลานสาวก็ยิ่งแน่ใจ และการพยักหน้าน้อยๆก็เรียกให้ผมยิ้มกว้างอย่างดีใจ
แล้วผมก็ไม่ได้พาสองตาหลานไปฝากท้องที่ไหนไกล ร้านกินเส้นที่มีเจ้าของร้านหล่อที่สุดในโลกหล้านั่นเอง เชฟสุดหล่อของผมลงมือทำบะหมี่ชามพิเศษ เพิ่มเส้นเพิ่มหมูเพิ่มลูกชิ้นแถมหัวไชเท้าชิ้นโต เรียกได้ว่าจัดหนักจัดเต็มให้ถ้าไม่อิ่มเบิ้ลได้ไม่จำกัดอีกด้วย
“ค่อยๆกินลูกเดี๋ยวติดคอ” เสียงอาทรของคุณตาที่มีต่อหลานสาวทำให้ผมอิ่มเอมในหัวใจ ผมส่งมือไปลูบแผ่นหลังเล็กๆที่เจ้าของยังไม่เงยหน้าจากการดูดเส้นเข้าปาก แก้มกลมทั้งสองข้างพองออก ประกายตาความสุขของคุณตาที่มองมากับการพนมมือไหว้ขอบคุณทำให้ผมรีบยกมือไหว้กลับแทบไม่ทัน
“ขอบคุณ...ขอบคุณมากจริงๆ”
“อย่าไหว้ผมอีกนี้สิครับ โ เดี๋ยวผมอายุสั้นหมด”
หลังจากนั้นผมก็ให้เก๋า(เด็กขายน้ำขวดที่ใหญ่จ้างมาเฝ้าร้านให้ชั่วคราว)จูงพาเด็กหญิงตัวน้อยที่ผมมารู้ชื่อทีหลังว่า ‘น้องดาว’ ไปทานน้ำแข็งไสร้านพี่จั่นที่อยู่ถัดจากร้านของใหญ่ไปอีกสามบล็อก
ส่วนคุณตาที่นั่งอยู่กับผมก็เล่าให้ฟังว่า...สองตาหลานความจริงแล้วอาศัยอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ในกระท่อมหลังเล็กๆ มีอาชีพปลูกผักสวนครัวประทังชีวิตไปวันๆ สิ้นเดือนลูกสาวซึ่งก็คือแม่ของน้องดาวที่ทำงานอยู่กรุงเทพฯจะส่งเงินมาให้เป็นค่าเลี้ยงดูและค่าใช้จ่ายในการเรียนของหลาน แต่อยู่ๆก็หายไปไม่ติดต่อมาสามเดือนแล้ว ทางโรงเรียนก็ทวงค่าเทอมมาตลอดจนเมื่อสี่วันก่อนได้ยื่นคำขาดมาว่าถ้าไม่จ่ายค่าเทอมก็ต้องให้น้องดาวออกจากโรงเรียน คุณตาจึงตัดสินใจหอบหลานสาวมากรุงเทพฯเพื่อไปหาลูกสาวตามที่ทิ้งที่อยู่ไว้ให้
แต่เกิดเรื่องซะก่อนเมื่อรถกระบะที่อาศัยมาด้วยซึ่งคิดราคาต่ำกว่ารถทัวร์เกือบครึ่งปล่อยสองตาหลานทิ้งไว้ที่นี่เนื่องจากพอมาถึงกลางทางเจ้าของรถเรียกเก็บเงินเพิ่มแต่คุณตาไม่มีจ่าย
“ตาก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ เขาบอกตาว่าจะไปส่งของที่กรุงเทพฯพอดีเลยให้ติดรถไปด้วยกัน ขอให้ช่วยค่าน้ำมันรถเขานิดหน่อย ตาเห็นว่ามันถูกเลยมากับเขา ไม่คิดว่าจะโดนทิ้ง เงินก็ไม่มีติดตัวเพราะเขาเอาไปหมด ตาไม่รู้ว่าจะพาหลานกลับบ้านยังไง ถ้าไม่ได้พ่อหนุ่มล่ะแย่เลย ขอบคุณพ่อหนุ่มมากนะ”
ถึงตรงนี้น้ำตาผมก็คลอหน่วงรอบดวงตา สิ่งที่ได้ยินผ่านการเล่าของคุณตาทำให้ผมปวดใจอย่างบอกไม่ถูก คนๆนั้นทำกับตาแก่ๆกับเด็กตัวน้อยน่ารักได้ยังไงนะ ใจร้ายจริงๆ
“แล้วคุณตาไม่อยากไปหาลูกสาวแล้วเหรอครับ”
“ตาคงไม่ไปแล้ว นี่ยังเจอขนาดนี้ถ้าไปถึงนู่นยังไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไรอีก คนสมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ ตาขอกลับบ้านดีกว่า ส่วนหนูดาวคงให้ย้ายมาเรียนโรงเรียนวัดแถวบ้าน”
ผมอยากจะช่วยเหลือคุณตาให้มากกว่านี้ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง ที่ตัวเองสามารถทำได้ก็คงเป็นแค่ช่วยให้คุณตาได้กลับบ้าน
“คุณตาไม่ต้องห่วงนะครับ เดี๋ยวคืนนี้พักกับผมก่อน พรุ่งนี้ผมจะพาคุณตากับน้องดาวไปส่งขึ้นรถกลับบ้าน”
“แต่ตาไม่มีเงิน...”
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง”
ถึงตรงนี้ดวงตาหม่นเศร้าที่ผมเห็นแปรเปลี่ยนเป็นดวงตารื้นน้ำตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื้นตัน ดีใจ และขอบคุณ
ผมพาคุณตาและน้องดาวมาพักค้างคืนที่คอนโด ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปเจ้าตี๋น้อยก็วิ่งกระโจนมารับ(วันนี้ใหญ่ไม่ได้พาไปร้านด้วย) พอเห็นว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามาด้วยก็ตั้งท่าแยกเขี้ยวขู่คำรามในลำคอ จนใหญ่ส่งเสียงดุให้นั่งลงมันถึงรู้ว่าสองตาหลานเป็นแขกไม่ใช่โจร
“เดี๋ยวคุณตาพาน้องดาวไปอาบน้ำก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเตรียมที่นอนให้ ห้องน้ำอยู่ในห้องนอนนะครับ” คุณตารับคำก่อนจูงมือหลานเข้าห้องน้ำไป เสียงน้องดาวเจื้อยแจ้วออกมาเป็นระยะขณะที่ผมกับใหญ่ช่วยกันปูผ้านวมเพื่อใช้เป็นพื้นที่หลับนอนในคืนนี้ จะให้นอนบนโซฟาก็ดูจะคับแคบไปสำหรับสองตาหลาน
ตาจ๋าห้องน้ำกว้างจัง
โหสบู่มีฟองเยอะมาก
ตาจ๋าๆที่อึอึ๊ไม่เป็นแบบนั่งยองๆเหมือนบ้านเราเลย
น้ำอุ่นๆหนูชอบเสียงสดใสมีความสุขที่ยิ่งฟังยิ่งทำให้ผมยิ้มกว้างอย่างมีความสุขไปด้วย
“ไม่เมื่อยแก้มบ้างหรือไง” ผมเงยหน้าขึ้นมองนายหมาตูบที่เอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงนิ่งๆตามสไตล์
คำที่ยิ่งทำให้ผมยิ้มยิงฟันกว้างขึ้นก่อนจะเดินไปสวมกอดคนตัวใหญ่
“ก็เล็กดีใจที่ได้ช่วยเขาสองคนนี่”
ใหญ่วาดวงแขนมากอดเอวไว้หลวมๆอีกข้างยกขึ้นลูบศีรษะผมเบาๆ
“อีกหน่อยห้องคุณคงเป็นมูลนิธิแน่ๆ”
ป๊าบ“ใหญ่ก็” ผมฟาดฝ่ามือไปบนแผงอกเขาอย่างหมั่นไส้คนขี้แหย่ เรายืนกอดยืนหยอกล้อกันสักพักผมก็แยกเข้ามาเตรียมเสื้อผ้าสำหรับอาบน้ำต่อในห้อง ส่วนใหญ่ขอตัวไปทำนมอุ่นๆให้ผมและสองตาหลาน
เมื่อสองตาหลานอาบน้ำเสร็จนมอุ่นๆจากนายหมาตูบก็มาเสิร์ฟพอดี น้องดาวดูชอบใจกับนมอุ่นรสแคนตาลูปของเธอมากและดวงตาก็ประกายวาววับมากขึ้นกับช่องการ์ตูนเน็ตเวิร์คในจอสี่เหลี่ยมตรงหน้า
ผมเข้ามาอาบน้ำต่อจากคุณตา วางเสื้อผ้าชุดใหม่ไว้ที่แท่นอ่างล้างหน้าก่อนเดินเข้ามาในส่วนกระจกฝ้าถอดเสื้อผ้าแขวนไว้บนราวแล้วเปิดน้ำอุ่นให้ไหลรินรดกาย
ฮ้า สบายจัง วันนี้นั่งทำงานทั้งวันเมื่อยไปหมด แถมสะโพกก็ยังขัดๆไม่หายกว่าจะอาบน้ำเสร็จก็เกือบครึ่งชั่วโมงเมื่อผมมัวแต่เพลินอยู่กับสายน้ำอุ่นๆและฟองสบู่หอมๆ กำลังหันมาคว้าผ้าเช็ดตัวก็ต้องร้องอุทานออกมาเมื่อเสื้อผ้าที่แขวนไว้บนราวร่วงตกลงมาบนพื้นจนเปียกไปหมด
ดีนะที่เป็นเสื้อผ้าเก่าที่ใส่แล้ว บิดน้ำออกและเอาไปตากไว้ที่ระเบียงก่อนแล้วกัน
คิดได้ดังนั้นผมก็หยิบเสื้อและกางเกงขึ้นมาบิดน้ำออก
เอ๊ะ อะไรอยู่ในกระเป๋าเสื้อน่ะ
ผมคลี่เสื้อกางออกมาพลางล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตของตัวเอง ดึงออกมาถึงรู้ว่าเป็นนามบัตรของคุณเฟยเฟิ่งที่เขาให้ไว้ในงานแต่งงาน ดีนะที่หมึกไม่เลือนจนตัวหนังสือหายไป บัตรก็ยังคงสภาพดูดีเหมือนไม่ได้เปียกน้ำด้วยซ้ำ
หืม?? ไม่เปียกงั้นเหรอ
ผมเบิ่งตาโตขึ้น รีบเดินออกไปวางนามบัตรบนแท่นอ่างอาบน้ำก่อนใช้ผ้าขนหนูเช็ดมือตัวเองให้แห้งสนิทแล้วหยิบนามบัตรขึ้นมาดูใหม่ ไม่รู้สึกถึงความเปียกชื้นเลยสักนิด ลองเปิดน้ำก๊อกเบาๆแล้วยื่นนามบัตรไปรองรับน้ำ...เหมือนน้ำที่ไหลหยดบนใบบัว...
หัวใจผมเต้นแรงระรัวขึ้น เหมือนเดจาวู ผมเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วเมื่อเกือบห้าเดือนก่อนกับหนังสือหน้าปกสีแดง...คัมภีร์อาหารยอดยุทธ์ของใหญ่...
ผมรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วแล้วซอยเท้าตรงไปที่โต๊ะทำงานที่มีโน๊ตบุ๊ควางตั้งอยู่ จัดการเปิดเครื่องขณะรอ...หัวใจผมเต้นแรงจนเจ็บช่วงอก
เมื่อหน้าเดสท็อปปรากฏขึ้นผมก็รีบคลิกไปที่ตัวอีสีฟ้าเพื่อเข้าสู่โลกออนไลน์ เข้าเว็บกูเกิ้ลที่เสิร์ชหาทุกอย่างได้ทั่วทุกมุมโลกและพิมพ์ชื่อในนามบัตรพร้อมชื่อบริษัทลงไป
ข้อมูลการค้นหาขึ้นมามากมายผมเลือกกดเข้าไปดูรูป มีรูปคุณเฟยเฟิ่งตามงานต่างๆอย่างที่ผมคาดไว้จริงๆด้วย ทุกรูปจะมีคุณจิ่นตั้งในชุดสูทสีดำยืนเยื้องอยู่ด้านหลังเสมอและมีผู้ชายอีกประมาณห้าหกคนยืนคุมเชิงอยู่เหมือนคุ้มครอง ซึ่งก็ทำให้ผมเข้าใจแล้วว่าคนสนิทที่ว่าคงหมายถึงลูกน้องหรือบอดี้การ์ดเป็นแน่
ผมเลื่อนรูปลงดูเรื่อยๆจนถึงหน้าสอง ก็เป็นรูปซ้ำแบบเดิมๆแตกต่างก็คงเป็นโลเคชั่นกับชุดที่สวมใส่เท่านั้น แต่หลักๆแล้วคุณเฟยเฟิ่งนิยมใส่ชุดสูทสีขาวซะส่วนใหญ่ ส่วนคุณจิ่นตั้ง...
เฮือก!
ผมสะดุ้งสุดตัวปล่อยเม้าท์และผละตัวออกราวกับเจอของร้อน จ้องมองรูปด้วยความหวาดหวั่น แววตาสั่นระริก เนื้อในอกเต้นแรงจนได้ยินเสียงตึกตักดังก้องในหู ค่อยๆยื่นมือที่สั่นระริกไปจับเม้าท์อีกครั้งก่อนกดขยายรูปด้วยมืออันสั่นเทา
มะไม่ใช่...คุณจิ่นตั้ง...ตะแต่เป็น...ใหญ่ต่างหาก
...นายหมาตูบของผม...
ใช่แน่ๆ ผมจำแววตาว่างเปล่าไร้ความรู้สึกดังที่เจอกันครั้งแรกได้...แววตาที่ผมคิดว่าเป็นเพราะเขาจำอะไรไม่ได้ แต่ไม่ใช่...นั่นคือแววตาจากตัวตนเขาจริงๆ
ผมใช้มืออีกข้างขยุ้มอกข้างซ้ายเอาไว้กดแรงๆอย่างหวังว่าให้มันสงบลง ก่อนที่มืออีกข้างจะใช้เลื่อนภาพลงดูเรื่อยๆ...ทุกภาพลงมามีแต่ภาพของใหญ่ทั้งนั้น ตำแหน่งยืนเช่นเดียวกับคุณจิ่นตั้งแตกต่างเพียงชุดสูทที่สวมใส่จะเป็นสีเทา...งานแต่งวันนั้นเขาก็เลือกชุดสีเทา...มองดูวันที่ลงรูปเป็นก่อนที่ใหญ่จะหายตัวไปทั้งนั้น
เขาดูหล่อและน่าเกรงขามมาก...ที่สำคัญดูตัวใหญ่มั่นคงพร้อมจะปกป้องคนชุดขาวตลอดเวลา และดูจากตำแหน่งการยืนแล้วคงไม่พ้นหัวหน้าลูกน้องชุดดำด้านหลังเป็นแน่
ผมเลื่อนดูทุกภาพแต่ก็ไม่มีชื่อจริงๆของใหญ่แสดงอยู่เลย จนเสียงเปิดประตูห้องดังขึ้นจึงรีบปิดหน้าต่างนั้นลงเป็นหน้าเดสท็อป วินาทีต่อมาก็รู้สึกถึงฝ่ามืออุ่นที่จับลงบนบ่าทั้งสองข้าง
“ทำงานเหรอ”
“อื้ม แต่เสร็จแล้วล่ะ”
ผมปิดเครื่องก่อนลุกขึ้นมากอดเอวหนาแล้วซบหน้าลงกับอกอุ่นอย่างโหยหาสัมผัส...ผมลืมไปได้ยังไงกันว่าตัวตนของใหญ่คือใคร
ไม่ใช่...ผมไม่ได้ลืม...แต่ทำเป็นลืมต่างหาก ความเห็นแก่ตัวที่อยากจะเก็บเขาไว้ข้างกายจนลืมที่จะสืบหาความจริง ละเลยจนมองข้ามความรู้สึกใหญ่ไปว่าการอยู่อย่างไร้ตัวตนในสังคมแม้กระทั่งไร้ความทรงจำมันรู้สึกแย่แค่ไหน...ก็แค่อยากจะให้เขาอยู่กับผมอย่างนี้ตลอดไป
“งานหนักเหรอ...” เขากอดรัดผมแนบอกพลางเอ่ยถามอย่างห่วงใย ผมเงยหน้าชันคางไว้บนอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามพลางช้อนตาขึ้นสบตา...ผมชอบแววตาที่อบอุ่นคู่นี้มากกว่าแววตาว่างเปล่าคู่นั้น...
ผมส่ายหัวแทนคำตอบก่อนเลื่อนสายตาลงมามองริมฝีปากบางเหยียดตรง และใหญ่ก็เข้าใจ...ก้มหน้าประกบจูบลงมามอบสัมผัสอ่อนโยนให้
ปลายลิ้นร้อนผ่าวแตะกันให้ความรู้สึกวาบหวานและหัวใจเต้นคับพองไปด้วยความรู้สึกอุ่นในอก เกลียวลิ้นค่อยๆเกี่ยวพันแลกเปลี่ยนรสชาติของน้ำเหลวใสให้แก่กันและกันลิ้มลอง
ฝ่ามือที่โอบรัดร่างผมอยู่ค่อยๆลูบไล้ ผมยกมือโอบกอดลำคออีกฝ่ายก่อนบดเบียดเนื้อตัวเข้าหาและปรับเอียงใบหน้าให้ได้มุมเพื่อเพิ่มรสจูบให้ร้อนแรงขึ้น
ฝ่ามือใหญ่ไล้ไปตามแผ่นหลังก่อนไล้ต่ำลงมาเคล้นคลึงที่สะโพก มืออีกข้างก็สอดเข้ามาลูบแผ่นท้องให้เสียววูบก่อนไต่ระดับขึ้นบดนิ้วโป้งเข้ากับตุ่มไตสีน้ำตาลอ่อนจนผมส่งเสียงครางออกมาเมื่อความเสียวปลาบแล่นจากจุดโดนสัมผัสลามไปทั่วร่างกาย
“ยะ...ใหญ่ อื้อ ไม่ทำได้มั้ย ยังเจ็บอยู่เลย...” หลังจากถอนจูบผมก็ส่งเสียงอ้อน สัมผัสทุกอย่างหยุดชะงัก ใหญ่จ้องมองอย่างชั่งใจก่อนจะถอนหายใจเฮือก ลูบใบหน้าตัวเองอย่างระงับอารมณ์
“ไปนอนกันเถอะ” ใหญ่ใช้มือข้างเดียวกอดเอวไว้ก่อนพาเดินมาล้มลงนอนด้วยกันบนเตียงก่อนที่อีกฝ่ายจะรั้งผมเข้ามากอด “คืนนี้ขอนอนด้วยนะ ข้างนอกมีคนแย่งที่ซะแล้ว”
“อื้ม มานอนด้วยกันทุกคืนเลยนะ” ผมว่าแล้วซุกตัวเข้าหามากยิ่งขึ้น รู้สึกถึงริมฝีปากที่แตะลงบนศีรษะ และก่อนที่เราทั้งคู่จะหลับไปผมก็เอ่ยถามเสียงแผ่ว
“ใหญ่...นายอยากรู้มั้ยว่าตัวเองเป็นใคร” มีแต่ความเงียบแต่ผมรู้ว่าเขาได้ยิน “ไม่อยากรู้เหรอ...”
“อยากสิ”
“เหรอ...”
“ผมมักฝันเห็นอะไรแปลกๆบ่อยๆ น่าจะเป็นผมเมื่อก่อนนั้น” ผมเงยหน้าพรวดมองเขาอย่างตกใจ ใหญ่กดศีรษะผมให้ซบลงดังเดิมก่อนว่าต่อ “ผมมักเห็นตัวเองในชุดสูทสีเทา...ในเหตุการณ์ต่างๆ แต่มันกระท่อนกระแท่นจับเป็นเรื่องราวไม่ได้เลย”
“นะนานแค่ไหนแล้ว...”
“ตั้งแต่ผมแยกจากคุณเมื่อสามเดือนก่อน”
ถ้าอย่างนั้นเขาก็ฝันมาร่วมสามเดือนแล้วสิ มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากรู้และก็เอ่ยถามออกไป
“ในฝันของนายมีคุณเฟยเฟิ่งด้วยมั้ย” เสียงผมสั่นไหวจนรู้สึกได้ ใหญ่เงียบไปอึดใจก่อนตอบ
“ผมไม่แน่ใจว่าใช่เขามั้ย มันเลือนๆผมเห็นหน้าไม่ชัดแต่ผมมักเห็นผู้ชายในสูทสีขาว...” แค่ตรงนี้ผมก็กอดรัดเขามากขึ้นอย่างรู้ดีว่าเขาเห็นอะไร ในใจมันวูบโหวงไปหมด
“ใหญ่...ถ้าใหญ่อยากจะสืบหาตัวตนของตัวเอง...ฉันจะช่วยนะ” เสียงผมสั่นมาก ช่างไม่มีความมั่นคงในน้ำเสียงเอาซะเลย ผมจะเห็นแก่ตัวไม่ได้ ครอบครัวของใหญ่อาจจะรอเขาอยู่...พ่อแม่...พี่น้อง...หน้าที่การงานของเขา...ตะแต่ผม...
เหมือนใหญ่จะจับความรู้สึกได้เขากอดรัดผมไว้และลูบแผ่นหลังเบาๆอย่างปลอบโยน
“นอนเถอะ ไม่ต้องคิดมากนะ ตอนนี้ผมมีความสุขดี”
“อืม เล็กก็มีความสุข”
ติ๊ดๆ
‘คุณเฟยเฟิ่ง ขอโทษที่ผมไม่ได้โทรไปด้วยตัวเอง ผมเห็นว่าในยามวิกาลเช่นนี้ควรจะส่งข้อความมากกว่า...ถ้าไม่รบกวนจนเกินไปพรุ่งนี้ผมขอนัดเจอคุณได้ไหมครับ’
ติ๊ดๆ
‘ด้วยความยินดีครับ พรุ่งนี้ผมว่างตอนสิบโมง ส่วนสถานที่คุณนัดมาได้เลย
............คุณติดต่อมาเร็วกว่าที่ผมคิดไว้นะครับ’
:katai5:กระดึ๊บๆเข้ามา มาอย่างเชื่องช้าอีกแล้ว สรุปว่ารู้อะไรเกี่ยวกับใหญ่เพิ่มบ้าง 55 (อย่าตบเค้านะ) ตอนนี้ยังไม่ดราม่านะคะค่อยๆต้มน้ำรอกันไปก่อนอย่าใจร้อน (ได้ข่าวว่าเหลืออีกแค่สี่ตอน)
กำลังจะไล่แก้คำและประโยคที่ผู้อ่านช่วยแก้มานะคะ
สุดท้ายนี้ตกใจมากที่ครบร้อยเม้น คือแบบดีใจมากกกกก และขอบคุณผู้อ่านทุกคนสำหรับทุกเม้น ทุกเป็ดนะคะ เพราะคุณคือกำลังใจของคนเขียนค่าาา