เร่ร่อน10สองสัปดาห์แล้วสินะ
ในห้องสี่เหลี่ยมขนาดร้อยสี่สิบตารางเมตรที่มีผมเพียงคนเดียวอาศัยอยู่
เหมือนสองเดือนกับอีกสองสัปดาห์ที่มีคนร่วมอาศัยเป็นเพียงความฝัน...ฝันที่ดีและอบอุ่นมากๆ
แต่มันไม่ใช่ และผมก็ไม่รู้ว่าจะหลอกตัวเองไปเพื่ออะไร เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของใหญ่ยังวางอยู่ที่เดิม มุมเดิม แม้แต่สมุดคัมภีร์อาหารยอดยุทธ์ก็ยังวางสอดไว้ใต้เสื้อผ้าในกล่องพลาสติกเช่นกัน ผมคิดว่าเขาจะกลับมาเอา เพราะมันเป็นสิ่งของที่ติดตัวเขามา แต่ก็ไม่ เหมือนเขาไม่ได้ลืมแต่จงใจทิ้งไว้
ส่วนผม...ก็กลับมาใช้ชีวิตปกติดังเดิม ตื่นเช้า ไปทำงาน ทานข้าวเที่ยงกับคุณพชร ทานข้าวเย็นร้านอาหารตามสั่งใต้คอนโด ดูหนังแผ่น เข้านอน และก็ตื่นเช้าเพื่อไปทำงานอีก ชีวิตดำเนินวนเวียนอยู่แบบนี้ ไม่มีอะไรให้ดีใจ เศร้าใจ หรือตื่นเต้น เหมือนกราฟเส้นตรงที่ไม่มีขึ้นหรือลง
ส่วน ‘ใหญ่’ ผมยังคงคิดถึงเขาเสมอ ยังรักเขาเหมือนเดิม แม้ไม่ได้ฟูมฟายเหมือนเก่าแล้วก็ตาม
โซฟา...ที่เคยเป็นที่หลับนอนของเขา บัดนี้กลิ่นกายที่ผมเคยใช้เป็นเครื่องบรรเทาความคิดถึงได้จางหายไป แต่ถึงกระนั้นบางคืนผมก็ยังชอบนอนหลับอยู่บนโซฟาตัวหนาซุกหน้าแนบความอุ่นนุ่มของหมอนอิง
ชีวิตเราต้องดำเนินไป ถึงภายนอกผมอาจดูไม่เป็นไร แต่ในใจผมยังมี ‘ใหญ่’ อยู่เท่าเดิม
แม้ไม่ได้ฟูมฟายหรือวนเวียนคิดถึงเขาอยู่ตลอดเวลา แต่ในยามเผลอเขาก็จะแทรกแซงเข้ามาในความคิดทุกครั้งไป ให้ผมรู้ว่า...ยังรักเขา...
ก๊อก ก๊อก
ผมเงยหน้าขึ้นจากงานไล่มองจากมือไต่ขึ้นไปยังเรียวแขนเพื่อมองคนที่กำลังเคาะโต๊ะเรียกผมอยู่
ไอ้ปอนด์...ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงมีอะไร
“เที่ยงนี้มึงไปกับหัวหน้าป่ะ” ผมพยักหน้าหน่ายๆเมื่อคิดว่าคุณพชรไม่ยอมถอดใจง่ายๆ
“กูไปด้วยได้มะ”
“ไปทำไม”
“ฮั่นแน่! มึงชอบหัวหน้าแล้วใช่ป่ะ ถึงพูดแบบไม่อยากให้กูไปด้วย” คือ...ผมสื่ออะไรผิดหรือเปล่า มันถึงได้พูดแบบนี้พลางยิ้มกรุ้มกริ่มใส่ ผมว่าไม่ได้พูดอะไรทำนองนั้นเลยนะ
“เปล่า คิดไกลไปละ”
“อ้าว” จากที่ยิ้มๆเปลี่ยนเป็นหน้าเซ็งขึ้นมาทันที ทำให้ผมอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้
“มึงอยากให้กูชอบเขาหรอ เมื่อก่อนเห็นช่วยกันเขาออก”
“ก็ตอนนั้นยังไม่รู้จักนิสัยใจคอนี่โว้ยกลัวจะมาหลอกมึง แต่ตอนนี้กูมั่นใจว่าเขาชอบมึงจริงๆ นิสัยก็โอเค หน้าตาก็ดี หน้าที่การงานก็เป๊ะ คนสมบูรณ์แบบเพียบพร้อมขนาดนี้กูต้องเชียร์อยู่แล้ว ดีกว่าไอ้คนไม่มีหัวนอนปลายเท้าเป็นไหนๆ” ประโยคสุดท้ายมันพูดเหยียดเสียงเบาๆเหมือนพึมพำกับตัวเอง แต่ผมได้ยินชัดเจน
ใช่ว่าเรื่องที่ผ่านมาจะผ่านสายตามันไปได้
ผมจ้องตามันนิ่งทันที ไอ้ปอนด์หน้าเจื่อนไปเหมือนจะพูดบางอย่างแต่ผมชิงตัดหน้ามันซะก่อน
“ใหญ่มีดีกว่าสิ่งฉาบฉวยภายนอกที่มึงมอง ถ้าเลิกอคติแล้วมึงจะเห็น” ผมเลื่อนเก้าอี้ออกไกลโต๊ะให้ตัวเองลุกขึ้นได้และเดินหนีออกไปในห้องพักผ่อนสำหรับพนักงาน ผมท้าวมือข้างหนึ่งลงบนโต๊ะชงกาแฟ อีกข้างลูบใบหน้าที่แสดงความอ่อนล้าอย่างชัดเจน
ไอ้เพื่อนเวรมันทำให้ผมคิดถึงใหญ่เวลาทำงาน ทั้งที่ผมสามารถจัดการตัวเองได้แล้วเชียว
“คุณเล็กครับ” ผมไม่ได้หันไปมอง แค่ฟังน้ำเสียงก็พอรู้ว่าใคร และผมยังไม่อยากจะสนทนากับเขาในตอนนี้ “เที่ยงแล้วเรา...”
“ครับ ผมปวดหัวนิดหน่อย เดี๋ยวตามออกไปครับ”
“เป็นอะไรมากมั้ยขอผมดูหน่อย”
“ไม่ๆ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมทานยาเสร็จแล้วจะตามไป” ผมยังยืนยันคำเดิม
“งั้นก็ได้ครับ ผมรอที่รถนะ”
“ครับ”
ตลอดบทสนทนาผมยังหันหลังคุยกับเขาเช่นเดิม มันเป็นเรื่องที่เสียมารยาทพอควร แต่ผมยังไม่อยากจะเผชิญหน้ากับเขา มันเป็นเรื่องงี่เง่ามากที่ผมนึกโกรธคุณพชรที่เขาเป็นส่วนหนึ่งของต้นเหตุที่ทำให้ใหญ่โดนดูถูก มันงี่เง่ามากจริงๆ
ผมเป่าลมออกทางปากเพื่อช่วยปรับสภาพอารมณ์ให้เป็นปกติ
ติ๊ดๆ
จังหวะที่ผมจับลูกบิดประตูห้องพักผ่อนเพื่อเปิดออก เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น หน้าจอโชว์เลขเก้าตัวขึ้นต้นด้วย 056 เป็นรหัสประจำจังหวัดนครสวรรค์ ผมขมวดคิ้ว ส่วนมากเบอร์ที่ขึ้นต้นด้วยเลขนี้จะเป็นเบอร์ของออฟฟิศโทรมา ซึ่งไม่ใช่แน่นอนเพราะตอนนี้ผมก็อยู่ออฟฟิศ
“ฮัลโหลครับ” ผมสไลด์หน้าจอเพื่อรับสาย ทันทีที่ผมเอ่ยคำทักทายออกไปก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย เมื่อปลายสายผูกขาดบทสนทนาทั้งหมด
พลั่ก!
เครื่องมือสื่อสารยังแนบที่ใบหู มืออีกข้างใช้เปิดประตูพร้อมกับเดินเร็ว จากเดินเร็วกลายเป็นวิ่ง วิ่ง และวิ่งซอยเท้าไปยังรถนิสสันมาร์ชสีขาวของผม ระหว่างทางเจอไอ้ปอนด์เลยฝากมันไปบอกคุณพชรเรื่องขอยกเลิกนัดมื้อเที่ยงนี้ ได้ยินเสียงมันตะโกนถามหาสาเหตุตามหลังแต่ผมไม่มีเวลามาคุยกับมันมากนัก
เมื่อมาถึงรถปลายสายก็วางไปแล้ว ผมขับรถเลี้ยวออกจากบริษัทสู่โรงพยาบาลรัฐบาลประจำจังหวัด
‘คุณเป็นญาติของคุณตี๋ใหญ่หรือเปล่าคะ ดิฉันเป็นเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลโทรมาแจ้งเรื่องญาติของคุณประสบอุบัติเหตุถูกรถชนค่ะ ทางเราต้องทำการผ่าตัดต้องให้ญาติมาเซ็นรับรู้ ไม่อย่างนั้นทางโรงพยาบาลจะไม่สามารถทำการผ่าตัดให้ผู้ป่วยได้ค่ะ’
เพียงเท่านี้ ผมก็ยอมปลดเกราะกำบังหัวใจทุกอย่างทิ้งเพื่อกลับเข้าไปในชีวิตเขาอีกครั้ง
ตึก ตึก ตึก
เสียงพื้นรองเท้ากระทบพื้นหินอ่อนของทางโรงพยาบาลดังถี่ประสานกับเสียงหัวใจที่เต้นอย่างรัวอย่างหนักหน่วง ไม่รู้เป็นเพราะเหนื่อยจากการวิ่งสุดกำลังหรือจิตใจที่ห่วงหากันแน่
“คะคุณพยาบาลครับ ผม แฮกๆ เป็นญาติของตี๋ใหญ่”
“ค่ะ เชิญทางนี้” คุณพยาบาลผายมือก่อนเดินนำผมไปทางห้องฉุกเฉิน ใจผมสั่นด้วยความกลัวไปหมด สองมือชื้นเหงื่อกำแน่น เมื่อย่างกรายเข้ามาในบริเวณห้องฉุกเฉิน ในห้องมีเตียงอยู่ห้าเตียงตั้งเรียงต่อกันเป็นแถว มีนางพยาบาลสองคนยืนทำแผลให้ผู้ป่วย อีกหนึ่งหมอในชุดกาวน์กำลังยืนจดบางอย่างยุกยิกบนกระดาษ เสียงโอดโอยของคนเจ็บหนักดังเสียดแทงเข้ามาในหู กลิ่นน้ำยาล้างแผลส่งกลิ่นโชยให้ลมหายใจสะดุดไปชั่ววินาที แต่ประสาทรับรู้คงไม่มีส่วนไหนทำหน้าที่ได้ดีเท่าประสาทตาอีกแล้ว
สายตาของผมเพ่งมองไปยังเตียงผู้ป่วยหนึ่งในห้าเตียงของห้องฉุกเฉิน คุณพยาบาลผายมือไปที่เตียงนั้นเป็นเชิงบอกว่า ‘ญาติ’ ของผมนอนอยู่บนนั้น ส่วนเธอขอตัวไปเอาเอกสารที่ผมต้องเซ็น
ก่อนไปคุณพยาบาลได้บอกรายละเอียดให้ผมฟังว่าใหญ่ประสบอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์โดยโดนรถยนต์ที่ฝ่าไฟแดงมาชนอย่างแรงจนกระเด็นไปอีกฟากของถนนก่อนร่างจะไถลไปบนพื้นถนนไปติดกับทางกั้น ดีที่ใส่หมวกกันน๊อคไม่อย่างนั้นคงเจ็บหนักกว่านี้มาก แต่ต้องผ่าตัดกระดูกดามโลหะช่วงสะโพกเนื่องจากมีกระดูกบางส่วนแตก
ผมโล่งใจไปเปราะหนึ่งอย่างน้อยเขาก็ไม่เจ็บหนักจนเข้าขั้นโคม่า เมื่อคุณพยาบาลไปอีกทางผมจึงเดินไปยังเตียงที่เขานอนอยู่
ตึก ตึก
ทั้งที่ผมซอยเท้าอย่างกับแชมป์วิ่งโอลิมปิก ขับรถดั่งแชมป์แข่งรถฟอร์มูล่าวัน เพื่อให้มาถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด แต่เพียงไม่ถึงสามฟุตที่เขาอยู่ตรงหน้าขาทั้งสองข้างกลับอ่อนแรงลงจนแทบไม่สามารถจะก้าวต่อ
ตึก ตึก
ผมฝืนก้าวขาจนสองมือจับลงที่ปลายเตียง
เขานอนนิ่งหลับตาอยู่บนเตียง ส่วนของใบหน้าไม่มีบาดแผล รอยถลอกตลอดแนวซีกขวาของร่างกายจากการเสียดสีเนื้อหนังกับถนนคอนกรีตไล่จากบ่ากว้างมายังแขนช่วงลำตัวและช่วงขายาว เลือดสีเข้มไหลซิบออกจากแผลผสมกับน้ำเหลืองใสๆปะปนกับเศษดิน
คงต้องทำแผลก่อนจะเข้ารับการผ่าตัด เขาคงจะเจ็บมาก
“คุณเล็ก...”
“ใหญ่!!” ผมละสายตาจากแนวแผลหันมามองใบหน้าอิดโรยของคนที่เอ่ยทัก ผมคิดว่าเขาสลบไปเสียอีก!!
“ฉันนึกว่านายไม่ได้สติ เจ็บมากมั้ย...” ผมลูบแขนข้างที่ไม่มีแผล เขาส่ายหน้าให้ผมว่าไม่เป็นไร เป็นอย่างนี้ตลอดไม่ว่าจะเจ็บแค่ไหนเขาจะบอกว่าไม่เป็นไร หัวใจนักสู้ของเขาเป็นอีกอย่างที่ทำให้ผมหลงรัก
“ผมแค่เผลอหลับไป”
“ทำไมถึงไปขี่มอเตอร์ไซค์แบบนั้น นายซื้อรถหรอ” เขาส่ายหน้าอีกครั้งก่อนบอก
“รถเถ้าแก่ เขาให้ผมมาส่งของ...” อ๋อ เป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วเถ้าแก่เถ้าหงอกไปอยู่ไหนซะล่ะลูกน้องเจ็บหนักขนาดนี้ไม่เห็นมาดูแล หรือว่ายังไม่รู้
“เถ้าแก่นายรู้เรื่องหรือยัง” ใหญ่พยักหน้า ใบหน้านิ่งกับแววตาว่างเปล่าจ้องสบตาก่อนตอบ
“มอเตอร์ไซค์เขาพังทั้งคันแพงกว่าค่ารักษาพยาบาลเสียอีก ไม่ให้ชดใช้ค่าเสียหายก็บุญแล้ว คงไม่มารับผิดชอบอะไรอีก เขาบอกแบบนี้ พยาบาลจึงถามหาบัตรประกันสังคมจากผม...ผมไม่มี”
หัวใจผมกระตุกก่อนเจ็บปลาบไปทั่วทั้งใจ ร่างกายสั่นไหวอย่างโกรธคนใจร้ายใจดำพวกนั้นเสียเหลือเกิน
ความเห็นแก่ตัวเข้าครอบงำจนละเลยความผิดชอบชั่วดีกันได้เลยหรือ
“แล้วคนที่ชนนาย...”
“หนีไปแล้ว ตำรวจตามจับอยู่” ผมเม้มปากแน่น ดวงตาสั่นไหวมองไปยังคนเจ็บที่ไม่มีท่าทียี่หระกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เหมือนเขาชินชาเกินกว่าจะต้องรู้สึกอะไร
“ใหญ่...ไม่เป็นไรนะ” เขายิ้ม ยิ้มอย่างที่เคยยิ้มให้
“แค่มีคุณ”
ผมยิ้มกว้างตอบเขาทั้งหน้าแดงแจ๋แก้มสองข้างร้อนฉ่า ในใจเต้นรัวด้วยความรู้สึกที่หายไปตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
เราไม่ได้คุยอะไรกันมากไปกว่านั้นเมื่อคุณพยาบาลเดินเอาเอกสารเข้ามาให้ผมเซ็น และใหญ่ถูกพาตัวไปเข้ารับการผ่าตัด
“ฉันจะรออยู่หน้าห้องนะ สู้ๆ” ผมชูสองนิ้วพลางยิ้มให้กำลังใจ ใหญ่ที่ถูกผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของโรงพยาบาลถูกเข็นนำตัวเข้าไปในห้องผ่าตัดโดยที่สายตาสองเราสบประสานกันตลอดเวลาจวบจนประตูกระจกขึ้นฝ้าบดบังพร้อมกับเขาที่หายเข้าไปในห้องนั้น
ผมหุบยิ้มพลางถอนใจ ความกังวลเริ่มเข้ามาเกาะกุมหัวใจ ถึงแม้หมอจะบอกว่าการผ่าตัดไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแต่ก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี ผมทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้หน้าห้องผ่าตัด เข็มนาฬิกาหมุนสองรอบบรรจบกันคุณหมอก็เดินออกมาพร้อมบุรุษพยาบาลที่เข็นเตียงผู้ป่วยโดยมีร่างใหญ่นอนหลับตาไม่รู้สึกตัวอยู่
“การผ่าตัดผ่านไปด้วยดีนะครับ อาจต้องนอนโรงพยาบาลสักสองสามวันเพื่อดูอาการและป้องกันแผลติดเชื้อ”
“ขอบคุณครับคุณหมอ”
“เดี๋ยวเราจะย้ายผู้ป่วยไปหอผู้ป่วยศัลยกรรมชายนะครับ”
“ครับ” ผมขอบคุณหมออีกครั้งก่อนจะเดินตามเตียงที่ถูกเข็นขึ้นลิฟท์ไปชั้น5 ผมแยกตัวไปกรอกข้อมูลพร้อมกับยื่นความประสงค์ขอย้ายใหญ่ไปห้องพิเศษแทนห้องรวม
เพื่อความสะดวกของผมญาติคนเดียวที่ต้องอยู่เฝ้า และความเงียบสงบเพื่อให้ใหญ่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
“ผมอยู่ห้องรวมได้ ห้องพิเศษมันแพง” ให้มันได้อย่างนี้สิ รู้สึกตัวขึ้นมาก็พูดเรื่องเงินๆทองๆเลย ดีนะที่ผมเตรียมคำตอบไว้แล้ว
“นายอยู่ได้ แล้วฉันล่ะ จะให้ฉันปูเสื่อนอนใต้เตียงเฝ้านายอย่างนั้นหรอ” เขาเงียบก่อนโต้เสียงเบาลง
“คุณไม่ต้องเฝ้าผมหรอก ผมอยู่ได้”
ผมทำหน้าบึ้งก่อนลากเก้าอี้มานั่งใกล้เตียง บีบแก้มสากไปทีอย่างหมั่นเขี้ยว
“หมอกำชับมาว่านายเพิ่งผ่าตัดมาถ้าไม่จำเป็นห้ามเคลื่อนไหวมาก ทั้งแผลผ่าตัดและก็แผลตามตัวนายก็ห้ามโดนน้ำ ถ้านายปวดฉี่ปวดอึใครจะช่วย หรือนายจะเรียกพยาบาล” เขาทำหน้าปั้นยากขึ้นมาทันที นิสัยตื่นคนของเขายังแก้ไม่หายสินะ
“กลัวคุณลำบาก”
“ฉันเต็มใจ”
สุดท้ายเขาก็ต้องถอนหายใจอย่างยอมแพ้ ผมจึงเปลี่ยนเรื่องไปสนใจที่แผลเขาแทน “เจ็บมากมั้ย”
เขาส่ายหน้า เหมือนจะอยากขยับตัวจากความเมื่อยขบ ผมจึงลุกขึ้นยืนช่วยจับเขาพลิกนอนตะแคงข้างที่ไม่มีบาดแผล
“เดี๋ยวฉันไปโทรลางานแป๊บนะ”
“อย่าเลย ผมอยู่ได้จริงๆ ไม่อยากให้คุณเสียงาน”
“เอ๊ะ ทำไมนายดื้อ” ผมเอ็ด “นายมีคนอื่นนอกจากฉันให้มาอยู่เฝ้ามั้ยล่ะ ฉันจะได้ไปทำงานอย่างไม่ห่วง” ผมพูดเสียงเข้ม ส่วนเขาเงียบอย่างเถียงไม่ออกซึ่งมันทำให้ผมนึกบางอย่างได้
“ใช่สิ นายมีแฟนแล้วนี่ เดี๋ยวผู้หญิงของนายคงมาดูแล เธอรู้เรื่องหรือยังล่ะ” เสียงผมแข็งอย่างรู้สึกได้ ใหญ่ขมวดคิ้วงง
“ผมไม่มีแฟน”
“แล้วคืนนั้น...!” เกือบหลุดปาก ผมรีบปิดปากเงียบแต่เหมือนจะไม่ทันแล้ว
ใหญ่ชะงักไปก่อนมองผมอย่างเคลือบแคลง เขาค่อยๆถามอย่างระวังคำพูด
“คุณไปหาผมที่ทำงานหรอ คุณคงเห็น...”
“ฉันไม่ได้จะแอบดู วันนั้นฉันจะไปรับนายแต่บังเอิญไปเห็น” เมื่อนึกถึงภาพร่วมสวาทของสองคนความเจ็บก็แล่นปลาบขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณโกรธผมเรื่องนี้หรอ”
“เปล่า!!”
“แล้วทำไม...”
“นายนั่นแหละ! ทำไมทำแบบนั้น! ประเจิดประเจ้อ!!”
“มันไม่ดีหรอ...” ยังจะมีหน้ามาถามตาใสอีก!
“แล้วนายคิดว่าไงล่ะ นายแค่ความจำเสื่อมไม่ได้ปัญญาอ่อนก็ต้องรู้สิว่ามันดีหรือไม่ดี!” เขายิ่งขมวดคิ้วหนักจนหัวคิ้วทั้งสองข้างจะผูกรวมกันแล้ว
“ผมไม่รู้...จิตใต้สำนึกบอกผมว่ามันไม่ผิด มันธรรมดา เหมือนทุกคนต้องกินข้าว”
“การที่นายมีอะไรกับคนอื่นมันเป็นเรื่องธรรมดาทั้งที่นายไม่ได้รักหล่อนน่ะหรอ...หรือนายรัก” ท้ายเสียงสั่นอย่างห้ามไม่ได้
“ไม่ได้รัก ผมรักใครไม่ได้”
“ทำไม” ใจผมเต้นรัวอย่างรอคำตอบ
“ผมไม่รู้ พอผมเริ่มรู้สึกดีกับใครสักคน” ใหญ่สบประสานสายตากับผมอย่างมีความหมาย “ตรงนี้...” เขาชี้ไปที่ตำแหน่งหัวใจ “มันกู่ร้องคัดค้านว่าห้ามรัก รักไม่ได้”
“…!!!”
หลังจากประโยคกรีดหัวใจจบลง ความเงียบก็เข้าปกคลุม สมองผมว่างเปล่า หูอื้ออึงเกินกว่าจะชวนเขาเปลี่ยนเรื่องคุย สายตาของใหญ่มองมาเหมือนรู้ว่าผมรู้สึกพิเศษกับเขา และเขาก็ตัดเยื่อใยผมด้วยการบอกผมทางอ้อมว่าไม่ได้รัก
ไม่ได้รู้สึกอะไรกับผมเลย
เพราะเมื่อเพียงเขาเริ่มรู้สึกดี เขาก็ตัดมันทิ้งเหมือนเป็นก้อนเนื้อร้าย และวางผมไว้เพียงฐานะผู้มีพระคุณเท่านั้น
ตรงข้ามกับผมที่ถลำลึกรักเขาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
มันไม่ยุติธรรมเลย!!
โครกกกก
ผมกดน้ำชักโครกเมื่อเทน้ำปัสสาวะในโถฉี่แสตนเลสลงไป ใหญ่ยังไม่สามารถลุกมาเข้าห้องน้ำเองได้ขนาดแค่ขยับตัวยังลำบาก จะให้ใส่แพมเพิสก็ไม่ได้อีกเพราะจะไปกดทับแผล หมอจึงให้เขาถ่ายหนักถ่ายเบาลงในโถก่อน ใหญ่ติดจะเกรงใจมากกกกก เมื่อปวดเขาชอบอั้นไว้จนไม่ไหวจริงๆถึงจะบอกผม
ผมบอกว่าทำได้ๆ เต็มใจทำให้ ก็ยังจะคิดมากอยู่ได้
ผมโทรลางานสองวันตามเวลาที่ใหญ่ต้องนอนโรงพยาบาล เมื่อคืนกลับไปเอาเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวที่คอนโดหลังจากใหญ่หลับไปเพราะฤทธิ์ยา ย่องเบาเข้าห้องตัวเองอย่างเงียบเชียบ ไม่ใช่อะไร กลัวเจอไอ้ปอนด์
ผมล้างโถแสตนเลสคว่ำไว้ในห้องน้ำ ก่อนเดินไปล้างมือ แล้วหยิบกะละมังใบเล็กเปิดน้ำใส่พร้อมผ้าขนหนูผืนพอดีมือ เดินออกจากห้องน้ำตรงไปยังเตียงผู้ป่วย
“เดี๋ยวพยาบาลจะเข้ามาทำแผลให้ใหม่ เช็ดตัวก่อนเนอะ” ผมนั่งบนเตียงด้านหนึ่งก่อนใช้ผ้าขนหนูบิดหมาดเช็ดไปตามใบหน้าคม ไล่มาที่บ่ากว้าง ช่วงลำตัว แขนและขาข้างที่ไม่มีแผล ซึ่งผมจะระวังมากเมื่อเช็ดเข้าไปใกล้บริเวณแผล
เขาไม่ได้ใส่เสื้อเพื่อไม่ให้ผ้าแตะโดนแผลส่วนกางเกงก็ถลกขึ้นมากองอยู่บนขาอ่อน ทำให้ผมช่วยทำความสะอาดร่างกายเขาได้ง่ายขึ้น แต่มันยากนิดหน่อยตรงที่ผมไม่กล้ามองเขาตรงๆนี่แหละ มันรู้สึกร้อนวูบๆแปลกๆ
เมื่อผมเช็ดตัวให้เขาเสร็จห้านาทีต่อมานางพยาบาลสองคนก็เข้ามาทำแผลให้ใหม่ ผมจึงลงไปเซเว่นด้านล่างเพื่อซื้อนมและน้ำผลไม้ ติดขนมปังสอดไส้มาด้วยสามสี่ห่อ เผื่อหิว
กลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง ก็ไม่มีใครอยู่ในห้องแล้วนอกจากหมีป่วยที่ซีกขวาของร่างกายมีผ้าก๊อซสีขาวอันใหม่แปะไว้ทั้งแถบ
เขาหลับอยู่...
ผมยกเก้าอี้อย่างระวังไม่ให้เกิดเสียง นั่งลงข้างเตียงพลางจ้องมองใบหน้าคมดุ มือวางแนบลงบนศีรษะใช้นิ้วโป้งเกลี่ยหน้าผากเขาอย่างอ่อนโยน
ไม่เป็นไร...มันไม่สำคัญแล้วว่าเขาจะรักผมมั้ย ผมรักเขาข้างเดียวก็ได้ ถึงจะเจ็บบ้างแต่มันเทียบไม่ได้เลยเมื่อไม่มีเขาอยู่
ผมจะไม่สร้างเกราะให้ตัวเองโดยการผลักไสเขาให้ไปเจอโลกอันโหดร้ายเพียงลำพังอีกแล้ว
เส้นมากไปเริ่มอืดท้อง ตอนหน้าคงต้องหาผลไม้เบาท้องทานสักหน่อยเนอะ
สงสารนายหมาตูบ ชีวิตยิ่งกว่าดาวพระศุกร์
ขอบคุณ คุณ hembetaro เจ้าเดิมเจ้าเก่าที่ช่วยแก้คำผิดให้ค่ะ
สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกกำลังใจค่า อ่านทุกเม้นเลยน้าาา