----max_ang : ชื่นชม
----nekko มอร์นิ่ง
----tuckky เช้าวันจันทร์ อรุณสวัสดิ์ ไปเที่ยวภูกัน^0^!!!

***************************************
Jira's Jira
ตอน 44 LOST!
คนของผม หาย!!!
จิระของผมหายตัวไปจากบ้าน
หายไปจากที่ๆ ผมเคยมีเขาอยู่
เป็นห่าอะไรวะ สังเกตเห็นร่างเล็กนิ่งอึ้งหน้าซีดไม่พูดจาตั้งแต่ฟังเฉลยความลับของกายที่โรงแรมโน่นแล้ว
ไอ้กายก็ตัวซวยแบบไม่ได้ตั้งใจเสียด้วย สอบเสร็จเมื่อหลายวันก่อนดันโพล่งกับผมว่าอยากลองเด็กผู้ชาย
‘ช่วยกูหน่อยเจฟฟรี่ อยากรู้ใจตัวเอง’
อยากรู้ใจตัวเองก็หาเองสิ แรกได้ยินผมปฏิเสธ ดึงกายให้เปลี่ยนใจกลับไปคิดใหม่ หลวมตัวแล้วกลับตัวกลับใจยากอาจเป็นตราบาปแสนเลวร้ายติดไปชั่วชีวิต
กายไม่ใช่คนยืนหยัดอยู่กับความจริงอันบิดเบี้ยวเกินปกติชนคนธรรมดาเช่นนี้ได้ แต่เพื่อนดึงดันเอาจริง
‘นะเจฟฟรี่ ครั้งนี้กูเอาจริง’ ขึ้นกูมึงเสียด้วย
‘ถือว่าเมื่อกี้กูไม่ได้ยิน’ ผมตัดบทนิ่มๆ
‘ขอร้องล่ะเพื่อน อยากรู้จริงๆ ว่าจะนั่นกับผู้ชายได้ไหม’
‘ถ้าเอาจริงต้องให้เหยี่ยวรู้’ แสร้งกุข้อต่อรองอีกข้อ กายรีบพยักหน้าตกลงเด็ดเดี่ยวผมถึงบอกเหยี่ยว เพื่อนก็เฮฮาตามประสา
‘จะเอาแล้วเหรอ จัดเลยซิอย่าช้า’ เหยี่ยวยุส่ง do it now
‘ห่า เพื่อนมึงมีงานออกสื่อ บ้านมันครอบครัวมันอีก’
‘มันตัดสินใจแล้วชัวร์ๆ นั่นแหละเจฟฟรี่ ไม่งั้นไม่มาหามึงหรอก เคารพการตัดสินของเพื่อนหน่อยซิวะ’
‘นั่นล่ะที่กูไม่ชอบ’ ผมพูดตรงๆ I don’t like it
‘เอาน่า กายมันคงอยากรู้ตามประสาฮอร์โมนว้าวุ่น อยู่กับเราเยอะเลยติดเชื้อ ขำๆ ชิลๆ เพื่อน’
‘เหี้ย’ ผมด่าเหยี่ยวพูดเล่นเป็นการ์ตูน hormones osmosis
...
จำใจติดต่อเด็กขายที่เคยรู้จัก เหยี่ยวดูเรื่องสถานที่ สรุปวันนั้นกายไม่ได้แตะต้องเด็กเลยแม้แต่น้อย
จบประเด็นคาใจของกายไปเสียที มันคงรู้ตัวเองแล้วว่าแตะต้องเพศเดียวกันไม่ได้ แค่จะจูบ จะแกะกระดุมสื้อน้องเด็กขายยังฟ้องว่ากายปัดป้องปฏิเสธไม่ยอมท่าเดียว สุดท้ายจึงลงเอยด้วยการให้น้องเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ (เกี่ยวกับเกย์) ฟังฆ่าเวลาก่อนลงมาเจอเรา...เจอจิระของผม
เหยี่ยวแม่ง...ตัวเสือกปูดเรื่องแดง
ผมคิดเองเออเองว่าเขาน่าจะรับได้ แต่เห็นสีหน้าของร่างเล็กนาทีนั้นถึงรู้ว่า...กูคิดผิด
ซวยซ้ำซวยซ้อนโดยไม่ตั้งใจ เด็กผู้หญิงน้องนางแบบที่ถ่ายด้วยกันทำพิษ หญิงสาวแสดงท่าทีโจ่งแจ้งจะล่าแต้มผมตั้งแต่ต้น ทว่าผมกลับครุ่นคิดกังวลไม่หยุด ลอบมองสังเกตท่าทีจิระอีกคนบ่อยครั้งจนเกิดเรื่อง
คราบแดงเต็มแก้มกูเลยสัด!!!
...
ผมกดโทรหาทันทีที่เห็นเขาขยับไปจากจุดที่ยืนด้านหลังสตูดิโอ ไม่สนน้องผู้หญิงล้มกลิ้งโวยวายอยู่กลางฉาก
“อยู่ไหน?”
(“หิว...กลับบ้านล่ะ”) /ติ๊ด!
“เดี๋ยว...ฟู่...!”
เป่าปากพร้อมยั้งเท้าไม่ก้าวตาม หยุดให้ช่างแต่งหน้ากับสตาฟยุ่มย่ามจัดการธุระบนใบหน้า
เสียงตอบรับห้วนกระชากแถมตัดสายไม่ฟังกันเลย คิดในทางที่ดี อย่างน้อยก็รับสายล่ะวะ กระทั่ง 3 ทุ่มกว่างานเสร็จ กูเกือบโยนระเบิดฆ่าทีมงานตายยกกอง รีบเร่งกลับถึงบ้านเราหากไม่พบร่างเด็กดื้ออย่างใจหวัง
เด็กน้อยหายไปไหน???
...
....
“น้าจุ๋ย โจ๊กโทรหาบ้างไหมครับ?” โทรตามสถานที่ๆ คาดว่าจะไป
(“ไม่นะเจฟฟรี่ ว่าจะถามอยู่ ปิดเทอมไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องใกล้ๆ แค่นี้ แล้วเรียนเสริมพิเศษถ่ายรูปอะไรนั่นเรียบร้อยหรือยังล่ะ บอกเจ้าโจ๊กกลับมานะ จัดห้องไว้ให้ ตาบ่นคิดถึงหลานใหญ่แล้ว”) น้าผู้หญิงพูดยาว
“ยังครับ” แสดงว่าไม่ส่งข่าวถึงบ้านจริงๆ “เขาเสร็จเมื่อไหร่ผมจะรีบพากลับ”
(“ดี ตาบ่นถึงทุกวันจนหูชา เฮียก็อยู่นี่แหละ คอยแต่ปากหนักไม่พูด”)
“อ้อ ครับ”
(“นึกว่ายังสอบอยู่เลยไม่ได้โทรตามเฉยๆ บอกเลยว่าเจ๊สั่งเจ้าโจ๊กรู้อยู่หรอก นะเจฟฟรี่นะ”)
“ครับ ไว้ผมจะบอกเขาให้” ยุติการสนทนาพร้อมบอกตัวเอง “...ซวยล่ะ”
ผมโทรออกทุกครั้งที่ว่าง เปลี่ยนชุดหรือรอเซ็ตฉากก็โทรหาเกือบ 20 ครั้งแต่ไม่รับสายเกิดอะไรขึ้น ลองคิดดีๆ จิระของผมจะอยู่ที่ไหนได้อีก
...
“เหยี่ยว” ไล่บี้เพื่อนเป็นรายต่อไป “I can’t find my Jude!”
(“What!?”)
“โจ๊ก” ผมร้อนรนจนหลุดชื่อจริงไม่ใช้นิคเนมรหัส
“Yes, I know, but are you sure?” หายไปจริงหรือเหยี่ยวถามเหมือนซ้ำเติม
“YA!” ถ้าเพื่อนอยู่ใกล้จะตั๊นท์หน้ามัน
เหยี่ยวช่วยโทรตามเองอีกสายและจะมาหาผมที่บ้านด้วย ทว่าผมร้อนใจเดินวนนั่งไม่ติด บอกไปเจอกันที่ห้างใหญ่แถวบ้านเลยดีกว่า ตัวแสบของผมอาจเตร่อยู่แถวนั้นก็ได้
...
....
ในห้าง...
ร้านประจำที่เขาชอบไม่มี ซ้ำไม่รับสายผมและเหยี่ยวเลยแม้แต่ครั้งเดียว บรรลัยล่ะงานนี้
“ไม่รับสายกูเลยห่า เป็นอะไรของมันวะ อ้าวๆ ปิดเครื่องอีกเชี่ย F*uckin sh*t!” เหยี่ยวสบถวอดวาย
ฉุกคิดขึ้นได้ก็สายเกิน ระบบจีพีเอสติดตามตำแหน่งจากตัวเครื่องก็มีแต่กูลืมนึกถึง
“โว้ย!” ผมทุบผนังปึงปังระบายความคลั่ง
ซมซานกลับบ้านทำอะไรไม่ถูก โทรออกเป็นล้านครั้งติดต่อไม่ได้ผมก็ฝืนกดทั้งคืน จะแจ้งความแต่เหยี่ยวใช้วิธีให้นักสืบเอกชนช่วยตามหาแทน
นั่งถ่างตารอจนรุ่งเช้าเขาก็ยังไม่กลับมา เห็นดวงอาทิตย์กำลังฉายแสงสีทองโผล่พ้นขอบฟ้าแล้วปวดใจฉิบหาย แม่ง...งานอดิเรกของใครทำไมไม่มารับผิดชอบ
จิระตัวเล็กถ่ายรูปพระอาทิตย์ยามรุ่งอรุณก่อนหันมาเก็บภาพเซ่อนอนของผม อริยาบทย่ำแย่ช่วงเวลาตื่นมีเขาคนเดียวเท่านั้นที่เห็น
...
....
“นอนบ้างยังเจฟฟรี่...ฮ้าว” เหยี่ยวงัวเงียออกจากห้องนอนแขกมาทักผมที่กองเป็นซากบื้อใบ้อยู่บนโซฟา
เพื่อนอยู่ด้วยตั้งแต่เมื่อคืน เดินบิดขี้เกียจพลางสอดส่ายสายตามองหา ไม่เห็นใครนอกจากเราและเจ้าสองตัวที่นอนเป็นก้อนๆ ที่เท้าผมแค่นั้นก็เป็นฝ่ายถอนหายใจบ้าง
(“หงิงๆ”) เสียงลูกสุนัขอ้อนเล่นกับเหยี่ยว
“ไงทองดีพ่อมึงกลับมายัง ไปไหนของมันบอกไว้เปล่า แล้วทีวีไม่มีเสียง เสียเหรอ”
เหยี่ยวพึมพำคว้ารีโมทจะเปิดเสียงทีวีแต่ผมฉวยมากด MUTE ไว้คงเดิม เหยี่ยวเจอผมวีนใส่อย่างอึ้งๆ ก่อนส่ายหน้าไม่สนใจเดินเข้าครัวกุกกักทำอะไรของมันไปตามเรื่อง
“กินซะ อาบน้ำแต่งตัวจะได้ออกไปหาพี่จากัวร์”
เหยี่ยววางขนมปังปิ้ง แยม เนยแข็ง เนยถั่ว นม สารพัดอาหารเช้าบนโต๊ะเล็กหน้าทีวีนี่เอง
บ้าเอ๊ย! คนของผมชอบขนมปังปิ้งทาเนย อีกชิ้นจะทาแยมหรือราดน้ำผึ้งกินประกบกัน
‘ก็กูชอบ เร็วดีออก กินคำเดียวไม่เสียเวลา’
อ้าปากกว้างแหงนหน้าคอตั้งบ่ากัดแซนวิชคำโตๆ เคี้ยวตุ้ยๆ คับปากแบบเด็กทำนิสัยเสียบนโต๊ะอาหารแกล้งผม ซนแสบเขี้ยวจนต้องยีหัวเกรียนเล่นแต่เช้า
...ผมสดชื่นมีชีวิตชีวาเพราะเขา
...มีพลังทำสิ่งต่างๆ ได้เพราะเขา
...อยากลุกขึ้นในเช้าวันใหม่ทุกๆ วันเพื่อเขา
...อยากเป็นพ่อมดบันดาลสิ่งต่างๆ ก็เพื่อจะมอบให้เขาคนเดียว
...ยิ้มร่าเริงแจ่มใสจากใบหน้านั้นคือรางวัล
...
....
โชว์รูมรถยนต์หรูแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร...
“ไงเหยี่ยว เจฟฟรี่ มาแต่เช้า!”
“สวัสดีครับ พี่จากัวร์บินมาเองเหรอ!”
“แน่นอน เพิ่งถึงเมื่อคืน”
“โอ้โห น่าปลื้มมากนะนี่”
“เข้ามาๆ ของเหยี่ยวเรียบร้อยแล้วนี่กุญแจทดลองขับได้เลย ส่วนของเจฟฟรี่รอสัก 10-11 โมงนะ พี่ให้ช่างเซ็ตให้อยู่ เที่ยงได้ถอยออกไปแน่” พี่จากัวร์หนุ่มหล่อเหลาร่างสูงใหญ่เอ่ยทักทาย
นั่นเป็นการเสวนาชัดเจนที่สุดเท่าที่หัวสมองบันทึกได้ เหยี่ยวเล่าในภายหลัง...ผมพูดว่า “ครับ” กับพี่จากัวร์แค่คำเดียว จากนั้นนั่งแซ่วไร้อารมณ์ไม่ใส่ใจสิ่งรอบกายใดๆ รอจนได้รถยนต์คันใหม่เอี่ยมถึงขับบึ่งไปหาน้าจอมกับน้าจุ๋ยที่บ้านเก่า
...
แต่...
“อ้าว โจ๊กล่ะเจฟฟรี่ ไม่มาด้วยกันเหรอ?” น้าจอมทัก
เหี้ย!!! กูอยากเลี้ยวกลับบัดเดี๋ยวนี้เลย กำหมัดซ่อนภายใต้กระเป๋ากางเกงยีนส์ไม่ต่อยปากญาติโกของเขาตั้งนานสองนาน
“ตายแล้ว! ออดี้กับลัมโบร์กินี เจ๊เพิ่งได้เห็นเป็นบุญตาใกล้ๆ ก็วันนี้นี่ล่ะ ว้ายๆ สวยจัง แพงมั้ยนี่ กี่ล้านล่ะ”
“คุณน้า คุณตาสวัสดีครับ” เหยี่ยวเข้าแทรกพอดี
“ไหว้พระเถอะหลาน รถใหม่เหรอ เจ้าโจ๊กล่ะอยู่ไหน มาด้วยกันหรือเปล่า?” ตาตอกย้ำเลือดซิบ
“เป็นไงมาไงทำไมสองหนุ่มนี่ถึงมีรถป้ายแดงมาเฉี่ยวร้านเจ๊ได้ล่ะ”
“โจ๊กล่ะครับ ไหนมาจะมารอเจอที่นี่ ยังเรียนไม่เสร็จเหรอ?” เหยี่ยวแสร้งยิงคำถามนำร่องหน้าตายจนผมทึ่ง
“จะถามอยู่ มันทำไมไม่รู้จักโทรมาเลยเจ้าเด็กคนนี้ เมื่อคืนเจฟฟรี่โทรมาเฮียกับเจ๊ก็นั่งรอทั้งคืน ยังนึกว่าจะได้กลับมาล่ะ”
“คงเรียนอยู่นั่นล่ะครับ ผมกับเจฟฟรี่แยกไปเอารถก่อนเลยมาที่นี่กะจะเซอร์ไพรส์ก่อน โจ๊กยังไม่รู้เรื่อง”
“อ๋อเข้าใจแล้ว เจ้าโจ๊กติดเรียนถ่ายรูปอยู่นี่เอง เดี๋ยวเจ๊ช่วยอำ ปะ เข้าบ้านกินขนมกันก่อน” น้าจุ๋ยเข้าใจผิดโกหกสีขาวของเหยี่ยวเต็มเปา
“ฟู่...” ผมเป่าปากโล่งเพื่อนช่วยชีวิต ภายในกลับมืดมนยิ่งกว่าเดิม จิระของผมไม่ได้มาที่ไหน
บัดซบเอ๊ย!!! อยู่ที่ไหนกันเจ้าเด็กดื้อ
เหยี่ยวกลัวผมแหกทางด่วนจึงขับตามจี้ตูดกันมาติดๆ เพื่อนปากเก่งขอตาช่วยเจิมรถให้เพื่อเป็นศิริมงคล รถคันใหม่ของเราทั้งคู่จึงดึงความสนใจไปจากใบหน้าเคร่งเครียดของผมหมดสิ้น
นึกอีกทีก็น่าขอบใจสัตว์ปีกของเขาอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่มีเพื่อนตามประกบผมคงอาละวาดเหยียบคันเร่งออดี้สีส้มพุ่งเข้าพังร้านมอเตอร์ไซค์น้าจุ๋ยราบเป็นหน้ากลองไปแล้ว
...
แค่ 10 นาที ตาแต้มแป้งเสร็จผมตีนผีเหาะกลับบ้านตัวเองทันควันไม่รอ บอกจะตีรถกลับมาตามหาจิระของผม
ทั้งบ่ายผมขับรถตามหาเขารอบเมือง
เข้าบ้านตี 2 กว่า นอกจากเจสเตอร์ ทองดียังมีเหยี่ยวและกายเพิ่มขึ้นมาอีกคน
กายหรือ...มึงมาเหยียบบ้านกูทำไม???
“เป็นยังไงบ้างเจฟฟรี่ เจอโจ๊กมั้ย?” กายถามหน้าตื่น
“...” ผมไม่เห็นกายอยู่ในสายตา พยักหน้ากดดันไปที่เหยี่ยวเงียบๆ
“อะไร ทำไม อ๋อแจ้งความไม่ต้องหรอก กูให้พวกคุณอารักษ์ออกตามอยู่ ลูกน้องพี่พงศ์ช่วยด้วย พลิกกรุงเทพหายังไงก็เจอ”
“แล้ว?” ผมหลุดปากถามเพราะเหลืออด
“แหะๆ ยังจ้า” เหยี่ยวเจี๋ยมเจี้ยม
ไอ้จ๊ะจ๋าในประโยคนี่ก็อีก สัตว์นรกเอ๊ย!!! เพื่อนใช้ตอบโต้กับคนของผมจนชินหู แต่กูไม่ชินโว้ย
(((“ซูมมมมมมมมมมมมมมม”)))
ผมกดรีโมทเร่งเสียงทีวีจนสุดกระแทกหู
กูไม่อยากรู้
ไม่อยากฟัง
ไม่อยากได้ยินชื่อนี้
(ปังๆๆๆ!)
ดิ่งเข้าครัว เตะบานเปิดตู้โครมคราม ดึงแพ็กเบียร์ออกมาทุบทำลายข้าวของ สิ่งที่เขาชอบทั้งนั้น ตุนไว้ตั้งเยอะแต่เสือกทิ้งกู แมวไม่รักดีหายหัวไปไหนอยากรู้นัก
“เชี่ยเจฟฟรี่! กูให้คนออกตามอยู่ ใจเย็นซิวะ!”
“มันยังไม่ครบ 24 ชั่วโมงเลยเจฟฟรี่!”
“นรก! ครบตั้งแต่ 6 โมงเย็นโน่นแล้ว มึงไปตามตำรวจมานี่เลยกาย ส่วนมึงเหยี่ยว ไม่เจอไม่ต้องมาพูดกับกู!”
“คิดว่ากูไม่เดือดร้อนหรือไง โจ๊กมันเพื่อนกูเหมือนกันนะเว้ย!”
“สัดเอ๊ย! อย่าพูดชื่อเน้!”
(ตูมมมมมมมม!)
ปากระป๋องปังแตกคาผนัง กลิ่นแอลกอฮอลคลุ้งแตะจมูก
“โว้ย! เบาเสียงหน่อย หนวกหู!” กายตะโกนจากห้องนั่งเล่น กระชากปลั๊กทีวีออกทั้งยวง บ้านเงียบกริบราวป่าช้า
ทำไมวะ ทำไมเป็นแบบนี้
ถึงคราวฟ้าเล่นตลกกับชีวิตกูหรือไร
(“เปรี้ยง! ปัง!”)
ผมเตะต่อยกระจกประตูบานเลื่อนแตก
“เฮ้ยๆๆๆ เจฟฟรี่!”
“เจฟฟรี่!”
เหยี่ยวกับกายกระโจนเข้าสกัดห้ามแต่ผมสะบัดหนีไปกวาดแพ็กเบียร์ ขวดเหล้าทั้งหลายออกมาเปิดกรอกปากตัวเองพรวดๆ
“มึงมันบ้ารู้ตัวมั้ยไอ้ห่า!”
“อาการหนักกว่าตอนเรียนจบอีกว่ะ”
“นั่นซิ กูชักสงสัยแล้วนะว่าใช่คนเดียวกันรึเปล่า โอ๊ย!” / (“ตุบ!”)
“ฮึ่ม...” แย๊บหมัดตรงใส่ท้องพร้อมชี้หน้า ไม่หุบปากมึงเจอตีนกูเหยี่ยว
ใช่ ผมจบมัธยมพร้อมอกหัก 1000 ท่อนกับคำว่า...
‘คงไม่ใช่กูหรอกเจฟ’
เปลี่ยนแผนจะย้ายกลับบ้านเก่า เมาหัวทิ่มไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่บ้านเหยี่ยวรอไฟล์ทบินไปอังกฤษ แต่แม่งหัวเกรียนตัวไหนบังอาจกราฟิตี้ห้องใต้หลังคาของกู พ่นคำว่า ‘JIRA’ เต็มผนัง เสื้อผ้าในนั้นโดนเมจิกเขียนชื่อทุกตัว แถมโจรกระจอกยังกล้าขโมยเสื้อบาสเกตบอล ‘JEFFERSON’ เบอร์ 13 กลับมาที่นี่อีก
เจ้าตัวแสบ...รูดตัวลงกับผนังหมดแรง บีบขมับกดหนังตาปิดกั้นไม่ให้น้ำไหลออกจากหน่วยตา
“What the f*ck...” ผมทำผิดอะไร
“I am here...” เหยี่ยวกล่อมให้ผมสงบ
“Easy...” กายส่งกำลังใจ
เราเงียบเสียง เพื่อนทรุดตัวนั่งดวลน้ำเมากับพื้นครัวเละเทอะตรงด้วยกัน...ก่อนผมจะน็อกไปอย่างไม่รู้ตัว
...
....
วันที่ 2 ผมกับรถใหม่ตะลอนทั่วกรุงเทพมหานคร ร่อนไปเรื่อยเปื่อย ดูทุกที่ๆ ที่คิดว่าจะเจอเขา ท้ายสุดผมไปนั่งพิงรถถอนหายใจทิ้งกับจุดแรกที่เราเคยพบกัน
รูปปั้นการ์เดี้ยนตั้งตระหง่าน เทพผู้้พิทักษ์ในโรงเรียนเก่ากับต้นไฮเดรนเยีย ดอกไม้ในสวนแย้มบานบ้างแค่พอแซมต้นเขียว โทรศัพท์ยังปิดตายติดต่อไม่ได้เหมือนเดิม
เกือบ 70 ชั่วโมงแล้วที่ผมกินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่มีสมาธิกังวลไปหมด กลัวจนใจสั่น ความรักทำให้คนเป็นบ้า เขาจะรู้ไหมว่ากำลังฆ่าผมตายทั้งเป็นอยู่ตอนนี้
“Hey! man, see me?” เหยี่ยวดีดนิ้วเปาะๆ เรียกสติตรงหน้า
“Stop it.” ผมเพิ่งพูดได้
“กินอะไรบ้างเพื่อน กายมันออกไปซื้อโจ๊ก เอ่อ...ข้าวมาฝาก” eat something เหยี่ยวดึงสติผมในเช้าวันใหม่ ไม่สิจะบ่ายสี่โมงอยู่แล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะหกโมงเย็นครบ 3 วันถ้วนที่หายไปจากสายตาผม
เขาจะได้กินหรือยัง นอนที่ไหน คิดถึงผมบ้างไหม
โว้ย!!! จะบ้าตาย
“เหยี่ยว ว่ามา?” ไล่บี้กับเหยี่ยวอีกหน
“กรุงเทพและปริมณฑลไร้วี่แวว ล่าสุดได้ภาพจากกล้องวงจรปิดเห็นออก BTS จตุจักร”
“ส่งไฟล์ให้กูเดี๋ยวนี้” send me now
มึงได้ข้อมูลตั้งนานแต่เพิ่งบอก อย่าให้ถึงที ถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้กูจะด่าเช็ดจำจนตาย
“ในเมล์ ดูเองเลย” เหยี่ยวยื่นมือถือให้
ใช่จริงๆ ด้วย เวลาในจอระบุ 20.22 น. ค่ำวันเดียวกับที่ถ่ายแบบวันเกิดเหตุ ผมกำโทรศัพท์แน่น ภาพลวงตาอยู่ในอุ้งมือ ร่างกายอบอุ่นนุ่มนิ่มของเขาเล่า
เหม่อมองจุดความร้อนสีแดงที่ซอกนิ้ว อยากเผาก้อนเนื้อในอกให้หายจากความทรมานเหลือเกิน
...
จิระของผมจะฉุนเฉียวขัดใจอย่างมาก ถ้าเห็นกับตาจะรี่มาดึงจากปาก แกล้งเอามวนไฟจี้เนื้อตัวผมเล่นด้วยซ้ำ
‘เผาปอดเล่นทำไม กูไม่ชอบ’
‘หึหึ...จุ๊บ’ ผมขำได้แกล้งเด็ก จุมพิตรสหวานฉ่ำกว่าปกติเสมอเวลามีรสฝื่นในโพรงปาก
‘เชี่ย...ขมอ่ะ’
‘อร่อยออก’
“ไอ้ขี้ยา”
“แล้วรักไหม จิระของผมรักผมมั้ยครับ” ถูปลายจมูกแหย่เด็กน้อย
“แหวะ...!”
แมวโวยวายแลบลิ้นออกเช็ดเหมือนเวลาคายของไม่ชอบ หากแต่โน้มคอผมลงไปจูบฟัด (แบบไม่เป็นประสา) เสียเอง ก่อนเสียงอ่อยๆ หน้าแดงกลบเกลื่อน
‘จะลบรสมึงยังไงเนี่ย ไม่อร่อยสัดๆ’
“จูบอ่อนหัดแบบนั้นไม่มีทาง ชาติหน้าตอนบ่ายๆ”
“เดี๊ยะเจอ ไอ้หมา”
“555”
ผมหัวเราะก่อนจูบเขาอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่ารสบุหรี่ในปากจางหาย ไม่อยากเลิกเพราะเหตุนี้
...
....
กายหิ้วของพะรุงพะรังโผล่เข้ามา...
“กินข้าวบ้างดีกว่าเจฟฟรี่ ควันลอยเต็มบ้านหมดแล้ว”
“แค่กๆ...”
ถึงเห็นก้นกรองพูนเต็มที่เขี่ย พื้นพรมกับบนโต๊ะอีกบานตะไท กูนั่งโต๊ะกินข้าวบ้านตัวเองอยู่นี่หว่า มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ
(“ฮ่องๆ”)
(“โฮ่งๆๆๆ หงิงๆ”)
สองตัวกระดิกหางดิกๆ เหยียบกรอบแกรบบนเศษซากปรักหักพังลั้ลลาไม่รู้เรื่อง ไร้ประตูกระจกกั้นสุนัขถึงวิ่งเข้าวิ่งออกสบายแฮ เสื้อเชิ้ตผมมีขนหมากับรอยตีนเพียบ
มิน่าถึงหลับยาว เมื่อคืนคงซุกตัวกูเปรมละสิไอ้พวกนี้
“ซื้อมาเยอะแยะวะกาย บ้านนี้ของกินเพียบ” เหยี่ยวว่า
“ลืม เอากระเป๋าอีกใบไปมีแต่บัตรเครดิต เลยซื้อให้รูดได้”
“เออก็ว่าอยู่ เห็นวางอยู่โซฟาโน่น โทรไปไม่รับ เซเว่นอยู่แค่นี้เลยไม่ตาม ได้อะไรมาบ้างหิว”
เหยี่ยวคุยเรื่อยเปื่อยกับกายแต่ผมคล้ายโดนไฟฟ้าช็อตประหนึ่งยักษ์แฟรงเก้นสไตน์คืนชีพ
“So fool...I am so f-o-o-l!” ควายชัดๆ เลยกู พึมพำตบหน้าผากด่าตัวเองพร้อมๆ กระแสไฟฟ้าชาร์ตเข้าร่างรุนแรง
“What's happen?” เหยี่ยว
“Credit card! 555” ผมหัวเราะเป็นคนบ้า วิ่งขึ้นชั้นบนเปิดคอมพิวเตอร์เข้าแฮกข้อมูลพัลวัน
“ยิปปี้! นั่นไงว่าแล้ว!” เหยี่ยวกระโดดโลดเต้นเทคมือกับผม
“Give me five! 555”
“สดๆ ร้อนๆ 18.02 น. 5000 บาท โจ๊กบ่จี๊จริงๆ นะเนี่ย” กายหัวเราะร่วน
“ที่ไหน?”
“ภูกระดึง!”
ผมใจเต้นหลุดนอกอก
*************
