ผมปล่อยควันบุหรี่ให้ลอยอ้อยอิ่งขึ้นไปบนฟ้า เหม่อมองออกไปไกลแทบสุดสายตา วันนี้เมฆครึ้ม เหมือนหมอกจะลงเลยด้วยซ้ำ แม้ว่ามันจะเป็นหน้าหนาว แต่การที่หมอกจะลงในเมืองกรุงกลางวันแสกๆแบบนี้ก็ดูจะเกินไปหน่อย ผมอนุมานไปเองว่ามันไม่ใช่หมอกหรอก แต่ฟ้าปิดจนแทบหมดแสงต่างหาก...
บุหรี่ของไอ้โฟล์ครสจัดจนแทบสำลัก แต่มันคงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว ผมดูดบุหรี่อึกใหญ่ ก่อนดีดก้นกรองทิ้ง นิ่งคิดอะไรมาพักใหญ่ๆแล้ว ไอ้โฟล์คก็ดูเหมือนจะยังไม่กลับมาเสียที...
โฟล์คไม่รู้เบื้องลึกระหว่างผมกับกฤตฎ์ จริงๆมันแทบไม่รู้อะไรด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่ผมกับมันรู้เช่นเดียวกันคือ เราคบกัน เป็นแฟนกัน มีเซ็กส์กัน นอนด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน แต่มันเป็นใคร นิสัยลึกๆเป็นยังไง ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร มีทัศนคติแบบไหน ผมไม่เคยรู้เลยสักนิด โฟล์คเข้ามาในชีวิตผมในวันที่เสียศูนย์ที่สุด เรียกว่าฉวยโอกาสก็ไม่ได้ เพราะเป็นผมที่เปิดโอกาสเอง
มันน่าแปลก ที่เมื่อผมให้มันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตแล้ว ก็เกิดคำถามที่ว่า ผมควรที่จะรักษาน้ำใจมันหรือเปล่า ผมไม่ได้ชอบมันสักหน่อย ทำไมต้องแคร์โฟล์คขนาดนั้นด้วย
แต่บางทีสายตาออดอ้อน หรือแม้กระทั่งความใส่ใจที่มันมีให้กับผม ทำให้ความตั้งใจที่จะใจร้ายนั้นหายไปราวกับไม่เคยมี โฟล์คเป็นคนดี ผมรู้...อย่างน้อยก็ดีในฐานะแฟนโง่ๆที่เราเป็นกันอยู่นี่ ความสัมพันธ์ไร้รากที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นนั้น ในตอนแรกที่ตกลงไป ผมแค่ต้องการประชดชีวิต หรืออาจจะเพียงแค่อยากทำอะไรบ้าๆบอๆ แต่ลึกๆเอง ก็เชื่อว่าคำว่าตกลง ที่ผมมีให้มัน มีความหมายที่มากไปกว่านั้น
และบางทีที่ผมกลัวนั้น อาจจะไม่ใช่กฤตฎ์ หรือการปฏิเสธซ้ำซากจากกฤตฎ์เมื่อรับสายของเขา แต่ที่ผมกลัวนั้น อาจจะกลัวใจตัวเอง กลัวทำร้ายโฟล์ค ทั้งๆที่ความจริง มันก็ไม่เคยบอกอย่างจริงจังสักครั้ง ว่าสิ่งที่ดำเนินมาหลายวันนี้ คืออะไรกันแน่...
ผมใช้เวลาอยู่ที่ระเบียงอีกสักพัก ก่อนตัดสินใจหันหลังกลับเข้าไปในห้อง ผมเลื่อนบานประตูออกอย่างเบามือ เห็นแผ่นหลังใหญ่ของใครบางคนที่ยืนหันหลังให้ผมตรงเคาน์เตอร์ครัว ผมค่อยๆสาวเท้าเดินไปหามัน เหมือนได้กลิ่นบุหรี่ลอยติดจมูก ไม่ชอบความรู้สึกของการได้กลิ่นเส้นยาบนง่ามนิ้วเลยสักนิด ผมไม่กล้าเดินข้ามเคาน์เตอร์ไปหามันที่ยืนหันหลังอยู่อีกฟากหนึ่ง ได้แต่ยืนเกาะขอบแผ่นหินอ่อนแน่น
“มี-มีอะไรกินบ้างวะ?”ผมรวบรวมความกล้าถามมันไป ไอ้โฟล์คหันกลับมา ใบหน้ามันปกติมากจนผมนึกโล่งใจ นึกว่ามันจะประสาทเสียงอแงไปเสียแล้ว...
“กูซื้อข้าวมันไก่มาให้ กินได้ป่ะ"
“ได้ดิ"
“ไปนั่งรอที่โต๊ะไป เดี๋ยวยกไปให้" มันบอก ผมพยักหน้ารับแกนๆ ก่อนเดินไปนั่งจุ้มปุ้กอยู่ที่โต๊ะกินข้าว สักพัก ไอ้โฟล์คก็ยกจานข้าวมาสองใบ ตามด้วยไก่สับหนึ่งจานและซุปร้อนๆหนึ่งถ้วย มันโยนน้ำจิ้มให้ผมพร้อมถ้วยใบเล็ก
“บริการตัวเองครับ มีน้ำจิ้มเผ็ดกับซีอิ๊วดำ น้ำจิ้มร้านนี้เขาอร่อยนะ" มันแนะนำ ผมเลยจัดการเทน้ำจิ้มสีข้นใส่ถ้วยใบเล็กตรงหน้า แล้วเริ่มต้นกินข้าวไปเงียบๆ
มันไม่ชวนคุยหรือกวนประสาทผมเหมือนที่ทำเป็นประจำ มันวางโทรศัพท์มือถือไว้ข้างตัว เลื่อนๆจิ้มๆอยู่แทบจะตลอดเวลา ผมมองมันสลับกับชะเง้อมองหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนหลุบตามองจานข้าวตัวเอง บรรยากาศโคตรอึดอัดเลยบนโต๊ะกินข้าว ผมถอนหายใจเบาๆ เขี่ยข้าวไปมา...
“โฟล์ค...” ผมลองเรียกมัน แต่สมาธิมันแน่วแน่กับมือถือมากจนไม่สนใจผม
“โฟล์ค" ผมเรียกอีกครั้ง ครั้งนี้มันสะดุ้งนิดหน่อย ก่อนเงยหน้ามองผม แล้วตักข้าวคำใหญ่เข้าปาก
“หืม? มีไรชา?” มันถามกลับ ผมมองหน้ามันนิ่งๆ
“กินข้าวดีๆสิวะ ยัดๆเดี๋ยวก็ติดคอ" ผมว่า มันพยักหน้าแล้วก็ยัดข้าวคำใหญ่เข้าปากเหมือนแม่งจะประชดเลย แล้วก็ก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ต่อ พอถึงจุดนี้ ผมก็เลยรู้ว่า จริงๆแล้วแม่งไม่ได้ประชดครับ แต่แม่งไม่ได้ฟังผมพูด
“โฟล์ค"
“......”
“โฟล์ค มึงจะสนใจกูหรือจะสนใจไอโฟนของมึง?” ผมกอดอกถามมัน นั่นทำให้มันชะงักแล้วมองหน้าผมอย่างตะลึงและไม่เข้าใจ ผมเองก็ไม่คิดหรอกว่าจะต้องมาถามคำถามเรียกร้องความสนใจแบบนี้ - ผมเบือนหน้าหนีมัน
“ชาว่าอะไรนะ?” มันถาม "โทษที พอดีกูคุยเรื่องกองตอนเย็นนี้แหละ เดี๋ยวเราต้องไปรับไอ้แยมก่อน เพื่อนกูไปรับไม่ได้ ติดกินข้าวกับแม่"
“ใคร? เตเหรอ?”
“เปล่า ไอ้ภัทรน่ะ" โฟล์คตอบ ปิดหน้าจอมือถือแต่โดยดี "เมื่อกี้ชาว่าไง?”
“ไม่มีอะไร"
“......”
“ชวนกูคุยหน่อย กูไม่อยากเป็นบ้า นั่งกินข้าวอยู่คนเดียว" ผมพึมพำเบาๆออกมาในที่สุด
ไอ้โฟล์คยิ้มออกมา มันยิ้มที่มุมปากน้อยๆแต่น่าดู แล้วเอื้อมมือมาขยี้ผมของผมเบาๆ ผมโยกหัวหลบมือมันพอเป็นพิธี ก่อนกำช้อนส้อมในมือแน่น
“มึงนี่น่ารักจังวะ" มันว่าแล้วยิ้มกว้าง
“ไม่ต้องชม กูรู้"
“หลงตัวเองว่ะชา"
“เออ"
“กูก็หลงมึงด้วย"
“สัด!” ผมด่าไปอย่างเต็มปากเต็มคำ ส่วนมันก็หัวเราะชอบใจ จนมันพอใจแล้ว มันก็ค่อยๆเอื้อมมือมาเกี่ยวมือของผมเอาไว้ แล้วแกว่งไปมาเบาๆ
“มึงคิดมากอะไรหรือเปล่า? ไอ้เชี่ยนั่นมันแกล้งอะไรมึงอีก?” โฟล์คถาม มันจ้องตาผมนิ่งๆ ผมส่ายหัว
“เปล่า"
“......”
“กินข้าวเหอะมึง" ผมเปลี่ยนเรื่อง
“ชา...”
“หืม?” ผมเงยหน้าขึ้นมองหน้ามันอีกครั้ง
“ถ้ามึงมีอะไรให้กูช่วยได้ มึงบอกกูนะ ถึงกูกับมึงแม่งจะเล่นเป็นเด็กปัญญาอ่อน คบกันโง่ๆสิบสี่วัน แต่กูก็เป็นแฟนมึง" มันเงียบไปสักพัก "ให้กูดูแลมึงแบบที่กูอยากทำเหอะ"
ผมจ้องหน้ามันนิ่ง แววตามันไม่มีการล้อเล่นอะไรเลยสักนิด มันพลิกมือผมไปมาเบาๆบนโต๊ะไม้สีอ่อน...
“อืม"
มื้อเช้าและกลางวันเราเสร็จสิ้นตอนบ่ายสองพอดี โฟล์คไล่ผมไปทำโมเดลต่อ เพราะคืนนี้คงไม่มีเวลาทำอะไรเพิ่มเติมแน่ๆ เนื่องจากกองเลิกดึกพอสมควร ผมเองก็ยังไม่ได้บอกมันเลยว่าพรุ่งนี้จะไปทำงานต่อที่สตูฯ แต่เดี๋ยวคงคุยกันได้ โฟล์คมันเอาแต่ใจแต่ก็มีเหตุผลพอสมควร
มันอาสาล้างจานเอง จริงๆห้องมันไม่ได้สกปรกเลยนะครับ รกไปหน่อยแต่ของที่จำเป็นก็ถูกจัดวางเป็นระเบียบ ทำให้ผมคิดได้ว่า จริงๆไอ้ที่แม่งดูรกๆเพราะมันจงใจของมันเอง มันทำงานบ้านเป็น ดูจากที่มันยืนล้างชามนั่นก็เป็นคำตอบได้ มันไม่ใช่ลูกคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อสักนิด แถมยังติดดินจนไม่น่าเชื่อ ตั้งแต่คบกันมาเนี่ย มันยังไม่เคยพาผมไปกินข้าวเกินจานละร้อยเลยครับ
แต่ถึงแม้ว่ามันจะไล่ให้ผมไปทำงานต่อ แต่ผมก็ไม่ได้ทำอย่างที่มันบอก ผมยังคงนั่งอยู่ที่เดิม จ้องมองแผ่นหลังของมันไปเงียบๆ เคยไหมครับ...เวลาใครทำดีกับเรามากๆ ปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆว่ามันหวั่นไหวจนอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆเพราะมันทั้งรู้สึกผิด ทั้งอึดอัดในใจ ที่ตอบรับก็ไม่ได้ ปฏิเสธก็ไม่อยาก
ผมไม่รู้จริงๆว่าโฟล์คมันต้องการอะไรกันแน่ มันแค่ต้องการเล่นสนุกหรืออย่างไร ถ้าแค่เล่นสนุก...ผมว่าตอนนี้ มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆอีกต่อไปแล้ว...
มันสะบัดจานใบสุดท้ายแล้ววางไว้บนที่คว่ำจาน พอเช็ดมือเสร็จมันก็หันหลังกลับมาพร้อมเลิกคิ้ว เมื่อเห็นว่าผมยังไม่ขยับตัวไปไหน
“ไม่ไปทำงานวะ?” มันถาม แล้วเอนตัวพิงขอบเคาน์เตอร์เอาไว้
“พักแปปนึง" ผมบอก
“นอนไหม?” มันถาม "ถ้าไงคืนนี้มึงไม่ต้องไปกับกูก็ได้...” มันว่าในที่สุด
“หมายถึงอะไรวะ”
“ก็หมายถึงว่า ไม่ต้องไปออกกองกับกูก็ได้ เดี๋ยวกูรีบไปรีบกลับ" มันอธิบาย ผมจ้องหน้ามันนิ่งๆแล้วส่ายหัว
“กูสัญญาไว้แล้ว"
“ไม่เป็นไรหรอก" มันไหวไหล่เบาๆ แล้วจ้องหน้าผมนิ่ง "จริงๆเอามึงตะลอนๆไปด้วยกูก็ดูเห็นแก่ตัวไป"
“ก็...ไม่หรอกมั้ง" ผมไหวไหล่ตอบ แล้วเบือนหน้าหนีที่มันจ้องมองมา "โฟล์ค...” ผมเรียกชื่อมันเบาๆ
“หืม อะไร?” มันถาม เลิกคิ้วนิดหน่อย
“มึงทำดีกับกูเยอะแยะขนาดนี้ทำไมวะ? มันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้นนะเว้ย"
“......”
“ถ้ามึงคิดว่ามันเป็นเรื่องสนุก กูว่าเรา-”
“มึงคิดว่าที่กูบอกชอบมึงเนี่ย กูล้อมึงเล่นเหรอวะ?” มันย้อนถามกลับเรียบๆ ทำเอาผมไปไม่ถูก
“กู-กูไม่รู้...”
“กูชอบมึงจริงๆนะน้ำชา กูไม่ได้ล้อเล่น แต่ถ้าถามว่าชอบขนาดไหน กูก็ตอบไม่ได้ มันไม่ได้เป็นความรู้สึกที่ถลำลึกขนาดนั้น" มันเบือนหน้าหนีผม ถูปลายจมูกนิดหน่อย "อย่างน้อยก็ตอนนี้"
“มันก็เป็นคำตอบที่ถูกต้องอยู่แล้วนี่ ว่ากูทำดีกับมึงทำไม?”
“กูไม่อยากอ้อมค้อม มันดูเสียเวลา พนันไปเลยว่าใช่หรือไม่ใช่ ถ้าเป็นนิยายคงแฮปปี้เอนดิ้ง แต่กูไม่คิดว่าชีวิตคนเราจะมีโอกาสผ่านเข้ามามากมายขนาดนั้น...เพราะงั้น...”
“กูเลยพยายามที่จะไม่ทิ้งโอกาสอะไรก็ตามที่ผ่านเข้ามาในชีวิต"
“กูรู้สึกว่ากูเสียมันไปไม่ได้"
มันจ้องหน้าผมเงียบๆ ผมแทบไม่กล้าถามอะไรออกไป...
“แล้ว-แล้วมึงคิดว่า...มันคุ้มค่าเหรอวะ ที่มาเสี่ยงกับกูแบบนี้...” ผมเม้มปากแน่น เมื่อตกเป็นฝ่ายรอคอยคำตอบอีกครั้ง ทั้งๆที่จะไม่แคร์ก็ได้ แต่...ผมก็อยากจะฟังคำตอบจากปากมันอยู่ดี
“คุ้มไม่คุ้มไม่รู้...” มันตอบในที่สุด หลังจากมองหน้ากันอยู่นาน "แต่ตอนนี้กูมีความสุขนะน้ำชา" มันยิ้มอ่อนๆคล้ายกับตัดพ้อกันเบาๆ ผมได้แต่นิ่ง
มันไม่ถามว่าผมมีความสุขไหม มันอาจจะรู้ดีว่าผมไม่อยากตอบ ไม่มีคำตอบ หรือมันอาจจะไม่อยากฟังคำตอบของผมก็เป็นไปได้
“เอากาแฟไหม? เดี๋ยวกูชงให้" มันถาม โดยไม่รอคำตอบ มันก็หยิบแก้วมัคออกมาวางไว้บนเคาน์เตอร์ แล้วกดเครื่องทำน้ำร้อน ผมมองการกระทำมันเงียบๆ แล้วค่อยๆสาวเท้าเดินเข้าไปในมันในที่สุด
“มา กูช่วย" ผมบอก มันเขยิบที่ให้ผมยืนข้างๆมัน แล้วส่งกระปุกผงกาแฟให้ผม
“โฟล์ค"
ผมเรียกชื่อมัน
“อะไร?”
“กูไม่ได้รับโทรศัพท์กฤตฎ์นะ"ผมบอกออกไปในที่สุด มันจ้องหน้าผมนิ่งๆ มีแววตาประหลาดใจอยู่ในนั้น แล้วเงียบไปพักใหญ่
“อะไรนะ?”
มันถามซ้ำ ผมเม้มปากแน่น ยกมือขึ้นกำชายเสื้อมันแล้วเบือนหน้าหนี
“เมื่อกี้กูไม่ได้รับโทรศัพท์กฤตฎ์"
“ทำไม?”
“กูไม่รู้" ผมบอกมันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา "บางทีกูอาจจะไม่พร้อมที่จะคุย หรือกูก็ไม่อยากฟังคำแก้ตัวจากกฤตฎ์"
“......”
“หรือจริงๆแล้ว กูไม่อยากจะทำให้มึงเสียใจ...ทั้งๆที่ไม่รู้ว่ามึงจะเสียใจหรือเปล่าถ้ากูคุยกับเขา"
“......”
“แต่สำหรับกู...ถ้ามึงรับโทรศัพท์แฟนเก่า...”
“......”
“กูก็คง รู้สึกไม่ดี...นิดหน่อย...ล่ะมั้ง"
พอพูดถึงตรงนี้ ผมก็รู้สึกร้อนๆที่หัวตาขึ้นมาแบบไร้สาเหตุ ผมกำชายเสื้อมันแน่นขึ้น แล้วก้มหน้าหนี โฟล์คคงเห็นมือที่สั่นเทาของผม มันจึงค่อยๆเอื้อมมือมาแกะมือของผม แล้วจับมือของผมไว้แน่น ผมจมเข้าไปในอ้อมกอดของมันในวินาทีที่มันกระชากตัวผมเพียงแค่เบาๆเท่านั้น
ตอนนี้ผมรู้สึกว่า จริงๆแล้ว...อ้อมกอดของโฟล์ค มันอุ่นเหลือเกิน
tbc.
มาต่อแล้วค่ะ หลังจากแก้อยู่นาน แก้ตอนนี้ ถือว่าเป็นการแก้พล็อตต่อจากนี้ไปเยอะเลย แต่เมื่อเรื่องมันดำเนินมาแบบนี้ เราก็รู้สึกว่าเราชอบ โฟล์ค และ น้ำชา มากขึ้น
ตอนนี้ไม่มีปิดท้ายว่า 11วันก่อนตกหลุมรักนะจ๊ะ เพราะเนื้อหาต่อเนื่องไปถึงตอนต่อไปจ้า ตอนหน้าไปออกกองของผู้กำกับโฟล์คกัน
ส่วนใครที่กลัวว่า แยม หรือ ไอ จะมาสร้างความร้าวฉาน ก็กลัวกันไปนะจ๊ะ เพราะมีความร้าวฉานแน่ 5555
ล้อเล่นค่า ติดตามกันต่อเนอะๆๆๆๆ

ตอนนี้หมดสต็อคแล้วนะคะ ตอนที่5ก็รอหน่อยจ้า เพราะลงสลับกับล่ารักฯ และคงเน้นไปที่ล่ารักฯอย่างเดียวมากกว่าค่ะ
จะพยายามลงให้ได้อาทิตย์ละตอนนะคะ ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่แฟนเพจ ลิ้งค์ด้านล่างนี่เลย
เจอกันค่ะ
