
ให้ตายเถอะโรบิน...คึกจริงไรจริง

ทาสรัก....สมัครใจ....ตอนจบ
“ยี่หว๋า..ขี้กงยาหยี๋อ่าาา...หว๋าจายร้ายยยย”
“ช่วยม่ายด้ายยยย..
โคนโง่แบะหยี๋ย่อมเปนเหงื่อ
ของโคนชะหลาดแบะหว๋า...แบร่ๆ”
“ฮะ ฮะ ฮ่า เดกโง่
เปนเจื่อม่ายช่ายเปนเหงื่อซ้าหน่อย”
“เหงื่อ..”
“เจื่อ”
“เหงื่อๆๆๆๆๆ”
“เจื่อๆๆๆๆๆๆ”
“ตุ๊บๆ”
“นี่แน่ะ...อ้ายพี่โคนโง่...
เบาะว่าเหงื่อม่ายช่ายเจื่อ”
มือน้อยผิวขาวบางใสอมชมพูข้างหนึ่ง
ทุบลงมิเบานักที่ต้นแขนสีคล้ำของอีกคนที่โตกว่า
“แง๊ๆ...อ้ากกกก....ฮือออออ”
เสียงแผดร้องของคนหน้าคมเข้มที่ตัวโตกว่า
ดังขึ้นอยู่เป็นนิจคราพบเจอหน้ากัน
“อย่าขอรับคุณหลวง
ปล่อยให้พี่น้องตกลงกันตามลำพังเถิด
เราเฝ้ารอดูอยู่ห่างๆเยี่ยงนี้ จักได้รู้ว่า
เด็กๆจักแก้ปัญหาได้อย่างไรนะขอรับ”
หลวงจำเริญค้อนควักคนข้างกายอย่างมิเก็บงำความรู้สึก
พาลขวางหูขวางตาด้วยเป็นห่วงบุตรชายตัวจ้อย
“ทำเยี่ยงนั้นจักได้อย่างไรกันเล่าขุนลอยจ๋า
ยิหวาลูกข้าน่ะ บอบบางราวแก้วใส
จักให้เพิกเฉยละเลยได้เยี่ยงไรกัน
เกิดเจ้ายาหยีหมียักษ์มันรังแกน้อง
ข้าจักห้ามจักปรามทันได้ฤา”
หลวงจำเริญเอ่ยเสียงหวานไพเราะเสนาะหู
หากทว่าหน้านวลเนียนงามล้ำงอง้ำ
ด้วยเป็นห่วงเป็นใยคนตัวเล็กบอบบาง
“ฮะฮะ...คุณหลวงจำเริญขอรับ
ได้โปรดทอดสายตาแลมองพิจารณา
อย่างถ้วนถี่เสียก่อนเถิดขอรับ
ว่าผู้ใดจักเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ
โดนรังแกกันแน่ขอรับ"
“แงๆ...หว๋าจายร้ายยยย
หยี๋ม่ายร้ากกกแล้วววว ฮือๆ..”
เด็กชายตัวโตกว่าหลับหูหลับตา
แหกปากร้องไห้โดยมิมีน้ำตา
อีกหรี่ตาคมโตข้างหนึ่งขึ้นมาสังเกตการณ์
“โอ๋ๆๆๆ..ชู่วววว
อย่าเสียดางปายยยยเยยยาหยี๋
เด๋วโคนมาเหน โอ๋ๆๆๆ ม่ายย้องน้าาา”
เด็กชายตัวน้อยเบ้ปากบาง เสแสร้งปลอบใจพี่ชาย
หากมิด้วยจักกลัวความผิดถึงตัวแล้ว คงจักมิทำเยี่ยงนี้
“ฮือออๆๆๆๆ”
เสียงร้องเบาลงด้วยคงจักคอแห้ง
หากยังมิยอมหยุดเสียทีเดียว
ทำเสียงฮือๆราวนกทึดทือ
“ยาหยี๋จ๋าาา เงียบซ้าน้า
เงียบแล้วหว๋าจา.....”
คนตัวเล็กทำเสียงหวานเอาใจ
ทว่าภายใต้ผิวหน้าบางใสแลดวงตากลมโตนั้น
แฝงแววเจ้าเล่ห์แสนกล
“หว๋าจาอารายยยยอ่า อึกๆๆ”
คนตัวโตเงยหน้ามองแล้วยิ้มกริ่มอย่างดีใจ
ที่แผนร้ายโกหกพกลมของตนลุล่วง
หากยังเสแสร้งแกล้งสะอึกมิยอมหยุด
“หว๋าจาห้ายหอมแก้มงายยย..คริคริ”
คนตัวเล็กหัวเราะกิ๊กด้วยนึกขันสีหน้าของอีกคน
ที่กึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง แลดูบิดเบี้ยวแปลกประหลาด
“ม่ายอาวววว เอ่อ...อึกๆ”
คนตัวโตกลั้นยิ้มแก้มพองโตแทบปริ
จนเกือบลืมแสร้งสะอึก
“ฉองทีน้าาา ม่ายอาวก๊อม่ายต้องงงง”
คนตัวเล็กสะบัดหน้าแดงเรื่อหันหนีไปอีกทาง
“หว๋าจ๋าาา...”
คนตัวโตทำเสียงหวานออดอ้อน
แล้วโผกายใหญ่โตเกินวัยของตน
เข้ากอดรัดเอวบาง
“อารายยยย”
คนตัวเล็กก้มหน้างุดกับอกคนตรงหน้า
“จูจุ๊บบบบ ด้ายป่าวววว น้าๆๆๆ”
คนตัวโตยิ้มประจบจนตาหยี
“ม่ายด้ายยยย น่าเกียดดดด”
คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาทันควร
หน้างามงอง้ำ
“ม่ายน่าเกียดดดดซ้าหน่อย”
คนตัวโตมิละความพยายาม
“ฮึ่ยยย..น่าเกียดดดด”
คนตัวเล็กทำเสียงฮึดฮัด แล้วแย้ง
“ม่ายยยยน่าเกียดดดดจิงๆ
หยี๋เหนป้อขูนลอยจูจุ๊บบบป้อหลัวจามเรินบ่อยอ่า”
หลวงจำเริญตาเบิกกว้างแลอ้าปากบางค้างเติ่ง
ขุนลอยเอื้อมมือมากุมมือน้อย
แล้วหัวเราะอยู่ในลำคอ อย่างพอใจ
“จิงเหยอออ หรอกหว๋าป่าววว”
คนตัวเล็กทำสีหน้าครุ่นคิด แลขมวดคิ้วยุ่งเหยิง
“จิงงง หยี๋ม่ายโกโหกเดาะ”
คนตัวโตยืนยันเสียงหนักแน่น หน้าตาขึงขัง
“ก๊ะด้ายยย ทีเดวน้า”
คนตัวเล็กหยุดคิดเพียงนิด
แล้วยกนิ้วชี้น้อยข้างหนึ่งขึ้นมาชูให้คนตรงหน้าดู
“จ้า”
คนตัวโตหน้าบาน
ใช้มืออวบอูมข้างหนึ่งเชยคางน้อง
มิต้องสงกาดอกว่าจักจดจำมาจากผู้ใด
ปากหนาชุ่มไปด้วยน้ำลาย
ประกบลงไปบนปากน้อยสีอ่อน
“จ๊วบบบบบ...”
คนตัวเล็กหลับตาพริ้ม
ด้วยมิรู้ว่าควรทำตัวเยี่ยงไร
“จ๊วบๆๆๆๆ..จุ๊บๆ”
ปากหนาแตะลงบนปากบางรัวๆหลายครั้ง
แล้วในสองครั้งสุดท้ายแตะแผ่วเบาราวอาวรณ์
“แงๆ.....ฮือๆๆๆ.....แง”
คนตัวเล็กผลักอกคนตัวโตตรงหน้าออกไปสุดกำลัง
หากคนตรงหน้ากลับยังยืนอยู่นิ่งได้มิไหวติง
“หว๋ายยย หว๋าย้องทำมายยย ครายทำอารายตัว”
คนถามส่ายหน้าไปมา มิเข้าใจ
“แง...หยี๋ถ่มน้ำยายส่ายปะหว๋า...แงๆๆๆๆ”
เสียงหวานทั้งร้องแลตะเบ็งเสียงดังกังวาน
มือน้อยสองข้างขัดถูริมฝีปากด้วยรังเกียจ
“ชู่ววว ม่ายย้องน้าาา โคนฉวย”
คนตัวโตโผเข้าไปลูบหลังไหล่
“อึกๆ...”
หลวงจำเริญใช้นิ้วเรียวขยี้ดวงตา
ด้วยมิอยากจักเชื่อสายตาตนเอง
คนตัวเล็กเงียบเสียงลงทันควร
แม้นมีเสียงสะอื้นก็เพียงน้อย
“อึกๆ...คราย..ครายฉวย”
ดวงตากลมโต ขอบตาบวมแดงเรื่อเล็กน้อย
หากทอประกายวิบวับด้วยความหวัง
“ครายม่ายรุ ฉ้วยฉวย แต่ขี้แยชามัดอ่า”
คนตัวโตทำกอดอกแล้วยิ้มหวานตาเยิ้มใส่
“ครายน้าาา ขี้แหย ม่ายช่ายเค้าเดาะ”
คนตัวเล็กแสร้งทำท่าคิดหนัก
“ขี้แย..ม่ายช่าย..ขี้แหย”
“ขี้แหย”
“ม่ายช่าย”
“ขี้แหยๆๆๆๆๆ”
“ขี้แยๆๆๆๆๆๆ”
“ตุ๊บๆ...”
“แง๊ๆ...อ้ากกกก....ฮือออออ”
เสียงแผดร้องของคนหน้าคมเข้มที่ตัวโตกว่าดังขึ้นอีกครา
“โอ๋ๆๆๆ..ชู่วววว
อย่าเสียดางปายยยยเยยยาหยี๋
เด๋วโคนมาเหน โอ๋ๆๆๆ ม่ายย้องน้าาา”
คนตัวเล็กโผเข้าไปกอด
มือน้อยลูบแผ่นหลังปลอบโยน
วนไปเวียนมาอยู่เยี่ยงนี้แทบทุกคราที่มาเจอกัน
********************************************
มองย้อนกลับไปในเพลาเมื่อสามปีที่ผ่านพ้นมา
“ลูกแลลอยขอกราบขอบพระคุณ
ในความเมตตาของคุณพ่อแลคุณแม่ขอรับ”
บุรุษหนุ่มทั้งสองในเครื่องแบบขุนนาง
ก้มลงกราบแทบเท้า
พระยาศรีพิพัฒน์แลคุณหญิง
ที่ต่างก็ทำหน้าอิหลักอิเหลื่อ
อยู่บนยกพื้นหน้าโต๊ะตั่งตัวใหญ่กลางเรือน
คุณนายแฉล้มนั่งเหยียดขาพิงหมอนอิงใบใหญ่อยู่มิไกลนัก
โบกพัดในมือชราไปมา
นางมิได้ร้อนอันใด หากใช้ใบพัด
ปิดบังรอยยิ้มขันของตนเสียมากกว่า
“เออแฮะ นั่งเงียบเป็นเป่าสากเยื่องนี้
เพลาใดจักรู้ความกันเล่า
บ่าวไพร่ในที่นี้ก็ไม่มีเหลืออยู่สักผู้สักคน
พ่อกันลูกกันเปิดอกใจคุยกันเถิด
ย่าจักนั่งเป็นพยานรู้เห็นอยู่ที่ตรงนี้ล่ะ”
พระยาศรีพิพัฒน์หันมาสบสายตาภรรยา
ที่ส่งยิ้มมาเป็นขวัญกำลังใจสามี
“คุณย่าแฉล้มขอรับ”
พระยาศรีพิพัฒน์ยกมือไหว้หญิงชรา
ก่อนจักกล่าวต่อไปว่า
“กระผมเป็นหนี้ชีวิตไอ้...เอ่อเจ้าลอยก็จริงอยู่”
พระยาศรีพิพัฒน์ตะกุกตะกักเล็กน้อย
ด้วยยังมิชินกับการเรียกขานไอ้ลอยคนซื่อ
ขุนจำเริญแลไอ้ลอยลอบมองสบตากัน
แววตาของคนทั้งสองสั่นระริกปิดบังมิมิด
“หากกระผมจักยอมให้ลูกชายของกระผมครองคู่
อยู่กินกับไอ้...เอ้อเจ้าลอยแล้วไซร้
กระผมจักเอาหน้าไปไว้ที่ไหนได้เล่าขอรับ
ทั่วทั้งพระนครเป็นได้นินทากันสนุกปากขอรับ”
พระยาศรีพิพัฒน์กล่าวจบแล้วถอนหายใจยาว
“พระยาศรีพิพัฒน์แลคุณหญิง เจ้าทั้งสองจงฟังย่าให้ดี
ครั้นรับฟังแล้ว พวกเจ้าจักเห็นด้วยกันกับย่าฤาไม่
ก็มิต้องกังวลว่าย่าจักขุ่นเคืองอันใด
ในเมื่อสิทธิขาดในตัวลูก ย่อมเป็นของพ่อแม่โดยชอบธรรม
เจ้าจักให้ลูกสุข ลูกก็จักได้รับความสุขความเจริญ
หากเจ้าจักให้ลูกทุกข์ ลูกก็จำต้องทนทุกข์ต่อไป”
นางแฉล้มกล่าวช้าๆ หากฉะฉานยิ่งนัก
น้ำสียงที่เอ่ยท่วมท้นล้นไปด้วยเมตตาแลปรารถนาดี
“อันคำคนนั้นหากเจ้านำมาใส่ใจ
มันมิมีทางจบสิ้นดอก เรื่องเก่าไปเรื่องใหม่มา
วนเวียนกันอยู่เยี่ยงนี้
เรื่องภายในเรือนหากมิแพร่งพรายออกไป
มันก็จักอยู่เพียงภายในที่ของมัน
ใยจักต้องร้องแรกแหกกระเชอ ฤาสาวไส้ให้กากินเล่า”
พระยาศรีพิพัฒน์แลคุณหญิงนั่งนิ่งฟัง
แลไตร่ตรองคำสอนของนางแฉล้มอย่างเลื่อมใส
“แต่คุณย่าขอรับ....
คุณย่าจักให้กระผมแลคุณหญิง
ยินดีปรีดาไปกับลูกด้วยเยี่ยงนี้จักดีฤาขอรับ
ในเมื่อมันเป็นเรื่องวิตถารผิดแปลกธรรมชาติเยี่ยงนี้ขอรับ”
พระยาศรีพิพัฒน์นั้นโอนอ่อนไปมากโข
หากยังมิมั่นใจ
“ลูกเอ๋ยหลานเอ๋ย....”
ถึงเพลานี้นางแฉล้มกราดวาดสายตาไปแลดู
ลูกหลานตรงหน้า
หมายรวมถึงไอ้ลอยคนซื่อด้วยเฉกเช่นกัน
“ความรักมันมิเลือกดอกว่า
จักผ่านมาเพลาใด จักบังเกิดแก่ผู้ใด
หากทว่าเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว
เจ้าจักประคับประคองต่อไปเยี่ยงไรดี”
นางแฉล้มน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่มิมีผู้ใดเคยได้ยิน
ผู้ที่ได้รับฟังอยู่พากันขนลุกชันตามกันไปด้วย
“แล้วคุณย่าเห็นสมควรว่าจักทำเยี่ยงไรดีขอรับ
ด้วยตัวกระผมเพลานี้จนซึ่งปัญญาเสียแล้วขอรับ”
พระยาศรีพิพัฒน์กล่าวออกมาอย่างอ่อนแรง
“เจ้าจักให้ย่าชี้นำฤาไรกัน”
นางแฉล้มอกใจเต้นรัว
หากทว่าข่มกลั้นทำหน้านิ่ง
“ขอรับคุณย่า ได้โปรดเมตตาแลชี้ทางสว่าง
ให้กระผมด้วยเถิดขอรับ”
พระยาศรีพิพัฒน์ตกหลุมพราง
ของหญิงชราคราวแม่เสียแล้ว
*********************************************************
“เพลาใดเจ้าลอยมันได้รับราชการขั้นขุนนาง
ข้าจึงจักให้มันได้อยู่เคียงกันกับหลานข้าณ.เรือนแพ
ระหว่างนี้นั้น ให้เจ้าลอยไปพำนักพักอยู่ที่ย่านถนนตกกับข้าเสียก่อน”
ขุนจำเริญเงยหน้าขึ้นมามองนางแฉล้ม
แลอ้าปากจักทักท้วง
“ขุนจำเริญหลานย่าเอ๋ย
มิมีสิ่งใดบนผืนพิภพแห่งนี้ที่จักได้มาโดยง่ายดอก
ในการนี้ที่บิดาแลมารดาของเจ้าได้โอนอ่อนผ่อนตาม
ก็นับได้ว่ามากโขอยู่ สำหรับหัวอกผู้เป็นบุพการี
จึงเป็นนิมิตรหมายอันดีงามสำหรับเจ้าทั้งสองแล้ว
มิควรจักบ่ายเบี่ยงเกี่ยงงอนอันใด”
กาลต่อมาไอ้ลอยได้ติดตามนางแฉล้ม
ไปพักอาศัยอยู่ที่ย่านถนนตก
ขุนจำเริญมิเป็นอันกินอันนอนผ่ายผอม
เฝ้ารอแต่จักได้พบเจอไอ้ลอย
เพลามันมารับงานเสมียนตราชั่วคราวที่กระทรวง
นางแฉล้มอ่อนใจนัก
จึงออกปากชักชวนให้หลานชายมาพักผ่อนหย่อนใจ
แลพักค้างที่เรือนตนบ้างเป็นครั้งคราว
พระยาศรีพิพัฒน์แลคุณหญิงท่านแสร้งทำมิรู้ทัน
ขุนจำเริญใคร่อยากกลับเรือนเพลาใดก็มิปริปาก
ครั้นต่อมา
ไอ้ลอยสำเร็จลุล่วงจบการร่ำเรียนวิชากฎหมาย
นางแฉล้มอีกนั่นแหละ
ที่เคี่ยวเข็ญเจ้าพระยานิติธรรมบุตรชาย
คัดเลือกไอ้ลอยเข้ามาเป็นเสมียนตราหน้าห้อง
ผู้ที่หน้าบานระงับอาการดีใจเสียมิได้
มิพ้นขุนจำเริญ
หากต่อมาอีกราวครึ่งปี
ไอ้ลอยจึงได้เข้ารับราชการ
ด้วยตำแหน่งล่าสุด เป็น “ทนายลอย”
ถึงเพลานั้น
พระยาศรีพิพัฒน์แลคุณหญิง
จึงรับไอ้ลอยเข้ามาสู่เรือนตนอย่างเต็มภาคภูมิ
***********************************************
ข่าวมงคลอีกข่าวนั้น
ยิ่งใหญ่กว่าการรับเขยขวัญ
นั่นคือทารกน้อยเพศชายฝาแฝด
จากครรภ์คุณหนูแดง
ทารกน้อยทั้งสองยังมิทันรับขวัญ ตั้งชื่อ แลโกนผมไฟ
เจ็บไข้กันเป็นว่าเล่น มิหยุดหย่อน
มดหมอรักษาเท่าใดก็มิหายขาด
จนด้วยปัญญาแลหนทางจึงพากันไปกราบพระคุณเจ้าท่าน
พระอำพลท่านทำนายทายทักดวงชะตาเด็กน้อยทั้งสองว่า
“เกณฑ์ชะตาของคนทั้งคู่มิใช่พี่น้องกัน
ครั้นอาศัยครรภ์มารดามาด้วยกัน
คราออกมาสู่โลกภายนอก
จึงมิอาจอยู่ร่วมกันได้
จักจำต้องแยกแลยกคนหนึ่งคนใดให้เป็นลูกบุญธรรมผู้อื่น
แลผู้อื่นที่ว่านั้น.........
จักต้องเกิดจากครรภ์มารดาเดียวกันกับพ่อฤาแม่ของมัน”
“อีกประการหนึ่ง
ข้าจักให้ชื่อมันเป็นการแก้ดวงชะตาดังนี้"
"เจ้าทารกน้อย ตัวเล็กขาวบางคนนี้ ให้มันชื่อว่ายิหวา
ส่วนเจ้าตัวโตผมหยักผิวเข้มนี้ ให้มันชื่อยาหยี”
จักแยกยกเด็กคนหนึ่งคนใดให้ใครกันได้เล่า
หากมิใช่ขุนจำเริญ....
พี่ชายของคุณหนูแดงมารดาทารก
ด้วยคุณหนูสร้อยทองเธอยังเด็กเล็กนัก
ขุนจำเริญนั้นถูกชะตาต้องใจแฝดน้องนาม”ยิหวา”
จึงได้รับมาเป็นบุตรบุญธรรมร่วมกันกับ”ทนายลอย”
สองปีล่วงไป
ขุนจำเริญดำรงยศศักดิ์เป็น......”หลวงจำเริญ”
ส่วนทนายลอยนั้น
ก้าวรุดหน้าอย่างรวดเร็วด้วยความเพียร
จนได้รั้งยศศักดิ์เป็น.....”ขุนลอย”
หากย้อนไปในวันที่บรรดานายเงินทั้งสองตระกูล
มากราบกรานพระอำพลท่านนั้น
คราญาติโยมลาจาก กลับไปแล้ว
พระอำพลท่านยังนั่งนิ่งอยู่กับที่เป็นนาน
พลางรำพึงรำพันใจความว่า
“อนิจจา พระยาศรีพิพัฒน์เอ๋ย
ท่านจักมีบัณเฑาะว์อยู่ในปกครอง
ทั้งรุ่นลูกแลรุ่นหลานเชียวฤา”

*********************************************************
นายท่านขอรับ....
กระผมทิ้งท้ายเสียเยี่ยงนี้ ราวกับจักมีภาคต่อนะขอรับ คริคริ
ตอนหน้า "เดอะลาสวัน"
จักเข้ามาตอบเม้นท์ของนายท่าน
แลจักย้ายไปห้องจบนะขอรับ

ป.ล.
กระผมมิแน่ใจว่าจักปั่น(อร๊าย)..."รักจริง" ทันคืนนี้รึป่าว
หากมิทันขอลงเป็นวันรุ่งพรุ่งนี้นะขอรับ