
ทาสรัก....สมัครใจ....41
ขุนจำเริญ...
ยังคงนอนซุกกายบางนิ่งอยู่
ข้างกายกำยำของไอ้ลอยคนซื่อ
ที่เพลานี้แลดูผ่ายผอมลงไปมิใช่น้อย
มือน้อยข้างหนึ่ง
บรรจงแตะลงบนแผ่นอกหนาที่เคยซุกซบ
ไล้ปลายนิ้วเรียวแผ่วเบา
แตะต้องร่องรอยบาดแผลจากเปลวเพลิง
“ลอยจ๋า เจ้าเจ็บเจ้าปวดมากฤาไม่...ลอยของข้า
แผลเจ้าหลายแห่งตกสะเก็ด
จวนแห้งจวนหายเกือบหมดสิ้นแล้ว
หากรอยแผลเป็นนั้น
มันคงยังมิเลือนหายไปในเร็ววัน
มันตอกย้ำเตือนข้า ให้คิดคำนึงถึงบุญคุณของเจ้า
บุญคุณที่เจ้าแลกมาด้วยมิห่วงชีวิตตนเยี่ยงนี้
ลอยจักให้ข้าทำเยี่ยงไรกันหนอ
ลอยจึงจักตื่นมารับคำขอบคุณจากข้า”
เพลานี้รอยแผลที่หลงเหลือเด่นชัดสะดุดตาของไอ้ลอย
มีเพียงรอยแผลขนาดมิเล็กนักใต้ราวนมด้านซ้าย
ทอดยาวลงไปแลหายลับไปจากบั้นเอวใต้แพรเพลาะสีหวาน
นอกเหนือจากนั้น
เป็นเพียงรอยแผลเล็กๆที่รอวันจางหาย
“ลอยจ๋า....”
ขุนจำเริญยกตัวขึ้น
แลโน้มกายแบบบางลงเหนือตัวไอ้ลอย
ริมฝีปากบางแตะบางเบา
บริเวณรอยแผลทั้งใหญ่น้อยโดยมิรังเกียจ
หากอ่อนโยนแลทะนุถนอมยิ่งนัก
ราวจักกลัวเจ้าของร่างจักเจ็บปวด
สัมผัสที่ขุนจำเริญได้รับกลับมาเป็นเนื้อหนังของยอดรัก
กายนี้เคยให้ไออุ่นมาสม่ำเสมอจนคุ้นชิน
เพลานี้กลับแน่นิ่งมิอบอุ่นดังก่อนเก่า
“อืมมมม...”
ขุนจำเริญที่เพลานี้ปล่อยใจลอยไปกับความนึกคิด
ให้หยุดชะงักแลขนลุกซู่ขึ้นมา
คราได้ยินเสียงครางคุ้นหู
ขุนนางหนุ่มยกกายเงยหน้าหวาน
มามองดูคนเคียงข้างด้วยดีใจ
“ละ..ลอย...ลอยของข้า”
สองมือน้อยสั่นระริกคราสัมผัสกายไอ้ลอย
“ลืมตามามองข้าสิ พูดกับข้าสิลอย ลอย...”
อนิจจา...
แม้นพร่ำเพรียกเรียกไอ้ลอยอยู่เป็นนานสองนาน
ไอ้ลอยก็หาได้ตอบรับแต่อย่างใดไม่
นอนนิ่งอยู่เยี่ยงไร...
ก็ยังคงเป็นเยี่ยงนั้น มิมีอันใดแปรเปลี่ยน
“โธ่เอ๋ย ข้าคงจักหูแว่ว
ได้สดับยินเสียงครางของเจ้าไปเอง”
ขุนจำเริญส่ายหน้าน้อยๆด้วยผิดหวัง
รอยยิ้มหวานที่ฉาบฉายลงบนใบหน้านั้น
เพียงมิถึงอึดใจก็มลายหายไป
พร้อมกับนำพาความหวังหลุดลอยติดตามไปด้วย
มือน้อยข้างหนึ่ง
ลูบไล้ไปตามใบหน้าคมสันอย่างเลื่อนลอย
*******************************
บนฟูกนอนหนาบนเตียงไม้สลักลาย
ในห้องหับของเรือนแพริมน้ำ
ท่ามกลางความเงียบในเพลานั้น
มีเพียง....
เสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอจากขุนจำเริญแลไอ้ลอย
ขุนจำเริญนั้นดึกดื่นค่อนคืน
จึงได้ผลอยหลับคาอกหนาของไอ้ลอยคนซื่อ
หลับใหลไปพร้อมด้วยหยาดน้ำตา
ที่เนืองนองคงค้างอยู่บนใบหน้าหวาน
“ก๊อกๆ...ก๊อกๆ..”
“ขุนจำเริญเจ้าคะ ขุนจำเริญเจ้าขา”
เสียงร้องขานเรียกขุนจำเริญภายนอกห้องดังเล็ดลอดเข้ามา
ภายหลังเสียงเคาะบานประตูมิเบานักสองสามที
เสียงเรียกขานหน้าห้องหับ
ดังรบกวนการนิทราอันแสนสุข
เสียงลอยลมมากระทบโสตประสาทของขุนจำเริญ
ที่เพลานี้....
ทอดกายแน่งน้อยนอนระทวยแนบซบอกไอ้ลอยคนซื่อ
“มีอะไรกัน”
ร่างบางกระพริบเปลือกตาถี่ๆ
เพื่อปรับสายตาของตนให้รับกับแสงสว่าง
ที่เพลานี้สาดส่องสว่างจ้าไปทั่วห้อง
“ขุนจำเริญเจ้าคะ น้อมเองเจ้าค่ะ”
เสียงนางทาสคราวแม่นอกบานประตูห้องกล่าวตอบมา
“น้อมเองรึ”
ขุนจำเริญว่าแล้วก็รีบลุกขึ้นนั่ง
ขยับเสื้อผ้า ผมเผ้าให้เข้าที่
แล้วลุกยืน ก้าวเดินตรงมายังประตูห้อง
“น้อมมีอะไรกับข้าฤา
ใยมาเรียกข้าแต่เช้าเยี่ยงนี้”
สีหน้าอ่อนระโหยของขุนจำเริญนั้น
ทำให้นางน้อมสะท้อนในอก
“ขุนจำเริญเจ้าคะ
พระยาศรีพิพัฒน์บิดาท่านให้น้อมมาเรียนขุนจำเริญเจ้าค่ะ
ด้วยเพลานี้คุณนายแฉล้มแลหลวงอรรถ
ท่านมาเยี่ยมเยือนถึงเรือนใหญ่เจ้าค่ะ
ขุนจำเริญจักไปเรือนใหญ่เพื่อต้อนรับพวกท่าน
ฤาจักให้พวกท่านมาเยือนถึงเรือนแพเจ้าคะ
ด้วยคุณนายแฉล้มท่านใคร่อยากมาเยี่ยมดูอาการไอ้ลอยมันด้วยเจ้าค่ะ”
นางน้อมทรุดตัวลงนั่งนอบน้อม
แล้วเงยหน้ากล่าวรวดเดียวจนจบ
ขุนจำเริญนิ่งคิดเพียงครู่แล้วสั่งความ
“ข้าจักไปเรือนใหญ่เอง
น้อมจงรั้งรออยู่ด้านนอกสักอึดใจ
ข้าจักเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเสียหน่อย
คราข้าคล้อยหลังออกจากห้อง
น้อมจงเข้ามาเฝ้าดูลอยแทนข้าที”
กล่าวแล้วขุนจำเริญจึงหันหลังเดินกลับเข้าไปภายในห้อง
“โถขุนจำเริญของบ่าว
นายท่านช่างปราณีข้าสองแม่ลูกเหลือเกิน
เป็นบุญหัวของอีน้อมแลไอ้ลอยมันจริงๆ”
นางน้อมคิดคำนึงซาบซึ้งรู้คุณอยู่ในใจ
พลางถอยหลังออกมา
แล้วงับบานประตูห้องให้ปิดสนิทดังเดิม
“ลอยจ๋าข้าจักไปเยือนเรือนใหญ่สักครู่
ด้วยคุณย่าแฉล้มแลหลวงอรรถท่านมาเยือน
ลอยอยู่เรือนแพทางนี้
ข้าจักให้นางน้อมแม่เจ้ามาดูแลเจ้าแทนข้านะลอย”
ขุนจำเริญลูบไล้ใบหน้าคมสันของไอ้ลอยคนซื่อ
อย่างอ่อนโยนด้วยความรักใคร่
ขุนจำเริญคล้อยหลังไป
มิทันได้ยินเสียงฮึดฮัด
ในลำคอของคนที่นอนนิ่งอยู่
***********************************
“น้อมออกไปก่อนเถิด
คุณย่าแฉล้มท่านจักเข้ามาเยี่ยมลอย”
ขุนจำเริญก้าวเข้ามาในห้องแล้วสั่งนางน้อมให้ออกไป
ด้านหลังขุนจำเริญเพลานี้
มีคุณนายแฉล้มแลหลวงอรรถยืนรออยู่
“เชิญขอรับคุณย่า...หลวง...เอ้อ...พี่อรรถ”
ขุนจำเริญเบี่ยงกายไปด้านข้าง
เพื่อเปิดทางให้สองย่าหลานก้าวเข้ามา
หลวงอรรถนั้น...
ท่านรุกหนักสานสัมพันธ์กับคุณหนูแดง
ราวหนุ่มน้อยแรกรัก
ทั้งละเมอเพ้อพกแลหลงใหลได้ปลื้ม
เข้าหาตามตรอกตามประตูทางบุพการีญาติผู้ใหญ่
แลคนรอบข้างของสตรีสูงศักดิ์ที่ตนหมายปอง
ขุนจำเริญเองนั้นเล่า
จำต้องเรียกขานหลวงอรรถว่า”พี่อรรถ”
ด้วยทนคำขอรบเร้าของหลวงอรรถมิได้
หลวงอรรถท่านมิใยดีว่า
คนที่ท่านขอร้องแกมบังคับนั้นจักคิดเยี่ยงไร
หากจักยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิง
คราได้ยินขุนจำเริญนับเนื่องตนเป็นพี่เชื้อ
“อพิโถ...ไอ้ลอยเอ๋ย...
เมื่อใดเอ็งจักพ้นเคราะห์กรรมเสียที”
คุณนายแฉล้มทรุดกายชราของนาง
ลงนั่งริมฟูกนอนข้างกายไอ้ลอย
มือเหี่ยวย่นสั่นเทาเล็กน้อย
คราเอื้อมไปลูบไล้ผมหนาของไอ้ลอยคนซื่อ
เพลาเดียวกันนั้นเอง
มุมปากหนาของไอ้ลอยยกยิ้มเพียงน้อย
หากมิมีผู้ใดได้ทันสังเกตเห็น
“น้องจำเริญ...
เจ้าลอยคนซื่อเป็นเยี่ยงไรบ้างแล้วจ๊ะ”
เสียงนุ่มทุ้มของหลวงอรรถถามไถ่เจ้าเรือน
ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานจ๊ะจ๋า
อันเป็นปกติวิสัยของตนที่มิต้องระมัดระวัง
คราอยู่ในหมู่ญาติสนิทแลคนใกล้ชิด
“อื้อ....อึก....อืกกก”
ต่างตกตะลึงนิ่งขึงงงงันกันไปทุกคน
ด้วยคราหลวงอรรถกล่าวจบแล้ว
ไอ้ลอยที่นอนนิ่งมาร่วมสองเดือน
มันดิ้นทุรนทุราย
สองมือหนาหยาบจิกทึ้งผ้าปูเตียงจนยับย่น
มุมผ้าด้านหนึ่งทางปลายเตียงหลุดเลื่อนออกจากมุม
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจากลำคอของไอ้ลอยนั้น
คล้ายคนที่กำลังขุ่นเคืองใจ โมโหโกรธาอย่างหนัก
“ลอยๆ..ลอยรู้ตัวแล้ว......ลอย...ลอยจ๋า”
ขุนจำเริญลืมตน
ถลาเข้าไปกอดรัดกายกำยำของคนบนฟูก
“อุเหม่หลานข้า...
มิได้วางตัวแต่อย่างใดเลย”
คุณนายแฉล้มส่ายหน้าไปมา
แล้วลุกเปิดทางให้
หลวงอรรถทำตาโตแลดูน่าขัน
แล้วกลั้นยิ้มอยู่ในหน้า
*****************************************
“หมอ..ลอยเป็นเยี่ยงไรบ้าง
จักฟื้นตื่นแล้วใช่ฤาไม่”
ขุนจำเริญกล่าวถามซ้ำๆอยู่หลายครา
แม้นคำตอบที่ได้จักเป็นดังเดิมมิแปรผัน
“กระผมบอกได้เพียงว่าเจ้าลอยจักฟื้นตื่น
หากมิอาจคาดเดาได้ว่า
จักเป็นเพลาใดขอรับขุนจำเริญ”
นายเงินทั้งหลายต่างทยอยกันกลับไปเรือนใหญ่
ในที่นี้หมายรวมถึงนายเงินบนเรือนใหญ่
ที่ต่างรีบร้อนพากันมุ่งตรงมายังเรือนแพ
ครามีบ่าวไพร่ตาลีตาลานไปแจ้งข่าวไอ้ลอย
***********************************
บนเรือนแพในห้องหับเพลานี้
เหลือพียงขุนจำเริญแลหลวงอรรถ
ที่ได้จงใจรั้งท้ายกระบวน
คล้ายจักมีเรื่องใคร่พูดคุยกับเจ้าเรือน
“น้องจำเริญจ๊ะ น้องแลดูเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน”
ขุนจำเริญจ้องดวงตาหลุกหลิกเจ้าเล่ห์แสนกลของคนตรงหน้า
คิ้วน้อยขมวดมุ่น มุมริมฝีปากเบะออกด้วยมิใคร่สบอารมณ์นัก
ขุนจำเริญจักกล่าวขึ้นมาบ้าง
หากทว่า...
“อึกกก...อ๊ากก...อึกกกก..”
เสียงไอ้ลอยคนซื่อที่ยังหลับตาดังขึ้นมาคล้ายคำราม
เสียงนั้นดังจนได้ยินชัดแจ้งเต็มสองหูของขุนนางหนุ่มทั้งสองคน
ขุนจำเริญผวาทั้งตัว
จักเข้าไปหาคนที่นอนดิ้นทุรนทุรายบนฟูกหนา
หากหลวงอรรถรีบฉุดรั้งข้อมือข้างหนึ่งเอาไว้เสียก่อน
“หลวงอรรถ...ท่านปล่อยข้านะ
ท่านรู้ตัวฤาไม่ว่าจักทำให้ข้าเคืองขุ่นสุดทนแล้ว”
สายตาของขุนจำเริญขุ่นเขียว
น้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“สงบใจสักนิดเถิดน้องจำเริญ
แล้วน้องจักได้ยลเรื่องสนุก”
หลวงอรรถปล่อยแขนเรียว
แล้วยักคิ้วข้างหนึ่งอย่างทะเล้น
กริยาเยี่ยงหนุ่มน้อยเจ้าสำราญ
“น้องจำเริญจ๊ะ น้องสู้ทนอดหลับอดนอน
เฝ้าดูอยู่ข้างเตียงเจ้าลอยเป็นนานสองนาน
น้องปวดเมื่อยเนื้อตัวบ้างฤาไม่
มาเถิด.....พี่อรรถคนนี้...
พอจักมีฝีมือด้านบีบนวดจับส้นสายอยู่พอตัว มามะ”
หลวงอรรถกล่าวเสียงอ่อนหวาน
หากเสียงนั้นดังก้องห้องเกินจำเป็น
“อ๊ากกก...อึกกกกก...”
ไอ้ลอยบิดตัวไปมาอย่างแรงแทบตกเตียง
สองมือหนากำหมัดแน่น
จนเส้นเลือดทั้งสองแขนปูดโปน
ริมฝีปากหนาเม้มแน่น หน้าแดงก่ำ
ขนตายาวหนาขยับยุกยิกมิหยุดหย่อน
