
ทาสรัก....สมัครใจ....40
“คุณย่าแฉล้มขอรับ....
ขอคุณย่าได้โปรดอย่าเคืองขุ่นหลานคนนี้เลยนะขอรับ
เพลานี้ตัวหลานเองทั้งกายแลใจมิอาจจากเรือน
ไปที่ใดหนใดได้ดอกขอรับคุณย่า
หลานมิอาจจักทอดทิ้งเจ้าลอยที่ยังนอนมิได้สติอยู่เยี่ยงนี้ไปทางใดได้ขอรับ
ด้วยหลานเกรงว่าเพลาใดลอยฟื้นลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว
มิพบเจอหลานอยู่เคียงข้าง ลอยจักเสียขวัญขอรับ”
ขุนจำเริญส่ายหน้าซีดเซียวของตนเพียงน้อยอย่างอ่อนระโหยโรยแรง
แลสายตาที่ส่งมานั้นเล่า...
เป็นสายตาที่ส่อถึงการอ้อนวอนขอความเห็นใจจากคุณนายแฉล้ม
ดวงหน้าหวานของขุนจำเริญที่ก่อนเคยนวลผ่อง ลอองามตายิ่ง
บัดนี้กลับกลายแปรเปลี่ยนเป็นหม่นหมองซึมเซาแลเศร้าโศกนัก
ความหวังของขุนนางหนุ่มน้อยเพลานี้ริบหรี่มิมีหวัง
ด้วยไอ้ลอยคนซื่อมันนอนนิ่งมิไหวติง
เว้นเพียงแต่จักกระสับกระส่ายคราขุนจำเริญห่างกายมัน
“อพิโธ่อพิถัง.....หลานของย่าเอ๋ย
ย่ามิได้จักชักพาฤานำเจ้าออกไปภายนอกเรือน
เพียงเพื่อเที่ยวเล่นสนุกสนานเพลิดเพลินแต่อย่างใด
เจ้ามิอยากให้ไอ้ลอยมันฟื้นตื่นขึ้นมาดอกฤา
เจ้าจึงได้นั่งนิ่งเป็นหลักตอมิขยับเขยื้อนไหวติง
รอคอยความหวังราวดอกไม้ที่อับเฉาห่อเหี่ยวแห้งแล้งเยี่ยงนี้
สิ่งที่เจ้าเฝ้ารอนั้น หากทว่าเจ้ามิได้พยายามทำอันใดเลย
มันจักบังเกิดประโยชน์อันใดกันเล่าหลานย่า”
คุณนายแฉล้มลูบหลังไหล่หลานชายอย่างปลอบประโลม
“แล้วหลานจักทำเยี่ยงใดได้เล่าขอรับ
หลานมืดมนจนหนทางเสียแล้ว คิดอ่านการใดมิได้เลยขอรับ
คุณย่าโปรดเมตตาบัญชาหลานมาเถิดขอรับ
จักให้หลานทำการอันใดจึงจักทำให้เจ้าลอยตื่นลืมตาได้ขอรับ”
ขุนจำเริญเขย่าแขนคุณนายแฉล้มมิเบานัก
เสียงที่เปล่งออกมานั้นทั้งสั่นเครือแลร้อนรน
แสงแห่งความหวังแม้นสาดส่องเล็ดรอดมาเพียงน้อยนิด
หากกลับจุดประกายความหวังของขุนนางหนุ่ม
แลบังเกิดความกระตือรือร้นขึ้นมา
“สงบอกสงบใจเอาไว้ก่อนเถิดหลานย่าเอ๋ย
ย่าจักชักชวนเจ้าไปนมัสการกราบไหว้พระอำพลท่านที่วัด
แลกราบขอให้ท่านทำนายดวงชะตาไอ้ลอยดูทีฤา
ว่าจักหายได้ดังเดิมฤาจักนอนเป็นผักปลาเยี่ยงนี้ไปตลอดกาล”
คุณนายแฉล้มถอนหายใจยาวอย่างหนักหน่วงอยู่ในอก
ครานางกล่าวจบครบถ้วนกระบวนความแล้วแลเห็น
แววตาที่เต้นระริกเต็มไปด้วยความหวังของหลานนาง
“ย่าก็มิอาจหยั่งรู้ได้ดอกหลานเอ๋ย...
แต่ในเพลาเยี่ยงนี้เราจักทำอันใดได้อีกเล่า
แม้นหนทางนี้มันจักเป็นเพียงฟางเส้นสุดท้ายก็ตามเถิด”
คุณนายแฉล้มรำพันอยู่ภายในใจ
ด้วยมิอาจจักทำลายความหวังอันริบหรี่ของขุนจำเริญ
**********************************************************
“อนิจจาอนิจจังทุกข์ขังอนัตตา
โลกมนุษย์เรานี้มิมีสิ่งใดอันใดเที่ยงแท้แน่นอน
เป็นเรื่องจริงดังคำสอนของพระพุทธเจ้า
เหตุการณ์มิคาดฝันมันจักบังเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อเชื่อวัน
ดังนั้นพวกโยมทั้งหลายจึงมิควรตั้งอยู่ในความประมาท
หมั่นเจริญสติแลปัญญาของตนด้วยเถิด”
พระอำพลท่านให้คำสอนแล้วหลับตานิ่งอยู่ชั่วขณะ
พระคุณเจ้าท่านเพียรตั้งสติให้สงบแลสำรวมทางจิตใจ
เคราะห์กรรมที่บังเกิดแก่ไอ้ลอยคนซื่อนั้นทำมันเจียนตาย
ถึงแม้นท่านจักเป็นพระภิกษุที่มากพรรษา
หากมนุษย์ปุถุชนทั้งหลายในหล้าโลก
มิมีผู้ใดจักมิรู้สึกรู้สมกับเรื่องความเป็นความตายของชีวิตเยี่ยงนี้
หากพระอำพลนั้นท่านเป็นเพศบรรพชิต
จึงมีสติในการระงับอกระงับใจได้รวดเร็วกว่าบุคคลคนธรรมดา
เยี่ยงบรรดาญาติโยมทั้งหลาย
สองย่าหลานต่างพากันรับคำสอนพระคุณเจ้าพร้อมเพรียงกันว่า
“ขอรับพระคุณเจ้า”
“เจ้าค่ะพระคุณเจ้า”
ภายหลังจากที่พระอำพลท่านได้ขีดเขียนลงบนแผ่นกระดาน
เพื่อทำนายดวงชะตาของไอ้ลอยจนเสร็จสิ้นแล้วนั้น
ท่านจึงได้กล่าวว่า
“ดวงชะตาของโยมลอยนั้น....”
“เป็นเยี่ยงใดขอรับพระคุณเจ้า”
ขุนจำเริญแทบจะอดรนทนรอต่อไปมิไหว
ด้วยใคร่รู้ใคร่เห็นความเป็นไปในชะตาฟ้าลิขิต
ว่าจักมีเมตตาต่อชีวิตของไอ้ลอยคนซื่อฤาไม่ประการใด
“เกณฑ์ชะตาของโยมลอยเพลานี้
ตกชะตาขาลงถึงคราวเคราะห์หนักหนายิ่งนัก
แม้นชีวิตของมันจักมิถึงแก่คราวตายวายชีวาตม์
หากก็มีกรรมใหญ่หลวงเอาการอยู่”
พระอำพลทอดสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตามาให้
แล้วกล่าวต่อไปว่า....
“กรรมนั้นมันเป็นเรื่องสลับซับซ้อนยิ่งนัก
ตัวอาตมาเองนั้น...
มิอาจแจกแจงให้โยมทั้งสองเข้าใจอย่างถ่องแท้ได้
แต่จงยึดมั่นดังคำสอนของพระศาสดาแห่งศาสนาในอันที่ว่า
หากโยมมิเคยทุกข์แล้วโยมจักรู้ฤาว่าสุขนั้นเป็นเยี่ยงไรกัน”
พระอำพลท่านหนักใจมิใช่น้อย
ด้วยก็มิรู้จักทำเยี่ยงใดเพื่อช่วยเหลือไอ้ลอยได้
มีเพียงกล่าวเตือนสติแลให้พลังใจแก่คนทั้งสอง
“พระคุณเจ้าเจ้าคะ
แล้วเจ้าลอยมันจักฟื้นตื่นขึ้นมาฤาไม่เจ้าคะ
หากฟื้นมากายใจมันจักเหมือนเดิมฤาไม่เจ้าคะ
แล้วเมื่อใดเล่าเจ้าคะที่มันจักลุกฟื้นตื่นขึ้นมาได้เจ้าคะ”
คุณนายแฉล้มนั้นเดิมทีนางเป็นผู้ที่มิใคร่จักสำแดง
ความในใจแลความรู้สึกนึกคิดของตน
ในความมีเมตตาแลห่วงใยผู้อื่นแต่อย่างใด
หากไอ้ลอยผู้ที่นางได้ไถ่ถอนตัวมันจากการเป็นทาสมาอุปการะนั้น
นางเล็งเห็นถึงความดีงามในหัวใจของมัน อีกความกตัญญูรู้คุณต่อนายเงิน
แม้นพระยาศรีพิพัฒน์ท่านจักมิได้เกี่ยวข้องอันใดกับมันแล้วก็ตาม
ไอ้ลอยมันยังมิคิดลังเลในอันเข้าช่วยเหลือ
โดยมันมิคำนึงสักนิดถึงอันตราย
ที่จักบังเกิดแก่ชีวิตของมันแต่อย่างใด
“อาตมามิได้เป็นผู้หยั่งรู้ดินฟ้าดอกนะโยมแฉล้ม”
พระอำพลกล่าวตอบด้วยนึกขันในใจ
ด้วยนางแฉล้มนั้นแลดูเป็นห่วงเป็นใยไอ้ลอยมิใช่น้อย
“โยมทั้งสองจงดูแลคนเจ็บให้ใกล้ขิด
อีกหมั่นทำบุญใส่บาตร ไหว้พระสวดมนต์อย่าได้ขาด
ตัวอาตมาเองนั้น...จำวัดอยู่ทางนี้
จักสวดมนต์สวดคาถาแผ่เมตตาต่อชะตาชีวิตให้โยมลอย
หากแต่มันเป็นเพียงไสยแลศาสตร์เพียงนั้นดอกนะโยม
มิมีผู้ใดจักหยั่งรู้ได้ว่ามันจักทำให้โยมลอยหายเป็นปกติได้ฤาไม่”
พระอำพลนั้น
ท่านสนใจแลเสาะแสวงหาวิชาความรู้ทางคุณไสย
มาตั้งแต่บวชเรียนพรรษาแรก
หากพระคุณเจ้าท่านนั้นมิได้นำมันมาปฏิบัติให้ผิดต่อวินัยสงฆ์
แท้จริงแล้วท่านมีอวิชามากมาย
ครานี้จำต้องนำมาใช้ประโยชน์เพื่อช่วยเหลือไอ้ลอย
ผู้ที่นับได้ว่าเป็นศิษย์ของท่านด้วยเหมือนกัน
สองย่าหลานบังเกิดความหวังขึ้นมา
สีหน้าของคนทั้งคู่ต่างแลดูผ่อนคลายลงได้บ้าง
“อีกประการหนึ่งนั้น อาตมาเห็นว่า
หากโยมลอยได้กลับไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่คุ้นชิน
แลบริเวณที่จิตใจมันพันผูกได้ จักเป็นการดียิ่ง”
พระอำพลพูดชี้แนะดังนั้นแล้ว จึงขอตัวเข้าจำวัด
********************************************************
“คุณย่าขอรับ หลานกราบขอบพระคุณ
ในความกรุณาของคุณย่าอย่างที่สุดขอรับ
ที่เมตตาหลานแลเจ้าลอยขอรับ”
ขุนจำเริญกราบลาคุณนายแฉล้ม
คราจักเดินทางกลับคืนสู่เรือนแพของตน
ทางด้านพระยาศรีพิพัฒน์ท่านจึงได้ถือฤกษ์ยาม
กลับคืนสู่เรือนตนด้วยเช่นกัน
ด้วยเรือนของท่านนั้นได้ซ่อมแซมบูรณะ
จวบจนกลับสู่สภาพเดิมเสร็จสิ้นแล้ว
บริเวณหน้าเรือนคุณนายแฉล้มเพลานี้
คับคั่งด้วยแวดล้อมไปด้วย....นายเงินแลบ่าวไพร่
ต่างล่ำลากันเนิ่นนาน
ด้วยเพลาที่ได้อยู่ร่วมกันนานนับสองเดือนเห็นจักได้
ผู้ที่ชมชอบกันมาบ้างแล้ว.....
ก็บังเกิดความชอบในอุปนิสัยที่ได้สัมผัส
ผู้ที่มิเคยรู้จักมักจี่....
ก็กลับกลายเป็นถูกชะตาต้องใจกันไปเสียได้
“น้องแดงจ๊ะ.....
เพลาใดพี่มีเวลา พี่จักขอไปเยือนน้องถึงเรือนชาน
น้องจักรังเกียจอันใดในตัวพี่ฤาไม่จ๊ะ”
หลวงอรรถนั้นยืนอยู่เคียงข้างคุณหนูแดง
ที่เพลานี้เธอได้แต่ก้มหน้างุดด้วยเขินอาย
“เอ่อ....การนี้น้อง.....แล้วแต่...
คุณพี่อรรถจักกรุณาน้องดอกเจ้าค่ะ”
ขุนจำเริญเหลือบสายตามองหลวงอรรถทีหนึ่ง
แลมองดูน้องสาวตนอีกทีหนึ่ง
สองคนหนุ่มสาวที่ยืนอยู่เคียงกันนั้น
แลดูเหมาะเจาะ ด้วยสมกันทั้งรูปสมบัติแลคุณสมบัติ
ยศศักดิ์ชาติตระกูลก็มิมีผู้ใดยิ่งหย่อนต่อกัน
ขุนจำเริญหลับตาลงช้าๆ
แลถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
คราหวนคำนึงถึงเรื่องของตนที่ยังหนักอกนัก
ขุนนางหนุ่มน้อยจึงรำพึงรำพันขึ้นมาในใจว่า
“ลอยจ๋า อุปสรรคของเจ้าแลข้าใยมากมายนัก
เราจักฝ่าฟันไปด้วยกันใช่ฤาไม่..ยอดรักของข้า
แต่เพลานี้ใยลอยใจร้าย...
ทอดทิ้งข้าไว้ให้หงอยเหงาอยู่เพียงลำพัง
แล้วเยี่ยงนี้จักให้ข้าทำเยี่ยงไรกันหนอ
เรี่ยวแรงข้าหดหาย
แรงใจข้ามลายไปเกือบสิ้นเสียแล้ว”
น้ำตามากมายหลั่งไหลอัดแน่นอยู่ภายในอก
หากทว่าเล็ดรอดออกมาเพียงน้อยซึมอยู่ที่หัวตา
ขุนจำเริญค่อยๆลืมตาขึ้นมา
แล้วกระพริบเปลือกตาบางถี่ๆ
ขับไล่หยดน้ำให้มลายหายไป
******************************************************
“ลอยจ๋าตื่นลืมตาขึ้นมาเสียทีสิ
เจ้าจงแลดูเรือนแพของเราเถิด
เจ้าคิดถึงเรือนแพเฉกเช่นเดียวกันกับข้าใช่ฤาไม่”
ขุนจำเริญกระซิบเสียงหวานออดอ้อน
ริมฝีปากบางแนบชิดติดใบหู
ของคนที่นอนนิ่งอยู่บนฟูกหนา
ในห้องหับของตนบนเรือนแพริมน้ำ
ขุนจำเริญไล้ปลายจมูกน้อยของตน
ค่อยๆคลอเคลียลากไปจนทั่วใบหน้าคมสัน
สูดดมกลิ่นกายของคนรักอย่างโหยหาในสัมผัส
พร่ำพลอดบอกรักมิหยุดหย่อน
จวบจนดึกดื่นค่อนคืน
ขุนจำเริญจึงหลับผล็อยไป
ด้วยความเหน็ดเหนื่อยกายแลใจ
ขุนจำเริญนอนทอดกายตะแคงตัว
ซุกกายบางแลดวงหน้าหวานอยู่แนบชิด
ติดสีข้างของไอ้ลอยคนซื่อ
ฝ่ามือน้อยข้างหนึ่งเกาะกุมมือหนาหยาบกร้านเอาไว้หลวมๆ
“ตื่นเถิดขอรับขุนจำเริญยอดรักของไอ้ลอย”
ขุนจำเริญยิ้มหวานทั้งหลับตา
ด้วยเสียงนุ่มทุ้มที่ดังอยู่ข้างหู...
ช่างฟังดูคุ้นเคยยิ่งนัก
***********************************************
“โธ่เอ๋ย...ข้าฝันไปดอกฤานี่”
ขุนจำเริญได้สติ...
คราลืมตาตื่นจากฝันหวาน
แล้วจึงนอนนิ่งอยู่อย่างนั้นเป็นนาน
ด้วยความระทมแลทุกข์ใจ
“ฝันดีเยี่ยงนี้ข้ามิน่าตื่นขึ้นมาเลย
ข้าปรารถนาอยู่กับลอยแม้นเป็นเพียงฝัน
เราอยู่ด้วยกันในฝันเถิดนะลอย"
"มิต้องลืมตาตื่นขึ้นมา"
"พบกับความเป็นจริงอันโหดร้าย”

**********************************************************
นายท่านขอรับ....โปรดอภัยในความล่าช้าของกระผมด้วยเถิดนะขอรับ
ด้วยเพลานี้...แมทช์ต่างๆของลูกกลมๆกำลังเข้มข้นยิ่งนัก
จนกระผมมิอาจกระพริบตาได้เลยขอรับ แม้นจักหายใจยังติดขัด
มดหมอข้างกายของกระผม....
จึงทำนายทายทักกระผมด้วยความระอาว่า

"เจ้าจักกินนอนกับซัวเรสเลยฤาไม่"

ตอนหน้านะขอรับ.... ผ้าเช็ดหน้าที่นายท่านใช้ซับหยดน้ำตานั้น
จักต้องแปรเปลี่ยนไปซับ...น้ำลายแลน้ำโลหิตของนายท่านนะขอรับ คริคริ
