ร้านเหล้าเพื่อนพี่ชายพี่โก้ไม่ได้อยู่ไกลจากบ้านพี่ต่ายเท่าไร อันที่จริงคือแค่ขับรถโผล่มาทะลุเส้นราชพฤกษ์ก็ถึงแล้ว ร้านถูกแบ่งออกเป็นสองโซนคือวงดนตรีสดด้านในที่มีเครื่องปรับอากาศ กับภายนอกที่เปิดโล่งแบบโอเพนแอร์ กินลมชมวิว ด้านในมีผนังปูนเปลือยง่ายๆ ประดับไปด้วยบรรดาโพสท์อิทหลากสีสันและรูปวาดด้วยดินสอธรรมกาหรือดินสอสีง่ายๆ บางรูปเป็นภาพขนาดโปสการ์ด จะภาพวิว ภาพคน ภาพตัวเองอะไรก็แล้วแต่จะสรรหามาติด ตอนแรกผนักว่างๆนี้ไม่มีอะไรเลยในช่วงตั้งร้านใหม่ๆ พอมีคนเริ่ม ก็จะมีกลุ่มที่ตามมาเรื่อยๆ เฮียอู๋เจ้าของร้านเลยปล่อยให้มันเป็นซิกเนเจอร์ของร้านไป “มันเป็นศิลปะ” เฮียเค้าว่าแบบนั้น ตอนนี้โซนด้านนอกที่เปิดโล่งแบบโอเพนแอร์ถูกปิดให้บริการชั่วคราวเพราะเป็นช่วงหน้าฝน ไม่รู้ฝนจะตกโครมลงมาตอนไหนบ้าง เพื่อไม่ให้ลำบากลำบนทั้งลูกค้าและพนักงานร้านที่ต้องช่วยกันยกโต๊ะและบรรดาข้าวของทั้งหลายแหล่วิ่งหนีฝนกัน เฮียอู๋เลยสั่งปิดมันซะเลย
บาสเห็นกลุ่มเพื่อนตัวเองอีกสองสามคนรวมทั้งพวกไอ้โตที่นั่งอยู่ใกล้ๆกัน กลุ่มเพื่อนพี่โก้ที่พวกเขาเองก็รู้จักกันหมด เพื่อนพี่โก้อีกสองคนคือพี่ฮัทกับพี่นายเป็นพี่รหัสของไอ้โตคนนึงแล้วก็ไอ้ปันอีกคน กลุ่มเขากับรุ่นพี่เลยค่อนข้างที่จะสนิทกันเป็นพิเศษ อันที่จริงบาสว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับเป็นพี่-น้องรหัสหรอก คิดว่าถ่อยเข้ากันได้ดีจะดีกว่า เขาเหล่มองคนที่เดินมาข้างๆ ว่าที่คุณหมอตัวขาวเป็นบุคคลเดียวที่ไม่ได้เข้ากับสถานที่แบบนี้เอาเสียเลย ไม่ใช่ว่าเรียนแพทย์จะแตะต้องแอลกอฮอล์ไม่ได้ เพื่อนม.ปลายเขาหลายคนที่เรียนแพทย์ก็ก๊งกันเป็นว่าเล่นเมื่อมีเวลาว่างเช่นเดียวกัน ถึงอย่างไรพี่ต่ายก็ตัดสินใจมานี่แล้ว ว่าที่คุณหมอดึงทึ้งเสื้อเชิ้ตที่ปกติจะสอดเข้าในกางเกงสแลคเรียบร้อยออกมาด้านนอก ผมเผ้าที่ปกติแม้ไม่ได้ถูกแวกซ์จนเรียบตึงอะไรขนาดนั้นถูกสางออกขยี้ให้ดูยุ่งๆเล็กน้อย ผมด้านหน้าที่ปรกหน้าปากจึงดูยุ่งเหยิงผิดกับทุกวัน บาสคิดถึงวันแรกที่ไปหาพี่ต่ายที่บ้านแล้วเจอเจ้าของบ้านออกมาด้วยสภาพหัวหูยุ่งเหยิง หน้าขาว ปากแดง แม่ง โคตรน่ารัก
ประตูกระจกของร้านถูกเปิดออกโดยพนักงานประจำที่พอจำหน้าจำตาเขาได้ เลยชี้ไปที่โต๊ะที่เสียงดังโวยวายที่สุดในร้าน เนื่องจากตอนนี้วงดนตรีสดยังไม่ขึ้น เสียงพูดคุยของแต่ละกลุ่มจึงจ้อกแจ้กจอแจ บาสเหล่มองคนข้างๆอีกครั้ง เห็นพี่ต่ายหยิบมือถือมากดยุกยิกเล็กน้อยแล้วเงยหน้ามองเขาบ้าง ทำหน้าสงสัยเหมือนจะถามว่ามีอะไรผ่านสีหน้า บาสชี้ไปที่โต๊ะเป็นเชิงบอกว่าให้เดินไปทางโต๊ะนั้น ขายาวก้าวนำ ระยะทางจากประตูร้านไม่ได้ไกลเท่าไร ไอ้โตที่บังเอิญเหลือบขึ้นมามองเขาพอดีกวักมือเรียก
“ไอ้บาส … อ้าว … เชี่ย” เสียงห้าวจะโกนเรียกชื่อเต็มเสียง แต่ท้ายเสียงกลับอ่อนลงเมื่อเห็นร่างโปร่งที่เดินตามหลังมาด้วย และเพราะเขาเรียกชื่อเพื่อนสุดเสียงเพื่อให้มันได้ยิน คนทั้งโต๊ะเลยหันมองตาม
“เห้ย” เสียงอุทานประสานกันเหมือนเอคโค่ คนนึงพูดคนนึงตาม บาสยิ้มกวนๆให้เพื่อนและรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ หลายคนมีสีหน้าประหลาดใจไม่น้อย
อย่าว่าแต่พวกมันประหลาดใจ เขาก็ประหลาดใจเหมือนกันแหละ แต่มาถึงที่นี่แล้วแถมพี่ต่ายอาสามาเองด้วย จะให้ห้ามก็ดูจะขัดใจหรือเปล่ายังไม่รู้เลยนิ่งไว้ดีกว่า อีกอย่าง … แหมมันน่าดีใจจะตายไป ทำงี้เหมือนมาเปิดตัวกันเลยนี่นา
บาสนั่งลงตรงที่ว่างข้างๆไม้ที่ดูเหมือนกำลังจิ้มนักเก็ตไก่จิ้มซอสมะเขือเทศกิน เพราะมือยังค้างอยู่ที่จาน ค้าปากหวออย่างตกใจ เขาตบไหล่ให้มันกระเถิบไปอีกพอมีที่ให้สองคนนั่งได้ด้วย เก้าอี้เสริมอีกตัวถูกพนักงานลากมาเพิ่มอย่างรู้หน้าที่
“เบียดไหมนั่น พี่หมอมานั่งฝั่งนี้ก็ได้นะครับ” โตเสนออย่างอารมณ์ดี หันไปเล่นหูเล่นตาล้อเพื่อนที่นั่งตรงข้าม
“เสือกนะมึง” บาสถลึงตาใส่ หันไปยิ้มให้คนที่ยังคงยืนอยู่ เห็นยังยืนนิ่งเลยกระจุกชายเสื้อเบาๆ “พี่ต่ายนั่งนี่แหละ ไปนั่งที่อื่นเดี๋ยวพวกปากหมามันจะกัดเอาได้”
ว่าที่คุณหมอกวาดตามองไปรอบโต๊ะอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกถึงสายตาทุกคู่ที่จับจ้องมาเป็นตาเดียวกัน เสียงที่โวยวายเมื่อครู่เงียบเหมือนกับว่าทุกคนกำลังตั้งใจว่าเขาจะทำอะไร หรือตอบกลับไปว่าอะไร ต่ายหันมามองคนที่กระตุกชายเสื้อนักศึกษาที่ถูกปล่อยออกมานอกกางเกง หัวเราะในลำคอเบาๆ “ตรงนี้ก็มีอยู่ตั้งตัวนึงไม่ใช่หรือไง”
ฮิ้วววววววววว
เสียงโห่แซวเกรียวกราวให้กับว่าที่คุณหมอที่ดูเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทางท่ามกลางรุ่นน้องคณะวิศวะว่าพลางเลื่อนเก้าอี้ที่พนักงานเอามาให้เรียบร้อยแล้วมานั่ง จริงๆแล้วเขานั่งอยู่มุมปลายสุดของโต๊ะด้วยซ้ำ แต่ทำไมถึงกลายเป็นจุดรวมความสนใจของคนทั้งโต๊ะที่แทนที่นั่งตรงกลางไปได้ เขาส่ายหน้าเหนื่อยหน่าย จริงๆจะเป็นแบบนี้ก็ไม่แปลก คิดไว้แต่แรกอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้
“กินเหล้ามั้ยพี่” โตดูเหมือนเป็นบุคคลที่ปรับตัวได้เร็วสุด ไม่อยู่ในอาการอ้ำอึ้งเหมือนคนอื่นในโต๊ะ ตามด้วยปันและนพที่แทบจะแล่นจากปลายโต๊ะอีกฝั่งมาอีกฝั่งอย่างว่องไว
“มีไรบ้าง” บาสตอบคำถามแทนคนที่นั่งข้างๆ มือหยิบเฟรนช์ฟรายส์ที่อยู่ตรงหน้ากิน
“กูถามพี่หมอ” บทไอ้โตจะกวนตีนขึ้นมากระทันหันมันก็ทำได้จนกวนเบื้องล่างยิ่งนัก บาสรู้สึกคันยุบยิบเหมือนเส้นเอ็นที่ขาจะกระตุก
บาสถอนใจมองคนข้างๆ “ตอบๆมันไปหน่อยพี่ น้ำเปล่า โค้กหรืออะไรก็ได้ไม่งั้นไอ้นี่มันกวนไม่เลิก”
“มีอะไรบ้างล่ะ กินได้หมดแหละ” ต่ายตอบ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้สบายๆ
“พี่จะกินเหล้าปั่นเหมือนไอ้ไม้ก็ได้นะ”
“ค็อกเทลก็มีนะพี่”
“เบียร์สดก็สั่งได้”
“หรือจะร่ำสุราเมายาปลาปิ้งคั่วกลิ้งกับพวกผม นี่ยุให้พี่โก้มันเปิดโกลด์เลี้ยงใจป้ำเปิดให้แค่แบล็คแปดปี แม่งโคตรงก”
“พวกมึงแดกกันเป็นน้ำขนาดนี้ให้กูเปิดโกลด์มาทำซากอะไร ลงท้องไปมึงก็เมาได้เหมือนกันไอ้พวกเชี่ย!”
เสียงตะโกนแย่งกันพูดดังลั่น ต่ายฟังแล้วขำ อันที่จริงพวกนี้ยังไม่เมากันสักนิดแต่การตะโกนโวยวายโห่ร้องแซวกันแบบนี้ก็เป็นเอกลักษณ์ไป แว้บแรกเขาเคยคิดว่าเด็กพวกนี้ชักจะปีนเกลียวไปใหญ่แล้ว แต่พอมองอีกมุมก็อาจจะทำไปเพราะมีมนุษยสัมพันธ์ดี แถมเป็นพวกสบายๆก็ได้ หรืออาจจะโชคดีที่เขาเป็นประเถทไม่คิดเยอะ ถ้าให้ปราชญ์มานั่งอยู่ตรงนี้มันอาจจะมีความอดทนไม่เท่าเขา ตาเรียวมองโตที่รอคำตอบอยู่เพราะถือแก้วเปล่าเตรียมพร้อม
“เหล้าก็ได้ ผสมโซดาน้ำนะ”
“เห้ย เอาจริงดิพี่ต่าย” ตกใจเล็กน้อยเมื่อคำตอบนั้นขอในสิ่งที่ตัวเองไม่คิดมาก่อน นึกว่าอย่างดีก็แค่เบียร์ บาสมองหน้าต่ายอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“คำไหนที่บอกว่าล้อเล่น” ต่ายย้อน มองหน้าอีกฝ่ายกลับอย่างไม่กลัว “กินเป็นเหอะ”
“เหล้าปั่นหรือเบียร์ก็พอมั้ง” บาสพูดเสียงอ่อน
“อะไรก็เมาทั้งนั้นแหละ”
“แต่ว่า …”
“แต่อะไรอีก” ต่ายตวัดตามอง รู้สึกรำคาญใจขึ้นมากระทันหัน “เลิกพูดนั่นนี่ได้แล้ว ข้าวน่ะกินเข้าไปก่อนแล้วอยากจะกินอะไรค่อยยัดตามไป ท้องว่างแอลกอฮอล์มันจะลงไปกัดกระเพาะ เป็นแผลขึ้นมากระเพาะทะลุแล้วจะหาว่าไม่เตือน ตอนตรวจก็ต้องสอดกล้องเข้าไปทางปาก รู้สึกพะอืดพะอมจนจะ…”
“พอๆๆ พอแล้วพี่ต่าย” บาสขัดก่อนที่จะโดนบ่นอีกยาว แอบคิดสภาพตามถึงอุปกรณ์ตรวจที่ถูกแหย่เข้าไปในคอแล้วรู้สึกขะอ้วกขึ้นมาทันที เขาทำหน้าเซ็งๆหันไปทางไม้ที่นั่งอยู่ด้านขวามือ พอหันไปทิศนั้นเท่านั้นแหละถึงเพิ่งรู้สึกได้ว่าทุกคนจ้องมาทิศนี้เป็นทางเดียว บาสทำแสร้งทำหน้าเครียดแต่อมยิ้มแก้มตุ่ย ตะโกนเรียก “เอาโถข้าวมาดิ๊พี่โก้”
โถข้าวสวยวางอยู่บนโต๊ะเล็กข้างพวกเครื่องดื่มต่างๆ มือใหญ่ของคนที่ถูกใช้งานหยิบโถข้าวสวยร้อนข้างๆ เขาเห็นสายตาพี่รหัสมองอย่างล้อเลียนแม้จะสงสัย เขารู้ว่าไม่ช้าก็เร็วได้โดนซักฟอกแน่นอน และทันความคิดนั้นแทนที่พี่โก้จะใช้วิธีส่งต่อโถข้าวแบบที่ควรจะทำแบบทุกครั้ง เจ้าตัวกลับเดินถือมาให้ถึงที่ บาสรับมาทำสีหน้าหวาดระแวงที่เห็นพี่รหัสตัวเองยักคิ้วหลิ่วตาให้
“พี่หมอ ผมชื่อโก้นะ เป็นพี่รหัสไอ้หมานี่” เขาลากเก้าอี้ว่างมานั่งข้างๆฝั่งซ้ายว่าที่คุณหมอที่ว่างอยู่ เขี่ยไอ้พวกรุ่นน้องที่ล้อมเป็นแมลงวันตอมออกไปไกลๆ เห็นสายตาของคนที่เพิ่งถูกพาดพิงว่าเป็นหมามองหน้ามุ่ย แม่งยังกับร็อดไวเลอร์
“อื้อ ชื่อต่าย” ตอบกลับพลางพยักหน้าไปด้วย อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ซื่อบื้อไม่รู้ว่ารุ่นน้องพวกนี้รู้ชื่อเขาอยู่แล้ว แต่มันเป็นมารยาทเมื่อมีคนแนะนำตัวแล้วเขาก็ต้องทำตาม
“มันไม่เห็นบอกว่าพี่จะมาด้วย” โก้ถามล้อๆ เอาเข้าจริงแล้วเขาเองก็ไม่รู้จักหรือเคยคุยกับรุ่นพี่ที่บาสมันจีบมาก่อนเหมือนกันเลยประหม่าเล็กน้อย “ชนแก้วกับผมหน่อยได้ไหมพี่”
ต่ายหัวเราะเบาๆเมื่ออีกฝ่ายเข้าหาด้วยท่าทีสุภาพเหมือนเด็กเข้าหาผู้ใหญ่ “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้อะ เจ้าภาพมาขอชนไม่ให้เดี๋ยวไม่ยอมจ่ายขึ้นมาทำไง แล้วไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นหรอกห่างกันปีเดียว”
มือเล็กคว้าแก้วที่โตส่งมาให้ขึ้นชนเบาๆพอเป็นพิธี จิบลงคอนิดหน่อยแล้วพูดอย่างพอใจ “อร่อยนี่”
“ให้ผมชงให้หมดแก้วแล้วเดี๋ยวจะต้องขออีก” โตพูดพร้อมยักคิ้วให้ หันไปถามอีกคนคนข้างๆ “บาสมึงเอาเลยเปล่า”
“เออ” “ยัง”
สองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน ทั้งโต๊ะทำหน้างุนงง บาสเอียงหน้ามามองด้วยความสงสัยไม่แพ้กัน ต่ายรู้สึกตัวว่าเหมือนจะส่งเสียงดังเกินไป พูดต่อเสียงอ่อย “กินข้าวให้หมดจานนึงก่อน”
“ฮื่อ ข้าวมันติดคอ”
“น้ำเปล่าไง”
“พี่ต่ายยังกินได้เลย”
“ฉันกินข้าวมาแล้ว”
“ขี้โกงนี่”
“ตลก! ชวนแล้วไม่ยอมกินเอง” ต่ายถลึงตาใส่ บุ้ยใบ้ให้กินข้าวให้หมดก่อนแล้วค่อยเรียกร้องอย่างอื่น บาสโอดครวญ หางตาเหลือบเห็นบรรดาเพื่อนและรุ่นพี่ต่างส่งสายตาล้อเลียน
โก้อยากจะหัวเราะก๊ากออกมาเต็มเสียงแต่ตอนนี้ทำได้แค่หันหน้าหนีไปอีกทางหนึ่ง ซบหน้าลงกับท่อนแขนของตัวเองแล้วกลั้นหัวเราะตัวสั่น นึกในใจว่าอยากจะไลน์ไปหาพี่ชายไอ้บาสมันนักว่ายังไม่ทันไรแม่งก็มีแววกลัวเมียขึ้นมาแล้ว จะเถียงกับพี่หมอก็ดูท่าทางไม่ง่ายด้วย พี่แกมีเหตุผลและทฤษฎีรองรับเสียจนไอ้น้องรหัสเขายอมก่อนที่จะร่ายหมดประโยคเสียอีก แถมคนนอกขี้รำคาญอย่างเขาแทนที่จะรู้สึกว่าพี่หมอคนนี้จุ้นจ้าน กลับคิดในอีกมุมว่า นี่คงเป็นเสน่ห์ของเจ้าตัวที่จับเด็กอย่างบาสจนโงหัวไม่ขึ้น ก็ช่างดูแลแบบนี้นี่แหละ
“ไหนก็มาแล้วมึงแนะนำพวกกูให้พี่เค้ารู้จักหน่อยเด้ไอ้บาส นั่งก้มหน้าก้มตาแดกข้าวเงียบเลยนะมึง เชื่อฟังกันดีจริ๊ง”
ปันและนพทำหน้าทะเล้นแม้น้ำเสียงเพื่อนจะหมั่นไส้แต่เขารู้ว่ามันล้อเลียนไม่ได้จริงจังอะไรหรอก อันที่จริงนอกจากกลุ่มเขาและไอ้โต นอกนั้นก็มีเพื่อนพี่โก้อีกสามคนเท่านั้นเอง ร่างสูงวางช้อนที่เพิ่งซดแก้งส้มไปเมื่อครู่ลง ชี้นิ้วไล่ทีละคน
“พี่ต่าย นั่นไอ้โต รู้จักแล้วเนอะ กลุ่มไอ้โตกับผมอยู่คนละเอกแต่สนิทกัน กลุ่มมันมีไอ้ไม้ที่นั่งข้างผมกับไอ้แจคข้างๆมัน ส่วนไอ้สองคนที่ยืนอยู่หัวโต๊ะนั่นคือไอ้ปันกับนพ”
ต่ายพยักหน้ารับรู้ มองตามมือของหนุ่มรุ่นน้องที่ชี้ไปรอบๆ “นั่นพี่โก้ รู้จักแล้ว เพื่อนพี่โก้ปีสี่อีกสามคน พี่ฮัทเป็นพี่รหัสได้โต พี่นายหน้าตี๋นั่นเป็นพี่รหัสไอ้ปัน อีกคนคือพี่หมี อยู่คนละคณะ พี่แกเรียนบริหารแต่เป็นเพื่อนสนิทกับพี่โก้ตั้งแต่ม.ปลายก็เลยสนิทกับพวกผมไปด้วย”
“ส่วนนี่พี่ต่าย ว่าที่ฟ... โอ้ย!”
เจ็บแปล๊บขึ้นมาที่สีข้าง ศอกแหลมๆของคนที่นั่งข้างๆกระแทกเข้ามาที่ชายโครงอย่างแรง บาสโอดโอย จะหาว่าสำออยก็สำออยเถอะแต่นี่มันเจ็บจริงๆ นี่ตั้งแต่จีบพี่ต่ายมาโดนทำร้ายร่างกายจนฟกช้ำไปเท่าไรไม่รู้เท่าไรแล้ว ต่ายถลึงตามอง พยายามจะดุใส่แต่เหมือนทำยังไงก็ไม่เป็นผลสักที แต่ละคำพูดที่หลุดออกมานี่มันน่านักเชียว บาสมองว่าที่คุณหมอที่เพิ่งทำร้ายร่างกายเขาไปหมาดๆ “ใจร้าย”
“นี่ใจดีสุดๆแล้ว”
“ไม่จริงอะ พี่ใจร้ายกับผมคนเดียวตลอด”
“รู้ได้ยังไง”
“ก็จริงนี่ นี่ผมทำตัวดีกินข้าวหมดจานแล้วด้วยยังไม่เห็นชมกันบ้าง”
“เป็นเด็กอนุบาลหรือไงที่กินข้าวหมดจานถึงต้องชมว่าเก่งมาก ถามหน่อยอายุสมองเท่าไร เคยไปเช็คบ้างไหมไอคิวอีคิวน่ะ”
“แหม ถึงไอคิวหรืออีคิวผมจะน้อย แต่ถ้าพี่ติวรักให้ผมก็เต็มร้อยนะครับ”
ฮิ้ววววววววววว
ปวดเส้นประสาทตุบๆ เบ้หน้ามองคนที่สรรหาประโยตเลี่ยนๆมาได้อย่างเอน็จอนาถใจ มือขาวเลยตัดบทด้วยการหยิบแก้วที่เหลือเหล้าอยู่ครึ่งหนึ่งกระแทกปากอีกคนให้กินเข้าไปจะได้หยุดพูดมาก นี่ขนาดสุรายังไม่ตกถึงท้องก็ร้องงอแงเสียจนน่าหมั่นไส้ขนาดนี้ บาสตะครุบแก้วเอาไว้เกือบไม่ทันเพราะกลัวหกเลอะเทอะ กระดกต่ออึกๆราวกับคนกระหายน้ำ น้ำแข็งที่ละลายเกือบหมดแล้วทำให้รสชาติของเหล้าแก้วนี้เจือจางลงไปมากและเขาสามารถดื่มมันลงไปได้หมดแก้วราวกับดื่มน้ำเปล่า เขาคว่ำแก้วลงให้เห็นว่าเครื่องดื่มถูกซัดลงไปจนหมดไม่เหลือสักหยดเดียว ตาวาวมองคนตรงหน้าที่มองหน้าเอาเรื่อง ชายหนุ่มจุดยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ เป็นรอยยิ้มทีเห็นแล้วชักอยากจะกดใบหน้าคมนั่นให้กระแทกลงไปกับโต๊ะจนเสียโฉมกันไปข้าง ยื่นหน้ามาใกล้ เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบาติดริมหูที่ร้อนฉ่าราวกับจะกลัวคนรอบด้านได้ยิน
“พี่ต่ายรู้ไหม นี่มันจูบทางอ้อมชัดๆเลย”
ต่ายไม่รู้ว่าตัวเองถอนหายใจท่ามกลางเสียงโห่ฮิ้วของบรรดาเด็กวิศวะนี่กี่ครั้งกันแล้ว เค้าว่าการถอนหายใจหนึ่งครึ่งจะทำให้แก่ขึ้นไปอีกหนึ่งปี ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่รู้จักกับเจ้าเด็กนี่มาเขาแก่ขึ้นอีกกี่ปีแล้ว วันหลังค่อยลองนับดูบ้างดีกว่า แต่เขาแน่ใจว่ายังไงเจ้าเด็กนี่กวนจนเขาอายุเกินห้าสิบไปแล้วแน่นอน ส่วนเรื่องจูบทางอ้อมนั้นมันเป็นเรื่องยกขึ้นมาล้อให้อีกคนเขินอาย ใช้ได้ผลกันไม่รู้กี่ยุคต่อกี่ยุคแล้วไม่รู้ จะให้เขินหน้าแดงอายม้วนตกหลุมพรางน่ะเหรอ ไม่มีทางเสียล่ะ เรื่องแบบนี้มันเด็กน้อยมาก ไม่อยากจะบอกว่าอ้อนน้อยๆ ทำตัวดีๆเหมือนก่อนหน้านี้ยังจะทำให้เขินมากกว่าตั้งเยอะ
แก้วเหล้าใบใหม่ถูกชงมาวางตรงหน้าด้วยมือชงเจ้าเดียวกับแก้วก่อนหน้านี้ที่ถูกคนข้างๆยึดไปเป็นของตัวเอง เขาเห็นไม้หลิ่วตามองล้อๆแต่ไม่ได้พูดอะไร พยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณแล้วเหม่อมองออกไปด้านนอกร้าน ฝนเม็ดเล็กเริ่มตกปรอยๆ ช่วงนี้ฝนมักจะตกกลางคืน เจ้าของร้านรอบคอบมากที่ตัดสินใจไม่เปิดโซนด้านนอกให้ลูกค้าใช้บริการ เพราะไม่อย่างนั้นก็คงจะลำบากสักหน่อยในการเคลื่อนที่และขนย้าย เสียงพูดคุยรอบด้านเป็นภาษาค่อนข้างหยาบกว่าที่เขาใช้ปกติ อย่างมากที่เขาคุยกับปราชญ์และโน้ตก็มีแค่กูมึง อาจะมีคำด่าไปบ้างแต่ไม่ได้ใช้แบบคำต่อคำขนาดนี้ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักเพราะแต่ละสังคมก็ต่างมีกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันอยู่แล้ว และคำพูดพวกนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรับไม่ได้ มันอยู่ที่คนเราเลือกที่จะรับอะไรมาใช้มากกว่า บทสนทนาเริ่มเปลี่ยนเป็นเรื่องราวหลายอย่างที่เขาไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้อยากมีส่วนร่วม จะมีก็เพียงคนข้างๆที่หันมาอธิบายเมื่อสังเกตว่าเขาขมวดคิ้วทำสีหน้าสงสัย ใบหน้าคมยิ้มน้อยๆ ดูสนุกสนานเมื่ออยู่ท่ามกลางผองเพื่อนและรุ่นพี่ที่สนิทกัน
จริงๆก็ไม่ได้อยากยอมรับว่าอีกฝ่ายหน้าตาดีเท่าไร ถึงไม่ได้มองแล้วสะดุดตาแต่ดูมีสเน่ห์ รอบตัวมีออร่าที่ดึงดูดให้ทุกคนเข้าหาและเข้ากับคนใหม่ๆง่าย ถึงแม้บางครั้งคำพูดจะฟังดูห้วนและกวนไปบ้างสำหรับคนเพิ่งเคยรู้จักกันแต่ก็ไม่มีพิษมีภัยอะไร เรียกได้ว่าเป็นบุคคลแบบที่เขาไม่ค่อยพบเจอในชีวิต ต่ายเผลอเหลือบมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว เปิดหน้าจอมือถือเช็คไลน์และเฟสบุ๊คนิดหน่อย
สัมผัสอุ่นที่แทรกเข้ามาระหว่างนิ้วมือทำให้เขาหรุบตาลงมองมือข้างที่ว่างที่วางอยู่บนตักตัวเองสบายๆที่จู่ๆกลับมีมือปลาหมึกที่ไหนไม่รู้เลื้อยมาเกาะกุม นิ้วแข็งกระด้างสมเป็นมือผู้ชายที่ค่อนข้างสมบุกสมบันบีบกระชับ นวดคลึงมือเขาเล่นอย่างถือวิสาวะทั้งๆที่มืออีกข้างยังคงถือแก้วเหล้า พูดคุยกับคนรอบวงหน้าสลอน ประเด็นร้อนของเขากับเจ้าเด็กนี่ซาลงไปแล้วแทนที่ด้วยเรื่องราวต่างๆในคณะแทน ต่ายไม่ได้ขยับมือหนีแต่ก็ไม่ได้ตอบสนองนั่นทำให้คนเริ่มได้ใจ จากการสัมผัสเบาๆกลับกลายเป็นกระชับแน่น เกาะกุมราวกับว่ากลัวเขาจะลุกหนีไปไหน
ต่ายยอมรับว่าเขาเคยชินกับการที่นั่งอยู่เงียบๆแล้วคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยคนเดียวในขณะที่รอบตัวอึกทึกครึกโครม ภายในจิตใจเขามักรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด รู้สึกเหมือนได้คิดทบทวนในขณะที่เวลาไหลผ่านไปช้าๆ แต่วันนี้แม้เหตุการณ์บางอย่างจะไปซ้อนกับเหตุการณ์ที่เขาเคยเจอแบบเดิม แต่ไอร้อนจากมือใหญ่กว่าของเด็กรุ่นน้องที่นั่งอยู่ข้างๆ กลับทำให้เขาตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา และแม้จะนั่งอยู่เฉยๆ แต่ชีพจรกลับเต้นแรงเหมือนคนเพิ่งออกกำลังกายอย่างหนักหน่วง ก็เคยบอกแล้วว่าถ้าหุบปากเน่าๆนั่นไปแล้วเปลี่ยนมาทำอย่างอื่นที่สร้างสรรค์อย่างนี้เขาอาจจะเลิกอคติไปแล้วล่ะ!
