บทที่ ๑๑
เจ้าชายรามิเรสโปรดให้ฟีเรียสใช้ห้องสรงของพระองค์ไปก่อน
ชายหนุ่มจำทางไปห้องได้ เจ้าชายหกจึงไม่ต้องทรงนำทาง
พระองค์ทรงใช้เวลาช่วงนี้เสด็จไปในสวนข้างบ้าน มีรับสั่งกับเรจิน
องครักษ์ประจำพระองค์ซึ่งตามเสด็จมาด้วยตั้งแต่แรกว่า
“เจ้าไปพักที่บ้านเชิงผา” ที่จริงแล้วปรารถนาจะตรัสสั่งให้เขาออกเวรก่อนเวลา
แต่องครักษ์มีหน้าที่ถวายความปลอดภัย หากตรัสสั่งห้ามทำย่อมทำให้เขาลำบากใจ
“แล้วก็ไม่ต้องให้ใครขึ้นมาบนนี้”
“รับด้วยเกล้าฯ พระเจ้าค่ะ”
องครักษ์ร่างสูงโปร่งทูลลากลับไปแล้ว แต่เจ้าชายหกแห่งไมซีนยังทรงพระดำเนินเล่นอยู่
ในสวนต่ออีกครู่หนึ่งเพื่อคิดทบทวนในสิ่งที่พระองค์ทรงทำลงไป
ทั้งๆ ที่ตัดสินพระทัยว่าจะไม่พบกับฟีเรียสอีก แต่ตอนนี้กลับหาวิธีที่ทำให้ต้องใกล้ชิด คุ้นเคยกันมากกว่าเดิม
ไม่มีใครรู้ แม้แต่พระองค์เองก็ไม่ทรงคาดคิดมาก่อนว่าจะรู้สึกดีพระทัยมากถึงเพียงนั้น
เมื่อได้เห็นนักเรียนองครักษ์หนุ่มผู้นั้นอยู่ตรงคอกม้า และทั้งที่อุตส่าห์ดีพระทัย
ฝ่ายนั้นกลับทำให้พระองค์ทรงผิดหวังด้วยการจะลากลับไปดื้อๆ
การนิ่งเฉยของพระองค์เป็นวิธีที่ ‘ปรานี’ ที่สุดแล้ว หากไม่ทรงนิ่ง
ฟีเรียสคงจะถูกพระองค์ทรงตำหนิมากทีเดียว ทว่าเมื่อทรงระลึกขึ้นได้ว่า
ไม่ใช่ความผิดของเขาเลยที่จะขอกลับ เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อพบกับพระองค์
พระองค์จึงทรงพยายามปรับพระอารมณ์เสียใหม่แล้วประทานพระอนุญาตให้กลับไปได้
ตอนที่ฟีเรียสกลับไป ส่วนหนึ่งในพระทัยยังมีความโล่งอกปะปนอยู่ อย่างน้อยพระทัยก็คงจะไม่สับสนว้าวุ่นอีก
แต่เมื่อชายหนุ่มผู้นั้นมาปรากฏกายอีกครั้งอยู่ตรงประตูครัว... พระดำริแรกที่วูบขึ้นมาอย่างห้ามไม่ทันก็คือ
‘เจ้ารนหาที่เอง ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปอีก’
บ่ายวันนั้นเจ้าชายรามิเรสทรงพานักเรียนองครักษ์หนุ่มไปเลือกกระบี่ที่เหมาะใจในห้องเก็บอาวุธของบ้าน
ฟีเรียสเลือกได้เล่มหนึ่งแล้วเจ้าชายหนุ่มจึงโปรดให้เขาเลือกให้พระองค์ด้วย
“ฝ่าบาทโปรดแบบไหนพระเจ้าค่ะ” น้ำหนักน้อย น้ำหนักมาก
“เจ้าเลือกมาเถอะ นี่เป็นการทดสอบ”
ได้ยินเท่านั้น เลือดในกายของคนที่ได้ยินคำว่า ‘สอบ’ ไม่ได้ก็ร้อนขึ้นมา
คิดจนคิ้วขมวดว่าอีกฝ่ายต้องการให้เขาเลือกให้ถูกพระทัย
หรือจะดูว่าเขาจะเลือกกระบี่ให้ ‘คู่ต่อสู้’ ด้วยความยุติธรรมหรือไม่กันแน่
ข้อสอบช่างไม่ชัดเจนเอาเสียเลย
เจ้าชายรามิเรสทรงพบว่าพระองค์โปรดท่าทีเอาจริงเอาจังจนเคร่งเครียด
แม้แต่กับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ของอีกฝ่ายขึ้นมาอีกแล้ว
ขอเพียงเรื่องที่เครียดไม่เกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับเขา
ความเครียดนั้นก็ดู... ชวนให้เอ็นดูดี
หลังจากฟีเรียสเลือกถวายได้เล่มหนึ่ง ชายหนุ่มก็ทูลถามด้วยสีหน้าของนักเรียนกระหายคะแนน
“กระหม่อมสอบผ่านหรือไม่พระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายหกแห่งไมซีนเกือบจะทรงกลั้นเสียงสรวลเอาไว้ไม่ได้ คงรับสั่งบอกไม่ได้สินะ
ว่าพระองค์เพียงแค่รับสั่งเล่นๆ ไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้ตั้งใจจะทดสอบอะไรเขาเลย
“เจ้าได้อะไรจากการสอบล่ะ”
คิ้วที่ดูไปดูมาก็น่ามองดีนั่นขมวดเข้าหากันอีกแล้ว
“ทราบว่าควรจะเลือกอาวุธอย่างไรให้เหมาะกับคนและยุติธรรมกับคู่ต่อสู้พระเจ้าค่ะ”
“อธิบาย”
ฟีเรียสอธิบายวิธีเลือกของเขา พูดถึงลักษณะพระหัตถ์ของเจ้าชายหนุ่ม
ลักษณะของกระบี่ ตัวกระบี่ ด้ามกระบี่ วัสดุที่ใช้ทำ รูปร่าง ความยาว น้ำหนัก
สีหน้าตอนทูลอธิบายจบยังคงรอคอยคำเฉลย ทว่าเจ้าชายรามิเรสไม่ได้ประทานให้
เพียงแต่ตรัสชวนให้ไปซ้อมกันในสวน
เพียงแค่ครึ่งชั่วโมง เจ้าชายหกแห่งไมซีนซึ่งไม่เคยจับอาวุธ
หรือกระทั่งพกอาวุธให้ฟีเรียสเห็นเลยก็สามารถรับสั่งบอกข้อบกพร่องทั้งหมด
ของนักเรียนองครักษ์หนุ่มออกมาได้แบบเดียวกับที่ครูสอนกระบี่ของเขาบอก
เป็นสิ่งที่ฟีเรียสพยายามแก้ไขมาตลอด แต่ก็ยังทำไม่ค่อยได้นัก
ฝีพระหัตถ์ของเจ้าชายรามิเรสไม่ได้ดีไปกว่านักเรียนองครักษ์ที่สอบได้ที่หนึ่งวิชากระบี่ในรุ่นของเขา
... ความคิดเช่นนั้นพลันมลายไปในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา ซึ่งเป็นเวลาที่ต่างก็มีเหงื่อท่วมเต็มตัวทั้งคู่
เพียงแต่ฟีเรียสหอบแฮ่ก หายใจแทบไม่ทัน ในขณะที่เจ้าชายหนุ่มหายใจถี่กว่าปกติเพียงเล็กน้อย
“พักก่อน”
เมื่อทรงทราบว่าหมดหวังที่จะให้คนดื้อเป็นฝ่ายออกปากขอพักก่อน พระองค์จึงรับสั่งเสียเองด้วยปรานี
ไม่อยากให้คนที่เอาแต่จู่โจมมาตลอดแต่แทบจะทำอะไรพระองค์ไม่ได้เลยต้องเสียหน้า
“กระหม่อมจะไปรินน้ำมาถวายพระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายรามิเรสแย้มพระสรวลเป็นเชิงประทานพระอนุญาต ก่อนจะเสด็จไปประทับรอที่ชุดเก้าอี้ใต้ร่มไม้ใหญ่
ฟีเรียสกลับมาในเวลาไม่นาน ในถาดใบใหญ่ที่เขาถือมานั้นนอกจากเหยือกน้ำกับแก้วน้ำหนึ่งใบ
แล้วยังมีอ่างแก้วใส่น้ำกับผ้าสะอาดอีกผืนหนึ่ง
ทอดพระเนตรเห็นของทั้งหมดที่อีกฝ่ายนำมาวางไว้บนโต๊ะแล้ว
เจ้าชายหกแห่งไมซีนก็ต้องทรงพยายามข่มพระอารมณ์อีกระลอกหนึ่ง ยอมรับแล้ว
ว่านักเรียนองครักษ์หนุ่มผู้นี้มีความสามารถเต็มเปี่ยมเรื่องการยั่วพระอารมณ์กริ้ว... ทั้งที่พระองค์เป็นคนใจเย็นมากแท้ๆ
ฟีเรียสรินน้ำใส่แก้วถวายเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นว่าเจ้าชายหนุ่มยังไม่ทรงยกดื่ม
เขาจึงคิดเอาเองว่าคงจะโปรดเช็ดพระพักตร์เสียก่อนจึงได้นำผ้าสะอาดจุ่มน้ำเย็น
บิดจนหมาดแล้วยื่นถวายให้คนที่บิดไม่เป็น ทว่าเจ้าชายรามิเรสเพียงแต่ทรงรับไปถือไว้เฉยๆ
รอ... ให้เขาพูดอะไรสักอย่าง แต่เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ในที่สุดพระองค์จึงทรงวางผ้าลงบนถาดแล้วตรัสชวน
“ไปซ้อมกันต่อ”
ฟีเรียสหน้าตึง โกรธอย่างที่ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องโกรธขนาดนี้
“ฝ่าบาท”
เจ้าชายรามิเรสทรงเลิกพระขนงขึ้นนิดหนึ่ง ฟีเรียสมองพระพักตร์ แล้วก็ตัดใจไม่พูดอะไร
เขาหยิบกระบี่ของตัวเอง แต่อีกฝ่ายกลับยังไม่ทรงหยิบ
“โกรธข้าหรือ”
โกรธ แต่เมื่อถูกถามตรงๆ อย่างนี้ก็ทำเอาสะดุ้งไปเหมือนกัน
ถ้าพระองค์ตรัสถามว่าโกรธเพราะอะไร เขาคงทูลตอบไม่ถูก
จะบอกได้หรือ ว่าโกรธที่พระองค์รับผ้าเขาไปแล้วไม่เช็ดพระพักตร์
เขารินน้ำให้ก็ไม่ดื่ม ในเมื่อพระองค์ไม่ได้รับสั่งให้เขาทำให้
“ข้าก็โกรธเจ้า”
ฟีเรียสนิ่วหน้า
“อยู่กันสองคน ทำไมเจ้าเอาแก้วมาใบเดียว ผ้าก็ผืนเดียว”
“กระหม่อมดื่มน้ำกับเช็ดหน้าเช็ดตามาแล้วพระเจ้าค่ะ” ฟีเรียสยังคงไม่เข้าใจ ตกลงว่ากริ้วเพราะอะไรกันแน่
“กินก่อนเจ้าชายอีกหรือ”
นักเรียนองครักษ์หนุ่มพูดไม่ออกไปวูบหนึ่ง
“กระหม่อมขอประทานอภัยพระเจ้าค่ะ ต่อไปกระหม่อมจะไม่ทำอีก”
เขาไม่รู้ว่าเจ้าชายหกแห่งไมซีนทรง ‘เจ้ายศเจ้าอย่าง’ แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว และจะจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ
“ดี มีสองคนก็ต้องยกแก้วมาสองใบ ผ้าสองผืน ถึงจะกินแล้ว เช็ดหน้าเช็ดตามาแล้ว ก็ต้องเอามาสองเสมอ
ไม่อย่างนั้นข้าจะกินไม่ลง เช็ดไม่ถนัด”
ฟีเรียสมองอีกฝ่ายตาค้าง หัวใจเต้นตึกตักดังแรงกว่าปกติขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ข้าอยากจะเป็นเพื่อนกับเจ้า อยากให้เจ้าปฏิบัติต่อข้าเหมือนเพื่อน ไม่ใช่เจ้าชาย”
ฟีเรียสเข้าใจแล้ว เขารู้ว่าเจ้าชายหนุ่มกริ้วเพราะอะไร มีเจตนาอะไร เพียงแต่
“กระหม่อมทำไม่ได้พระเจ้าค่ะ” คนตอบกราบทูลอย่างจริงจัง “ฝ่าบาททรงเป็นเจ้าชาย”
“รับเจ้าชายเป็นเพื่อนสักคนไม่ได้หรือ”
คนฟังอึดอัดใจขึ้นมาทันที คนเป็นเจ้าชายไม่มีความจำเป็นต้องขอเป็นเพื่อนกับนักเรียนองครักษ์
แต่เจ้าชายหกแห่งไมซีนกลับรับสั่งราวกับว่ามันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับพระองค์นักหนา
ฟีเรียสก้มศีรษะและค้อมกายลง
“ขอประทานอภัยพระเจ้าค่ะ”
เขาเป็นเพื่อนกับพระองค์ไม่ได้ ต่อให้พระองค์ไม่ใช่เจ้าชาย เขาก็เป็นเพื่อนกับพระองค์ไม่ได้
ความรู้สึกที่มีให้เพื่อนต้องไม่ใช่แบบนี้ จริงอยู่ว่าเขาอาจจะเคยต้องตาพึงใจเพื่อนบางคน
แต่ก็ยังสามารถพูดได้เต็มคำว่าคนคนนั้นคือเพื่อน เพื่อนที่เขาจะไม่มีวันทำอะไรเพื่อให้ความสัมพันธ์สั่นคลอน
แต่กับเจ้าชายรามิเรส... กับคนที่เป็นผู้ชายคนแรก คนที่ทำให้เขาได้รับประสบการณ์ที่จะไม่มีวันลืมได้ไปชั่วชีวิต
... เขาเป็นเพื่อนกับพระองค์ไม่ได้จริงๆ
เจ้าชายหนุ่มทอดพระเนตรเจ้าของร่างสูงโปร่งที่ยังยืนก้มตัวอยู่ไม่ยอมเงยหน้าแล้วก็พระทัยหมองลงไปบ้าง
“เอาเถอะ ไม่เป็นก็ไม่เป็น” ฟีเรียสยืดตัวขึ้นมาแล้ว “รุ่นพี่ล่ะ”
“... อาจารย์เถิดพระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายรามิเรสแย้มพระสรวลงาม
“รุ่นพี่นั่นล่ะดีแล้ว อย่าพยายามทำให้ข้าแก่นักเลย”
ฟีเรียสอดยิ้มตามไม่ได้
“หายโกรธข้าแล้วใช่ไหม”
ชายหนุ่มชะงักยิ้ม วางหน้าไม่ถูกขึ้นมากะทันหัน
“กระหม่อมไม่ได้โกรธ...”
เจ้าชายหนุ่มทรงเลิกพระขนง ทำเอาสีหน้าของนักเรียนองครักษ์หนุ่มเกลื่อนรอยเก้อ
“ไม่ได้โกรธ... แล้ว พระเจ้าค่ะ”
“เด็กดี”
พลั้งโอษฐ์รับสั่งออกไปแล้วก็พลันชะงักไปทั้งคนพูดและคนฟัง ก่อนที่เจ้าชายรามิเรสจะทรงพระสรวลเสียงแผ่ว
“สงสัยจะแก่จริงอย่างที่เจ้าว่า”
tbc.
********************************************************
สั้นไปหน่อย แต่ว่าตอนหน้าจะยาวเป็นสองเท่าของตอนนี้นะคะ ^^
ป.ล. ชื่อเรื่องก็เอาเรื่องนี้ไปก่อนเนอะ ขืนเปลี่ยนคงฮาตายเลย