บทที่ ๘
“หม่อมฉันมาทูลชวนไปชมละครเพคะ”
หลังจากพูดคุยเรื่องสัพเพเหระได้สักพัก ในที่สุดอันธียาก็กราบทูลจุดประสงค์ที่แท้จริง
เจ้าชายรามิเรสทรงวางถ้วยพระสุธารสกาแฟลงบนจานรอง มหาดเล็กซึ่งยืนรอถวายงานอยู่
อีกด้านหนึ่งของอุทยานเดินเข้ามาจะรินถวายเพิ่ม ทว่าเจ้าชายหนุ่มทรงยกพระหัตถ์ขึ้นเป็นเชิงปฏิเสธ
เขาจึงถวายคำนับแล้วล่าถอยไปยืนอยู่ที่เดิม
“จีอา เพื่อนของหม่อมฉัน ลูกสาวของท่านเสนาบดีเกษตรเพิ่งตั้งโรงละครใหม่ชื่ออเธมีสเพคะ
ค่ำวันที่สิบสามนี้จะเปิดแสดงรอบปฐมทัศน์ หม่อมฉันได้บัตรมาสองใบเลยมาทูลชวนฝ่าบาทเสด็จไปด้วยกัน ทรงว่างไหมเพคะ”
“แสดงเรื่องอะไร”
“ไซคีกับอีรอสเพคะ”
แค่ฟังชื่อ เจ้าชายหนุ่มก็ทรงทราบว่าผู้ชายอย่างพระองค์ไม่ใช่เป้าหมายของละครเรื่องนี้
หรืออาจจะรวมถึงโรงละครโรงนี้ เมื่อพิจารณาจากตัวเจ้าของซึ่งเป็นเพื่อนกับพระคู่หมั้น
ก็พอจะทรงเดาได้ว่าลูกค้ากลุ่มหลักของหญิงสาวคงจะเป็นหนุ่มสาวในตระกูลชั้นสูงที่ปรารถนาความรักเป็นสรณะ
“จะเสด็จได้ไหมเพคะ ถ้าได้ หม่อมฉันก็จะดีใจมาก เรา เอ่อ... ไม่ได้ไปไหนด้วยกันมานานแล้วนะเพคะ”
เจ้าชายหกแห่งไมซีนแย้มพระสรวลอ่อนบาง
“ไปสิ ข้าว่าง ค่ำๆ ก่อนเวลาแสดงสักชั่วโมงข้าจะไปรับ”
บุตรสาวคนงามของเสนาบดีคลังแย้มยิ้มยินดีอย่างเปิดเผย
อันธียาแต่งกายงดงามเป็นพิเศษในค่ำคืนนั้น ชุดสีม่วงเข้มหรูหรางดงาม ทั้งยังช่วยขับผิวขาวๆ ให้กระจ่างตายิ่งขึ้น
เสื้อคอกว้างเปิดให้เห็นลำคอระหงได้อย่างชัดเจน เส้นผมสีน้ำตาลเข้มที่มักจะทิ้งตัวลงมาเป็นลอนสวยอยู่เสมอ
ถูกเกล้าเก็บขึ้นทั้งหมดเพื่อขับเน้นความยวนตาของลำคอขาวสะอาด เจ้าชายรามิเรสทรงชะงักไปเล็กน้อย
เมื่อทอดพระเนตรเห็น ก่อนจะแย้มพระสรวลอย่างพึงพระทัย
พระองค์ยังคง... ปกติดี
ส่วนการที่พระองค์ทรงหลับพระเนตรตั้งแต่ละครเริ่มแสดงไปได้ราวสิบนาที
และหลับพระเนตรตลอดสามชั่วโมงกว่าที่เหลือก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติเช่นกัน
เจ้าชายหกแห่งไมซีนเสด็จไปส่งพระคู่หมั้นถึงที่บ้าน และทรงจูบหลังมือของนางก่อนอำลา
รอยยิ้มคาดหวังของอันธียาเจื่อนจางลงไปทว่าก็พยายามรักษาสีหน้าเอาไว้ให้เป็นปกติที่สุด
ขณะยอบกายถวายพระพรลา คืนนั้นหญิงสาวนอนไม่ค่อยหลับนัก ตั้งแต่เป็นคู่หมั้นกันมา
ใช่ว่าพระองค์จะไม่เคยทรงจูบนางที่ปาก แม้จะเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ก็เรียกได้ว่าเป็น ‘จูบ’ ที่แท้จริง
แต่แทนที่ความสัมพันธ์จะก้าวหน้าขึ้น กลับดูเหมือนจะถอยหลังลง... เพราะอะไร
จะว่าเพราะทรงติดพระทัยนางคนไหนในหอบุปผาก็ไม่น่าจะใช่ ครั้งนั้น
นางมั่นใจทีเดียวว่าเจ้าชายหนุ่มเสด็จไปที่หอบุปผามา แต่ในเมื่อพระองค์ทรงปฏิเสธ
นางก็ฉลาดพอที่จะไม่ดึงดันยืนกราน และพระองค์ก็ไม่ได้เสด็จไปอีก
อย่างไรก็ตาม การไปชมละครคืนนั้นนับเป็นนิมิตหมายอันดีของการเริ่มต้นฟื้นฟูความสัมพันธ์ใหม่
“ช่วงนี้ฝ่าบาททรงออกงานกับอันธียาบ่อยนะพระเจ้าค่ะ”
มิทรอสกราบทูลเมื่อมาเข้าเฝ้าที่กรมสรรพาวุธในบ่ายวันหนึ่งด้วยเรื่องงาน
คุณชายหนุ่มเป็นนายทหารยศร้อยเอกสังกัดกรมทหารม้า
“ใกล้จะมีข่าวดีหรือยังพระเจ้าค่ะ”
“ขอให้เจ้าเป็นคนเดียวที่ไม่ถามเรื่องนี้กับข้า ข้าหวังมากไปไหม”
คุณชายหนุ่มสำลักยิ้ม “ไม่มากพระเจ้าค่ะ ต่อไปกระหม่อมจะไม่ทูลถาม แต่จะเป็นพระกรุณา
หากฝ่าบาทรับสั่งบอกกระหม่อมว่าจะโปรดให้กระหม่อมบอกคนที่มาถามกระหม่อมอีกต่อหนึ่งว่ายังไง”
“บอกไปว่า เรื่องส่วนพระองค์ ไม่ควรยุ่ง”
รอยยิ้มหายไปจากเค้าหน้าคมคายของคนฟัง
“กริ้วหรือพระเจ้าค่ะ” ที่จริงแล้วเขาถามผิด เขารู้ว่ากริ้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่ากริ้วใคร
เจ้าชายรามิเรสทรงนิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะทรงผ่อนพระปัสสาสะออกยาว “เจ้ากลับไปได้ ข้าจะทำงาน”
คุณชายหนุ่มขยับปากจะทูลถาม แต่แล้วก็ตัดสินใจทูลลาไปแต่โดยดีโดยไม่ลืมกราบทูลทิ้งท้ายว่า
“กระหม่อมปวารณาตัวเป็นคนฟังเสมอพระเจ้าค่ะ หากฝ่าบาทจะทรงเล่า”
นอกจากงานเลี้ยงกลางคืนแล้ว เจ้าชายรามิเรสยังเสด็จไปประพาสยังที่ต่างๆ
กับพระคู่หมั้นตามที่ฝ่ายหลังทูลชวนบ่อยๆ ไปกับนางตามลำพังบ้าง ไปกับกลุ่มเพื่อนของนางบ้าง
ใช่ว่าพระองค์จะไม่ทรงทราบว่านางต้องการอวดพระองค์กับกลุ่มเพื่อน
ทว่าในเมื่อพระองค์ไม่ได้ทรงเดือดร้อนอะไร ก็ทรงปล่อยให้นางทำไป
เช่นเดียวกันกับเรื่องสถานที่เที่ยว แม้ว่าจะเป็นงานเลี้ยงน้ำชาตามบ้านของชนชั้นสูง
โรงอุปรากร สนามม้า หรือสวนดอกไม้ซึ่งล้วนแต่ไม่ต้องรสนิยม
แต่ก็สามารถเสด็จไปได้โดยไม่ทรงรู้สึกเหนื่อยหน่ายมากนัก
ใช่ว่าพระองค์จะไม่ทรงทราบว่าพระคู่หมั้นของพระองค์มีรสนิยมอย่างไร กิจวัตรของนาง
ความชอบของนางไม่ต่างจากของบุตรสาวของขุนนางและชนชั้นสูงทั้งหลาย
แรกทีเดียวพระองค์มีพระดำริว่าหลังจากแต่งงานกันไปแล้ว ความชอบของนางจะไม่เป็นปัญหาสำหรับพระองค์
เพราะนอกจากงานสำคัญที่จำเป็นจะต้องออกด้วยกันแล้ว สถานที่อื่นๆ ที่นางชอบ
พระองค์จะประทานพระอนุญาตให้นางได้ไปตามใจชอบ เพียงแต่พระองค์คงจะไม่เสด็จไปด้วย
ต่างคนก็ต่างมีวิธีผ่อนคลายของตัวเอง เช่นนี้คงจะสามารถอยู่ด้วยกันไปได้อย่างราบรื่น
ทว่าตอนนี้ เหตุที่ต้องทรงเปลี่ยนพระจริยวัตรอย่างกะทันหันทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน
ก็เพราะมันจำเป็น พระองค์ทรงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า อันธียาจะสามารถช่วยแก้ปัญหาอีกอย่างหนึ่งให้พระองค์ได้
บ่ายวันหนึ่ง เจ้าชายรามิเรสเพิ่งเสด็จกลับจากการไปเยือนคฤหาสน์หลังใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จ
ของบิดาของเพื่อนคนหนึ่งของอันธียา พระองค์ทรงม้า ขณะที่อันธียานั่งรถม้า
แรกๆ พระองค์เคยประทับรถม้าไปกับนาง ทว่าหลังจากพบว่าถ้าพระองค์ไม่ทรงเงียบ
จนทำให้นางขยับตัวอย่างอึดอัดในบางเวลา ก็เป็นนางเองที่พูดคุยในเรื่องที่พระองค์ไม่ใคร่สนพระทัย
เพราะเหตุนี้จึงเปลี่ยนมาทรงม้าตามถนัด เพราะอย่างน้อย การได้อยู่ห่างกันบ้าง ไม่ต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลาก็ทำให้ความกระตือรือร้นที่จะได้พูดคุยกันเมื่อพบหน้ากันอีกครั้งมีมากขึ้น
การไปไหนมาไหนกับพระคู่หมั้นช่วยให้พระองค์...
พระดำริของเจ้าชายหนุ่มหยุดชะงักเมื่อสายพระเนตรทอดไปเห็นคนในความคิดคำนึงยืนอยู่ในแม่น้ำใต้สะพานหิน
ที่พระองค์กำลังทรงม้าข้ามผ่าน เห็นแค่แวบเดียวก็ทรงทราบว่าบรรดาครูในโรงเรียนองครักษ์พาเหล่านักเรียน
มาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ด้วยการขุดลอกคูคลอง แต่ละคนถอดเสื้อออกจนเหลือแต่กางเกงตัวเดียวลงไปยืน
ในแม่น้ำที่มีน้ำอยู่ไม่มากและขุดลอกคูคลองอย่างแข็งขัน
“เฮ้ย! ฟีเรียส”
แปะ! โคลนแฉะๆ ลอยไปแปะอยู่ที่กลางหน้าอกทันทีที่เจ้าของชื่อหันมาตามเสียงเรียก
“โรดีอัส!”
“ฮ่าๆๆๆๆ อุ้ก”
นักเรียนองครักษ์ผิวเข้มร่างใหญ่ยังคงหัวเราะออกแม้จะโดนอีกฝ่ายเอาคืนด้วยการขว้างโคลนก้อนหนึ่งมาโดนตัวบ้าง
หลังจากนั้นก็เป็นสงครามดินโคลนที่มีนักเรียนองครักษ์เข้าร่วมนับสิบคน
สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสนุกสนาน และความรื่นเริงของวัยเยาว์
โดยเฉพาะคนที่พระองค์ทรงจับตามองเป็นพิเศษ
“ฝ่าบาท” อันธียาเปิดม่านหน้าต่างรถม้าออกมาทูลเรียก เมื่อรถม้าของนางหยุดเคลื่อน “ทรงหยุด...”
หญิงสาวถึงแก่สะดุ้ง เมื่อเห็นว่าพระพักตร์ของเจ้าชายหนุ่มบึ้งตึงอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน
ครั้นมองตามสายพระเนตรไปเห็นบรรดาชายหนุ่มที่ทำงานไปเล่นไปอยู่ในแม่น้ำเบื้องล่าง นางก็เข้าใจ
“พวกนักเรียนองครักษ์นี่ช่างไร้ระเบียบวินัยกันจริงๆ นะเพคะ อย่างนี้สมควรบอกให้ผู้อำนวยการลงโทษให้เข็ดหลาบ...”
อันธียาพูดได้ไม่จบ เพราะเจ้าชายหนุ่มทรงกระตุ้นม้านำขบวนไปเสียก่อน
พังทลายแล้ว ความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดล้มเหลวลงแล้วเพียงได้พบหน้าแค่ครั้งเดียว
... อันธียาช่วยอะไรพระองค์ไม่ได้เลย
*******************************
ฟีเรียสยังคงมีงานพิเศษทำอยู่เป็นประจำ งานส่วนใหญ่มาจากคุณชายบ้านเสนาบดีกลาโหม
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเจ้าชายหกทรงมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ แต่เขาไม่อยากจะคิดมากให้เสียเวลา
เพราะคิดไปก็เท่านั้น ไม่มีประโยชน์อะไร บางครั้งเมื่อถึงคราวที่ได้หยุดกลับบ้าน เขาก็ไม่ได้กลับ
นอกเสียจากเขียนจดหมายไปหาแม่และน้อง ทั้งสองเข้าใจดีที่เขายังยืนกรานจะหาเงินมาถวายคืนเจ้าชายหกจนครบถ้วน
แม้อาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตก็ตาม
ฟีเรียสเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งแล้ว แต่เขายังนึกไม่ออกว่าจะถวายคืนอย่างไรดี
ปัญหาแรกคือไม่แน่ใจว่าจำนวนเงินน้อยเกินไปหรือไม่ พระองค์ทรงรวยมาก
เขาเพิ่งรู้จากโรดีอัส รายนั้นเป็นลูกชายของคหบดีใหญ่และเล่าว่าเจ้าชายรามิเรสทรง
บริจาคเงินเพื่อการกุศลครั้งละมากๆ ครั้งล่าสุดก็บริจาคเพื่อสร้างโรงพยาบาลโดยบริจาคร่วมกับพระคู่หมั้น
เงินที่เขาอุตส่าห์เก็บรวบรวมไว้ด้วยความพยายามอย่างมากคงเป็นได้เพียงเศษเงินของพระองค์
ปัญหาที่สองคือเขาไม่อยากเข้าเฝ้าโดยตรง แต่จะฝากคุณชายมิทรอสไปถวายก็กลัวว่า
คุณชายหนุ่มจะไม่รู้เรื่องนี้และเขาก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายสงสัยว่าเหตุใดเจ้าชายหนุ่มจึง
ประทานพระเมตตาให้เขามากถึงเพียงนี้
ถึงจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นระหว่างเขากับเจ้าชายหก และยังเป็นเจ้าของคฤหาสน์ริมผา
แต่เขาก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดว่าเขาได้รับพระเมตตาเพราะเจ้าชายหนุ่มต้องการจะชดเชยให้... มันน่าอาย
กลับจากไปเยี่ยมบ้านครั้งล่าสุด สิ่งที่เขานำติดตัวกลับมาและคิดว่าจะถวายให้เจ้าชายรามิเรสมีสองอย่าง
อย่างแรกคือแยมสตรอว์เบอร์รี่ที่เขาทำเองสองขวด แต่หลังจากคิดทบทวนมาตลอดการเดินทาง
ทันทีที่มาถึงหอพัก เขาก็ยกมันให้กับเพื่อนร่วมห้องไปทั้งสองขวด
อย่างที่สองคือฉลองพระองค์ที่เขายืมมา เสื้อผ้าชุดนั้นทำให้เขาถูกน้องสาวสงสัย
เฟย์พบมันในห่อผ้าที่ใช้แล้วของเขาขณะที่นางกำลังจะนำไปซัก เขาเองก็ลืมไปเสียสนิท
“ของพี่เอง พี่ต้องซื้อไว้ใช้ตอนไปงาน มันจำเป็น”
“ผ้าดีมากเลย ตัดเย็บละเอียดมากด้วย แพงไหมจ๊ะ”
ฟีเรียสบอกราคาไปส่งๆ เป็นราคาที่เขาคิดว่าแพงแล้ว ถึงกระนั้นน้องสาวของเขาก็ยังออกปากว่าถูก
โชคดีที่นางไม่สงสัยอีก และนำมันไปซักให้อย่างระมัดระวัง ตอนนี้เขาเก็บชุดนั้นไว้ในตู้เสื้อผ้าจนมันมีกลิ่นอับตู้อีกครั้ง
แต่เขาก็ยังไม่ได้คืน
“ข้าอยากให้เจ้าไปช่วยทำความสะอาดบ้านริมผาสุดสัปดาห์นี้”
มิทรอสบอกอย่างไม่อ้อมค้อมเมื่อนักเรียนองครักษ์หนุ่มมาหาเขาถึงที่บ้านเพื่อรับงานตามที่เขาเรียก
“ปกติที่นั่นจะมีคนไปทำความสะอาดเดือนละสองครั้ง แต่พรุ่งนี้ที่บ้านข้าจะไปเที่ยวกันที่เอลายน์” เขาหมายถึงเมืองท่าของไม่ซีน
“จะพาคนใช้ไปทั้งหมด ตอบแทนที่ช่วยทำงานอย่างแข็งขันมาตลอดทั้งปี มันเป็นธรรมเนียมของบ้านข้า
ไปสักสิบวัน กลับมาจะต้องใช้บ้านหลังนั้นต้อนรับแขกสำคัญของพ่อข้า
ข้าเลยอยากให้เจ้าไปช่วยทำความสะอาดเตรียมไว้”
คุณชายหนุ่มพูดยาวชนิดที่ตอบข้อสงสัยของฟีเรียสได้ทั้งหมดในคราวเดียว
ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมต้องเป็นเขาคนเดียว ทำไมถึงไม่ใช้คนอื่น
แม้เจ้าของบ้านไม่บอกฟีเรียสก็เดาได้ มันก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่ทำให้เขา
ได้งานทุกงานจากคุณชายหนุ่มผู้นี้นั่นล่ะ คือเพราะเจ้าชายรามิเรสเคยทรงออกโอษฐ์ขอให้พระสหายผู้นี้หางานให้เขาทำ
อะไรๆ ก็เจ้าชายรามิเรส ตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา ชีวิตของเขาดูจะไม่เคยหนีเจ้าชายพระองค์นี้พ้น
ขนาดว่าตัวไม่มา ชื่อก็ยังส่งอิทธิพลมาถึง
หวังเพียงแต่ว่า สุดสัปดาห์นี้เขาคงจะไม่เจอพระองค์ที่นั่น
tbc.
***********************************************************
สั้นไปหน่อยเนาะ แต่ก็ตัดได้ตรงนี้พอดีอ่ะค่ะ ตอนหน้าถึงจะได้เจอกันอีกที
คิดๆ ดูแล้วรามิเรสนี่ก็ออกจะทึ่มจริงๆ ด้วย แต่เขาก็อย่างนี้อ่าค่ะ เป็นคนใจเย็นแล้วก็เรื่อยๆ หน่อย
ตอบคุณ panari - ทาสรัก ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็จะพิมพ์กับสนพ.นาบูนะคะ
กำหนดออกคงจะราวๆ ปลายปีนี้ หรือไม่ก็อาจจะต้นปีหน้าน่ะค่ะ
(พอพูดว่าตั้งแต่มัธยมจนถึงวัยทำงานนี่ก็รู้สึกว่ามันช่างนานมาแล้วจริงๆ ด้วย)