บทที่ ๖เจ้าชายหกแห่งไมซีนพระทัยหายวูบเมื่อทอดพระเนตรไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในห้อง
หลังจากแน่พระทัยว่าคนร่วมห้องเมื่อคืนไม่ได้อยู่ในห้องน้ำแน่ก็เสด็จลงมาข้างล่าง
และตรงไปยังคอกม้าหลังคฤหาสน์
ม้าของฟีเรียสหายไป
เจ้าชายหนุ่มทรงผ่อนพระปัสสาสะออกเบาๆ ยอมรับว่าพระองค์ไม่ได้ทรงดำริมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะหนีไปดื้อๆ เช่นนี้
แม้จะเห็นใจฝ่ายนั้น แต่ก็อดจะทรงตำหนิไม่ได้ ว่าควรจะกราบทูลพระองค์สักคำ
แค่บอก... ก็จะอนุญาตให้กลับไปแต่โดยดี
ถึงจะยังอายุน้อย แต่อีกครึ่งปีก็จะเรียนจบแล้ว
จะเป็นองครักษ์ แต่ยังไม่ค่อยเป็นผู้ใหญ่แบบนี้... จะไหวหรือ
พระองค์ไม่ได้กริ้วเขาหรอก เพียงแต่ทรงผิดหวัง ทว่าขณะที่กำลังจะเสด็จขึ้นบันไดตรงมุขด้านหน้า
เจ้าชายหนุ่มก็ทรงได้ยินเสียงฝีเท้าม้าเสียก่อน
ฟีเรียสเปลี่ยนทิศทางเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่หน้าบ้าน ชายหนุ่มลงจากหลังม้าแล้วยืนชิดเท้าถวายความเคารพ
เจ้าชายรามิเรสแย้มพระสรวล
“ไม่ต้องคำนับกันบ่อยๆ ก็ได้”
แต่ฟีเรียสคิดว่ามันเป็นเรื่องจำเป็น อย่างน้อย ในเวลาที่ไม่รู้ว่าจะต้องพูดหรือทำอะไร ก็ใช้แก้เก้อได้
“ไปไหนมาหรือ”
“กระหม่อมไปตลาดข้างล่างพระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายหนุ่มทอดพระเนตรตะกร้าสานที่ผูกอยู่กับที่ห้อยของบริเวณคอม้าแล้วก็แย้มพระสรวลอีก
คำว่า ‘แม่บ้านแม่เรือน’ ผุดขึ้นมาในพระดำริอย่างกะทันหัน
“ข้าคิดว่าเจ้ากลับไปแล้ว” ถ้อยรับสั่งเจือความรู้สึกผิดอยู่หลายส่วน
ฟีเรียสเผลอขมวดคิ้ว... นี่คิดว่าเขาเป็นคนไร้มารยาทถึงเพียงนั้นเชียวหรือ จู่ๆ ก็หนีไปโดยไม่บอกกล่าว
อย่างไรก็ดี ชายหนุ่มค้อมศีรษะลงอีกครั้ง
“ขอประทานอภัยพระเจ้าค่ะ ที่ไม่ได้ขอประทานพระอนุญาตก่อน”
คนฟังเกือบจะทอดถอนพระทัยอีกหน
“ไม่ต้องถึงขนาดขออนุญาตก็ได้ ข้าแค่... ตกใจ” ในที่สุดก็ตัดสินพระทัยบอกความรู้สึกแรกที่พระองค์ทรงรู้สึกจริงๆ ออกมา
ว่าที่องครักษ์หนุ่มขยับริมฝีปากจะอธิบาย แต่แล้วก็นิ่งเงียบ
“เอาม้าไปเก็บเถอะไป”
ชายหนุ่มโค้งตัวอีก ก่อนจะปลดตะกร้าลงมาถือไว้มือหนึ่ง อีกมือหนึ่งถือสายบังเหียน
“ส่งตะกร้ามาก่อนก็ได้ ข้าจะถือเข้าไปให้”
คราวนี้นักเรียนองครักษ์หนุ่มมีท่าทีตกใจ
“ไม่เป็นไรพระเจ้าค่ะ กระหม่อมถือเอง”
“ในตะกร้ามีของสำคัญหรือ”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “ไม่มีพระเจ้าค่ะ”
“งั้นก็ส่งมา”
ฟีเรียสยอมยื่นถวายแต่โดยดี เขาแค่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีน้ำใจ ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ได้เกี่ยวกับน้ำใจเสียทีเดียว
มันเป็นเรื่องของความเหมาะสม... เรื่องถือตะกร้านี่มันหน้าที่แม่บ้าน แต่ตอนนี้ที่มีแค่เจ้าชายกับว่าที่องครักษ์
คนถือก็ต้องเป็นว่าที่องครักษ์อยู่แล้ว... ไม่ใช่เจ้าชาย
อย่างไรก็ดี อีกฝ่ายทำให้เขาแปลกใจตั้งแต่เสด็จออกจากบ้านมาทั้งฉลองพระองค์ชุดนอนนั่นล่ะ
คงจะออกมาเดินเล่น... ไม่ใช่เพราะรีบร้อนตามหาเขาหรอก... ใช่ไหม
ตะกร้าจ่ายของวางอยู่บนโต๊ะในครัวเรียบร้อยแล้วเมื่อฟีเรียสเดินเข้าไป แต่คนที่ทรงถือเข้ามาไม่อยู่
ชายหนุ่มเดาว่าอีกฝ่ายอาจจะกำลังสรงน้ำ
จะต้องขึ้นไปช่วยรึเปล่า... จู่ๆ ความคิดนี้ก็ผุดขึ้นในหัว
เขาได้ยินมาว่าบรรดาเจ้าชายทั้งหลายจะต้องมีมหาดเล็กคอยถวายงานแม้แต่เรื่องนี้
ก็ไม่รู้หรอกว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่เมื่อคืนนี้อีกฝ่ายก็อาบน้ำแต่งตัวเองได้ไม่ต้องให้เขาช่วยทำอะไรถวาย
และเมื่อคืนเขาก็มัวแต่เครียดจนไม่ได้คิดถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้
เช้านี้ก็เลยตามเลยก็แล้วกัน
เมื่อเจ้าชายหกแห่งไมซีนทรงเยี่ยมพระพักตร์เข้ามาในห้องครัวก็พบว่าคนร่วมบ้านจัดโต๊ะอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว
และยืนรออยู่ราวกับมหาดเล็กประจำห้องเสวยก็ไม่ปาน ทั้งยังทำท่าจะมาเลื่อนเก้าอี้ถวายเสียอีก
ทว่าพระองค์ทรงชิงเลื่อนเองเสียก่อน
“นั่งสิ” ทั้งที่นอนเตียงเดียวกันมาทั้งคืน แต่กลับมีท่าทีห่างเหินกว่าเมื่อวานเสียอีก
ฟีเรียสนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“ขอเดชะฯ หากฝ่าบาทไม่ทรงมีงานอะไรจะให้กระหม่อมทำถวายอีก กระหม่อมขอประทานพระอนุญาตกลับบ้านพระเจ้าค่ะ”
คราวนี้ต่างฝ่ายต่างเงียบ ก่อนที่คนประทับหัวโต๊ะจะทรงย้ำคำเดิม
“นั่งสิ”
ว่าที่องครักษ์หนุ่มปฏิบัติตามรับสั่ง คิดไปเองว่าสายพระเนตรของคนที่มองตรงมานิ่งๆ นั่นแทนความหมายที่ว่า
... จะต้องให้ข้าตักข้าวให้ด้วยไหม
ฟีเรียสตักข้าวในโถถวายเงียบๆ
“จานของเจ้าล่ะ”
คนถูกถามขยับริมฝีปากจะปฏิเสธอีกหน แต่แล้วก็เพียงแค่ลุกเดินไปหยิบจานและช้อนส้อมมาเพิ่ม ตามด้วยตักข้าวให้ตัวเอง
“เจ้าหุงข้าวเองหรือ” พระสุรเสียงของเจ้าชายหนุ่มอ่อนกว่าปกติ
“พระเจ้าค่ะ ขอประทานอภัย” แฉะไปหน่อย เขาใส่น้ำเยอะเกินไป ข้าวที่นี่ทั้งนิ่มและหอม ไม่เหมือนข้าวแข็งๆ ที่เขากินอยู่ทุกวัน
“ขอซื้อได้ไหม”
ฟีเรียสขมวดคิ้ว
“คำว่า ‘ขอประทานอภัย’ ของเจ้า”
ทั้งที่คิดแล้วว่าถามดีๆ แต่คนฟังกลับมีสีหน้าเรียบเฉยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ราวกับได้ถอยตัวห่างออกไปทั้งที่ก็นั่งอยู่ที่เดิม แทบจะใกล้เพียงแค่ยื่นมือออกไปหา
“ไม่ต้องซื้อหรอกพระเจ้าค่ะ ฝ่าบาททรงจ่ายให้กระหม่อมมามากแล้ว” แค่ตรัสสั่งมาสักคำ เขาก็ต้องทำตาม
สถานการณ์ที่แทบจะตรงกันข้ามกับที่ตั้งพระทัยไว้ทำให้เจ้าชายรามิเรสทรงหนักพระทัยขึ้นมาทันที
ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะคิดว่าพระองค์พระทัยดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพระองค์จะทรงยอมอ่อนข้อให้ใครง่ายดายนัก
เห็นอย่างนี้... ที่จริงแล้วก็แทบจะไม่เคยทรงง้อใคร ไม่จำเป็น แล้วก็ไม่ใช่ในกรณีที่พระองค์ไม่ได้ทรงผิด แต่อีกฝ่ายคิดไปเอง
เอาแต่คิดไปเองมาหลายครั้งหลายครา
“กินข้าวเถอะ”
หนึ่งเจ้าชาย หนึ่งนักเรียนองครักษ์นั่งทานอาหารเช้าด้วยกันเงียบๆ บรรยากาศค่อนข้างอึมครึม
ทั้งที่บนโต๊ะมีแจกันใส่ดอกไม้สีเหลืองสดใสประดับอยู่ และแสงแดดยามเช้า
ที่สาดส่องเข้ามาทางบานกระจกหน้าต่างตลอดผนังด้านหนึ่งก็แสนจะอบอุ่นนุ่มนวล
“ฝ่าบาท” ฟีเรียสเป็นฝ่ายทูลเรียกขึ้นก่อนเบาๆ
เจ้าชายหนุ่มทรงตอบรับด้วยท่าทีรอฟัง
“กระหม่อมขอประทานอภัยพระเจ้าค่ะ”
ดูท่าว่าชายหนุ่มจะไม่ยอมยกคำคำนั้นถวายให้โดยง่าย ขณะที่เจ้าชายหนุ่มทรงดำริว่าก็ยังดีที่รู้จักขอโทษ
ฟีเรียสก็กราบทูลเรื่องที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
“ที่หยิบฉลองพระองค์มาใช้โดยไม่ได้ขอประทานพระอนุญาต”
คนฟังทั้งทรงผิดหวังและทั้งระอา
“ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้ไม่จำเป็นต้องขอโทษ” พระองค์ไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่างถึงปานนั้น
เมื่อคืนนี้ก็โปรดให้อีกฝ่ายยืมฉลองพระองค์ชุดนอนไป
ว่าที่องครักษ์คนนี้ช่างคิดเล็กคิดน้อยเหลือเกิน
“ทั้งชุดเมื่อคืนและชุดนี้ กระหม่อมจะซักแล้วนำมาถวายคืนให้เร็วที่สุดพระเจ้าค่ะ”
“เจ้าซักผ้าเป็นหรือ”
เห็นได้ชัดว่าคนถูกถามประหลาดใจนัก เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตรัสถามเรื่อง ‘เรื่อยเปื่อย’ เช่นนี้
“กระหม่อมซักเป็นพระเจ้าค่ะ” แต่ไม่ว่าจะเป็นคำถามแบบไหน ตามมารยาทแล้วก็ต้องทูลตอบทั้งสิ้น
“แล้วจะซักชุดให้ข้า”
ทั้งคนถามและคนถูกถามไม่รู้ว่าคำถามนั้นมาได้ยังไง แต่หลังจากเกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่ง
จู่ๆ ต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกเก้อๆ แปร่งๆ ขึ้นมา
“กระหม่อมจะขอให้แม่ช่วยซักให้พระเจ้าค่ะ” เงียบไปครู่จึงทูลเสริม
“นางซักผ้าสะอาดมาก คงไม่ทำให้ฉลองพระองค์เสียหาย... ยกเว้นแต่ว่าจำเป็นต้องทำความสะอาดด้วยวิธีพิเศษ”
คิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันนิดๆ บ่งบอกความกังวลใจอย่างแท้จริง และนั่นทำให้เจ้าของชุดแทบจะทอดถอนพระทัยออกมาดังๆ
ห่วงแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ๆ... ถึงอีกฝ่ายไม่บอก ถึงพระองค์จะไม่ทรงทราบแน่ชัด
แต่ก็เดาได้ว่าฟีเรียสคงจะเลือกชุดที่ดูเรียบและ ‘เก่า’ ที่สุดมาสวมแล้ว
“ข้าแค่จะบอกว่าใส่ไปเถอะ ไม่ต้องเอามาคืน ชุดเมื่อคืนก็ทิ้งไว้ที่นี่ให้แม่บ้านซัก”
คนฟังดูเหมือนจะคอแข็งขึ้นนิดหนึ่ง
“กระหม่อม...” ไม่รับบริจาคเสื้อผ้า
ฟีเรียสเก็บกลืนบางคำลงไปในคอ ก่อนจะกราบทูลเบาๆ แต่หนักแน่น
“จะนำมาถวายคืนพระเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้อง” รับสั่งตอบเรียบ สั้น
ฟีเรียสนิ่งไปนิดหนึ่ง มองสีพระพักตร์หยั่งพระอารมณ์
“ถ้าอย่างนั้น กระหม่อมจะเปลี่ยนเป็นชุดของกระหม่อมก่อนกลับ” ถึงจะคิดว่า ใส่แล้วก็ควรรับผิดชอบด้วยการซักก็เถอะ
แต่เสื้อผ้าดีๆ แบบนี้ ถ้าซักไม่ดีก็อาจจะ...
“ข้าอนุญาตให้เจ้ากลับแล้วหรือ”
ว่าที่องครักษ์หนุ่มชะงักกึก เมื่อเห็นว่าสีพระพักตร์ของเจ้าชายหนุ่มดูจะเข้มงวดขึ้นกว่าปกติ
เขาก็เริ่มสำเหนียก สังหรณ์ใจแล้วว่า เขาอาจด่วนสรุปเกินไปว่าเจ้าชายหกแห่งไม่ซีนไม่เคยทรงถือสาอะไรใคร
ขึ้นชื่อว่า ‘เจ้าชาย’ เรื่องที่จะไม่เอาแต่ใจ ไม่ใช้อำนาจ... เห็นจะเป็นไปไม่ได้
เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
“ฝ่าบาทไม่ประทานพระอนุญาตหรือพระเจ้าค่ะ” ชายหนุ่มทูลถามเรียบๆ
สายตาสองคู่มองสบกัน ก่อนที่ผู้ต่ำศักดิ์กว่าจะเป็นฝ่ายเบือนหลบ
เจ้าชายรามิเรสทรงค่อยๆ ผ่อนพระปัสสาสะออกยาว ช้า
ไม่นึกว่าแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถเลยเถิดจนทำให้อารมณ์ขุ่นมัวด้วยกันทั้งสองฝ่ายได้
“เจ้าคิดถึงบ้านมากหรือ” พระสุรเสียงอ่อนลงเล็กน้อย
“... พระเจ้าค่ะ”
“งั้นก็กินให้อิ่มแล้วค่อยไป”
ฟีเรียสมองพระพักตร์อย่างไม่แน่ใจ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคงไม่ทรงล้อเล่นแน่
จึงกราบทูลขอบพระทัยด้วยความรู้สึกโล่งใจระคนวูบโหวงบางเบา
ต่างฝ่ายต่างทานอาหารเงียบๆ ต่อไปอีกครู่ ฟีเรียสวางช้อนหลังจากเจ้าชายหนุ่มทรงวางเพียงเล็กน้อย
ทว่าฝ่ายหลังยังตรัสชวนให้กินผลไม้ที่เขาซื้อมาเมื่อเช้า
“เจ้าชอบสตรอเบอร์รี่หรือ”
“พระเจ้าค่ะ” เห็นอีกฝ่ายเสวย เขาก็ทูลถามบ้าง หวังคลี่คลายบรรยากาศ “ฝ่าบาทก็โปรดหรือพระเจ้าค่ะ”
“ข้าชอบผลไม้ทุกชนิด” เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวล “ถ้าอยู่ที่ตำหนักจะต้องมีผลไม้หลังอาหารทุกมื้อ
แต่ถ้าไปที่อื่นไม่มีก็ไม่เป็นไร ข้าไม่อยากเรียกร้องมาก ประเดี๋ยวใครจะหาว่าเป็นเจ้าชายเรื่องมาก ลำบากคนอื่นไปหามาเอาใจ”
สีหน้าคนฟังแสดงออกชัดโดยไม่รู้ตัว และเจ้าชายรามิเรสก็แย้มพระสรวลจางๆ อย่างไม่ทรงถือสา
แม้จะอ่านได้ความว่า... รับสั่งบอกกระหม่อมทำไม
อย่างไรก็ดี ฟีเรียสยังคิดว่า เป็นถึงเจ้าชาย แค่ต้องการผลไม้หลังอาหารทุกมื้อยังนับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย
ไม่ถือว่า ‘เรื่องมาก’ อย่างที่รับสั่ง... เจ้าชายพระองค์นี้ทรง ‘เกรงใจ’ คนอื่นมากไป... ในบางเรื่อง
ฟีเรียสไม่มีม้า ทุกครั้งเวลาได้กลับบ้าน เขาจะขอโดยสารไปกับคณะเดินทางของพ่อค้าที่เดินทางจากเมืองหลวง
กลับไปบ้านเกิดของเขาซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ถัดจากเมืองหลวงไปไม่ไกล แต่ขบวนเดินทางที่มีแต่วัวเทียมเกวียน
บรรทุกสินค้าเต็มเล่มย่อมทำให้การเดินทางล่าช้า ชายหนุ่มอยู่ที่บ้านได้ไม่กี่วันก็ต้องเดินทางกลับ
เฟย์... น้องสาวของเขาบอกให้เขาเช่าม้า แต่เขาอยากจะประหยัดเงินไว้ใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นมากกว่า
จึงใช้บริการม้าเช่าเพียงไม่กี่ครั้ง... เฉพาะเวลาที่ต้องกลับไปดูแลมารดาที่เจ็บป่วยไม่สบาย
หรือตอนที่เขาอยากได้กำลังใจจากคนในครอบครัว อยากเห็นหน้าให้เร็วที่สุด
เพื่อหวังบรรเทาความทดท้อหรือเหนื่อยล้าจากเรื่องต่างๆ
เดินทางครั้งนี้ เจ้าชายรามิเรสประทานทั้งเสื้อผ้าและม้าดีให้ และฟีเรียสก็รับไว้ สองคนพบกันครึ่งทางที่คำว่า ‘ให้ยืม’
ทว่าก่อนที่จะ ‘พบกันครึ่งทาง’ ได้ก็ทำเอาเจ้าชายหนุ่มทรงเหน็ดเหนื่อยพอสมควร
เพราะฟีเรียสยืนกรานจะไม่ยอมรับม้าทรงสีขาวปลอดของพระองค์ท่าเดียว
“เจ้าตัวสีน้ำตาลที่เจ้าขี่มานั่นมีกำหนดตรวจสุขภาพประจำปีอีกห้าวันข้างหน้า แต่ม้าของข้าตรวจเรียบร้อยแล้ว”
“นั่นเป็นม้าทรงของฝ่าบาท กระหม่อมมิบังอาจพระเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร ข้าให้ยืม”
“กระหม่อมรับไม่ได้พระเจ้าค่ะ”
“มันก็เหมือนม้าตัวอื่นๆ เดินทางได้ดี กินอาหารง่ายๆ เจ้าไม่จำเป็นต้องดูแลมันเป็นพิเศษ”
“กระหม่อมมิบังอาจ” ชายหนุ่มกราบทูลคำเดิมเป็นครั้งที่สอง
“เจ้าคิดว่าบังอาจนี่น่าจะหมายถึง เอาม้าของข้าไปใช้ หรือปฏิเสธความหวังดีของข้า”
ฟีเรียสยืนนิ่ง เขารู้ล่ะว่าพระองค์กำลังทรงใช้อำนาจที่มีอยู่เต็มเปี่ยมมาบีบบังคับ แต่ที่น่าขัดใจก็คือ
เขาโกรธพระองค์ไม่ลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพระองค์รับสั่งย้ำด้วยพระสุรเสียงอ่อนๆ
“รับไปเถอะ เพกาซัสเป็นม้าดี ข้าจะได้ไม่ห่วงเจ้า”
รับสั่งจบ ทั้งคนพูดและคนฟังก็ดูจะเก้อกระดากขึ้นมาพร้อมๆ กัน
นั่นล่ะ เหตุผลที่ทำให้คนต่ำศักดิ์กว่าคิดหาคำพูดมาแย้งต่อไม่ออก
“ฝ่าบาท” ว่าที่องครักษ์หนุ่มลังเลนิดหนึ่ง ก่อนจะกราบทูลคนที่อุตส่าห์เสด็จออกมาส่งเขาถึงคอกม้าทั้งที่ไม่จำเป็นเลย
“จะโปรดให้กระหม่อมเซ็นสัญญาหนี้ไว้เป็นหลักประกันก่อนหรือไม่พระเจ้าค่ะ”
เขาไม่สามารถ ‘ขายตัว’ เพื่อปลดหนี้ได้อีกแล้ว
“ไม่ต้อง” ตั้งแต่รู้จักกับว่าที่องครักษ์หนุ่มผู้นี้มา พระองค์เกือบจะต้องทอดถอนพระทัยวันละหลายๆ รอบ
“หลังจากกระหม่อมกลับมาแล้วค่อยเซ็น หรือพระเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องเซ็น”
ฟีเรียสนิ่วหน้า
“ถือเสียว่าเป็นสัญญาใจทั้งเซ็นยืมเซ็นจ่าย เจ้าจ่ายมาแล้วเท่าไรข้าจะจดไว้ รับรองไม่โกง”
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะทรงโกง และเจ้าชายหนุ่มก็คงไม่ทรงเดือดร้อนสักนิดหากว่าเขาจะโกง
เพียงแต่... เขาไม่ต้องการมี ‘สัญญาใจ’ กับใคร
โดยเฉพาะกับ ‘เจ้าชาย’ เจ้าชายที่เป็น ‘ผู้ชาย’ คนแรกของเขา
“ขอได้ทรงโปรด ให้กระหม่อมเซ็นเถิดพระเจ้าค่ะ”
“ฟีเรียส” นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าชายหนุ่มทรงเรียกชื่อเขาตรงๆ “เจ้าไม่เชื่อใจข้าหรือ”
“ฝ่าบาททรงเชื่อใจกระหม่อมหรือพระเจ้าค่ะ”
“เชื่อ”
คนฟังชะงัก รู้สึกว่ารับสั่งง่ายๆ นั้นเปี่ยมความจริงใจอย่างประหลาด ทั้งยังตอบเร็วเสียจนหัวใจของเขาวูบไหว
“แต่...”
“ผู้ใหญ่บอกอะไรก็ต้องเชื่อ ให้อะไรก็ไม่ควรปฏิเสธ ไม่เคยได้ยินหรือ”
ก็เพิ่งจะเคยนี่แหละ ปกติมีแต่ได้ยินว่าอย่าเชื่อใครง่ายๆ ยิ่งคนผ่านโลกมามากยิ่งหลอกลวงเก่ง
ว่าแต่... อีกฝ่ายอายุมากกว่าเขาสักเท่าไรเชียว ถึงรับสั่งแทนองค์ว่า ‘ผู้ใหญ่’ ได้เต็มปากเต็มคำ
“เจ้าไปเถอะ”
ฟีเรียสยืนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะกราบทูลขอบพระทัย แล้วตัดสินใจขึ้นม้า
“แล้วพบกัน”
ประโยคนั้นดังขึ้นเมื่อว่าที่องครักษ์หนุ่มกระตุ้นม้าจากมาแล้ว เขาขยับใบหน้านิดหนึ่งเหมือนจะหันกลับไป
ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้เหลียวกลับไปมอง เพียงกระตุ้นม้าให้เร่งฝีเท้าขึ้น
อย่าได้พบกันอีกเลยเป็นดีที่สุด
tbc.
**************************************************
ยืนยันว่าไม่ดราม่าหรอกค่ะ (พิจารณาตามมาตรฐานส่วนตัว)
คือถ้าจะมีเรื่องให้เสียใจบ้างก็นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนคิดมากอย่างฟีเรียส