(ต่อ)
ผมนั่งมองนักโทษเด็ดขาดคนหนึ่งถูกนำตัวเข้ามาในห้องด้วยท่าทางสงบผ่านกระจกใสและลูกกรงเหล็กแข็งแรงอีกสองชั้น เมื่อเขานั่งลงตรงข้ามกับผมและยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู ผมจึงทำแบบเดียวกัน
“แกใส่ชุดดำมาอีกแล้วทั้งที่รู้ว่าฉันไม่ชอบ”
“ครับ”
“สีนี้มันไม่เหมาะกับแกหรอก ..ไม่เหมาะกับฉันเหมือนกัน”
“แต่คุณดูเหมาะกับชุดนักโทษดีนะครับ”
“ใครจะเหมาะกับมันเท่าฉันอีกล่ะ” เขาพูดยิ้มๆ “แต่จะว่าไปก็เริ่มคิดถึงสูทอิตาลีเหมือนกันนะ”
บนใบหน้าที่หนวดเคราถูกโกนเพียงลวกๆ นั้นมีจำนวนริ้วรอยเพิ่มขึ้นทีละน้อยทุกครั้งที่ผมได้เห็น ความจริงแล้วเขาไม่ได้ดูเหมาะกับชุดนักโทษเลยสักนิด ทั้งรูปร่างหน้าตาที่แม้จะร่วงเลยเข้าวัยกลางคนแล้วก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และแรงดึงดูดที่น่าประหลาด ทั้งน้ำเสียงทุ้มนุ่มชวนฟังเวลาพูดจา หรือท่าทางสุภาพ ใจเย็น แบบสุภาพบุรุษ.. ทุกอย่างที่เห็นในตัวเขามันดูขัดกับสถานที่และเครื่องแบบที่ใส่อยู่อย่างที่ใครก็คงจินตนาการไม่ออก เขาดูแปลกแยกจากคนอื่นอย่างชัดเจน คนแบบเขาไม่น่ามีอยู่ในที่แบบนี้ได้.. แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ ถ้าใครได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา คุณก็จะรู้เองว่าไม่มีสถานที่ไหนในโลกใบนี้ที่เหมาะกับเขาเท่า ‘เรือนจำ’ อีกแล้ว
“ท่าทางยังดูแข็งแรงดีนี่ครับ”
“คงทำให้แกผิดหวังน่าดูเลยสิ”
“ครับ ผมเฝ้ารอให้ทางเรือนจำแจ้งให้มารับศพคุณอยู่ตลอดแหล่ะ แต่มันก็ยังไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักครั้ง”
“แหงล่ะ ไม่งั้นฉันคงไม่ได้มานั่งคุยกับแกแบบนี้หรอก ลูกชาย” เขาหัวเราะเบาๆ
ใช่ ผมเป็น ‘ลูกชาย’ เขา เพราะเขาคือ ‘พ่อ’ ของผม ทุกปีพอใกล้ถึง ‘วันพ่อ’ ผมก็จะมาเยี่ยมเขาแบบนี้ ทำมา 4 ปีแล้วตั้งแต่ผมเริ่มมาที่นี่คนเดียวได้ ส่วนก่อนหน้านี้แม่ผมเคยพามาบ้าง นานๆ ครั้ง ตามคำขอร้องของเขาก่อนเข้าคุก
“ยิ่งโตแกก็ยิ่งเหมือนฉัน” เขาพูดหลังใช้เวลาพิจารณาใบหน้าผมอยู่ครู่หนึ่ง
“ถือเป็นความโชคร้ายของผมเอง”
เป็นความจริงที่ไม่น่าดีใจนักที่ผมดันเกิดมามีหน้าตาละม้ายคล้ายเขา ไม่ว่าจะโครงหน้า จมูก ตา หรือกระทั่งเวลายิ้ม ทุกครั้งที่ผมส่องกระจก ผมก็มักจะมองเห็นใบหน้าของใครอีกคนซึ่งมีอายุมากกว่าซ้อนทับอยู่เสมอ ..ใช่ว่าผมอยากให้มันเกิดขึ้นซะเมื่อไหร่
“คงมีแค่แกที่คิดแบบนี้”
“แม่ก็คงคิดแบบนี้เหมือนกัน”
“แม่แกเป็นยังไงบ้าง?”
“สบายดี.. มีพ่อหม้ายนายพลมาตามจีบ” ผมพูดแล้วรอดูปฏิกิริยาของเขา
“ฟังดูดีนี่” เขายังคงควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีเยี่ยมจนน่าหงุดหงิดเช่นเดิม “แต่หมอนั่นคงต้องไปตามหาแม่หม้ายคนใหม่แล้วล่ะ ตราบใดที่แม่แกยังไม่ลืมว่าใครเป็นคนส่งฉันเข้ามาอยู่ในนี้ เธอคงทำใจมีผัวใหม่ไม่ได้หรอก ฉันรู้จักเธอดี”
คนที่มีส่วนสำคัญทำให้เขาต้องเข้ามาอยู่ในนี้ก็คือแม่ผมเอง ถ้าแม่ไม่ขึ้นเป็นพยานฝ่ายโจทย์ในคดีสำคัญตามคำแนะนำของตำรวจเจ้าของคดีและที่เป็นเพื่อนกับคนรักเก่าของแม่ เขาก็อาจจะดิ้นหลุดจากโทษทัณฑ์ไปได้ด้วยอำนาจเงินและเส้นสายที่มีอยู่ในมือตอนนั้น
ทุกวันนี้แม่ก็ยังรู้สึกผิดต่อเขาอยู่ แต่เพื่อความถูกต้อง และอนาคตของลูกๆ แม่จึงไม่เคยนึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป แม่เคยบอกผมแบบนั้น ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ แม่ก็คงจะทำเหมือนเดิม
“แต่ถ้าคุณตายมันก็อีกเรื่อง”
“นั่นคงนานหน่อยแหล่ะ ฉันว่าจะอยู่ชดใช้โทษให้หมดซะก่อน..” คนพูดยิ้มขำๆ “เป็นไง ฟังดูเป็นคนดีขึ้นไหม?”
“โทษ 120 ปี..”
มันอาจฟังดูเหมือนเรื่องตลกที่มนุษย์คนหนึ่งซึ่งมีอายุไขไม่น่าจะเกิน 100 ปี แต่กลับต้องโทษทัณฑ์ให้ต้องจำคุกถึง 120 ปี แต่ถ้าดูจากคดีที่เขาเคยก่อทั้งบงการอุ้มฆ่า ลักพาตัว มาเฟีย ยาเสพติด และอื่นๆ เท่าที่สมองชั่วร้ายของเขาจะคิดได้ การรอดพ้นจากโทษประหารมาได้ถือเป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อยิ่งว่า ทั้งนี้เนื่องจากหลายคดีร้ายแรงถูกศาลยกฟ้องเพราะว่าหลักฐานยังอ่อนเกินไป หนึ่งในนั้นก็มีคดีลักพาตัวนักธุรกิจชาวฮ่องกง คนรักเก่าของแม่ และเป็นพ่อแท้ๆ ของพี่หงษ์พี่สาวของผมรวมอยู่ด้วย
หลังจากพ่อพี่หงษ์หายสาบสูญ(ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเสียชีวิตไปแล้ว) แม่ก็ถูกยื่นข้อเสนอให้แต่งงานใหม่กับ ‘เขา’ พ่อของผม เพื่อแลกกับความอยู่รอดของตัวเอง หนี้สินก้อนโตของสามีที่ไม่รู้ว่ามาได้ยังไง และสุดท้ายคืออนาคตของลูกสาววัย 3 ขวบ(ในขณะนั้น) เหตุผลข้อหลังสุดทำให้แม่ตัดสินใจยอมรับข้อเสนอนั้นแต่โดยดี
ถัดจากนั้นอีก 1 ปี ก็มีผมคนนี้ออกมา..
เขาปฏิบัติแม่และลูกๆ อย่างดีตามที่ให้คำสัญญา เขารักแม่มากกว่าใครทั้งหมด และแม่เองก็ตกหลุมรักเขาเช่นกัน แต่ทั้งหมดนั่นมันก็ไม่ได้ทำให้แม่ลืมว่าผู้ชายคนนี้เคยทำเรื่องเลวร้ายอะไรไว้บ้าง เมื่อได้รับคำข้อร้องจากเพื่อนรักของสามีเก่าที่ติดตามคดีของเขามาหลายปี แม่จึงตกลงให้ความร่วมมือ
แม่เล่าเรื่องพวกนี้ให้ผมฟังเพื่อให้ผมรู้ว่าผมเป็นใคร และพ่อของผมเป็นใคร มาจากไหน เคยทำอะไรไว้บ้าง ไม่ใช่เพื่อให้ผมเกลียดเขา แต่อยากให้ผมให้อภัยแก่เขา และเก็บเรื่องราวของเขาไว้เป็นเครื่องเตือนใจ..ว่าอย่าได้เดินซ้ำรอย
มันคงจะเป็นการโกหกหากผมบอกว่าผมสามารถอภัยให้เขาได้แล้วทั้งหมด ผมไม่เคยคิดเกลียดเขาก็จริง แต่ผมยังคงโกรธเขาอยู่ โกรธที่จนถึงทุกวันนี้แม้เขาจะไม่ได้ขังตัวแต่ก็ยังขังหัวใจของแม่เอาไว้ ผมอยากให้แม่ตัดใจแล้วเปิดโอกาสให้คนดีที่คู่ควรเข้ามาในชีวิตของแม่บ้าง ผมอยากเห็นแม่มีความสุข ไม่ใช่ยึดติดแต่กับคนที่เคยทำร้ายทำลายชีวิตของแม่แบบนี้
แล้วพอผมพูดเรื่องนี้กับแม่ และแม่ก็บอกกับผมว่า..
‘ถึงครั้งหนึ่งพ่อจะเคยทำลายชีวิตของแม่ แต่พ่อก็ได้ให้ชีวิตใหม่แก่แม่ ที่สำคัญ พ่อได้ให้พี่ต่ายกับน้องกวางแก่แม่ แค่นี้แม่ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วล่ะ’แม่เป็นผู้หญิงแกร่งที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ เพราะแบบนี้ผมจึงรักและนับถือแม่มาก แม่พยายามทำดีที่สุดเพื่อดูแลเรา 3 พี่น้องหลังจากพ่อถูกจับไปแล้ว ด้วยตัวเพียงลำพัง และไม่ขอรับความช่วยเหลือจากเงินของพ่อแม้ทางนั้นจะเต็มใจให้ก็ตาม โชคดีที่ ‘เจ้าสัวสันต์’ เจ้านายเก่าของแม่ให้ความเมตตา ก่อนพบรักกับพ่อพี่หงษ์แม่เคยเป็นแอร์โฮสเตสในสายการบินของเจ้าสัวมาก่อน หลังแต่งงานจึงลาออกมาเลี้ยงลูก แต่พอเกิดเรื่องราวคราวนั้น เจ้าสัวก็รับแม่กลับเข้าไปทำงานใหม่ แต่ในสายงานของเลขาผู้บริหารตามที่แม่เรียนจบมา
“เหลือ 103 ปีแล้ว ลูกชาย”
จริงสินะ ตอนที่เขาถูกจับดำเนินคดี ผมเพิ่งจะ 2 ขวบเท่านั้น ยังพูดจาไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ เรื่องความทรงจำเกี่ยวกับช่วงเวลานั้นคงไม่ต้องพูดถึง ไม่มีอยู่แล้ว ส่วนน้องสาวผมตอนนั้นยังอยู่ในท้องแม่อยู่เลย ก็เท่ากับเขาใช้เวลาอยู่ในคุกเท่าอายุของน้องผมพอดี ..17 ปี แต่เขาก็ยังดูสุขสบายดีนี่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาคงไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ทั่วไปหรอก
“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาไม่ประหารพ่อไปซะ เลี้ยงไว้ก็เปลืองข้าวเปล่าๆ”
“เก็บฉันไว้ก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์ซะทีเดียว”
ผมเหลือบมองกล้องวงจรปิด แล้วเปลี่ยนใจไม่พูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกไป
“ก่อนหน้านี้ไอ้แกรี่ก็มาเยี่ยมฉัน แต่แกคงได้เจอมันตั้งแต่วันแรกที่มันกลับมาเลยสิ? มันเล่าให้ฉันฟังน่ะ ท่าทางมันยังรักยังหลงแกเหมือนเดิมเลยนี่”
“ก็เหมือนกับที่ผมรักคุณนั่นแหล่ะ”
“น้ำตาจะไหล” เขาพูดยิ้มๆ อีกครั้ง
“เชิญร้องไห้ได้ตามสบายเลย”
“ทำไมแกไม่เอาอย่างแกรี่บ้างล่ะ ใช้ชีวิตให้เต็มที่ อยากได้อยากทำอะไรก็ทำ ชีวิตนี้มันสั้นนะ เงินที่ฉันใส่บัญชีแกไว้มีมากพอให้ซื้อบ้านใหญ่ๆ สักหลัง กับรถสปอร์ตหรูๆ มาขับเล่นสักคันก็ยังได้”
“ของแบบนั้นไม่จำเป็นสำหรับผมหรอก แล้วผมก็ไม่ต้องการแตะต้องเงินสกปรกของคุณด้วย”
“ฮ่ะๆๆ แกนี่มันได้นิสัยของแม่มาจริงๆ ทั้งเย่อหยิ่งจองหอง แต่กลับดูมีเสน่ห์” เขาหัวเราะถูกใจ “มันทำให้ฉันตกหลุมรักเธอจนโงหัวไม่ขึ้นเลยล่ะ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่สร่างซา ..ต่อให้เธอจะหักหลังฉันอีกสักกี่หนก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน”
“แต่สำหรับ 120 ปีที่ต้องติดแหง็กอยู่ในคุกแม้จะกลายเป็นกระดูกไปแล้ว คุณก็ยังคิดว่าชีวิตนี้มันสั้นอยู่อีกเหรอ?” ผมไม่สนใจที่เขาเพ้อถึงแม่ แต่พูดในสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูดต่อไป “ผมขอร้องล่ะ อย่าส่งเสริมแกรี่ไปในทางที่ผิดอีกเลย ผมไม่อยากเห็นเขาต้องมาจบลงที่นี่เหมือนคุณ ..ถึงยังไงเขาก็เป็นพี่ชายผม”
ต่อให้แกรี่จะเคยร้ายกับผมยังไง ผมก็ไม่นึกอยากเห็นเขาต้องกลายเป็นนักโทษเหมือนพ่อหรอก
“ฉันไม่เคยส่งเสริมอะไรมัน ก็แค่วางทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมีเอาไว้ให้ เหมือนกับแก เหมือนกับลูกทุกคน ส่วนพวกแกจะหยิบฉวยเอาอะไรไปบ้าง เรื่องนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับตัวพวกแกเอง.. แม่แกไม่บอกเหรอว่าฉันเป็นพวกไม่ชอบบังคับใคร”
เขาไม่บังคับ.. ก็แค่บีบให้อีกฝ่ายไม่มีทางเลือกอื่น ..เหมือนอย่างที่เคยทำกับแม่ผม เขามันพวกเจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัด!
“แต่ถ้าแกเป็นห่วงมัน..”
ผมจ้องตาลึกเข้าไปในตาคนพูดผ่านกระจกหนาและลูกกรงเหล็ก เขายกยิ้มขึ้นคล้ายเยาะ
“แกก็สั่งสอนมันเองเลยสิ”วันเวลาผ่านไปเร็วมากจนน่าใจหาย ไม่ทันไรก็ย่างเข้าเทศกาลนับถอยหลังสู่ศักราชใหม่แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคนรอบตัวช่วงนี้ก็เป็นปกติดี กับแกรี่ก็บังเอิญเจอกันหลังจากคืนนั้นอยู่ 2 ครั้ง และทั้ง 2 ครั้งมันก็ยังตั้งหน้าตั้งตากวนประสาทผมเหมือนเดิม ส่วนที่มหา’ลัยก็เรื่อยๆ กับไอก็คุยกันได้ปกติ ไอไม่เคยพูดถึงเหตุการณ์วันที่เขาปาลูกอมใส่หัวผมอีก ส่วนผมก็ทำเป็นลืมๆ มันไป แม้จะยังรู้สึกข้องใจอยู่บ้าง แต่ก็คิดไปว่าดีแค่ไหนแล้วที่ไอไม่โกรธที่ผมไปสอดเรื่องส่วนตัวของเขากับกี๋
จนกระทั่งหลายวันก่อนผมไปเล่นเกมส์ที่หอพักของเขาตามคำชวนของเมโล่ แล้วเราก็ได้เข้าไปในห้องของไอด้วย ผมไปเจอตุ๊กตาหน้าตาประหลาดที่ดูคล้ายกับกระต่ายในห้องนั้นเข้า ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตอนนั้นผมพูดอะไรออกไป แต่เพียงแค่หันหลังให้ผมก็ถูกไอ้ตุ๊กตาบ้านั่นพุ่งเข้าใส่หัว ..แน่นอนว่าด้วยฝีมือของไอ แถมยังถูกไล่ออกมาจากห้องพร้อมกับเมโล่ที่เหมือนจะโดนลูกหลงเพราะผมไปด้วย ต่างคนต่างงงเป็นไก่ตาแตกอ่ะวันนั้น แต่พอวันต่อมาเราเจอกันที่มหา’ลัย ไอก็ทำตัวเหมือนเดิมเหมือนกับเรื่องเมื่อวานไม่เคยเกิดขึ้น จนผมเริ่มงงแล้วว่าไอที่อารมณ์ดีเป็นนิตย์ กับไอที่อารมณ์แปรปรวน ไอคนไหนคือตัวจริงกันแน่?
ลองเลียบๆ เคียงๆ ถามเมโล่ หมอนั่นก็บอกว่า
‘ไออ่ะเอาแต่ใจ.. แต่ก็ใจดี แล้วก็ชอบแบ่งขนมให้เค้า แล้วก็เท่ห์มาก เพราะงั้นเรื่องหยุมหยิมที่บันนี่ถามเค้าไม่ใส่ใจหรอก’ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสุนทรพจน์นั่นแปลเป็นภาษามนุษย์โลกว่ายังไง..
ส่วนกับรัก.. ไม่อยากจะเชื่อว่าเราจะห่างกันมาได้เดือนกว่าแล้ว จนถึงตอนนี้รักก็ยังไม่ได้มาบอกเลิกกับผม(อีกรอบ) แต่สถานการณ์ระหว่างเราก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น ทีแรกที่ผมยื่นเสนอแบบนั้นก็เพราะอยากจะซื้อเวลาแม้เพียงอีกเล็กน้อยก็ยังดี แต่มาถึงตอนนี้.. การรอคอยอย่างไม่มีจุดหมายมันก็ทำให้ทรมานได้ไม่แพ้กัน
วันสุดท้ายของการสอบมิดเทอม พอกลับมาถึงบ้านผมก็เห็นแม่กับพี่สาวและน้องสาวผมนั่งกันอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ดูเหมือนพวกสาวๆ จะกำลังปรึกษาหารือเรื่องการใช้วันหยุดยาวในช่วงปีใหม่ร่วมกันอยู่
“ไร่องุ่นที่วังน้ำเขียวเหรอ?” ผมแปลกใจเมื่อได้ยินแม่เผยแผนการเที่ยวสำหรับปีนี้ให้ฟัง
“ใช่ แม่บอกว่าเมื่อก่อนเป็นไร่องุนไวน์อย่างเดียว แต่ตอนนี้เขาเปิดเป็นรีสอร์ทให้นักท่องเที่ยวเข้าพัก เปิดให้เยี่ยมชมไร่องุ่น รวมทั้งมีเทศกาลเก็บองุ่นให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมสนุกกันด้วยล่ะ!” น้องพูดอย่างตื่นเต้น
“เราไม่ได้ไปเที่ยวไหนด้วยกันทั้งครอบครัวนานแล้วนะ” แม่ว่า
“พี่หงษ์ก็ไปด้วยเหรอครับ?” นี่ก็อีกเรื่องที่ทำให้แปลกใจ ทุกทีถ้ามีเทศกาลแบบนี้พี่จะไม่ยอมห่างแฟนไปไหน เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะถือโอกาสแอบไปนอกใจอีก แล้วปีนี้..?
“พี่ไปด้วย” พี่พูดด้วยรอมยิ้มที่มีไม่กังวลหรือลังเลจนผมรู้สึกสะกิดใจ
“ไปเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง เผื่อพี่ต่ายจะร่าเริงขึ้น” แม่หันมาลูบหัวผม
“แม่..”
“ได้ยินว่าช่วงนี้ต่ายดูเงียบๆ ไป พวกเราทุกคนเป็นห่วงนะ” พี่หงษ์บอก
“ต่ายขอโทษทุกคนที่ทำให้ต้องกังวลนะครับ” ผมรู้สึกผิดจากใจ ถึงก่อนหน้านี้จะไม่มีใครพูดอะไร แต่ทุกคนก็เฝ้ามองผมด้วยความเป็นห่วงอยู่ตลอดสินะ
ผมควรต้องทำตัวให้เข้มแข็งมากกว่านี้แล้วล่ะ อย่างน้อยก็จะได้ไม่ทำให้คนที่รักและห่วงผมจริงๆ อย่างครอบครัวที่ผมรักนี้ไม่สบายใจ
“อีกไกลไหมอ่ะ พี่ต่าย? หนูปวดชิ้งฉ่อง” น้องสาวผมเริ่มกระวนกระวายเมื่อนั่งรถมานานก็ยังไม่ถึงที่พักสักที
“ตามจีพีเอสนี่น่าจะไม่เกิน 10 โลนะ” ผมบอก แม่นั่งอยู่ข้างผม ส่วนพี่หงษ์นั่งหลังกับน้องกวาง
“10 โล?!”
“ไม่ไหวก็ลงไปนั่งข้างทางก่อนสิ” พี่หงษ์แนะนำ
“จะบ้าเหรอ” น้องหัวไปแหว
“หลับตาซะก็ไม่เห็นใครแล้ว” แม่พูดกลั้วหัวเราะ ผมกับพี่เลยพลอยหัวเราะตามไปด้วย
“แม่อ่ะ!” แต่น้องไม่ขำ ฮ่ะๆๆ
“ทางเข้าลึกขนาดนี้ แม่มารู้จักได้ยังไงคะ?” พี่หงษ์ถาม ผมเองก็แปลกใจ มันไม่ใช่รีสอร์ทแบบใครผ่านไปผ่านมาแล้วจะบังเอิญเห็นได้ มันต้องตั้งใจเข้าไป สองข้างทางจึงมีแต่ฟาร์มแต่ไร่ ไม่มีร้านรวงหรือปั๊มน้ำมันให้เห็นเลย
“ไร่ของเสธ.ดี้เขาน่ะ”
ลมหายใจผมสะดุดไปชั่วขณะหนึ่ง หมายความว่าไร่องุ่นที่เราจะไปนี่เป็นกิจการของที่บ้านรักงั้นสิ.. รักเคยเล่าให้ฟังเหมือนกันว่าที่บ้านมีโรงบ่มไวน์ มีไร่องุ่นไวน์อยู่ที่วังน้ำเขียวซึ่งประกอบกิจการมาตั้งแต่รุ่นปู่ และเมื่อไม่กี่ปีมานี้พ่อของเขาก็ได้พัฒนามันให้เป็นรีสอร์ทสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย มีญาติของพ่อเขาเป็นคนดูแล ส่วนเขากับครอบครัวก็จะมาพักที่นี่บ้างช่วงวันหยุดยาว.. แล้ววันหยุดยาวคราวนี้รักจะอยู่ที่นี่ด้วยหรือเปล่านะ?
“เขาเคยแนะนำแม่หลายทีแล้ว บอกว่าถ้ามีโอกาสก็อยากให้ลองมาดูสักครั้ง อากาศดี อาหารกับไวน์อร่อย วิวทิวทัศน์สวย เขาโฆษณางี้นะ” แม่พูดแล้วก็หัวเราะ “ครั้งนี้เลยเป็นโอกาสดี”
“แล้วแม่มานี่ได้บอกท่านหรือเปล่าคะ?”
“เปล่าหรอก กลัวว่าถ้าเขารู้แล้วจะให้พักฟรีน่ะสิ แม่ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น เกรงใจเขา แล้วเราไม่ได้เป็นอะไรกับเขาสักหน่อย”
“งั้นก็เป็นซะสิคะ” น้องกวางแซว เลยโดนแม่หันไปตีเบาๆ
“ถึงแล้ว” ผมประกาศเมื่อมองเห็นป้ายชื่อไร่ สาวๆ ในรถดูตื่นเต้นขึ้นมาทันที
ตอนที่จอดรถเรียบร้อย กำลังขนกระเป๋าลง ก็มีรถอีกคันขับมาจอดข้างเรา ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจอะไร จนกระทั่งได้ยินเสียงใครสักคนทักขึ้นนั่นแหล่ะ
“อ้าว นั่นน้องบันนี่ไม่ใช่เหรอ?”
ผมหันไปมองตามเสียง เห็น ‘พี่ป่าน’ นายสัตวแพทย์ที่เปิดคลีนิกรักษาสัตว์อยู่แถวหอของเมโล่กำลังโบกไม้โบกมือให้ จากนั้นก็เห็น ‘ลุงหมี’ ของเมโล่เปิดประตูฝั่งคนขับตามลงมา ประตูหลังถูกเปิดออกพร้อมกัน หนึ่งในนั้นเป็นเมโล่อย่างไม่ต้องสงสัย
“บันนี่~”
คงขาดไม่ได้ ครอบครัวสุขสันต์ขนาดนี้ จากที่เคยไปหอเมโล่มาสองครั้ง ไม่ต้องมีคนบอกผมก็พอจะเดาออกว่าพี่ป่านกับลุงของเมโล่กำลังคบหากันอยู่ ส่วนผู้โดยสารอีกคน..
“ไอ?”
“แหม่ บังเอิญจริง” ไอพูดแล้วยิ้มอย่างที่ชอบทำ
ระหว่างที่เดินแบกกระเป๋าทั้งของคุณนายแม่ คุณนายพี่ และคุณนายน้องตามหลังผู้จัดการรีสอร์ทที่เดินมารับถึงรถ ก็แอบได้ยินพี่ป่านที่สนิทกับสาวๆ บ้านผมได้อย่างรวดเร็วเม้าท์ให้ฟังว่าความจริงไม่ได้ตั้งใจจะมาที่นี่กันหรอก แต่รีสอร์ทแรกที่จองไว้เกิดความผิดพลาดอะไรสักอย่าง พนักงานยกห้องให้ลูกค้าคนอื่นไป แล้วห้องพักมันก็เต็มหมดแล้วด้วย ทางเจ้าของเลยรับผิดชอบด้วยการแนะนำให้พวกเขามาพักที่ไร่นี้ ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันและมีระดับดีกว่า โดยตกลงว่าทางนั้นจะออกค่าใช้จ่ายในส่วนที่เกินจากที่เก่าให้ด้วย พวกเขาก็เลยได้มาที่นี่กันอย่างที่เห็น
แต่ความอังเอิญดูเหมือนจะยังไม่สิ้นสุดแค่นั้น ระหว่างรอเช็คอินอยู่ที่รอบบี้ ไอที่กำลังคุยอยู่กับผมจู่ๆ ก็เงียบไป ผมรู้สึกผิดปกติก็เลยหันไปมองทิศเดียวกับสายตาไอ แล้วก็เห็น ‘กี๋’ กับแฟนของเธอเดินมาติดอะไรบางอย่างกับรีเซฟชั่น
“ไอ..” ผมกลับมามองไอ แต่ไอเบือนหน้าไปทางอื่น
“ได้กุญแจมาแล้วจ้า” แม่ผมกับพี่ป่านกลับมาพอดี พวกเราทั้งหมดจึงเคลื่อนพลออกจากรอบบี้ไปยังเรือนที่พัก
แต่เดินออกมาได้ไม่เท่าไหร่ ก็เห็นเสธ.เจ้าของไร่เดินยิ้มแฉ่งมาหาแต่ไกล ข้างหลังมีลูกชายคนโตและคนเล็กเดินตามมาด้วย
“เหมือนรู้ว่าแม่จะมาเลย” พี่หงษ์กระซิบ ต่อด้วยเสียงแซวของน้องกวาง
“แบบนี้หรือเปล่าน้าที่เขาว่า พรหมลิขิต~”
พรหมลิขิตสินะ.. ผมแอบยิ้มกับตัวเองขณะจ้องตรงไปยังคนที่ทำให้คิดถึงมาเป็นเดือน
TBC.ตอนนี้ไม่มีอะไรมาก เป็นชีวิตส่วนตัวของคุณชายซะส่วนใหญ่ แต่ก็ทำให้เราได้รู้จักอิชายชายมากขึ้นอีกนิด เนาะ เนาะ เรื่องนี้เน้นสถาบันครอบครัวมากกว่าทุกเรื่องที่เคยแต่งมา อยากคืนอะไรแก่สังคมบ้างสักเศษเสี้ยวกระผีกนึงก็ยังดี อิอิ
ตอนหน้า !! คงสนุกเนอะ..
ปล. ขอบคุณ คุณ mmmchinmu3 ที่มาแชร์ประสบการณ์ให้ฟังกันนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ