ยากนัก... รักนี้ ♥ ตอนที่ 16“หือ น้องไอเหรอ?”
แม่เงยหน้าขึ้นจากกอกเอกสารที่หอบกลับมาทำบ้าน คิ้วเรียวบางขมวดน้อยๆ ขณะมองลูกชายผ่านแว่นสายตา
เมื่อกี๊ผมเพิ่งถามว่าทำไมเมื่อก่อนแม่ต้องไปส่งไอบ่อยๆ เพราะคำพูดของไอวันนั้นมันยังติดค้างอยู่ในใจผมมาจนถึงตอนนี้
“เรื่องที่พวกนายเคยคุยกัน? หรือเหตุผลที่เด็กคนนั้นต้องกลับบ้านพร้อมนาย?” เรื่องแรกผมยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ แต่เรื่องหลังผมคิดว่าแม่น่าจะพอช่วยผมได้บ้าง ..ไม่มากก็น้อยแหล่ะ
“ครับ จำได้ลางๆ ว่าทุกครั้งที่ไปส่งไอ เราจะกลับถึงบ้านมืดทุกที เลยคิดว่าบ้านเขาน่าจะอยู่คนละทางกับเรา”
“อืม ก็คนละทางจริงๆ นั่นแหล่ะ” แม่เคาะปากกาในมือพลางทำหน้าครุ่นคิด “แต่จะไม่ไปส่งก็ไม่ได้ด้วย”
“ทำไมล่ะครับ? หรือเพราะเจ้าสัวท่านสั่งไว้?”
“ฮื่อ มันก็ไม่ใช่แบบนั้นหรอก..” แม่ย่นหน้าผากขณะมองผม ผมก็นั่งรอฟังว่าแม่จะพูดอะไร
“ตอนนั้นพี่ต่ายคงยังไม่ค่อยรู้เรื่องราวอะไรสินะ ..ก็ยังเด็กอยู่มากนี่เนอะ” ประโยคหลังแม่พึมพำกับตัวเอง
“เล่าให้ฟังได้หรือเปล่าครับ...เรื่องครอบครัวของไอ?” แม่มองผมด้วยสีหน้าหนักใจเมื่อได้ยินคำถาม
“มันไม่ใช่เรื่องที่น่าพูดถึงสักเท่าไหร่หรอก แล้วมันก็ผ่านมานานแล้วด้วย” แม่กลับไปจดจ่อกับเอกสารตามเดิม
“ตอนที่ไอบอกว่าต่ายจำอะไรเกี่ยวกับเขาไม่ได้ ต่ายรู้สึกผิดมาก..”
“พวกลูกทะเลาะกันเหรอ?” แม่เงยหน้าจากกองเอกสารอีกครั้ง
“ก็ไม่..ไม่เชิง.. ก็แค่.. ไม่รู้สิครับ” ผมอธิบายไม่ถูก “ต่ายรู้สึกเหมือนต่ายเคยติดค้างไอ แต่..ต่ายจำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร”
แม่ถอนหายใจ ก้มมองเอกสาร แต่มือกลับหมุนปากกาในมือเล่น
“พี่ต่ายรู้ใช่ไหมว่าคุณพ่อกับคุณแม่ของน้องไอเสียไปแล้ว?”
“ครับ เพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์” ผมตอบตามที่เคยได้ยินมาจากแม่เมื่อนานมาแล้ว
ตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นคือไอที่ผมรู้จักในตอนนี้..
“จริงๆ แล้วเป็นการจงใจน่ะ.. เป็นความตั้งใจของคุณภิวัฒน์ พ่อของน้องไอเอง”
“ฆ่าตัวตาย..?”
ผมแทบไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน แต่แม่ก็พยักหน้ายืนยันว่ามันเป็นความจริง
“คุณภิวัฒน์น่ะ สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาจากคนที่ไม่มีอะไรเลย จากเด็กวัดคนหนึ่งก็ค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นมาจนได้เป็นหัวหน้าทีมวิศวกรของสายการบินตั้งแต่อายุยังไม่เท่าไหร่ แล้วก็ได้แต่งงานกับลูกสาวคนเดียวของเจ้าของสายการบิน คุณไอริณ แม่ของน้องไอนั่นแหล่ะ”
ผมนั่งฟังแม่เล่าอย่างสนใจ
“ใครๆ ก็คิดว่าคุณภิวัฒน์เป็นผู้ชายที่โชคดี...แต่มันก็มีความกดดันภายในครอบครัวที่คนอื่นไม่รู้อยู่ ญาติบางส่วนทางฝั่งคุณไอริณไม่ค่อยจะปลื้มคุณภิวัฒน์เท่าไหร่ เนื่องจากเขาไม่มีหน้ามีตาในสังคม ไม่มีชาติตระกูลให้ใครเอาไปคุยอวดในแวดวงไฮโซได้.. คุณภิวัฒน์เคยมาปรับทุกข์กับแม่สองสามครั้ง ลำพังตัวเขาน่ะไม่สนใจหรอกว่าใครจะมองยังไง แต่ที่เขายอมรับไม่ได้ก็คือการที่คุณไอริณต้องโดนดูถูกไปด้วย เขาไม่อยากให้ใครคิดว่าคุณไอริณเลือกคนผิด เขาก็เลยเริ่มทำงานอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง เพื่อจะให้มีฐานะ มีหน้ามีตาทัดเทียมกับคนอื่นๆ เขาออกมาตั้งบริษัทเป็นของตัวเอง แล้วก็ประสบความสำเร็จไต่ขึ้นสู่จุดที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในวงสังคม ชื่อเสียงเงินทองทำให้ชีวิตที่เริ่มจากการเป็นเด็กวัดที่เคยถูกเหยียดหยามของเขา เปลี่ยนเป็นได้รับความชื่นชม...” แม่หันมายิ้มหม่นๆ กับผม
“ชีวิตที่ให้ความสำคัญกับคนอื่นมากกว่าตัวเอง.. คำพูดของคนอื่น ความคิดของคนอื่น สายตาของคนอื่น แคร์แต่ว่าเขาจะคิด จะมอง จะพูดถึงเรายังไง.. การมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่นแบบนั้น แม่ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับพี่ต่ายหรอกนะ” แม่เอื้อมมือมาลูบหัวผม “ไม่ว่าลูกจะเลือกดำเนินชีวิตแบบไหน แม่อยากให้ลูกคิดถึงความสุขของตัวเองก่อน คิดถึงความสุขของคนสำคัญของลูกก่อน อย่าไปแคร์ว่าคนอื่นจะเห็นด้วยไหม เมื่อลูกสุข..ความสุขก็จะอยู่กับลูก เมื่อลูกทุกข์..ความทุกข์ก็จะอยู่แค่กับลูกเหมือนกัน พวกเขาไม่ได้มาร่วมแบ่งปั่น เพราะงั้นอย่าไปให้ค่าความสำคัญกับพวกเขาจนลืมนึกถึงตัวเอง ..จำคำของแม่ไว้นะ”
“ครับ” ผมรู้สึกเหมือนแม่กำลังบอกอะไรบางอย่างกับผม นอกเหนือไปจากเรื่องที่เรากำลังคุยกัน
คำพูดของแม่ สายตาของแม่ มันเหมือนกับแม่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวผม และเลือกที่จะมองดูอยู่ห่างๆ ..แบบนั้นเหรือเปล่า?
“แล้ว..ทำไมพ่อกับแม่ของไอถึง..?” ผมกลับไปที่เรื่องที่เราคุยกันค้างอยู่
เท่าที่ฟังดู ทุกอย่างก็เหมือนว่าจะไปได้สวย แล้วทำไม..
“เรื่องมันเกิดระหว่างนั้น..” แม่ถอนหายใจยาว “ระหว่างที่คุณภิวัฒน์ทำงานเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อสร้างฐานะในสังคม เขาก็ลืมที่จะใส่ใจคุณไอริณ เขาเอาแต่มองไปข้างหน้าจนไม่ได้นึกถึงคนที่รออยู่ข้างหลัง บางครั้งเขาก็ไม่ได้กลับบ้านเป็นเวลานานๆ ..นานวันเข้า ความเหงา ความหวาดระแวง ความรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งก็ทำให้เธอ..เริ่มที่จะมองหาคนที่...สามารถที่จะให้ในสิ่งที่เธอต้องการได้..อืม เธอเริ่มคบชู้น่ะ”
ชู้..?
“เริ่มออกเที่ยวกลางคืน ออกงานปาร์ตี้เหมือนตอนที่ยังโสด คุณไอริณเธอเป็นเด็กหัวนอก รักสนุกมาแต่ไหนแต่ไรแล้วด้วย แต่ก็หยุดไปตอนที่มีครอบครัว บางครั้งเธอก็ออกไปเที่ยวเช้าจรดค่ำ.. นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมน้องไอถึงไม่มีคนมารับ และพวกเราถึงต้องไปส่งเขา..”
ผมเริ่มมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในครอบครัวของไอชัดขึ้นเรื่อยๆ
“พอคุณภิวัฒน์เริ่มระแคะระคายกับพฤติกรรมของภรรยา พวกเขาก็เริ่มทะเลาะกัน คุณไอริณขอหย่า แต่เขาไม่ยอม เขาบอกให้เธอหยุด แต่เธอเองก็ไม่ยอมหยุดเหมือนกัน ยิ่งเครียดเรื่องครอบครัวคุณภิวัฒน์ก็ยิ่งหันเหความสนใจของตัวเองไปที่งาน และพอยิ่งเขาไม่กลับบ้านพฤติกรรมเที่ยวเตร่ของคุณไอริณก็ยิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ..จนในที่สุดมันก็ถึงจุดแตกดับ”
แม่วางปากกา ถอดแว่นตา เอนหลังพิงโซฟาในท่าที่ผ่อนคลาย แต่กลับดูห่อเหี่ยว
“คืนนั้นคุณไอริณจัดปาร์ตี้ที่บ้าน แล้วคุณภิวัฒน์ก็บังเอิญกลับมาที่บ้านคืนนั้นพอดี พวกเขามีปากเสียงกันรุนแรง คุณภิวัฒน์ขึ้นไปอุ้มน้องไอลงมาจากชั้นสอง จะพาไปที่อื่นแต่คุณไอริณไม่ยอม พวกเขายื้อยุดฉุดกระชากกันจนสุดท้ายก็ขึ้นรถไปด้วยกันหมดทั้งสามคน”
“แล้ว..?”
“มีคนเจอพวกเขาอีกทีตอนที่เป็นศพแล้วน่ะ.. เห็นว่ารถชนที่กั้นขอบทางด่วนแล้วพุ่งตกลงมาข้างล่าง สามีภรรยาเสียชีวิตคาที่ น้องไอรอด...เขาติดอยู่ในรถกับศพพ่อแม่หลายชั่วโมงกว่าเจ้าหน้าที่จะช่วยออกมาได้”
น้ำตาที่ซึมออกมาของแม่ทำให้ผมรู้สึกจุกไปทั้งคอด้วยเช่นกัน
“น้องไอในตอนนั้นบอกกับตำรวจว่า ก่อนที่รถจะชนแล้วตกลงมา คุณแม่เอาแต่ร้องไห้กับพูดว่าขอโทษ ส่วนคุณพ่อหันมายิ้มแล้วก็ชวนพวกเขาไปตายพร้อมกัน พ่อ แม่ ลูก..”
“เรามักจะถูกทิ้งบ่อยๆ”
“จากครอบครัว ผู้หญิง ..หรือแม้แต่คนที่เคยสัญญาว่าจะไม่มีวันทิ้งเรา”“กรี๊ดดดดดด ไอเก่งสุดยอด!”
เสียงเชียร์เจี๊ยวจ๊าวของสาวๆ ดังมาจากสนามฟุตซอลของคณะ ขาที่กำลังจะก้าวผ่านเลยไปของผมหยุดชะงัก และสายตาก็กวาดมองหาเจ้าของชื่อที่ลอยมาเข้าหูโดยอัตโนมัติ
“ดูเหมือนตั้งแต่เลิกกับแฟน ไอจะฮอตยิ่งกว่าเดิมอีกนะ”
จริงอย่างที่สจีว่ามา สาวๆ ที่มาเชียร์ไออยู่ข้างสนามดูเหมือนจะหนาตาขึ้นกว่าก่อนหน้านี้อยู่เหมือนกัน
“นั่นสิน้า อะไรจะดีเท่าหนุ่มหล่อ..ที่ยังโสด ใช่ไหมชายต่าย?” นิ่มพูดเพ้อๆ ก่อนละสายตาจากคนในสนามมากระแซะถามผม
“ฉันไม่คิดว่าคนแถวนี้จะยังโสดอยู่หรอกนะ” สจียกยิ้มมุมปาก สายตาเหมือนจะบอกว่าล่วงรู้ทันผม
ผมทำเพียงยิ้มรับน้อยๆ โดยไม่จำเป็นจะพูดอะไร
“ห๊ะ อะไร? ใครไม่โสด? แกเหรอจี? นี่แกมีแฟนโดยที่ฉันไม่รู้ได้ยังไงกัน?!” นิ่มถลาไปหาสจีโดยไม่ฉุกใจคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องของผมสักนิด
สจีกรอกตาอย่างเอือมระอา เป็นจังหวะเดียวกับที่ไอซึ่งโดนเพื่อนสาดน้ำใส่ถอดเสื้อสะบัดพอดี ความสนใจของนิ่มจึงถูกดึงดูดออกไปจากเพื่อนทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย
“อ๊ะ โอ้ววว ไอซาม้าาา ความขาวมันกระแทกตาหนูนิ่มเหลือเกินนน”
“เมโล่! มึงโกงกูเหรอ? ไหนบอกว่าจ้างด้วยลูกอมแล้วจะยอมเฝ้าประตูให้ไง?” เสียงผู้เล่นในสนามคนหนึ่งโวยวาย ทำให้ผมเพิ่งจะสังเกตุเห็นว่าเจ้าแมวยักษ์นั่นก็อยู่ในสนามกับเขาเหมือนกัน
“ก็เฝ้าอยู่นี่งายยย”
“อย่าแค่เฝ้าเฉยๆ สิวะ! ขยับตัวไปปัดบอลทิ้งบ้างอะไรบ้าง อย่าปล่อยให้มันเข้าประตูได้ เข้าใจไหม?”
“เอ๋.. งั้นก็ต้องจ่ายเพิ่มแล้วล่ะ” มันโก่งราคาหน้าตาเฉยเลย ฮ่ะๆๆ
“ที่ให้มึงไปนั่นก็หมดตัวแล้วโว้ย ไอ้บ้า!”
“ฮ่าๆๆๆ” คนอื่นๆ ทั้งในและนอกสนามพากันหัวเราะชอบใจ
“ถ้าแพ้นี่นอกจากจะเสียเงินซื้อขนมให้มึงกินฟรีๆ แล้ว กูต้องเสียพนันไอ้ไอมันอีกนะ กูคิดผิดใช่ไหมที่หวังพึ่งมึงเนี่ย?" คนพูดทำหน้าละเหี่ยใจ
“มึงพลาดแล้วเชี่ยต้อม มึงพลาดแล้วจริงๆ ฮ่าๆๆๆ”
“เมโล่! ยืนเฉยต่อไป แล้วจะแบ่งตังค์ที่ได้ให้ครึ่งนึง” ไอยกนิ้วโป้งต่อรองกับเมโล่ เรียกเสียงโห่ฮาจากเพื่อนๆ ได้อีกรอบ
“เฮ้ย มึงอย่ามาซื้อตัวลูกทีมกูหน้าด้านๆ แบบนี้สิวะ!”
“ได้!” เมโล่ยกนิ้วโป้งรับข้อเสนอไอ
“ไอ้เหี้ย! ไอ้ทรยศ พวกมึงมันคบไม่ได้!”
“ฮ่าๆๆๆ”
รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของไอ ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตวัยเด็กของเขา.. นึกถึงวันที่เขาอกหักแล้วมาร้องไห้กับไหล่ของผม.. น่าแปลกที่ใบหน้าที่เต็มใบด้วยน้ำตาในความทรงจำกลับมองเห็นได้ชัดกว่าใบหน้าเปื้อนยิ้มที่เป็นจริงตรงหน้า
“เรื่องที่พวกนายเคยคุยกัน? หรือเหตุผลที่เด็กคนนั้นต้องกลับบ้านพร้อมนาย?”ผมอยากจะนึกให้ออก
บางสิ่งบางอย่างที่ผมเคยติดค้างไอ..
“เฮ้ย!”
แรงกระแทกจากคนที่เดินข้างกันทำให้ผมหันไปมองอย่างมีคำถาม
“ครับ?”
“ฟังที่กูพูดบ้างไหมเนี่ย?” คนพูดขมวดคิ้วยุ่ง
“หนังกาก..” ผมพยายามนึกทบทวน “แล้วอะไรอีกนะ?”
วันนี้เป็นวันเสาร์ หลังกลับจากโดโจของโควเซนเซย์เสร็จ เราก็แวะมาดูหนังที่รักบอกว่าอยากดูด้วยกัน แต่ตั้งแต่หนังเริ่มฉายไปได้ไม่ถึง 20 นาที รักก็เริ่มบ่นถึงเรื่องคุณภาพของหนังแล้ว
“เสียตายตังค์” คนตอบหน้าบูดไม่เต็มใจ
“งั้นวันนี้ให้เราเลี้ยงข้าวรักดีไหม? ชดเชยที่เสียเงินไปกับหนังไม่ดีไง” ผมพยายามจะทำให้อีกคนอารมณ์ดี
“รวยหรือไง?”
“ก็เปล่า.. แต่แฟนคนเดียวเราเลี้ยงได้”
“อือ..” คิ้วที่ผูกเป็นปมเริ่มคลายลง ไหล่ที่เคยอยู่ห่างเกินคืบ ตอนนี้ขยับมาเบียดกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“แล้วรักอยากกินอะไร?” ผมถามเมื่อเราเดินเข้ามาในโซนร้านอาหาร
“อะไรก็ได้”
“งั้นกินอาหารญี่ปุ่นไหม?”
“กูอยากกินขนมจีน”
ผมขำ คำว่า ‘อะไรก็ได้’ ของผู้ชายบางคนนี่ก็ไม่ได้ต่างจาก ‘อะไรก็ได้’ ของผู้หญิงหลายคนเลยสินะ
อะไรก็ได้ที่กูอยากได้ ไม่ใช่
อะไรก็ได้ที่มึงอยากให้ น่ะ ฮ่ะๆๆ
“ขำอะไร?”
“เปล่า..” ผมรีบเบรคตัวเองเอาไว้เพราะสายตาดุๆ ของอีกฝ่าย “ถ้าจะกินขนมจีนเราก็ต้องลงไปชั้นล่างแล้วล่ะ”
“ก็ไปดิ”
“ครับๆ”
“ต่าย..”
พอย้ายจากร้านขนมจีน มาร้านไอศรีม ก็มีเสียงใสๆ ที่ผมจำไม่ได้ว่าเคยรู้จักเรียกให้หันไปมอง แล้วก็เห็นผู้หญิงหน้าตาสะสวยในชุดกระโปรงสั้นๆ คนหนึ่ง ใส่กางเกงขาสั้นหน้าตาน่ารักอีกคนหนึ่ง
“ต่ายใช่ไหมคะ?” เธอดูไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่ก็เหมือนว่าอยากจะคุยด้วย
“ครับ แล้ว..” ผมยิ้มรับ
“แอนนาค่ะ แล้วนี่ก็มะปราง เราสองคนจำได้ว่าต่ายเคยลงแม็กกาซีนคราวก่อน แต่ก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ เลย..”
“อ๋อ ครับ”
“ตัวจริงพี่ดูดีกว่าในหนังสืออีกค่ะ” สาวกางเกงขาสั้นพูดทั้งแก้มแดงๆ
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มรับอีกครั้ง
แรงกระทืบเท้าที่อยู่ใต้โต๊ะทำเอาเผลอสะดุ้งเบาๆ จนสาวทั้งสองหันมองอย่างแปลกใจ
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
“เปล่าครับ” ผมตอบแล้วหันไปยิ้มแหยให้กับคนที่เริ่มทำหน้าไม่รับแขกอยู่ข้างตัว
“เอ่อ ถ้างั้นพวกเราขอนั่งด้วยได้ไหมคะ? ต่ายมาสองคน เราก็มาสองคนเหมือนกัน..”
“ขอโทษครับ คือพวกเราคงไม่สะดวกน่ะ” ผมยิ้มให้อย่างสุภาพ แล้วเอื้อมมือข้างหนึ่งไปกุมมือรักที่วางนิ่งอยู่บนโต๊ะเอาไว้หลวมๆ
สาวเจ้าทั้งสองหน้าแดงแปร๊ดขึ้นมาทันที พวกเธอจ้องมือข้างนั้นของพวกเราด้วยตาโตๆ ที่แต่งมาอย่างดี ก่อนจะยอมล่าถอยไปโดยไม่เซ้าซี้อะไรอีก
“สบายใจหรือยังครับ?” ผมบีบมือคนที่แกล้งหันไปสนใจอย่างอื่นนอกร้าน ทั้งที่ผมเห็นหรอกว่าแอบอมยิ้ม แถมยังแอบแก้มแดงด้วยน่ะ
“มึงก็ทำเฉพาะตอนอยู่ต่อหน้ากูเท่านั้นแหล่ะ” รักบิดมือออกจากมือผมแล้วเอาไปขีดเขียนหยดไอน้ำจากแก้วน้ำเล่นแทน “ถ้ากูไม่อยู่ด้วย มีเหรอว่าคนอย่างมึงจะปฏิเสธผู้หญิงพวกนั้น”
มันก็อาจจริง เรื่องแบบนี้ถือเป็นเรื่องปกติในชีวิตผมอยู่แล้วด้วย แต่ก็ไม่ได้แปลว่าผมจะนอกใจรักสักหน่อยนี่
“งั้นรักคงต้องอยู่เฝ้าเราตลอด 24 ชั่วโมงแล้วล่ะ” ผมพูดยิ้มๆ
“อย่าท้านะ” รักหันมองตาขวาง
“กลัวแล้วครับ” ผมยกมือยอมแพ้ รักเบือนหน้าออกไปมองนอกกระจกอีก
“รัก” ผมเรียกเมื่อเริ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายชักไม่สนใจผมนานเกินไป
“รักครับ” ลองเรียกอีกที
“.........”
“ที่รักครับ”
“เรียกบ้าอะไรของมึง?” ในที่สุดก็ยอมหันกลับมา
“หน้าแดงแน่ะ” ผมแกล้งแหย่ อีกฝ่ายถลึงตาใส่
“แล้วใครเขาสั่งเขาสอนให้เรียกแบบนั้น?”
“เราก็แค่เรียกชื่อรัก” ผมทำไก๋
“แต่เมื่อกี๊มันไม่ใช่”
“ก็แค่เติมเข้าไปอีกคำ ไม่เห็นเป็นไรเลย”
“.........” รักดูเหมือนว่าไม่รู้จะรับมือยังไงเวลาที่ผมแกล้งตีมึนแบบนี้
“ไม่อยากเป็นที่รักของเราแล้วเหรอ?” ผมดึงมือบนตักรักมาไว้ที่ตักตัวเอง ใช้นิ้วโป้งนวดคลึงหลังมือของอีกฝ่ายเล่น โดยที่สายตาก็ไม่ได้ละไปจากใบหน้าที่มักแสดงความเจ้าอารมณ์นั้น
“กูเคยอยากเป็นเมื่อไหร่?” หลบตา แต่ก็ยังปากแข็งเหมือนเดิม
“สงสัยต้องจัดโปรลดแลกแจกแถมแล้วมั้ง เผื่อว่าจะสนใจกันบ้าง”
“มึงมันก็ดีแค่ช่วงโปรโมชั่นเท่านั้นแหล่ะ”
“ใส่ร้าย”
“แล้วถ้าหมดโปรล่ะ?”
“ก็จัดใหม่”
ผมยิ้มกว้างให้คนที่หันมาสบตากันพอดี แต่อึดใจเดียวก็หันหนีไปอีก
“ให้จริง..” เสียงทางนั้นพึมพำ
ผมหัวเราะลงคอรับคำ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างระหงของใครบางคนที่รู้สึกคุ้นตาพอดี
“นั่นมันแฟนเก่าไอ้ไอไม่ใช่เหรอ?” เป็นรักที่จำได้ก่อน “เหอะๆ ที่เขาพูดกันว่ามันถูกผู้หญิงทิ้ง เรื่องจริงหรอกเหรอเนี่ย?”
ภาพของ ‘กี๋’ ที่เดินจูงมือมากับผู้ชายคนหนึ่งทำให้ผมเริ่มรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้อง มันไม่ใช่เพราะว่าเธอมีผู้ชายคนใหม่ หรือมีใหม่ในระยะเวลาที่รวดเร็ว
แต่เป็นเพราะผู้ชายคนใหม่ที่ว่านั่นผมเองก็รู้จัก.. เขาเป็นหนึ่งในหลานชายของเจ้าสัวสันต์ที่ผมเคยเจอตอนไปงานเลี้ยงบริษัทกับแม่ จำไม่ได้แล้วว่าลูกใคร แต่ที่แน่ๆ เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับไอ
ทั้งที่ไอออกจะชอบเธอมากขนาดนั้น...
TBC.