ยากนัก... รักนี้ ♥ ตอนที่ 14“แล้วค้างด้วยป่ะ?”
“ไม่อ่ะ เดี๋ยวบ่ายๆ ก็กลับแล้ว”
“ที่จริงให้กูพาไปก็ได้นะ ไม่เห็นต้องยืมรถคนอื่นไปเลย”
“ลูกปลาเขาจะไปเยี่ยมยายเราเหมือนทุกปีอยู่แล้ว ..ทำไม หึงหรือไง?”
“เหอะ มึงนั่นแหล่ะ ตอนน้องอยู่บ้านก็ไม่ยอมให้กูไปที่บ้าน พอจะไปรับให้ก็บอกไม่ต้องอีก กลัวกูจะจีบน้องมึงหรือไง?”
“ใช่”
“ไอ้ขี้หวง”
“อื้อ หวงทั้งน้อง หวงทั้งแฟนแหล่ะ”
“ไอ้งก..” เสียงบ่นอบอิบไม่เต็มเสียงทำผมอดยิ้มกับโทรศัพท์ในมือไม่ได้
ผมอยู่ระหว่างเดินทางไปรับน้องสาวที่บ้านยาย อีกสองวันโรงเรียนก็จะเปิดเทอมอยู่แล้ว แต่น้องผมเพิ่งจะโทรให้ไปรับนี่ล่ะ คนที่มาด้วยกันก็มี ‘ลูกปลา’ กับ ‘ปูเป้’ น้องชายวัยประถมของลูกปลา พอดีพวกเราแวะปั๊มเติมน้ำมันพร้อมกับถือโอกาสหาซื้อของกินด้วย ผมก็เลยมีเวลามาคุยโทรศัพท์อย่างที่เห็น
“แล้ว..” ผมกำลังจะพูดต่อ แต่ได้ยินเสียงคนอื่นแทรกเข้ามาในสายก่อน
“เฮ้ย ชาติ! ไอ้ที่มึงเอามาคราวก่อนอ่ะ.. ไอ้ชาติ! ชาติชั่วครับ คุยเหี้ยกับใครอยู่ครับ? มึงสนใจกูก่อนดิ”
“เออ สนใจมันหน่อย เดี๋ยวมันร้องนะ กูขี้เกียจปลอบ”
“เพื่อนมันไม่น่าสนใจเท่าเมียร้อกกกก แด้รู้ แด้เรียนมา”
“ไอ้สัด!” ต่อจากคำนั้นก็ได้ยินคำอื่นอีกยาวเหยียดที่ ‘รักชาติ’ สบถด่าเพื่อนที่กำลังหัวเราะโห่ฮากันสนุกปาก ขนาดผมที่ได้ยินแค่เสียงยังอดหัวเราะตามไปด้วยไม่ได้ พวกเพื่อนสนิทผู้ชายนี่เขาคุยกันแบบนี้สินะ
“เราไม่กวนเวลานายกับเพื่อนแล้วดีกว่า”
“เฮ้ย ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปสนใจพวกห่าแม่ง” เหมือนรักจะเดินห่างออกมาจากกลุ่มเพื่อน แต่ก็ยังไม่วายหันกลับไปด่าอีก แต่อีกฝั่งก็ยังไม่เลิกแซวสักที
ผมว่าเพื่อนรักคงพอรู้แล้วว่ารักกำลังคบกับใครบางคนอยู่ แต่ที่ยังไม่น่าจะรู้ก็คือใครบางคนที่ว่านั่นเป็นผมคนนี้เอง
เราไม่ได้ตกลงกันชัดเจนว่าจะต้องปิดเรื่องนี้ให้เป็นความลับ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเอาไปร้องป่าวให้ชาวบ้านชาวช่องเขารู้ซะเมื่อไหร่ ผมรู้แหล่ะว่ามันมีคนที่ยอมรับเรื่องแบบนี้ได้อยู่ แต่ก็ต้องคิดเผื่อคนที่รับไม่ได้ด้วย ซึ่งมันอาจจะเป็นคนใกล้ตัวของเราเองก็ได้ ผมไม่อยากจะทำร้ายความรู้สึกใคร แต่ก็ไม่อยากที่จะทำร้ายความรู้สึกของตัวเองเช่นกัน ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของเวลาดีกว่า ให้พวกเขาค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เห็น ค่อยๆ ทำใจยอมรับมันไปเองโดยที่เราไม่ต้องพูดอะไร ..ผมคิดไว้ประมาณนั้นอ่ะนะ
“แต่เราต้องไปขับรถต่อแล้วล่ะ” ผมเหลือบมองสองพี่น้องปูปลาที่เดินหอบขนมเต็มไม้เต็มมืออกมาจากมินิมาร์ท
“เออ งั้นก็วางไป”
เสียงเหวี่ยงแบบนั้นแล้วใครมันจะกล้าวางล่ะครับ..
“เอ้า วางดิ จะถือสายไว้ทำไม?”
“เรารอให้รักวางก่อน”
ทางนั้นเงียบไปอึดใจ ก่อนตอบกลับมาด้วยเสียงที่ทำให้ผมยิ้มได้อีกครั้ง
“มึงแหล่ะวางก่อน”
“โอเค ไว้จะโทรไปหาใหม่นะครับ”
“อือ เออ..”
“ครับ?”
“ขับ..ขับรถดีๆ นะ” คนพูดรีบตัดสายไปทั้งที่บอกให้ผมวางก่อนแท้ๆ
แต่มันก็ทำให้ผมยิ้มกว้างได้ล่ะ
น่ารักจริงๆ ฮ่ะๆๆ
“หน้าบานมาเชียว”
ลูกปลาเป็นคนแรกที่เอ่ยแซวเมื่อผมเดินมาถึงรถ เธอยื่นขวดน้ำส้มเย็นๆ ที่ผมฝากซื้อมาให้พร้อมกับยิ้มล้อเลียน
“ต่ายมีแฟนใหม่แล้วเหรอ?” ปูเป้ยิงคำถามใส่แบบไม่ทันตั้งตัว
ผมเลิกคิ้วสูง คิดอยู่ว่าจะตอบไงดี แววตาที่เจือความกังวลของลูกปลาทำให้ผมหันไปยิ้มให้ และสุดท้ายก็เอื้อมมือไปขยี้หัวน้องโดยไม่ได้ตอบอะไร แล้วเดินไปรถขึ้นเลย
“ไม่เกี่ยวกับเด็กสักหน่อย” แอบได้ยินพี่น้องที่ตามหลังมาดุกันเบาๆ
พอมีคนพูดว่า ‘แฟนใหม่’ มันก็อดนึกถึงคนที่ถูกเรียกว่า ‘แฟนเก่า’ และสาเหตุที่ทำให้มี ‘แฟนเก่า’ ไม่ได้..
“ตัวเป็นผู้ใหญ่ตายเลย ยัยเตี้ย!” ปูเป้สลัดหนีมือพี่สาวที่ยีหัวไม่ยอมปล่อย แล้วกระโดดขึ้นมานั่งจัดผมที่เบาะหลังอย่างหัวเสีย
“นายว่าคนอื่นทั้งที่ตัวนายเองยังสูงไม่ถึงไหล่เขาเนี่ยนะ?” ลูกปลาขึ้นมานั่งข้างผม แล้วหันไปข้างถุงขนมใส่น้อง
“อีกไม่นานเค้าก็จะสูงกว่าตัว แล้วตัวก็จะเป็นยัยเตี้ยสำหรับเค้าด้วย ยัยเตี้ย!”
“เป็นผู้ชายอย่าไปว่าผู้หญิงแบบนั้นสิปู” ผมปรามเจ้าเด็กทะโมนที่กำลังแลบลิ้นปลิ้นตาอยู่ข้างหลัง “โดยเฉพาะถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนในครอบครัวเรา ก็ยิ่งต้องให้เกียรตินะ รู้ไหม?”
“ใช่! หัดดูชายต่ายเป็นตัวอย่างไว้บ้างนะ เจ้าเด็กสมองกลวง” ลูกปลาได้ทีเอาบ้าง “เป็นผู้ชายน่ะต้องรู้จักให้เกียรติ ต้องปกป้องผู้หญิง ไม่ใช่คอยจ้องแต่จะทำร้ายผู้หญิง คนแบบนั้นไม่เรียกว่าลูกผู้ชายหรอก”
ปูเป้ทำเมินพี่สาวตัวเอง แล้วชะโงกตัวมาเกาะเบาะคุยกับผมแทน ขณะรถเริ่มเคลื่อนตัว
“ถ้าต่ายต้องคอยปกป้องผู้หญิง แล้วใครจะคอยปกป้องผู้ชายอย่างต่ายล่ะ?”
“อืม นั่นสินะ” ผมนึกขำกับคำถามซื่อๆ ของเด็ก
“ไม่มีเหรอ?”
“ก็เพื่อน ก็ครอบครัวไง” ลูกปลาเป็นคนตอบแทน ผมพยักหน้าเห็นด้วย
“แล้วน้องของเพื่อนล่ะ?”คำถามนั้นทำให้ผมกับลูกปลาหันมองหน้ากัน ก่อนหันไปมองเจ้าของคำถามที่ตอนนี้ถอยกลับไปนั่งที่เดิม และหยิบนมที่ซื้อจากมินิมาร์ทมาเจาะดูดหน้าตาเฉย เหมือนกับว่าเมื่อกี๊ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“อย่างกับก่อนขึ้นรถพี่ก็เห็นปูกินนมไปแล้วกล่องนึงเลย” ผมกล่องนมในมืออีกฝ่ายทำให้ผมสะกิดใจ
“ก่อนออกจากบ้านมาก็กินไปแล้วสองกล่อง” ลูกปลาทำหน้าเบื่อหน่าย “ห้ามก็ไม่ฟัง เดี๋ยวก็ป่วยจนได้”
“นมวัวกินมากไปก็ไม่ดีหรอกนะ อาจเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนได้” ผมบอก “แล้วก็อาจจะทำให้ท้องเสียด้วย”
“แต่ครูที่โรงเรียนบอกว่าถ้าใครอยากสูงต้องกินนมเยอะๆ”
“อะไรที่มากเกินพอดีมันก็มีผลเสียทั้งนั้นแหล่ะ ถ้าอยากสูงปูต้องกินผักด้วย กินอาหารให้ครบห้าหมู่ เล่นกีฬา แล้วก็อย่านอนดึกมาก ส่วนนมน่ะกินวันละสองกล่องก็พอแล้ว”
“ถ้าทำแบบนั้นแล้วผมก็จะสูงเหมือนต่ายเหรอ?”
ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้เพราะอะไร แต่เมื่อไม่นานมานี้ปูเป้เริ่มเปลี่ยนคำพูดคำจาใหม่ จากที่เคยเรียกผมว่า ‘พี่ต่าย’ ก็เหลือแค่ ‘ต่าย’ ที่เคยแทนตัวเองว่า ‘เค้า’ ก็เปลี่ยนมาเป็น ‘ผม’ (แต่ยังพูดกับพี่สาวตัวเองเหมือนเดิม) แถมเวลาที่แม่กับน้องสาวผมอยู่บ้าน ก็ไม่ยอมเข้ามาเล่นในบ้านผมอีก บอกว่าไม่เหมาะเพราะตัวเองเป็นผู้ชายซะงั้น
โอเค คนแถวบ้านผมรู้กันหมดแหล่ะว่าผมไม่ชอบให้มีผู้ชายเข้าไปในบ้าน เพราะนอกจากผมแล้วในบ้านก็มีแต่ผู้หญิง ผมจึงไม่อยากต้อนรับใครสักเท่าไหร่ถ้าไม่จำเป็น แต่กับเด็กผมก็ไม่ได้เขี้ยวขนาดนั้นนะ จะเข้ามาก็ไม่ได้ว่าสักหน่อย และเมื่อก่อนปูเป้เองก็เลยมาเล่นเกมส์ที่บ้านผมบ่อยๆ แต่ตอนนี้กลับไม่ยอมเข้ามา หรือเพราะว่าเขาเริ่มเข้าสู่วัยต่อต้านแล้วนะ?
“สูงสิ”
“แล้วจะสูงเหมือนเพื่อนของต่ายคนนั้นด้วยไหม?”
“หือ คนไหน?”
“ก็คนที่ใส่หมวกหูแมวมาวันนั้นไง เพื่อนต่ายมีแต่สูงๆ ทั้งนั้นเลย คนที่ขับมอ’ไซด์สีส้มก็สูง คนที่ขับเก๋งสีดำก็สูง แต่หูแมวสูงที่สุด ครูฝรั่งที่โรงเรียนผมยังไม่สูงขนาดนั้นเลย”
ผมหัวเราะ นี่คงจะแอบเห็นเพื่อนทุกคนที่มาบ้านผมหมดแล้วสิเนี่ย
“ใครเหรอ?” ลูกปลาถาม
“คงหมายถึงเมโล่น่ะ”
“อ๋อ เมโล่.. ได้ยินว่าคนนั้นสูงตั้ง 2 เมตรกว่าแน่ะ ใช่ไหม?” ท้ายประโยคคนพูดหันมาถามผม
“อื้อ” ผมตอบลูกปลา แล้วพูดให้ปูเป้ฟังต่อ “นอกจากสิ่งที่เราเสริมให้ร่างกายแล้ว บางทีมันก็ขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ด้วยน่ะ”
“ช่ายยย กับพ่อที่สูงไม่ถึง 170 และแม่ที่สูงแค่ 150 กว่าๆ ถ้านายสูงได้สักเท่าชายต่ายก็ Miracle แล้ว รู้จักป่ะ Miracle น่ะ อย่าไปฝันถึง 2 เมตรเลย อันนั้นมัน Impossible แล้ว” ลูกปลาหัวเราะชอบใจเมื่อบลัฟน้องจนจ๋อยได้
“แต่ปลาก็สูง 160 กว่านี่นา ปลายังสูงกว่าแม่ได้เลย ปูก็ต้องสูงกว่าพ่อได้สิ พี่เชื่อแบบนั้นนะ” ผมพูดให้กำลังใจคนที่นั่งทำหน้าเครียดอยู่ข้างหลัง
“จริงๆ เหรอ?” คนถามยิ้มกว้างอย่างมีกำลังใจ
“อื้อ แล้วทำไมจู่ๆ ปูถึงอยากสูงขึ้นมาล่ะ? เห็นเมื่อก่อนแม่ยังต้องบังคับให้กินนมอยู่เลยนี่นา”
“ไม่ใช่แค่เรื่องอยากสูงนะ อยากจะหล่อด้วย เมื่อวันก่อนเพิ่งจะมาขอแม่ใส่คอนแทคเลนส์ ไม่อยากใส่แล้วแว่นตา บอกมันไม่เท่ แต่แม่ยังไม่ไว้ใจเรื่องรักษาความสะอาด ก็เลยบอกว่ารอให้โตกว่านี้อีกหน่อย ..แก่แดดได้อีกน้องฉัน”
“หืม ไปแอบชอบใครเข้าหรือไงเรา ถึงได้อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองขนาดนี้?”
ผมแกล้งแซวเล่น ไม่ได้คิดจริงจังหรอก แต่แก้มใสตามวัยเด็กที่ค่อยๆ มีสีระเรื่อให้เห็นก็ทำให้ผมต้องเปลี่ยนความคิดใหม่
ถึงจะเป็นเด็ก แต่ก็มีหัวใจสินะ ฮ่ะๆๆ แบบนี้ไม่ให้กำลังใจกันสักหน่อยคงไม่ได้แล้ว
“ต่อให้ใส่แว่นสายตา แต่ถ้าเลือกแบบที่เข้ากับตัวเอง ก็ทำให้ปูดูเท่ห์ได้นะ”
“อืม จะว่าไปก็มีประเภทที่คลั่งไคล้หนุ่มแว่นเหมือนกันนี่นะ” ลูกปลาว่า
“แล้วแบบนี้ดูเข้ากับผมหรือยังอ่ะ?” ปูเป้ชะโงกหน้ามาเกาะเบาะผมอีกครั้ง
“เหมาะที่สุดแล้วล่ะ” ผมตอบอย่างไม่ลังเล
แต่มันไม่ได้ทำให้ปูดูเท่นะ มันทำให้ดูน่ารักมากกว่า อย่างที่ภาษาโอตาคุเขาเรียกว่า ‘โมเอ้’ น่ะ ฮ่ะๆๆ
แน่นอนว่าผมไม่เลือกที่จะดับความฝันของเด็กด้วยการพูดเรื่องนี้ออกไป..
“อยู่ไหนแล้ว?”
เปิดเทอมวันแรก ผมเดินเข้าคณะมายังไม่ทันไรก็มีเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดัง พอกดรับทางนั้นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง โพล่งถามขึ้นมาแบบนั้นแหล่ะ
“กำลังจะไปตึกภาคแล้วครับ”
“มาทางตึกไฟฟ้าป่ะ?”
“อื้อ”
“ฝากซื้อวานิลลาปั่นแก้วดิ”
ผมหันหลังกลับไปมองทางที่เพิ่งเดินผ่านมา ที่ตึกของเสคไฟฟ้ามีโรงอาหารของพวกอาจารย์อยู่ แล้วก็มีคอฟฟี่ช็อปอยู่ที่นั่นร้านหนึ่งด้วย
“แต่เราเดินเลยมาครึ่งทางแล้วนะ” ถ้าต้องเดินกลับไปก็รู้สึกขี้เกียจอยู่เหมือนกัน
“อยากกินอ่ะ” แต่น้ำเสียงที่อ้อนนิดๆ ติดจะซึนหน่อยๆ ของอีกฝ่ายก็ทำให้ผมปฏิเสธไม่ลง
“โอเค เดี๋ยวซื้อไปให้ก็ได้ จะเอาอย่างอื่นด้วยไหม?”
“ร้านนั้นมันมีแต่พวกโดนัทป่ะ?”
“อื้อ”
“งั้นไม่เอา เอาแค่วานิลลาปั่นกับ
‘มึง’ มาก็พอ”
“ฮ่ะๆๆ”
ผมหัวเราะชอบใจกับโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไปดื้อๆ เพราะคนพูดเองก็คงจะเขินเองอีกตามเคยนั่นล่ะ
“โกโก้โอริโอ้ปั่นแก้วนึงคร้าบ ขอวิปครีมเยอะๆ นะ”
ระหว่างที่ยืนรอวานิลลาปั่นของรักและชาเขียวปั่นของตัวเองอยู่ ‘เมโล่’ ก็พาร่างสูงชะรูดของตัวเองเข้ามายืนข้างผมหน้าเคาน์เตอร์ ดูเหมือนทางนั้นจะยังไม่สังเกตเห็นผมเพราะมัวแต่สนใจอ่านเมนูโดนัทวันนี้มากกว่า ผมก็เลยเป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อน
“หวัดดี เมโล่”
“บันนี่! ชอบกินโดนัทร้านนี้เหมือนกันเหรอ?”
“น้ำปั่นน่ะ” ผมพยักไปทางน้ำปั่นแก้วแรกที่พนักงานเอามาวางไว้ให้
“แต่โดนัทเขาก็อร่อยดีนะ”
เมโล่ทำหน้าจริงจังจนพนักงานที่เฝ้าหน้าตู้โดนัทยืนอมยิ้ม ผมก็เลยหันไปยิ้มกับเธอด้วยไม่รู้จะว่ายังไงดี นี่ถ้าจริงจังกับเรื่องอื่นได้เท่าเรื่องของกินก็น่าจะดีไม่น้อยนะ ไอเคยบ่นให้ฟังเหมือนกันว่าเมโล่ถ้าไม่คอยกระตุ้น ก็แทบจะไม่เอาอะไรเลย คนแบบนี้ก็มี ฮ่ะๆๆ
“เอาอันนี้ กับอันนี้ให้บันนี่อย่างล่ะชิ้นนะ” หมอนั่นหันไปสั่งพนักงานโดยไม่ถามความเห็นผมสักคำ “ส่วนอันนี้ อันนั้น อันนั้น แล้วก็อันนั้นอีก 3 ชิ้นใส่แยกอีกถุงนึง”
“หือ?” ผมเลิกคิ้วสงสัย
“อร่อย” มันดันยกนิ้วโป้งให้ ..แต่ไม่ใช่เรื่องนั้นสิ
“อันนั้นรู้ แต่ว่า..”
“เค้าเลี้ยง”
เป็นอีกครั้งที่ผมต้องเลิกคิ้วสูง เมโล่พยักหน้ามาทางแก้วชาเขียวปั่น
“เค้าเลี้ยงแก้วนั้นด้วย”
“ไปรวยอะไรมา?” ผมถามยิ้มๆ
คุยกับเมโล่แล้วก็อดนึกถึงปูเป้ไม่ได้ เจ้าเด็กตัวกระเปี๊ยกที่พยายามจะทำตัวให้เหมือนผู้ใหญ่ ตรงข้ามกับเจ้ายักษ์ใหญ่อย่างเมโล่ที่ไม่เคยสนใจจะทำอะไรให้สมอายุตัวเอง แถมหลายพฤติกรรมก็ยังไม่ต่างจากเด็กเล็กๆ เสียอีก โลกเรานี่ช่างกลับตาลปัด ฮ่ะๆๆ
“ค่าขนมเค้าเพิ่งออก บันนี่เลี้ยงเค้าหลายทีแล้ว ให้เค้าเลี้ยงบันนี่บ้าง”
“โอ้ รู้จักกตัญญูเหมือนกันนี่เรา” ผมแกล้งล้ออีกฝ่ายเล่นด้วยการเอื้อมมือไปลูบหัวเหมือนลูบหมาลูบแมว
แทนที่จะไม่พอใจหรือปัดมือผมออกเหมือนที่รักมักทำเวลาที่ผมล้อเล่นแบบนี้ แต่เมโล่กลับเอียงหัวเข้าหามือเหมือนว่าชอบให้ลูบอีกต่างหาก ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนแมวแฮะหมอนี่
ทั้งขี้อ้อน ทั้งเข้าใจยาก ..เออ เหมือนแมวจริงๆ นั่นแหล่ะ
“แล้วคราวนี้จะหมดก่อนสิ้นเดือนอีกหรือเปล่า?”
“ไม่รู้”
ผมหัวเราะกับคำตอบจริงใจที่ไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการคิดนั่น
“วานิลลาปั่น โกโก้โอริโอ้ปั่นได้แล้วค่ะ” เสียงของพนักงานหยุดการหยอกเย้าของเราทั้งคู่
แก้วทั้งสองแก้วถูกส่งมาพร้อมกัน เมโล่หยิบของตัวเองไปดูทันที แล้วก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าของผมมีอยู่สองแก้ว
“บันนี่กินคนเดียวสองแก้วเลยเหรอ?” คนถามหันไปรับโดนัทถุงใหญ่จากพนักงาน
“ของเพื่อนด้วยน่ะ” ผมตอบแล้วก็นึกถึงนิ่มกับสจีขึ้นมาได้ เลยหันไปสั่งโดนัทเพิ่มอีกสองชิ้นไปฝากทั้งคู่ด้วย
“งั้นเค้าจ่ายแค่ส่วนของบันนี่นะ”
“ทำไมล่ะ?”
“ก็เค้าชอบบันนี่คนเดียวอ่ะ”คนพูดหน้าตาเฉย แต่คนฟังก็ถึงกับไปไม่เป็นเลยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าคำว่า ‘ชอบ’ ของเมโล่นั้นมีขอบเขตครอบคลุมมากน้อยแค่ไหน เหมือนกับที่ชอบโดนัท หรือแตกต่างจากที่ชอบเค้กหรือเปล่า ก็เลยได้แต่หันไปยิ้มแห้งๆ ให้พนักงานที่ยืนหน้าแดงโดยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ เลยแทน
“ได้เปล่า?”
ห๊ะ? อ้อ คงหมายถึงจ่ายให้แค่ส่วนของผมได้หรือเปล่าสินะ
“แน่นอน” ผมตอบไป ทางนั้นยิ้มสดใสทันตา
“งั้นเค้าไปก่อนนะ ไอรออยู่”
“อื้อ”
ผมมองตามแผ่นหลังของคนที่เดินตัวปลิวออกจากร้านไป
“น้องคะ น้อง! น้องยังไม่ได้จ่ายเงินเลย!”หือ??
“พี่ครับ! เอ่อ พี่ครับ..” ผมเรียกคนที่กำลังจะวิ่งตามเมโล่ออกจากร้านเอาไว้
พี่เขาหันกลับมามองผมด้วยทางทางละล้าละลัง คงกลัวว่าเมโล่จะพ้นไปจากสายตา แต่ลูกค้าในร้านอย่างผมก็สำคัญ ผมลอบถอนหายใจแล้วตัดสินใจพูดสิ่งที่ควรพูดตอนนี้ออกไปก่อน
“คิดรวมกับของผมก็ได้ครับ”ไม่น่าไปหลงคารมแมวเลย..
ปิ๊นนน!
เดินมาเกือบจะถึงตึกภาค ก็มีรถคันหนึ่งขับมาชะลอข้างๆ แล้วบีบแตรใส่ พอกระจกติดฟิล์มดำมืดถูกลดลงถึงได้รู้ว่าคนขับคือหนึ่งในพี่ชายของรักเอง
“สวัสดีครับ เฮียภูมิ” ผมส่งยิ้มทักทายแทนการยกมือไหว้เพราะมือไม่ว่าง
ถึงหน้าตาจะชวนให้สับสนไปบ้างว่าใครเป็นใคร แต่รอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่อีกฝ่ายส่งมาก็ทำให้ผมสามารถจำแนกเขาออกจากแฝดอีกคนได้ทันที
ไอ้เรื่องที่เขาเข้าใจผิดว่าผมเป็นเด็กเฮียภาค แล้วคิดจะจีบเล่นๆ เพราะเห็นว่าเป็นเด็กของพี่ชายตัวเองนี่ยังทำผมขนลุกไม่หายเลย ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ในหัวสิน่า ผู้ชายคนนี้
“หวัดดีครับผม” คนพูดถอดแว่นตาดำออกเหน็บไว้ที่กระเป๋าเสื้อเชิ้ต
“มาทำอะไรแถวนี้เหรอครับ?”
“พอดีมีธุระใกล้ๆ แถวนี้ครับ ก็เลยแวะเอาไอ้นี่มาให้เจ้ารัก”
‘ไอ้นี่’ ที่เฮียภูมิชูให้ดูก็คือกระเป๋าสตางค์ที่ผมเคยเห็นรักพกเป็นประจำนั่นล่ะ
“เห็นทำตกไว้ในบ้านน่ะ เช่อซ่าจริงๆ เลยเนอะ”
ผมหัวเราะตอบไปอย่างไม่รู้จะว่ายังไง
“ขึ้นรถสิ พี่ไปส่ง” คำชวนพร้อมกับประตูรถที่เปิดออกมาทำให้ผมไม่มีโอกาสได้ปฏิเสธ
“ซื้ออะไรมาเยอะแยะเลย กินคนเดียวหมดนี่เลยเหรอเราน่ะ?”
“ของเพื่อนด้วยครับ ลองไหมครับ? ร้านนี้อร่อยดีนะ” ผมยื่นแก้วชาเขียวปั่นของตัวเองไปให้ “อันนี้ของผมเอง เป็นชาเขียว ..เอ่อ ถ้าไม่รังเกียจ”
ยื่นไปให้แล้วก็เพิ่งจะนึกถึงมารยาท มันไม่ควรหรือเปล่านะ? เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น แล้วผมก็ดูดไปแล้วนิดหน่อยด้วยสิ
แต่เฮียภูมิก็ทำให้ผมแปลกใจด้วยการยื่นหน้าเข้ามาดูดน้ำจากแก้วในมือผม.. และสายตาก็จับจ้องที่ใบหน้าผม โดยไม่ได้ละไปมองแก้วหรือแม้แต่เหลือบมองทางข้างหน้าแม้แต่น้อย
“พี่ไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรเลย..”
พอปล่อยหลอดออกจากปาก เขาก็พูดแบบนั้น และรอยยิ้มกรุ้มกริ่มชวนให้หวั่นใจก็กลับมาแต่งแต้มบนใบหน้าหล่อเหลานั่นอีกครั้ง
“อะไรที่เป็นของต่าย พี่ไม่รังเกียจเลยสักนิด”“เอ่อ.. ขอบคุณครับ”
ผมเสตามองออกไปนอกหน้าต่าง รู้สึกไม่ค่อยกล้าสบตากับอีกฝ่ายตรงๆ ยังไงชอบกล
บางทีผมอาจจะคิดผิดที่ยอมติดรถมากับเขา... หรือเปล่านะ?
TBC.เปิดตัวหนุ่ม(น้อย)หน้าใหม่ในฮาเร็มอิชาย กร๊าชชช #ฉันผิดเอง ที่ดูดีมากไป ฉันผิดเอง ที่หล่อเกินห้ามใจ #เธอนั้นต้องเข้าใจ เพราะฉันไม่อาจจะหล่อได้น้อยลง เชรดดด #อิชายนั่งร้องเพลงนี้ด้วยความกลุ้มใจ #ตรบ
เอ็นจอย ทู รี้ด นะแจ้