Part11
“อื้ม” ผมพยายามจะพลิกตัวหันไปอีกด้านเมื่อรู้สึกหงุดหงิดเหมือนมีอะไรมาคลอเคลียอยู่ตรงแก้มรบกวนการนอนของผม แต่ก็ขยับไม่ได้ซักทีด้วยความที่ยังง่วงนอนอยู่ผมเลยไม่สนใจนอนต่ออีกครั้ง แต่เมื่อรู้สึกเหมือนโดนลูบแก้มอีกครั้งผมจึงฝืนความขี้เกียจค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาก็พบกับใบหน้าของอีกคนที่อยู่ชิดใบหน้าของผม จมูกโด่งสวยได้รูปนั้นถูไถไปมากับแก้มนิ่มของผม
“อื้อ ตฤณ แก้มผมช้ำหมดแล้ว” ผมพูดกับคนตัวโตแล้วซุกเข้ากับอกแกร่งหนีริมฝีปากของอีกคนไรหนวดของตฤณทำเอาแก้มผมขึ้นรอยแดงจาง ๆ เลยอ่ะ
“เช้าแล้ว หิวหรือยัง” มือหนาลูบหัวผมเบา ๆ จับปอยเส้นผมของผมเล่นไปมาอย่างสบายใจ ไม่มีความทุกข์ร้อนใด ๆ ในชีวิตเลยสินะ ผิดกับผมที่รู้สึกอัดอัดกับการหลบ ๆ ซ่อน ๆ และความรู้สึกถูกทิ้ง
ทุกครั้งที่ได้อยู่กับเขาแค่สองคน ผมจะมีความสุขมาก ๆ สุขจนล้นเลยทีเดียว คงจะจริงอย่างที่ใคร ๆ ว่ากันไว้ว่า ความสุขอยู่ได้ไม่นาน ความทุกข์ก็จะมาเยือนเราเสมอ เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าก็คงหมดเวลาของผมแล้ว กลับไปบ้านก็จะไม่ตฤณของผม และจะไม่มีตลอดไป เพราะวันนี้ผมตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่ายังไงผมก็ต้องเลิกให้ได้ ถึงจะเจ็บแค่ไหนก็ต้องยอม ผมยอมเจ็บคนเดียว เจ็บเจียนตายก็ยอมเพื่อแม่ ผู้หญิงที่แสนดีที่สุดในโลก ผมยอม
“เช้าแล้วเหรอครับ กลับบ้านเลยดีไหม” ผมเงยหน้าถามคนตัวโตที่ยังคงนอนกอดผมอยู่
“กลับค่ำ ๆ ก็ได้นี่ แม่เธอยังไม่กลับเสียหน่อย”
“อืมม ก็ได้ครับ ตฤณ วันนี้ผมจะตามใจคุณทุกอย่างเลย” พูดจบผมก็หอมแก้มสากแรง ๆ หนึ่งทีพร้อมกับส่งยิ้มที่คิดว่าหวานที่สุดไปให้
ถึงคุณจะไม่ได้รักผมเลยก็ตาม แต่วันนี้ แค่วันนี้เท่านั้นที่ผมจะตามใจคุณทุกอย่าง วันสุดท้ายของเรา ผมขอให้มันเป็นวันที่น่าจดจำตลอดไป
“หืมม ทุกอย่างเลยเหรอ หึหึ” ตฤณถามพลางหัวเราะไปด้วย เจ้าแววตาเจ้าเล่ห์แบบที่เอาไว้มองเหยื่ออย่างผมนั่นแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
“ทุก อย่าง เลย ครับ” ผมตอบเขากลับไปด้วยน้ำเสียยงหนักแน่นย้ำชัด ๆ ทีละคำ
“งั้น เช้า ๆ แบบนี้ทำอะไรกันดีล่ะ”
“กินอาหารเช้าครับ คิคิ” ผมตอบตฤณแล้วลุกจากเตียงวิ่งหนีคนตัวโตออกนอกห้องนอนทันที เดินเข้ามาในส่วนของครัวเปิดดูตู้เย็นว่าพอจะมีของสดอะไรใช้ทำอาหารเช้าง่าย ๆ ได้บ้าง
“มีแต่น้ำเปล่าทั้งนั้นแหละน่า มานี่เลย มาให้กินซะดี ๆ หิวแล้วเนี่ย” ตฤณตามออกมาหาผมที่ครัว มือหนาสอดเข้าที่เอวผมจากด้านหลังกอดผมไว้แน่นแล้วแกล้งเอาคางที่เต็มไปไรหนวดครูดกับแก้มผมไปมา
“อ๊ะ ไม่เอานะ ผมหิวแล้วน๊า คุณไม่หิวหรือไง โทรสั่งให้คนเอาของสดขึ้นมาให้หน่อยสิ”
“โทรสั่งอาหารเลยไม่ดีกว่าเหรอ”
“แต่ผมอยากทำอาหารให้คุณทานนี่นา นะครับ นะ ยังไงก็อยู่นี่ทั้งวันอยู่แล้ว ของสดแหละดีครับ เดี๋ยวมื้อกลางวัน มื้อเย็นเราทำกินกันที่นี่แหละเน๊อะ” ผมส่ายหน้าให้ร่างสูง แล้วอ้อนให้อีกคนทำตามความต้องการของผม
ถึงคนตรงหน้าจะเลวร้ายแค่ไหน อย่างน้อยตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาก็ส่งเสียให้ผมกับแม่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดีเกินไปด้วยซ้ำ ความทรงจำครั้งสุดท้ายของเราผมอยากจะทำอะไรเพื่อเขาบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังดี
ใครรู้เข้าคงสมเพชผมน่าดู โดนเขากระทำย่ำยีให้เจ็บปวดเจียนตาย เป็นที่ระบายอารมณ์เหมือนกระโถนที่รองรับขยะทุกอย่างเอาไว้ แต่ผมก็ยังจะรักเขา รักผู้ชายคนนี้ รักไปได้ยังไงก็ไม่รู้
ตอนแรกตฤณเป็นเหมือนเทวดาที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตผม เติมความรักให้ทั้งสี่ห้องหัวใจอบอุ่นกำลังดี แต่เมื่อความสุขมันเต็มปรี่จนร้อนราวกับไฟแผดเผา ตฤณก็เหมือนซาตานที่ผมไม่อาจต้านทานได้
“ฉันโทรบอกให้คนเอาของขึ้นมาให้แล้วนะ อีกซักพักคงมีขึ้นมา ระหว่างนี้ฉันอยากจะ..”
“พอเลยนะ คุณไปอาบน้ำดีกว่า นะครับ นะ” ผมปฏิเสธทันทีทั้งที่ร่างสูงยังพูดไม่ทันจบแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าผมไม่ควรจะขัดใจอีกฝ่ายแบบนี้เดี๋ยวตฤณจะพาลอารมณ์เสีย คิดได้ดังนั้นผมจึงรีบอ้อนคนตัวโตทันที พูดเพราะ ๆ แล้วยิ้มหวานให้
“หึ กลัวโดนทำโทษรึไง รอยยิ้มไม่ธรรมชาติเอาซะเลยนะ” ผมหุบยิ้มทันทีที่อีกคนรู้ทันความคิดผม แต่ก็ยังดีที่เขาแค่แขวะกลับมาไม่ลงไม้ลงมือเหมือนทุกครั้ง
“มานี่เลยมา” ตฤณจูงมือผมไปทางห้องนั่งเล่นที่มีโซฟาตัวใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง
“คุณตฤณอ่ะ!”
“อะไร นี่ปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัวเลยนะ เมื่อคืนเด็กที่ไหนก็ไม่รู้งอแงให้ปลอบอยู่ทั้งคืนเลย” ร่างสูงถอดเสื้อแล้วนอนคว่ำลงบนโซฟาทิ้งให้ผมที่ยังอายกับประโยคเมื่อครู่ยืนอึ้งอยู่คนเดียว เชอะ ผมไม่ใช่เด็กซะหน่อย
“ยืนเหม่ออะไร ห๊ะ” ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ทันทีที่มือใหญ่ของตฤณกระชากแขนผมให้ล้มลง ร่างสูงพลิกตัวโอบกอดผมไว้เบียดกันอยู่บนโซฟา
“ดุอีกละ”
“ก็ถ้าเป็นเด็กดี ไม่ขัดใจล่ะก็นะ..”
“ถ้าอยากให้นวดก็นอนลงไปเลย” ผมผลักอกหนาของอีกคนให้ออกห่างแล้วลุกขึ้นยืนเตรียมลงมือบีบนวดให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย
ผมนวดหลังให้ตฤณได้ซักพัก พนักงานของโรงแรมก็นำของสดสำหรับทำอาหารขึ้นมาให้ที่ห้อง ผมจึงละมือไปทำอาหารเช้าให้ตัวเองและคนตัวโตที่นอนหลับสบายอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ คงจะเหนื่อยกับงานมาทั้งวันถึงได้หลับสนิทไม่รู้เรื่องขนาดนี้
“อื้อ หอมจัง ฮ้าาว..ฌา ทำไมไม่ปลุกฉันล่ะ” คุณตฤณที่คงจะตื่นเพราะกลิ่นหอม ๆ ของอาหารมื้อเช้าที่ผมทำลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจซ้ายขวาไปมา แล้วเดินตรงมาทางครัว
“ผมเห็นคุณกำลังหลับสบายเลยไม่อยากกวน ข้าวต้มหมูสับ กับไข่เจียวกุ้งสับนะครับ อยากได้อะไรเพิ่มไหม” ผมหันหน้าไปถามร่างสูงที่ท้าวแขนเกาะขอบเคาท์เตอร์หน้าครัวอยู่
“อืม แค่นี้ก็พอ เช้า ๆ แบบนี้ฉันกินเยอะไม่ไหว เธอก็รู้นี่”
“ก็รู้น่ะสิครับ เลยทำแค่นี้ อื้ออ คุณตฤณไปนั่งที่โต๊ะเลยนะ ผมหิวแล้วนะ!” ผมแหววใส่คนตัวโตที่เดินมาซ้อนอยู่ข้างหลังมือไม้ก็ไม่ค่อยจะอยู่สุข ปัดป่ายลูบไล้ไปทั่วหน้าท้องของผม
“หึหึ รู้ใจจริง ๆ นะ เมียใครหว่า”
“ก็แค่เมียน้อยจะสนใจทำไม อ๊ะ!” จะด้วยความน้อยใจหรือหงุดหงิดที่คนตัวโตเอาแต่ลูบไปมากับเนื้อตัวผมเหมือนจะแกล้งเล่น ก็ไม่ทราบได้ หลังจากเงียบไปซักพักผมก็ทนไม่ไหวโพล่งออกไป ตฤณคงจะไม่พอใจที่ผมพูดพาดพิงไปถึงคนอื่น พาดพิงถึงแม่ เมียแต่ง เมียที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม แม่คือผู้หญิงที่ผมแตะต้องไม่ได้ ห้ามพูดถึงเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน พูดถึงแม่เมื่อไหร่เป็นอันว่าต้องทะเลาะกันแล้วผมมักจะได้แผลทุกที
“พูดอะไร ห๊ะ! อย่าไปคิดถึงคนอื่นได้ไหม ห๊ะ คนกำลังอารมณ์ดีอยู่แท้ ๆ"
“ก็ผมพูดความจริง” ผมตอบเขาพลางก้มมองอาหารที่อยู่ในจานไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย
“ออกไปเลยไป!”
“วะ..ว่าไงนะ นี่ขอแค่วันนี้ วันเดียว คุยกันดี ๆ ไม่ได้เลยหรอ วันสุดท้ายของเรา คุณให้ผมไม่ได้ใช่ไหม!” ผมตะโกนใส่หน้าอีกฝ่ายด้วยความโมโห ข้าวก็ยังไม่ได้กินซักคำเลยนะ พอไม่พอใจก็เอาแต่ไล่ เออ รู้หรอกน่ะว่าไม่ใช่คนสำคัญ เป็นแค่ของเล่น
“พูดอะไรของเธอฉันหมายถึงออกไปนั่งที่โต๊ะอาหารนู่น ฉันไม่ได้อยากจะทะเลาะให้เหนื่อยหรอกนะ ช่วงนี้งานที่บริษัทก็ยุ่งมากพอแล้ว”
“อ้าว กะ..ก็คุณ ผมนึก..ว่า” ผมอึ้งไปเลยทันทีที่ตฤณเฉลยว่าที่ไล่น่ะ คือไล่ให้ผมออกไปนั่งรอที่โต๊ะอาหาร คำพูดมันจุกอยู่ที่คอไม่รู้จะพูดอะไรกับอีกคนดี สุดท้ายผมก็ต้องถอยหลบร่างสูงที่ยกจานอาหารออกไปจากครัว โดยมีผมเดินตามไปนั่งฝั่งตรงข้าม
“กินข้าวเสร็จแล้วมีเรื่องจะคุยด้วยนะ”
“คุยอะไรอ่ะ ไม่คุยได้ไหม ไปเที่ยวกันเหอะ” ผมต่อรองกับเขา ไม่อยากคุยด้วยเลยจริง ๆ กลัวว่าคุยไปคุยมาจะรวนเรเปลี่ยนไปเป็นทะเลาะกันอีกซะล่ะมากกว่า
“ไม่ได้ คุยกันก่อนเสร็จแล้วจะพาไปเที่ยว”
“ไม่เอา วันนี้ไม่อยากทะเลาะด้วยนะ เหนื่อย” พูดจบผมก็ลงมือตักข้าวต้มเข้าปากไม่สนใจคนตรงหน้าอีกเลย
“แล้วใครคนเริ่ม ใครที่บอกว่าวันสุดท้ายของเรา ห๊ะ! เมื่อกี้ใครพูด ฉันได้ยินนะ” ได้ยินเสียงเข้มตะคอกใส่ผมถึงกับทำช้อนที่กำลังจะตักข้าวต้มเข้าปากหล่น เมื่อกี้นึกว่าคนตัวโตจะไล่ให้กลับบ้านเลยเผลอพูดสิ่งที่ตรึกตรองมาตลอดออกไป
ดีเหมือนกันพูดกันซะให้รู้เรื่อง ผมคิดไว้นานแล้วว่ายังไงวันนี้ก็ต้องมาถึง วันที่ผมจะกล้าตัดสินใจให้มันเด็ดขาดลงไปซักที กลัวอย่างเดียวกลัวว่าอีกคนจะไม่ยอมรับฟังแล้ววันสุดท้ายของเราจะไม่เหลือความทรงจำแสนสุขให้ผมเก็บไว้ติดตัว
“ก็ตามที่..เฮ้ออ ตามที่พูดนั่นล่ะครับ คุณคงเข้าใจอยู่แล้ว” ผมถอนหายใจพยายามเค้นเสียงออกมาเป็นคำพูดด้วยท่าทีเรียบนิ่งไม่แสดงอาการอ่อนไหวหรือเจ็บปวดใด ๆ ให้อีกคนได้รับรู้
“ให้เข้าใจอะไร! อยากเลิกมากนักใช่ไหม! ทำไม หาผัวใหม่ได้แล้วหรือไง!”
“ตฤณ! มันจะมากไปแล้วนะ” ผมฉุนจัดที่ร่างสูงพูดจาเหยียบย่ำผมขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่ผมมีเขาแค่คนเดียว
“ฉันไม่สนใจว่าไอ้นั่นมันจะเป็นใคร เลิกกับมันซะ! ไม่งั้นจะแม่เธอได้รู้เรื่องของเราแน่!”
“คุณตฤณ! เกินไปแล้วนะ! ลากเอาแม่มาเกี่ยวด้วยทำไม” ผมลุกขึ้นยืนด้วยความโมโหกับประโยคที่อีกคนพูด ไม่ไหวแล้วนะ ผมไม่ไหวแล้วจริง ๆ ผมไม่รู้จะทำยังไงเลยหากแม่จะต้องมารับรู้เรื่องราวอันแสนเน่าเฟะของสามีตัวเองกับลูก แม่จะเป็นยังไง ผมไม่กล้าคิดเลย
“นั่งลง กินข้าวให้หมดก่อน แล้วค่อยคุยกันต่อ” ตฤณถอนหายใจหนัก ๆ เหมือนพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองแล้วพูดกับผมด้วยท่าทีเรียบนิ่ง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่ผมยืนตัวสั่นมองเขาด้วยความโมโห
“ไม่กิน! คุยมาเลยดีกว่าว่าคุณจะเอายังไง! ยังไม่เบื่อใช่ไหม! ทำไม จะอยากเก็บไว้ทำไม ของเล่นชิ้นเดิม ๆ อย่างผมน่ะ อ้อ เก็บไว้ทรมานเล่นสินะ!”
“อย่ามาทำตัวน่ารำคาญนะ ภิฌา” ตฤณกดเสียงต่ำบอกกับผมโดยที่ร่างสูงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองผมเลยด้วยซ้ำ เห็นแบบนั้นผมก็ทนไม่ไหว ไหน ๆ วันนี้ก็คงไม่มีความทรงจำดี ๆ ให้จดจำอยู่แล้วนี่
‘โครม’
“ภิฌา!” ผมจับเก้าอี้ตัวที่ผมนั่งเมื่อไม่กี่นาทีก่อนเหวี่ยงไปด้านข้างชนผนังที่มีชั้นลอยวางแก้วคริสตัลประดับสวยงามจนมันหล่นลงมาแตกกระจาย
“เป็นบ้าอะไร! ไอ้เด็กไม่ดี!”
“เออ ไอ้เด็กคนนี้มันชั่ว ทั้งเลวทั้งร่าน วัน ๆ แม่งก็นอนเอากับผัวของแม่ เลวขนาดนี้คุณจะมาสนใจผมทำไม!"
“หยุดบ้าเดี๋ยวนี้นะ! อย่าเดิน!” เมื่อเห็นร่างสูงตะโกนเรียกชื่อผมเสียงดัง ดวงตาวาวโรจน์ของคนตัวโตที่จ้องมองผมเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อก็ทำให้ใจผมหวิว ๆ อยู่เหมือนกัน สองขาค่อย ๆ ถอยหลังออกห่างจากอีกฝ่าย
“โอ๊ย!”
“โธ่ว้อย! มานี่เลย!” ขณะที่ผมกำลังก้าวถอยหลังพลางจ้องหน้าอีกคนไม่วางตา เท้าผมก็เหยียบเข้ากับเศษแก้วที่แตกกระจายอยู่บนพื้น ตฤณเดินมาประชิดตัวผมทันทีแล้วอุ้มผมไปนั่งที่โซฟาหน้าโทรทัศน์ตัวใหญ่ในห้องรับแขก
“อึก..อื๊อ”
“เจ็บก็ร้องออกมา จะกลั้นไว้ทำไม”
“ก็มัน.. งื้อ” ตฤณว่าเข้าให้ระหว่างที่หยิบเอาเศษแก้วออกจากฝ่าเท้าของผม ผมได้แต่ก้มหน้ามองมือหนาที่กำลังทำความสะอาดเท้าของผมด้วยน้ำเกลือ น่าแปลกที่คนตรงหน้าผมตอนนี้ทำแผลที่เท่าให้ผมอย่างไม่นึกรังเกียจ ทั้งที่เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วเราสองคนทะเลาะกันแทบตาย
“แผลลึกอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ถึงขนาดต้องเย็บหรอก ระหว่างนี้ก็อย่าเดินลงส้นข้างนี้ให้มากแล้วกัน” ตฤณพันแผลให้ผมเสร็จก็เงยหน้าหล่อคมเข้มแลดูอ่อนเยาว์ของตนเองขึ้นมามองสบตากับผม ทำเอาผมรีบก้มหน้างุดชิดอกตัวเองหนีหน้าอีกฝ่ายแทบไม่ทัน
“เฮ้อ ใช่ว่าจะมีแต่เธอที่ไม่อยากทะเลาะ ฉันก็เหนื่อยแล้วเหมือนกันนะ เรามาคุยกันดี ๆ ตกลงไหม”
“ผะ..ผมอยากละ..” ผมยังพูดไม่ทันจบตฤณก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ข้อนี้ฉันให้ไม่ได้ เธอก็รู้ เอาเป็นว่าระหว่างที่อยู่ไทยเราจะไม่มาที่นี่อีก แต่ฉันจะไปหาเธอที่เมืองนอกแทน เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องแม่ของเธอ”
“คุณมันเห็นแก่ตัว!”
“กินข้าวได้แล้ว” ตฤณลุกเดินไปหยิบจานอาหารของเราทั้งสองคนมาวางไว้บนโต๊ะกระจกขนาดย่อมหน้าจอโทรทัศน์ แล้วโทรศัพท์เรียกแม่บ้านขึ้นมาเก็บกวาดซากกระจกที่เละเทะไม่เป็นท่าอยู่ในห้องอาหารเพราะฝีมือผม
“กินข้าว!”
“.....” ผมทั้งโกรธ ทั้งหงุดหงิดไม่เข้าใจคนตรงหน้าจนตัวสั่นไปหมด แต่มือสั่น ๆ ก็พยายามจับช้อนตักข้าวเข้าปาก
กว่าเราจะกินข้าวเช้ากันเสร็จเรียบร้อยด้วยฝีมือทำอาหารที่ลุงชองสอนผมมาตั้งแต่จำความได้ ห้องอาหารก็สะอาดเรียบร้อยเหมือนไม่เคยมีสงครามขนาดย่อมเกิดขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นเราก็นั่งดูทีวีกันเงียบ ๆ
ตฤณจัดท่าให้ผมนั่งอยู่บนโซฟาระหว่างขาของเขาทั้งสองข้างแขนหนาโอบกอดผมเอาไว้ ปลายคางแหลมทิ้งน้ำหนักลงบนกลางศีรษะของผม โดนแบบนี้เข้าไปผมก็ไม่กล้าจะขยับไปทางอื่นเลย แม้ว่าจะนั่งจนตัวเกร็งปวดกล้ามเนื้อไปทั้งตัวแล้วก็ตาม
“จะร้องให้มันได้อะไร ห๊ะ! น่ารำคาญจริง ๆ” ร่างสูงผลักผมออกจากตัวแล้วเดินเข้าหนีไปอาบน้ำ
ผมเหนื่อยเหลือเกินคิดไม่ตกจริง ๆ ว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อจากนี้ ชีวิตที่มีตฤณมันก็ร้อนเหมือนโดนเผาอยู่ตลอดเวลา ส่วนชีวิตที่ไม่มีเขาอยู่ข้างกายแค่คิด ก็รู้สึกหนาวยะเยือกเหมือนจะขาดใจตายให้ได้ ไปเรียนเมืองนอกตามที่ร่างสูงเสนอน่ะเหรอ หึ คงไม่พ้นตำแหน่งนางบำเรอนักเรียนนอกอยู่ดี แต่ไม่แน่อยู่ไกลกันขนาดนั้นเขาอาจจะลืมผมก็ได้ รักแท้มักจะแพ้ใกล้ชิด แล้วยิ่งระหว่างผมกับเขามันใช่ความรักซะที่ไหนกัน
“ตฤณ” ผมเดินเข้าไปในส่วนของห้องแต่งตัวมองอีกฝ่ายที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ ร่างสูงทำหน้าไม่สบอารมณ์ที่เห็นหน้าผม เลิกคิ้วหนาขึ้นเป็นเชิงถามว่ามีอะไร
“ถะ..ถ้าฌาไปเรียนเมืองนอกอย่างที่คุณต้องการ ขะ..ขออะไรอย่างนึงได้ไหม ม่ะ..ไม่ใช่เงื่อนไขอะไรนะ! แต่เป็นคำขอร้อง นะครับ นะ” ผมกลั้นใจพูดออกไปกับสิ่งที่เป็นกังวลอยู่ในใจผมตอนนี้ พอเห็นคนตัวโตเริ่มจะทำหน้าดุออกมาอีกครั้งผมก็รีบพูดเสียงหวานกับอีกฝ่ายทันทีพร้อมกับขยับเข้ามาใกล้ยื่นเสื้อเชิ้ตสีสวยส่งให้เขา
“ขออะไร” ตฤณปัดมือผมออกไม่ยอมแต่งตัวให้เรียบร้อยแต่ดึงแขนผมเข้าปะทะกับเข้ากับตัวเขาแนบสนิทกับช่วงบนที่เปลือยเปล่าด้านล่างมีผ้าขนหนูสีขาวพันไว้รอบเอว
“รับปากได้ไหมว่าจะให้”
“ไม่ได้ อย่างเธอมีสิทธิอะไรมาสั่งฉัน บอกมาว่าจะขออะไร” ผมสูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ นึกหมันไส้อีกคนที่ไม่ตกหลมพราง
“ว่าไง ก็ตามใจนะถ้าเธอไม่..อื้ม..” ผมใจกล้าหน้าด้านแขนที่คล้องรอบคอหนาเปลี่ยนมายึดไหล่แกร่งไว้แน่นแล้วโน้มหน้าลงไปจูบริมฝีปากหยักแต่ไม่ได้ลุกล้ำเข้าไปด้านใน ไม่ไหวหรอกผมอายจริง ๆ นี่นา
“หึ แค่นี้ไม่พอหรอกนะ แต่จะยกเว้นให้ก็แล้วกัน ฉันชอบนะเวลาเธออ้อนฉันแบบนี้น่ะ” ตฤณยิ้มให้ผมเป็นเชิงอนุญาตว่าตกลงว่าจะไม่โกรธหากผมยังยอมให้เขาเล่นง่าย ๆ อยู่เหมือนเดิม ของเล่นราคาถูกก็คงแบบนี้สินะ แต่ช่างเถอะเขาจะคิดยังไงก็ช่าง ผมเจ็บจนชินแล้ว
“ฝากดูแลแม่ด้วยได้ไหม คุยกับแม่บ้าง แม่รักคุ..อื้อ อื้มม” มือหนากดท้ายทอยผมไว้โน้มลงมารับจูบจากเขา ตฤณกดจูบย้ำ ๆ ดูดดุนริมฝีปากของผมทั้งบนและล่างจนมันบวมช้ำไปหมด ลิ้นร้อนพยายามสอดแทรกเข้ามาข้างในให้ได้ แต่ผมปิดปากไว้แน่น ขืนปล่อยให้เข้ามาเดี๋ยวจะยาวคุยไม่รู้เรื่องกันพอดี สุดท้ายตฤณก็ยอมผละออกจากริมฝีปากผม มือหนายกขึ้นปัดปอยผมที่ลงมาปิดหน้าปิดตาออกให้
“แฮ่ก ๆ ๆ คุณนี่มัน แฮ่ก ๆ ” ผมหายใจหอบซบหน้าเข้ากับอกแกร่งของอีกคน
“บอกแล้วใช่ไหม ว่าอย่าพูดถึงคนอื่นฉันไม่ชอบ!”
“แม่ไม่ใช่คนอื่น! แม่เป็นเมียคุณนะ!”
“อย่ามาทำเป็นพูดดี หึ ลึก ๆ แล้วเธอเองก็อยากให้ณดาหายไปใช่ไหมล่ะ แน่ล่ะสิ ร่านซะขนาดนี้ ติดใจฉันทั้งแม่ทั้งลูก”
“ตฤณ! ไอ้คนเลว”
‘เพียะ’
“จะไปไหน! กลับมานี่นะ!”
“โอ๊ยย” ผมโกรธจนเผลอตบใบหน้าคมออกไป สายตาดุดันโกรธจัดหันกลับมามองจนผมขนลุกด้วยความกลัว สองเท้าก็ออกวิ่งหนีร่างสูงทันที แต่มือยังไม่ทันเอื้อมไปถึงลูกบิดประตูห้อง ตฤณก็กระชากคอเสื้อผมจากด้านหลังแล้วเหวี่ยงผมเข้ากับกำแพง หลังผมกระแทกเข้าอย่างแรงเจ็บร้าวระบมไปทั้งตัว
“กล้าตบฉันเหรอ ห๊ะ! เดี๋ยวนี้กล้าตบฉันเหรอ”
“อื้อ อ่อย” มือหนาบีบปากผมราวกับถูกคีมเหล็กบีบให้กระดูกแตก ผมดิ้นอย่างแรงหมายจะให้หลุดพ้นจากพันธนาการจากอีกฝ่าย
“เทิดทูนแม่เหลือเกิน แต่ยอมทรยศแม่เพื่อมานอนกับฉันอยู่ดี ก็อย่าเอาผู้หญิงคนนั้นมาเป็นข้ออ้าง!”
“อึก..อ่อย อือ ฮือ อีออน อ่อย ฮืออ” ร่างสูงออกแรงบีบกรามผมแรงขึ้นเรื่อย ๆ เจ็บจนน้ำตาไหลพยายามเค้นเสียงเป็นคำพูดออกไป ขอร้องให้เขาปล่อย
“อยากเลิกนักใช่ไหม! อยากมีหลายผัวนักรึไง ก็ดี งั้นเรามาเริ่มเรียนกันเลยดีไหม ฉันจะสอนเธอเอง เวลาไปนอนกับ ไอ้ตัวอื่นมันจะได้ติดใจเธอไง” ตฤณลากผมเข้าไปในห้องนอนแล้วเหวี่ยงผมลงบนเตียงอย่างแรง
“คิดจะไปก็อย่ากลับมาอีก เพราะฉันไม่ชอบใช้ของมือสอง มันสกปรก!” พูดจบมือหนาก็กระกระชากเสื้อผ้าออกจากตัวผมทันที ไม่ได้ถอดออกให้อย่างที่ควรจะทำชุดที่สวมใส่อยู่ถูกดึงกระชากไปคนละทิศคนละทางเสียดสีเป็นรอยแดงตามตัวผมจนแสบร้อนไปทั่ว
“ตฤณ อย่านะ!”
“หุบปากแล้วเก็บเสียงไว้ครางให้ฉันฟังดีกว่า”
“ตฤณ มัน อื้อ พอ ได้โปรด อ๊า” ผมกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและหายใจหอบเพราะปลายนิ้วยาวของอีกฝ่ายสอดลึกเข้ามาภายในช่องทางสวาทอย่างไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัว นิ้วยาวหมุนวนครูดไปกับผนังร้อนด้านใน
“ไม่เอาแล้ว! พอซักที ฮือ อึก ฮือออ”
“หึ ปากว่าไม่ แต่รัดนิ้วฉันแน่นขนาดนี้แล้วเนี่ยนะ”
“ตฤณได้โปรด” ผมขอร้องด้วยใบหน้าแดงก่ำพร้อมกับน้ำใส ๆ ที่รื้นขึ้นในดวงตา
“อา ผิวเธอมันลื่นเนียนดีจริง ๆ ชักจะทนไม่ไหวแล้วสิ” พูดจบร่างสูงก็ถอยห่างออกไปกระตุกปมผ้าขนหนูที่เอวออกเบา ๆ ก็เผยให้เห็นความต้องการของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
“อ๊ะ อื้อ อยะ อย่า” ผมครางเสียงกระเส่าเมื่อร่างสูงโถมตัวนอนลงทับผมเอาไว้ทั้งตัว ปลายลิ้นร้อนตวัดเลียเข้าที่ยอดอกจนกระตุ้นอารมณ์ผมให้สูงขึ้น มือเล็กทุบตีหัวไหล่หนาพยายามดันคนตัวโตให้ออกห่าง ขาเรียวพยายามดิ้นขยับทั้งที่ถูกกดตรึงไว้กับเตียง
“หึ”
“อื๊อ อ๊ะ อ๊า” ริมฝีปากหนาครอบครองเม็ดเล็กบนแผ่นอกบางดูดดุนจนแข็งเป็นไต อีกข้างก็ถูกนิ้วหนาบีบบี้กระตุ้นให้ชูชัน ผมจิกเล็บลงบนบ่าแกร่งแหงนหน้าขึ้นเผยอปากส่งเสียงครางระบายความเสียวซ่าน
“อ๊าาาา” สุดท้ายผมก็ห้ามความต้องการของตัวเองไม่ไหว ยินยอมให้คนตัวโตเล่นสนุกกับร่างกายตัวเองเหมือนทุกทีเมื่อริมฝีปากหยักร้อนครอบลงมาที่ส่วนอ่อนไหวของผม
“อ๊ะ ตฤณ อย่า อื๊อ อ๊ะ อ๊ะ ไม่ ไม่ไหว” มือหนายึดสะโพกผมเอาไว้แน่น ริมฝีปากรูดรั้งขึ้นลงเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น ผมขยำจับผ้าปูเตียงไว้แน่นปลายเท้าจิกเกร็งลงบนเตียงใหญ่ด้วยความเสียวซ่าน
“อ๊า อื๊อ อ๊ะ อ๊ะ อ๊า ตฤณ” สะโพกอวบเผลอยัดกายเด้งเข้าหาคนตัวโต มือปัดป่ายลงไปกำเส้นผมดำดำของร่างสูงให้แนบชิดเข้ากับส่วนอ่อนไหวของผมยิ่งขึ้นด้วยความอารมณ์ร้อนที่สูงขึ้น แต่แล้วตฤณก็หยุดทุกอย่างลงผละกายออกห่าง ผมที่อยากจะปลดปล่อยออกมาเต็มทนได้แต่มองการกระทำของเขาด้วยความสับสน เรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงหวานด้วยความทุรนทุราย
“อยากให้ฉันช่วยเหรอ ก็ขอร้องสิ”
“อึก อึก ไม่!”
“ก็ตามใจนะ” พูดจบผู้ใหญ่รูปร่างดีก็นั่งพิงหลังเข้ากับหัวเตียง เอนตัวเปล่าเปลือยเหยียดขาอย่างสบายใจ
“อา ดีจัง” มือหนารูดรั้งแท่งร้อนของตัวเองส่งเสียงครางเหมือนจะยั่วให้ผมทนไม่ไหว
“ตะ ตฤณ ช่วย ช่วยผมด้วย” ผมคลานเข้าไปหาอีกคนที่นอนหงายพิงหัวเตียงร้องขอให้เขาทำเรื่องสวาท
“หึ มานั่งนี่สิ” ร่างสูงยกยิ้มเข้าที่มุมปาก ตบหน้าแข้งตัวเองเบา ๆ บอกให้ผมไปนั่งบนตักที่เห็นชัดว่าอะไร ๆ ของเขามันตื่นตัวแข็งขืนชี้ขึ้นมาเต็มที่
“ฮึก ฮือ อือ”ผมคลานไปนั่งบนตักของอีกฝ่ายรูสึกได้ถึงแก่นกายร้อนผ่าวที่เสียดสีเข้ากับช่องทางคับแคบของผม ผมกอดคอร่างสูงไว้แน่นซุกหน้าเข้ากับอกผายเปลือยเปล่าของเขาด้วยความความอับอาย น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้มตัวสั่นไหวด้วยจิตใจที่ขยะแขยงตัวเอง ภิฌาคนเลว ร่านอยากจะนอนกับคนมีเจ้าของ เจ้าของที่ว่าก็แม่บังเกิดเกล้าที่แสนดี
“ร้องทำไม ตาบวมหมดแล้ว ฉันชอบเวลาเธอครางเสียงหวานให้ฉันฟังมากกว่านะ” มือหนาลูบไล้อยู่บริเวณแก้มก้นอวบ บีบขยำเนื้อแน่นอย่างหมันเขี้ยวก่อนที่จะยกตัวผมให้สูงขึ้น ถูไถส่วนแข็งแรงเข้ากับช่องทางด้านหลังของผม มือเล็กกอดคออีกคนไว้แน่นแล้วค่อย ๆ แยกหัวเข่าออกกว้างเพื่อรองรับคนตัวโตอย่างรู้งาน
“อา อ๊ะ อื้อออ!” ผมค่อย ๆ กดตัวลงบนส่วนปลายของแก่นกายร้อนช้า ๆ โดยมือใหญ่ช่วยพยุงตัวผมไว้อีกทีก่อนที่จะตัดสินนั่งทับลงไปทีเดียวจนมิดลำเมื่อความต้องการที่จะปลดปล่อยมันสั่งให้ทำตามแรงอารมณ์จนไม่สนใจว่าตัวเองจะเจ็บร้าวเพียงใด
“อาห์”
“อร๊างงง” เสียงคำรามแหบพร่าของคนตัวโตและเสียงครางของผมดังกึก้องผสมปนเปไปทั่วห้องนอนกว้างด้วยความเสียวสะท้าน ตฤณกดคอผมให้โน้มลงมารับจูบร้อนแรงจากเขา
“อ๊ะ อ๊ะ” ผมนั่งนิ่งไม่ขยับด้วยความเจ็บและอึดอัดจนอีกฝ่ายทนไม่ไหวต้องเด้งสะโพกสอบขึ้นมากระทุ้งภายในผมเบา ๆ เป็นการบอกให้ขยับตัวกลาย ๆ
“อา มันแน่น อ๊ะ ตฤณ ลึกไป มัน อ๊ะ อ๊า” คนตัวโตเร่งเร้าไม่ยอมหยุดจนผมต้องยกตัวขึ้นขยับลงช้า ๆ เท่าที่จะทำไหว
“ดี อาห์ อย่างนั้นแหละ ขยับแบบนั้นล่ะ ฌา อา อืม อา”
“อ๊ะ อา อ๊ะ อ๊า ตฤณ ตฤณ อ๊าาาา” เมื่อส่วนแข็งแรงกดสอดลึกเข้ากระแทกจุดเร้าภายในผมก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปขยับกายขึ้นลงเร็วขึ้นตามความต้องการ
‘ปัง ปัง ปัง’
“ตฤณ อื๊อ สะ เสียง อ๊า”
“ช่างเถอะน่า ลูกน้องก็อยู่หน้าประตู ไม่มีใครเข้ามาได้หรอก คงเสียงห้องอื่น อาห์ ดี เร็วอีก อีก อย่างนั้นแหละ อา”
‘ผลั่วะ’
“นี่มันอะไรกัน!”
TBC. เขียนเองเขินเอง แอร๊ยย บทอัศจรรย์นี่มันเขียนยากง่ะ