สิ้นคำถามผิวนวลต่างแดงซ่าน
ให้สคราญถูกใจใครใคร่ยิ่ง
ก้มลิ้มรสลองจูบพิสูจน์จริง
เฝ้าอ้อยอิ่งหมายรักด้วยอาวรณ์
ค่อยถนอมยอมสกัดไฟร้อนรุ่ม
ฟืนคอยสุมกึ่งระเบิดเกิดสังหรณ์
แรงรสกดเบียดรักให้สั่นคลอน
หมายริดรอนร่างรักพันธนา
ผิวอ่อนช้ำซ้ำตัวแดงแกมสั่นไหว
ดวงตาไซร้เจือน้ำใสให้สุกสา
แรกจะยอมแรกจะหย่าลนไปมา
เชยผกาปลอบสดับกับอนงค์
เฝ้าพูดพร่ำคงถนอมให้แต่ตัวเจ้า
จึงค่อยเคล้าพะเน้านอพอตัวหลง
มิได้เร่งมิได้รัดมิรีบลง
น้องแต่คงบางบอบตอบหัวใจ
สิ้นคำถามด้วยลังเลด้วยคิดหนัก
แต่ด้วยรักประจักษ์ให้แต่หวั่นไหว
พี่ตรงหน้าก็หาใช่คนอื่นไกล
หาใช่ใครใคร่ใช่ตัวกลัวอื่นตาม
จึงจ้องมองตรองตรึกลึกนัยน์เนตร
แก้วอำพันคู่เกตุคล้ายดูขาม
ลึกลงไปใกล้มอดไหม้คล้ายพยาม
หนึ่งถึงสามค่อยพยักรับคำไป
สิ้นคำตอบรอยยิ้มยกที่มุมปาก
มิผิดพรากเสียเวลาไปอยู่ได้
กริยาช้อยวิ่งคล้อยตัดความเห็นใจ
เร่งตัวให้เร่งรีบเข้าเคล้าเคลียคลอ
สองมือปะสองมือป่ายด้วยลุ่มหลง
จูบบรรจงไล่จุมผิดทั้งศอกศอ
คล้ายประหม่าคล้ายตื่นเต้นมิรีรอ
มิเพียงพอด้วยครบประสบการณ์
เกลียวคลื่นซัดซากระแทกผืนทรายนุ่ม
กลับร้อนรุ่นกลางอาทิตย์ที่แผดผาน
ฝูงปลาแหวกแตกกระเซ็นถูกรุกราน
ริอาจต้านแรงขัดขืนฝืนกายา
ปวดอาจอั้นเจ็บอาจขืนยืนใจหมาย
แรกตกใจแรกร่ำไห้คลายประสา
ราวคลื่นสูงซัดกระแทกแหลกบุษบา
มิทันว่ามิทันหยุดสุดหัวใจ
พอเห็นหยาดน้ำตาที่ไหลริน
หาได้สิ้นแรงฤทธิ์กลับสุกใส
กลับเพิ่มพูนความร้อนรุ่มสุมกองไฟ
มิทันได้เอ่ยปลอบตอบกานดา
เร่งรี่รัดเปลี่ยนรสขมแปรรสหวาน
ก่อนเคลื่อนผ่านเผ็ดค้านแปรเปรี้ยวหา
รสกลมกล่อมกลับอึดอัดทั้งกายา
ปรารถนาจวบจนจบ..ครบหนึ่งคำ
-๒๑-
อาเพศ..? ความหมายของมันก็คือ
‘เหตุที่เกิดขึ้นอย่างผิดปกติวิสัย ชาวบ้านถือว่าเป็นลางไม่ดี’ พี่วันบอกว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับใคร เพราะมันเป็น ‘อาเพศ’ ..นั่นหมายถึง ในเร็วๆนี้อาจมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น แต่โดยส่วนตัวแล้วผมว่ามันคงไม่มีอะไรเสียหายมากนัก(นอกจากตัวผมเอง..ซึ่ง..เอ่อ..ช่างเถอะ!) และถ้าถามว่าทำไม…ก็อาจจะเพราะมันเป็นความแตกต่างของมนุษย์กระมัง เพราะมนุษย์ผสมพันธุ์โดยไม่เลือกฤดูนี่นา
…เดี๋ยวก่อน นี่ผมติดวิธีการพูดแบบไร้ยางอายนั่นมาแล้วสินะ!?
…ให้ตายเถอะ!
“ไกร…ไกร…” “อืม”
ผมลืมตา มองหน้าอีกฝ่ายที่กำลังเรียกผมอยู่..พอรู้ลางๆว่าเป็นใครก็ถอนหายใจ แล้วหลับตาลงมาใหม่
เขาแตะมือลงบนไหล่ผมอีกครั้ง “กินข้าวไหวมั้ย?”
“อืม”
“งั้นพี่ไปบอกคนให้ทำมาให้นะ”
“อืม”
เขาเงียบไปสักพักหนึ่ง พักใหญ่ๆ..ก่อนที่ผิวเตียงจะยวบลงไปเล็กน้อยเมื่อเขาทิ้งตัวลงมา มือใหญ่ลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน มือของเขาไม่ได้ร้อนเหมือนเมื่อคืนแล้ว นั่นถือเป็น ‘ลางที่ดี’ …ที่ทำให้ตัวผมเองเนี่ยแหละโคตรพ่อโคตรแม่โล่งใจ
“ไหวรึเปล่า? ต้องให้ท่านอามาดูให้มั้ย?”
พี่วันหมายถึงท่านอาหมอของเขา และทำเอาผมต้องรีบพรวดพราด “…ไม่ต้อง!”
“อ้าว ก็ไกรดูอาการแย่มากนี่นา…”
“ไม่ต้อง!” ผมย้ำอีกครั้ง แสดงความชัดเจนออกไปอย่างสุดตัว ไม่อยากจะคิดเลยว่าอาการแบบนี้ หมอเขาต้องตรวจตรงส่วนไหนบ้าง! “ก็แค่เพลีย! แค่ปวดเฉยๆ! และก็แค่เจ็บ…มาก!”
อีกฝ่ายกระพริบตา ก่อนจะพ่นขำออกมาอย่างดูหมิ่น “อย่าเยอะน่า ไม่เจ็บขนาดนั้นหรอก”
ผมแยกเขี้ยวใส่เขา “ลองโดนบ้างมั้ยล่ะ?”
“ไม่ล่ะ พี่ชอบเป็นคนทำมากกว่า”
“ไม่เคยถูกกระทำไม่ต้องทำมาพูดดี!”
“ใครว่าไม่เคยกันล่ะ?” สิ้นคำนั้นทำเอาผมอ้าปากค้าง และพอจะถาม..อีกฝ่ายก็หมุนตัวออกไป
“พี่ไปสั่งข้าวให้ไกรดีกว่า~”
..กวนส้นตรีนชิบหาย!! ผมไม่รู้หรอกครับว่าไอ้คำพูดกำกวมเมื่อครู่มันยังไงกันแน่ แต่ใจน่ะโอนเอียงไปทางที่ว่าไอ้พี่วันไม่มีทางถูกกระทำแน่นอน จากประสบการณ์ส่วนตัว…ผมว่าเขาใจร้อนมากพอจะ ‘รอ’ อะไรๆไม่ไหวหรอก เพราะงั้นตัดไปได้เลย มันแค่ต้องการกวนประสาทผมแน่ๆ
ผมฟุบหน้าลงกับหมอนอีกรอบ รู้สึกปวดเมื่อยไปหมดเหมือนเมื่อวานไปวิ่งมาสักร้อยกิโล แถมยังขัดยอกไปทั่วทั้งตัว…คิดแล้วอายจริงๆให้ตายเถอะ ก็ไม่คิดว่าจะขนาดไหนหรอกนะ เพราะเห็นตัวอย่างอย่างมาลาก็..ตัวนิดเดียว ยัง…ได้ ก็เลยคิดว่ามันไม่น่าจะมีปัญหากับการเอาเข้าเอาออกจนกระทั่ง…ได้เจอของจริง ถึงได้รู้ว่าไอ้ที่เคยคิดๆจินตนาการหรือเตรียมใจห่าเหวอะไรน่ะมันแค่ขี้ฟัน!
..โชคดีแค่ไหนที่เป็นวันเสาร์! ไม่งั้นนะบอกลามหา’ลัยได้เลย!! ไม่นานไอ้พี่วันก็เดินกลับมาหาผมใหม่ เขาเองก็ดูเหมือนเพิ่งจะตื่นก่อนผมได้ไม่นานนักนั่นแหละทำมาเก๊กเหมือนตัวเองเก่งนักหนา แถมยังอมยิ้มมุมปากตลอดเวลาเหมือนเพิ่งสร่างกัญชา..ยิ่งมองก็ยิ่งหมั่นไส้ ฮึ่ม
เขาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง ตวัดขาไขว้กันแล้วหยิบมือถือมากดๆ
ส่วนผมน่ะอดไม่ไหว ต้องคว้าหมอนมาฟาดเขา
ป้าบ! “เฮ้ย” ไอ้พี่วันหัวเราะ..เหมือนไม่รู้สำนึก “ตีพี่ทำไมครับ?”
ผมแยกเขี้ยว “อย่ามาทำท่าสบายตัวสบายใจ หมั่นไส้ว้อย!”
“เอ้า ก็เมื่อคืนคนมันมีความสุข….ตอนเช้าก็ขอต่อสักหน่อยไม่ได้เหรอ?”
น้ำเสียงมีลูกเล่นตามสไตล์ผู้ชายปากหวาน พร้อมยักคิ้วหลิ่วตาประหนึ่งจงใจรังแกผม..ซึ่งแน่นอนครับ มันได้ผล เพราะเล่นเอาบรรดามวลของเหลวอุ่นร้อนในร่างกายวิ่งขึ้นไปปะทุที่หน้าจนแทบระเบิด
“บ้า” ผมฟาดเขาอีกครั้ง “พูดอะไรไม่อายผีสางนางไม้บ้าง ตลกมั้ย”
“เอ้า ยังต้องอายอะไรอีก”
“แล้วไม่ต้องเก็บเป็นความลับรึไง? ถ้าใครมาได้ยินแล้วรู้ไปถึงหูท่านอาพันวัง…แกเอาพี่ตายแน่! เพราะพี่มันตัวสร้างอาเพศ!”
เขารู้ว่าผมล้อเล่นเลยไม่ได้โกรธ แถมยังยกยิ้มขึ้นมา
“ใครกันแน่…ที่ทำให้พี่เป็นแบบนั้นน่ะ” ผมขมวดคิ้ว “อะไรนะ?”
“เอ้า ก็ถ้าไกรไม่เข้ามาใกล้ๆ มานัวเนียจับโน่นจับนี่ถูตรงโน้นตรงนี้…พี่ก็คงไม่หน้ามืดตามัวหื่นขึ้นสมองแล้วจับกดไกรแบบนั้นหรอก”
“อ๊ะหราาา” ผมดันตัวขึ้นมา ว่าจะท้าสู้สักตั้งแม้นว่าสุขภาพตูดจะไม่อำนวยเท่าไหร่ก็ตาม “นี่จะบอกว่าเป็นความผิดไกรรึไง? ไอ้คนที่มานัวเนียจับโน่นจับนี่ก่อนคือพี่ต่างหาก ถ้าพี่ไม่ทำจนไกรเคยชินไกรก็ไม่ทำกลับช่วงเวลาอย่างนั้นหรอก แถม…ใครจะไปรู้ว่าตัดสัดอยู่ อย่ามาว่ากันนะว้อยไอ้คนไม่รับผิดชอบ!”
“เปล่าสักหน่อย”
เขาปรือตาหวาน..จนเส้นอะไรบางอย่างในสมองผมกระตุก
“..จะบอกว่าเป็น ‘ความดีความชอบ’ ต่างหาก” ..ผมว่าควรจะพอกับการหยอดมุขเสี่ยวซี้ขยี้หัวใจพวกนี้สักทีสินะครับ.. เลยจบบทสนทนาด้วยการฟาดหมอนใส่เขาอีกครั้ง แล้วกลับมานอนหันหน้าไปอีกทางใหม่…แต่แม่งไม่จบ เพราะไอ้จระเข้บ้าๆตัวหนึ่งก็เสือกชะโงกมาหอมแก้มผมอีก แน่นอนว่าผมถึงกับต้องมองตาเขียวปั๊ด และไอ้สัสนั่นก็กวนตีนต่อ…ด้วยการฟัดผมอย่างเมามันพร้อมหัวเราะไปด้วย!
…น่าหมั่นไส้สุดๆ!! …………แต่….เดี๋ยวก่อนนะ ….….ไอ้บรรยากาศข้าวใหม่ปลามันนี่มันอะไรกันวะ!? คิดด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองใจนิดหน่อย บทสรุปมันก็อยู่กับความจริงที่ว่าพวกเราเป็นอะไรกันเนี่ยแหละ คำถามพวกนั้นไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่ได้รับคำตอบ แถมสถานการณ์ก็ยังกำกวมขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าเสียตัวแล้วผมจะเสียใจหรอกนะครับ มันไม่เชิงแบบนั้น…ก็ผมแค่เป็นผู้ชาย ถ้าไม่ได้เสียใจซะอย่าง มันก็ไม่มีอะไรเสียหาย
ถึงแม้ว่าไอ้บ้านี่จะไม่อ่อนโยนเลย(ต่างจากในมโนเป็นแสนเป็นล้าน)ก็เถอะ แต่รวมๆแล้วผมก็ไม่นับว่าตัวเองขาดทุนอะไร กลับกันซะอีก
…ทั้งที่รู้ว่ามันแย่ แต่ครั้งหนึ่งผมก็เคยได้เป็นเจ้าของเขา
…จระเข้แสนร้ายตัวนี้ ………….รู้สึกมีชัยเหนือมนุษย์คนอื่นขึ้นมานิดๆแหะ.. “แหน่ะ” เขาทัก “ยิ้มอะไรน่ะ?”
ผมหุบยิ้มทันที แล้วตีหน้าบูดบึ้ง “เปล่า”
ไอ้พี่วันยิ้ม “คิดอะไรอยู่ เรื่องเมื่อคืนเหรอ?”
“ไอ้บ้า ใครจะไปหื่นเหมือนพี่กันวะ”
“เอ้า แล้วเรื่องอะไรล่ะ?”
อะไรบางอย่างทำให้ผมเงียบไป
ผมพลิกตัวนอนตะแคง..มองหน้าเขา..มองรอยยิ้มเจ้าชู้นั่น มองดวงตาสีอำพันระริกระรี้มีความสุขนั่น จริงอยู่ที่พี่วันคงแสดงออกในฐานะมนุษย์ได้ไม่มากนัก กอปรกับคำพูดคำจาโอ้โล้มชวนให้เคลือบแคลงสงสัยนั่นอีก สิ่งที่เขารู้สึกจากข้างในแทบไม่หลุดออกมาเลย…
แต่ตอนนี้..ผมกลับเห็นว่าเขาดู ‘มีความสุข’ จริงๆ…อย่างที่เขาว่า
..และมันทำให้ผมเกิดคำถามขึ้นมา..
“พี่วัน..”
“หืม?”
ผมรู้สึกกลืนน้ำลายไม่ลง ก้อนอะไรบางอย่างทำให้ท้องไส้ปั่นป่วน
แต่กระนั้น..ก็ยังเอ่ยถามออกไป
“พี่…อยากเป็นมนุษย์รึเปล่า…?” ผมภาวนา ผมอยากให้เขาเงียบไป อยากให้เขาลดรอยยิ้มลงและทำสีหน้าเหมือนนิ่งคิด..หรืออะไรสักอย่างที่แสดงให้ผมรู้ว่าเขากำลังคิดเหมือนกันอยู่
แต่เขาไม่ได้ทำสิ่งเหล่านั้น
…แค่ปรือตามองผม ยิ้มให้เหมือนที่เคย
และไม่ได้ตอบอะไรเลย…
บางสิ่งบางอย่างในอกผมหลุดหายไป ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร
….และไม่ว่าผมจะหามันเท่าไหร่…
ก็หาไม่เจอ+++++++++++++++++++
“เจ้าเด็กมนุษย์นั่นกลายเป็นคนในบ้านเราไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” สิ่งเดียวที่ผมไม่เข้าใจจากประโยคนั้นไม่ใช่คำพูดรังเกียจเดียดฉันท์หรือน้ำเสียงเหมือนรำคาญใจเสียเหลือเกินอย่างนั้นที่หลุดออกมาจากปากท่านอาพันวังหรอกครับ แต่เพราะประเด็นมันอยู่ที่เขาพูดกับพี่วัน..ซึ่งนั่งก้มหน้าก้มตาตัดเล็บเท้าอยู่นั้นกำลังนั่งข้างๆผม และแน่นอนว่าไอ้คำพูดพวกนั้นน่ะกระแทกหูผมเต็มเลยล่ะ
ผมกำลังคิดว่าตัวเองต้องยกมือ แล้วร้องออกไปว่า..
‘ไงฮะ สบายดีมั้ย?’ หรือเปล่านะ…
“ผมบอกแล้วไงฮะว่าไกรจะอยู่ที่นี่สักพัก” ไอ้พี่วันพูดโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมา..หรือจะเป็นเล็บขบว่ะสัส หมกมุ่นละเกิน “สักพัก…ใหญ่ๆ”
คนฟังพ่นลมหายใจ “อาคมคลายแล้วไม่ใช่เรอะ? ไล่กลับบ้านกลับช่องไปได้แล้ว”
“ที่ผมให้ไกรมาอยู่ที่นี่ไม่ใช่แค่เรื่องอาคมสักหน่อย”
คำตอบของพี่วันทำให้อาพันวังตวัดสายตากลับมามองผมฉับ ทำเอาขนลุกซู่ก้มหน้าหนีแทบไม่ทัน
“นี่เป็นมนุษย์” เขาย้ำ ชี้นิ้วมาที่ผม..ส่วนผมน่ะรีบพยักหน้ารัวๆ ยืนยันว่าตัวไม่ใช่มอนสเตอร์หลุดออกมาจากดาวไหน แต่อีกฝ่ายเมินเฉย ทำหน้าไม่รับมุขอย่างสิ้นเชิง..แล้วหันไปพูดกับไอ้พี่วันใหม่
“ส่วนหลาน…เป็น ‘จ้าว’ นะ” พี่วันเงียบไป
สักพักใหญ่ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาครั้งแรก
“จริงสิครับท่านอา”
“หืม?”
“ผมว่าจะคุยเรื่องนี้อยู่พอดี”
คู่สนทนาหรี่ตาลงเหมือนจับพิรุธได้ “เรื่องอะไร?”
ตอนนั้นผมเริ่มจะเหนื่อยกับการมองไปทางคนโน้นทีคนนี้ทีแล้วล่ะครับ เลยว่าจะอยู่เงียบๆนิ่งๆเหมือนอากาศธาตุ ดำเนินเรื่องต่อไปสักพักโดยไม่มีผมก็แล้วกัน….
“…ผมเบื่อที่จะมานั่งแยกมนุษย์ๆจระเข้ๆแล้วล่ะ ช่างมันไม่ได้หรือ” “ห๊า!?” ..นั่นเป็นเสียงของผมเองครับ ไม่ต้องสงสัยเลย เพราะผู้ฟังตัวจริงอย่างท่านอาพันวังกลับทำแค่เบิกตากว้างขึ้นกว่าเดิม2มิลลิเมตร แล้วยืนนิ่งด้วยบรรยากาศที่เหมือนจระเข้อ้าปากในสวนสัตว์ นิ่งจนแทบจะเป็นหิน
กลับกัน..ไอ้พี่วันกลับทำท่าทางสบายๆ ตัดเล็บเท้าแกรกๆอยู่พักใหญ่ แล้วถึงขยับมานั่งขัดสมาธิ…ก้มหน้าก้มตาห่อกระดาษเศษเล็บให้เรียบร้อย ก่อนโยนใส่ถังขยะประหนึ่งนักบาสNBA ท่าทางไม่ได้ใส่ใจกับบรรยากาศที่พลิกจากอุณหภูมิเดือดดาลเมื่อครู่เป็นติดลบระดับอลาสก้าเช่นนี้สักนิด
ผมกับท่านอาพันวังมองหน้ากัน นั่นอาจเป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกแบบเดียวกันกระมัง
…เจนสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างฮ่ะ …..แต่ผมต้องพูดคำนี้ครับ
‘เรื่องนี้…ไกรจะไม่ยุ่ง’ “ไม่ได้” น้ำเสียงนั้นเย็นเยียบ และห้วนฉับจนผมสะดุ้งเล็กน้อยตามไปด้วย
ดวงตาสีทองของอาพันวังวาวโรจน์ดุจดวงตะวัน แรงกล้าจนผมเผลอกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว..เมื่อเห็นไปมองพี่วัน ดวงตาคู่นั้นของเขากลับตรงกันข้าม ราวแสงจันทร์ที่นิ่งสงบแม้ในวันที่พายุเคลื่อนตัวมา…และมันทำให้หัวใจผมเยียบเย็นลงไปด้วย
ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนั้น..ผมภาวนาให้ตัวเองหายไป
“มนุษย์ก็ส่วนมนุษย์ จระเข้ก็ส่วนจระเข้…แบ่งแยกเช่นนี้มาช้านานแล้ว” “แต่ผมไม่ต้องการแบ่งแยกนี่” พี่วันสวนขึ้น “…มนุษย์กับจระเข้…อยู่ด้วยกันได้”
ท่านพันวังพยักเพยิดมาทางผม แต่ไม่ได้หันมาสบตา “ถ้าหลานกำลังหมายถึงไอ้เด็กมนุษย์นี่ อาจะยกเว้นไว้ให้คนนึง อีกหกสิบปีข้างหน้ามันก็ตายห่าแล้ว…
แต่ไม่ใช่กับมนุษย์ทั้งหมด!”
..เดี๋ยวนะ..นี่ท่านอาแช่งผมเรอะ? ผมอ้าปากพะงาบๆ แต่สำเหนียกได้ว่าตัวเองไม่ควรพูด..เดี๋ยวจะได้ตายไม่รู้ตัว
ไอ้พี่วันลดเสียงลง “ผมไม่ได้หมายความแค่ไกรนะ…”
“ถ้าพวกมนุษย์รู้ว่ามีจระเข้เช่นเราอยู่..จะเกิดความโกลาหลแค่ไหนหลานไม่รู้บ้างเลยรึไง?”
“ไม่จำเป็นต้องให้รู้นี่ เราก็แค่มีชีวิตอยู่เหมือน…มนุษย์ปกติ…”
“ไม่มีวัน!”
เสียงนั้นดังขึ้นเล็กน้อย และผมเริ่มเบื่อที่จะหมุนคอกลับไปกลับมาแล้วครับให้ตายเถอะ
“เราไม่ใช่มนุษย์ ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางเป็นมนุษย์”
“ผมรู้ แต่…”
“จบเรื่องนี้” นั่นเป็นคำตัดบท ที่เหมือนสิ้นความอดทนแล้ว “อาจะถือว่าเรื่องเมื่อครู่เกิดขึ้นเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของหลาน แล้วอย่าได้คิดจะเอ่ยเรื่องไร้สาระแบบนั้นออกมาให้อาได้ยินอีกเป็นอันขาด”
แกถอนหายใจ แต่ไม่ได้มีท่าทางปลงตามที่แสร้งกระทำ เขากลับหลังหัน กำลังจะเดินออกไปจากบริเวณโถงบ้านที่พวกผมนั่งกันอยู่
และผมคิดว่าเรื่องเรามันควรสงบลงแล้ว แต่ไม่ใช่ครับ
…เพราะไอ้พี่วันดันเสือกลุกขึ้นมาก่อน
“แล้วจะให้ทำยังไง” ร่างสูงกระชากเสียงหนัก เล่นเอาผมสะดุ้งอีกครั้ง…ด้วยไม่เคยได้ยินน้ำเสียงเจืออารมณ์หงุดหงิดเช่นนี้ดังขึ้นจากเขาเลยสักครั้ง
“..จะให้เปลี่ยนชื่อทุกๆสามสิบสี่สิบปี แกล้งทำเป็นว่าตัวเองตายไปแล้วและเกิดใหม่ในอีกชื่อ แล้วมีชีวิตอยู่เป็นร้อยๆพันๆปีกับความว่างเปล่าและความแค้นไม่รู้จักจบจักสิ้นแบบท่านอารึไง?” ผมกำลังเตรียมสะดุ้งด้วยกลัวว่าท่านอาพันวังจะตวาดอะไรกลับมาอีกสักครั้ง
…แต่ก็ไม่ครับ ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ… “ความว่างเปล่ากับความแค้นงั้นรึ?” ในที่สุดคนฟังก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงปนกลั้วหัวเราะ “ด่าได้เจ็บแสบดีนี่…”
ไอ้พี่วันสูดลมหายใจสั้นๆ “ท่านอา…ผม…”
“มนุษย์ทำร้ายเรา เหตุใดจึงต้องนิ่งเฉย..มองพวกมันเข่นฆ่าเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า” เขาพูดต่อ “กี่สิบกี่ร้อยปีที่ข้าเห็นเพื่อนข้า ญาติข้า หลานข้า พี่น้องข้า…ตายไปต่อหน้าต่อตา…เวลาเหล่านั้นไม่ใช่ความว่างเปล่า มันสมควรแล้วที่จะเป็นความแค้น”
“แต่ความแค้นไม่ได้ช่วยอะไร ท่านก็รู้ สงครามไม่มีวันจบสิ้นถ้าหากว่า….”
“….หยุดพูดจาเหมือนมนุษย์เสียที” คำตวาดนั้นไม่ได้ดัง ไม่ได้ห้วนกร้าวจนน่ากลัว เพียงแค่พูดออกไป..เหมือนแค่อยากตัดบท เหมือนกับ…น้ำเสียงของคนที่เบื่อหน่ายไปเสียทุกอย่าง
…ไม่เว้นแม้แต่ลมหายใจของตัวเอง ผมยกมือขึ้นลูบคอตัวเองอย่างลืมตัว รู้สึกเหมือนมีผงขมๆโรยอยู่เต็มในนั้น..เพียงแต่ไม่อาจหาญพอจะขย้อนมันออกมา ชั่ววินาทีนั้นผมหันไปมองพี่วัน..เขาไม่ได้มองผมอยู่ ไม่เลยสักนิด
..และที่ประหลาดกว่านั้น คือเขาไม่ได้มีท่าทางยอมแพ้
“…เรามีบ้านหลังใหญ่ มีเงินทอง มีอำนาจมากมาย..มากพอจะใช้ชีวิตอยู่แบบมนุษย์โดยไม่มีปัญหาอะไร” เสียงทุ้มนั้นอ่อนลงมาก “เราอยู่แบบนี้ต่อไปได้ ท่านอา อยู่ได้โดยไม่ต้องฆ่าใคร”
ท่านอาเดาะลิ้น “ฆ่ามาตั้งเยอะ หลานจะมาพูดอะไรเสียตอนนี้”
“แต่ผมไม่อยากทำแล้ว”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะ…………” เขาคาไว้แค่นั้น เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่
“…เพราะผมไม่อยากทำ” “ไม่อยากหรือไม่กล้ากันแน่?”
“…ท่านอาก็รู้ว่าผมไม่ใช่คนที่หลงไปกับคำยั่วยุแบบเด็กๆ”
“ใช่ ท่านไม่ใช่เด็ก” อีกฝ่ายยกมือโบกปัด ตามด้วยน้ำคำประชดประชัน “ปีกกล้าขาแข็งคิดเองได้เดินเองเป็น อาไม่มีเรื่องอะไรจะสอนท่านแล้วล่ะ อยากจะทำอะไรก็เชิญ!”
“ท่านอา…ผมไม่ได้………”
“…แต่คงไม่ลืมใช่มั้ย…ว่าใครเป็นคนฆ่าท่านพ่อกับท่านแม่ของท่าน?” คำสวนนั้นทำให้พี่วันชะงักลงอย่างเห็นได้ชัด
“สลักลงไป…ข้างใน…จดจำมันไว้ให้ดี…” มือที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีเขียวหม่นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบเคลื่อนมาทาบที่กลางอก
“นี่ไม่ใช่เพียงเหตุผลของสายเลือดสูงศักดิ์ที่ไหลเวียนอยู่ในกายท่าน แต่เป็นชาติกำเนิดของท่าน…ของเราทั้งหมด ท่านคือตัวแทนของชาวเรา…ประชาชนแห่งท้องน้ำ สิ่งเดียวที่ท่านต้องไม่หันหลังให้คือ ‘พวกเรา’…คือ ‘ความแค้น’ ทั้งหมดของพวกเรา”
มือใหญ่ทุบลงกลางอกตน จ้องเขม็งตรงไปด้วยโกรธา
แต่น้ำเสียงที่ยะเยือกเย็นนั้นไม่ได้ดังขึ้นด้วยอารมณ์เลยแม้แต่น้อย มันทำให้ผมรู้สึกตัวว่าท่านอาคนนี้ควบคุมความรู้สึกตัวเองได้ดีแค่ไหน
….หรือบางที…จิตใจของเขาอาจจะด้านชาจากความเดือดดาลแล้วก็เป็นได้ “อาผิดหวังในตัวท่านนัก จ้าวทิวัน”TBC============================
ลืมอัพค่ะ แงงง ;;___;;///
เรื่องนี้ไม่ค่อยมีคนทวงเลยลืมบ่อย กร๊ากกกกก
(เลวมากแกชุ้นเป็นนักเขียนที่เลวมาก ชอบฝันว่าอัพไปแล้วด้วย แงงงงงง

)
((แต่ถึงทวงก็ใช่ว่าจะอัพ บัดซบละไมม!))
พูดไปนั่น แต่ก็ไม่มีสต็อก =_='' สปีดการเขียนช้าเหลือเกิน..
เอออ มาพูดถึงตอนนี้บ้างดีกว่า
ต้องขออภัยกับหลายๆคนที่เฝ้ารอNCแบบร้อยแก้วนะคะ

รู้สึกอยากลองอะไรแปลกใหม่
ก่อนเขียนตอนนี้ไปศึกษามาเยอะ รู้สึกว่าภาษาไทยเป็นภาษาที่สละสลวยขึ้นมาเป็นกอง
(แม้กระนั้นเราก็ยังใช้คำผิดๆพลาดๆไม่ตรงความหมายเยอะอยู่....)
ร้องกรองฉากอย่างว่าในวรรณคดีโบราณนี่จะอุปมาอะไรนักหนา เล่นเอาไปแทบไม่เป็น
แต่มันก็มุ้งมิ้งงุ้งงิ้งดีนะคะ

อันนี้เหมือนตัวเทสต์ อยากฝึกว่าตัวเองจะทำได้ดีไหม
ถ้าตั้งใจอ่านกลอนบทนี้จะเลิฟมากมายค่ะ (ฮาาา)
ชอบหรือไม่ชอบติชมกันได้เสมอนะคะ

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ค่ะ
ดีใจจริงๆที่ยังมีคนตามอ่านอยู่จ้ะ 55555555
ozakaoxygenz*

ปูลู. เห็นเม้นท์เยอะๆนี่มันชื่นใจจริงๆ
ปูลู2. นิยายเรื่องนี้ยังคงเป็นนิยายรักอยู่ใช่ไหมมม แงงงงง