ความแค้นมิอาจห้ามมิอาจหัก
จึงได้จักชำระชดใช้ข้า
ลงคมหอกปลอกสิ้นหมายชีวา
ฤๅฤทธาฤๅเดชค่าไล่ล่าตน
คมโลหะบาดลึกถลกหนัง
แรงหนักฝังความเจ็บใกล้สัมฤทธิ์ผล
ฉีกกระชากซาดกระเซ็นร้องคำรน
ย้ำอีกหนใกล้จนใจใกล้ตาย
เดชะบุญคุณปราบสาปตะโขง
ผสมโรงร่วมกันฆ่าดั่งใจหมาย
ผยองตนต้อนกระจอกวาดลวดลาย
ยกตนคล้ายหมออาคม..จมกุมภีล์
-๑๒-
ผมหลบอยู่ด้านหลังของกำแพง แต่ถึงไม่หลบ..อีกสองคนที่ว่านั่นก็คงไม่เห็นผมหรอกครับ
อาจารย์คงเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เสียงฝนดังกลบจนผมไม่ได้ยินอะไรเลย
..ทำไงดี
..ทำไงดี
..ทำไงดี
..ทำไงดี ….ทำไงดี ผมนึกทบทวนกับตัวเองด้วยคำถามนั้นอยู่หลายครั้งทีเดียว แถมยังกระดิกขายิกๆๆอยากจะเข้าไป…….เข้าไปทำอะไรดีล่ะ? นั่นแหละคือคำถาม! ผมรู้ว่าผมต้องเข้าไป…
แต่จะเข้าไปเพื่ออะไรกันวะ!? คิดสิไอ้ไกร..คิดเข้า..คิด!
แรกทีเดียวผมจะหยิบมือถือ แต่ไม่คิดเลยว่าการใช้ระบบทัชสกรีนตอนฝนตกหนักมันจะเสียหายขนาดไหน เลยชะโงกหน้ากลับไปมองสองคู่กรณีที่ยังยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อดูลาดเลาแทน
ประจวบเหมาะกับเสียงหวีดร้องดังขึ้น ผมสะดุ้งสุดใจ ทั้งๆที่เสียงนั้นไม่ได้ดังอะไร..แต่มันกลับเป็นเสียงที่ประหลาด…ไม่เหมือนเสียงของคนร้อง ไม่เหมือนเสียงที่ผมเคยได้ยินมาก่อน แต่เป็น………….
……..จระเข้…….. …เสียงโหยหวน…ของจระเข้… มือบางยกขึ้นปิดป้องหูทิ้งตัวลงทรุดอยู่บนพื้น การคุดคู้แบบนั้นทำให้คนตัวเล็กยิ่งดูเล็กมากลงไปอีก พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องที่ดังเป็นระลอก…ผิวหนังเปลือกแข็งค่อยๆลามจากหน้าผากขึ้นมาบนกลางกระหม่อม ร่างกายกำลังแปรสภาพท่ามกลางสายฝนนั่นอย่างช้าๆ คล้ายกับว่าเขากำลังเจ็บปวดจากการกลายร่างนั้น…แต่ผมรู้ ลึกๆแล้วมันไม่ใช่
เพราะผิวหนังหยาบกระด้างนั้นมีแสงสีแดงเรืองออกมาตามร่างเป็นจังหวะ ถึงได้รู้ว่าไอ้การกลายร่างดังกล่าว..ดูราวกับไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
พร้อมๆกับที่อาจารย์คง..ค่อยๆสาวเท้าเข้าไปใกล้มากยิ่งขึ้น ฝนกำลังซาลงไป..และผมได้ยินชัดเจน เสียงของอาจารย์คงที่กำลังพูดภาษาที่ผมไม่รู้จัก อาจจะเป็นภาษาบาลี..หรือเหี้ยอะไรก็แล้วแต่
แต่มันน่ากลัว…
…เหมือนกับที่คนตัวเล็กนั่นดูน่าสงสาร… ผมกำหมัดแน่นจนเจ็บ..เล็บที่จิกลงไปคงทำให้เลือดซึมซิบ…
…เอาไงดีน่ะเหรอ?...
…ถามมาได้… …เป็นไงเป็นกันวะ!!!! ผลัวะ!!!!! ผมไม่รู้หรอกครับว่าเสียงนั้นมันรุนแรงแค่ไหน เพราะไม่เคยใช้ไม้หน้าสามโบกหัวใครมาก่อน ก็แค่มันวางพิงไว้ที่ข้างกำแพง ก็แค่ขนาดมันเหมาะมือ…ก็แค่….
มันไม่รู้จะทำยังไงแล้วยังไงเล่า!! ร่างของอาจารย์คงทรุดฮวบลงทันทีพร้อมไอ้บทสวดประหลาดๆที่หายไป แกยังไม่หมดสติเสียทีเดียว..แต่มันแน่นอนที่ว่ามันไม่อยากซ้ำหรอกครับ! การใช้ความรุนแรงแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย! เลยได้แต่โยนไอ้อาวุธคู่กายทิ้งไป แล้ววิ่งตรงไปหา………………
…จระเข้ตัวน้อยๆตรงนั้น… “มาลา!” ผมเรียก คิดว่ามันไม่ผิดหรอกครับ
เจ้าของนามดูตกใจมาก มากแบบที่พยายามถัดขาทั้งสี่ข้างถอยหลังทั้งที่ไม่มีแรง จึงล้มแผละอยู่ตรงนั้น…ผมถอดเสื้อออก(โชคดีที่ใส่เสื้อข้างในมาอีกตัว) เอามาหอบเจ้าตัวเล็กนั่นขึ้นมาในอ้อมแขนอย่างลืมตาย
ผมเห็นเศษซากของสร้อยคอแบบเดียวกับที่ไอ้พี่วันมีกองอยู่ที่พื้น จึงก้มกวาดมันขึ้นมา
..ผลึกแก้วสีทอง…แตกออกเป็นเสี่ยงๆ… ความข้องใจทำให้ผมหันกลับไปมองอาจารย์คง แกกำลังพยายามยืนขึ้นจากพื้น ท่าทางผมจะฟาดแรงไปหน่อยครับ
ไอ้ชิบหายจะโดนตำรวจจับมั้ยวะ!! อย่าเพิ่งนะครับผมยังมีอนาคต…หวังว่าอาจารย์จะไม่แจ้งตำรวจนะครับ!! (ได้แต่ภาวนาอยู่ในใจ)
..แต่เคราะห์ดีที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองผม เลยหันหลังโกยอ้าวสุดชีวิต
สิ่งมีชีวิตในอ้อมแขนผมออกแรงดิ้นขลุกขลั่ก
ไม่ต้องบอกก็รู้ครับ ที่จริงจระเข้มันก็ไม่ได้มีหน้าตาน่ารักเป็นทุนเดิมอะไรอยู่แล้ว เพราะงั้นผมเลยเลือกที่จะไม่หันไปมองมัน
“อยู่เฉยๆ!!” ผมดุ “บ้านไปทางไหน?”
ไอ้ตัวแสบยังดิ้นอยู่
จ๊ากกก โชคดีแค่ไหนที่มันไม่อ้าปากกว้างๆนั่นกัดผม! จระเข้กัดกับหมากัดมันต่างกันนะเว้ยยย! “รู้ว่าฟังรู้เรื่อง! บอกมาสิว่าบ้านไปทางไหน!!”
อีกฝ่ายเงียบสนิท ไม่ได้ตอบ เออ…ถ้าผมเห็นจระเข้พูดได้เหมือนมนุษย์ผมคงใกล้เข้าหลังคาแดงเต็มทีแล้วล่ะครับ!
“โธ่ว้อย!”
ผมสบถ ฝนหยุดตกแล้วจึงหยิบมือถือออกมา กดโทรหาไอ้พี่วัน
อีกฝ่ายกดรับ ไม่ต้องรอให้จบเสียงตรู๊ดแรก
((ฮัลโหล))
“บ้านอยู่ไหน!!”
ผมเผลอตะคอก อีกฝ่ายเงียบไปด้วยความตกใจ ก่อนจะถาม
((แล้วตอนนี้ไกรอยู่ตรงไหน?))
“ไม่รู้ ไกรไม่รู้”
((ใจเย็นๆสิ ถ้าไม่รู้ตำแหน่งไกรพี่จะบอกทางได้ยังไง?))
“ไกรพยายามแล้ว ไกรพยายามอยู่”
((รอบข้างมีอะไรบ้าง?))
“…บ้าน…บ้านเยอะแยะ เอ่อ ไกรก็ไม่รู้”
((…เกิดอะไรขึ้น? ทำไมดูแปลกๆ))
“พี่วันต้องบอกมาเดี๋ยวนี้ว่าบ้านอยู่ไหน!!” ผมตะคอกอีกครั้ง คิดว่าตัวเองเกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว
“ไกรอยู่กับมาลา!!”+++++++++++++++++++
บ้านไอ้พี่วันไม่มีไดร์เป่าผม
เพราะงั้นตอนนี้หัวผมเลยโคลงไปโคลงมา..เพราะอีกฝ่ายกำลังเช็ดหัวให้อยู่
“พอแล้วน่ะ” ผมบอก รู้สึกปวดหัวนิดๆ “แห้งแล้ว”
“ยังไม่แห้ง”
“ไกรกลายร่างไม่ได้สักหน่อย ไม่ต้องแห้งขนาดนั้นหรอก”
“เดี๋ยวไม่สบาย”
ผมยกมือขยี้ตา “ไม่หรอก”
“เดี๋ยวพี่ไปเอายามาให้กินไว้ก่อนดีกว่านะ”
เขาลุกขึ้นจากด้านหลังผม และเดินตรงไปที่โต๊ะเครื่องแป้งในห้อง..ผมมองตาม รู้สึกฉงนอย่างประหลาด
“ทำไมพี่ถึงมีพาราด้วยล่ะ?”
“อ้าว มันไม่ใช่ยาสามัญประจำบ้านเหรอ?”
“ก็ใช่แต่…พี่เป็นจระเข้นะ?”
เขาหัวเราะ เดินกลับมา “แล้วจระเข้กินพาราไม่ได้เหรอ?”
“ถึงถามนี่ไง!”
“ก็แก้ปวดได้เหมือนกันน่ะแหละ เอ้า” เขาจับมือผมแบออก แล้ววางพาราสองเม็ดไว้ ก่อนจะเอื้อมไปรินน้ำใส่แก้วที่หัวเตียง “กินซะ ตากฝนตัวเปียกชุ่มขนาดนี้เดี๋ยวไม่สบายเอา”
ผมอยากจะเถียงครับ แต่ก็ไม่อยากปฏิเสธความหวังดี เลยรับมากินๆมันเข้าไป
“แล้วมาลาเป็นไงบ้าง?”
“ไม่เป็นไง” อีกฝ่ายไหวไหล่ จับให้ผมหันหลังแล้วเช็ดหัวให้ต่อ “เดี๋ยวก็เหมือนเดิม”
“มาลาโดนอะไร?”
“โดนน้ำก็กลายเป็นจระเข้ ลูกแก้วโดนทำลาย..ก็แค่ทำให้ใหม่”
“มาลาจะเจ็บรึเปล่า?”
“ตอนที่โดนอาคมก็คงเจ็บน่ะแหละ”
“มากมั้ย?”
“…ทำไมดูเป็นห่วงมาลาจังน่ะหึ?”
“อะไร? แล้วพี่ไม่เป็นห่วงบ้างรึไง?”
“ทำไมต้องเป็นห่วงล่ะ?”
ผมชะงัก หันควับกลับไปหาเขา “มาลาเป็นครอบครัวพี่นะ!!!”
เขาเหมือนจะไม่ได้สนใจคำที่ผมพูดนัก “แล้วไกรเจ็บตรงไหนรึเปล่า?”
“ไม่..ไม่เจ็บ”
“จริงนะ?”
“อืม สบายดี”
“คราวหลังอย่าทำอะไรเสี่ยงๆแบบนั้นอีกรู้มั้ย?”
ผมเริ่มหน้าร้อนขึ้นมา เลยหลบตาเขา “อื้อ เข้าใจแล้ว”
ไอ้พี่วันออกไปรับผม เพราะกลัวว่าอาจารย์คงจะตามมา ตอนที่เจอหน้าแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว…แต่พี่วันก็เหมือนรู้ครับ เลยบอกให้ผมปีนเข้าบ้านเหมือนเดิม ส่วนเรื่องมาลากับอาจารย์คงน่ะเค้าจะจัดการเอง
แล้วพอเขากลับมา ก็สั่งให้ผมอาบน้ำสระผมให้เรียบร้อย มีชุดหอมๆให้ใส่ กับมานั่งเช็ดผมให้พร้อมถามรายละเอียดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ซึ่ง..ผมก็เล่าให้เขาฟังแบบไม่ปิดบังน่ะนะ แต่เพราะมันตกใจและกะทันหันจนเหมือนเป็นแค่ความฝันเลยอาจจะไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่
เพราะมันคล้ายกับเป็นเสียงไม่กี่นาที..ที่ทำให้สมองรับความรู้สึกที่หลากหลายจนเกินไป
ก๊อกๆๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น ไอ้พี่วันขยี้หัวผมหนึ่งที..แล้วลุกขึ้นเดินข้ามห้องไปเปิดประตู
ครั้งนี้ผมไม่ได้ลงไปซ่อนใต้เตียงครับ เพราะคิดว่ามันไร้สาระไปนิดนึง จากจุดนี้คงมองไม่เห็นข้างนอก……..
“วางไว้บนเตียงเลย”
“ขอรับ”
เท่านั้นแหละผมถึงกับสะดุ้งเฮือกหันกลับไปมอง แต่จะวิ่งหาที่ซ่อนตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วครับ!! เมื่อไอ้พี่วันเสือกชี้นิ้วเปรี้ยงให้ใครอีกคนเดินถือถาดอาหารเข้ามาให้ถึงเตียงที่ผมนั่งอยู่!!!!
ร่างผอมบาง..และอาจจะสูงพอๆกับผมเดินตรงเข้ามา เรือนผมดำขลับสีขนกาถูกรวบเป็นมวยไว้กลางกระหม่อม ดวงหน้าคมสวยครบเครื่องทั้งตาคิ้วจมูกและปากทำให้ผมถลึงตา…มองแล้วมองอีกว่าอีกฝ่ายใช่ผู้ชายจริงรึไม่ ถ้าให้เปรียบเทียบเขาก็สวย..แต่ถ้าเป็นผู้หญิง..ก็ออกจะคมเข้มเกินไปเสียหน่อย…..
เขายิ้มบางๆให้ผม แล้ววางถาดอาหารไว้บนเตียงตามที่เจ้านายสั่ง
ก่อนจะไปยืนเฉยๆที่ปลายเตียง รอจนกระทั่งพี่วันปิดประตูเสร็จสรรพเดินกลับเข้ามา
แล้วแนะนำ
“ไกร นี่วรรณนา” ผมอ้าปากค้าง แต่คิดว่ามันเสียมารยาทไปหน่อย “ค-ครับ ย-ยินดีที่ได้รู้จัก”
วรรณนายิ้มเหมือนเดิม “เช่นกันขอรับ”
ไอ้พี่วัน..
ซึ่งผมอยากจะเติมคำว่า ‘สัส’ หรือ ‘เหี้ย’ เข้าไปด้วยเสียเหลือเกิน…ขึ้นมาบนเตียง นั่งข้างๆผม
ผมเลยได้โอกาสกระซิบถาม “อะไรของพี่น่ะ!?”
“อ้าว” เขาทำหน้าเหรอหรา “ก็ถ้าไกรรู้จักมาลา ไกรก็ควรจะรู้จักวรรณนาด้วยนะ”
“ไม่ใช่แบบนั้น!”
“วรรณนา” เขาหันไปเรียก “มานั่งนี่สิ”
เจ้าของนามยิ้มกว้างกว่าเดิม “ขอรับ” และทำตามที่นายสั่ง
ผมถึงกับตัวแข็งทีเดียว
อีกครั้งที่ผมเห็นอีกฝ่ายในระยะใกล้ ถึงได้รู้ว่าหมดจดแค่ไหน..เหมือนเช่นมาลา…รายนั้นก็น่ารักใช่ย่อย สวยและน่ารักระดับที่ว่ากูอยากจะเอาหน้าโขกพื้นตายไปซะ!
…จระเข้นี่หน้าตาดีหมดเลยรึไงวะ!?! “มาลาเป็นไงบ้าง?”
“นอนแล้วขอรับ” วรรณนาตอบ..เขาดูสุภาพมาก “มาลาคงเหนื่อยมากสำหรับวันนี้ ต้องขอบคุณคุณไกร…ที่ช่วยมาลาเอาไว้ ขอบคุณจริงๆครับ”
เขายกมือไหว้ผม ผมสะดุ้งจนรับไหว้แทบไม่ทัน “ม..ไม่เป็นไร…”
“พี่บอกวรรณนากับมาลาแล้วว่าอย่าบอกใคร” พี่วันหันมาบอกผม “ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นนะ”
“แล้วอาจารย์คงล่ะ?” ผมโพล่งขึ้น “อาจารย์คงจะมาหาที่นี่มั้ย?”
“ไม่หรอก พี่บอกแล้วไงว่าเขาไม่กล้าเข้ามาหรอก”
“แต่กับมาลา….”
“มาลาชอบออกไปเดินคนเดียวข้างนอกครับ” วรรณนาเป็นคนตอบ “ผมเคยเตือนแล้ว..ครั้งนี้น้องคงจะเข็ด”
“มาลากับวรรณนาเป็นพี่น้องกันเหรอ?”
“เปล่าขอรับ แค่เลี้ยงมาด้วยกัน”
“อายุเท่าไหร่น่ะ?”
วรรณนากระพริบตา หันไปมองพี่วัน พี่วันจึงตอบให้ว่า “17”
“แล้วมาลาล่ะ?”
“14”
ผมกระพริบตา ตัวเลขนั้นไม่น่าตกใจ..มันไม่น่าคิดมากอะไรขนาดนั้นถ้าไม่ติดคำถามหนึ่งที่ค้างคาใจ ผมขยับตัวเข้าใกล้พี่วัน ป้องปากกระซิบถาม
“17กับ14นี่….พี่วัน! พี่พรากผู้เยาว์อยู่นะ!?” คนถูกกระซิบหัวเราะ ไม่ได้ตอบคำถามนั้น..แล้วโบกมือให้วรรณนาออกไปได้ เขาทำตามอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง..มันทำให้ผมต้องมองตามไปจนกระทั่งวรรณนาปิดประตูลง ถึงได้หันมาถามใหม่
“วรรณนาน่ะพอว่า…แต่มาลาตัวนิดเดียวเองนะ!!” ผมเพิ่งคิดถึงเรื่องนี้ได้ครับ แล้วทำมือเหมือนตอนที่อุ้มจระเข้น้อยอยู่ในอ้อมแขน ทั้งสัมผัสของน้ำหนักและขนาดตัวยังติดอยู่ในความทรงจำ
“ตัวนิดเดียวยังกะจิ้งจก…พี่วัน…ทำ…ได้ยังไง!?” เขายิ้ม “..ทำไมถึงสงสัยเรื่องนั้นเอาตอนนี้ล่ะ?”
“ไม่ คือ…คิดยังไงมันก็แบบ…มันไม่ใช่อ่ะ” ผมเลิ่กลั่ก มองมือตัวเองสลับกับเขา “มันไม่ได้อ่ะ! มันยังไงดีละ จระเข้ตัวผู้กับตัวผู้มัน…ยังไง ไกรไม่เข้าใจ”
อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ผม แล้วยักคิ้ว “ไกรคิดว่าไงล่ะ?”
ผมกรอกตา พยายามนึกถึงสารคดีในทีวี “คิด..ไม่ออก”
“ให้โอกาสคิดใหม่”
“อะไรเล่า ก็บอกมาดีๆสิ”
“เอางี้ พี่ใบ้ให้” เขากระซิบ..
และผมคิดว่าตอนนี้หน้าเราใกล้กันเกินไปนะ? “ลืมเรื่องที่พี่เป็นจระเข้ไปก่อน แล้วลองคิดว่าพี่เป็น…ครึ่งจระเข้ ดูสิ แค่มนุษย์ที่มีพฤติกรรมคล้ายจระเข้”
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองถูกบังคับให้เอนหลังลงจากการที่เขาค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ “ย-ยังไง?”
“คิดสิคิด”
“พ-พี่วันจะทำอะไร? ทำไมต้องเข้ามาใกล้…ขนาดนี้..ด้วยล่ะ….”
อีกฝ่ายยิ้ม
“สาธิตไง” “ไอ้พี่วัน!”
“ครับ ครับ”
อีกฝ่ายยิ้ม..จนเหมือนโลกทั้งใบสว่างสดใส และผมผิดเองที่เผลอเคลิ้มไปแว่บนึง…รู้สึกตัวอีกทีหลังก็นาบกับเตียงแบบเต็มหลัง รู้สึกตัวอีกทีก็มีสองแขนนั้นกางกั้นเอาไว้ รู้สึกตัวอีกทีจมูกก็จะชนกันอยู่แล้ว!
ผมหลับตาปี๋ เบือนหน้าหลบทันที
เขาหัวเราะ “หลบทำไมอ่ะครับ?”
“ไม่เอา” ผมยังไม่ลืมตาครับ แต่พึมพำออกมา
“บอกแล้วไงว่า…จะไม่ใช่พี่ร่วมกับ..ใคร” “ไกร…”
“พอเถอะ” ผมบอกเขา จับได้ว่าเสียงตัวเองสั่นแค่ไหน ทั้งๆที่เตรียมคำพูดพวกนี้มานานแล้วแท้ๆ “แค่วรรณนากับมาลา…ก็มากพอแล้ว”
“มากพอสำหรับอะไร?”
“สำหรับพี่ไง”
เขาเงียบ
ผมก็เงียบ และไม่นาน อีกฝ่ายก็ละออกไป
ผมลืมตา รู้สึกน้ำตาไหลที่หางตาหยดหนึ่งจึงรีบเช็ดออก ก่อนจะดันกายลุกขึ้นบ้าง..เขามองผมอยู่ ด้วยดวงตาสีทองคู่นั้น…ด้วยอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมต้องก้มหน้าหลบ แล้วนั่งอยู่นิ่งๆ
“…ไกร…รู้ว่าพี่เลิกกับแก้วแล้ว”
ผมบอกเขา พยายามพูดจาดีๆด้วย
“ขอบคุณนะ ไม่ว่าพี่จะทำเพื่อไกรหรือเพื่อใครก็ตาม…”
“เพื่อไกรนั่นแหละ” เขาสวนขึ้นมาทันที
“เพื่อไกร..เข้าใจ…มั้ย?” ผมหลับตา พยักหน้า “ครับ”
“พี่ไม่เคยปฏิเสธมนุษย์คนไหนมาก่อน ไม่เคยบอกใครแบบนี้…เพื่อไกร เข้าใจใช่มั้ย?”
“ครับ” ผมพยักหน้าอีกครั้ง “ไกรเข้าใจ”
“แล้วทำไมไกรถึงพูดกับพี่แบบนี้”
“ก็พี่มีวรรณนากับมาลา”
“ก็แค่วรรณนากับมาลา”
ผมชักหงุดหงิด “แล้วลดให้เหลือแค่ไกรคนเดียวไม่ได้เหรอ?”
“ก็มีไกรคนเดียวมาตั้งแต่แรกแล้ว”
“ไม่ใช่!”
“อะไรไม่ใช่?”
“ก็ถ้าบอกว่ามีไกรคนเดียวแล้วทำไมต้องมีวรรณนากับมาลาด้วยเล่า!”
“สองคนนั้นไว้ใช้เฉพาะกิจ”
“แล้วไม่ใช้ได้มั้ยล่ะ!?”
“มันจำเป็นนะ!” เขาเริ่มขึ้นเสียงบ้าง “ไกรไม่เคยติดสัดบ้างรึไง!? ไม่เข้าใจบ้างเหรอ!?”
“ไม่เคย! เพราะงั้นไกรไม่มีทางเข้าใจหรอก”
เขากระพริบตา ยกมือนวดท้ายทอย “พี่ผิดเองแหละที่พูดเรื่องแบบนี้กับมนุษย์”
ผมกัดฟัน คว้าหมอนมาฟาดเขา
“โว้ย!! คำก็มนุษย์! สองคำก็มนุษย์! ย้ำจริงเลยว่าพี่เป็นจระเข้ส่วนไกรเป็นแค่มนุษย์!! ถามจริงเหอะ..มันจะต่างกันมากแค่ไหนเชียว!” “มนุษย์ไม่มีฤดูผสมพันธุ์ไง ควบคุมอารมณ์ทางเพศได้ไง!” เขายกมือป้อง
“แล้วยังไง!?”
“ก็นั่นแหละความต่างน่ะ!”
“เวลาเอากันจะตอนไหนกับใครมีช่วงเวลารึเปล่ามันก็เรียกผสมพันธุ์น่ะแหละ!” “ก็บอกว่าผสมพันธุ์กับมนุษย์ไม่ได้ยังไงล่ะ!”
“รู้ได้ไงว่าไม่ได้! พี่แปลงร่างเป็นจระเข้แล้วทับจิ้งจกอย่างมาลารึไง!?”
“ไม่ใช่ ก็ในร่างคนเนี่ยแหละ! โอ้ย โอ้ย หยุดตีพี่ได้แล้ว”
ผมคุกเข่า กำหมอนไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง
“งั้น-งั้นถ้าในร่างคน…ทำไมทำกับมนุษย์ไม่ได้ล่ะ!?” สิ้นคำถามนั้นเขาก็เงียบ
ผมก็เช่นกัน เรามองหน้ากัน นาน..กว่าที่ไอ้พี่วันจะเอ่ยเสียงเบา
“ไม่รู้แหะ” เสียงนั้นแหบพร่าไปหมด
“พี่ก็ไม่เคยลองเหมือนกัน” ผมหน้าแดง
..นี่แหละที่เรียกว่าการขุดหลุมฝังตัวเอง.. กว่าที่อะไรจะเป็นอะไร ผมก็แสร้งทำเป็นมองนาฬิกา มันเพิ่งสามทุ่มครึ่ง
“ไกร…ไกรว่าไกรกลับไปนอนหอดีกว่า” ไม่รอช้าครับ โยนหมอนทิ้งคลานลงจากเตียงทันที “พรุ่งนี้มีเรียนเช้าเดี๋ยวตื่นไม่ทัน…”
หมับ! แต่อีกฝ่ายจับข้อเท้าผมไว้ “เดี๋ยวสิ!”
ผมสะดุ้ง “อะไร!?”
“ข้าว” เขาชี้ไปที่ถาดอาหารที่นอนเป็นม่ายอยู่ใกล้ๆ “ไม่ทานหน่อยเหรอ?”
ผมมองตามที่ชี้ ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองยังไม่ได้กินข้าว “ม..ไม่กินแล้ว เย็นหมดแล้วมั้ง”
“งั้นเดี๋ยวพี่ให้คนไปอุ่นมาใหม่”
“ไม่เป็นไร เอ่อ..ปล่อย..ไกรได้แล้วน่า”
แต่เขาไม่ปล่อย “อะไร? ไกรกลัวเหรอ?”
“กลัว?” ผมส่ายหน้าเร็วๆ “กลัวอะไร? ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวสักหน่อย”
อีกฝ่ายยิ้ม “แล้วไกรจะรีบกลับทำไมล่ะ? ข้างนอกมีหมอคงอยู่นะ”
“อาจารย์คงคงไม่ทำอะไรไกรหรอกมั้ง..ไกรไม่ใช่จระเข้นี่….”
“แต่ฟาดหัวเขาไปเต็มๆน่ะนะ?”
อึก.. ..คำสวนนั้นทำเอาผมกระพริบตา กลับมานั่งข้างๆเขาดีๆ จะว่าไป..ถ้าหาก’จารย์คงเห็นว่าผมเป็นใครคงจบไม่สวยแน่ นี่ไม่ได้กังวลแค่เรื่องเกรดนะครับ..กังวลเรื่องชีวิตผมเนี่ยแหละ! แม่งเริ่มหนักหนาสาหัสกว่าเก่าอีก!!
อีกฝ่ายยิ้ม ลูบหัวผมเหมือนเป็นเด็กๆเลยต้องยกมือปัดออก แล้วมองเขาตาเขียวปั๊ด..แต่ไม่ได้พูดอะไร
“เอ้า ดูสิ~ โจ๊กมื้อดึกห๊อมหอมน่ากิ๊นน่ากิน ยังอุ่นอยู่ด้วยนะ” เขายกจานขึ้นมาครับ พยายามพูดตะล่อมผมเต็มที่ “ตอนแรกพี่ก็กังวลเรื่องไกรอยู่หรอกนะ แต่พอไกรช่วยมาลา..พี่ก็คิดว่าไกรคงอยู่ข้างจระเข้ไปอย่างสมบูรณ์แล้วล่ะ ช่วงนี้เลยอันตรายนิดหน่อยเนอะ”
โจ๊กหมูหอมๆถูกตักยกขึ้นมาจ่อที่ปากครับ แล้วเขาก็กำชับคำ…
“เพราะงั้นช่วงนี้อยู่ติดๆกับพี่ไว้ล่ะ....เอ้า อ้ามม~” ผมเกลียดมันครับ!
ผมเกลียดม๊านนนนนนน!!! ..คิด ทั้งๆที่ยังเคี้ยวแก้มตุ่ยครับ
ให้ตายเถอะ!TBC=====================
เครียดๆสลับกับมุ้งมิ้งเนอะ
ไอ้เราก็คิดว่าอยากจะเขียนเครียดๆให้ลุ้นตับแตกกันไปทุกตอน
แต่แหม..นิยายรักขาดหวานไม่ได้นะครัชช ชีวิตมันไม่ลงตัว
ถามว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่เคลียร์รึยัง? อืม..ก็ยังไม่เคลียร์นะ
ก็ต้องรอต่อไป

เมื่อวันก่อนมีคนรีข้อความที่เป็นประเด็นในทวีตเตอร์มาทำนองว่า
"รู้จักนิสัยคนเขียนได้จากตัวละครเอก"ก็วิธีที่ง่ายที่สุดที่ทำให้สมจริงก็คือการใส่ความเป็นตัวเองลงไป อันนั้นก็ส่วนหนึ่งล่ะ
ตอนแรกเราค้านหัวชนฝาว่าเออ มันไม่ใช่นะ กร๊ากกกกก

**ในฐานะนักเขียนคนหนึ่ง**
แต่พอเห็นหลายๆคอมเม้นท์เรื่องทำนองว่าไกรใจอ่อนกับพี่วันเกินไป
เออ จุดนี้แหละถึงรู้ว่าใส่ความเป็นตัวเองโดยไม่รู้ตัว ฮาาาา
ก็ไม่รู้สินะ...

เป็นอิชั้นอิชั้นก็อดใจงาบไอ้พี่วันไม่ไหวเหมือนกันค่ะ กรี๊ดดดดดดดด
((ฉันว่ามันผิดประเด็นไปนิดนึงนะ....))
รู้ว่าเจ็บแต่ก็ยอมเจ็บ อารมณ์ประมาณนี้ละ..
...ถ้าการเลิกรักตัดใจมันทำได้ง่าย...ก็คงไม่มีใครในโลกต้องเจ็บปวดแล้วกระมังนะ...
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์นะคะ
ขอบคุณคุณPumpkin สำหรับสารบัญด้วยจ้าาา >////<
ozakaoxygenz*
