ตอนที่ 2
ผมจัดการหาชามใบใหญ่หน่อยในห้อง เพราะผมไม่มีอ่างน้ำแบบในละครหรอกนะ ก่อนจะไปเปิดน้ำอุ่นเตรียมเช็ดตัวให้ไอ้เด็กบ้าที่นอนสบายใจเฉิบอยู่บนเตียงผม ผมยอมเสียสละผ้าเช็ดผมหนึ่งผืนเพื่อไปเช็ดตัวให้กับเด็กน้อย ในใจนึกว่าผมต้องเสียตังค์อีกสามสิบห้าบาทเพื่อไปซื้อผืนใหม่มาไว้ใช้อีก ผมวางชามที่มีน้ำอุ่นไว้ตรงโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะสวดภาวนาทำใจลอกคราบคนบนเตียงสักห้านาที
“เอาว่ะ เป็นไงเป็นกัน กูมีอะไรมันก็มีเหมือนกูนั่นแหละ”ผมเป่าปากเรียกกำลังใจตัวเอง แล้วจัดการลอกคราบเด็กน้อยเสีย เริ่มจากเสื้อคณะมัน เสื้อกล้ามมัน กางเกงวอร์มของมัน ผมชะงักมือนิดหน่อยเมื่อจะรูดบ็อกเซอร์มันออก
“แค่เช็ดตัว แค่นี้ก็คงพอแล้วมั้ง”ผมหยุดการลอกคราบมันไว้เพียงเท่านี้ ก่อนจะเริ่มปฏิบัติการเช็ดถูตัวมัน
ผมเริ่มจากเช็ดหน้ามันก่อน จะว่าไป ไอ้ปั้นนี่มันก็หน้าใสกิ๊ง สิวซักเม็ดก็ไม่มี แม่ง ชักว่าวบ่อยป่ะวะ คนบ้าอะไรหน้าใสจนผู้หญิงยังอาย พอเริ่มเช็ดตรงซอกคอมันก็สัมผัสได้ว่าตัวมันเหมือนจะร้อนขึ้นมากกว่าเดิม ซึ่งมันทำให้ผมเริ่มเครียด ถ้าคืนนี้มันเป็นอะไรขึ้นมาล่ะ ผมต้องอยู่กับวิญญาณมันไปอีกเกือบสามปีเลยนะ ผมเช็ดตัวมันไล่เรื่อยมาจนถึงแผ่นอก ในใจก็นึกอัศจรรย์ใจอีกรอบ นี่มึงผู้ชายจริงป่ะเนี่ย คนห่าอะไรฟะ ตัวโคตรขาวอย่างกับตกกระป๋องแป้งมา พอไล่เรื่อยมาจนถึงเอวก็พบว่าไอ้เด็กน้อยนี่เอวเล็กจริง แม้มันจะมีกล้ามเนื้อหน้าท้องอยู่บ้างก็เหอะ ไล่เรื่อยมาเช็ดขา ยังนึกดีใจแทนมันที่พอมีขนหน้าแข้งยืนยันว่าตัวเองเป็นผู้ชายอยู่บ้าง ผมจัดการเก็บอุปกรณ์เช็ดตัว ผลักเด็กน้อยไปชิดเตียงด้านหนึ่งแล้วดึงผาห่มมาคลุมตัวมัน
ผมจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเตรียมล้มตัวจะนอนข้างๆมัน แต่ไอ้เด็กบ้าดันวาดแขนมาโดนหน้าผมพอดี
“โอ้ย เชี่ยนี่”ผมร้องออกมา แน่และ มันไม่ใช่เบาๆ เพราะมันทำให้เลือดกำเดาผมออกได้ ผมรีบเขยิบตัวออกจากเตียงก่อนที่เลือดจะไหลหยุดลงบนเตียง แต่ก็ไม่ทัน... เลือดผมหยดลงบนผ้าปูที่นอนสีน้ำตาลอ่อนทันที ผมแทบร้องไห้ ชุดเครื่องนอนลายโปรดของผม ผมนี่แทบจะเห็นภาพสโลว์แบบในหนัง แต่มันไม่ทันจริงๆ แง่ง งับไอ้เด็กบ้านี่แทนดีไหม ข้อหาทำร้ายผ้าปูที่นอนของผม
ผมเดินเข้าห้องน้ำไปล้างเลือดออก ก่อนจะเปิดตู้เย็นหาน้ำแข็งมาประคบไว้สักพัก ในใจนึกหงุดหงิดที่มีคนมาทำให้เวลานอน
ของผมลดลงไปอีก ผมตวัดสายตามองคนที่นอนไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียวอย่างโกรธเคือง มันเป็นครายยยยยยยย มาทำร้ายร่างกายผมได้ พ่อแม่ผมยังไม่เคยทำเลยนะ
ผมรอจนเลือดหยุดไหล แล้วเดินไปหยุดตรงข้างเตียง ก่อนที่จะ...
ล้มตัวลงนอนข้างมัน!!!
ผมทำอะไรมันไม่ด้ายยยยยยย เข้าใจไหม มันไม่ใช่พี่ ไม่ใช่น้อง ไม่ใช่เพื่อนผมสักหน่อย จะรังแกมัน จะแกล้งมันก็สงสารเด็ก เอาวะ วันหน้ายังมี มันต้องโดนผมแก้แค้นเข้าสักวันนั่นแหละ ไม่ต้องห่วง
.
.
.
ครืดดดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดด
ผมควานมือหาโทรศัพท์มือถือที่ปกติแล้วมันมักจะกลิ้งอยู่บนที่นอนผม หรือไม่ก็วางตัวนิ่งๆอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียง มือผมปัดป่ายไปเรื่อยทั้งที่ยังไม่ลืมตา ในหัวก็พยายามนึกว่าเมื่อวานผมวางโทรศัพท์มือถือผมไว้ที่ไหน มือผมปัดไปโดนคนข้างๆ ผมตกใจเล็กน้อยแต่ก็พอสำนึกได้ว่าเมื่อคืนเอาเด็กน้อยมานอนที่ห้องด้วย ผมเจอโทรศัพท์แล้วจึงกดปิดนาฬิกาปลุก เตรียมตัวจะนอนต่ออีกรอบ เพราะวันนี้ผมไม่มีเรียน
เสียงขยุกขยิกข้างเตียงผมก็ไม่อาจดึงความสนใจในการนอนต่อของผมไปได้ ผมขยับตัวอีกครั้งเพื่อหาท่าที่นอนสบายทีสุด แต่ว่า...
“เฮ้ย แมร่ง! มึงเป็นใครเนี่ย”
ผมหยีตาสู้แสงแดด เห็นไอ้เด็กบ้ากระโดดผลุงลงไปยืนหน้าโทรทัศน์เรียบร้อย ผมหลับตาลงนอนต่ออย่างไม่สนใจ แต่มัน...
พลั่ก!
“มึงมากระทืบกูทำไมวะ”ผมดีดตัวลุกขึ้นนั่งตาสว่างทันที แมร่ง! ตรงไหนไม่กระทืบ เสือกมากระทืบที่หลังกูอีก
“ก็มึงไม่สนใจกูทำไมล่ะ”เถียง! ไอ้เด็กบ้ามันเถียงผม
“อ่ะๆๆ กูสนใจมึงก็ได้ มีอะไรว่ามา”ผมนั่งหันหน้าไปหามันอย่างจริงจัง ดูสภาพมันดิ ไข้ยังไม่หายดีเลยเพราะหน้ามันยังแดงๆอยู่ อยู่ในสภาพนุ่งบ็อกเซอร์ตัวเดียว นี่มันจะยั่วผมรึเปล่าเนี่ย เฮ้ย! ไอ้บ้าโอม มึงคิดอะไรของมึงเนี่ย
“มึงเป็นใคร”มันกอดอกเริ่มตั้งคำถามกับผม
“กูชื่อโอม กายภาพบำบัด ปีสอง”ผมก็บ้าจี้เล่นเกมยี่สิบคำถามกับมัน มันทำหน้าแบบ ไม่เชื่อว่าผมจะเรียนอยู่ทางคณะสายการแพทย์
“แล้วทำไมกูมาอยู่ที่นี่”
“เมื่อวานมึงไม่สบายมาก รุ่นพี่หามมึงออกมาจากช็อป เผอิญแก้ว เพื่อนกูมีรถ เลยพามึงไปศูนย์แพทย์ แล้วเขาก็เป็นห่วงมึง เขาบอกว่าพี่มึงไม่ไว้ใจเมทมึง เลยขอให้กูช่วยเอามึงมาดูแล”ผมเล่าสรุปย่อๆให้มันฟัง มันพยักหน้าน้อยๆเป็นเชิงรับรู้ ดูมันไม่ถามถึงแก้วสักนิด คิดว่ามันคงจะรู้จักแก้วอยู่แล้ว
“แล้วเมื่อคืนมึงทำอะไรกู”
“มึงอยากให้กูทำอะไรล่ะ”ผมถามย้อนมันกลับด้วยสีหน้ากวนตีน
“เชี่ยนี่ สรุปว่ามึงทำอะไรกูจริงๆใช่มั้ย”หน้ามันตอนนี้นี่ผมเห็นแล้วอยากจะหัวเราะจริงๆ ก็ดูหน้ามันดิ แบบหน้ากึ่งจะร้องไห้ กึ่งโกรธจนอยากมากระทืบผมซ้ำ
“มึงก็คิดเอาเองดิ”ผมก้าวลงจากเตียงอย่างไม่สนใจ ไม่อธิบายให้มันเข้าใจ หวังจะแกล้งมันไปสักพัก ผมเตรียมเข้าห้องน้ำหางตาเห็นแวบๆว่ามันไปหยิบมาผ้าห่มอะไรของมันก็ไม่รู้ หรือมันจะพับผ้าห่มให้ผมนะ
“ไอ้เชี่ย มึงออกมาจากห้องน้ำเลยนะ”ผมกำลังเตรียมจะล้างหน้ามันก็มาทุบประตูห้องน้ำ ส่งเสียงดังโวยวาย ผมเปิดประตู ไม่ทันได้ตั้งตัว หมัดมันครับพี่น้อง สวนมาเต็มๆ ถ้าผมไม่ตัวสูงกว่ามันผมคงล้มไปแล้ว
“อะไรของมึง”ตอนนี้ผมโกรธจนแทบอยากจะฆ่ามันตรงนี้เลย ไอ้นี่ หน้าตากูมีไว้ล่อลวงสาวนะเฟ้ย
“ก็มึงทำอะไรกูล่ะ”อ้อมไปอ้อมมาแล้วชาตินี้กูจะรู้เรื่องกับมึงไหมเนี่ย
“กูทำอะไร กูอยู่เฉยๆแล้วมึงมาต่อยกูเนี่ย”
“ก็มึงทำเนี่ย มึงทำกูเนี่ย”คือมันก็พูดแค่นี้ แล้วก็หน้าแดงใส่ผม ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันโกรธหรือเขิน หรืออะไรกันแน่
“กูทำอะไร”ผมถามมันซ้ำด้วยคำถามเดิมอีกครั้ง มันทำหน้าดาผมประมาณว่า มึงนี่ โง่โคตร มันเดินกระทืบเท้าไปตรงเตียงแล้วชี้จุดเกิดเหตุให้ผมดู ผมเดินไปดูก็เห็นที่มันชี้ก็คือ... คราบเลือดผมเมื่อคืนนี้
“อ๋อ ไอ้นี่อ่ะหรอ”ผมอยากจะขำกับความคิดมันจริงๆ แล้วที่มันเดินได้ กระโดดได้นี่มันหมายความว่าอะไรวะ
“มึงยังมีหน้ามาขำอีก นี่เกียรติศักดิ์ศรีกูเลยนะ”มันพูดแบบจริงจังเว่อร์ ยิ่งผมเห็นผมก็ยิ่งขำ
“สงสัยแม่งโดนกูขยี้หมดแล้วมั้ง ศักดิ์ศรีมึงอ่ะ”ผมพูดขำๆ แต่มันคงไม่ขำกับผม เพราะเห็นมันเลือดขึ้นหน้าหนักกว่าเดิม
“เฮ้ยๆๆ ใจเย็นๆ คือ...”
“มึงจะให้กูใจเย็นได้อีกหรอ มึงนี่เดรัจฉานจริงๆ”มันด่าผมแถมไม่ใส่ใจเรื่องที่ผมกำลังจะอธิบายให้มันฟัง มันเดินดุ่มๆหาเสื้อผ้ามันของมันเองมาสวมใส่อย่างรวดเร็ว เตรียมจะออกจากห้อง
“เดี๋ยว จะไปไหน ฟังกูก่อนดิ”ผมกระชากแขนมันไว้ ใจหนึ่งก็กลัวมันเจ็บ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากอธิบายให้มันเข้าใจก่อน
“มึงจะให้กูฟังอะไร เรื่องที่มึงทำกับกูงั้นหรอ”มันหันมามองหน้าผม ผมเห็นน้ำตามันคลอเบ้าเล็กน้อย แต่มันพยายามลืมตาไว้ไม่
ให้ไหล ยิ่งผมเห็นอย่างนี้แล้วผมก็ยิ่งรู้สึกผิด ผมคิดแค่เพียงว่าผมไม่น่าแกล้งมันเลย
“ไม่ใช่อย่างนั้น มันไม่ใช่อย่างที่มึงเข้าใจนะ มึงกำลังเข้าใจผิด”ผมพยายามพูดให้มันฟัง แต่มันก็มัวแต่พยายามแกะมือผมออก ผมก็ยิ่งพยายามยื้อให้แน่นกว่าเดิม
“ปล่อยกู กูเจ็บนะ”จังหวะนั้นเอง ประตูห้องผมก็มีคนเปิดเข้ามาอย่างไม่ทันได้นัดหมาย
“ไอ้โอม กูโทรมาทำไมไม่รับ กูจะบอกว่ากูจะกลับบ้านแล้วนะ โอ๊ะโอ่”ไอ้ปั้นฉวยโอกาสที่ผมหันไปสนใจพี่ชายผม สะบัดแขนหนีผมแล้วเดินออกนอกห้องไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย! ไอ้อั้ม เอากุญแจรถมา เร็วดิวะ!”ผมเร่งมันทั้งๆที่ก็เพิ่งออกปากขอเมื่อกี้นี้ มันล้วงอยู่สักแป๊บแล้วส่งให้ผม เตรียมจะอ้าปากพูดอะไรกับผม แต่ผมก็ไม่สนใจแล้ว รีบวิ่งตามคนตัวขาวออกไป
ผมเห็นไอ้ปั้นกดลิฟท์ปิดพอดี ผมเลยตัดสินใจวิ่งลงบันไดให้ทันมัน
“ปั้น รอพี่ก่อน”คำพูดผมสุภาพขึ้นมาทันที มันชะงักหันมามองนิดหน่อย แต่พอเห็นว่าเป็นผมที่เรียกมัน มันก็รีบสาวเท้าเดินไปทันที ผมวิ่งตามมันทัน นึกขอบคุณพระเจ้าที่มันไม่วิ่งหนีผม
“ปั้น รอก่อน ให้พี่อธิบายก่อน แล้วเดี๋ยวพี่จะขับรถไปส่ง”ผมยื้อแขนมันไว้ แม้จะเห็นว่าของครั้งก่อนที่ผมกระชากแขนมันเป็นรอยแดงขึ้นตามนิ้วมือผมก็ตาม
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น พากูไปส่งก็พอ”มันพูดเสียงเครือยิ่งทำให้ผมพูดไม่ออก
.
.
ผมจูงแขนมันมาที่รถด้วยกลัวมันจะวิ่งหนีผมไปอีก ผมเปิดประตูรถให้มันก่อนจะดันตัวมันให้นั่ง มันก็ไม่ได้ขัดขืนผม ผมรีบไปสตาร์ทรถเตรียมขับจะไปส่งมันที่หอใน ในใจก็คิดแค่ว่าจะขับช้าหน่อยรอให้มันใจเย็นแล้วผมจะได้อธิบายให้มันฟัง
“ปั้น... พี่จะ...”ผมยังไม่ทันจะได้พูดอะไรมามากกว่านี้ มันก็ขัดผมขึ้น
“พอเหอะ ไม่อยากฟังอะไร”มันพูดโดยไม่มองหน้าผมแม้แต่น้อย ตลอดทางเข้ากว่าห้ากิโลเมตร มันก็ยังไม่พูดอะไร ผมก็ไม่รู้จะ
พูดอะไร ผมถามมันว่าอยู่หอไหน มันก็ตอบ แต่แบบเฉยชามาก ผมไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย
ผมจอดรถตรงปากทางเข้าหอ มันเปิดประตูรถจะลงโดยไม่คิดจะพูดอะไรกับผมสักนิด ผมรีบเปิดประตูรถลงตามมันไป
“ปั้น”มันหันมามองหน้าผม แต่สายตามันกลับทำให้ผมเจ็บยิ่งกว่าการกระทำ
“ไว้ปั้นพร้อมเมื่อไหร่ก็มาฟังคำอธิบายจากพี่ พี่ไม่อยากให้ระหว่างเราเป็นแบบนี้ ปั้นควรจะได้รู้ความจริง”ผมพูดเพียงเท่านั้นแล้ว
เดินกลับขึ้นรถเลย ไม่ใช่ว่าเหนื่อยจะตามง้อ แต่ผมคิดว่าถ้าให้เวลาปั้นคิดมากกว่านี้ ระหว่างผมกับปั้นอาจจะดีขึ้นก็ได้
.
.
ผมขับรถกลับมาถึงหอก็พบว่าพี่ชายตัวเองยังนั่งเสนอหน้าไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องเสียที
“รออะไร”ผมทักมัน ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน
“รอมึงนั่นแหละ ไม่ยักรู้ว่าเดี๋ยวนี้เปลี่ยนรสนิยมนะมึง”
“พอเลยไอ้อั้ม แค่รุ่นน้องเข้าใจผิดเฉยๆ”ผมแย้งพี่ชายตัวเองที่นั่งทำหน้าราวกับกุมความลับของนาซ่าไว้
“”อย่าให้เห็นแล้วกันว่ามึงพาน้องคนนี้ไปแนะนำให้พ่อแม่รู้จัก”
“ไร้สาระน่า สรุปว่ามึงจะกลับบ้านได้ยัง เดี๋ยวกูก็จับทำเมียซะนี่”
“หูย ไอ้โหด น้ำหน้าอย่างมึงจะพาใครไปถึงสวรรค์ได้วะ ไว้มีแฟนเป็นตัวเป็นตนก่อนแล้วค่อยมาคุยเหอะ กูเหม็นขี้ปาก”ไอ้อั้ม
แทบจะถ่มน้ำลายลงบนพื้นห้องผมอยู่แล้ว
“มึงมาพิสูจน์ไหมล่ะไอ้ห่านี่ กลับบ้านไปเลยไป กูอยากอยู่คนเดียว”
“พระเอกจริ๊ง แต่กูจะบอกอะไรให้นะ อยากง้อคน มึงต้องสุภาพกว่านี้ มุ่งมั่นกว่านี้ แล้วที่สำคัญมึงต้องจริงใจกับเขามากกว่านี้ กู
ไปและ เหม็นหน้าคนไร้น้ำยา”ไอ้อั้มว่าแล้วคว้ากระเป๋าเดินทางเดินออกจากห้องผมไป สรุปว่าผมนี่ไร้น้ำยาจริงอย่างที่มันบอกใช่มั้ยเนี่ย ผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง นึกถึงคำพูดไอ้อั้มแล้วก็คิดหนัก คิดเป็นสิบๆรอบก็ไม่รู้ว่าจะขอโทษคนตัวเล็กยังไงดี ทั้งๆที่ความผิดผมก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้น แต่ทำไมมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมไปพรากผู้เยาว์มาเลยอ่ะ
“แมร่งเอ้ย สรุปกูผิดมากใช่มั้ยเนี่ย”ผมผุดลุกขึ้นมานั่งแล้วยีหัวตัวเองให้สะใจเล่น อยากจะกระชากผมตัวเองเผื่อจะได้คิดออกบ้าง หวังว่าเวลาจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นนะ ผมหวังว่าอย่างนั้นจริงๆ...
.
.
“เฮ้ย ไอ้ปั้น เป็นอะไรวะหงอยๆ”รูมเมทของเจ้าของร่างบางเอ่ยเสียงทักเมื่อเดินมาเปิดประตูแล้วเจอสภาพของคนตรงหน้า
“หงอยพ่องดิ ไอ้ก้อง กูแค่ง่วงเว้ย”ถึงหน้าคนตรงหน้าจะหวานจนชวนให้หลงใหลได้ปลื้ม แต่นายก้องคนนี้การันตีเลยว่า ปากมัน
นี่หมาไม่แดกจริงๆ
“ไอ้ห่านี่ กูก็เป็นห่วงบ้างเถอะ แล้วเมื่อคืนมึงไปไหนมา เห็นพี่เค้าหิ้วมึงออกจากช็อปแล้วมึงก็หายไป กูนึกว่าจะมานอนรอที่ห้อง พอมาก็ไม่เจออีก”เด็กหนุ่มร่างสูงเดินไปทวงคำถามจากคนร่างบางอย่างไม่ลดละ
“ไว้ตื่นมาค่อยเล่า ตอนนี้กูง่วง”ปั้นเลือกที่จะหนีการคอบคำถามด้วยการหลับตาลงซะ ซึ่งก็ทำให้อีกฝ่ายล่าถอยไปไม่ซักถามให้น่ารำคาญ แต่ตัวเขาเองกลับหลับไม่ลงอย่างที่ตั้งใจไว้ ภาพใบหน้าของใครคนนั้นยังคงลอยในหัว ภาพสายตาที่ทิ้งไว้ครั้งสุดท้ายทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา คำพูดของใครคนนั้นยังสะท้อนอยู่ในอก ทุกการกระทำของใครคนนั้นยังคงชวนให้คิดไม่ตกว่าตกลงเรื่องไหนล้อเล่นเรื่องไหนจริงกันแน่ แต่ตอนนี้ขอเขาหลบหนีความจริงไปสักครู่ เขาว่าการนอนหลับคือการลืมที่ดีที่สุด หวังว่ามันคงจะได้ผลนะ...
TBC...
++++
เอามาหย่อนไว้อีกตอน ฉลองคริสต์มาสอีฟ ฮ่าๆๆ
อยากได้คอมเม้นท์จังเลย ฮิๆๆ
ชะแว้บ กลับไปอ่านหนังสือเตรียมสอบต่อแล้ว ไว้วันศุกร์จะมาลงให้อีกนะจ้ะ