Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (Sp.รักนี้ที่รอคอย 28/1 จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (Sp.รักนี้ที่รอคอย 28/1 จบ)  (อ่าน 38180 ครั้ง)

ออฟไลน์ mtd

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
ขอบอกเลยว่าตอนนี้ก้องเอาใจไปเต็มๆ  :hao5:
ไม่เป็นไรนะก้อง ปั้นไม่รักมาพักใจที่เค้า อ๊ายยย #บ้าไปแล้ว 5555

มาเร็วทันใจตลอด ปลื้มๆๆๆ
จะรอตอนพิเศษน้า  :katai2-1:

lew_valen_tom

  • บุคคลทั่วไป
B52 : จะเป็นไรมั้ยนะ ถ้าก้องคู่กับ... ไปจิ้นกันเอาเอง จะลองทายดูไหม  :hao3: :hao3:

Palmpalm : ก้องแมนได้กว่านี้อีกนะ   :a5:  ต้องรอดู ตอนต่อๆไป

maemix : ก้องไมใช่พระรอง เพราะคู่รองจริงๆแล้วคือ... ไปจิ้นกันเอาเอง ฮ่าๆๆ ลองทายดูกันก็ได้นะ  :hao3: :hao3:


รอ ร๊อ รอ คอมเม้นท์อีกหน่อย จะเอาตอนพิเศษมาหย่อน แล้วก็จะหายหน้าไปอีกแปดวัน คุคิคุคิ
  :กอด1:

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
ก้องแมนดี อยากให้เจอคู่เร็วๆ

lew_valen_tom

  • บุคคลทั่วไป
Happy New Year



คืนวันที่ 31 ธันวาคม

คืนวันสิ้นปีที่หลายๆคนรอคอย รอคอยการเริ่มต้นใหม่ รอคอยช่วงเวลาแห่งความสุข ช่วงเวลาที่เราจะนับถอยหลังสู่การเริ่มต้นครั้งใหม่ ลืมเรื่องราวที่ผ่านไป เพื่อการก้าวยืนใหม่อีกครั้งที่มั่นคง แต่คงไม่ใช่สำหรับผมแน่นอน ผมไม่ได้รอการเริ่มต้นครั้งใหม่ เพราะผมจะไม่เลิกกับปั้นแน่นอน ผมกับปั้นคบกันจะครบรอบหกเดือนแล้ว แน่นอนว่าหลายเดือนที่ผ่านมามันไม่ได้ราบรื่น มันมีทั้งความสุข และความทุกข์ที่เข้ามา มีทั้งความเข้าใจกัน ความไม่ลงรอยกันมาแทรกระหว่างเราเป็นระลอกๆ แต่นั้นก็ไม่อาจจะทำให้ผมหวั่นไหวได้ เพราะความรู้สึกของผมกับปั้น หาได้ลดลงไม่ มันกลับเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่เราได้รู้จักกัน ยิ่งรู้จัก ยิ่งรัก ยิ่งผูกพัน

ผมกำลังเดินเตร่แถวหน้าเซนทรัลเวิร์ด  อันที่จริงวันนี้ผมนัดเพื่อนเก่ามากินมาเที่ยวกัน แต่ตอนนี้เพื่อนผมกลับไปกันเกือบจะหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ผมและผู้คนมากมายที่กำลังรองานเค้าน์ดาวน์ที่หน้าเซนทรัลเวิร์ด

23.47 น.

ผมกำลังรอเวลาเพื่อจะได้โทรไปเค้าน์ดาวน์กับปั้น เห็นไอ้ตัวแสบว่าคงไม่ได้ไปไหน เพราะพ่อกับแม่สั่งห้ามมันไว้ ก็สมควรล่ะครับ วีรกรรมเมื่อตอนมอปลายของมันขึ้นชื่อขนาดนั้น จนพ่อกับแม่ปั้นโดนเรียกพบผู้ปกครองไม่รู้กี่ครั้ง ไม่ใช่ว่ามันนิสัยไม่ดีนะครับ แต่มันอุตริมากกว่า แกล้งคนโน้นคนนี่ไปทั่ว ตรงข้ามกับพี่สาวมันเลย เห็นปั้นบอกว่าพี่สาวเป็นคนเรียบร้อยมาก เป็นกุลสตรีทุกอย่าง เรียนก็เก่ง เสียอย่างเดียว ลืมรักแรกไม่ได้ (มันว่ามาอย่างนี้อ่ะครับ) จะว่าไปน้องออม น้องสาวผม ผมเองก็อยากให้เป็นแบบปิ่น แบบว่าเป็นผู้หญิงเรียบร้อย กุลสตรีที่ไม่อ่อนต่อโลก หรือไม่ก็แบบแก้ว แบบแก่นเซี้ยวเปรี้ยวซ่า รู้กาลเทศะ และรักตัวเองมากพอที่จะไม่ให้ใครมาทำร้าย ยิ่งสังคมสมัยนี้มันอันตราย เทคโนโลยีก็เร็วเกินจนน่ากลัว น่ากลัวว่าเราจะตามไม่ทันเด็กสมัยนี้น่ะสิครับ

ผมเดินเตร่แถวหน้าเซนทรัลเวิร์ดแล้วก็เดินเรื่อยมาจนถึงหน้าแพลตตินั่ม พอจะเห็นทำเลเงียบสงบที่จะโทรศัพท์ได้ผมก็กดโทรออกเลย

“ฮัลโหล ไอ้ตัวแสบ”ผมส่งเสียงทักปั้นทันทีที่มันกดรับสาย

(ฮัลโหล พี่โอม โทรมาว่าไง)

“ก็โทรมารอเค้าน์ดาวน์ปีใหม่ด้วยกันไง ลืมแล้วหรอ”นี่มันลืมจริงๆสินะครับ ไอ้ปลาทองเอ้ย

(ไม่ได้ลืม แต่ไม่คิดว่าจะทำจริง แล้วนี่พี่โอมอยู่ไหนอ่ะ)

“พี่อยู่แถวเซนทรัลเวิร์ด วันนี้มากินเลี้ยงกับเพื่อนเก่าน่ะ แต่เพื่อนพี่กลับไปหมดแล้ว แล้วปั้นอยู่ไหนเนี่ย”

(จะอยู่ไหนได้ล่ะ ก็อยู่ในห้องนอนอ่ะสิ คุณท่านกับคุณหญิงไม่ยอมให้ปั้นออกไปไหนเลย เดี๋ยวปั้นจะหนีจากบ้านเลย คอยดู)

“ไม่ต้องเลย อยู่ในบ้านนั่นแหละ จะไปไหนค่ำๆมืดๆ”

(ไม่ต้องมาบังคับปั้นเลย ทีตัวเองยังไม่ยอมกลับบ้านเลย)

ปั้นแอบโวยวายผสมความไม่พอใจมาตามสาย

“ไม่ได้บังคับ แต่พี่เป็นห่วง เข้าใจมั้ย แล้วพี่ออกมาข้างนอกแบบนี้ ปั้นเป็นห่วงพี่ป่ะหล่ะ”

(ก็... ห่วงดิ เกิดมีวางระเบิดกัน พี่โอมจะทำยังไงล่ะ)

ปั้นตอบเสียงงุงิมาแบบอายๆ ก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงแต่ไม่ค่อยจะเคยพูดให้ได้ยิน มาได้ยินแบบนี้แล้วมันชื่นใจแฮะ

“พี่ก็ไม่ทำไง ก็หนี ถ้าหนีไม่ทัน พี่ก็จะนึกถึงปั้นจนวินาทีสุดท้ายเลย ดีไหม”

(ไม่ดี ต้องหนีทันสิ ถ้านึกถึงปั้นจริงๆก็ต้องหนีเอาตัวรอดให้ได้)

“คร้าบบ จะจำเอาไว้เลย แต่นี่เดินออกมาไกลแล้ว ไม่มีหรอกมั้งระเบิด”

(ดีมาก พี่โอมของปั้นเชื่อฟังปั้นดีมาก)

“ลามปามแล้ว ไอ้ตัวแสบ”ผมได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักมาจากปลายสาย จนอดหัวเราะไปกับมันไม่ได้

(พี่โอม ปีใหม่นี้พี่โอมมีแผนยังไงกับชีวิตบ้าง แบบอยากจะทำอะไร อยากจะไปไหน อะไรแบบเนี้ย มีป่ะ)

“จะว่ามีก็มี จะว่าไม่มีก็ไม่มี”

(เอาดีๆดิ ไม่เอาแบบกวนๆ)

“มันจะสมหวังก็ต่อเมื่อปั้นจะช่วยพี่”

(ช่วยยังไง)

“เรื่องอย่างนั้น... ไง”ผมแกล้งพูดให้อีกฝ่ายเขินเล่นๆ แต่บอกตามตรงว่าถ้าได้ก็เอาล่ะนะ เพราะผมไม่คิดจะไปมีใครใหม่แล้ว

(ไอ้พี่โอม ทะลึ่ง เดี๋ยววางสายเลย)

“พี่ล้อเล่นน่ะ ว่าแต่ใครกันแน่ที่ทะลึ่ง ชอบถ่ายรูปเซ็กซี่มายั่วเค้า”จริงๆนะครับทุกคน ตั้งแต่ครั้งแรกที่มันถ่ายภาพนั้นมาให้ผมก่อนวันสอบ ผมก็จัดการเป็นภาพหน้าจอล็อคเลย หุหุ พอมันเห็นเท่านั้นแหละ คราวนี้มาแบบฟูลออพชั่น นึกว่าแฟนตัวเองเป็นนางแมวยั่วสวาท แต่ผมก็ไม่เอามาเป็นภาพหน้าจอล็อคแล้วครับ เพราะไอ้พวกเพื่อนเวรชอบลวนลามโทรศัพท์ผมเรื่อยเลย

(คิกๆๆ ชอบป่ะหล่ะ อีกหน่อยปั้นไปเป็นนายแบบนู้ดดีไหม)

“ได้ดิ แต่ให้พี่เป็นช่างภาพนะ”ผมว่าปั้นพูดมาคงอยากให้ผมหึง แต่รู้จักผมน้อยไปซะแล้ว

(อยากทำแค่ถ่ายภาพหรอ ก็ดีนะ อย่างอื่นไว้ให้คนอื่นทำ)

อ๊าก นี่ผมแพ้เด็กหรอเนี่ย

“ไม่ต้องเลยๆ เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย ถ้าอยากเมื่อไหร่มาหาพี่นะครับ”

(ทะลึ่ง พี่โอม เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน)

แล้วมันก็เขินจนได้ กว่าผมจะทำให้ปั้นเขินได้สักครั้งหนึ่งนี่หมดมุขไปเป็นโหล แถมเรื่องอย่างว่า มันยังเอามาต่อล้อต่อเถียงกับผมได้ไม่อายปาก หลังๆอยากเอาชนะมันต้องพูดตรงๆให้มันเขินไปเองเลยครับ

“เอาจริงแล้วนะ ปีใหม่นี้พี่ไม่มีแพลนอะไรใหม่ๆหรอก”บอกตามตรงว่าผมก็ยังไม่ได้คิดจะทำอะไรใหม่ๆเลย ผมมองดูนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้ห้าทุ่มห้าสิบห้าแล้ว

(แต่ปั้นมีนะ ปั้นอยากให้พี่ปิ่นมีความรักครั้งใหม่สักที)

“อันนั้นให้ปิ่นเค้าจัดการเองไม่ดีกว่าหรอ รักครั้งแรกมันลืมยากทั้งนั้นแหละ”

(หรอ แล้วพี่โอมอ่ะ ลืมรึเปล่า)

ปั้นตวัดเสียงถามแบบไม่ไว้ใจ เอาล่ะไง งานเข้าผมแล้ว

“ก็ใครจะลืมได้ล่ะ แต่พี่ก็ไม่ได้จมกับมันสักหน่อย แล้วปั้นมีบ้างป่ะ รักครั้งแรก”

(มีสิ และปั้นก็ยังคิดถึงเขาอยู่ด้วย)

เขา... งั้นหรอ ไอ้บ้านั่นมันเป็นใคร

“ชอบเขาตอนไหนหรอ”ผมถามเนียนๆไป ในใจก็หึงไม่ใช่น้อย แต่ความอยากรู้มันมีมากกว่า

(ตอนแรกก็ไม่ชอบหรอก แต่เขาก็เป็นคนดี ใจดี)

ข้อนี้ตัดทิ้งได้ เพราะปั้นก็ชอบชมผมว่า พี่โอมใจดีที่สุดในโลกเลย บ่อยๆ

“แล้วไงอีก”

(หน้าตาดี มีรถขับ โทรศัพท์มีกล้อง)

คราวนี้มันมาเป็นสโลแกนเลยครับ แต่ที่มันพูดมาก็ยังเอาชนะผมไม่ได้สักอัน

(และที่สำคัญ ปั้นรักเค้ามากเลยแหละ)

หรือข้อนี้ผมจะแพ้? ผมได้ยินเสียงคนนับเค้าน์ดาวน์แทรกมา


4…


3…


2…


1…


(คนนั้น คือพี่โอมนะ สุขสันต์วันปีใหม่ครับ ขอให้พี่โอมของปั้น รักปั้นแบบที่ปั้นรัก ดูแลปั้นตลอดไป แต่พี่โอมไม่ต้องกลัวว่าจะเหนื่อยนะ เพราะปั้นก็จะดูแลพี่โอมเหมือนกัน ขอให้พี่โอมแข็งแรง เป็นคนรักของปั้นไปนานๆนะครับ)

ปั้นอวยพรผมมาทางโทรศัพท์ ตอนท้ายๆเสียงเครือๆหน่อย ผมดีมากที่ได้รู้ว่าตัวเองเป็นรักครั้งแรกของปั้น และก็ดีใจมากที่ได้เป็นคนที่ปั้นรัก

“สุขสันต์วันปีใหม่ครับ น้องปั้นของพี่โอม พี่ขอให้น้องปั้นมีสุขภาพแข็งแรง เป็นที่รักของทุกคน ไม่ต้องกลัวว่าพี่จะเหนื่อยกับการดูแลปั้น เพราะพี่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่พี่ทำแล้วมีความสุขที่สุด การได้ดูแลปั้นไม่เหนื่อยเลย ดีใจที่ปั้นบอกว่าจะดูแลพี่ พี่ขอให้ปั้นคอยเคียงข้างพี่ตลอดไป พี่โอมรักน้องปั้นมากนะครับ รักพี่โอมบ้างรึเปล่า”ผมพูดไปน้ำตาก็คลอไป ผมรู้แล้วว่าความสุขของชีวิตผมคือปั้น การได้เห็นรอยยิ้มปั้นทุกวัน ได้ฟังเสียงปั้นทุกเวลา ผมมีความสุขแล้ว

(รักสิ ฮึก... รักมากด้วย พี่โอม...)

“อะไร แค่นี้ก็ร้องไห้แล้วไอ้ตัวแสบ”ผมแกล้งแซวน้องแต่ตัวเองยังไม่หยุดเช็ดน้ำตาเลย มันตื้นตันไปกับคำบอกรักของอีกฝ่าย จนผมไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไป มันดีใจมาก

(ไม่ได้ร้อง ฮึก... สักหน่อย)

“อ่ะๆ ไม่ได้ร้องก็ไม่ได้ร้อง อยากจะนอนรึยัง”ผมเปลี่ยนเรื่องก่อนที่ปั้นจะร้องไห้หนักกว่านี้

(ยัง ฮึก... พี่โอมจะกลับบ้านรึยัง)

“ว่าจะกลับแล้ว เดี๋ยวโบกแท็กซี่กลับ แป็บเดียวก็ถึงบ้านแล้ว”ผมเดินไปริมฟุตบาทรอโบกแท็กซี่กลับบ้าน

(งั้นเดี๋ยวปั้นอยู่คุยกับพี่โอมก่อน ไว้พี่โอมถึงบ้านแล้วค่อยนอน)

ผมอมยิ้มในความน่ารักของปั้น หางตาเห็นแท็กซี่คันหนึ่งก็โบกทันที

“แล้วถ้าคืนนี้ไม่มีแท็กซี่ แล้วพี่ไม่ได้กลับบ้าน ปั้นก็ไม่ต้องนอนกันพอดีสิ”ผมเอามือปิดโทรศัพท์ก่อนจะบอกกับคนขับว่าให้ไปส่งที่... แล้วกระโดดขึ้นรถแท็กซี่ทันทีที่คนขับตกลง

(ปั้นก็จะถือสายรอแบบนี้แหละ แต่ปั้นจะหลับนะ ถ้าพี่โอมอยากคุยก็เรียกปั้นละกัน)

“งั้นก็คุยไปเรื่อยๆระหว่างที่รอรถล่ะกัน”

หลังจากนั้นระหว่างทางผมก็คุยกับปั้นไปเรื่อยเปื่อย แถมมันเองก็เชื่อว่าผมยังไม่ได้ขึ้นรถ จนแท็กซี่มาถึงหน้าบ้าน แล้วผมก็จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว เสียงปั้นก็ดูง่วงๆหน่อยแล้ว

“ปั้นครับ ไปนอนได้แล้วไป”

(หือ... พี่โอมขึ้นรถรึยังอ่ะ เดี๋ยวปั้นรอ)

ไอ้ตัวแสบเผลอหลับไปแน่ๆเลยครับ

“ไปนอนเหอะไป พี่ถึงบ้านแล้ว”

(ไม่เชื่อหรอก ไปเรียกน้องออมมาคุยก่อน)

ผมเปิดประตูเข้าไปในบ้านปรากฏว่าบ้านผมตอนนี้ยังอยู่กันพร้อมหน้าเลย สงสัยนั่งเค้าท์ดาวน์อยู่ด้วยกัน ผมส่งโทรศัพท์ไปให้น้องออมคุย

“พี่ปั้นจะคุยด้วย”คือปั้นเคยคุยกับน้องออมบ่อยเหมือนกัน มันบอกว่าอย่างมีน้องสาวแบบนี้ สงสัยนิสัยคนไม่เคยมีน้องมั้งครับ

“เป็นไงเจ้าโอม ไปกับเพื่อนมาเป็นไงบ้าง”หัวหน้าครอบครัวของผม หรือคุณพ่อนั่นแหละครับ เป็นคนออกปากถาม ข้างๆท่านมีพี่อั้มคอยช่วยบีบนวดขาอยู่

“ก็ดีครับพ่อ ไม่ได้เจอพวกมันมานาน คุยกันจนน้ำลายแห้งเลย”

“อืม ดีแล้วๆ หัดไปเจอเพื่อนเก่าซะบ้าง เราเองก็เรียนตั้งไกล กลัวจะห่างจากเพื่อนไปหมด”ตอนแรกพ่อผมไม่อยากให้ผมเรียนต่างจังหวัดหรอกครับ ท่านว่าจะให้ผมเรียนมอเอกชน แต่ผมไม่ยอมเพราะผมอยากจะเรียนสายการแพทย์ ถ้าผมเรียนมอเอกชนคงไม่พ้นพวกบัญชี หรือบริหารแน่นอน ผมไม่ค่อยปลื้มกับตัวเลขเท่าไหร่

“แล้วแม่ละครับ”ผมถามหาผู้หญิงที่สวยที่สุดในบ้าน

“โน่น อยู่ในครัวโน่น เห็นว่าจะเอาเค้กไปเก็บ”พ่อผมยิ้มเล็กน้อยเมื่อพูดถึงแม่ บางทีอาจจะเป็นเพราะครอบครัวผมเป็นแบบนี้ เลยทำให้ผมมองหาคนที่ทำให้ผมมีความสุขแบบพ่ออยู่

“งั้นเดี๋ยวผมไปจัดการเค้กที่เหลือเอง พี่อั้ม เอารึเปล่า”เผอิญว่าต่อหน้าพ่อ ต้องเรียกพี่น่ะครับ

“ตามสบายเลย พี่กินแล้ว”ให้ทายมันก็คงแขยงกับสรรพนามแบบนี้ ผมปล่อยให้ไอ้ตัวแสบพูดคุยจิ๊จ๊ะกับน้องสาวผมไป ดูท่าคุยกันสนุกเลยเพราะน้องออมหัวเราะคิกคักอยู่

“แม่คร้าบ โอมหิวจัง”ผมเดินไปหาแม่ในครัว

“เอา ตาโอม กลับมาซะดึก มีเค้กกินได้มั้ยลูก”แม่ผมตีแขนทักทายผมที

“ได้สิครับ คุณแม่คนสวยมีอะไรให้กิน ลูกคนหล่อก็กินอันนั้นแหละครับ”

“จ้า พ่อคนหล่อ เมื่อไหร่จะพาแฟนมาให้แม่รู้จักบ้างล่ะ ปีนี้อั้มพามาให้แม่รู้จักคนนึงแล้วนะ”แม่ผมเลื่อนจากเค้กให้ผม คำพูดแม่ทำเอาผมไปต่อไม่ถูกเลย

“ไว้รอโอมพร้อมก่อนนะครับ”ผมไม่อยากโกหกแม่ว่าผมไม่มีแฟน มันจะทำให้ผมรู้สึกผิดกับปั้นด้วย

“แล้วเขาเป็นคนยังไงหรอลูก น่ารักมั้ย เพื่อนที่มอหรอลูก”แม่ผมนั่งลงตรงเก้าอี้ตรงข้ามและเริ่มซักไซ้ผม

“ก็น่ารักครับ เป็นรุ่นน้องที่มอ เป็นเด็กที่รู้จักกาลเทศะดี ขี้อ้อนหน่อยๆ แม่เจอแม่คงชอบ”

“หรอลูก ฟังแค่นี้แม่ก็รักแล้ว อย่าลืมพามานะลูก”ผมส่งยิ้มให้แม่ ไม่ได้พูดอะไรต่อ ส่วนแม่ก็เดินไปนั่งคุยกับพ่อต่อ หลังจากนั้นน้องออมก็เอาโทรศัพท์มาให้ผม บอกว่าพี่ปั้นจะคุยด้วย

(ฮัลโหลพี่โอม ปั้นจะนอนแล้วนะ)

“ครับ ฝันดีนะครับ”

(พี่โอมก็ฝันดีนะ ฝันถึงปั้นด้วย แค่นี้แหละ)

ท่าทางจะเขินครับ พูดเสร็จก็วางสายไปเลย ดูท่าปีใหม่มีนี้ จะมีเรื่องใหม่มาให้ผมกังวลแล้วล่ะสิ



++++

ตอนพิเศษตามสัญญานะจ๊ะ

อย่าสงสัยในบทสนทนาของอีคู่นี้ ตาโอมเข้าข่าย 'เด็กมันยั่ว เลยหลวมตัวไปหน่อย'

อยากให้ลองทายดูว่าตาก้องจะได้คู่กับใคร ตอบถูกมีรางวัล หึๆๆ

เอาถึงวันที่ 7 มกราคมนะจ๊ะ

แล้วก็อีกข้อ คิดว่าคู่รองคือคู่ไหน มีรางวัลเช่นกัน หุหุหุ

หลังจากนี้เราจะหายไปแปดวัน :katai5:  :katai5:

เพื่อสะสมตอนนิยายไว้ เอามาปล่อยหมดแล้ว ฮ่าา  :laugh: :laugh:

บังเอิญว่าต้องไปใช้เวลาอยู่กับครอบครัว อิอิ :-[  :-[

อยากจะได้คอมเม้นท์ไว้เป็นแรงใจ ไว้เป็นกำลังใจ

จะมีใครเมตตาไหมน้ออออ   :mew2: :mew2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-12-2013 16:47:44 โดย lew_valen_tom »

ออฟไลน์ mtd

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
ตอนพิเศษมาแนวน่ารักแบบซึ้งๆ
แต่แอบกังวลเรื่องครอบครัวพี่โอม
หวังว่าคงไม่กีดกันน้องปั้นกับพี่โอมนะ :mew2:
น้องน่ารักจะตาย ต้องหลงรักน้องอยู่แล้ว
ขนาดเรายังหลงเลย  :-[

ออฟไลน์ วัวพันปี

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-3
น่ารัก คู่รองคือเพื่อนพระเอก
ก้องน่าจะคู่กับคนที่ถูกหมูฉี่ใส่

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
น่ารักน่าเอ็นดูหนูปั้นของชานนน

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
พี่โอมน้องปั้นถึงจะอยู่คนละที่
แต่ก็มีความสุขเหมือนกัน
หวานละมุนเชียวนะคู่นี้

คำถามเดี๋ยวไปคิดก่อน มาเม้นท์ตอบอีกที

lew_valen_tom

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 7


ผมเดินกลับเข้าไปในตึกคณะ เห็นปั้นกำลังนั่งซึมอยู่ ด้านข้างมีไอ้เต้คอยลูบผมน้องเขา ส่วนไอ้วินกับไอ้นิ่งก็ได้แต่มองตากับแบบไม่รู้ทำยังไง

“ไอ้โอม”ไอ้เต้ที่เห็นผมก่อนคนแรกตะโกนขึ้นมา

“พี่โอม”ปั้นรีบวิ่งมากอดผมไว้ จนผมแทบเสียหลัก เพราะไม่ทันตั้งตัวผมได้แต่ลูบหลังปั้นเพราะตอนนี้น้องร้องไห้ออกมาไม่หยุด ไอ้เต้ส่งซิกให้ผมว่าจะไปรอในห้องเรียนกับคู่วินนิ่ง ผมค่อยดันตัวปั้นออกก่อนจะจูงมืออีกฝ่ายไปทางด้านหลังตึกคณะ ผมรอจนปั้นหยุดร้องไห้ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมพูดอะไร จนปั้นอดไม่ไหวเป็นฝ่ายเปิดปากออกมา

“พี่โอม”ปั้นเรียกชื่อขึ้นมา แต่ก็ไม่พูดอะไร

.

.

“พี่โอม”คราวนี้ก็ยังไม่มีใครพูดอะไร

.

.

“พี่โอม”ปั้นเรียกชื่อผมขึ้นมาอีกครั้ง และครั้งนี้ผมก็ยอมเป็นฝ่ายเปิดปาก

“ปั้นมีอะไรอยากจะบอกพี่ไหม”ผมถามอีกฝ่ายก่อน แม้ผมจะรู้ว่าปั้นรู้สึกยังไงกับผมแล้วก็ตาม แต่ผมเชื่อว่าหลายคนเป็นเหมือนผม... อยากได้ยินจากปากของเขาเอง

“ปั้นกับก้องเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น ที่ปั้นตอบก้องไปอย่างนั้นเพราะว่า... เพราะว่าปั้น... ปั้นก็แค่อยากรู้ว่าพี่โอมจะรู้สึกยังไง”

“แล้วปั้นคิดว่าพี่รู้สึกยังไงหรอ”ผมตั้งคำถามกับปั้น บอกตามตรงว่ารู้สึกเจ็บเล็กๆ บางทีผมก็ไม่อยากเป็นตัวตลกของใครหรอกนะ

“ปั้นไม่รู้ แต่รู้ว่าปั้นไม่ชอบเวลาที่โอมหันหลังให้ ไม่ชอบเวลาที่พี่โอมทำท่าไม่อยากจะเห็นปั้นอีก”

“งั้นพี่จะพูดตรงๆไม่อ้อมค้อมแล้วนะ ปั้นก็ต้องตอบพี่ตรงๆด้วย โอเคไหม”ผมถาม ปั้นพยักหน้าตกลงอย่างไม่อิดออด

“พี่ชอบปั้นนะ พี่ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้มันยังจะเป็นแค่ความรู้สึกชอบ หรืออาจจะมากกว่านั้น แต่พี่อยากให้ปั้นรู้ว่าพี่ไม่เคยรู้สึกกับใครแบบนี้มาก่อน ที่ผ่านมาพี่อาจจะแย่ไปบ้าง แต่สำหรับปั้นแล้ว พี่จะทำให้ดีที่สุด แล้วปั้นครับ ปั้นรู้สึกยังไงกับพี่รึเปล่า”ผมเรียกสติคนตรงหน้าที่หลังจากฟังประโยคของผมไปแล้วเกิดอัมพาตที่สมองชั่วคราว

“ปั้น... ปั้นชอบพี่โอม หรืออาจจะมากกว่านั้น ตอนแรกปั้นก็ไม่รู้ว่ามันเป็นความรู้สึกแบบไหน แต่ปั้นชอบเวลาที่พี่โอมดูแลปั้น เป็นห่วงปั้น ชอบเวลาที่พี่โอมดุปั้น เพราะมันทำให้ปั้นรู้ว่าปั้นยังรู้ในสายตาพี่โอมตลอด ปั้นชอบ... ชอบ... ชอบทุกอย่างที่เป็นพี่โอม พี่โอมจะเป็นยังไง จะทำอะไรปั้นก็ชอบหมด”ปั้นพูดไป หน้าก็เห่อแดงขึ้นมาเรื่อย จนผมแอบอมยิ้มกับประโยคนั้นไม่ได้

“งั้นเป็นแฟนกับพี่นะครับ”ผมถามปั้นแบบไม่ต้องคิด ส่วนปั้นก็หน้าเหวอไปนิดนึง

“พี่โอม แต่เราเป็นผู้ชายนะ”

“พี่ไม่สน การที่เราจะคบใครสักคนนึง ขอแค่เรามีความสุขกับการได้อยู่กับเขาก็พอแล้วไม่ใช่หรอ พี่มีความสุขเวลาอยู่กับปั้น สำหรับพี่... เหตุผลข้อนี้ก็มากพอที่จะทำให้พี่ขอให้ปั้นเป็นแฟนกับพี่แล้วนะ”

“ปั้นรู้... แต่คนอื่น...”ปั้นทำสีหน้ากังวลใจออกมา ผมก็พอรู้ว่าความรักรูปแบบนี้ดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมลำบาก

“ขอให้มันเป็นเรื่องของอนาคตนะครับ พี่ว่าเราต้องผ่านมันไปได้”ผมพูดออกมาทั้งที่ในใจผมก็ไม่มั่นใจ ผมไม่มั่นใจทั้งในตัวปั้น ว่าปั้นจะยอมทนได้มากแค่ไหน และก็ไม่มั่นใจในตัวเอง เพราะผมก็ไม่รู้ว่าผมจะเดินไปได้ไกลแค่ไหน

“ครับ”ผมพยักหน้าอย่างเชื่อฟังผม

“งั้นเราเป็นแฟนกันนะ”ผมถามย้ำประโยคเดิม ส่วนปั้นก็แค่ฮึมฮัมตอบในลำคอ แต่หน้าแดงเถือกจนลามมาถึงคอ

“ดีมาก... พี่ไปเรียนก่อนนะครับ เดี๋ยวคืนนี้โทรหานะครับ ที่รัก...”

“พี่โอม!”ผมหัวเราะเมื่อเห็นปั้นทำตาโตใส่ผม แถมยังจะมาทำร้ายร่างกายผมอีก

“โอ๋ๆๆ เดี๋ยวก็ชิน”

“ไอ้พี่โอม ไอ้พี่บ้า ไปแล้ว ไม่อยากฟัง”ปั้นต่อว่าผมกระปอดกระแปดแล้วก็เดินจากผมไปเลย ส่วนผมก็ได้แต่หัวเราะกับคำด่าของปั้นเท่านั้น จะว่าไปนี่ก็อาจจะเป็นอีกด้านของปั้นที่ผมชอบก็ได้ หวังว่าเราจะเดินกันไปได้ไกลเท่าที่หวังนะ

.

.

.

หลังเลิกเรียนผมขับรถกลับหอไปพร้อมกับก๊วนผม และก็มีนายเต้คอยเปิดประเด็นเรื่องของผมกับปั้น

“ไอ้โอม สรุปว่ามึงกับน้องปั้นคืออะไรกันวะ”

“มึงจะถามอะไรมากมายเนี่ยไอ้เต้ ก็อย่างที่มึงเห็นนั่นแหละ ไอ้วิน ไอ้นิ่งยังไม่เห็นจะเจ๊าะแจ๊ะกับกูเท่ามึงเลย”จะว่าไปผมก็กระดากปากนิดๆถ้าจะบอกคนอื่นว่าเป็นแฟนกัน มันไม่ใช่เพราะอายที่มีแฟนเป็นผู้ชายหรอกนะ แต่มันออกแนวเขินเวลาต้องมาพูดเรื่องแบบนี้กับเพื่อนมากกว่า โดยเฉพาะเพื่อนแบบไอ้เต้อ่ะนะ เล่นเอาผมสยองไปหลายวันเลย

“เป็นแฟนก็บอกกูมาดิ อุ๊บเงียบไว้ทำห่าอะไร ถ้าไม่ใช่แฟนกันแล้วน้องมันจะร้องไห้ขนาดนั้นหรอวะ”ไอ้นี่นิ ขอสันนิษฐานมันดีเหลือเกิน ถ้าตำรวจต้องการสืบสวนสอบสวนละก็ เรียกนายเต้ได้เลยนะครับ

“เออ ถ้ามึงวิเคราะห์ขนาดนี้ มึงไปเป็นผู้ช่วยตำรวจเลยไป”ขอแขวะมันสักทีเถอะครับ

“สรุปว่าแฟนกันสินะ”ไอ้วินมาผสมโรงด้วย ผมก็อุตส่าห์ดีใจว่ามันจะวางตัวเป็นกลาง

“เออ!”

“กูไม่เกี่ยวนะเว้ย ความจริงนิ่งบอกกูแล้วว่ามึงกับน้องเขาเป็นแฟนกันชัวร์ กูแค่ถามให้มั่นใจ”ไอ้วินรีบแก้ตัวทันที แต่บริบทของมันนี่ทำเอาผมต้องเหลือบกระจกหลังไปมองไอ้นิ่ง

“เราแค่หาบทสรุปให้เต้เฉยๆ”ไอ้นิ่งดันแว่นขึ้นแก้เก้อ ทำไมผมจะไม่รู้ว่ามันพูดประโยคนี้เพ่ออะไร ถ้าไม่ใช่หลอกให้ไอ้เต้มาจี้เอากับผม

“เป็นไง รู้สมใจพวกมึงแล้วนิ”ผมอดประชดแบบน้อยใจไม่ได้ นี่พวกมันเห็นผมเป็นเพื่อนจริงๆใช่มั้ย

“โหย ไอ้โอม พวกกูก็จะได้ช่วยมึงประคองชีวิตคู่ไง กูก็ไม่ได้รังเกียจน้องเขานะเว่ย น้องปั้นมันก็น่ารักดี”

“ทำไมไอ้เต้ มึงจะมาสิงอยู่ใต้เตียงกูรึไง มาประคองชีวิตคู่ให้กูอ่ะ มึงมีคู่ของมึงรึยัง”

“ไอ้ควาย ใครจะไปสิงได้เตียงมึง เดี๋ยวอดดูของดี ฮ่าๆๆ”

“ไอ้เชี่ยนี่ ทะลึ่ง กูกับน้องเขายังไม่ถึงขั้นนั้นเว่ย”ไม่รู้ว่าในหัวมันคิดแต่เรื่องแบบนี้รึไง

“เออๆๆ กูก็พูดไปงั้น อยากดูของดีไอ้หอไอ้วินนิ่งดีกว่า”และแล้วมันก็เริ่มไประรานชาวนบ้านคนอื่นแทน

“พวกกูเกี่ยวอะไร”ไอ้วินออกอาการร้อนตัวออกมาก่อน อันที่จริงไอ้วิน กับไอ้นิ่งอยู่หอเดียวกัน แต่ก็คนละห้องอยู่ดี แถมไอ้วินก็ควงกันกับพิ้งค์ ดาวคณะใกล้เคียงอย่างสถาปัตถ์ให้หนุ่มๆหลายคนอิจฉาเล่น พูดตามตรงว่าผมยังไม่รู้เลยว่ามันไปสอยคนนี้มาควงได้ไง

“ไม่มีอะไร๊ กูก็พูดไปงั้นแหละ มึงร้อนตัวทำไมล่ะ”ไอ้เต้ตอกกลับจนไอ้วินสะอึก ส่วนผมก็ไม่อยากจะพูดอะไรเยอะน่ะครับ กลัวมันเข้าเนื้อตัวเอง

“กูไม่ได้ร้อนตัว”โถ ไอ้วิน มึงคิดจะแก้ตัวตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว

“เต้คงหมายถึงวินกับแฟนรึเปล่า ทำอะไรก็ระวังไว้บ้างนะวิน”ไอ้นิ่งพูดออกมาเรียบๆ เล่นเอาไอ้วินเหวอไปเลย ส่วนไอ้เต้กับผมน่ะหรอครับ หัวเราะกับความโง่ของเพื่อนตัวเองน่ะสิ ฮ่าๆๆ

.

.

.

ผมกลับถึงหอ ทำธุระส่วนตัวเสร็จก็รีบโทรหาปั้นทันที นอนคุยโทรศัพท์กับน้องไปเรื่อยๆ เห็นปั้นว่าอยู่กับก้องก็แอบเคืองนิดๆ ถึงก้องจะบอกว่ายอมถอยแต่ผมก็ไม่มั่นใจอยู่ดี อีกอย่างปั้นก็สนิทกับก้องมากด้วย มันก็มีบ้างที่เราจะแคลงใจ แต่ผมก็ไม่อยากให้ปั้นมานั่งคิดมาก เพราะดูเหมือนปั้นเองก็ไม่รู้ว่าก้องมีความรู้สึกกับปั้นยังไง เพราะฉะนั้น ผมจะไม่ไปจุดประกายความข้องใจในตัวปั้นเด็ดขาด ยังไงก็ตามแต่ ถ้าปั้นมองเห็นว่าผมไม่ดีพอกับปั้น ปั้นก็มีสิทธิ์ที่จะไปเลือกใครอื่นที่ดีกว่าผม ตอนนี้ผมมีโอกาสที่จะอยู่ตรงนี้ ก็ควรที่จะทำให้ดีที่สุด

ความรักมีเหตุผลสักร้อยแปดพันเก้าให้เราต้องเลิกกัน แต่ผมจะไม่ลืมเหตุผลนั้นเลย... เหตุผลที่ทำให้ผมต้องอยู่เคียงข้างปั้น เหตุผลนั้นก็คือ...



... ผมรักปั้น และจะรักเสมอไป...


++++

หายไปหลายวัน เพิ่งกลับมาเตรียมตัวเรียน ก็รีบมานั่งปั้่นให้หลายๆคนได้อ่าน ยังไม่ได้ตรวจคำผิดเลย แหะๆๆ

ขอความคิดเห็นหน่อยนะจ๊ะ ชาวโลก ฮิๆๆ


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เป็นแฟนกันแล้ว :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6

lew_valen_tom

  • บุคคลทั่วไป
Kong’s Talk



“โห่ย แม่ ไม่ต้องยกเลย เดี๋ยวก้องยกเอง แม่ขึ้นไปรอที่ห้องเลย”ผมกำลังบอกกับแม่ที่เตรียมจะช่วยยกของขึ้นห้อง วันนี้ผมย้ายของเข้าหอเป็นวันแรก แอบกังวลใจไม่ใช่น้อยเกี่ยวกับเพื่อนร่วมห้อง

“งั้นรีบตามมานะลูก”ผมพยักหน้ารับคำแม่ บางที่ก็ชอบเห็นผมเป็นเด็กอยู่เรื่อย ปีนี้ผมอายุสิบเก้าแล้วนะ ผมยกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ หอบหิ้งพะรุงพะรังก้าวเดนขึ้นบันไดอย่างช้า ไม่ใช่เพราะว่าอะไรแต่เพราะว่ามันหนักไม่ใช่น้อยน่ะสิ ดีที่ผมอยู่แค่ชั้นสาม ถ้าผมอยู่ชั้นสี่นี่เหนื่อยตายเลย

ผมเดินไปหยุดตรงหน้าห้องสามหนึ่งสี่ ซึ่งอยู่เกือบติดบันได ก่อนจะลงมือเคาะประตูห้อง

“อ้าว ตาก้องมาแล้ว มารู้จักกับเพื่อนใหม่เราก่อนสิ”แม่ผมเป็นคนเดินมาเปิดประตู ก่อนจะแนะนำผมให้รู้จักกับเพื่อนร่วมห้อง ซึ่งผมคาดว่าแม่ผมคงมาซักประวัติกันเรียบร้อยแล้ว

“ปั้น นี่ตาก้องนะลูก มีอะไรก็คอยช่วยๆกันนะลูก”ผมมองสำรวจเพื่อนร่วมห้อง เมื่อกี้แม่แนะนำว่าชื่อ ปั้น หน้าตามาก็ดูดีอยู่หรอก ดีที่ว่ามันขาวอยู่เลยยิ่งทำให้ดูเป็นลูกคุณหนูเข้าไปใหญ่

“หวัดดี”ผมทักมัน ส่วนมันก็ยิ้มแล้วก็ทักผมตอบมา

“แล้วปั้นเรียนคณะอะไรหรอลูก”แม่ผมชวนอีกฝ่ายคุย ส่วนผมก็แค่จัดของไปพลางๆ จะว่าไปฝุ่นก็เยอะเหมือนกันนะเนี่ย

“วิศวะครับ”หา!! วิศวะ ดูหน้ามันไม่ให้เรียนเลย หน้าตาดูไม่สมบุกสมบันเหมือนผมเลย แล้วอย่างนี้มันจะไปทำงานเยี่ยงทาสได้หรอไง

“อ้าว งั้นก็คณะเดียวกับตาก้องเลยน่ะสิ ดีๆๆ แม่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง ตาก้องยิ่งไม่ค่อยจะทันข่าวอะไรกับชาวบ้านเขา”แมผมยิ้มแต้ทันทีที่ได้รู้ว่าเพื่อนร่วมห้องผมเรียนคณะเดียวกับผม อันที่จริงผมไม่ใช่คนไม่ทันข่าวหรอกนะ เพียงแต่ตามเฉพาะข่าวที่เราสนใจเท่านั้น

“แล้วใครมาส่งปั้นหรอลูก”แม่ผมถามต่อ ส่วนพ่อผมเดินสำรวจห้องน้ำห้องท่า ตรวจตราโน่นตรวจตรานี่ไปเรื่อยเปื่อย

“อ๋อ พ่อกับแม่น่ะครับ ตอนนี้กลับไปแล้ว”ผมฟังเสียงมันตอบดูเครือๆ สงสัยจะเหงามั้ง

“อ้อ จ้ะ เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็จะกลับแล้วล่ะ อยู่กับตาก้องสองคน มีอะไรก็ค่อยๆพูดค่อยๆจากันนะ มีอะไรก็คอยช่วยเหลือกันนะ"แม่ผมบอกเหมือนกับจะส่งลูกเข้าหออย่างไรอย่างนั้น แต่เผอิญว่าผมเป็นผู้ชายเหมือนมันอ่ะนะ เลยไม่มีอารมณ์จะคิดในแง่นั้นเท่าไหร่ แม่ผมเดินไปเรียกพ่อตรงระเบียงก่อนจะเดินมาบอกลาผม แม่บอกว่าผมไม่ต้องลงไปส่งหรอกให้อย่เป็นเพื่อนปั้นในห้อง กลัวว่ามันจะเหงาล่ะมั้ง

ผมจัดของไปเรื่อยเปื่อย อาจจะเป็นเพราะบ้านผมอยู่ใกล้ด้วย เลยไม่ได้จะมานั่งเศร้า เพราะถ้าผมคิดถึงพ่อแม่นั่งรถสักสองสามชั่วโมงก็ถึงแล้ว ส่วนปั้นก็นั่งอ่านหนังสืออ่านเล่นของมันไปบนเตียง

“ก้อง เรียนสาขาอะไรหรอ”ดูท่ามันจะทนความเงียบไม่ไหวเลยถามผมออกมา

“เรียนไฟฟ้าน่ะ แล้วมึงล่ะ”ขอโทษที ผมไม่ใช่คนสุภาพเท่าไหร่ อีกอย่างพูดอย่างนี้มันสนิทกันเร็วกว่าด้วย

“จริงหรอ เราก็เรียนไฟฟ้าเหมือนกัน”ผมเห็นมันทำหน้าเหมือนช็อคนิดนึงตอนผมพูดกูมึงกับมัน

“โทษทีว่ะ กูพูดจาเพราะๆไม่เป็น มึงคงไม่ชิน”ผมจัดการเรียงหนังสือไว้บนโต๊ะเรียบร้อย ก่อนจะมาจัดการกับกระเป๋าเดินทางใบยักษ์ต่อ

“เราไม่ถือ แล้วถ้า... เราพูดบ้าง ก้องไม่ว่าอะไรใช่มั้ย”หา!!! หน้าตาคุณหนูแบบมัน พูดอะไรแบบนี้เป็นด้วยรึไง

“ไม่ว่าหรอก ตามสบายเลย เพราะกูหยาบได้กว่านี้อีก”เตือนมันไว้ล่วงหน้าครับ จะได้ไม่ช็อคน้ำลายฟูมปากตอนผมด่ามัน

“โอเค ก้องอยู่จังหวัดอะไรหรอ”

“อยู่แพร่ ใกล้ๆนี่แหละ แล้วมึงล่ะ”ผมเรียงไม้แขวนเสื้อเข้าตู จัดการชุดชั้นในเข้าลิ้นชักให้เรียบร้อย อยู่กับมันสองคนแบบนี้บางทีก็กระดากเว้ยเฮ้ย

“เราอยู่นครสวรรค์น่ะ”มันว่าเสียงเศร้าๆ จนผมนึกสงสาร จะว่าไกลมันก็ไกลอยู่แหละ

“มึงไม่ต้องกลัวเหงาหรอก มาอยู่มอนี้มีอะไรให้มึงทำเยอะเลย”ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมพูดอย่างนั้น แต่ผมไม่อยากเห็นมันทำหน้าเศร้าเท่านั้นเอง

“แล้วต้องทำอะไรบ้างอ่ะ”มันถามผมแบบสงสัยจริงๆ ไม่ใช่แกล้งโง่ นี่มันไม่รู้อะไรกับเขาเลยหรอ

“พรุ่งนี้ก็มีรับน้องของมอไง มึงก็จะเจอเพื่อนเยอะแยะ แถมรุ่นพี่ด้วย มึงไม่มีเวลามานั่งเหงาหรอก”ผมเคยได้ยินรุ่นพี่ที่โรงเรียนเล่ามาบ้าง เห็นอย่างนี้โรงเรียนผมก็เข้าเรียนที่มอนี้ไม่ใช่น้อยเลยนะ

“อืม”มันตอบผมแค่นั้น ผมเร่งจัดของให้เสร็จก่อนจะชวนมันไปเดินสำรวจรอบๆ ขี้เกียจอยู่ห้องนะครับ เดี๋ยวมันจะเหงาจนเฉาตายซะก่อน ผมถามว่าเพื่อนมันมาเรียนที่นี่บ้างเปล่า มันก็บอกว่ามี แต่มันไม่สนิท ส่วนผมน่ะหรอ เพื่อนบานเบอะ เดินไปทางไหนก็เหมือนจะเจอกับคนรู้จัก ผมพามันไปเดินดูโรงอาหารหรือที่เรียกว่าเวีนงนั่นแหละ มีร้านอาหารหลายร้านอยู่ แล้วก็พามันไปเดินดูร้านเฟรชมาร์ท ร้อยแปดช็อป พามันซื้อของใช้เพิ่มเติมบ้าง ซื้อของตัวเองบ้าง อาจจะเป็นเพราะเราเรียนสาขาเดียวกันด้วยจนผมกับมันก็สนิทกันเร็สจะพูดกูๆมึงๆอย่างไม่กระดากปาก แต่ผมแอบหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะเห็นมันหน้าตาเรียบร้อยไม่น่าจะพูดเป็น แต่เห็นอย่างนี้ก็ด่าเป็นหมดทุกคำนะครับ จนหลังๆผมด่ามันเป็นภาษาเหนือให้มันงงเล่นนั่นแหละ มันเลยไม่ต่อปากต่อคำกับผมเท่าไหร่

“เฮ้ย มึง นั่นเขามุงอะไรกันวะ”มันสะกิดตามผมหลังจากที่เราไปเดินเล่นกันมา มือมันชี้ไปที่ป้ายบอร์ดขนาดใหญ่มีแต่คนมุงดูเต็มไปหมด

“เออว่ะ งั้นกูไปดูก่อน มึงรอตรงนี้แหละ”ผมบอกกับมัน ก่อนจะอาศัยวิชามารแทรกตัวเข้าไปอยู่ตรงหน้าบอร์ดได้ สรุปว่าบอร์ดมันแปะรายชื่อนิสิตปีหนึ่ง ที่จะรับน้องพรุ่งนี้ เขาแบ่งเป็นบ้านตามตัวอักษร ผมเห็นเขาประกาศว่าถ้าหารายชื่อตัวเองไม่พบให้เลือกเข้าบ้านไหนเลยก็ได้ ผมเลยไม่หารายชื่อตัวเอง กะว่าจะไปมั่วเข้าบ้านโน้นบ้านนี้เลย

“ไอ้ปั้น ขึ้นห้องเหอะ”ผมตะโกนเรียกปั้นที่ยังยืนรอผมอยู่ตรงที่เดิม นี่มันเป็นหมารึเปล่าเนี่ย

“สรุปว่าดูอะไรกันอ่ะ”มันถามผม ผมก็อธิบายให้มันฟัง ก่อนจะจัดการชักจูงให้มันทำวิทีเดียวกับผมซะเลย หลังจากนั้นผมกับมันก็ขึ้นห้องนอนแล้วก็ผลัดกันอาบน้ำ ผมให้มันอาบก่อน ส่วนผมอาบทีหลัง ตอนผมอาบน้ำเสร็จ ออกมาก็เห็นมันคุยโทรศัพท์กับที่บ้านมันมั้ง เห็นพูดจาซะเพราะ ครับอย่างโน้น ครับอย่างนี้ สักพักมันก็ตอบโทรศัพท์เพียง อืม อือ ผมแอบสังเกตเห็นน้ำตามันไหล หลังจากนั้นมันก็พูดอีกไม่กี่คำก่อนจะวางสายลง

“อะไรวะ คุยโทรศัพท์แค่นี้ร้องไห้”ผมแซวมันเพื่อไม่ให้มันเครียด แต่มันกลับน้ำตาไหลมากกว่าเดิมจนผมทำอะไรไม่ถูก

“เฮ้ย มึงอย่าร้องดิวะ เดี๋ยวกูร้องไห้ตามนะเว้ย”ผมไม่ได้พูดเล่นนะ แต่ผมเป็นคนแบบนี้จริงๆ เห็นเพื่อนหรือใครที่รู้จักร้องไห้ไม่ได้ ผมจะร้องไห้ตามทั้งๆที่ไม่รู้หรอกว่าพวกมันร้องไห้เพราะอะไร

ผมเดินไปลูบหลังปลอบมัน ตาตัวเองก็น้ำตาคลอเบ้าเรียบร้อยแล้ว ก็บอกแล้วมาอย่าร้อง มันหันมากอดเอวผมไว้ ผมก็ปล่อยให้มันกอดแบบไม่ได้คิดอะไร จะว่าไปทำไมตัวมันเล็กจังวะ

“โอ๋ๆๆ”ผมลูบหัว ลูบหลังมัน อยากให้มันหยุดร้องไห้ เห็นน้ำตามันหยุดไหลแล้ว แต่มันยังสะอึกสะอื้นจนตัวโยน ผมปล่อยให้มันกอดเอวผมไปเรื่อย ส่วนผมเองก็ยังไม่หยุดลูบหัวมัน แหะๆๆ ผมมันนิ่มมือดี เหมือนขนหมาเลย

“ไม่ต้องร้องนะ มึงเหงามึงก็ยังมีกูไง”ผมพูดไปทั้งๆที่เสียงเครือๆ ไม่อยากพากันร้องไห้เท่าไหร่เลย ผมลูบหัวมันอยู่อย่างนั้นสักพักก็เห็นมันเงียบไป พอก้มมาดูอีกที อ้าว ไอ้นี่มันหลับทั้งๆที่กอดเอวผมไว้ แถมกอดแน่นไม่ยอมปล่อยด้วย

“ปั้น ปล่อยกูก่อน”ผมสะกิดเรียกมัน

“อยู่อย่างนี้ก่อน ไม่มีหมอนข้าง กูนอนไม่หลับ”มันพูดทั้งๆที่หลับตา แถมมือมันก็ยังไม่ยอมปล่อยออกจากตัวผม ผมก็อ่อนใจกับมันจริงๆ

“งั้นก็ขยับตัวดีๆ แล้วก็ปล่อยกูก่อน กูจะไปปิดไฟ เดี๋ยวกูมานอนด้วย”ผมบอกมัน มันก็ยอมปล่อยมือดีๆให้ผมลุกขึ้นไปปิดไฟ ผมเดินกลับไปคว้าหมอนที่เตียงตัวเองก่อนจะสั่งให้มันเขยิบชิดกำแพงไป ผมสอดตัวเข้าไปนอนในผ้าห่มผืนเดียวกันกับมัน เบียดเสียดกับมันบนเตียงนอนขนาดสามฟุตครึ่ง ปล่อยให้มันกอดผมเอาไว้ นึกในใจว่าพรุ่งนี้ต้องพามันไปซื้อหมอนข้างโดยด่วน ผมสังเกตเห็นลมหายใจมันเริ่มราบเรียบเหมือนจะหลับไปแล้ว ผมอาศัยแสงไฟที่ลอดผ่านหน้าต่างมาจ้องมองหน้าตามันให้ละเอียดอีกครั้ง จะว่าไปหน้าตามันก็สะดุดใจผมตั้งแต่ครั้งแรก แต่ผมนึกไม่ออกว่าเคยเห็นหน้าตาแบบนี้ที่ไหน หน้ามันใสกิ๊ง แถมสิวก็ไม่มี เห็นแต่คราบน้ำตาแห้งกรังตามแก้มของมัน แล้วนึกสงสารมันไม่ใช่น้อย ผมหวังว่ามันจะชินกับการอยู่มอนี้เร็วๆ มันจะได้ไม่ต้องมานั่งร้องไห้คิดถึงบ้านอีก ผมนอนมองหน้ามันไปเรื่อยเปื่อยก่อนจะรู้สึกเริ่มง่วง เห็นเขาว่ากันว่าพรุ่งนี้จะมีรุ่นพี่มาเคาะตามประตูห้องตั้งแต่ตีสามตีสี่ งั้นผมก็ควรจะหลับได้แล้วสินะ

“ฝันดีนะ ไอ้ปั้น”ผมกระซิบบอกมันเบาๆก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นเล็กน้อย แล้วผมก็ผล็อยหลับไป


++++

สั้นไปนิด ขออภัย รับปั่นมาต่อให้

ขอคอมเม้นท์หน่อยนะจ้ะ  :mew1:

lew_valen_tom

  • บุคคลทั่วไป
WinNing --> Win’s Talk


ผมชื่อวิน ผมย้ายมาเรียนที่มอนี้เมื่อปีที่แล้ว ผมเป็นคนลำปางตั้งแต่กำเนิด และเพิ่งได้มาเยี่ยมเยียนจังหวัดนี้ก็คราวนี้ล่ะครับ ตอนผมย้ายมาใหม่ๆก็ไม่รู้จักใครเป็นพิเศษสักคนเพราะเพื่อนผมก็มีบ้างที่เข้าเรียนในมอนี้ แต่โดยมากก็อยู่กันคนละคณะกับผม ผมรู้จักน้ำนิ่งเป็นคนแรกเพราะผมสะดุดตากับมันตั้งแต่กางเกงสีน้ำเงินแล้วครับ น้ำนิ่งเป็นเด็กเชียงใหม่ตั้งแต่กำเนิดเช่นกัน น้ำนิ่งเป็นผู้ชายผิวขาวรูปร่างสมส่วน สูงพอๆกับผม ใส่แว่นตาท่าทางทรงภูมิดูน่าเชื่อถือ แต่ผมไม่ชอบมันอย่างเดียวก็คือมันไม่ค่อยพูดน่ะครับ หลายๆคนอาจจะงงว่าทำไมไม่ชอบ ไม่พูดมากก็ดีแล้วไง แต่ผมไม่ชอบเพราะเวลามันมีเรื่องอะไรมันก็ไม่เคยพูดให้ผมฟังนี่ล่ะครับ ผมเลยเคืองๆมันอยู่เป็นประจำ มันไม่เคยอธิบายเหตุผลในเรื่องบางเรื่องที่มันทำ แต่ที่ผมสนิทกับมันได้ถึงทุกวันนี้ก็เพราะสายตาของมันครับ สายตาของน้ำนิ่งจะนิ่งสมชื่อ แต่เวลาที่ผมไม่สบายใจ หรือมีเรื่องทุกข์ใจ น้ำนิ่งจะมองผมแบบคนที่เข้าใจผมทุกเรื่อง เหมือนแค่เห็นสายตาผมเขาก็เข้าใจทุกอย่าง ผมเลยชอบที่จะสนิทกับคนแบบนี้ และชอบที่จะอยู่ใกล้ชิดกับคนแบบนี้...

.

.

.

.

"เฮ้ย นิ่ง อธิบายเรื่องนี้ทีดิ กูไม่เข้าใจว่ะ"ผมโยนชีทวิชากายวิภาคศาสตร์ไปตรงหน้ามัน น้ำนิ่งเงยหน้ามองผมแบบสายตาเอือมๆนิดๆ แล้วมันก็หันกลับไปอ่านการ์ตูนของมันตามเดิม

"นิ่ง กูจริงจังนะเนี่ย"มันก็ยังไม่สนใจผม

"นิ่ง กูมีชาเขียวนมสดมานะเว่ย"ผมเอาเครื่องดื่มของโปรดของมันมาล่อ และนั่นก็พอจะเรียกความสนใจของคนตรงหน้าผมได้หน่อยนึง หน่อยเดียวจริงๆ เพราะมันแค่ชายตาแลแก้วน้ำที่ผมถือเท่านั้น

"นิ่งโว้ย"ผมหมดความอดทนจนต้องเรียกมันเสียงดัง ไอ้การ์ตูนบ้านี่มันน่าสนใจกว่ากูตรงไหนวะ

"มีอะไร"มันวางการ์ตูนไว้ข้างๆตัวมันก่อนจะมองหน้าผมแบบหาเรื่อง

"ติววิชานี้ให้กูหน่อย"ผมดันชีทกองเมื่อกี้ไปไว้ตรงหน้ามัน

"ไม่ต้องเอาเรื่องเรียนมาอ้างเลย"เบื่อจริงๆพวกรู้ทัน อย่างที่บอกว่าแค่มันเห็นสายตาผม มันก็รู้แล้วว่าผมต้องการอะไร

"ก็ได้ นิ่ง... กูมีปัญหากับพิ้งค์ว่ะ"ผมเริ่มเปิดประเด็นพร้อมกับผลักชีทกองนั้นออกไปด้านข้างh

"ก่อนที่วินจะเล่า ช่วยส่งแก้วน้ำมาให้เราก่อน"มันว่าพลางกระดิกนิ้ว ผมล่ะเซ็งจริงๆ จะคุยเรื่องอะไรกับมันนี่ได้เสียตังค์ตลอด ผมส่งแก้วชาเขียวให้มันแต่โดยดี มันพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ผมเล่าเรื่องต่อ

"กูจับได้ว่าพิ้งค์คุยกับคนอื่น นิ่ง... กูทำไงดีวะ"เรื่องนี้ทำผมเครียดจริงๆ ผมคบกับแฟนคนนี้มาจะเกือบปีแล้วครับ พิ้งค์เป็นดาวคณะสถาปัตย์ เป็นผู้หญิงที่ตรงสเป็คผมทุกอย่าง และผมก็เป็นคนเดินหน้าตามตื๊อเขาตั้งแต่ปีที่แล้ว

"แล้ววินอยากให้เรื่องนี้เป็นยังไงล่ะ"

"หมายความว่ายังไงอ่ะ ก็กูอยากให้พิ้งค์เลิกคุยกับไอ้นั่นอ่ะ"ผมไม่เข้าใจคำถามมันเท่าไหร่นัก และตอนนี้ผมเริ่มอารมณ์เสียแล้ว เพราะเหมือนนิ่งมันไม่ใส่ใจผมเท่าไหร่

"วินมีคำตอบของวินแล้วไง จะให้เราช่วยอะไรอีกล่ะ"

"คำตอบ... คำตอบอะไร ไม่เข้าใจ"ผมเริ่มงงกับมันแล้วครับ นี่ผมมาปรึกษามันนะ ไม่ได้มาเล่มเกมตอบปัญหาเชาว์

"ก็วินไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ไปทำให้พิ้งค์เลิกคุยกับคนนั้นพอ"มันตอบกวนตีนผมไหมล่ะ

"อันนั้นกูก็รู้ว่ะนิ่ง ที่กูถามก็คือกูควรจะคบกับพิ้งค์ต่อไหมวะ"ผมถามมันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ดูเหมือนน้ำนิ่งจะชะงักไปนิดนึงเมื่อได้ยินคำถามผม

"ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ"ในที่สุดมันก็หันมาสนใจผมแบบจริงจังสักที

"ก็ไม่รู้ดิ"ผมตอบตรงๆว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงต้องถามคำถามนี้ ทั้งๆที่ผมก็แค่อยากให้พิ้งค์เลิกคุยกับคนนั้น แต่ลึกๆในใจผมกลับอยากหยุดความสัมพันธ์นี้ไว้เท่านี้พอ

"ไปคิดให้ดีๆก่อนจะพูดออกมานะวิน ถ้าเขามาได้ยินเขาอาจจะเสียใจนะ"

"รู้แล้วน่า แล้วใครจะมาได้ยิน กูก็พูดแค่กับนิ่งทำไมนิ่งจะไปบอกใครรึไง"

"เราไม่ได้บอกใครหรือจะบอกใครหรอกวิน แต่หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง เกิดใครรู้จักกับพิ้งค์แล้วเอาไปบอกเขา เราจะทำไง"

"อาจจะดีก็ได้"ผมตอบนิ่งไป จากใจจริงเลยว่าผมไม่ได้กวนตีน

"ไม่ดีหรอกเชื่อเถอะ"ผมไม่รู้ว่านิ่งคิดยังไงกับเรื่องผมถึงพูดอย่างนี้ แต่ผมแอบขัดเคืองใจเล็กน้อยที่นิ่งไม่เห็นด้วยกับผม อาจเป็นเพราะทุกทีนิ่งจะเห็นด้วยกับผม ถ้าจะแย้งก็มีเหตุผลมากพอที่จะมาหักล้างกับผมได้

"วิน เราไม่ได้จะขัดใจวินนะ แต่วินก็คบกับพิ้งค์มาระยะนึงแล้ว วินจะเลิกกับเขาง่ายๆหรอ เรื่องความรักมันต้องใช้เวลานะ มันไม่ใช้เอะอะไม่พอใจก็เลิกอย่างเดียว มันมีหลายวิธีที่จะประคองชีวิตคู่กันไป วินต้องหัดใจเย็นกับเรื่องนี้อีกหน่อย"นิ่งเทศนาผมยาวเหยียด ผมก็ตั้งใจฟังบ้าง ไม่ตั้งใจฟังบ้าง แต่ก็เห็นด้วยกับที่นิ่งพูด บางทีผมอาจจะต้องใจเย็นมากกว่านี้

"เออ จะกลับไปคิดดู"ผมพูดแค่นั้น แต่ก็เรียกรอยยิ้มจากน้ำนิ่งได้ ดูท่ามันจะปลื้มใจไม่ใช่น้อยเวลาผมยอมฟังมัน แค่มันคงจะไม่รู้
ว่าผมฟังเสมอ ถ้ามันเป็นคนพูด

.

.

.

ผมมีนัดกับพิ้งค์คืนนี้ คิดว่าจะชวนพิ้งค์ไปเดินเล่นในเมืองด้วยไอ้แดง มอเตอร์ไซค์ลูกรักของผม ระหว่างรอพิ้งค์ที่หน้าหอก็นั่งเล่นเกมส์ในไอโฟนไปเรื่อยเปื่อย อีกสิบนาทีกว่าจะถึงเวลานัด ผมแค่ไม่อยากให้ผู้หญิงรอนาน ผมจอดรถเยื้องไปทางหัวมุมถนนเพื่อให้เกะกะ ส่วนตัวเองก็นั่งรออยู่ตรงม้าหินหน้าหอ รถยนต์สีแดงสะดุดตาคันนึงแล่นเทียบมาจอดหน้าหอ สีของรถชวนให้ผมอยากรู้ว่าคนขับหน้าตาเป็นยังไง แต่ไม่สะดุดใจเท่ากับที่ว่า... ผมเห็นใครลงจากรถคันนั้น

"พิ้งค์!!"ผมไม่รู้ว่าเสียงตัวเองดังแค่ไหน แต่นั่นก็พอที่จะทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้งสุดตัวหันมามองผมด้วยแววตาตกใจ

"วิน..."ผมก้าวเท้าเพื่อไปดูหน้าคนขับรถให้เต็มตา

"พิ้งค์ นี่มันคืออะไร ไหนพิ้งค์ว่าพิ้งค์ไม่ได้คิดอะไรกับมันไง แล้วที่พิ้งค์นั่งรถมากับมันสองคนล่ะ"ผมหันไปถามพิ้งค์ รู้สึกเกลียดขี้หน้าผู้ชายคนนี้ขึ้นมาทันที หน้าพิ้งค์เริ่มแดงเพราะความโกรธหรืออายผมไม่แน่ใจ แต่ผมไม่อาย ผมจะประจานให้คนเขารู้เลยว่ามันแย่งแฟนผม

"พิ้งค์บอกว่าพิ้งค์ไม่ได้คิดอะไร แต่ตอนนี้พิ้งค์เริ่มคิดแล้วล่ะ เพราะวินเป็นแบบนี้ไง เอะอะอะไรก็โวยวายไว้ก่อน พิ้งค์ไม่ชอบ!! แล้ววินก็ไม่เคยมีเวลาให้พิ้งค์เลย วินอยู่กับเพื่อนวินตลอด จนพิ้งค์ไม่แน่ใจว่าพิ้งค์เป็นอะไรกับวินกันแน่!!!"พิ้งค์จึ้นเสียงใส่ผมหน้าตาแดงก่ำด้วยความโกรธ

"นิ่งเกี่ยวอะไรด้วย นิ่งเป็นเพื่อนวิน วินก็ต้องสนิทกับมันเป็นธรรมดาสิ พิ้งค์อย่าเอาเรื่องนี้มาอ้างเลยดีกว่า"ผมไม่ชอบเลยถ้าใครมาว่านิ่ง เพราะมันก็ไม่ได้เข้ามาสอดมือกับเรื่องนี้ ผมไม่ชอบให้พิ้งค์ดึงนิ่งมาเกี่ยว

"พิ้งค์ไม่ได้อ้าง วินไปคิดเอาเองละกันเรื่องวินกับเพื่อนวินน่ะ ห้องวิน พิ้งค์ไม่เคยได้เข้า แต่เพื่อนวินเข้าออกได้ตลอด ของๆวิน วินไม่เคยให้พิ้งค์มาแตะ แต่วินไม่เคยว่าเพื่อนวินสักคำที่มายุ่ง มันหมายความว่ายังไงหรอวิน หรือเรื่องนี้พิ้งค์เป็นคนผิด"ผมคิดตามที่พิ้งค์พูด แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นความจริงก็เถอะ แต่ผมก็ไม่อยากจะยอมแพ้แบบนี้

"ไม่เห็นเกี่ยวเลยพิ้งค์ นิ่งมันเข้าห้องวินได้เพราะมันเป็นหอชาย แล้วพิ้งค์จะเข้าไปทำไม แล้วที่วินไม่หวงของ เพราะนิ่งรู้ดีว่านิ่งไม่ควรแตะอะไร"ผมพยายามพูดให้ใจเย็นมากขึ้น แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่เย็นกับผมอีกต่อไป

"พอเหอะวิน พิ้งค์ว่ายังไงก็แล้วแต่เพื่อนวินคนนี้ก็ไม่เคยผิดเลย พิ้งค์ว่าเราเลิกกันเถอะ วินจะได้อยู่กับเพื่อนวินอย่างสบายใจขึ้น"พิ้งค์พูดตัดบทแล้วเดินสวนผมเข้าหอไป

"อะไรกันพิ้งค์"ผมคว้าข้อมือพิ้งค์ไว้

"พิ้งค์อย่าเอาเรื่องนี้มาอ้างในการเลิกเลย พิ้งค์จะเอาคนใหม่ก็บอกมาเหอะ!"ผมตะคอกประโยคสุดท้ายใส่หน้าอีกฝ่ายอย่าง
อารมณ์ขึ้น

"ใช่ พิ้งค์จะมีคนใหม่ เพราะคนเก่าอย่างวินมันเฮงซวยน่ะสิ!"พิ้งค์สะบัดข้อมือให้หลุดจากอุ้งมือผม ก่อนจะเดินก้าวเร็วๆเข้าไปในหอ ผมไม่ได้ก้าวตามเข้าไปเพราะผมก็ไม่อยากยื้อพิ้งค์ไว้หรอก มันอาจจะเหมือนอย่างที่ผมเคยบอกนิ่งไว้ก็ได้ว่า ผมไม่รู้ว่าควรจะคบกับพิ้งค์ต่อไหม ตอนนี้พิ้งค์เป็นคนตัดสินใจให้ผมแล้ว แม้ผมอาจจะไม่ได้รักอีกฝ่ายมากมายอะไร แต่กับระยะเวลาที่คบกันตลอดมาก็สร้างความผูกพันทางใจไว้ไม่ใช้น้อย มันเจ็บหน่วงๆขึ้นมาในอก มันไม่มีคำพูดอะไรที่อยากจะระบายออกมาให้ใครฟัง ผมขับรถมอเตอร์ไซค์กลับหอตัวเองก่อนจะตรงดิ่งไปเคาะห้องน้ำนิ่ง

“เข้ามาเลย”เสียงอีกฝ่ายตะโกนมาจากห้อง ผมเปิดประตูเข้าไปทันทีที่ได้รับอนุญาต เห็นนิ่งกำลังอ่านชีทเรียนอยู่บนเตียงตัวเอง

“อ้าว มีอะไรวิน ไหนว่าจะไปกับพิ้งค์ไง”นิ่งวางชีทในมือลง ผมไม่ตอบอะไรแต่ทิ้งตัวลงนอนข้างๆอีกฝ่าย

“วิน เป็นอะไรรึเปล่า”นิ่งถามเมื่อเห็นผมเงียบไป ผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

“นิ่ง กู... เลิกกับพิ้งค์แล้วว่ะ”ผมตอบอีกฝ่ายแค่นั้น แต่ผมว่าแค่คำพูดนี้คำพูดเดียวก็พอจะทำให้นิ่งเข้าใจอะไรหลายๆเรื่องได้ในเวลาเดียวกัน

“อืม อยากจะทำอะไรมั้ย”นิ่งถามคำถามได้ตรงใจผมมากที่สุด ตอนนี้ผมอยากจะลืม

“ไปร้าน... เป็นเพื่อนกูหน่อย”ผมพูดถึงร้านเหล้าที่อยู่ไม่ไกลจากหอผมมากนัก นิ่งไม่พูดตกลงหรือปฏิเสธอะไร แต่กลับทำเพียงลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว

“วิน เราแต่งตัวเสร็จแล้ว ไปกัน”ผมลุกขึ้นตามคำชวนทันที น้อยครั้งที่นิ่งจะยอมทำตามใจผมแบบนี้

.

.

.

ผมมาถึงร้านไม่พูดพร่ำทำเพลง สั่งเครื่องดื่มมึนเมามานั่งดื่มอย่างรวดเร็ว ผมชวนนิ่งดื่ม แต่ผมก็รู้อยู่แล้วว่านิ่งเป็นคนไม่ชอบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ผมมันก็เลวคะยั้นคะยอให้อีกฝ่ายดื่มจนได้ แต่ผมก็ไม่ทำให้นิ่งลำบากใจไปมากกว่านี้จึงให้ดื่มแค่แก้วเดียว เหลือผมก็ซัดเกือบหมด

“กูไม่เข้าใจว่ะนิ่ง ทำไมพิ้งค์ต้องคอบเปรียบเทียบตัวเองกับนิ่งด้วย นิ่งไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”พอแอลกอฮอล์เข้าปากผมก็เริ่มพูดมากอย่างหยุดไม่อยู่ ผมเริ่มพูดเรื่องที่ขับข้องใจให้อีกฝ่ายฟัง ผมไม่เข้าใจจริงๆนั่นแหละว่าทำไมพิ้งค์ต้องมาเปรียบเทียบตัวเองกับนิ่งด้วย นิ่งก็อยู่ส่วนนิ่ง เป็นเพื่อนที่ผมรักที่สุด ส่วนพิ้งค์ก็เป็นแฟนผมไง แค่สถานะนี้ก็ชัดเจนแล้วไง

“พิ้งค์เปรียบเทียบยังไง”นิ่งหันมาถามผม แก้วเครื่องดื่มตรงหน้าอีกฝ่ายละลายจนจืดจางแล้ว แต่นิ่งก็ไม่มีทีท่าว่าจะยกขึ้นดื่มอีก

“ก็บอกว่ากูชอบมาขลุกอยู่กับนิ่ง เห็นนิ่งสำคัญกว่า กูเป็นแบบนั้นหรอวะนิ่ง”ผมหน้านิ่ง แต่ดูเหมือนทำไมนิ่งถึงมีสองคนนะ ผมสะบัดหัวเพื่อเรียกสติตัวเองกลับมา

“เมาแล้วนะวิน กลับห้องกันเถอะ”นิ่งไม่ตอบคำถามผม ผมมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่สบอารมณ์ แม้จะอารมณ์เสียเรื่องนี้ แต่ผมก็ไม่อิดออดยอมกลับหอตอบที่นิ่งบอก ผมควักกระเป๋าตังค์จ่ายค่าเครื่องดื่ม ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกทางหน้าร้าน

“เชี่ย!”ผมร้องออกมาเมื่อเดินสะดุดเก้าอี้หน้าร้าน ทำให้ความสามรถในการมทรงตัวของผมตอนนี้อยู่ในขั้นต่ำ จนนิ่งต้องมาประคองผมให้เดินตรงๆ ผมมายืนรับอากาศเย็นหน้าร้านให้สร่างความเมาเล็กน้อย ส่วนนิ่งก็ไปเอาเจ้าแดงขี่มารับผม ผมซ้อนท้ายนิ่งกลับหอ ระหว่างทางขึ้นหอก็ให้อีกฝ่ายช่วยประคองขึ้นบันไดไป

“ครั้งหน้าไม่เอาแล้วนะวิน เมาทีไรลำบากเราเรื่อยเลย”นิ่งบ่นออกมาระหว่างประคองผมขึ้นบันได แต่ไม่รู้ทำไม พอผมได้ยินประโยคนี้มันฉุกกึกขึ้นมาทันที

“ปล่อย!!!”ผมไม่เคยตวาดเสียงใส่นิ่ง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกจริงๆ

“วิน!”นิ่งดุผม แต่ผมไม่สนใจ ผมสะบัดตัวออกจากอีกฝ่าย ก่อนจะพาร่างกายของตัวเองเดินขึ้นบันไดไปอย่างยากลำบาก

“มานี่”นิ่งพยายามจะมาช่วยผมประคอง แต่คราวนี้ผมไม่ยอม

“ไม่ต้องมายุ่ง! ถ้าลำบากมึงนักก็ขึ้นห้องไปเลย”ผมไม่เคยเรียกนิ่งว่ามึงสักครั้ง นี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกัน แต่คราวนี้ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ และรู้ว่านิ่งไม่ชอบด้วย แอลกอฮอล์นี่คือน้ำเปลี่ยนนิสัยจริงๆ

“วิน!!!”คราวนี้อีกฝ่ายดุผมเสียงดังกว่าเดิม ผมหยุดอยู่ตรงขั้นบันได ไม่หันหลังกลับไปตอบ ในใจนึกน้อยใจเต็มไปหมด ทั้งๆที่ผมก็รักอีกฝ่ายมาก ไม่เคยจะพูดจาไม่ดีใส่ แต่แค่เวลานี้ผมอยากให้อยู่ข้างๆผม นิ่งกลับบอกว่าผมทำให้ตัวเองลำบาก ก่อนหน้านี้มีไหมสักครั้ง ที่ผมจะบ่นอีกฝ่าย ไม่ว่านิ่งจะให้ผมทำอะไร ผมก็ทำให้หมด แต่ครั้งนี้ที่ผมขอ นิ่งกลับทำให้ไม่ได้

“ขอโทษ ที่ทำให้นิ่งลำบาก ขึ้นห้องไปเถอะ เดี๋ยวเราเดินขึ้นไปเอง”ผมพูดให้เสียงเบาลง พยายามไม่ให้อารมณ์มาเกี่ยวข้อง แต่น้ำตาเจ้ากรรมกลับคลอหน่วยตรงขอบตาเรียบร้อยแล้ว

“วิน หยุดเอาแต่ใจตัวเองได้ไหม หยุดใช้แต่อารมณ์ เราคง... อุ๊บ อื้อ”ผมไม่รอให้นิ่งพูดจบ กลับกระชากตัวอีกฝ่ายเข้ามาปิดปากด้วยปากของผมเอง ให้ใครเป็นหมื่นเป็นร้อย ดูถูกผม ด่าทอว่าตีผมก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่นิ่ง ผมไม่อยากได้ยินคำพูดเหล่านั้นออกจากปากนิ่งเลยแม้แต่น้อย นิ่งขัดขืนผมสุดแรง แต่แน่นอนวานิ่งคงสู้แรงผมไม่ได้ ผมจับต้นแขนอีกฝ่ายอย่างแรงราวกับจะล็อคไว้ไม่ให้หลุด บดเบียดริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างที่ไม่อยากให้ใครมาทำ ผมค่อยสอดลิ้นเข้าไปรับความหวานจากปากอีกฝ่าย ชักชวนให้อีกฝ่ายคล้อยตาม มือผมค่อยๆเลื่อนไปโอบอีกฝ่ายไว้เมื่อเห็นว่านิ่งไม่ได้ขัดขืนอะไร ผมปล่อยให้ตัวเองละเมียดชิมลิ้มรสอีกฝ่ายจนพอใจ ก่อนจะค่อยถอนจูบออกมา

“นิ่ง...”ความรู้สึกผิด เสียใจทั้งหลายแหล่ประเดประดังเข้ามาทันทีที่ผมเห็นน้ำตานิ่งที่คลออยู่รอบตา

“มึงทำอย่างนี้ได้ไงวะ กูเพื่อนมึงนะเว่ย”กำปั้นของนิ่งกระทบกับแก้มผมเต็มแรง นิ่งไม่เคยพูดจาไปเพราะกลับผม แต่ครั้งนี้ ผมคงเลวจริงๆจนอีกฝ่ายไม่อยากจะพูดจาดีด้วย

“กู... กู... กูไม่รู้ว่ะ”ผมไม่รู้จะพูดอะไรที่ดีกว่านี้แล้ว แต่ผมไม่อยากพูดคำว่าขอโทษ มันดูเหมือนแก้ตัว นิ่งมาหน้าผมอย่างที่คนที่โกรธเกลียดกันมองหน้ากัน มองแบบไม่อยากจะเห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตา

“มึงพูดได้แค่เนี้ย”ผมไม่ตอบคำถามอะไรอีก ความรู้สึกอะไรมากมายมันอยู่ข้างใน แต่มันบรรยายออกมาไม่ได้ มันไม่รู้ว่าไอ้ที่รู้สึกอยู่ข้างในนั้นมันคืออะไร มันบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกที่มีมันดีหรือร้ายอย่างไร นิ่งรอฟังผมอธิบายจนหมดความอดทนแล้วเตรียมจะเดินจากไป

“เดี๋ยว!”ผมรีบคว้าข้อมืออีกฝ่ายเอาไว้ ไม่อยากให้เขาเดินจากไปไหนตอนที่เรารู้สึกไม่มั่นคงในความรู้สึกตัวเอง

“มึงปล่อยกูเถอะ ถ้ามึงไม่คิดจะพูดอะไร”นิ่งพูดโดยไม่สบตามอง สายตาของนิ่งหยุดอยู่ตรงมือผมที่จับข้อมือของนิ่งไว้

“กูยังไม่รู้ว่าจะพูดอะไร แต่นิ่ง... อยู่กับกูก่อนนะ อย่าเพิ่งเดินหนีกูไปไหน”ผมพูดไปน้ำตาก็ไหลเป็นทาง มันไม่ชอบเลยเวลาที่เห็นคนๆนี้หันหลังให้ มันไม่ชอบเลยกับการที่ต้องถูกทิ้งไว้คนเดียว

“พอเหอะ เราจะเข้าห้องแล้ว”นิ่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆอย่างคนที่พยายามจะใจเย็น แต่ผมก็ยังไม่ยอมปล่อยข้อมืออีกฝ่าย น้ำตายิ่งไหลเป็นสาย ในหัวมีเพียงแค่คำว่าที่อยากจะพูดกับอีกฝ่ายคือคำว่าอย่าไป

“อยู่กับกูก่อน ขอร้อง...”ผมแทบจะคุกเข่าอ้อนวอน แต่นิ่งกลับทำหน้าตาเฉยชาใส่ผม แล้วก็บิดข้อมือออกจากมือผมอย่างแรงจนผมรู้สึกเจ็บ

“นิ่ง...”ผมมองเห็นข้อมือของนิ่งที่แดงเถือกเป็นรอยนิ้วมือผม มือที่กำลังจะคว้าอีกฝ่ายไว้เหมือนเดิมกลับชะงักอยู่กับที่ ผมยอมปล่อยให้อีกฝ่ายเดินจากไปแต่โดยดี เพียงเพราะผมไม่อยากเห็นคนที่ผมรักต้องมาเจ็บเพราะผมอีก

ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังหลังนิ่ง ความรู้สึกที่เมื่อตอนโดนพิ้งค์บอกเลิก ยังไม่เจ็บเท่ากับการเห็นนิ่งเดินจากไป มันยิ่งกว่าเจ็บหน่วงที่ใจ มันแปล๊บขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ น้ำตาที่ไม่ได้ไหลเมื่อตอนพิ้งค์เดินหันหลังไปแต่กลับไหลแทบเป็นสายเลือดเมื่อนิ่งไม่แม้แต่จะยอมอยู่เคียงข้างผม ขาทั้งสองข้างที่ปกติรับน้ำหนักของตัวเองได้กลับอ่อนแรงอย่างน่าประหลาดใจ ยิ่งเห็นน้ำตาของนิ่งที่คลอหน่วยรอบดวงตาแล้ว ลมหายใจกลับสะดุดราวกับคนไม่เคยหายใจ ความรู้สึกที่มันเหมือนจะคิดออก กลับเลือนหายราวกับนึกไม่ออกว่ามันเคยเกิดขึ้น นี่ผมกำลังเป็นอะไรกันแน่ ผมไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ผมทำกับนิ่งมันเลวมากขนาดไหน ทั้งๆที่อีกฝ่ายคอยช่วยเหลือผมตลอด แต่ผมก็ตอบแทนความช่วยเหลือนั้นด้วยอะไรกัน ความไว้ใจที่เขามีให้ ผมก็กระทำการเหยียบย่ำน้ำใจเขา หรือผมจะสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดของผมไป...


++++

ตอนนี้ อาจจะยาวไปนิด คงจะแต่งสลับกันกับคู่เอก

แต่คาดว่าอีกไม่นานคูเอกก็คงจะจบแล้วล่ะนะ

แล้วเราค่อยมาลุ้นกับคู่นี้ต่ออีกทีนะจ๊ะ

อยากได้คอมเม้นท์จัง จะมีใครเมตตาเราไหมน้าา  :mew2:

lew_valen_tom

  • บุคคลทั่วไป
ตอนนี้ย่างเข้าเดือนสิงหาแล้ว ผมกับปั้นก็คบกันมาเดือนกว่าเห็นจะได้ ความรักของเราก็ลุ่มๆดอนๆกันไปตามประสาวัยรุ่น มีบ้างที่ไม่เข้าใจกัน ทะเลาะกัน แต่ผมก็พยายามเคลียร์ให้จบเป็นเรื่องๆ หลักการในการทะเลาะกันก็คืออย่าดึงเรื่องเก่ามาโยงกับเรื่องใหม่ ไม่งั้นมันจะยืดยาว แล้วก็ห้ามด่ากัน ที่สำคัญอยู่ห่างกันห้าเมตรเพื่อจะได้ไม่ต้องทำร้ายร่างกายกัน หลักการง่ายๆครับ แล้วหลายๆคนจะอยู่กับคู่ชีวิตได้นานขึ้น วันนี้เป็นวันพิเศษของผมครับ เพราะผมกำลังจะบรรลุนิติภาวะในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า หรือที่เรียกว่าอายุขึ้นเลขสองนั่นแหละครับ วันนี้ปั้นติดเรียนคงเลิกประมาณสี่โมงเย็น ส่วนผมถ้าสอบแลปเสร็จก็สามารถเดินฉุยฉายออกจากตึกคณะได้เลย คราวนี้ผมกับน้ำนิ่งสอบเสร็จก่อน เหลือแต่เต้กับวิน ผมก็เลยให้พวกมันตามไปสบทบทีหลัง ส่วนผมกับนิ่งจะขับรถไปซื้อของมาฉลองกันในห้องผมนั่นเอง

“นิ่ง เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จยัง เดี๋ยวกูรอที่รถนะ”ผมตะโกนบอกเพื่อนที่หน้าห้องน้ำ มีเสียงขานรับกลับมาให้รับรู้ ผมก็เดินมาคว้ากระเป๋าไปสตาร์ทรถรอที่ข้างตึกคณะเลย สักพักก็เห็นน้ำนิ่งโบกไม้โบกมือลากับเพื่อนคนอื่นก่อนจะเดินตรงมาที่รถผม

“โอมจะซื้ออะไรบ้าง”ผมคิดคำตอบสักพักก่อนจะร่ายยาวให้มันฟัง มันทำหน้าแบบเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ไม่ชอบ สลับไปมาเมื่อได้ยินสารพัดรายการซื้อของผม

“แล้วปั้นมาด้วยรึเปล่า”

“มาดิ พวกมึงจะอึดอัดรึเปล่า”ผมก็ลืมถามความรู้สึกพวกมันไปครับ แอบกลัวงานแกร่วเหมือนกัน แต่เห็นพักหลังเต้มันก็คุยกับปั้นบ่อยจนจะเล่นหัวกันได้แล้ว คนอื่นก็น่าจะชิน

“เฮ้ย บ้า ใครจะคิดอย่างนั้น ปั้นก็น่ารักดี เอามันมาแกล้งก็สนุกดีออก”ผมหัวเราะกับประโยคคำพูดนั้น ถ้าคนอื่นพูดผมคงกังวลว่าจะแกล้งอะไร แต่นี่น้ำนิ่งเป็นคนพูด ผมก็พอจะเดาได้ว่างานนี้ปั้นได้ออกอาการเขินหนักๆให้ผมเห็นแน่นอน

ผมวนหาที่จอดรถในโลตัสก่อนจะเดินเข้าไปสัมผัสแอร์เย็นๆในห้าง

“โอม เดี๋ยวเราไปเอารถเอง”น้ำนิ่งบอกกับผมที่กำลังเล็งโดนัทของร้านชื่อดัง กำลังคิดว่าจะซื้อไปด้วยดีไหม สุดท้ายผมก็บอกกับตัวเองว่าเดี๋ยวค่อยมาซื้อทีหลัง

ผมกับน้ำนิ่งพลัดกันหยิบของรถเข็ญกันสนุกสนาน จะว่าไปช่วงนี้น้ำนิ่งก็เงียบแบบแปลกๆจนผมกับเต้สัมผัสได้ แถมวินก็ทำตัวสำมะเรเทเมาหลังจากเลิกกับแฟน จนพวกผมอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่จะให้พูดเตือนวินก็เป็นเรื่องยากพอตัว เพราะวินมันไม่เคยฟังใคร เห็นมีคนเดียวที่วินจะฟังก็คือน้ำนิ่ง แต่ก็แปลกที่น้ำนิ่งกลับไม่เอ่ยปากว่าเรื่องนี้เลย ทั้งๆที่ปกติทุกทีนี่ได้มีรายการเรียกกันไปสั่งสอนกันเรียบร้อยแล้ว

“เออ นิ่ง ช่วงนี้เป็นไรวะ เห็นไม่ค่อยพูดไม่ค่อยยิ้ม มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า”ผมเอ่ยปากถามขณะเลือกดูเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แหะๆๆ ว่าจะยกลังเลยนะเนี่ย

“ก็ไม่มีอะไร ช่วงนี้แค่มีเรื่องต้องคิดเยอะ”นิ่งชะงักไปนิดนึง ก่อนจะคิดคำตอบมาพูดกับผม แต่ผมว่าอาการแบบนี้ดูน่าเป็นห่วงมากกว่า

“มีอะไรบอกกูได้นะเว่ย เดี๋ยวกูช่วยเอง”ผมหันไปมองหน้านิ่งแบบจริงจัง อีกฝ่ายก็เพียงยิ้มรับแล้วก็หยิบน้ำอัดลมมาใส่ลงรถเข็ญ ผมก็จนปัญญาจะบีบรัดความลับจากอีกฝ่ายจริงๆ
“เออ นิ่ง ช่วงนี้ช่วยเตือนให้วินให้ตั้งใจเรียนหน่อยดิ เดี๋ยวนี้มาสายแทบทุกวัน มาก็หลับในห้อง คะแนนแทบจะไม่เหลือแล้วนะ
ไม่รู้มันจะตรอมใจอะไรกับแฟนมันหนักหนา”ผมบอกนิ่งแกมบ่นเรื่องวินให้มันฟัง คราวนี้ไม่มีสัญญาณตอบรับจากนิ่งเลย หรือว่าพวกมันสองคนจะทะเลาะกัน

“พวกมึงทะเลาะกันหรอ”ผมอยากจะตบปากตัวเองซะจริง นี่ผมคิดแล้วพูดเลยใช่ไหมเนี่ย

“เปล่าหรอก แค่...”ผมรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ แต่นิ่งก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก

“แค่อะไรวะ มันค้างคานะเว้ย”ต่อมเสือกผมหลั่งสารสื่อประสาทออกมาอัตโนมัติเลยทีเดียว จะว่าไปไอ้คู่นี้ก็น่าเป็นห่วง ผมกับเต้ชอบแซวพวกมันสองคนบ่อยๆ จนผมก็คิดว่าถ้าวินไม่มีแฟน นิ่งคงได้เป็นแฟนวินจริงๆ แต่ดูเหมือนอะไรๆก็กลับตาลปัตรไปหมด ทั้งๆที่ความจริงแล้ววินติดนิ่งอย่างกับลูกติดแม่ ผมก็คิดแล้วว่าความรักของวินคงไปไม่รอด แต่ก็ถือว่านานทีเดียวที่คบกันมาจนจะเกือบปี

“ไม่มีอะไรหรอก ไว้เดี๋ยวจะเตือนๆให้”นิ่งรับปากผม แต่ผมก็ไม่ไว้ใจกับท่าทีนั้น ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรับปากส่งๆซะมากกว่า ผมกับนิ่งเดินเข็ญรถไปชำระเงิน ก่อนจะพากันขนของขึ้นรถแล้วขับกลับมอ ระหว่างทางก็หาซื้อพวกกับข้าว ขนมนมเนยเผื่อคุณชายปั้น กับคุณชายเต้ด้วย จนนิ่งบ่นว่าจะซื้ออะไรไปหนักหนา เดี๋ยวกินไม่หมด แปลว่านิ่งยังไม่รู้อิทธิฤทธิ์ของคุณชายปั้นดี ฮ่าๆๆ

.

.

.

ผมจอดรถตรงหน้าหอ ก่อนจะพานิ่งหอบหิ้วสารพัดของกินเดินขึ้นหอ แน่นอนว่าไม่ลืมหลบเจ้าของหอด้วย เดี๋ยวโดนลุงแกเฉ่งเรื่องเอาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าหอ แหม เด็กมหาวิทยาลัยมันก็ต้องมีกันบ้างแหละครับ เมื่อถึงห้องผมก็ปล่อยให้นิ่งทำตัวเป็แม่ศรีเรือนไปฝ่ายเดียว ส่วนผมก็ออกมาโทรศัพท์หาสุดที่รัก

(ฮัลโหล พี่โอม ว่าไง)

“ปั้นเลิกเรียนยัง พี่ซื้อของกินมาที่หอเรียบร้อยแล้วนะ”ผมเอาของกินล่อมัน ปั้นนี่มันก็เหมือนหมานะครับ แค่ได้ยินก็กระดิกหางแล้ว

(โหย น้ำลายไหล แล้วพี่เต้ไปด้วยรึเปล่าอ่ะ)

“มาดิ เต้มันก็เพื่อนพี่นี่”ผมแอบงงกับคำถามปั้น เหมือนปั้นจะไม่อยากให้เต้มาด้วยสักเท่าไหร่

(โห แล้วพี่โอมซื้อมาเยอะเปล่า เดี๋ยวพี่เต้แย่งปั้นกินหมด ปั้นก็ไม่อิ่มพอดี)

“เยอะสิ พี่รู้อยู่แล้ว”นี่คือสาเหตุที่แท้จริงสินะครับ ไอ้พวกหวงของกินเอ้ย

(โอเค ดีมากที่รัก งั้นอีกเดี๋ยวปั้นก็เลิกเรียนแล้ว เดี๋ยวจะรีบไปหานะครับ)

“ครับ”ผมแอบยิ้มปลื้มกับสรรพนามที่อีกฝ่ายเรียกผม น้อยครั้งจะได้ยินจากปากปั้น เว้นเสียจากอีกฝ่ายอ้อนอยากจะได้โน่นได้นี่แค่นั้นเอง ถึงไม่อ้อนผมก็ซื้อให้อยู่ดีนั่นแหละครับ หลงมันจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว แต่ปั้นก็ไม่ใช่พวกที่แบบมาคบกับผมเพื่อกอบโกยอะไรแบบนั้นนะครับ ของที่ปั้นอยากได้ส่วนมาก็ไร้สาระ น่ารัก ราคาไม่แพง ส่วนของราคาแพงปั้นชอบเก็บเงินซื้อเองมากกว่า ปั้นบอกว่ามันดูมีค่ามาก จนเราต้องทะนุถนอมมันให้ดีที่สุด

เสียงเคาะประตูดังขึ้นตรงหน้าห้อง ผมหันไปเห็นนิ่งกำลังง่วนกับการเตรียมของกินก็เลยเดินไปเปิดประตูเอง เป็นเต้กับวินนั่นเองที่มาถึง พอคุณชายเต้มาทุกอย่างในห้องก็ดูวุ่นวายไปหมด

“จะขึ้นไปบนเตียงนอนก็ล้างเท้าก่อนเลย”ผมรีบตะโกนบอกไอ้ตัวดีที่กำลังเตรียมจะกระโดดขึ้นเตียงหกฟุตของผมแล้ว เต้หันมามองค้อนให้อย่างสะบัดสะบิ้ง มันคงคิดว่าดูน่ารักดี แต่สำหรับผมดูแล้วน่าถีบ นิ่งเห็นท่าทางนั้นก็หัวเราะร่วมด้วย แต่วินกลับนั่งมองนิ่งเงียบๆ สรุปว่าไอ้คู่นี้มันมีปัญหา หรือไม่มีปัญหากันแน่

“เออ วิน ช่วงนี้มึงเป็นอะไรวะ ยังไม่เลิกอกหักอีกรึไงวะ”ไหนๆไหนๆแล้ว เอ่ยปากถามเจ้าตัวเองเลยน่าจะดี

“หึ กูยิ่งกว่าอกหักซะอีก”มันแค่นเสียงขึ้นลำคอราวกับจะประชดใคร หรือมันรักพิ้งค์มากกว่าที่ผมคิด

“หมายความว่าไงวะ”เต้ที่เพิ่งมาได้ยินประโยคหลังของวินก็ถามอีกฝ่าย ซึ่งมันก็ตรงกับคำถามในใจผมด้วย

“ยิ่งกว่าอกหักก็หมายถึง การที่มึงสูญเสียคนที่ยิ่งกว่ามึงรัก คนที่มึงขาดเขาไม่ได้ คนที่มีค่ามากที่สุด คนที่มึงรักเรายิ่งกว่าเขารักมึง คนที่มึงห่วงเขายิ่งกว่าห่วงตัวเอง คนที่มึงไม่อยากเห็นเขาเดินจากไป คนที่มึงไม่อยากเห็นเขาหันหลังให้ คนที่เป็นยิ่งกว่าคนรักน่ะ”วินอธิบายเสียยาวเหยียด แต่ทำไมเสียงของมันบีบคั้นความรู้สึกผมนัก ยิ่งผมได้ยินมันก็รวดร้าวราวกับเรื่องที่มันพูดคือเรื่องของตัวผมเอง พอหมดคำพูดของมันผมก็นึกถึงปั้นขึ้นมาเลย เพราะปั้นเป็นอย่างนั้น สำคัญกับผมเหมือนอย่างที่วินพูด

“เฮ้ย วิน มึงไหวเปล่าวะ”ผมอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ ไอ้นี่อาการหนักกว่าที่คิด

“ไหวดิ ไว้กูหมดแรงแล้วจะบอก”มันพูดน้ำเสียงติดตลก แต่ดวงตามันไม่ยิ้มไปด้วยเลย

“ถ้าอย่างนั้นทำไมมึงไม่ไปขอเขาคืนดีวะ”ความคิดไอ้เต้นี่น่าสนใจดีครับ ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำถามของมัน ทำไมมันไม่ไปขอคืนดีกับแฟนมันวะ

“ถ้าเขาคิดจะให้อภัยกูนะ กูคงทำไปนานแล้ว นิ่งคิดว่าไงละ”มันตอบพวกผม แต่ท้ายประโยคมันกลับไปถามคนเดียวที่นั่งเงียบตั้งแต่ผมเปิดบทสนทนาเรื่องนี้

“...”นิ่งไม่ตอบอะไรกลับมา กลับกลายเป็นการปิดบทสนทนานั้นไป ผมเริ่มคิดอย่างจริงจังแล้วว่าที่วินเป็นแบบนี้ ไม่ใช่เพราะพิ้งค์แน่นอน แต่เป็นเพราะนิ่งต่างหาก แต่ผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่าสองคนนี้ผิดใจอะไรกัน คงเป็นเพราะนิ่งเป็นคนไม่เคยเล่าเรื่องของตนเองให้คนอื่นฟังเท่าไหร่นัก พวกผมก็เลยไม่กล้าถาม

บรรยากาศกร่อยไปชั่วครู่ วินไม่พูดอะไรเลยหลังจากนั้น แต่กลับเดินออกไปยืนที่ระเบียงราวกับว่ามีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าพวกผมอยู่ข้างนอก นิ่งก็คุยเล่นกับพวกผมบ้างแต่ก็ดูแปลกๆแบบคนฝืนๆ ผมจัดการวางจานชามอาหารลงบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็ก เผอิญหอผมก็เป็นแค่หอนะครับ ไม่ใช่คอนโด ฉะนั้นพวกผมก็ต้องนั่งกับพื้นไปโดยปริยาย เครื่องดื่มที่เอาเข้าตู้เย็นไปตั้งแต่เมื่อผมมาถึงก็เริ่มถูกเปิดออกดื่ม แรกๆก็แค่น้ำอัดลมเท่านั้นแหละครับ ไม่นานหลังจากนั้นแขกสำคัญของผมก็มาถึงสักที ผมเดินออกไปเรียกวินให้มานั่งกินข้าวด้วยกัน ผมกับปั้นนั่งใกล้กัน มีวินนั่งตรงข้ามผม ขวามือผมเป็นนิ่ง ซ้ายมือของปั้นก็เต้ นั่งกันรอบโต๊ะ ก่อนจะเริ่มลงมือกินกัน มีเสียงแย่งของกินของเต้กับปั้นสลับกันสร้างเสียงพูดคุยบนโต๊ะ มีผมกับนิ่งคอยหัวเราะผสมโรง ส่วนวินก็แค่นั่งกินเงียบๆ ยิ้มบ้างตอนผมชวนมันคุย หลังจากนั้นก็แทบไม่เปิดปาก เล่นเอางานวันเกิดผมแกร่วไปเลย ผมลุกขึ้นไปเปิดคอมพิวเตอร์ แล้วก็เปิดเสียงเพลงสร้างบรรยากาศ

“มีคาราโอเกะในคอมกูอ่ะ อยากร้องกันเปล่า”ผมถามพวกลิงในห้อง ดูเหมือนจะมีเด็กโข่งสองคนที่แย่งกันจะร้องให้ได้ ผมก็ปล่อยให้พวกมันแหกปากร้องแรกแหกกระเชิงไป โชคดีที่หอผมเป็นห้องแบบเก็บเสียงไม่งั้นมีรายการเปิดประตูต้อนรับคนมาด่าแล้วครับ

ผมนั่งหัวเราะลิงสองตัวที่กำลังร้องเพลงนกเขาคู่รัก ดูแล้วสะอิดสะเอียนยังไงไม่รู้ครับ ส่วนนิ่งก็ไปนอนเล่นโทรศัพท์บนเตียงผม แต่คนที่น่าเป็นห่วงก็คือวิน เพราะผมเห็นมันซัดเบียร์ผมไปจะสี่ขวดอยู่แล้ว คนเดียวเพรียวๆนี่ก็มีเซนะครับ

“เฮ้ย วิน เพลาๆหน่อย มึงจะขับรถกลับหอยังไงวะ”ผมเบรกมันแต่มันก็ไม่ฟัง ยังคงเทน้ำข้าวลงแก้วเรื่อยๆ ผมไม่ได้หวงของนะครับ แต่ผมกลัวน้ำนิ่งจะลำบาก เพราะต้องหอบหิ้วมันกลับหอด้วย

“นิ่ง จัดการผัวมึงดิ ปล่อยให้มันแดกคนเดียวได้ไงวะ”ไอ้เต้ที่เบียร์เข้าปากก็เริ่มพูดอย่างปากไม่มหูรูด ไอ้ห่านี่ มึงได้อยู่ในบรรยากาศที่สองคนนั้นสนทนากันเมื่อตอนเย็นรึเปล่าวะ ยังเสือกจะพูดอย่างนั้นอีก

“วินไม่ใช่ผัวเรา วินเป็นแค่เพื่อน”นิ่งสวนกลับคำพูดไอ้เต้ทันที ทำไมผมรู้สึกถึงพลังบางอย่าง ผมแอบลอบสังเกตหน้าวินที่ตอนนี้กระตุกแบบแปลกๆ มันคลี่ยิ้มเล็กน้อยราวกับเจอเรื่องน่าขบขัน หรือว่ามันกำลังยิ้มเยาะตัวเองกันแน่ มือมันยังคงยกเครื่องดื่มดื่มต่ออย่างไม่อนาทรร้อนใจ พวกมึงอย่ามาทะเลาะกันในงานวันเกิดกูได้ไหมเนี่ย

“วิน พอก่อนเหอะ ถ้ามึงเครียดอะไรมึงกลับไปนอนหอก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาเล่าให้กูฟัง มีงมาแดกอย่างนี้มันก็ไม่ได้ดีขึ้นหรอกนะ”ผมลุกไปคว้าแก้วออกจากมือมัน ก่อนจะกระตุกแขนให้มันลุกขึ้น แต่มันกลับสะบัดผมออกอย่างแรง เอาความจริงก็คือตอนนี้ผมก็เริ่มของขึ้นแล้วด้วย

“มึงไม่ต้องมายุ่ง”มันทิ้งตัวลงนั่งตามเดิม ก่อนจะคว้าขวดเบียร์ขึ้นมาดื่มจากปากขวดเลย

“พี่โอม”ปั้นรีบเดินมากอดแขนผมไว้ ดูท่าน้องก็คงจะรู้ว่าผมเริ่มโกรธ ผมพยายามหายใจลึกๆอย่างคนไม่อยากมีเรื่อง ท่องอยู่ในใจว่าไอ้วินมันเป็นเพื่อน และมันก็กำลังเมา ผมท่องซ้ำกลับไปกลับมาเป็นร้อยรอบ ไอ้เต้เดินไปปิดเสียงคอมพิวเตอร์ลง ตอนนี้ในห้องในมีใครพูดอะไรออกมาสักคน นิ่งก็เลิกสนใจโทรศัพท์ตั้งแต่ไอ้วินสะบัดตัวผมออกแล้ว

“วิน กลับหอได้แล้ว”นิ่งลุกขึ้นเดินมาพูดตรงหน้าวิน แต่ไอ้วินกลับทำหูทวนลมใส่อย่างคนกวนตีน มันเมินหนีนิ่งหันหน้าไปทางระเบียง

“วิน”นิ่งคว้าแขนมันขึ้นมันแต่มันก็สะบัดออกอีก แต่ก็ไม่แรงเท่าที่ผมโดนสะบัดออกมา

“วันนั้น... เราขอให้อยู่ แต่เดินหันหลังให้เราทำไม วันนั้น... เราเสียใจแค่ไหน รู้ไหม”ผมไม่เคยเห็นวินร้องไห้มาก่อนเลยในชีวิต แต่วินพูดประโยคนี้มา พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาเงียบๆ นิ่งไม่ตอบอะไรแต่พยายามคว้าแขนวินให้ลุกขึ้น แต่วินกลับฝืนตัวเองไว้

“เราเสียใจแค่ไหน นิ่งรู้ไหม!!!”

“เฮ้ย วิน”ไอ้เต้รีบเข้าไปห้าม ผมเองก็ช็อคเหมือนกัน ผมรู้ว่าวินไม่เคยพูดไม่เพราะกับนิ่ง ไม่เคยตะโกนใส่นิ่ง แต่นี่ยิ่งกว่าตะโกนเสียอีก เพราะวินตะคอกใส่นิ่งเสียงดังจนปั้นยังสะดุ้ง

“แล้ววินรู้ไหม ว่าเราโกรธแค่ไหน!”นิ่งกระแทกเสียงกลับใส่อีกฝ่าย สรุปว่ามันสองคนกำลังทะเลาะกันจริงๆสินะ พวกผมดูเป็นคนนอกไปเลย เต้ถอยห่างออกมาปล่อยให้มันสองคนเคลียร์กันเอง ผมกุมมือปั้นไว้ กลัวน้องจะกลัวกับเหตุการณ์ตรงหน้า คนเมาหาเรื่อง น่ากลัวที่สุด

“เราขอโทษ แต่เราแค่คิดว่า เราไม่อยากพูดคำว่าขอโทษ มันไม่ใช่ความรู้สึกนั้น เรากำลังหาคำพูดมากมายมาอธิบาย เราไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร แต่นิ่งเป็นคนนั้น คนที่เรารักมากกว่ารักตัวเอง คนที่เราห่วงมากกว่าห่วงตัวเอง คนที่สำคัญอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ คนที่มีค่าอย่างหาอะไรมาเทียบไม่ได้ คนที่เราสูญเสียไม่ได้ คนที่เราไม่อยากเห็นเขาหันหลังให้ คนที่เราไม่อยากให้เขาเดินจากไป นิ่งเป็นคนนั้น คนที่เป็นยิ่งกว่าคนรักของเรา นิ่งเข้าใจไหมว่าวันนั้นเราเสียใจแค่ไหน เราขอร้องให้นิ่งอยู่ตรงนั้นกับเรา แต่นิ่งกลับหันหลังแล้วเดินจากไป เราเจ็บมาก...”คำพูดสุดท้ายของวินบาดเข้าไปในความรู้สึกของทุกคน วินปล่อยเสียงร้องไห้มาแบบไม่อายใคร ส่วนนิ่งก็น้ำตาไหลให้กับคำพูดเหล่านั้น ผมไม่รู้หรอกว่าวินมีความรู้สึกแบบนี้เมื่อไหร่ แต่ผมกลับมองเห็นความรักอยู่ในทุกคำพูดเหล่านั้น ความรักที่ยิ่งใหญ่อย่างที่ผู้ชายคนนึงจะมอบให้คนที่รัก เมื่อเทียบกับความรักของผมกับปั้นนั้น อุปสรรคของเราทั้งคู่ดูจะเล็กน้อยไปเลย เมื่อเทียบกับปัญหาของวินกับนิ่ง

“ขอโทษ...”นิ่งย่อตัวลงไปกอดวินไว้ ท่าทางของวินน่าสงสารมากเลย ผมไม่คิดว่าเวลาคนตัวโตๆเสียใจมันจะเป็นอย่างนี้ นิ่งลูบหลังวินเบาๆ ผมกับเต้ได้แต่มองสบตากันแบบคนไม่รู้จะพูดอะไร

“กลับหอกันเถอะ”นิ่งดันตัวออก ก่อนจะจับหน้าของวินไว้แล้วสบตาอีกฝ่าย วินพยักหน้ารับเบาๆ น้ำตายังไหลมาเป็นระยะ

“โอม เรากลับก่อนนะ ขอโทษด้วย งานล่มหมดเลย”นิ่งหันมาพูดกับผม ปล่อยให้วินไปหยิบกระเป๋าตัวเอง

“ไม่เป็นไร ไปคุยกันดีๆนะเว่ย”ผมตบไหล่นิ่ง ส่งยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนจะตรงไปกอดวินไว้

“มึงก็หัดใจเย็นซะบ้าง คุยกับนิ่งดีๆล่ะ อย่าใช้อารมณ์ กูรักพวกมึงนะเว่ย รีบกลับมาเป็นแบบเดิมล่ะ”ผมตบหลังมันแรงๆ เอาคืนที่มันสะบัดตัวผมออกมา วินส่งสายตาขอโทษให้ผม ผมยิ้มรับไม่นึกถือโทษ หวังว่ามันจะครองคู่ชู้ชื่นกลับมาอวดผม

หลังจากที่วินกับนิ่งออกไปสักพัก ผมกับเต้แล้วก็ปั้นช่วยกันเก็บของให้เรียบร้อย คล้อยหลังไปประมาณครึ่งชั่วโมงเต้ก็ขอตัวกลับหอตัวเอง เหลือเพียงแค่ผมกับปั้น คืนนี้ปั้นจะค้างทีหอผมด้วย

“พี่โอม พี่วินกับพี่นิ่งนี่ยังไงกันหรอ”ปั้นถามผมเมื่อเหลือแค่เราอยู่สองคน ผมมองตาเด็กที่อยากรู้เรื่องผู้ใหญ่อย่างเอ็นดู

“เอาความจริงป่ะ”ปั้นพยักหน้าระรัวตอบคำถามผม

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ฮ่าๆๆ”

“พี่โอม”ปั้นว่าเสียงเขียวแถมยกมือทุบไหล่ผมเต็มแรง แอบเจ็บนะเนี่ย

“เรื่องของเขาน่า เราก็ไปอาบน้ำได้แล้ว พี่บอกว่าไม่ให้กินเบียร์ ดูดิ ไม่เคยเชื่อฟังพี่เลย”ผมรุนหลังน้องให้ไปทางห้องน้ำ พลางทำหน้าเหม็นใส่

“ก็เพื่อนพี่โอมนั่นแหละตัวดี มาคะยั้นคะยอให้กิน ปั้นก็ใจอ่อนเป็นนะ”

“อยากใจอ่อนมาใจอ่อนเรื่องอื่นกับพี่ดีกว่านะครับ”ผมส่งยิ้มประจบไปให้น้อง ปั้นรีบปิดประตูห้องน้ำเต็มแรง

“ไอ้พี่โอม ทะลึ่ง”เสียงปั้นดังลอดมาจากห้องน้ำ ดูท่าจะใช้เวลาในห้องน้ำนานกว่าปกติแน่ๆเลย สงสัยจังว่าคืนนี้จะได้นอนกันสักกี่โมง เอ๊ะ! หรือไม่ต้องนอนกันเลย ฮิฮิ

++++

แค่หวังว่าจะมีคนมาอ่าน และก็มีคนมาตอบ เพราะบางทีก็ไม่รู้แต่งไปมีคนมาอ่านรึเปล่า

ใครคอมเม้นต์ขอให้โชคดีตลอดปี ฮ่าๆๆ


lew_valen_tom

  • บุคคลทั่วไป
WinNing --> Win’s Talk


ผมเดินตามนิ่งขึ้นห้องไป ระหว่างทางที่กลับหอมา นิ่งไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรสักคำ ผมก็ยังกรึ่มๆครองสติตัวเองได้ไม่เต็มร้อย เลยคิดว่าไม่พูดน่าจะดีกว่า ผมเห็นนิ่งหยุดไขกุญแจตรงหน้าห้องตัวเอง ผมเองก็ไม่รู่วาเราจะต้องคุยอะไรกันอีกรึเปล่า ผมตั้งท่าจะเดินเลยไปยังห้อง แต่มีเสียงเรียกของนิ่งไว้ก่อน

“วิน เดี๋ยวเราไปหาที่ห้อง”นิ่งก้มหน้าก้มตาพูดกับลูกบิดประตู ก่อนจะเปิดประตูห้องตัวเองแล้วหาบเข้าไปข้างใน เมื่อกี้นี้นิ่งบอกว่าจะมาหาผมที่ห้องหรอ ผมได้หูฝาดใช่ไหม

แล้วนิ่งจะมาหาผมที่ห้องทำไมกัน มาเพื่อคุยต่อจากเรื่องเมื่อกี้อย่างนั้นหรอ แล้วผมควรจะพูดอะไรดี ไอ้ที่อยากพูดก็พูดไปหมดแล้ว จะให้พูดซ้ำมันก็อายไม่ใช่น้อย

ในหัวผมมีแต่ความคิดพวกนี้ วนเวียนไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า พยายามจะเตรียมคำพูดดีๆไว้ให้อีกฝ่าย โดยไม่ลืมบอกตัวเองว่าห้ามใช้อารมณ์โดยเด็ดขาด ผมไม่อยากให้นิ่งเมินผมเหมือนคราวที่แล้วอีก

ก็อกๆ

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเบาๆ ราวกับคนเคาะยังเกรงๆกับการเคาะประตู นี่ถ้าห้องผมไม่ได้เงียบกริบขนาดเข็มหล่นแล้วได้ยินเสียงล่ะก็ รับรองเลยว่าผมไม่ได้เดินไปเปิดประตูแน่

“เข้ามาสิ”ผมเชื้อเชิญคนตรงหน้าให้เข้าห้องมา แต่ดูเหมือนนิ่งจะลังเลกับการก้าวเท้าเข้าห้องผมซึ่งมันไม่เหมือนเมื่อก่อน เรื่องนี้จะโทษใครไม่ได้หรอก นอกจากตัวผมเอง ผมเป็นสร้างความหวาดระแวงให้นิ่งเอง

“หรือถ้าไม่สะดวกใจ จะคุยกันตรงนี้ก็ได้นะ”ผมเสนอทางเลือกให้อีกฝ่าย

“ไม่เป็นไร เข้าไปคุยในห้องเถอะ”ผมหลีกทางให้นิ่งก้าวเข้าห้องไป ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเราต้องกลายเป็นแบบนี้

นิ่งเดินไปนั่งตรงเก้าอี้ที่โต๊ะเขียนหนังสือ ส่วนผมก็นั่งลงบนเตียง เราต่างฝ่ายต่างง่วนอยู่กับนิ้วมือ แล้วก็ของรอบตัวตัวเอง ทำราวกับชีวิตนี้เพิ่งเห็นมันเป็นครั้งแรก มีเพียงเสียงเสียงใบพัดของพัดลมที่ทำลายความเงียบในห้องนี้ สลับกับเสียงลมหายใจของเราสองคน

“เอ่อ/นิ่ง”

“นิ่งพูดก่อนเถอะ”ผมเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพูด เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงเหมือนกัน

“เรื่องคืนนั้น เราจะคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุล่ะกัน แล้วที่เราต่อยไปก็ขอโทษด้วยนะ”

“ไม่เป็นไร เราก็สมควรโดนแล้ว”ผมไม่คิดว่าการที่ผมจะจูบนิ่งจะเป็นอุบัติเหตุเลยสักนิด แต่เรื่องที่ผมโดนอีกฝ่ายต่อยนั่นก็สมควรโดนแล้ว อันที่จริงควรจะโดนมากกว่านี้ซะอีก

“เราว่าเราเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมเถอะ”นิ่งโพล่งขึ้นมาหลังจากที่เราเงียบไปอีกสักพัก แต่ผมกลับไม่ชอบประโยคนี้เลย

“ทำไมหรอนิ่ง”ผมอยากจะรู้เหตุผลที่ทำให้นิ่งคิดว่าเราควรจะเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ทั้งๆที่นิ่งก็รู้แล้วว่าตอนนี้ผมคิดยังไง หลายวันนี้ที่ผมทำตัวเละเทะเหลวไหล แต่กลับห้องมาผมก็ทบทวนทุกอย่างเก็บรายละเอียดในทุกความรู้สึก ทุกความสัมพันธ์ของเราจนผมมั่นใจว่าสิ่งที่ผมรู้สึกกับนิ่ง มันไม่ใช่สิ่งที่เพื่อนเขามีให้กันหรอกนะ

“เราไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับวินเลยแม้แต่นิดเดียว เราคิดกับวินแค่เพื่อน”ไม่รู้ทำไมประโยคสั้นแค่นี้ทำให้ผมหมดแรงไปโขเลย

“อ้อ... อืม”ผมตอบรับแบบคนไม่รู้จะพูดอะไรต่อ คำพูดนิ่งพอที่จะทำให้ผมรู้ตัวว่าควรจะทำยังไงต่อ

“เราอยากให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิม เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมน่ะวิน ได้ไหม”นิ่งถามผมต่อ กลับมาเป็นเหมือนเดิมงั้นหรอ พูดง่ายแต่ทำยากนะ กว่าผมจะเคลียร์ความรู้สึกของผมหมด กว่าผมจะบริสุทธิ์ใจกับนิ่งเหมือนเดิม มันก็ยากพอควร

“ขอโทษนะนิ่ง เราคงทำไม่ได้หรอก”ผมตอบออกไปตามที่ผมคิด ไม่ใช่ไม่อยากเป็นเพื่อนกับนิ่งต่อ แต่ผมคิดว่าถ้าผมเป็นแบบเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ มันก็คงเป็นแค่เพื่อนที่ไม่สมควรมีอยู่ดี

“ทำไมล่ะวิน”นิ่งถามหาเหตุผลจากผม แต่ผมเลือกที่จะเงียบต่อไป

“เราว่านิ่งกลับห้องเถอะ เราไม่มีอะไรจะคุยแล้ว”ผมลุกขึ้นยืนเป็นการบีบบังคับอีกฝ่ายให้ออกจากห้องผมได้แล้ว ตอนนี้ผมอยากใช้เวลาอยู่คนเดียว

“เรายังไม่กลับ เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย”นิ่งไม่ยอมลุกขึ้น

“นิ่งไม่ต้องรู้ทุกเรื่องหรอก แค่นิ่งบอกว่านิ่งไม่ได้คิดกับเราในแง่นั้น เราก็เข้าใจแล้ว แล้วที่เราบอกว่าเรากลับไปเป็นเพื่อนนิ่งเหมือนเดิมไม่ได้ นิ่งก็น่าจะเข้าใจได้แล้วนะ”ผมตอกย้ำทุกหัวข้อการสนทนาให้อีกฝ่ายฟัง ผมไม่สนหรอกว่านิ่งจะเข้าใจเหตุผลของผมรึเปล่า ผมสนแค่ว่าให้นิ่งรู้ว่าผมคงเป็นเพื่อนนิ่งต่อไปไม่ไหวก็พอ

“ไม่เข้าใจ!! วินไม่บอกเหตุผลเรามา เราจะเข้าใจได้ยังไง”

“โว้ย!!”ผมร้องออกมาเสียงดังอย่างคนเวลาหงุดหงิดจนนิ่งสะดุ้งเล็กน้อย แต่ให้ทำไงได้ ผมมันก็คนนิสัยหยาบอยู่แล้วด้วย

.

.

“วิน เราขอร้องเหอะ เราอยากฟังเหตุผลจากวิน”

“ที่เราบอกว่าเรากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ ก็เพราะเรารักนิ่งไง เรากลับไปเป็นเพื่อนแบบเดิมกับนิ่งไม่ได้หรอก เพราะเราเลิกรักนิ่งไม่ได้ เราหยุดใช้สายตามองนิ่งไม่ได้ เราหยุดการกระทำไม่ได้ นิ่งเข้าใจไหม ทางเดียวที่เราจะทำได้คืออยู่ให้ห่างจากนิ่ง ไปให้พ้นจากสายตานิ่ง เพื่อที่เราจะได้เลิกรักนิ่งได้ไง... นิ่งเข้าใจไหม”ท้ายเสียงผมแผ่วลงอย่างน่าประหลาด ผมไม่อยากจะเลิกรักนิ่ง แต่ถ้านิ่งไม่ต้องการความรักของผม ผมก็ควรโยนความรักของผมทิ้งไป

“เราขอโทษ...”

“ไม่ใช่ความผิดของนิ่ง แต่เป็นความผิดของเราเอง ต่อไปนี้ เลิกยุ่งกับเราเถอะ ไว้เรารู้สึกเหมือนเดิมเมื่อไหร่ เราจะกลับไปคุยกับนิ่งเหมือนเดิม”ผมพูดแบบรวบรัดและตัดรอนความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายในเวลาเดียวกัน นิ่งทำท่าเหมือนยังอยากจะพูดคุยกับผมต่อ แต่ผมก็เปิดประตูรอให้นิ่งเดินออกไป จะหาว่าผมมารยาทแย่ก็ได้ แต่ผมทนไม่ไหวแล้วจริงๆ น้ำตาระลอกเดิมเตรียมเอ่อมาจนล้นขอบตา  ผมรู้แค่ว่าตอนผมปิดประตูน้ำตาหยดแรกของผมก็ไหลลงมาเลย ผมเดือนกลับไปที่เตียงพร้อมๆกับม่านน้าตาที่ไหลจนบดบังทัศนียภาพของผมจนหมดสิ้น

ตอนี้ผมนึกถึงเพลงๆหนึ่งที่เคยฟังเมื่อหลายปีก่อน เพลงนี้บอกทุกสิ่งที่ผมเป็นได้เลยทีเดียว

เวลาเธอกอดคอ เล่นหยอกล้อกันอยู่ทุกวัน
หัวใจมันสั่น ฝันละเมอคิดไปไกล
เธอไม่เคยจะรู้ เพื่อนที่ดูแลเธอทุกวันข้างกาย
เค้ามีบางสิ่ง คิดไม่ซื่อกว่าเพื่อนกัน

ยิ่งเธอวางใจ ยิ่งสนิทกันมากเพียงใด
ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนไกลออกไป ทั้งที่อยู่ใกล้ๆเธอ
อยากจะดีใจที่ได้เป็นคนสำคัญของเธอ
สุดท้ายต้องก็ยังทุกข์ใจเสมอ เพราะรักเธอข้างเดียว

มีเพียงความผูกพัน แค่เท่านั้นไม่เคยได้ใจ
หวังไปเท่าไหร่ ก็เลือนลางทุกนาที
ทำให้ความห่วงใย ไม่เคยทำให้เธอรักกันซักที
ไม่มีทางเปลี่ยน ให้เราเปลี่ยนจากเพื่อนกัน

ยิ่งเธอวางใจ ยิ่งสนิทกันมากเพียงใด
ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนไกลออกไป ทั้งที่อยู่ใกล้ๆเธอ
อยากจะดีใจที่ได้เป็นคนสำคัญของเธอ
สุดท้ายต้องก็ยังทุกข์ใจเสมอ เพราะรักเธอข้างเดียว

ยิ่งเธอวางใจ ยิ่งสนิทกันมากเพียงใด
ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนไกลออกไป ทั้งที่อยู่ใกล้ๆเธอ
อยากจะดีใจที่ได้เป็นคนสำคัญของเธอ
สุดท้ายต้องก็ยังทุกข์ใจเสมอ เพราะรักเธอข้างเดียว

ยิ่งเธอวางใจ ยิ่งสนิทกันมากเพียงใด
ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนไกลออกไป ทั้งที่อยู่ใกล้ๆเธอ
อยากจะดีใจที่ได้เป็นคนสำคัญของเธอ
สุดท้ายต้องก็ยังทุกข์ใจเสมอ เพราะรักเธอข้างเดียว
[/i]

ต่อให้ความผูกพันของเรา ความสนิทของเรามีมากแค่ไหน แต่ก็ยังไม่พอจะเปลี่ยนรูปแบบความสัมพันธ์ของเราได้อยุ่ดี

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
อ่ะ...นิ่งไม่ชอบวินแม้แต่นิดเดียวเลยเหรอ

lew_valen_tom

  • บุคคลทั่วไป
“พี่โอม หลับยัง”เสียงปั้นเรียกดังมาจากห้องน้ำ ผมแกล้งเงียบเหมือนคนที่หลับไปแล้ว แต่จริงๆผมดูนาฬิกาตลอดว่าปั้นจะออกมาจากห้องน้ำเมื่อไหร่ นี่ก็ปาไปเกือบจะชั่วโมงอยู่แล้ว

.

.

ผมแอบหรี่ตาขึ้นมาดู เห็นปั้นเดินกระย่องกระแย่งออกมาจากห้องน้ำ มีผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันไว้ที่เอว หยาดน้ำไหลจากผมที่ลู่ลงเป็นสาย จนเนื้อตัวขาวใสอีกฝ่ายพราวไปด้วยหยดน้ำ จนผมรู้สึกว่าผมไม่น่าแอบหรี่ตามามอง ผมรีบหลุบตาลงตามเดิมเมื่อเห็นอีกฝ่ายหันมาทางผม

ผมได้ยินเสียงสวบสาบซึ่งคาดได้ว่าปั้นน่าจะแต่งตัวอยู่ ก่อนที่เสียงจะหายไปแล้วแทนที่ด้วยเสียงฝีเท้าที่ก้าวมาทางผม

“พี่โอม หลับยัง”ผมเงียบไม่ตอบอีกฝ่าย จนปั้นค่อยๆสอดตัวเข้ามาในผ้าห่ม แล้วเอนตัวลงนอนข้างๆตัวผม ผมถือโอกาสปิดไฟตรงหัวเตียงให้ห้องมืดก่อนจะฉวยโอกาสที่ปั้นไม่ได้ตั้งตัวคว้าเอวบางของอีกฝ่ายเข้ามากอด

“เฮ้ย! พี่โอม”ปั้นร้องออกมาพร้อมกับพยายามบิดตัวออกจากอ้อมแขนของผม

“อยู่เฉยๆน่า ให้พี่กอดหน่อย”ผมบอกกับปั้น แล้วกอดน้องให้หน้าน้องมาชิดอกมากขึ้น

“พี่โอม ชอบฉวยโอกาส”ปั้นบ่นอู้อี้กับหน้าอกผม แต่ผมไม่สนใจกลับกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
ผมปล่อยให้ความเงียบกลืนกินรอบห้อง รอบตัวเรา ผมพยายามกดความต้องการของตนเองให้ลึกที่สุด ยิ่งมีร่างบางตัวเย็นมาอยู่ในอ้อมกอดแล้วยิ่งกลับเป็นตัวกระตุ้นชั้นดี

“พี่โอม ปั้นหายใจไม่ออกอ่ะ”ปั้นขยับตัวขยุกขยิกหลังจากที่ยอมอยู่นิ่งๆมานาน ผมค่อยคลายอ้อมกอดออกมาอีกนิด แต่ก็ไม่ปล่อยอีกฝ่าย

“พี่โอม ปั้นถามอะไรอย่างนึงสิ”ปั้นเงยหน้ามาถามผมด้วยแววตาอยากรู้

“อืม ว่ามาสิ”

“พี่โอม ห้ามโกรธนะ คือปั้นอยากรู้อ่ะ... พี่โอมเคยมีอะไรกับใครรึเปล่า”ทำไมมันถึงกล้าถามเรื่องนี้วะ เล่นเอาผมหน้าร้อนไปหมดเลย

“อยากรู้ไปทำไม”

“ก็แค่อยากรู้เฉย พี่โอม บอกปั้นหน่อยสิ”ปั้นยังคงรบเร้าเอาคำตอบจากผม

“แล้วปั้นล่ะ”ผมย้อนถามกลับ

“อื้อ ไม่เอาสิพี่โอม ปั้นถามก่อนนะ ต้องตอบปั้นก่อน”

“ถ้าพี่ตอบว่าเคยล่ะ”ผมถามกลับอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ทำให้ปั้นชะงัก แล้วก็เงยหน้ามองผมอีกครั้ง

“หรอ... ก็เสียใจนิดหน่อย แต่ก็เข้าใจ”เสียงปั้นตอบแผ่วจนผมใจหาย

“ถ้าพี่รู้ว่าวันนี้พี่จะมีปั้น พี่จะเก็บตัวเก็บใจไว้ให้ปั้นคนเดียว ไม่ให้คนอื่นเลย”ผมจูบหน้าผากน้องเบาๆ ผมหมายความตามที่พูดจริงๆ ถ้าผมรู้ว่าวันนี้ผมจะมีปั้นอยู่ข้างกาย ผมก็จะไม่รักใครแล้วก็รอปั้นเพียงคนเดียว

“พี่โอม”เสียงเด็กเรียกร้องความสนใจดังขึ้นอีกครา

“หือ”ปั้นเงยหน้ามาจูบผมแบบเด็กน้อยที่เอาปากชนกัน จนผมเริ่มทนต่อการยั่วยวนนั้นไม่ไหว ค่อยๆบดเบียดริมฝีปากตนเองเข้า
กับริมฝีปากของอีกฝ่าย ปลายลิ้นค่อยๆสอดเข้าไปลิ้มรสความหวานอ่อนนุ่มจากน้อง ปั้นตอบสนองตามเด็กที่ไม่ประสีประสาในเรื่องนี้เท่าใดนัก แต่นั่นก็ทำเอาผมแทบคลั่ง ผมพยายามหักห้ามใจตัวเองให้ทำเพียงแค่สอนอีกฝ่าย ไม่ใช่เร่งเร้าในเรื่องอย่างว่า จนอีกฝ่ายเริ่มกำเสื้อผมแน่นเหมือนจะหายใจไม่ออก ผมจึงค่อยๆถอนริมฝีปากออกมา

“ไม่เป็นแล้วยังอยากจะเริ่มอีก”ผมดุอีกฝ่ายทั้งๆที่ในใจแอบปลื้ม ปั้นยังคงหายใจอบกระชั้น ร่างกายของผมแนบชิดอีกฝ่ายมากขึ้นจนรู้สึกถึงก้อนเนื้อที่เต้นอยู่ในอกของกันและกัน

“พี่โอม ปั้นไม่รู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่หรอกนะ แต่ปั้นก็อยากให้พี่โอมเป็นคนสอน”เอาแล้วไงครับ งานเข้าผมแล้ว ผมเอามือสองข้างกุมหน้าอีกฝ่ายไว้ รับรู้ถึงความร้อนบนใบหน้าของน้องที่แผ่ออกมาจนฝ่ามือผมรู้สึกได้ ผมพยายามมองสายตาที่เป็นประกายอยู่ในความมืดอย่างค้นหาความรู้สึกของอีกฝ่าย

“คิดยังไงล่ะ ถึงพูดอย่างนี้”ผมถามปั้น สองมือก็กระชับใบหน้าอีกฝ่ายไม่ยอมให้ก้มหน้าหนี

“ก็... ก็ปั้นอยากให้พี่โอมเป็นของปั้นคนเดียว”ปั้นหลับหูหลับตาพูดออกมา ผมแอบอมยิ้มกับคำตอบนั้น มันทำให้ผมชื่นใจจริงๆ

“ปั้นไม่ต้องทำแบบนี้ พี่ก็เป็นของปั้นคนเดียวอยู่แล้ว”

“อื้อ รู้แล้ว มันก็แค่หลักประกัน ไม่ให้พี่โอมทิ้งปั้นไปไหนไง”เด็กน้อยรีบแก้ต่างให้ตัวเอง

“แค่นี้พี่ก็หลงปั้นจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว”ผมแกล้งหยอดอีกฝ่าย อยากจะเปิดไฟดูจริงๆว่าหน้าอีกฝ่ายแดงไปขนาดไหนแล้ว

“จริงหรอ”

“จริง”ผมยืนยันคำตอบเดิมของผม ผมเห็นรอยยิ้มกว้างจากอีกฝ่ายจนแทบจะเห็นฟันครบทุกซี่อยู่แล้ว

“แต่ถ้าปั้นยอมคืนนี้นะ รับรองว่าพี่ไปไหนไม่รอดแน่”ผมก้มลงไปกระซิบข้างหูคนข้างๆ ก่อนที่จะโดนคนข้างๆงับหูซะเต็มแรง

“โอ๊ย!! ปั้น กัดพี่ทำไมเนี่ย”ผมได้แต่ลูบหูตัวเองป้อยๆ ทำไมแฟนเรามันโหดอย่างนี้วะ

“ก็พี่โอมอยากทะลึ่งก่อนทำไมล่ะ”

“ใครกันแน่ที่เริ่มก่อน หลอกให้เราอยากแล้วจากเราไป เชอะ”ผททำตัวสะบัดสะบิ้งแบบที่คิดว่าน่ารัก แล้วก็แกล้งพลิกตัวมานอนหันหลังให้ปั้น ไม่รู้ว่ามันจะมาง้อรึเปล่า หรือน้องมันจะปล่อยให้ผมนอนแบบทรมานด้วยความอยากต่อไป

“พี่โอม... หันหน้ามาหาปั้นหน่อยสิครับ น้า คนดี”ไอ้ตัวเล็กเอื้อมมือมากอดผมจากทางด้านหลัง ว่ะฮ่าๆๆ ในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายชนะ แต่ผมก็ยังไม่ยอมหันกลับไป ยอมน้องมันง่ายๆเดี๋ยวอีกหน่อยมันจะเคยตัวครับ

“ถ้ายอมหันมา ปั้นจะยอมให้พี่โอม แต่ถ้าพี่โอมไม่ยอมหันมาแปลว่าพี่โอมจะยอมให้ปั้นนะ นับหนึ่งถึงสามนะ หนึ่ง...”แทบไม่ต้องรอให้ถึงสองเลยด้วยซ้ำครับ ผมรีบหลังกลับมาหาปั้น แล้วประกบจูบอีกฝ่ายทันที

“เรื่องอะไรจะยอมน้อง เป็นน้องต้องยอมพี่สิ”ผมพูดไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะเริ่มบทรักของเราอย่างจริงจังเสียที
ปั้นขัดขืนตัวเล็กน้อยแบบคนไม่ได้ตั้งหลัก ผมจึงปล่อยริมฝีปากของน้องให้เป็นอิสระ ก่อนจะไปให้ความสนใจกับต้นคอขาวเนียนสะอาด ผมสูดดมกลิ่นสบู่อ่อนๆ กลิ่นเดียวกับผม มันรู้สึกดีแบบไม่ถูกเวลาได้กลิ่นเขาใช้สบู่เดียวกันกับผม มันให้ความรู้สึกว่าเราเป็นอะไรที่มากกว่าเป็นแฟนกัน ผมขบเม้มริมฝีปากสร้างรอยสีกุกลาบไว้ที่ต้นคออีกฝ่าย

“อื้อ เจ็บ”ปั้นร้องบอกผม ผมค่อยๆละเลียดอีกฝ่ายให้นานขึ้น คนที่เรารัก เราก็อยากจะถนอมเขาไว้เป็นธรรมดา เมื่อสร้างรอยจนพอใจแล้วก็เคลื่อนย้ายริมฝีปากตัวเองให้มาตรงกับอีกฝ่าย บดเบียดคลุกเคล้าริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างเร้าร้อน ชักชวนให้อีกฝ่ายขยับลิ้นตามการนำของผม ยิ่งน้องตอบสนองกับผมมากเท่าไหร่ ร่างกายผมก็ร้อนลุกเป็นไฟมากเท่านั้น
ผมเคลื่อนมือไปสอดหาผิวเนียนนุ่มภายใต้เสื้อยืดบางๆของน้อง ผิวเนื้อเนียนนุ่มลื่นมือให้สัมผัสดีกับมือผมอย่างไม่น่าเชื่อ ผมค่อยร่นเสื้ออีกฝ่ายขึ้น พยายามจะถอดออกแต่น้องกลับฝืนไว้

“ทำไมล่ะ”ผมถามน้อง แม้จะรู้สึกขัดใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่เก็บมาเป็นอารมณ์

“มันเขิน”คำพูดสั้นของอีกฝ่ายเล่นเอาผมแทบหัวเราะ อารมณ์แบบนี้ปั้นยังจะมาเล่นลิ้นอีก

“เชื่อใจพี่ไหม ปั้นไม่ต้องอายอะไรเลย”ผมมองหน้าน้อง พยายามสร้างความเชื่อมั่นให้อีกฝ่าย จนปั้นยอมเลิกเกร็งตัวยอมให้ผมถอดเสื้อยืดตัวบางออกไป ก่อนที่ผมจะขยับมาถอดเสื้อตัวเองตามไป

“ปั้น ปั้นตัวขาวจัง”ผมกระซิบบอกอีกฝ่าย ริมฝีปากคู่เดิมเริ่มลัดเลาะมายังผิวเนื้อเนียนช่วงอก นิ้วมือขยับมาเกลี่ยยอดอกอีกฝ่ายจนปั้นต้องบิดตัวด้วยความเสียว

“อื้อ พี่โอม”เสียงอีกฝ่ายพร่าเลือนในความรู้สึกผม เมื่อในหัวผมกลับจดจ่อเพียงแต่เรือนร่างขาวบางตรงหน้าเท่านั้น ริมฝีปากผมหยุดตรงยอดอกก่อนจะลิ้มชิมรสมันอย่างหลงใหล ยอดอกเล็กๆกลับแข็งเป็นไตสู้กับลิ้นผม ผมขยับลิ้นเล่นกับยอดอีกฝ่ายจนคาดว่าน่าจะแดงเป็นปื้น มืออีกข้างของผมก็ยังคงขยับถูไถกับยอดอกของน้อง จนปั้นตัวแทบลอยจากเตียง หน้าตาแดงก่ำทะลุความมืด ผมเลื่อนริมฝีปากไปยังอีกข้างแล้วก็ทำกับยอดอกดังเช่นที่ทำกับข้างเดิม มีการฝากร่องรอยไว้ตามประสาผู้ชายขี้หวง สองมือขยับเลื่อนไปยังสะโพกของน้อง ผมเลื่อนมือกุมหนั่นเนื้อของน้อง ขยำลูบไล้เล่นอย่างสนุกมือ

“พี่โอม...”เสียงน้องเรียกชื่อผมด้วยเสียงแหบพร่า พอได้ยินเสียงแบนี้แล้วอยากจะทำให้ร้องดังกว่าเดิม

“ว่าไงครับ”ผมสอดมือมาลูบไล้ตรงหน้าขาของอีกฝ่าย กางเกงบ็อกเซอร์ที่อีกฝ่ายใส่นอนเลื่อนถลกขึ้นสูงจนผมแอบหวาดเสียว

“คิกๆ ฮ่าๆๆ พี่โอม เอามือออกก่อน”อารมณ์นี้มันยังเสือกหัวเราะ นี่ผมจะประสาทเสียกับแฟนผมแล้วนะ

“อะไรปั้น”ผมทำเสียงดุอีกฝ่ายที่ขัดอารมณ์

“ก็ปั้นบ้าจี้ตรงต้นขาอ่ะ”น้องมันเถียงครับ

“เนี่ย เดี๋ยวปั้นทำพี่โอมบ้าง พี่โอมจะได้รู้ไงว่ามันจั๊กจี้แค่ไหน”น้องไม่ว่าเปล่า ยังสอดมือเย็นๆมาลูบไล้ตรงต้นขาผมอีก อันที่จริงผมก็บ้าจี้นะ แต่ฝืนเกร็งทำหน้าเฉยเอาไว้ เพื่อผมจะได้มีข้ออ้างจับต้นขาน้องมันได้ ผมนี่ชั่วจริงๆ

“ไม่เห็นจะจั๊กจี้ตรงไหนเลย ปั้นมั่วแล้ว”คนที่มั่วมันคือผมต่างหาก ผมไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายหาข้ออ้างมาเถียงผมอีก ผมค่อยกระตุกขอบกางเกงอีกฝ่ายเป็นการบอกให้รู้ว่าผมจะถอดออกแล้ว

“พี่โอม ปั้นเขินอ่ะ ไม่พร้อมด้วย”น้องเริ่มอิดออด แต่อารมณ์หื่นของผมถ้าถูกปลุกแล้วมันก็ดับยากอยู่นะครับ

“ไม่ต้องกลัวหรอกปั้น พี่จะทำเบาๆ”ผมให้สัญญา ถึงน้องมันจะไม่กลัวเจ็บผมก็ไม่อยากจะทำแรงอยู่ดี อยากจะถนอมมันไว้กับตัวเองนานนะครับ

“พี่โอม จริงๆนะ ปั้นยังไม่พร้อมเลย วันนี้ทำแค่ข้างนอกนะครับ นะคร้าบบ”เห็นมันอ้อนแล้วก็สงสารนะครับ สงสารทั้งน้องมัน สงสารทั้งตัวเอง ทำไมผมต้องแพ้ทางมันเวลาน้องมันอ้อนด้วยเนี่ย ไม่เข้าใจตัวเอง

“ก็ได้ แต่คราวหน้าไม่ยอมแล้วนะ”ผมบอกมันก่อนจะสอดมือไปถอดกางเกงน้องมันออก เหลือเพียงกางเกงชั้นในสีเข้มที่กดรัดอีกฝ่ายจนเห็นเป็นรูปร่างชัดเจน ส่วนปั้นก็เอื้อมมือมาช่วยผมถอดกางเกงออกแต่โดยดี นี่มันไม่เคยแน่หรอวะ ผมชักจะไม่มั่นใจกับแฟนตัวเองแล้ว ผมลูบไล้ส่วนนั้นของน้องผ่านร่มผ้า พอปั้นเห็นผมทำอย่างนั้นก็มาทำแบบเดียวกับผมทันที

“อื้อ ปั้น”ผมหลุดเสียงครางต่ำในลำคอไม่ได้ มันดันจับจุดอ่อนของผู้ชายไว้ทั้งหมดเลย ผมถกกางเกงชั้นในของน้องลง เปิดเผยแก่นกายของอีกฝ่ายเต็มที่ ผมกระชับมือรอบแก่นกายอีกฝ่าย ก่อนจะขยับขึ้นลงอย่างเนิบนาบ ก่อนจะเร่งจังหวะในตอนสุดท้าย

“พี่โอม อือ ปั้นจะไม่ไหวแล้ว อื๊อ”ปั้นขยับมือให้เร็วขึ้น ตอนนี้ผมเองก็แทบจะทนไม่ไหว ขนลุกทั่วสรรพางค์กาย ความรู้สึกเหมือนเลือดไปเลี้ยงช่วงล่างเยอะกว่าปกติจนหัวหูของผมอื้ออึงไป จนในจังหวะสุดท้ายปั้นหลุดเสียงครางออกมาเต็มที่ก่อนจะปลดปล่อยของเหลวออกมาทั่วมือผม หลังจากนั้นผมก็ตามอีกฝ่ายมาติดๆ กลิ่นคาวคลุ้งไปทั่ว แต่ผมกลับอิ่มเอมในความสุขที่ได้รับอย่างถึงที่สุด เสียงหอบหายใจกระชั้นถี่ สลับกับหยาดเหงื่อที่หลั่งไหลออกมาจนทั่วตัว ผมนิ่งรอจนลมหายใจและจังหวะการเต้นหัวใจของเราสองคนเป็นปกติ แล้วจึงลุกไปทำความสะอาดร่างกายพร้อมปั้น

“ปั้น พี่รักปั้นมากเลย รู้ไหม”ผมแนบตัวเองเข้าไปกอดอีกฝ่าย พร้อมกับจูบหน้าผากแนบแน่นอีกครา

“ได้ขนาดนี้แล้วลองไม่รักดูสิ”ปั้นว่าผมเสียงเขียว แต่สีหน้ากลับตรงกันข้ามสิ้นเชิง ผมยิ้มให้กับคำพูดนั้น ต่อให้ปั้นไม่มอบร่างกายให้กับผม ถึงยังไงผมก็ยังรักปั้นมากที่สุดเหมือนเดิม

“แค่นี้ก็หลงแทบบ้าแล้ว”ผมบอกแค่นั้นก่อนจะเดินนำหน้าออกมาจากห้องน้ำ แล้วเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเพื่อที่จะได้นอนจริงๆสักที

“ฝันดีนะครับ”ผมกระซิบบอกคนตัวเล็กกว่า ส่วนน้องก็มาจุ๊บแก้มผมทีนึงแต่ไม่พูดอะไร แต่แค่นี้ก็ทำให้ผมฝันดีเหลือล้นแล้ว ผมกระชับอ้อมกอดให้อีกฝ่ายมานอนในอ้อมกอดตัวเอง แม้คืนนี้อากาศจะหนาวเย็นสักเท่าไหร่ แต่ผมกลับคิดว่าถ้าผมมีแค่คนนี้ในอ้อมกอด ผมก็คงอุ่นสบายไปตลอดชีวิต

พวกคุณเคยได้ยินคำพูดประโยคนี้ไหม










ความรัก ก็คือ เวลาที่คุณนั่งข้างใครบางคน แม้เพียงนั่งข้างกันเฉยๆ แต่คุณก็รู้สึกมีความสุขอย่างที่สุดแล้ว









ตอนนี้ ผมรู้สึกอย่างนั้น...








[attachment deleted by admin]

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
คู่พี่โอมน้องปั้นหวาน มีหื่นด้วย

คู่วินนิ่ง ปวดใจ

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9

lew_valen_tom

  • บุคคลทั่วไป
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมก็รีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วก็ขับรถไปส่งปั้นที่หอใน ดีที่ปั้นเรียนสิบโมง เลยไม่ต้องตื่นเช้ากว่านี้ เพราะผมเองก็มีเรียนแปดโมง ขับรถเข้ามอมาก็เลยไปสั่งปั้นได้เลย ผมขับรถมาถึงตึกคณะตอนประมาณเจ็ดโมงสี่สิบ ยังพอมีเวลาเหลือให้ผมได้ซื้ออะไรกินสักหน่อย

“เฮ้ย ไอ้โอม”ผมหันหน้าไปตามเสียงเรียก ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากไอ้เต้ เพื่อนสนิทผม

“เออ ไอ้วินกับนิ่งมารึยัง”ผมถามมันขณะเปิดตู้เย็นหยิบนมกล่อง กับขนมปังแล้วเดินไปจ่ายเงิน

“นั่นแหละ ที่กูจะบอก มึงมานี่เลย”ผมยังไม่ทันได้เก็บเงินทอนใส่กระเป๋าดีเลย ไอ้เต้ก็คว้าแขนผมเดินดุ่มๆมายังด้านข้างตึกคณะ

“มีอะไรวะ ต้องเดินมาคุยกันไกลขนาดนี้”ผมเจาะกล่องนมขึ้นดูด

“ก็ไอ้วิน กับไอ้นิ่งอ่ะดิ”แค่เริ่มต้นบทสนทนากูเรียกความสนใจผมได้เต็มร้อยเลย

“มันสองคนมีอะไรวะ เมื่อคืนมันสองคนทะเลาะกันอีกรึไง”ผมอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ ก็ไอ้วินมันใช่คนใจเย็นซะที่ไหน เวลาเลือดลมจะขึ้นทีพวกผมเองก็เอามันไม่ค่อยอยู่

“ยิ่งกว่าทะเลาะอีกมึง”

“หา”คำพูดเต้ทำผมแทบทรุด ยิ่งกว่าทะเลาะนี่มันไม่กระทืบกันตายเลยหรอวะ

“เดี๋ยวเข้าห้องเรียนไป มึงก็รู้เอง”เอ๊า ไอ้นี่นิ มาบอกให้ผมค้างคาไว้อย่างนี้เพื่อ? มีใครเข้าใจเพื่อนผมสักคนบ้างไหม

.

.

ผมเข้ามาในห้องเพื่อเตรียมเรียนในช่วงเช้านี้ ก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน ทุกทีผมจะนั่งข้างๆเต้ ส่วนวินกับนิ่งก็นั่งคู่กันข้างหลังผม แต่คราวนี้มันไม่เหมือนทุกวัน ผมก็นั่งข้างเต้เป็นปกติ น้ำนิ่งก็นั่งข้างหลังผมเช่นเดิม แต่... ไอ้วิน ทำไมมันกระแดะไปนั่งหน้าห้องว่ะ ทุกทีก็หลับเวลาเรียนอยู่แล้ว แล้วทำไมยังไปนั่งหน้าห้องเลย

“นิ่ง ทำไมมันไปนั่งนั่นวะ”ผมหันกลับไปถามก่อนที่อาจารย์จะเข้าสอน เห็นตามันแดงๆนิดๆ สรุปว่าเรื่องนี้มันใหญ่ขนาดไหนเนี่ย

“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน”ผมมั่นใจว่ามันต้องรู้แน่ๆ แต่ผมก็พอจะรู้ว่าซักไซ้อีกฝ่ายต่อไปก็ไม่มีทางง้างปากให้มันพูดเรื่องจริงออกมาได้

ผมกับเต้หันมามองตากันอย่างรู้ทัน ในใจคิดแค่ว่าเดี๋ยวเที่ยงนี้ได้มีเคลียร์กันแน่

“ไอ้เต้ มึงว่าไอ้วินคิดยังไงกับนิ่งวะ”ผมแอบกระซิบคุยกับเต้เวลาเรียน แต่ก็พยายามไม่ให้นิ่งผิดสังเกต

“มึงไม่ต้องถามแล้วมั้ง เมื่อคืนนี้ก็โคตรชัด มึงถามว่าไอ้นิ่งคิดยังไงกับไอ้วินดีกว่า”คำพูดไอ้เต้ทำเอาผมคิดหนัก จะว่าไปมันก็ใช่ พวกผมไม่เคยรู้เลยว่านิ่งคิดยังไงกับวินกันแน่ แต่ผมก็เห็นว่ามันเป็นห่วงเป็นใยกันดี ดูแล้วก็น่าจะรักกันพอประมาณ แต่มันเป็นความรักในรูปแบบไหนกันล่ะ

.

.

ผมรอจนเที่ยง กะไว้ว่าจะลากไอ้วินให้มาคุยกันให้รู้เรื่อง ปรากฏว่าพอเรื่องคลาสปุ๊บ มันก็สะพายกระเป๋าปั๊บ แล้วเดินมาบอกพวกผมว่ามันจะไปกินข้าวกับอีกกลุ่มหนึ่ง ให้พวกผมไปกันเลย แล้วมันก็จะรอที่ห้องเรียนเลย ผมไม่ทันจะแย้งคำพูดมันสักคำ มันก็เดินจากพวกผมไปอย่างรวดเร็ว นิ่งที่ยังเก็บประเป๋าไม่ทันจะเสร็จดีก็ได้แต่มองตาม ไอ้พวกผมก็จนปัญญาจะหาข้ออ้างให้วินเหมือนกัน

“เอ้อ นิ่ง สงสัยไอ้วินจะรีบทำงานมั้ง เห็นว่างานกลุ่มมันนัดคุยกันน่ะ”เสียงเต้ที่แก้ต่างให้วินทำเอาผมอยากจะเดินไปตบกะโหลกมันนัก ข้ออ้างมึงนี่สรรหามาได้เนอะ

“ไม่เป็นไรหรอก เราก็พอรู้บ้าง”นิ่งพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มซีดเซียว สรุปว่าเมื่อคืนเคลียร์กันยังไงวะ นิ่งมันก็พอรู้บ้าง แต่พวกผมนี้ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย ผมได้แต่ตบไหล่มันเบาๆอย่างให้กำลังใจ แค่หวังว่ามันน่าจบลงในทางที่ดี ไม่ช้าก็เร็ว

.

.

.

หลังจากวันนั้น เหตุการณ์แบบนี้ก็เกิดขึ้นอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนพวกผมแอบสงสารน้ำนิ่งอย่างแรง เพราะช่วงนี้น้ำนิ่งทำตัวเหมือนคนเอาร่างกายมาเรียน แต่ลืมเอาวิญญาณมาด้วย เพราะผมสัมผัสได้ เกี่ยวไหมเนี่ย แต่ก็นั่นแหละ ไม่ใช่น้ำนิ่งฝ่ายเดียวที่ผมสงสาร ไอ้วินก็น่าสงสารไม่แพ้กัน ดูท่าสายตาเวลามันมองมาทางผมผมก็บอกชัดให้รู้ว่าอยากจะเดินเข้ามาคุยกับพวกผมขนาดไหน แต่เหมือนอะไรสักอย่างที่ฉุดรั้งมันไว้ มันไม่แม้แต่จะเฉียดใกล้พวกผมเลยด้วยซ้ำ มีเพียงแค่บางครั้งที่มันจะส่งยิ้มทักทายผมบ้าง แค่นั้นเอง แต่สำหรับคนที่เป็นเพื่อนสนิทกัน แค่นี้ก็ทำเอาพวกผมอึดอัดอย่างที่สุด เป็นคนกลางนี่มันลำบากจริง

“นิ่ง สรุปว่าจะเล่าให้เราฟังได้รึยัง เรื่องของนิ่งกับไอ้วินน่ะ”จนวันหนึ่งที่เต้อดทนไม่ไหวต่อไปเอ่ยปากถามขึ้นมา นั่นก็เป็นสิ่งที่ค้างคาในใจผมเช่นกัน เหตุการณ์นี้มันดำเนินมาจะสองสัปดาห์แล้ว แต่ผมก็ไม่ได้คำตอบจากฝ่ายไหนเลย

“เต้จะอยากรู้ไปทำไม นั่นมันเรื่องของคนอื่น ไม่ใช่ของเต้สักหน่อย”เหมือนโดนนิ่งด่าว่าเสือก ดีที่เป็นไอ้เต้ถาม ลองถ้าเป็นผมนี่คงไม่กล้าถามนิ่งอีกต่อไป

“เออ กูเสือก แต่พวกมึงเป็นเพื่อนกูนะเว่ย กูรู้ไม่ได้รึไง”คำด่าไม่มีผลต่อมนุษย์หน้าหนาเช่นมันจริงๆ

“เออ เล่าก็ได้ ก็แค่เราคงเป็นคนรักกับวินไม่ได้หรอก เราคิดกับวินแค่เพื่อน จบแล้ว”คือถ้ามึงจะเล่าแบบนี้นะ ไอ้ผมก็รู้จะพูดยังไงต่อไปดี ได้แต่มองตากับเต้ปริบๆ นี่สรุปเรื่องมันมีเท่านี้จริงหรอวะ

“แล้วทำไมไอ้วินมันถึงทำตัวแบบนั้น”คราวนี้ผมถามครับ แต่คำถามนี้เล่นเอานิ่งหน้าเปลี่ยนสีไปนิดนึง

“ก็ไม่รู้สิ คงไม่อยากจะเป็นเพื่อนกับเราแล้วมั้ง”ผมว่ามันรู้ชัวร์ เอาอีกแล้ว มีอะไรมันไม่เคยบอกพวกผมเลย

“นิ่ง นิ่งเป็นเพื่อนเรานะ ทำไมนิ่งไม่คิดอยากจะบอกอะไรพวกเราบ้างหรอ เป็นเพื่อนกันมันก็ต้องพูดกันได้ทุกเรื่องเปล่าวะ”ผมพูดกับมันตรงๆ เรื่องนี้ก็หลายครั้งหลายคราแล้ว นิ่งเป็นพวกที่แบบมีอะไรก็เก็บไว้ในใจ ไม่พูดให้คนอื่นฟัง ยังดีที่เมื่อก่อนมีไอ้วินคอยล้วง คอยรื้อออกมาถาม แต่ตอนนี้พวกผมคงต้องทำหน้าที่นั้นแทนแล้ว

“ขอบใจนะ”

“เปลี่ยนคำขอบใจ มาเล่าให้พวกกูฟังดีกว่าว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พวกกูจะได้ช่วยแก้ให้จะดีกว่าไหม”ผมล่ะอยากจะปรบมือให้คุณชายเต้จริงๆครับ ทำมันวันนี้มันพูดจาเข้าหูคนได้วะ

ผมตั้งหน้าตั้งตารอให้นิ่งยอมเปิดปากเล่า ในที่สุดนิ่งก็ยอมอธิบายเรื่องทั้งหมดให้พวกผมฟัง แต่ทำไมยิ่งฟังยิ่งรู้สึกแย่กับพวกมันสองคนก็ไม่รู้ ผมว่าผมส่งให้มันสองคนไปเคลียร์กันเองตอนคืนนั้นเพื่อที่ว่ามันจะได้จบแบบมีความสุขชั่วนิรันดร์ ได้ไฉนเลยมันถึงได้ไปเถียงกันต่อที่ห้องพวกมันล่ะเนี่ย

“แล้วนิ่งก็ไปพูดอย่างนั้นกับไอ้วิน”ไอ้เต้ถามเสียงสูง

“อือ”ผมอยากจะเป็นลม นี่มันคิดได้ไงวะ ขอให้มาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม

“นิ่ง นิ่งเคยมีแฟนไหม”ผมถามมัน อันที่จริงเรื่องพวกนี้ผมก็ไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับมันหรอก

“ก็เคยมีบ้าง”

“แล้วนิ่งกับแฟนนิ่งเลิกกันไป แล้วกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย”คราวนี้นิ่งเริ่มคิดตาม ก่อนจะส่ายหน้าให้กับคำถามผม

“แค่นี้ก็น่าจะเข้าใจได้แล้วนะนิ่ง เรื่องอย่างนี้มันกลับมาเป็นเพื่อนกันไม่ได้หรอกนะ”ผมว่าให้อีกฝ่ายอย่างอดไม่ได้จริง เรื่องเรียนล่ะฉลาดนัก ทีเรื่องอย่างนี้ล่ะไม่ได้รู้เรื่องเลย

“ก็เรายังไม่ได้จะเริ่มคบกันเลย ทำไมเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้”นี่มันหลักการไปไหมวะเนี่ย

“นิ่ง ต่อให้เริ่มคบกันหรือไม่เริ่มคบกัน มันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้หรอก เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าความรู้สึกของไอ้วิน มันเริ่มไปแล้วต่างหาก”ทำไมผมต้องมาอธิบายเรื่องแบบนี้ด้วยเนี่ย

“แล้วความรู้สึกนิ่งล่ะ มันเกิดรึยัง”คราวนี้ไอ้เต้กับผมแทบจะรุมสอบสวนเพื่อนตัวเอง

“ก็เราไม่ได้รู้สึกอะไรกับวิน แค่เพื่อนกันเท่านั้น”

“นิ่ง กูว่ามันไม่ใช่และ มึงไม่ใช่ไม่รู้สึกอะไรกับไอ้วิน กูว่ามึงแค่ยังไม่รู้ต่างหากว่ามึงรู้สึกยังไงกับไอ้วิน”เต้พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมเองก็คิดตามที่มันพูด และก็เห็นด้วยกับประโยคนั้นด้วย

“เราจะไม่รู้ได้ไง เรา...”

“มึงอย่ามาเถียงหน่อยเลย แค่ไอ้วินมันไม่มาอยู่กับมึงแค่สองอาทิตย์นี้ มึงกลับไปนอนร้องไห้ที่ห้องขนาดไหนหรอ แค่นี้บอกมึงไม่พอรึไง”คราวนี้นิ่งกลับนั่งเงียบ ไม่เถียงเต้สักคำ

“นิ่ง กูไม่ใช่ว่ามึงนะเว่ย แต่มึงมันเป็นพวกกลัวการเปลี่ยนแปลง แค่การจะพัฒนาความรู้สึกของตัวเอง มึงยังไม่กล้าเลย แล้วอย่างนี้คนที่รักมึงเขาก็ช้ำใจตายสิวะ”ผมปล่อยให้เต้สั่งสอนนิ่งชุดใหญ่ ก็พอจะรู้มาบ้างแหละว่านิ่งมันก็เป็นคนแบบที่เต้บอกจริงๆนั่นแหละ แต่ผมก็ไม่รู้จะพูดกับคนแอบหัวรั้นแบบมันยังไงดี ได้เต้มาช่วยเตือนก็ดีเหมือนกัน

“เอาจริงๆแล้วนะนิ่ง กูถามมึง มึงต้องตอบกูตามจริงนะเว่ย ถ้าต่อจากนี้ชีวิตของมึงจะไม่มีไอ้วินอีกต่อไป มึงจะรู้สึกยังไง”ผมเห็นหน้านิ่งแล้วสงสารขึ้นมาจับใจ ผมว่านิ่งก็ต้องเคยคิดเกี่ยวกับคำถามไอ้เต้บ้างแหละ ผมเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะรู้สึกยังไง แต่ตอนนี้สีหน้าของนิ่งบอกผมได้ทุกอย่างโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย

“นิ่งไม่ต้องบอกกับพวกเราก็ได้ แต่นิ่งรู้ใช่มั้ย ว่าใครคือคนที่นิ่งควรไปบอก อย่าให้มันสายเกินกว่าที่ความรู้สึกนั้นของคนนั้นจะหายไปเลย”ผมบอกกับนิ่งที่นั่งทำตาแดงๆอยู่ข้างไอ้เต้

“เฮ้อ ไอ้นิ่งเอ้ย มึงกับไอ้วิน รักกันมากกว่าที่พวกมึงคิดซะอีก บางทีที่ฝุ่นมันเข้าตา มันก็ต้องเรียกให้คนอื่นมาช่วยเป่าออกบ้าง ตอนนี้พวกกูเป่าออกให้มึง อยู่ที่มึงจะเดินต่อไป หรือยืนนิ่งๆให้ฝุ่นมันเข้าตามึงอีก กูรู้ว่ามึงไม่ใช่คนโง่ มึงอาจจะความรู้สึกช้าไปบ้าง แต่กูเชื่อว่าวินมันต้องรอมึงอยู่ทุกลมหายใจแน่นอน เพราะไม่มีใครที่มันจะรักได้เท่ากับมึง และก็ไม่มีใครที่มึงจะรักได้เท่ากับมัน กูพูดถูกมั้ย”ไอ้เต้โอบหัวไอ้นิ่งให้มาพิงกับบ่าตัวเอง ก่อนจะโยกหัวอีกฝ่ายราวกับเด็กน้อย ผมส่งยิ้มให้กำลังใจกับนิ่ง ผมคิดว่าคำพูดพวกผมน่าจะมีอิทธิพลมากพอที่จะเปลี่ยนความเข้าใจผิดๆของนิ่งได้ และหวังว่าพรุ่งนี้ของพวกมันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ความรักนี่ก็แปลกชอบเล่นกลกับคนเรื่อยเลย ไม่รู้ว่าเทพอีรอสสนุกนักรึไง



ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
นิ่งไปฝ่ายไล่ตามบ้างแล้วววว  :katai3:

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
นิ่วเอ้ย...คราวนี้นิ่งไม่ได้แล้วนะ

lew_valen_tom

  • บุคคลทั่วไป
WinNing --> Win’s Talk


หลังจากวันนั้น ผมก็ตีตัวออกห่างจากนิ่งให้มากที่สุด แต่ก็พยายามไม่ให้นิ่งรู้สึกไม่ดี เพราะฉะนั้นผมก็เลยตัดสินใจเดินออกมาคนเดียว ทิ้งให้นิ่งได้อยู่กับเพื่อนสนิทอีกสองคนท่าจะดีกว่า แต่การใช้ชีวิตที่ไม่มีนิ่งไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย แต่ละวันแต่ละคืนผ่านไปอย่างยากลำบาก ไม่มีใครรู้ใจผมเท่ากับนิ่งอีก ไม่มีใครมาคอยสนใจ มาคอยถามไถ่ มาคอยห่วงใยผมแบบที่นิ่งทำ ไม่มีคนที่แค่มองตาผมก็รู้ว่าผมคิดยังไง ไม่มีคนๆนั้นอีกแล้ว

ผมกลับมาถึงห้องก็ทิ้งตัวลงนอนทันที นี่ก็สองสัปดาห์แล้วที่ผมต้องฝึกการใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ผมรู้ว่าพวกเต้กับโอมคงจะสงสัยไม่ใช่น้อยกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่านิ่งจะเล่าให้พวกนั้นฟังรึเปล่า แต่ถ้าเดาจากนิสัยนิ่ง ผมคิดว่าไม่...

.

.

ก็อกๆๆ

เสียงเคาะประตูปลุกผมให้ตื่นจากความฝัน นี่ผมหลับไปตอนไหนเนี่ย ผมเหลือบตามองนาฬิกาข้างฝา ตอนนี้ก็ทุ่มกว่าแล้วสินะ เสียงเคาะประตูยังดังไม่เลิก ผมเดินไปเปิดประตูนึกสงสัยอยู่ว่าใครมาเคาะ เพราะทุกทีจะมีแค่น้ำนิ่ง แต่ตอนนี้เขาคงไม่มาเคาะประตูห้องผมแล้วล่ะ

“แป็บเดียว”ผมบอกให้คนเคาะเลิกเคาะประตูได้แล้ว ก่อนจะขยับมือไปบิดลูกบิด ผมออกแรกดึงประตูให้เปิด แต่ทำยังไงมันก็เปิดไม่ออก

“ใครเล่นบ้าอะไรวะเนี่ย ทำไมประตูเปิดประออก”ผมอดสบถออกมาไม่ได้ คือประตูห้องผมมันมีกลอนให้ใส่แม่กุญแจล็อคทางหน้าประตูห้องอีกชั้น เวลาเราจะออกไปข้างนอกก็ล็อคไว้กันขโมยได้ แต่ปกติผมก็ล็อคแค่ลูกบิดเท่านั้น

“เฮ้ย ไม่ตลกนะเว้ย”ผมทุบประตูกลับ คนยิ่งเพิ่งตื่นยังต้องมาเจออะไรแบบนี้อีก เสียงเคาะประตูหายไป แต่ผมก็ไม่ได้ยินเสียงคนที่อยู่หน้าห้องเลยสักนิด สักพักผมก็รู้สึกถึงอะไรยางอย่างมาสัมผัสโดนที่เท้าของผม มันเป็นกระดาษโน้ตแผ่นน้อยสีขาวสอดเข้ามาทางใต้ประตู เนื้อความในกระดาษแผ่นน้อยนั้นเขียนไว้ว่า

‘ขอคุยด้วยหน่อย’

ผมว่าลายมือนี้คุ้นๆ คิดว่าน่าจะเป็นลายมือของนิ่งแต่ก็ยังไม่ชัวร์เท่าไหร่ ลายมือนี้มันดูบรรจงมากกว่าปกติ

“แล้วนี่ใคร ทำไมต้องล็อคประตู ก็เปิดดิ จะคุยกันดีๆแล้ว”หลังจากจบประโยคผม ก็มีเสียงขูดเขียนดังขึ้นเล็กน้อย

‘คุยกันแบบนี้แหละ’ข้อความในกระดาษแผ่นน้อยถึงส่งมาอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้ตอบว่าใคร แต่คราวนี้ผมมั่นใจแล้วว่าเป็นน้ำนิ่งแน่นอน

“งั้นก็ว่ามา”ผมทรุดตัวลงนั่งข้างประตู รอคอยเจ้ากระดาษแผ่นสีขาวที่จะส่งมา

‘ถ้าคนสำคัญคนหนึ่ง กำลังจะเดินออกไปจากชีวิตของเรา เราต้องทำยังไง’

ผมอ่านกระดาษแผ่นนั้นแล้วน้ำตาผมแทบจะไหลออกมาทันที นี่มันใช่เรื่องจริงรึเปล่า ผมไม่เคยคิดโกรธน้ำนิ่งเลยเรื่องที่ปฏิเสธผม แต่ผมก็ไม่คิดว่านิ่งจะมาพูดเรื่องนี้ซ้ำกับผมอีก

“ก็คว้าเขาไว้ให้ได้”ผมตอบอีกฝ่ายเสียงสั่นเครือนิดๆ

‘แล้วรู้ได้ไงว่าเขายังเห็นเราสำคัญเหมือนเดิม’

กระดาษแผ่นน้อยถูกส่งมาอีกครั้ง ผมพยายามนึกคำตอบที่ทำให้นิ่งรู้ว่า ผมยังเห็นเขาสำคัญเหมือนเดิม

“แค่มองตาก็รู้ใจ”ผมก็อยากให้นิ่งได้มองตาผม แล้วนิ่งก็จะรู้เลยว่าสายตาผมไม่เคยเห็นใครสำคัญไปกว่านิ่งเลย เสียงกุกกักบ่งบอกให้รู้ว่าคนข้างนอกกำลังไขกุญแจออก ทำเอาผมรีบผุดลุกขึ้นยืนทันที

เวลาแค่ไม่กี่วินาทีทำเอาผมแทบบ้า ผมรออีกฝ่ายเปิดประตูเข้ามาหาผม เวลาแต่ละวินาทีเดินเชื่องช้าจนน่าขัดใจ เสียงหัวใจกระหน่ำรัวอยู่ในอกผมจนหูผมแทบอื้อ เพียงแค่วินาทีแรกที่สบตากับอีกฝ่าย โลกทั้งใบที่หมุนรอบตัวผมก็ไม่สำคัญอีกต่อไป เสียงเข็มวินาทีที่ขยับตัวเดินก็หาได้เข้ามากระทบโสตประสาทผมไม่ ผมเข้าใจแล้วที่ทุกคนพูดว่าเหมือนเวลามันหยุดเดิน มันโลกทั้งใบมันหยุดหมุน เพียงแต่ผมมีเขาคนนั้น

“มีคนบอกว่าแค่มองตาก็รู้ใจ แต่เราก็ยังอยากได้ยินเสียงเขาอยู่ดี”นิ่งพูดพร้อมกับลูบท้ายทอยแก้เก้อ หน้าตาขัดเขินเกินจะกล่าว

“นิ่งเป็นคนนั้น คนที่เป็นยิ่งกว่าคนรักของเรา”ผมตอบสนองความต้องการอีกฝ่ายด้วยคำพูดเดิมที่ผมเคยพูด ผมไม่เคยเปลี่ยนความรู้สึกของผมที่มีต่อนิ่งได้เลย แม้ว่าจะบังคับตัวเองมากเท่าไหร่ในช่วงที่ห่างกัน แต่ความรู้สึกก็ไม่ได้ลดลงเลย กลับยิ่งโหยหาเป็นทวีคูณ

“ขอโทษ”นิ่งยืนก้มหน้าแบบคนรู้สึกผิด จนผมต้องก้าวเดินไปประคองใบหน้าอีกฝ่ายให้เงยขึ้น แล้วต่อยๆใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน

“ไม่ต้องขอโทษ นิ่งไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”

“ผิดสิ ผิดที่รู้ตัวช้า ผิดที่ทำให้วินต้องเสียใจ ผิดที่ทำให้คนอื่นต้องเป็นห่วง”ผมกดใบหน้าอีกฝ่ายให้มาซบกับบ่าผม แล้วลูบหลังอีกฝ่ายเบาๆ

“ชีวิตที่ไม่มีนิ่งเหมือนไม่ใช่ชีวิตของเราเลย ขอบคุณที่นิ่งรู้ตัวช้า เพราะถ้านิ่งไม่รู้สึกตัวเลย เราเองคงใช้ชีวิตไปวันๆก็เท่านั้น ขอบคุณที่นิ่งทำให้เราต้องเสียใจ เพราะมันทำให้เรารู้ว่านิ่งสำคัญกับเรามากแค่ไหน”หยาดน้ำตาอีกฝ่ายไหลทะลักทลายมากขึ้นเมื่อผมพูดจบประโยค อ้อมแขนอีกฝ่ายยิ่งโอบรัดรอบคอผมแน่นขึ้น แต่ผมชอบความรู้สึกนี้ ความรู้สึกที่อีกฝ่ายกลัวเราจะสูญหายไป เพราะมันทำให้ผมรู้ว่า ไม่ใช่ผมคนเดียวที่กลัวเรื่องแบบนี้

.

.

.

ผมรออีกฝ่ายหยุดร้องไห้ แล้วจูงมือให้ไปนั่งตรงเตียงผม ส่วนผมก็ลากเก้าอี้ตัวเดิมที่นิ่งเคยนั่งมานั่ง แค่หวังไว้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะกลับตาลปัตรกับครั้งนั้น

“ตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอกว่าเราเองรู้สึกยังไง แต่พอไม่มีวิน อะไรๆก็ดูไม่ใช่ไปซะทุกอย่าง จนวันนี้เต้กับโอมมาพูดกับเรา ทำให้เรารู้ว่าเราเป็นคนที่กลัวการเปลี่ยนแปลงขนาดไหน เรากลัวว่าถ้าเรากับวินหันมาคบกันแบบจริงจัง แล้วอะไรๆมันจะไม่เหมือนเดิม”นิ่งเป็นคนเปิดประเด็นให้ผมรับรู้ บางทีส่วนลึกในใจของผมก็อาจจะรู้อยู่แล้วว่าที่ผมทำแบบนี้เพื่ออะไร

“มันก็ต้องมีบางอย่างบ้างสิที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างน้อยความสัมพันธ์ของเราก็เปลี่ยนรูปแบบ เราเองก็อาจจะใจเย็นขึ้น เพราะมีนิ่งอยู่ด้วย นิ่งก็อาจจะพูดมากขึ้นเพราะมีเราอยู่ด้วย ถ้านิ่งมองเห็นการเปลี่ยนแปลงพวกนี้ นิ่งจะไม่คิดมากเลยเรื่องความรู้สึกของเรา เพราะนิ่งมองแต่สิ่งที่ใหญ่เกินไป จนลืมมองเรื่องเล็กๆน้อยๆพวกนี้ แต่ก็เพราะนิ่งเป็นคนแบบนี้ไง นิ่งเป็นคนมองอะไรไกลๆ ทำให้เราเริ่มชอบในตัวนิ่ง”

“ขอโทษ”นิ่งพูดคำนี้อีกแล้ว ผมขยับตัวเข้าไปใกล้เพื่อจะเช็ดน้ำตาให้

“ไม่เอาน่า ไม่ร้องแล้ว เราบอกกี่ครั้งแล้วว่านิ่งไม่ผิด ไหน ลองบอกมาสิว่าตอนนี้นิ่งอยากจะเป็นเพื่อนกับเราเหมือนเดิมรึเปล่า”ผมถามประโยคที่เจ้าตัวเคยเรียกร้องเมื่อครั้งก่อน นิ่งรีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน ทำเอาผมอดยิ้มออกมาไม่ได้

“งั้นคราวนี้อยากให้เราเป็นอะไรกัน”

“อยากให้เราเป็น... เป็นคนที่เป็นยิ่งกว่าคนรักของกันและกัน”นิ่งบอกออกมาพร้อมใบหน้าแดงก่ำ แต่เพราะประโยคนี้ทำให้ผมยิ่งต้องฉีกยิ้มกว้างมากขึ้น

“คุณได้สิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้ครับ”ผมพูดติดตลกเรียกเสียงหัวเราะทั้งน้ำตาจากอีกฝ่ายทันที

“นิ่งรู้ไหม ว่าตำแหน่งนี้เป็นแล้วออกจากยากนะ จะบอกให้”ผมบอกอีกฝ่ายไว้ล่วงหน้า ยังไงผมก็ไม่ปล่อยให้นิ่งหลุดมือไป และจะไม่ยอมปล่อยมืออีกฝ่ายไปอีกครั้งแน่นอน

“แล้ววินรู้ไหมว่าตำแหน่งนี้เป็นแล้วห้ามลาออกนะ”นิ่งกำมือผมไว้แน่น

“ต่อให้ไล่ก็ไม่ไปหรอก”ผมโอบเอวอีกฝ่ายไว้จนแน่น ก่อนจะประทับจูบเบาๆตรงหน้าผากแล้วก็ข้างแก้มทั้งสองข้าง
ความรักครั้งนี้ของผม ผมได้มันมาครอบครองยากนัก แต่นั่นก็ทำให้เรารู้ว่า อะไรที่เราได้มายาก เราต้องถนอมมันไว้ให้ดีที่สุด ความรักก็เหมือนกัน ยิ่งเราได้มายาก เราก็ต้องอยากจะรักษามันไว้ให้นานที่สุด ความรักของผมไม่ใช่ภูผาที่สูงตระหง่านและมั่นคง แต่ความรักของผมก็คือต้นไม้ ที่ผมเองก็บอกไม่ได้ว่ามันจะมั่นคงสักแค่ไหน หรือจะอยู่ยืนยงได้นานเท่าไหร่ แต่ที่รู้ๆก็คือผมจะรักให้ดีที่สุด


ผมไม่รู้ว่านิรันดร์นั้นยาวนานเท่าไหร่ แต่ตราบใดที่โลกใบนี้ยังหมุนรอบตัวเอง ตราบใดที่โลกใบนี้ยังคงโคจรรอบดวงอาทิตย์...



ความรักที่ผมมีให้นิ่งนั้น ก็ยังจะคงสถิตอยู่เสมอไป





http://youtu.be/g181tkV5Mj0

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11

lew_valen_tom

  • บุคคลทั่วไป
ในที่สุด เช้าวันรุ่งขึ้น ผมก็ได้เห็นคู่รักคู่ใหม่บังเกิดขึ้นในสาขาผม ไม่ใช่ใครที่ไหนเลยนอกจากคู่ วินนิ่ง คู่จิ้นแห่งชาติ ผมมองไม่เห็นเลยว่าใครจะเหมาะกับนิ่งไปมากกว่าวิน หรือใครจะเหมาะกับวินไปมากกว่านิ่งอีกแล้ว ผมเห็นว่าคู่นี้สมน้ำสมเนื้อกันที่สุดแล้ว วันใดที่ใครคนนึงร้อน อีกคนหนึ่งก็จะเย็น

ขอบคุณความรักที่ทำให้ใครหลายๆคนได้เจอกับอีกครึ่งของชีวิตตน ความรักทำให้คนกลายเป็นคนเต็มคน เพราะความรักสอนให้เรารู้จักการรักบางคนให้มากกว่ารักตัวเอง ทำให้ความเห็นแก่ตัวที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่ในตัวลดลง

.

.

“พี่โอม เดี๋ยวนี้พี่วินกับพี่นิ่งนี่ชักจะเอาใหญ่”น้ำเสียงหงุดหงิดจากน้องที่เดินข้างผมเรียกความสนใจผมได้เป็นอย่างดี

“ทำไมล่ะ”ผมถามเหตุผล แม้ในสายตาผม ผมก็คิดว่าไอ้คู่นี้มันน่าหมั่นไส้ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน

“ก็พี่วินแม่งชอบหวงพี่นิ่ง ปั้นจะแตะนิดแตะหน่อยไม่ได้ แค่พูดด้วยก็มองปั้นตาขวางแล้วอ่ะ แล้วพี่นิ่งก็ไม่ว่าพี่วินสักคำ ปั้นไม่ยอมหรอก”น้ำเสียงแฝงอารมณ์เสียบ่นงุ้งงิ้งให้ผมฟังอยู่ข้างๆ ส่วนผมก็หัวเราะในความงอแงของปั้น

“ไม่ยอมแล้วทำอะไรได้ ก็เขาเป็นแฟนกันแล้วนี่”ผมอธิบายให้น้องฟัง แต่ปั้นทำหน้าแบบหมั่นไส้เหลือจะอด

“โหะ แฟนกัน นึกแล้วเลี่ยนชะมัด พอปั้นไปถามพี่วินว่าตอนนี้เป็นแฟนกับพี่นิ่งหรอ พี่โอมรู้ไหมว่าพี่วินตอบว่าอะไร”ผมส่ายหน้ากับคำถามของน้อง แล้วมันไม่ใช่แฟนกันหรอวะ

“เขาบอกว่า... เขาเป็นคนที่เป็นยิ่งกว่าคนรักของกันและกัน ปั้นจะอ้วก!”ปั้นทำน้ำเสียงล้อเลียนวิน ก่อนจะทำท่าแหวะในตอนสุดท้าย ผมอดหัวเราะกับท่าทางและน้ำเสียงของปั้นไม่ได้

“ปล่อยคู่นั้นไปเหอะ กว่าจะรักกันได้ คนรอบข้างลุ้นแทบแย่”ผมพยายามเป็นกลางที่สุด บอกตามตรงว่ากลัวน้องเหงี่ยงแล้วงอนไม่ยอมคุยกับผมอีก

“ฮึ!”น้องทำเสียงขึ้นจมูกแบบไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยังเดินเคียงข้างผมมาตลอดทาง

“ปั้นว่าความรักของเราเป็นยังไงบ้าง”ไม่รู้เป็นอะไร อยู่ๆผมก็อยากจะถามคำถามนี้ขึ้นมา มันก็คงเป็นเหมือนกันเช็คสถานะความรู้สึกของกันและกันล่ะมั้ง

“ดีที่สุด! คู่พี่วินกับพี่นิ่งสู้เราไม่ได้หรอก ไม่มีใครรักใครได้เท่ากับที่พี่โอมรักปั้นหรอก ใช่ไหม”ท้ายเสียงหันมาถามผมแบบกึ่งบังคับ

“รู้ได้ไง”ผมแกล้งเล่นแง่

“อ๋อ เล่นอย่างนี้ใช่ไหม ได้!”ปั้นไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินดุ่มๆย้อนกลับไปยังทางที่เดินผ่านมา

“โอ๋ๆๆ พี่โอมล้อเล่น ดีกันน้า นะครับ”ผมรีบไปคว้าต้นแขนน้องไว้ ปั้นไม่ยอมมองหน้าผม พยายามหันหนีตลอดเลย ผมเลยเอามือประกบอีกฝ่ายเอาไว้

“พี่ไม่รู้หรอกว่าใครรักใครมากแค่ไหน พี่รู้แค่ว่าพี่รักปั้นม๊ากมาก พอใจไหมครับ”ปั้นพยายามหลบสายตาผม แต่หน้าแดงจนเห็นได้ชัด

“ไอ้บ้า”ปั้นพยายามแกะมือผมออกจากหน้า ผมยอมปล่อยอีกฝ่ายโดยดี ก่อนจะคว้ามืออีกฝ่ายมากุมแล้วออกเดินอีกครั้ง

“พี่โอม...”

“ครับว่าไง”ผมเลิกคิ้วถาม เมื่อเห็นว่าปั้นหยุดเดิน

“ปั้นมีอะไรจะบอก ฟังดีๆนะ”ผมพยักหน้ารับ

“ปั้นรักพี่โอมที่สุดในโลกเลย”ปั้นเอามือก้องปากแล้วตะโกนออกมาเต็มเสียง พอพูดจบก็มาคว้ามือผมออกวิ่งจากพื้นที่ตรงนั้นทันที ทิ้งเสียงหัวเราะของผู้คนที่ได้ยินไว้ข้างหลัง

“แฮ่กๆๆ เหนื่อย...”ปั้นวิ่งออกมาได้ไกลพอสมควรก็หยุดยืนหอบแฮ่ก ไม่ใช่ปั้นคนเดียวที่เหนื่อย ผมเองเหงื่อก็ออกไม่หยุดเช่นกัน

“ขอบคุณนะครับ”ผมคว้าตัวอีกฝ่ายมากอดไว้ เสียงหัวใจเต้นระรัวในอก ไม่ใช่เพียงเพราะเหนื่อย แต่มันดีใจมากอย่างบอกไม่ถูก

“ปั้นแค่จะทำให้พี่วินกับพี่นิ่งอิจฉาเราบ้างเฉยๆแหละ”ปั้นทำหน้าแบบไม่รู้ไม่ชี้

“งั้นวินมันก็คงอิจฉาพี่แทบบ้าเลยแหละ เพราะนิ่งไม่มีทางกล้าทำแบบปั้นแน่นอน ฮ่าๆๆ”ผมจะโมเมเอาเองแหละกันว่าปั้นทำเพื่อผม ไม่ใช่เหตุผลที่อ้างมา

“แน่นอนอยู่แล้ว”ปั้นทำเฉไฉไปเรื่อย ผมแอบอมยิ้มกับท่าทางนั้น แต่ก็กุมมืออีกฝ่ายไว้ แม้ทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยก้อนหินดิน
กรวด ไม่ได้โรยไว้โดยกลีบกุหลาบเบาบางสดใส ขอเพียงแค่มือของผมยังมีมือของปั้นกุมเอาไว้อยู่ ต่อให้ทางข้างหน้า หนักหนาสาหัสแค่ไหนผมก็ไม่หวั่น

.

.

.

สิ่งสำคัญ ของความรัก คืออะไร

ถ้ามิใช่ ใจคนแล กาลเวลา

ยิ่งหนักแน่น แม้นมั่น ดังหินผา

กาลเวลา ก็มิกล้า มาลบเลือน











จบบริบูรณ์

++++

ขอบคุณนะคะ ที่ติดตามกันมาตลอด

สำหรับคู่ก้องขอเป็นแค่ตอนพิเศษนะคะ

แล้วเจอกันใหม่คราวหน้านะคะ ^^

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
จบแล้วว ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ  :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ วัวพันปี

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-3

ออฟไลน์ abcee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ขอบคุณครับ รอติดตามผลงานชิ้นต่อไปนะครับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด