ตอนที่ ๒“เดี๋ยวพอคุณอาบน้ำเสร็จแล้วก็ลงไปที่ชั้นหนึ่ง ห้องนั่งเล่นอยู่ทางซ้ายมือนะคะ นายเหมืองคงจะรอคุณอยู่ที่นั่น...แล้วนี่ไปยังไงมายังไงคะเนี่ย หัวหูเลอะมอมแมมไปหมดเชียว...” พุดฤทัยเอ่ยถามแขกผู้มาใหม่พลางเอื้อมมือไปช่วยปัดฝุ่นผงตามใบหน้าออกให้เล็กน้อย
...อุ๊ยตาย พอปัดฝุ่นออกแล้วผิวเนียนเชียว...
“ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับ...เอ่อ...คุณ...” เด็กหนุ่มเอ่ยค้างไว้เพราะไม่รู้จะเรียกหญิงตรงหน้าว่าอย่างไร คุณป้าแม่บ้านพุดฤทัยจึงเอ่ยแนะนำตัวเองด้วยรอยยิ้ม
“ป้าเป็นแม่บ้านของนายเหมืองค่ะ...ชื่อพุดฤทัย เรียกป้าพุดเหมือนนายเหมืองก็ได้ค่ะคุณครู” พุดฤทัยเอ่ยบอก
“งั้นป้าพุดก็เรียกบัวว่าบัวเฉยๆก็ได้ครับ ไม่ต้องเรียกคุณครูหรอก...ยังไง บัวต้องฝากตัวด้วยนะครับป้าพุด ถ้าบัวไม่รู้หรือทำอะไรไม่ถูกต้องขัดกับกฎของที่นี่ บัวต้องขอให้ป้าบอกแล้วก็สอนบัวด้วยนะครับ...”
“ตายแล้วพ่อคุณ...ไม่คิดว่าเด็กรุ่นใหม่จะพูดฝากเนื้อฝากตัวกับคนแก่แบบนี้เป็นด้วย น่ารักจริงครูบัว...” จากที่แอบมีเขม่นอยู่นิดๆในคราแรกเพราะประเมินจากที่มองเห็นแค่ภายนอก กลายมาเป็นเริ่มนึกเอ็นดูขึ้นมาอย่างจริงจัง ท่าทางนบนอบอ่อนน้อมถ่อมตนที่ ‘ครูบัว’ แสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ และมือที่ยกขึ้นประนมไหว้ทำให้พุดฤทัยอดไม่ได้ที่จะยกมือไปลูบมือบอบบางที่ยังพนมมือค้างไว้ แล้วเลยไปลูบมือลูบแขนส่วนอื่นต่อ
“แล้วนี่ทำไมถึงติดฝุ่นดินแดงเขรอะไปทั้งตัวแบบนี้ล่ะคะ...ดูซิเนี่ยเสื้อเปลี่ยนสีเลยเชียว เดี๋ยวพอคุณถอดเสื้อเสร็จแล้วเอาใส่ตะกร้าสานใบนี้ไว้นะคะ วันไหนครูบัวต้องการจะซักก็เอาวางไว้ที่หน้าประตูด้านนอก จะมีเด็กขึ้นมาเก็บตะกร้าเอาไปซักให้เองค่ะ” พุดฤทัยเอ่ยบอกอธิบาย นึกสงสารเนื้อตัวสกปรกมอมแมมของเด็กหนุ่มตรงหน้าขึ้นมาครามครัน เดาว่าคงจะเดินเข้ามาตั้งแต่หน้าประตูใหญ่ล่ะซี ถนนที่เป็นดินแดงเพราะยังไม่ได้ลาดยางน่ะมีแค่ช่วงถนนที่ทอดผ่านระหว่างถนนใหญ่มาจนถึงหน้าบ้านนี้เท่านั้น ซึ่งระยะทางก็ไม่ได้ใกล้ๆเลยซักนิด
“ขอบคุณครับมากครับป้า...แล้วผมจะรีบลงไปพบ...นายเหมืองนะครับ”
“จ่ะ...แล้วจะไหวเหรอพ่อคู๊ณ ตัวนิดเดียวจะเอาสองแสบอยู่ได้ยังไงกันคะ เจ้าไลเกอร์กับไทกอนน่ะซนเสียยิ่งกว่าอะไรดี ครูสอนพิเศษกี่คนๆก็เอาไม่เคยอยู่ ขอลาออกกันไปหมด ครูบัวไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์ของสองซนนี่เหรอคะถึงได้รับงานนี้น่ะ”
“ก็งานนี้มีที่พักฟรี อาหารก็ฟรี เงินก็ดี กับการสอนเด็กสองคนมันคุ้มจะตายไปครับป้าพุด”
“คุ้มแค่สามอย่างแรกล่ะค่ะ แต่สอนเด็กสองคนน่ะขาดทุนแน่ค่ะครูบัว”
บัวยิ้มให้กับการพูดจาประชดประชันแต่นัยน์ตายิ้มพราวของป้าพุด ก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณป้าพุดฤทัยอีกครั้ง พอร่างอวบท้วมเดินออกจากห้องไปแล้วก็ได้เวลาที่ ‘ครูบัว’ ของป้าพุดจะได้อาบน้ำชำระคราบเหงื่อไคลของตัวเองบ้างแล้ว
วันนี้เขาออกจากบ้านมาตั้งแต่เช้าเพื่อขึ้นรถทัวร์ลงใต้ ก่อนจะต่อรถโดยสารเข้ามาที่อำเภอนี้ แล้วก็ต้องนั่งรถสองแถวมาลงที่ป้ายรถที่ใกล้เหมืองแห่งนี้ที่สุด ด้วยความที่ใกล้ๆป้ายรถสองแถวมีป้ายเขียนบอกชื่อเหมืองและลูกศรชี้ทางบนป้าย เขาก็นึกว่ามันคงจะไม่ไกลมาก แล้วอีกอย่างแถวนั้นก็ไม่มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างผ่านมาเขาเลยตัดสินใจเดินเอา ไม่คิดว่าระยะทางจากป้ายรถสองแถวเข้ามาถึงนี่จะกินเวลาเดินเขาไปตั้งเกือบสามชั่วโมง ดีว่าเขาเป็นคนเดินทนถึงได้เดินมาจนถึงบ้านนายจ้างหลังนี้จนได้
บัวมองดูห้องพักและห้องน้ำที่เจ้าบ้านจัดไว้ให้ มันมีขนาดพอๆกับห้องพักที่เขากับแม่อยู่ด้วยกันเลย นึกร่ำๆอยากขออนุญาตเจ้าบ้านพาแม่มาอยู่ด้วยกัน แม่เขาจะได้อยู่อย่างสบายๆบ้าง แต่บัวก็ทำได้เพียงแค่นึกเท่านั้นเพราะเขาก็เพิ่งเข้ามาอยู่ในบ้านนายจ้างวันแรก ไม่กล้าที่จะไปรบกวนอะไรเขาขนาดนั้นหรอก
น้ำเย็นสดชื่นที่ไหลรดลงมาตามใบหน้าเรียกความสดชื่นกลับมาให้บัวได้มากโข เด็กหนุ่มเพลิดเพลินกับการอาบน้ำเสียจนไม่ได้ยินเสียงเคาะและเปิดประตูห้องนอนตัวเองเลย...
นายเหมืองใหญ่นาม สิงห์ สุตนันท์ กระชับผ้าขนหนูในมือแน่นระหว่างที่ค่อยๆเปิดประตูห้องน้ำออกเพื่อส่งเสียงเรียกเจ้าของห้อง แต่ดูท่าแล้วเสียงน้ำจากฝักบัวที่เจ้าตัวคงเปิดจนสุดมันคงกลบเสียหมด ถึงได้ไม่ได้ยินเสียงเขาเรียกเลย
“คุณ...ครูบัว ผมเอาผ้าเช็ดตัวมาให้ ป้าพุดบอกว่าแกลืมเอามาวางไว้ให้คุ...” สิงห์พูดค้างไว้ได้แค่นั้นเพราะเรือนร่างเปล่าเปลือยที่เห็นแค่เบื้องหลังตรงหน้ามันทำให้เขานิ่งตะลึงงัน ห้องอาบน้ำไม่ได้ถูกปิดประตูอยู่ในตอนที่เขาเปิดประตูเข้ามา เรือนร่างขาวผ่องที่ค่อยๆถูกสายน้ำชำระล้างทำความสะอาดคราบไคลสีส้มแดงตามร่างกายจึงค่อยๆเผยรูปจริงออกมาให้เขาเห็น แค่เบื้องหลังยังดูนวลเนียนมือขนาดนี้ ไหนจะเอวคอดกิ่ว และสองแก้มก้นที่ดูท่าจะนุ่มมือไม่แพ้กันนั่นอีก หนุ่มใหญ่วัยสามสิบกว่าจึงต้องรีบกลืนน้ำลายเอื๊อกลงคอ มองแค่เบื้องหลังนี่ดูไม่ออกเลยจริงๆว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นผู้ชาย ท่อนขานั่นคงใหญ่แค่แขนเขาเองละมั้งนั่น
สายตาคมกริบจ้องมองสัดส่วนเรือนร่างของคนที่กำลังอาบน้ำเพลินจนลืมตัว เผลอยกมือเท้าแขนกับขอบอ่างล้างแต่ดันพลาดไปโดนแปรงสีฟันตกลงพื้น เสียงของตกกระทบพื้นที่เกิดขึ้นทำให้ร่างที่ยืนอยู่หน้าห้องอาบน้ำและที่ยืนอยู่ใต้ฝักบัวสะดุ้งโหยงกันทั้งคู่ บัวรีบเอี้ยวตัวไปดูด้านหลังพร้อมๆกับที่ร่างใหญ่ละสายตาจากของที่ตกขึ้นมามองไปด้านหน้าด้วยเช่นกัน สายตาสองคู่มองสบประสานกันและกัน ก่อเกิดความรู้สึกบางอย่างแล่นปราดเข้าสู่หัวใจของคนทั้งคู่โดยไม่รู้ตัว...
“เอ่อ...ผม...เอาผ้าขนหนูมาให้คุณ ป้าพุดบอกว่าแกลืมเอามาวางไว้ให้...”
“ขะ...ขอบคุณครับ” บัวรีบหันหลังเข้าผนัง งองุ้มตัวเองเพื่อปกปิดร่างกายเปลือยเปล่าจากสายตาคมกริบที่จ้องมองเขาด้วยแววตาพราวระยับ เรือนร่างสูงใหญ่ยืนบดบังกรอบประตูห้องอาบน้ำไปเสียเกือบมิด ร่างกายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนทำให้บัวอับอายเหลือเกินที่โดนผู้ชายคนนั้นมองจ้องแบบนี้ แม้ว่าชายหนุ่มจะรีบหันหลังกลับไปทันทีที่วางผ้าขนหนูเอาไว้ให้บนซิงค์ล้างหน้าก็เถอะ
“...เรื่องวันนี้ ผมขอโทษ...”
จู่ๆประโยคที่ดังขึ้นมาทำให้บัวถึงกับอึ้ง ไม่แน่ใจหูตัวเองว่าได้ยินถูกต้องรึเปล่า...
...นายเหมืองตาดุคนนั้นพูดขอโทษเขา...ใช่มั้ย?
“ครับ? ...เมื่อกี๊คุณบอก...ขอโทษ...”
“เรื่องที่ผมขับรถทำคุณเลอะ ผมไม่เห็นจริงๆว่าคุณอยู่ข้างทาง...ผมไม่ได้ตั้งใจ...”
บัวแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เพราะดูจากรูปร่างภายนอกแล้วบัวแอบคิดไปว่าเจ้านายคนนี้ของเขาคงเป็นคนประเภทจมไม่ลง คงจะมองเห็นแต่ความผิดของคนอื่น ไม่น่าจะมองเห็นความผิดของตัวเอง รถปิ๊กอัพเปื้อนโคลนที่จอดอยู่ในโรงรถไม่ต้องเดาบัวก็พอรู้ว่าเจ้าของเป็นใคร...
...ไม่นึกว่าเขาจะยอมมาบอกขอโทษกันตรงๆแบบนี้...
...เห็นทีบัวคงต้องมองเจ้านายหนุ่มในรูปแบบใหม่...
------------------------------------------------
สิงห์หนุ่มเผลอตัวมองจ้องไปทางบันได เกิดอาการรอคอยใครบางคนโดยไม่รู้ตัว ภาพเรือนร่างขาวนวลที่เห็นเมื่อซักครู่ยังคงติดอยู่ในหัว สลัดยังไงก็ไม่หลุด แต่ที่น่าอายยิ่งไปกว่านั้นก็คือไอ้เจ้าคอมมานโดกลางตัวเขานี่สิ คนอย่างนายเหมืองสิงห์ไม่เคยขาดผู้หญิง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ค่อนข้างเสียศักดิ์ศรีอยู่พอสมควรที่คนอย่างเขาจะมาคอมโดพร้อมรบตอนเห็นร่างผู้ชายเปลือยแบบนี้ ดีนะที่เขาชักธงรบลงได้เร็ว เจ้าคอมมานโดแท่งใหญ่ของเขาจึงยังไม่ทำให้เขาขายขี้หน้าให้คนในมโนภาพต้องมามองเขาเป็นตัวประหลาด
“สองแสบละครับป้าพุด” ชายหนุ่มเอ่ยปากถามแม่บ้านที่เดินเข้ามาวางขนมและกาแฟให้เขาบนโต๊ะ พุดฤทัยชะเง้อมองออกไปนอกหน้าต่างก่อนจะตอบ
“เอ...ป้าว่าเดี๋ยวอีกไม่นานนายเม่นก็น่าจะพากลับมาแล้วนะคะ นี่ก็บ่ายแก่แล้วเด็กๆคงจะหิวกันแล้วล่ะค่ะ”
นายเหมืองใหญ่พยักหน้ารับรู้ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยต่อไป ...พุดฤทัยมองอาการเจ้านายหนุ่มก็ชักตงิด ท่าทางรอคอยที่เห็นนี่ชักไม่แน่ใจว่ากำลังรอคอยลูกชายหรือครูคนใหม่ของลูกชายกันแน่
“เดี๋ยวก็มาค่ะนายเหมือง...” ป้าพุดเอ่ยบอก เจ้านายหนุ่มจึงพยักหน้าตอบรับแล้วเอนหลังพิงพนักโซฟาตามเดิม
ครู่เล็กๆผ่านไป กลิ่นหอมแป้งเด็กยี่ห้อหนึ่งก็ลอยลมมากระทบจมูก สิงห์หนุ่มรีบหันขวับไปมองที่เชิงบันได เห็นร่างผอมบางในชุดเสื้อยืดสีเทาตุ่นกับกางเกงผ้านิ่มขายาวเดินลงบันไดมาอย่างค่อนข้างรีบเร่ง ผมเปียกหมาดยังไม่แห้งดีลู่เข้ากับกรอบใบหน้า สีผมดำสนิทที่ตัดกับผิวแก้มขาวผ่องทำให้นายสิงห์นึกอยากยกมือขึ้นไล้เบาๆดูซักที มันคงจะนิ่มมือกว่าที่เห็นน่าดู
“ผมมาช้าไปหรือเปล่าครับ...ขอโทษ...”
“ไม่เลยค่ะครูบัว...เชิญนั่งค่ะ” เป็นป้าพุดที่เดินเข้ามาจับจูงมือครูบัวของแกไปนั่งที่โซฟาตรงข้ามกับนายเหมือง ซึ่งอีกฝ่ายมีท่าทางไม่ค่อยอยากจะมองหน้าเขาในตอนแรก แต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้นที่ชายหนุ่มหลบตา ก่อนจะใช้สายตาคมดุจ้องมองกลับมาที่ว่าที่ลูกจ้างอย่างบัวด้วยแววตาจริงจังอย่างเดิม
“เอ่อ...มีอะไรที่ผมต้องรับทราบก่อนจะเริ่มทำงานบ้างครับ” บัวเริ่มต้นเป็นฝ่ายซักถามข้อมูลการทำงานจากนายจ้างก่อน ในมือเล็กมีสมุดโน๊ตทำมือและปากกาด้ามเล็กเปิดพร้อมเตรียมใช้ สิงห์มองท่าทางกระตือรือร้นและการเตรียมพร้อมของอีกฝ่ายอย่างค่อนข้างพอใจในระดับหนึ่ง มือแข็งแกร่งยกวางพาดบนท่อนขาแข็งแรงที่ยกขึ้นไขว่ห้างแบบตั้งฉาก ก่อนจะเริ่มสาธยายงานให้กับครูคนใหม่หน้าใสฟังโดยที่ไม่รอให้เจ้าสองแสบเข้ามาก่อกวนวุ่นวายเหมือนรายอื่นๆ
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก...ผมต้องการให้คุณมาคอยสอนพิเศษลูกชายของผม ไลเกอร์...กับไทกอน สองคนนี้ไม่ใช่เด็กโง่ เพียงแต่สองแสบนั้นสนแต่จะเล่นอย่างเดียวจนผลการเรียนร่อแร่เต็มที ผมต้องการให้คุณมาช่วยดูแลเรื่องผลการเรียนของลูกชายผม คุณจะใช้วิธีหรือจะจัดการเวลายังไงก็ได้ ตอนนี้สองแสบกำลังปิดเทอมอยู่อีกประมาณสามเดือนกว่าถึงจะเริ่มเปิดเทอม...”
“ครับ...แล้ว...มีอะไรที่น้องไลเกอร์กับไทกอนชอบ ไม่ชอบ หรือว่ากลัวมั้ยครับ” คำถามนี้ของครูคนใหม่ทำให้นายเหมืองสิงห์มีอาการคิ้วขมวดเล็กน้อย ไม่เคยมีครูคนไหนสนใจถามเรื่องลูกชายเขาในทำนองนี้มาก่อนเลย
“คือ...ผมแค่อยากรู้ไว้เพื่อจะได้เป็นข้อมูลในการดูแลลูกชายของคุณไงครับ”
“ดูแล...?” ไม่ใช่แค่สอนงั้นหรือ?
“ครับ หรือว่าถ้าบอกไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะครับ คือผม...”
“สองแสบไม่ชอบเสียงฟ้าผ่าเหมือนกัน แล้วไลเกอร์ก็ไม่ชอบกินแตงกวา ส่วนไทกอนไม่ชอบมะเขือเทศ...ไม่มีสิงสาราสัตว์ชนิดไหนที่สองแสบจะกลัว และสิ่งสุดท้าย...สองแสบชอบให้มีคนอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าจะหลับ” ชายหนุ่มจบคำพูดด้วยแววตาเป็นประกายพร้อมรอยยิ้มที่จุดขึ้นตรงมุมปาก บัวเหลือบตาขึ้นมองนายจ้างพอดีจึงทันได้เห็นรอยยิ้มนั้นใต้ราวหนวด...ความคิดผุดวาบขึ้นมาในสมองว่าถ้าเจ้าตัวยิ้มแบบนี้บ่อยๆได้คงจะดี เพราะมันทำให้สีหน้าเจ้าตัวคลายจากการเป็นสิงห์เหลือเป็นเพียงแค่คล้ายร็อตไวเลอร์ตัวโตๆผสมโกลเด้นรีทรีฟเวอร์เท่านั้น...
“พี่เม่น! อย่าให้ไลเกอร์จับได้นะ หยุดเดี๋ยวเน้!!!” เสียงแว่วๆแหลมเล็กดังใกล้ๆอยู่ตรงบานหน้าต่าง นายเหมืองสิงห์ชะโงกหน้าออกไปดูก็เห็นเด็กชายชั้นป.ห้าสองคนในชุดเชิ๊ตยีนส์กำลังวิ่งไล่ตามลูกน้องของเขามาทางประตูหน้าบ้าน นายเม่นเด็กเหมืองวัยสิบเก้า มีปัญญาเรียนจบแค่ชั้นป.6 แล้วหันมาเอาดีด้านการใช้แรงงานในเหมือง กำลังทำหน้าที่เป็นลูกล่อให้สองแสบวิ่งกลับมาบ้านด้วยตัวเอง เสียงเจื๊อยแจ้วพอกันของทั้งสามคนทำให้นายเหมืองสิงห์ต้องเหลือบหันมามองคุณครูคนใหม่เสียหน่อย อยากรู้ว่าถ้าได้เห็นแววจอมซนของทั้งสองคนนี้แล้วจะทำหน้ายังไง
อาการชะเง้อชะแง้มองไปทางประตูบ้านเหมือนป้าพุดพร้อมรอยยิ้มที่จุดขึ้นบนริมฝีปากขนาดกะทัดรัด ทำให้นายเหมืองใหญ่ต้องมีอาการฉงนออกมาอีกรอบ เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทางตื่นเต้นยินดีที่จะได้เจอสองแสบ ไม่เหมือนครูคนอื่นที่มักจะสนใจเขามากกว่าลูกชายสองคนอย่างออกนอกหน้า
“พ่อสิงห์!!! พี่เม่นไม่ให้ไลเกอร์กับไทกอนไปเล่นในเหมือง...!!!” เสียงเจื้อยแจ้วเอ่ยฟ้องพฤติกรรมพี่เลี้ยงวัยรุ่นที่นั่งแผ่หมดแรง ลิบแล่บห้อยออกมาจากปากเหนื่อยเป็นหมาหอบแดด
“เป็นคำสั่งพ่อเอง...จะเข้าไปเล่นได้ยังไงในเหมืองมีแต่เครื่องจักรหนัก ขืนปล่อยสองสิงห์เข้าไปผจญภัยน่ากลัวงานพ่อคงจะบรรลัยแน่...”
“หูย...ไม่ขนาดนั้นหรอกพ่อสิงห์ ไลเกอร์เป็นเด็กดีจะตาย...” เด็กน้อยผิวขาวแก้มป่องในชุดเสื้อเชิ๊ตสีน้ำเงินอ่อนนั่งกระแซะนายเหมืองทางขวาก่อนดึงแขนพ่อมาโอบรอบไหล่ตัวเอง
“ช่าย...ไทกอนก็เป็นเด็กดี แถมหน้าตาดีอีกต่างหาก เนอะไลเกอร์เนอะ...” เด็กน้อยแก้มป่องพอกันรายที่สองในชุดเสื้อเชิ๊ตสีน้ำเงินเข้มกว่า นั่งกระแซะพ่ออยู่ทางซ้ายก็เอ่ยบอกบ้าง
“มันแน่อยู่แล้ว...ก็เชื้อพ่อมันแรง ลูกบ่าว (ลูกชาย) พ่อสองคนเลยโคลนนิ่งพ่อมันออกมาเหมือนเด๊ะ!”
...หน้าตาน่ะอาจจะใช่ แต่สีผิวน่ะคนละขั้ว คนลูกขาวจั๊วะ แต่คนพ่อน่ะสีน้ำผึ้งไหม้ติดก้นกะทะชัดๆ... บัวลงความเห็นได้เลยในทันทีทันใดว่าพ่อลูกบ้านนี้นั้นหลงตัวเองกันทั้งบ้าน
“พ่อ! แล้วพี่ตาหวานนี่ใครอ่ะ เมียใหม่พ่อเหรอ...” เด็กน้อยเอี๊ยมน้ำเงินเข้มที่บัวจำได้แล้วว่าชื่อไทกอนเอ่ยพลางชี้นิ้วมาที่เขา เด็กหนุ่มแอบมีสะดุ้งตัวเบาๆเมื่อจู่ๆก็ได้รับความสนใจกะทันหัน
“วุ้ย ไทกอนไม่เอาลูกไม่ชี้ผู้ใหญ่...มันไม่ดีนะลูก” ป้าพุดที่ยืนอยู่เยื้องหลังบัวเอ่ยบอกลูกชายเจ้านาย ซึ่งเด็กน้อยก็ยอมเอานิ้วลงแต่โดยดีพลางมองพ่อรอคำตอบตาแป๋ว
“เอ่อ...นี่ไม่ใช่เมียใหม่พ่อหรอก แต่เป็น...” สิงห์กำลังจะเอ่ยปากแก้ข่าวบอกลูก แต่ดันโดนเจ้าไลเกอร์ลูกชายอีกคนขัดขึ้นมาเสียก่อน
“พ่อ! อย่าบอกนะว่าไม่ใช่เมีย...แต่เป็นแม่ใหม่! ไลเกอร์ไม่เอานะพ่อ...ปกติแม่ชั่วคราวของไลเกอร์เขานมตู้มๆเท่าส้มโอเลยไม่ใช่เหรอ แต่คนนี้นมแบนนะพ่อ...ถึงพี่เขาจะตาหวานก็เหอะ...” พูดจบก็มีเสียงเจื้อยแจ้วสนับสนุนของลูกคู่ไทกอนทางซ้ายดังเป็นทัพเสริม คนถูกหาว่านมแบนมีอาการหน้าแดงพร้อมยกมือขึ้นลูบหน้าอกตัวเองโดยไม่รู้ตัว
“ไอ้สองแสบ...ใครบอกใครสอนเรื่องพวกนี้วะ พ่อจำได้ว่าไม่เคยสอนเรื่องแก่แดดแก่ลมพรรค์นี้ให้นะ”
“พี่เม่นสอน!!!” สองเสียงประสานขึ้นมาได้อย่างพร้อมเพรียงมาก คนถูกกล่าวหารีบลุกขึ้นนั่งดีๆในทันใดแล้วพนมขึ้นยกไหว้เจ้านายแต้
“ผ้ม...ผ้มไม่ได้สอนจิ่งจริงหน่ะขรับนายหัว! คุณหนูแกจำของแกเอง ผ้มไม่เกี่ยวนา...(ผม...ผมไม่ได้สอนจริงๆนะครับเจ้านาย คุณหนูแกจำของแกเอง ผมไม่เกี่ยวนะ)” เสียงตอบภาษาถิ่นใต้ดังขึ้นพร้อมศีรษะคนพูดที่ส่ายไปมารวดเร็วเรียกอมยิ้มเล็กๆได้จากบัวมาพอสมควร ดูเอาก็รู้ว่าคงโดนใส่ร้ายป้ายสี...แบบตั้งใจ
“เออ ก็ไม่ได้ว่าอะไร...แกอยู่ก็ดีแล้วเม่น ฉันจะได้แนะนำให้รู้จักกันเสียทีเดียวเลย...ไลเกอร์ ไทกอน...นี่คือคุณครูคนใหม่ของพวกแกสองคน ไม่ใช่เมียใหม่พ่อหรือแม่ใหม่พวกแกอะไรทั้งนั้น เขาชื่อครูบัว...เป็นผู้ชาย” ท้ายประโยคแอบมีอ้อมแอ้มนิดหน่อย ในสมองเกิดภาพจินตนาการชั่วขณะว่าถ้าครูบัวของทุกคนเป็นผู้หญิงคงจะงามหยดย้อยไม่ใช่น้อยเลย
“ครูใหม่!!!” สองแสบตะโกนประสานเสียงเข้าหูพ่อสิงห์ของทั้งคู่พร้อมกัน นายเหมืองสิงห์หน้าตาเหยเกเพราะเสียงของลูกน้อยมันทิ่มทะลวงเข้าไปในรูหูเขาเสียแก้วหูลั่นเปรี๊ยะเลย
“โหยพ่อ! ไลเกอร์ไม่อยากได้ครูใหม่ ยังไงไลเกอร์ก็สอบผ่านจบป.6 อยู่แล้วล่ะน่า”
“ทั้งๆที่เทอมที่แล้วต้องเข็นกันเกือบตายกว่าจะได้ที่สองและสามจากท้ายเนี่ยนะ” สิงห์ย้อนถามเจ้าลูกชาย
“แต่ก็ผ่านน่าพ่อ” ไทกอนร่วมด้วยช่วยบ่นอีกแรง พลางสายตาก็ส่งความไม่เป็นมิตรไปให้คุณครูผิวสวยตาหวานที่นั่งอยู่บนโซฟาตรงข้ามกัน
“แต่พ่อไม่พอใจผลการเรียนของสองแสบแค่ที่สองกับสามรั้งท้ายนี่หว่า...ไม่ต้องบ่น ยังไงพวกแกสองคนก็ต้องเรียนพิเศษกับครูบัวตลอดปิดเทอมนี้”
“ตลอดปิดเทอม!!! พ่อ...!!!” สองแสบประสานพลังกันคัดค้านจนครูบัวเริ่มมีอาการรับรู้แล้วว่า...คำว่าแสบซนที่ใครๆต่างก็กล่าวขวัญถึงคงจะไม่เกินจริงแน่
“ไม่ต้องเรียกครูก็ได้ครับไลเกอร์ ไทกอน...เรียกพี่บัวก็ได้นะ” บัวเริ่มต้นสานสัมพันธไมตรีด้วยการลดช่องว่างระหว่างกันจากครู – นักเรียน เป็นเพียงแค่พี่กับน้องดูก่อน
“ครูตาหวานชื่อบัวเหรอ” ไลเกอร์ที่นั่งตากลมป๊องมองว่าที่ครูใหม่ตาแป๋วถามขึ้น
...ครูตาหวาน ชื่อนี้สมกับตัวดีแฮะ...สิงห์แอบคิดในใจ
“...ครับ พี่ชื่อพี่บัวครับ...” บัวเอ่ยตอบ ไทกอนมีอาการก้มๆเงยๆมองหน้าเขา คงจะอยากดูหน้าเขาให้เห็นชัดๆล่ะสิ
“ทำไมไม่ชื่อตาหวานล่ะครู” ไทกอนเอ่ยถามบ้าง
“เอ่อ...ก็...พี่เป็นผู้ชาย ตาหวานน่ะชื่อผู้หญิงนะครับ...” บัวเอ่ยตอบเด็ก นึกกระด้างปากนิดๆอยู่เหมือนกันที่พูดคำว่า ‘ตาหวาน’ ตามเด็กๆ
“ก็ครูตาหวานอ่ะ ไลเกอร์จะเรียกครูตาหวาน...ไม่ได้เหรอ” ไลเกอร์เอ่ยบอก ครูคนนี้แลดูไม่เหมือนครูเลย ตัวเล็กๆผอมๆกว่าพี่เม่นอีก ท่าทางคงจะใจดี อย่างนี้คงไม่น่าอยู่เกินสามวัน...ดวงตาเจ้าเล่ห์เหล่มองน้องชายที่มีอายุห่างกันหนึ่งปีอย่างแอบมีแผนในใจ
“...ก็แล้วแต่...จะเรียกเถอะครับน้องไลเกอร์” บัวบอก รอยยิ้มติดแหยเล็กๆ ตอนนี้จะขัดใจไปก็เปล่าประโยชน์ บัวไม่อยากจะเริ่มงานด้วยความเครียดทั้งเขาและเด็กตั้งแต่วันแรก
“เอาล่ะสองแสบ ตกลงกับครู...ตาหวาน...ได้แล้วก็ไปอาบน้ำ จะได้ลงมากินข้าว...ใส่เสื้อยาวๆนะไลเกอร์ไทกอน คืนนี้ฝนตกจะได้ไม่นอนหนาว”
“ครับพ่อสิงห์!” สองแสบตะเบ๊ะรับคำก่อนจะกระโดดผลุงลงจากโซฟาแล้ววิ่งฉิวขึ้นห้องนอน มีเม่นวิ่งตามประกบเด็กๆพร้อมป้าพุดที่ขอตัวเดินเข้าครัวไปเหมือนกัน
“เป็นไงล่ะครูตาหวาน แบบนี้พอจะไหวมั้ย” สิงห์หันมาถามคู่สนทนาที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในห้องรับแขก เห็นแววตาเอื้ออาทรณ์ที่มองส่งเจ้าลูกชายของเขาจนลับตาแล้วก็เพิ่มความพอใจขึ้นมาอีกระดับ...สนใจลูกมากกว่าพ่อ ก็ไม่เลว...แต่ก็ต้องใช้เวลาพิสูจน์กันต่อไป...เพิ่งเจอกันแค่วันเดียวจะตัดสินกันแค่นี้ไม่ได้ มารอดูกันว่าครูตาหวานคนนี้จะดีแตกที่วันไหน เขาเดาว่าไม่น่าจะเกินสามวัน...
“...” บัวเงียบในตอนแรกเพื่อรวบรวมลมหายใจ เรียกพลังฮึดจากแม่ที่กรุงเทพฯมาเป็นกำลังใจ ก่อนจะหันมาตอบนายจ้างด้วยรอยยิ้ม “ไหวครับ...ไม่ต้องห่วง ไลเกอร์กับไทกอนเป็นเด็กฉลาดจริงอย่างที่คุณว่า แต่เขาแค่ขาดแรงจูงใจในความสนใจในห้องเรียนก็เท่านั้น ปิดเทอมสามเดือนมีเวลาเพียงพอที่จะให้พวกแกได้ทบทวนบทเรียนทั้งหมดเพื่อขึ้น ป.6 เทอมใหม่ คุณสิงห์ไม่ต้องห่วงนะครับ”
สิงห์อยากจะบอกนักว่าอย่ามาบอกเขาเลยว่าไม่ต้องห่วง บอกตัวเถิดครูตาหวาน...แต่สิงห์มองแววตาเป็นประกายแบบนั้นแล้วก็พูดอะไรไม่ออก ไม่อยากพูดอะไรให้ขัดกับความรู้สึกตื่นเต้นของอีกฝ่ายที่ฉายชัดออกมาในตอนนี้...เขาควรจะบอกสถิติที่ครูแต่ละคนทำเอาไว้ให้อีกฝ่ายรู้ดีมั้ยนะ ว่าที่ผ่านมาสถิติอยู่นานที่สุดคือหนึ่งอาทิตย์ เร็วที่สุดคือ 18 ชั่วโมง...
บัวเก็บปากกาและสมุดโน๊ตที่เล็กขนาดยัดใส่กางเกงตัวเองได้ลงไป สองมือยกขึ้นพนมนายจ้างทำท่าว่าถ้าไม่มีอะไรแล้วก็จะขอตัวไปจัดของตัวเองอีกนิดหน่อย แต่ก่อนไปคนเป็นคุณครูคนใหม่ก็เงยหน้าขึ้นมามองเขาก่อนจะหน้าแดงนิดๆก่อนเอ่ย
“เอ่อ...คุณสิงห์ไม่ต้องเรียกผมว่าครูตาหวานเหมือนเด็กๆหรอกนะครับ เรียกบัวเฉยๆก็ได้...”
สิงห์หรี่ตามองคนพูด...นึกสงสัยนิดๆว่าทำไมลูกเรียกได้แล้วคนเป็นพ่ออย่างเขาถึงเรียกไม่ได้ล่ะเนี่ย
“ก็ได้...งั้นผมจะเรียกคุณว่า ‘บัวเฉยๆ’...เหมือนที่คุณต้องการ แบบนี้โอเคแล้วใช่มั้ยคุณบัวเฉยๆ” ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาอยากลองเย้าครูตัวขาวตรงหน้านิดหน่อย ใบหน้าจิ้มลิ้มสวยหวานแบบที่ดูออกว่าไม่ใช่ลูกคนจีนออกอาการค้อนเขานิดๆแล้วพูดงุบงิบเบาๆแต่เขาดันหูดีได้ยิน
“กวนเหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูกเลย...”
“หืม? คุณว่าอะไรนะ...” สิงห์แอบถามทวนซ้ำประมาณว่าเมื่อกี๊พูดอะไร เขาไม่ได้ยิน...
“เปล๊า...คือ...คุณจะเรียกอะไรของคุณก็ตามสบายเถอะครับ ผมขอตัว...” บัวพูดจบก็หุนหันเดินแกมวิ่งออกไปขึ้นบันไดกลับไปชั้นบนตามเดิม สิงห์แอบลุกขึ้นเดินตามไปดูตรงช่องบันไดเพื่อดูว่าประตูห้องของครูตาหวานของเด็กปิดสนิทดีเรียบร้อย
“ก็มาลองดูกัน...ครูตาหวาน ว่าคุณจะทำลายสถิติไหน...เร็วที่สุด...หรือช้าที่สุดกันแน่...” คนพูดเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเหยียดบนริมฝีปากครึ้มหนวดแล้วฮัมเพลงอารมณ์ดีเข้าห้องทำงานไป...
-:+:-:+:-:+:-:+:-:+:-:+:-:+:-:+:-:+:-:+:-
to be continue...
่ว่าแล้วก็ลงตอนใหม่ต่อซะเลย อิอิ