ร้ายซ่อนรัก
บทที่ 16
พัทธ์ยอมรับกับตัวเองว่าเขากำลังหลบหน้าโมกข์ มนัญชัย ตั้งแต่ผู้ชายคนนี้ประกาศชัดเจนว่าจะตามตื้อ
พัทธ์จนถึงที่สุด
สมองของเขาส่วนหนึ่งบอกตัวเองว่าเป็นเพราะเขายังโกรธและเหม็นหน้ากับพฤติกรรมที่ผ่านมาของโมกข์
จึงไม่อยากเห็นหน้าหรือเสวนาด้วย แต่อีกด้านหนึ่งของหัวใจพัทธ์ไม่อยากที่จะยอมรับว่าเป็นเพราะเขากลัว
เปล่า…พัทธ์ไม่ได้กลัวโมกข์จะมาทำร้ายหรือรังแกอีก แต่ที่กลัวคือหัวใจของตัวเอง
ยิ่งอยู่ใกล้มากขึ้น เขาก็ยิ่งรู้ซึ้งถึงเสน่ห์ของโมกข์ ความเข้มแข็งสมชาย ความร้อนแรงของสายตายามที่จ้อง
มองมามันทำให้หลายคนหลอมละลายได้ ก็แม้แต่พัทธ์ที่ไม่ใช่ฝ่ายรับยังอดใจแกว่งไม่ได้เมื่อสบตาคู่นั้น
ด้วยเหตุนี้เขาจึงพยายามหลบเลี่ยงเมื่อโมกข์เริ่มปฏิบัติการ “ตื๊อ” โดยการขับรถมารับเขาถึงบ้านในตอนเช้า
วันรุ่งขึ้นเพื่อไปทำงาน แม้ว่าพัทธ์จะทำหน้าเคร่งยืนยันเป็นกระต่ายขาเดียวว่าเขาจะไม่ยอมขึ้นรถไปกับ
โมกข์ แต่ผู้ชายร่างยักษ์กลับบังคับโดยแบกร่างของเขายัดเข้าไปในรถอย่างง่ายดาย แถมยังไปนั่งรอตลอด
ทั้งวันที่เขาทำงานอยู่
อีก 2-3 วันต่อจากนั้น พัทธ์จึงนอนตื่นเช้าขึ้นและรีบออกจากบ้านให้เร็วขึ้นจนโมกข์ขับรถมาเจอแต่บ้านที่
ว่างเปล่า พอตกตอนเย็นพัทธ์ก็อาศัยรถจักรยานยนต์ของลูกศิษย์ให้ขี่มาส่งที่หน้ามหาวิทยาลัยเพื่อเลี่ยง
การเผชิญหน้า
“อาจารย์จะหลบเฮียเขาได้สักกี่วันฮะ”
กลุ่มลูกศิษย์ที่สนิทสนมต่างก็ส่ายหัวเมื่อเห็นอาจารย์ของตนทำอย่างนั้น แล้วก็ต้องมานั่งหาวหวอดอยู่ที่
โกดังฝึกงาน
“ผมว่าอาจารย์ก็ยอมๆ ญาติดีกะเฮียยักษ์เขาไปเหอะ”
อีกคนยุส่งจนเขาต้องชี้หน้าด้วยความเคือง
“นี่แค่เขามานั่งคุยด้วยไม่กี่วัน พวกเอ็งก็แปรพักตร์ไปเข้าข้างเขางั้นเหรอ”
บรรดาลูกศิษย์ส่ายหน้าพรืด แข่งกันยิ้มแหย
“ใครบอกว่าพวกผมจะไปเข้าข้างเฮียยักษ์ พวกผมก็ต้องเข้าข้างอาจารย์สุดที่เลิฟของเราอยู่แล้ว”
เหมือนโมกข์จะรู้แกว พัทธ์ทำอย่างนั้นได้ไม่กี่วัน โมกข์ก็เปลี่ยนวิธีมาเป็นขับรถมานอนรอเขาอยู่หน้าบ้าน
ตั้งแต่ดึก แล้วก็บุกเข้ามานั่งรอในบ้านตั้งแต่ย่ำรุ่งจนเขาหนีไม่ได้ พอตกเย็นพัทธ์ก็ถูกล้อมหน้าล้อมหลังไป
ด้วยพวกลูกศิษย์ทะโมน แล้วพวกนั้นก็พยักเพยิดให้โมกข์มาคว้าตัวเขาขึ้นรถไปร้านอาหารเพื่อกินอาหาร
เย็นก่อนกลับบ้านได้สำเร็จ
ทุกอย่างที่โมกข์ทำ มันทำให้เขารู้ว่าความอดทนของโมกข์สูงจริงอย่างที่เขากล่าว แต่ความอดทนของพัทธ์
กำลังจะหมดลงจนอาจต้องตัดสินใจทำอะไรให้เด็ดขาดลงไป
“ท่านคณบดีแจ้งข่าวกับผมว่าคุณจะขอถอนตัวจากโปรเจ็คที่คุณทำอยู่ แล้วให้อาจารย์คนอื่นมาทำต่อ เป็น
เรื่องจริงใช่ไหม”
โมกข์เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อขับรถมาส่งพัทธ์ที่หน้าบ้านในตอนค่ำ จนพัทธ์ต้องหลบตาจาก
สายตาตัดพ้อคู่นั้น
“คุณทำอย่างนั้นเพราะมันใกล้ถึงวันที่จะต้องไปทดลองงานที่ไร่ของผมแล้ว คุณทำเพราะไม่อยากอยู่ใกล้ผม
ใช่ไหมพัทธ์”
“คุณก็เข้าใจอะไรได้เร็วดีนี่”
พัทธ์แต่งเสียงเยาะหยันทั้งที่ใจของเขาอ่อนวูบเมื่อเห็นโมกข์หรุบตาเศร้าลง จนเขาต้องเตือนตัวเองว่า
อย่าได้ใจอ่อนให้ผู้ชายเลวๆ คนนี้เด็ดขาด
โมกข์ถอนหายใจเมื่อหันไปมองซีกหน้าขาวจัดที่นั่งอยู่ข้างๆ แม้แต่หน้าของเขาพัทธ์ก็คงไม่อยากจะมองเมื่อ
พัทธ์นั่งคอตั้งมองตรงไปข้างหน้า โมกข์เห็นแค่ขนตาเป็นแพของดวงตาคู่สวยที่ซ่อนอยู่หลังแว่นบาง
“สิ่งที่คนสำนึกผิดอยากได้มากที่สุด คือโอกาส”
โมกข์ทอดเสียงอย่างท้อแท้
“แต่นี่ แม้แต่โอกาส ผมก็คงจะไม่ได้รับมัน”
โมกข์เปิดประตูก้าวลงจากรถแล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูให้พัทธ์ก้าวลงมายืน พัทธ์ใจหายเมื่อเห็นดวงตาที่
เคยมั่นใจเป็นนิจกลับมัวหมอง
“คุณเข้าไปในบ้านแล้วพักผ่อนเถอะ นอนหลับฝันดีนะครับพัทธ์”
โมกข์โน้มตัวมากดริมฝีปากลงไปที่หน้าผากของพัทธ์แผ่วเบาและอ่อนโยน ความอบอุ่นแล่นไปทั่วร่างตั้งแต่
หัวจรดเท้าจนพัทธ์นึกเสียดายที่โมกข์ถอนริมฝีปากออกไป โมกข์สบตากับพัทธ์อีกครั้งก่อนที่จะเดินกลับไป
ที่ฝั่งคนขับแล้วขับรถจากไปในความมืด ทิ้งไว้แต่พัทธ์ที่ยืนว้าวุ่นใจกับสิ่งที่เขาตัดสินใจทำลงไป
เสียงเคาะประตูห้องพักอาจารย์ดังขึ้นแล้วประตูจึงเปิดออกพร้อมกับใครบางคนที่ก้าวเข้ามา สร้างความ
แปลกใจให้แก่พัทธ์เป็นอันมาก
ปราบ เจ้าของอินไฟไนท์อินดัสเตรียลยืนเด่นด้วยท่าทีสง่า เขาก้าวเข้ามาคลี่ยิ้มให้พัทธ์พลางยื่นมือมาจับ
ทักทาย
“สวัสดีครับ อาจารย์พัทธ์”
“ครับ สวัสดีครับคุณปราบ มาหาถึงที่นี่มีอะไรให้รับใช้หรือเปล่าครับ”
“โอ๊ะ …ไม่ครับ ไม่ได้มีเรื่องรบกวนเรื่องงาน แต่มีเรื่องส่วนตัวก็เลยตรงดิ่งมาที่นี่ คงไม่รบกวนเวลาของคุณ
นะครับ”
ปราบพูดเสียงนุ่มแต่มีพลังชัดถ้อยชัดคำตามบุคลิก พัทธ์สบตาจริงจังคู่นั้นพลางนึกเปรียบเทียบกับแววตา
ร้อนแรงตามอารมณ์ของใครอีกคนที่เป็นเพื่อนสนิทแล้วก็คิดว่าช่างแตกต่างจนไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเพื่อน
กันได้
แล้วทำไมเขาจะต้องไปคิดถึงคนนิสัยเสียคนนั้นด้วยเล่า พัทธ์บ่นตัวเองแล้วดึงความสนใจกลับมาหาปราบ
“เรื่องส่วนตัว หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องของ…”
พัทธ์เลิกคิ้วถาม ปราบพยักหน้ารับ
“ครับ ก็เรื่องของคนที่คุณก็รู้ว่าใครนั่นแหละ วันนี้ผมมาเป็นฑูตสันติภาพแทนเพื่อนของผม งั้นผมจะไม่
อ้อมค้อมล่ะ อันดับแรกผมอยากให้คุณพัทธ์ดูรูปในซองนี้ก่อน”
ปราบเปิดกระเป๋าเอกสารเนื้อดีออกแล้วดึงซองสีน้ำตาลในนั้นมาส่งให้ พัทธ์รับมาเปิดซองแล้วหยิบรูป
ขนาดโปสการ์ดหลายใบในซองออกมาดู เมื่อเห็นภาพทั้งหมดคิ้วที่พาดเฉียงเหนือดวงตาคู่สวยก็ขมวดแน่น
ก่อนที่จะเงยหน้ามามองปราบแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“รูปพวกนี้คืออะไร แล้วคุณเอามาให้ผมดูทำไม”
“ใจเย็นครับคุณพัทธ์ ผมจะอธิบายให้คุณฟัง รูปพวกนี้คือรูปที่นักสืบของโมกข์ไปสืบพฤติกรรมของกานต์
แฟนเก่าของคุณมาได้ ผมทราบมาว่าคุณกับกานต์คบกันได้ราวหนึ่งปีแล้ว แต่รูปนี้…”
ปราบชี้ไปที่รูปหนึ่งในมือพัทธ์
“นักสืบไปหามาได้จากกล้องวงจรปิดในฟิตเนสที่กานต์ไปเล่นเมื่อเจ็ดเดือนก่อน คุณก็เห็นว่าเขากอดจูบอยู่
กับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่คุณ ส่วนรูปนี้…”
ปราบชี้ไปทางรูปอีกใบ
“ได้มาจากกล้องวงจรปิดของโรงแรมม่านรูดเมื่อสามเดือนก่อน ที่ถ่ายรถยนต์ที่ขับเข้ามาใช้บริการ คุณจะ
เห็นว่ากานต์นั่งรถเข้าไปกับผู้ชายอีกคนที่ไม่ใช่คุณและไม่ใช่ผู้ชายคนที่เห็นในฟิตเนส รูปพวกนั้นเกิดก่อนที่
คุณและกานต์จะรู้จักโมกข์ด้วยซ้ำไป”
หัวใขของพัทธ์กระตุกด้วยความเจ็บปวดเหมือนถูกมีดกรีดซ้ำที่แผลเก่า มือสั่นไหวโยนรูปพวกนั้นคว่ำลงบน
โต๊ะทำงานเพราะพัทธ์ไม่อยากเห็นมันอีก เขาก้มหน้าลงเพื่อซ่อนรอยเจ็บช้ำของดวงตาแล้วเอ่ยถามปราบ
ด้วยเสียงขุ่นแค้น
“ผมจำเป็นที่ต้องรู้เรื่องพวกนี้ด้วยหรือ”
“จำเป็นมากครับ ผมรู้ว่าคุณเจ็บปวดเมื่อถูกคนรักหักหลัง ทั้งผมและโมกข์เข้าใจอย่างมากด้วย เมื่อโมกข์
พบคุณและเริ่มสนใจคุณ เขาก็เริ่มสืบประวัติจนรู้ว่าคนที่คุณคบอยู่ด้วยไม่ได้จริงใจกับคุณแม้แต่นิดเดียว
เขาก็เลยคิดว่าคุณควรจะเลิกกับกานต์เสียเพื่อไม่ให้คุณถูกหลอกไปมากกว่านี้”
พัทธ์แค่นยิ้มหยัน
“เขาก็เลยใช้ตัวเองเป็นเครื่องมือให้ผมได้รู้งั้นสิ”
ปราบถอนใจ
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ ข้อเสียของเพื่อนผมคือมันเป็นคนบุ่มบ่ามไม่คิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบ นึก
อยากจะทำมันก็ลงมือโดยไม่นึกว่าเรื่องมันอาจจะพัวพันยุ่งเหยิง แต่คุณพัทธ์ครับ วิธีการมันอาจจะผิดแต่
ผมอยากให้คุณพัทธ์เข้าใจในเจตนาของโมกข์”
ปราบวิงวอน
“ผมพูดหยาบๆ เลยนะ ต่อให้ไม่มีโมกข์ แฟนของคุณเขาก็ไม่ได้มีคุณแค่คนเดียว เขาพร้อมที่จะมีคนอื่นอีก
หลายคนทั้งที่ยังคบกับคุณอยู่และคุณก็ไม่มีทางรู้ ด้วยความช่ำชองในการสับหลีกของกานต์ โมกข์มันรู้เรื่อง
พวกนี้แต่มันก็เก็บรูปไว้ ไม่ได้เอามาให้คุณเห็นเพราะกลัวว่าคุณจะทำใจไม่ได้ นี่แหละคือความจำเป็นที่ผม
ต้องโขมยรูปพวกนี้มาให้คุณเพราะอยากให้คุณเข้าใจโมกข์”
ปราบอธิบายยาวยืด
“ผมกับโมกข์เป็นเพื่อนสนิทกันมานาน ผมรู้ว่าเพื่อนของผมเป็นคนอ่อนไหวง่าย”
พัทธ์กระพริบตาปริบๆ เมื่อปราบพูดประโยคนี้ เขาเงยหน้ามาสบตาปราบเพื่อขอคำยืนยัน เมื่อคำว่า
อ่อนไหวง่ายมันดูไม่เข้ากับคนร่างยักษ์เอาเสียเลย
“เพื่อนของผมไม่เคยเชื่อเรื่องความรัก เพราะแม่ของโมกข์หนีไปตั้งแต่ยังเด็กและพ่อของมันก็เสียใจจนฆ่า
ตัวตายต่อหน้ามัน จนโมกข์กลายเป็นเด็กกำพร้าพร้อมกับปมปัญหาที่ฝังลึกอยู่ในใจ คุณเป็นคนแรกที่ทำให้
โมกข์เปลี่ยนไป คุณทำให้มันต้องยอมก้มหัวให้ความรัก”
ดวงตาจริงจังของปราบสะท้อนให้พัทธ์รู้ว่าทั้งหมดที่พูดเป็นเรื่องจริง พัทธ์อึ้งเมื่อรู้เรื่องในอดีตของโมกข์
ผู้ชายคนนั้นต้องขมขื่นอยู่กับอดีตที่ปวดร้าวมาตลอดชีวิต ยิ่งปราบเล่าให้ฟังว่าเมื่อเขารู้จักโมกข์ใหม่ๆ
โมกข์นอนผวากับฝันร้ายและตื่นมานอนคุดคู้ร้องไห้เกือบทุกคืน
“โมกข์เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเพราะคุณ ผมดีใจมากรู้ไหม ผมอยากจะขอโอกาสให้เพื่อนผมสักครั้ง ไม่ต้อง
มากมายหรอก แค่เริ่มจากศูนย์ไม่ต้องติดลบอย่างที่เป็นอยู่ก็พอแล้ว”
ปราบลุกขึ้น เขารวบรูปทั้งหมดกลับใส่ซองเอกสารแล้วลุกขึ้นยืนก้าวเดินไปที่ประตูเมื่อเห็นว่าพัทธ์ยังนั่งนิ่ง
ครุ่นคิดในสิ่งที่เขาพยายามอธิบาย
“คนที่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคุณ ผมเสียดายนะถ้าคุณจะไม่รับเขาไว้พิจารณา”
ปราบทิ้งท้ายก่อนก้าวออกจากห้อง
โมกข์ถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่เขาก็จำไม่ได้เมื่อรู้สึกเซ็งกับเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิต
เขาบอกกันว่าทำผิดแค่ครั้งเดียวก็เป็นบาปตราหน้าติดตัวไปจนตาย นี่เป็นครั้งแรกที่โมกข์เข้าใจมันลึกซึ้ง
ก้าวยาวๆ เข้าไปในบริษัท โมกข์เดินแวะทักทายรัตนาที่แผนกประชาสัมพันธ์พร้อมถามถึงกานต์ที่หายหน้า
ไปจากการทำงานตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง
“กานต์ลาป่วยค่ะ หลังจากนั้นก็โทรมาใช้สิทธิ์ลาพักร้อนต่ออีก รวมแล้วหายไปเป็นอาทิตย์ นี่พี่ก็วิ่งวุ่นไป
หมด ขาดมือดีมาช่วยงาน”
รัตนาถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยพลางขอตัวไปทำงานต่อ โมกข์จึงได้เดินไปนั่งอ่านเอกสารอยู่ในห้อง
ทำงาน
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น โมกข์มองชื่อของคนที่โทรเข้าแล้วรีบรับสาย
“สวัสดีครับท่านคณบดี ครับ…ว่าไงนะครับ โอ เป็นเรื่องที่ผมยินดีที่สุดเลยครับ…ไม่เร็วไปหรอกครับ ผม
พร้อมต้อนรับอยู่แล้ว ครับ ได้ครับ ยินดีอย่างยิ่ง สวัสดีครับ”
โมกข์กดปิดโทรศัพท์ด้วยหัวใจที่พองโตกับข่าวดีที่สุดตั้งแต่เกิดเรื่องยุ่งๆขึ้นมา
เมื่อประตูรถคอนเทนเนอร์ที่บรรจุเครื่องจักรทางการเกษตรขนาดใหญ่อยู่ภายในถูกปิดลงก่อนที่คนขับจะ
เริ่มต้นเดินทางนำไปสู่จุดหมาย บรรดาลูกศิษย์ทะโมนทั้งหลายที่ต้องติดตามไปช่วยงานราวสิบคนจึงได้เดิน
จับกลุ่มกันไปที่รถตู้ พัทธ์เดินตามไปติดๆ
“เดี๋ยว จารย์ จะทำไรนี่”
ลูกศิษย์คนนึงกางแขนกันท่าอยู่หน้าประตูทางขึ้นรถ พัทธ์ยืนทำหน้างง
“ก็จะขึ้นรถสิวะ”
“โอ๊ย ม่ายด้าย รถตู้เต็มแล้วครับ แค่พวกผมก็อัดกันแน่นแล้ว จารย์มาอีกคนก็นั่งไม่สบายหรอก”
อีกคนรีบเอ่ยห้าม คราวนี้พัทธ์ท้าวเอวมองอย่างเอาเรื่อง
“ไม่ให้ขึ้นแล้วผมจะไปยังไงครับ ท่านนักศึกษาที่เคารพ นั่งอัดกันไปก็ได้นี่ครับท่าน จะเดือดร้อนอะไรกัน
ครับ”
“แล้วอาจารย์จะมานั่งเบียดให้มันอึดอัดทำไมครับ ในเมื่อคันโน้นยังว่างและรอผู้โดยสารคนสำคัญอย่าง
อาจารย์ไปนั่งให้ชิลๆ”
คนที่ดูเรียบร้อยสุดชี้ไปทางรถยนต์หรูคันใหญ่ที่เจ้าของยืนส่งยิ้มมาให้ พัทธ์เห็นแล้วก็รีบหลบตาหันมาแยก
เขี้ยวใส่ลูกศิษย์
“เอ็งอยากชิลก็ไปนั่งแทนสิ ข้าจะนั่งรถตู้โว้ย”
เมื่ออาจารย์ทำท่าจะก้าวขึ้นรถตู้ บรรดาลูกศิษย์จอมชงทั้งหลายจึงกรูกันยึดตัวไว้ แล้วลากมาส่งหน้ารถหรู
อย่างรวดเร็ว
“พามาส่งแล้วนะเฮีย”
คนที่ดูซ่าสุดกระซิบกับโมกข์
“อย่าลืมมอลต์สกัดบ่มสามสิบปีที่เราตกลงกันไว้นะ”
โมกข์หัวเราะร่า ยื่นมือไปจับกับคนพูด
“ด้วยความยินดี ไปถึงจะจัดหนักให้เลย”
เด็กๆ หัวเราะกันคิกคักแล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถตู้ ทิ้งไว้ให้คนเป็นอาจารย์ยืนเงียบอยู่ต่อหน้าเจ้าของทุน
โมกข์มองหน้าพัทธ์แล้วยิ้มให้ รอยยิ้มที่ทำให้พัทธ์แทบสะดุดลมหายใจตัวเองเมื่อเผลอมอง
“ผมดีใจนะที่คุณเปลี่ยนใจกลับมาทำโปรเจ็คนี้ ดีใจที่การเดินทางกลับบ้านครั้งนี้ของผมจะมีคุณร่วมทางไป
ด้วย”
“ผมก็แค่ไม่อยากทิ้งงานกลางคันเท่านั้นแหละ”
พัทธ์รีบออกตัว เมื่อรู้สึกร้อนซู่ไปทั้งหน้ากับสายตาของโมกข์ที่มองมา
“ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ผมก็ดีใจทั้งนั้นแหละ ขึ้นรถกันดีกว่าจะได้รีบเดินทาง”
โมกข์คว้ามือของพัทธ์ส่งให้เข้านั่งทางตอนหลังแล้วเขาก็ก้าวตามไปนั่งคู่
“ออกรถได้แล้วคำปัน”
คำปันรับคำสั่ง ก่อนที่รถยนต์คันใหญ่จะออกตัวอย่างนุ่มนวล
“ปล่อยมือผมได้แล้ว”
พัทธ์สั่งเสียงเขียวเมื่อมือของเขายังอยู่ในอุ้งมืออุ่นของโมกข์แม้ว่าเขาจะดึงมือออกมาแต่โมกข์ก็ยังไม่ยอม
ปล่อย
“อย่าบ่นหน่อยเลยน่า ขออยู่อย่างนี้สักพักนะ”
แล้วโมกข์ก็หลับตาลงเอนตัวพิงไปกับเบาะนุ่ม ไม่สนใจกับพัทธ์ที่ยังหน้ามุ่ย
ทิวทัศน์สองข้างทางทำให้พัทธ์ตื่นเต้นไปกับการเดินทางครั้งนี้ เขาปล่อยใจให้เพลิดเพลินไปกับมัน เมื่อคิด
แล้วว่าสิ่งที่ตัดสินใจลงไปน่าจะถูกต้อง ความกังวลก็หายไปเกือบหมด ก่อนที่จะรู้สึกง่วงงุนไปกับแอร์เย็นๆ
ภายในรถ เขาพิงศีรษะไปกับเบาะแล้วจึงหลับไปในที่สุด
โมกข์ลืมตาขึ้นมามองภาพนั้นแล้วยิ้ม เขาเอนตัวไปจูบเบาๆที่ไรผมพลางเอื้อมมือมาโน้มตัวของพัทธ์ให้
เอนมาซบลงที่ไหล่ของเขา มือของพัทธ์ยังอยู่ในการเกาะกุมจากมือแกร่ง
“คำปัน ขับรถนิ่มๆ หน่อยนะ อาจารย์พัทธ์หลับอยู่”
คำปันมองภาพนั้นผ่านกระจกมองหลังอย่างสะท้อนใจ เมื่อคิดว่าถ้าใครบางคนที่รออยู่มาเห็นภาพนี้เข้า
ใครคนนั้นจะเสียใจแค่ไหน เขานึกสงสารโอบกิจขึ้นมาครามครัน เขาตัดสินใจเฉียบพลันว่าเขานี่แหละที่จะ
ทำให้โอบกิจเลิกเศร้าโศกจากความผิดหวัง
รถยนต์แล่นเร็วไปตามทาง ตรงไปสู่วิถีชีวิตใหม่ที่รออยู่ เส้นทางที่ไม่มีใครรู้ว่าจะต้องเผชิญกับอะไรบ้างใน
เบื้องหน้านั้น
จบบทที่ 16
By Belove