รักได้ไหม ผู้ชายธรรมดา
บทที่ 13
รถสปอร์ตคันหรูที่ใครๆต้องเหลียวมองขับเคลื่อนมาด้วยความเร็วสูง
ในช่วงบ่ายที่ใครๆก็ต้องนำยานยนต์มาวิ่งบนท้องถนน
นวัตกรรมความเร็วขับเคลื่อนลัดเลาะปาดซ้ายขวาโดยไม่เกรงกลัวจะพุ่งเข้าชนใครทั้งสิ้น
ราวกับคนในนั้นก็ไม่ได้ห่วงชีวิต
แต่ภายในรถกลับมีเสียงตะโกนอยู่ดังลั่น มันเป็นเสียงของหนุ่มตาชั้นเดียวที่โหวกเหวกโวยวายด้วยความตกใจ
“เฮ้ย ๆๆๆ เบาๆๆ กันดั้ม เบา โอ๊ยๆๆ จะชนแล้ว เฮ้ย”
อธิศนั่งตัวเกร็งและหลับตาแน่นทุกครั้งที่เจ้าหนุ่มตาหวานเหยียบคันเร่งปาดรถคันอื่น
ธีทัตขมวดคิ้วด้วยความรำคาญใจ เจ้าหนุ่มตาชั้นเดียวที่นั่งข้างๆ ไม่เคยรู้จักสมรรถนะ ความเร็วระดับนี้บ้างหรือ
อย่างไรนะ รู้ไหมว่ามาตะโกนข้างๆกันอย่างนี้มันเสียสมาธิแค่ไหน
ธีทัตปรายตามองคนที่นั่งมาด้วยแวบหนึ่ง และเมื่อเขาหันกลับไปมองเบื้องหน้าก็ต้องตกใจสุดขีด
เบื้องหน้าเป็นสี่แยกที่ไม่มีไฟสัญญาณจราจร แล้วตอนนี้มีรถบรรทุกคันใหญ่ ขับพุ่งตรงมาจากด้านขวา
ธีทัตขับรถมาเร็ว และใกล้เกินกว่าที่จะเหยียบเบรก เขาตัดสินใจหักพวงมาลัยเลี้ยวไปทางซ้าย
รถเสียหลักเกือบพุ่งลงข้างทางแต่ธีทัตพยายามประคองไปได้อีกช่วงหนึ่ง ก่อนที่รถจะหยุดลงที่ริมถนน
ศีรษะของอธิศพุ่งไปชนกระจกรถด้านหน้าดังตุ๊บ เขาร้องดังลั่น พลางใช้มือนวดคลำหน้าผาก
ธีทัตนิ่งอึ้ง เขาเองก็ตกใจไม่น้อยไปกว่ากัน มือสองข้างกำพวงมาลัยรถแน่น เหลือบตามองเจ้าหนุ่มตาชั้นเดียว
อย่างขอลุแก่โทษ
อธิศสบถดังลั่นด้วยความโมโห ก่อนจะหันหน้ามาต่อว่าคนขับเสียงดัง
“เล่นบ้าอะไรเนี่ย กันดั้ม อยากตายนักหรือไง เห็นหรือเปล่าว่ามันอันตราย”
ธีทัตเงียบเสียงไปไม่ตอบโต้ จนอธิศเองก็แปลกใจ
“ผมขอโทษนะ”
ธีทัตเอ่ยมาอย่างแผ่วเบา หน้าเสียจนคนต่อว่าเองก็สงสาร
“ผมอารมณ์ไม่ค่อยดี”
อธิศอดรนทนไม่ได้ จึงถอนหายใจแรงๆมาเสียหนึ่งที ก่อนพยายามทำจิตใจให้เป็นปกติ แล้วจึงพูดขึ้น
“แต่การทำอย่างนี้ไม่ได้ทำอะไรให้มันดีขึ้น ซ้ำร้ายยังทำให้แย่ลงไปอีก ถ้าเกิดเมื่อครู่เบรกไม่อยู่จะเกิดอะไรขึ้น
พ่อคุณก็ต้องเสียลูกชายไปหนึ่งคน...”
“หยุดพูดถึงคนคนนั้น”
ธีทัตตะโกนสวนตั้งแต่อธิศพูดยังไม่จบประโยค ธีทัตพิงศีรษะกับเบาะรถ และใช้สองมือปิดหน้า
“เค้าไม่เคยรักผมหรอก ไม่เคยใยดี เค้าไม่เห็นผมอยู่ในสายตาเค้า”
ไหล่ที่เคยผึ่งผายบัดนี้ลู่ลงและสั่นไหวเหมือนกับไม่สามารถที่จะแบกรับอะไรได้อีกแล้ว
อธิศมองภาพตรงหน้าด้วยความสะท้อนใจ นี่เองคือตะกอนที่อยู่ในใจผู้ชายตรงหน้า
ตะกอนที่เหมือนนอนนิ่งที่ก้นหลุม วันใดถูกกวนให้ฟุ้งขึ้นมาก็พร้อมที่จะทำให้น้ำใสนั้นขุ่นมัว
เขาเอื้อมมือไปบีบที่ไหล่ของธีทัตอย่างเห็นใจ ธีทัตปล่อยมือที่ปิดหน้าออกแล้วหันมาสบตา
เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ตรงคอ พูดอะไรไม่ออกเมื่อได้เห็นแววตาที่เห็นใจ เข้าใจจากหนุ่มตาชั้นเดียว
น้ำที่อดทนกักเก็บอยู่ในใจ ไหลทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตก อธิศคว้าตัวเจ้าหนุ่มหน้าหวานมากอด
ธีทัตสะอื้นเสียงดังอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เขาร้องไห้อยู่ภายใต้การปลอบใจของผู้ชายที่เขาไม่รู้จัก
แม้หัวนอนปลายเท้า
ร้องอยู่พักใหญ่จนไม่มีน้ำตาอธิศก็ดันตัวเขาออกมาจากอ้อมกอด พลางใช้มือลูบที่ท้ายทอยของธีทัต
“ดีขึ้นไหม”
หนุ่มตาชั้นเดียวเอ่ยถามเสียงอบอุ่น ธีทัตพยักหน้าน้อย ๆ ก้มลงใช้คอเสื้อของตนเป็นที่เช็ดคราบน้ำตา
“แล้วคราวนี้จะสงบสติอารมณ์เล่าให้ฟังได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”
อธิศเอ่ยถาม
“เค้าจะส่งผมไปอเมริกา ผมไม่อยากไป”
ธีทัตกล่าวโดยสรุป
“แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรล่ะ”
อธิศพึมพำ
“ผมยังไม่อยากกลับบ้าน อยากไปไหนไกลๆสักพัก”
ธีทัตเอ่ยขึ้น อธิศไม่รู้จะห้ามอย่างไรเพราะรู้ว่าน้ำเชี่ยวไม่ควรเคลื่อนเรือไปขวาง เขานิ่งคิดก่อนตัดสินใจ
“งั้นเอาอย่างนี้ ไหนๆ คุณก็มั่วขับมาถึงตรงนี้แล้ว เดี๋ยวผมจะพาคุณไปเองรับรองคุณต้องชอบ”
หนุ่มตาชั้นเดียวเอ่ยเสียงสดใส ธีทัตมองเป็นเชิงถาม
“น่า เดี๋ยวก็รู้เอง แต่ผมไม่ให้คุณขับรถแล้ว อันตรายสำหรับชีวิตผมมาก เดี๋ยวคุณมานั่งฝั่งนี้”
อธิศจัดแจงเปิดประตูลงจากรถแล้วอ้อมมาฝั่งคนขับ
เขาเปิดประตูแล้วดึงธีทัตออกมา พลางโบกมือไล่ให้หนุ่มหน้าหวานเดิมอ้อมไปนั่งแทนที่เขา
ธีทัตทำตามอย่างงงๆ
อธิศเข้านั่งประจำที่คนขับ ถูมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันเป็นทำนองว่าพร้อมแล้ว
“พร้อมที่จะออกเดินทางไปกับกัปตันอธิศแล้วก็ไปกันเลย”
ชายหนุ่มตาชั้นเดียวยิ้มอีกครั้งแล้วนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะหันไปหา ธีทัต
“ว่าแต่รถของคุณสตาร์ทยังไงเหรอ”