มีปัญหาด้านเวลาพอสมควร ยังไงจะไล่ลงให้หมดทั้ง 3 เรื่องตอนนี้เลยค่ะ
ไม่ค่อยได้ว่างเข้ามาเท่าไหร่ ตอนหลังจากนี้ไปเป็นต้นฉบับไม่ได้ดูอะไรเพิ่มนะคะ
เรื่องอาจจะกระโดดจากตัวหลักไปตลอด แต่ว่าอาจจะเป็นนิสัยตัวเอง 555555
พอลงจบอสรพิษ จะลงต่ออีก 2 เรื่อง ไม่แยกกระทู้ค่ะ เพราะตอนแรกจะลงเรื่องเดียวพอ
อสรพิษที่รัก 4
“ผักพวกนี้มันกินได้ที่ไหนล่ะหนูมุก!...” เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นในบ้านหลังเล็ก ย่านชานเมืองโซนเกษตรธารา จังหวัดที่เก้าสิบเก้า
ต้นเสียงอยู่หน้าตู้เย็นหลังใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยผักสวนครัวนานาชนิดกองรวมกันบนพื้น มีงูเจ้ามะโรงท่าทางหดหู่ทรุดนั่งอยู่ใกล้ ๆ แต่คนต้นเรื่องกลับยืนสบายอารมณ์อยู่ไม่ห่างนัก
“ทำไมจะกินไม่ได้ สลัดผักสวนครัวไงล่ะ กระเพรา โหระพา สะระแหน่ ขิง ข่า ตะไคร้ หอม กระเทียม พริกขี้หนูสวน ใบมะกรูด ลูกมะนาว ใส่น้ำสลัดไปมันก็เป็นสลัดผักสวนครัวใช่รึเปล่าเล่า มะโรงน้อยที่น่ารักของผม...” มือบางนุ่มนิ่มไม่สมบุรุษ เชยใบหน้าคมสุดสลดขึ้นมองด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม
งูเจ้าเยาว์วัยก้มหน้าหลบสายตาดุดันที่จ้องมา หลังจากพอจะทำความเข้าใจกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้ชัดเจน ว่าได้หาเรื่องใส่ตัวเองเข้าให้แล้ว
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อคืนวานและยามเช้าตรู่...
“อื้อ...เดี๋ยว ปล่อย...อื้อ...” เสียงนั้นเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก สองมือที่ควรจะผลักไสเรือนกายกำยำให้ห่างออกไปถูกมัดด้วยเศษผ้าอย่างแน่นหนา
คล้ายกับการต่อสู้ระหว่างปลาวาฬเพชฌฆาตตัวใหญ่ที่กำลังหิวโหย กับปลาโลมาน้อยที่ไร้ทางสู้...ซึ่งสุดท้ายเจ้าตัวที่เล็กกว่า ก็คงไม่พ้นคมฟันจากผู้ล่าเป็นแน่…
ริมฝีปากบางที่ซุกไซ้ไปตามแผ่นหลังของร่างที่พยายามดิ้นรนขัดขืนและถอยหนีนั้น ยังคงกดเม้มเลื่อนลงไปตามแนวกระดูกสันหลัง ทิ้งรอยแดงช้ำเป็นจ้ำ ๆ อยู่ทั่วผิวขาวเนียนจนแทบไร้ที่ว่าง
มือคู่ใหญ่กดร่างบางแนบสนิทอยู่กับเตียง ไม่อนาทรร้อนใจต่อท่าทีต่อต้าน เมื่อริมฝีปากที่เป็นอิสระยังยากเย็นยิ่ง ยามจะเอื้อนเอ่ยบริภาษสิ่งใดแก่ตัวเขา
ภิมุขซุกหน้ากัดหมอนนุ่มเพื่อสกัดกั้นเสียงครางผะแผ่ว จากแรงลุกล้ำที่เบื้องล่าง สะโพกบางสั่นไหวไปตามแรงอารมณ์ของอสรพิษหนุ่มที่แม้จะเพิ่งพบพาน ก็มีบางอย่างที่ผูกพันกันไว้ยิ่งกว่านั้น
แรงขยับเคลื่อนไหวด้านล่างรุนแรงไม่มีหยุดยั้ง ก่อเกิดบทรักที่ร้อนแรงเกินกว่าจะยืนยันได้ว่านั่นคือครั้งแรกของพวกเขาทั้งสอง
ดวงตาฉ่ำน้ำหรี่ปรือ หากมีประกายของความเคียดแค้นมองเหม่อ เมื่อประสาทสัมผัสรับรู้ห้วงอารมณ์แห่งความสุขสม แต่ในหัวใจกลับคิดจะเอาคืน แลกกับสิ่งที่เสียไปอย่างสาสมที่สุด
แม้เรี่ยวแรงจะอ่อนล้าลงไปตามแรงเคลื่อนไหวจากร่างด้านบน กระทั่งสติที่มีขาดหายไป วินาทีสุดท้ายนั้นภิมุขก็ยังคงคิดแค้นอสรพิษหนุ่ม ที่เมื่อคิดจะรุกรานก็บังคับกันอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้...แล้วอย่างนี้จะปล่อยอีกฝ่ายไปง่าย ๆ ได้เช่นไร
แววตาสีแดงเชื่อมหวาน จ้องมองเรือนร่างสลบไศลไร้สติ หากรับรู้ดีว่าการเคลื่อนไหวรุกรานของตนจะไม่สิ้นสุดลงในเวลาอันใกล้นี้เป็นแน่ ต่อให้ต้องตื่นขึ้นมาและอ่อนแรงหมดสติไปอีกสักกี่ครั้ง หากฟ้าไม่สว่าง...
‘มะโรงจะไม่หยุด! หรอกนะหนูมุก’
++++++++++++++++++++++++
ดวงตาแดงช้ำหรี่ขึ้นมองสู่เบื้องบน แรงกระแทกกระทั้นที่ร่างกายรู้สึกทำให้ต้องกรีดร้องออกมาเสียงลั่นห้อง กว่าสายตาจะปรับให้เห็นภาพต่าง ๆ ชัดเจน ความคิดก็ประมวลผลสรุปออกมาก่อนแล้วว่าอะไรเป็นไร...
“ไม่ คิด จะ หยุด...ใช่มั้ย” น้ำเสียงแหบแห้งสั่นไหวเอ่ยถามอย่างยากลำบาก ดวงตาแดงก่ำจ้องมองอสรพิษหนุ่มที่แสร้งยิ้มเยาะใส่ด้วยความอาฆาตอย่างที่สุด
ข้อมือที่ถูกมัดขยับเคลื่อนไหวต่อสู้ให้หลุดพ้น หากความหนาแน่นของเชือกที่ถูกมัดอยู่กับหัวเตียงทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียง...เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“ไม่อยากจะหยุด...มีอะไรหรือไม่” จงอางหนุ่มตอบด้วยเสียงกวนอวัยวะบางส่วนของร่างข้างใต้ อย่างไม่สะทกสะท้านเกรงกลัว แม้สายตาดุ ๆ ที่จ้องมองมาก็ไม่อาจจะทำให้รู้สึกหวาดกลัวได้...ผิดกับช่วงเวลาปกติยิ่งนัก
“งี่เง่าที่สุด” ภิมุขรวบรวมเรี่ยวแรงเอ่ยพูดออกมาจนครบประโยค แม้เสียงจะแหบแห้งจนเจ็บคอเหลือเกินก็ตาม “แก้มัดเดี๋ยวนี้...มันเจ็บ ถ้าไม่มัดไม่มีปัญญาบังคับเอาหรือไง...โง่นี่งูน้อย”
เมื่อคนที่ดูเหมือนจะไร้ทางสู้กลับคิดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง อสรพิษผู้กล้าหาญเฉกเช่นบุตรงูเจ้าจึงหัวเราะเสียงดังด้วยความพอใจ ใบหน้าหล่อเหลาที่ยามนี้แฝงความโฉดตามแบบฉบับมาเฟียไว้เต็มเปี่ยม ก้มลงกระซิบกระซาบด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ภิมุขอดขนลุกด้วยความวาบหวามไม่ได้
“ได้สิ...จะให้บังคับแบบไหน มะโรงทำได้ทุกแบบอยู่แล้วที่รัก!” ว่าแล้วมือใหญ่ก็เอื้อมขึ้นแก้มัดให้มือเล็ก ทั้ง ๆ ที่ริมฝีปากยังคลอเคลียอยู่กับซอกคอนุ่มของอีกฝ่ายนั่นแหละ
มือที่เป็นอิสระเลื่อนเข้ากอดรัดเรือนกายกำยำแนบสนิท ก่อนที่จะใช้สายตาดุดันจ้องมองใบหน้าคมเมื่อยามที่อีกฝ่ายเลื่อนตัวขึ้นสบตา “โชกโชนจริงนะตัวแค่นี้...ไปเรียนมาจากใครกัน”
จงอางหนุ่มอายุสิบปีส่งเสียงหัวเราะดังลั่นอีกครั้ง ก่อนเฉลยข้อสงสัยของภิมุขด้วยท่าทีน่าหมั่นไส้สุดขีดในสายตาของชายหนุ่ม “มะโรงไม่ใช่มนุษย์นะถึงจะต้องมานั่งเรียนเรื่องพวกนี้ มันอยู่ในสายเลือด ฝังอยู่ในความทรงจำอันยาวนานที่สืบต่อกันมาจากเผ่าพันธุ์”
ดูท่าภิมุขจะพอใจในคำตอบไม่น้อย ความดุดันในสายตาคลายลงจนหมดสิ้นเมื่อได้ฟัง “ก็ดี...แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอย่างภิมุข จะยอมให้ใครมาบังคับได้ง่าย ๆ หรอกนะ ผมไม่ว่าถ้าจะเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่ถ้าไม่เอาคืน...ตายไปยังดีกว่า”
“แล้วจะเอาคืนเช่นไรเล่า...หรือว่าจะเป็นฝ่ายทำเอง!!!” งูเจ้ามะโรงถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อดหวังไม่ได้ว่าจะเป็นอย่างที่คิด
“ฝันไปเถอะ...เอาคืนแบบไหนเดี๋ยวก็รู้ แต่ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดแน่ ๆ ล่ะ” ช่างเป็นคำตอบที่ทำให้จงอางหนุ่มฝันสลายได้ในทันทีทันใดจริง ๆ
“เข้าใจแล้วล่ะ” บุตรงูเจ้าถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนที่ดวงตาสีแดงเพลิงจะฉายแววเจ้าเล่ห์แสนกลอีกครั้ง ทำให้ภิมุขอดหวาดหวั่นไม่ได้ “มาต่อกันดีกว่า...”
สิ้นคำนั้นใบหน้าคมก็ก้มลงขบเม้มผิวที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งสิเน่หาของตนซ้ำอีก ร่างกายที่ยังคงเชื่อมกันเป็นหนึ่งเริ่มขยับเคลื่อนไหว ปลดปล่อยให้ความคิดของภิมุขล่องลอยสู่ห้วงรักอันยาวไกลไม่รู้สิ้น โดยมีเสียงครวญครางแว่วหวานเป็นคำยืนยัน...
++++++++++++++++++++++++
“คิดอะไรไม่ทราบ...” เสียงห้วนดุเอ่ยถามดังลั่น เมื่อเห็นอีกฝ่ายก้มหน้ามองพื้นเหม่อไปไกลจากโลกปัจจุบันอย่างรู้สึกได้
จงอางหนุ่มไม่ตอบ แต่ขยับจัดเก็บข้าวของใส่ตู้เย็นอย่างขะมักเขม้น ปล่อยให้สายตาของภิมุขไล่มองตามด้วยความสงสัยเต็มอก หากในที่สุดก็ได้รับคำตอบ...ที่ไม่น่าพอใจเอาเสียเลย
“ก็แค่คิดว่ารีบกินข้าวให้เรียบร้อยกันดีกว่า จะได้อาบน้ำนอนเสียที” คำตอบนั้นตรงไปตรงมา และซื่อตรงต่อความคิดของตนเองยิ่งนัก เมื่อรู้ดีว่าเวลาดังกล่าวคือช่วงเวลาที่เขาจะได้เปรียบมากที่สุด
ภิมุขกำมือแน่นด้วยความเคียดแค้น เขาอยากจะกระทืบเท้าซ้ำ ๆ เพื่อให้หายแค้นใจ หากก็รู้ว่ากริยานั้นไม่เพียงไม่สมเป็นสุภาพบุรุษ แต่ยังจะแสดงความงี่เง่าของตนเองออกมาให้ต้องเสียเปรียบอีกด้วย
“ถ้าไม่ตายเพราะผักพวกนั้นก่อนก็เอาสิ...” แล้วภิมุขก็เถียงอย่างไม่ลดละ
จงอางหนุ่มหันมาเข่นเขี้ยว “ฮึ...ไม่ตายง่าย ๆ หรอก เอาให้มันรู้กันไปเลย...ว่าใครจะแน่กว่ากัน คนที่คิดจะฆ่าสามีหรือว่า...สามีผู้แสนดี”
“คลื่นไส้...แสนดีหรือแสนเลวกันแน่” ภิมุขตะโกนโต้ตอบอย่างไม่ลดละ
งูเจ้ามะโรงหัวเราะในลำคอ ขณะที่ยังคงเก็บของเข้าตู้เย็นต่อไป “ไม่เป็นไรครับ...แค่หนูมุกยอมรับว่ามะโรงเป็นสามี จะแสนดีหรือแสนเลว...มะโรงรับได้ทุกอย่าง”
เมื่อรู้ว่าหลงกลอสรพิษหนุ่มเข้าให้แล้ว ภิมุขก็กำหมัดกระทืบเท้าอย่างโกรธจัด ร่างโปร่งหันหลังออกจากส่วนครัวด้วยกลัวจะเสียหน้าซ้ำสอง หากเสียงทรงอำนาจก็หยุดไว้เสียก่อน...
“จะไปไหน...ไม่ทานข้าวหรือไร”
“กินมาแล้ว จะเข้าห้อง...มีอะไรอีกมั้ย” จากอารมณ์คุกรุ่นภายใน จึงได้แต่ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองอย่างที่สุด
จงอางมะโรงรีบลุกขึ้นมากอดรัดภิมุขอย่างเอาใจ “หรือ...ทำไมถึงได้แง่งอนนัก โกรธมะโรงมากนักหรือไร ถ้าอิ่มแล้วก็เข้าไปรอในห้องก็ดีเหมือนกัน ใส่เสื้อคลุมอาบน้ำรอนะน่ารักดี เดี๋ยวมะโรงรีบกินสลัดผักสวนครัวแล้วจะตามเข้าไป…นะครับ”
เสียงออดอ้อนอ่อนหวานทำให้ภิมุขตัวสั่นสะท้าน แต่หาใช่เพราะอารมณ์สนิทเสน่หาไม่ หากเพราะเปลวเพลิงแห่งความโกรธเกรี้ยว ที่อีกฝ่ายดูเหมือนจะหยอกเย้าเขาอย่างไม่สิ้นสุดต่างหาก
ภิมุขไม่เข้าใจจริง ๆ ทำไมฝ่ายเสียเปรียบต้องเป็นเขา...ผู้ซึ่งไม่เคยรู้จักคำว่า ‘เสียเปรียบ’ มาก่อน
++++++++++++++++++++++++
ภิมุขซุกหน้าลงกับหมอนนุ่ม กรีดเสียงร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างโกรธจัด สองมือทุบหมอนดังตุบตับราวกับหมอนเป็นจำเลยคู่อาฆาต หากในห้วงของความคิดนั้นยังคงย้ำเตือนอยู่เสมอ ‘เป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างเขาจะไร้ทางสู้และพ่ายแพ้’
สำหรับภิมุขความรักไม่ใช่เกม ที่จะต้องมีแพ้หรือชนะ...หากเป็นความรักจะไม่มีคำว่า ‘แพ้หรือชนะ’ แต่สิ่งที่ต้องเดิมพันด้วยศักดิ์ศรีที่มีอยู่ มันก็คือเกม...เกมหนึ่ง ซึ่งต้องมีแพ้และชนะ
ไม่ผิดหากสักวันพวกเขาจะบอกว่า ‘รักกัน’ แต่กว่าจะถึงวันนั้น ขอสนุกกับความรู้สึก แพ้ ชนะ ให้สมใจเสียก่อนเถอะ...ชีวิตจะได้มีรสชาติ ไม่น่าเบื่อ!!!
ร่างโปร่งดีดตัวลุกขึ้นด้วยรอยยิ้มหมายมาด “ก็เอาสิมะโรงน้อย คนอย่างภิมุข...แพ้ง่าย ๆ ก็บ้าล่ะ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำอย่างสบายใจ…
++++++++++++++++++++++++
ประตูห้องถูกเปิดออกด้วยความรีบร้อน หากก็พบเพียงความมืดสนิทไร้แสงเสียงใด ๆ งูเจ้ามะโรงเอื้อมมือเปิดสวิตซ์ไฟข้าง ๆ ตัว แล้วก็ต้องแปลกใจกับภาพที่ภิมุขนอนหลับสบายอยู่บนเตียงโดยไม่สนใจสิ่งใด...ทั้ง ๆ ที่สัญญาเอาไว้ว่าจะอาบน้ำและนอนเตียงเดียวกัน หากเขายอมรับข้อเสนอของอีกฝ่าย
“หนูมุกผิดสัญญากับมะโรงเหรอ...” จงอางหนุ่มตะโกนถามอย่างร้อนรน “ก็ไหนสัญญากันเอาไว้แล้วไงเล่า ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ”
“แล้วจะทำไม อยากจะนอนก็มานอนสิ...เรื่องมาก” ภิมุขลืมตาขึ้นมาตอบโต้อย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ ผิดกับบุตรงูเจ้าราวฟ้ากับเหว
“ก็ไหนว่าจะอาบน้ำด้วยกัน ต้องอาบน้ำก่อนถึงจะนอนด้วยกัน...ทำไมทำแบบนี้” จงอางหนุ่มถามอย่างไม่เข้าใจ ดวงตาสีแดงเพลิงคลอน้ำใสอย่างห้ามไม่อยู่
“สำคัญนักหรือไง ไม่นอนก็ไม่ต้องนอน...ไปเลยไป!” ภิมุขที่เริ่มหงุดหงิดส่งเสียงไล่อีกฝ่ายไปให้พ้น ๆ เพราะรำคาญเต็มที
บุตรงูเจ้ายกมือขึ้นปาดน้ำตาอย่างเสียใจ เมื่อยึดถือในคำมั่นสัญญายิ่งกว่าชีวิต เขาหันหลังเดินออกจากห้องไปพร้อมกับประตูที่ปิดลง ไม่คิดว่าความตั้งใจที่มีจะจบลงในเวลาเพียงไม่นาน...ดูเหมือนการมาครั้งนี้จะไม่ช่วยอะไรเขาได้เลย
ร่างกำยำทรุดลงพื้นด้วยอาการผิดปกติบางอย่าง ทั้งร่างสั่นสะท้าน ตามผิวหน้าและผิวกายปรากฏรอยแดงเป็นจ้ำ ๆ ลมหายใจหอบถี่จากความทรมานที่ได้รับ
“พี่มะโรง...” เสียงของสัตยาดังขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนที่จะวิ่งเข้ามาประคองอสรพิษหนุ่มพร้อม ๆ กับพงหญ้า “พี่...เป็นอะไรไปครับเนี่ย พี่มะโรง”
“กิน มะ นาว” มะโรงเอ่ยตอบอย่างยากลำบาก หากคำตอบก็เพียงพอให้ทั้งสัตยาและพงหญ้าตกใจจนหน้าซีด
“งูไม่ถูกกับมะนาวไม่ใช่เหรอพี่ พี่แพ้มะนาวใช่มั้ย...แล้วกินเข้าไปทำไม” สัตยาคาดคั้นอย่างไม่เข้าใจนัก
สีหน้าซีดเผือดยิ่งเศร้าสร้อย “เค้า...ซื้อมาให้ คงอยากให้ตาย...” แม้เจ็บช้ำ แต่ก็ดูเหมือนจะย้ำเตือนกับตนเองว่าเช่นนั้น
“เป็นอะไรไป...สำออยหรือไง” เสียงของภิมุขดังขึ้น ชายหนุ่มมองตรงมาอย่างเอาเรื่อง เมื่อไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพไม่ถูกตาอยู่ตรงหน้า
“มุก นายให้พี่มะโรงกินมะนาวได้ยังไงกัน นายก็รู้ว่างูไม่ถูกกับมะนาวไม่ใช่เหรอ...คิดจะฆ่าพี่งูจริง ๆ หรือไง” สัตยาเอ่ยถามน้องชายอย่างไม่เข้าใจนัก
“กินมะนาวงั้นเหรอ ใครจะบ้ากินเข้าไปได้จริง ๆ” ภิมุขเดินเข้ามาหาจงอางหนุ่มอย่างไม่แน่ใจนัก คิดว่าบางทีอาจจะจงใจสร้างเรื่องขึ้นมา หากเมื่อเห็นอาการอันย่ำแย่ของอีกฝ่ายก็หน้าซีดขึ้นมาอย่างเป็นห่วง
มะโรงขยับตัวออกห่างภิมุขอย่างนึกชิงชัง “ไปให้พ้น...” น้ำเสียงดุดันเต็มไปด้วยพลังอำนาจประกาศกร้าวอย่างไม่แยแส “หากมีชีวิตรอดในครั้งนี้...ความผูกพันที่มีมาก็ขอให้สิ้นสุดกันแค่นี้เถอะ”
สัตยากับพงหญ้าอ้าปากค้าง ไม่นึกว่าในเวลาเพียงชั่วข้ามคืนจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงได้อย่างง่ายดาย เพราะไม่ใช่ว่าพวกเขาทั้งสองจะไม่ได้ยินเสียงเมื่อคืนก่อนเสียเมื่อไหร่
ภิมุขขยับถอยห่างด้วยความโกรธจัด ริมฝีปากที่ยังช้ำถูกขบซ้ำจนเลือดซึม “ก็ได้...จะไปไหนก็ไป ไอ้งูงี่เง่า...ตายไปซะได้ก็ดี!!”
คนที่พูดจบเดินกลับเข้าไปในห้องแล้วขังตัวเองไว้ในนั้นอีกครั้ง ทิ้งให้คนที่อยู่ด้านนอกนั่งอึ้ง พูดไม่ออกบอกไม่ถูกกับความใจเด็ดที่ได้เห็นอยู่พักใหญ่ เมื่อรู้ดีว่าหากภิมุขยินยอมพร้อมใจ คงไม่มีวันจะปล่อยให้ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากตนจากไปได้ง่าย ๆ เป็นแน่...หรือจะตัดใจได้จริง ๆ เช่นนั้นหรือ
“ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องคุยกันอีกแล้วสินะ พงหญ้าพวกเราพาพี่มะโรงไปส่งที่ศาลงูเจ้าเถอะ ปล่อยเจ้ามุกไปก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้ก็คงจะไปทำงานได้อยู่หรอก...” สัตยาและพงหญ้าจึงช่วยกันประคองอสรพิษหนุ่มที่ดูเหมือนจะไร้สติออกจากบ้านหลังเล็ก
++++++++++++++++++++++++
การเดินทางออกจากตัวจังหวัดสู่หมู่บ้านเครือตะโก้ เริ่มต้นขึ้นในเวลาพลบค่ำ และสิ้นสุดสุดลงในเวลาเช้าตรู่บริเวณศาลงูเจ้าที่แตกต่างไปจากเมื่อสิบปีก่อน เมื่อถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วยหินอ่อนสีขาวสะอาด เป็นคำมั่นสัญญาจากชาวบ้านที่ให้ไว้ว่า...ศาลงูเจ้าจะอยู่คู่ท้องถิ่นตลอดไป
หญิงสาวหน้าตาสวยงามและชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาดุดัน ยืนรอรับการมาของงูเจ้ามะโรงราวกับรู้ล่วงหน้า...ว่าบุตรชายต้องกลับมาในวันและเวลานี้
พงหญ้าทรุดลงนั่งบนพื้นด้วยความหวาดกลัว เมื่อเห็นดวงตาสีแดงเพลิงส่องประกายโกรธแค้น หากสัตยากลับสบตาอีกฝ่ายอย่างไม่กลัวเกรง หากสู้ไม่ได้ก็แค่ตายเท่านั้นเอง!!!
“ผมขอบอกไว้ก่อนว่าต่อให้โกรธแค้นน้องชายผมแค่ไหน ก็อย่าคิดมาแตะต้องทำอันตรายเค้าหากไม่ข้ามศพผมไปก่อน ไม่อย่างนั้น...ผมสาบาน ศาลนี้ต่อให้ศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน ผมจะพังให้ดู”
งูเจ้าผู้รักษาศาลและภรรยาจ้องมองสัตยาด้วยสายตาชื่นชม เมื่อไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าหาญถึงเพียงนี้ นึกแล้วก็อดจะเปรียบเทียบกับบุตรชายตัวโปรดไม่ได้...ทำไมถึงไม่เข้มแข็งให้ได้เท่านี้นะ
“เอาเถอะ...บุตรเราอ่อนแอเอง เจ้ามะโรงมันโตมาตัวเดียว พี่น้องอื่นที่เกิดพร้อมกันก็ถูกกินไปเสียหมด เราอาจจะตามใจมากไปจนเข้มแข็งให้สมเป็นงูเจ้าเฝ้าศาลมิได้ ในเมื่อดูแลตัวเองไม่ได้เยี่ยงนี้ เราก็จะดูแลบุตรเราเอง” ประมุขแห่งศาลงูเจ้าว่า
“แล้วท่านมะโรงจะปลอดภัยมั้ยครับ...” พงหญ้ามองดูมะโรงที่ไร้สติอยู่ในอ้อมกอดมารดาแล้วอดถามขึ้นมาไม่ได้
งูเจ้าหันไปมองบุตรชายแล้วยิ้มดุดันองอาจ “ปกติพวกเราไม่เคยต้องกลัวหรือแพ้ต่ออะไร เพราะบำเพ็ญญาณจนเป็นถึงงูเจ้ากันแล้ว แต่มะโรงมันอ่อนแอเพราะถูกพรากจากแม่ไปหลายเพลา ก็เลยเหมือนงูธรรมดานั่นแหละ แต่สายเลือดงูเจ้าอย่างเราไม่ตายง่าย ๆ หรอก เราย่อมช่วยบุตรเราได้…หากรู้ว่าจะตายแล้วยังกิน เราจะปล่อยให้ตายจนแม่มันร้องไห้จนตายตามไปนั่นแหละ”
“ก็ลองดูสิ...” น้ำเสียงหวานเอื้อนเอ่ยอย่างไม่กลัวเกรง ทั้งที่ดวงตาสีแดงสดยังคงทอดมองบุตรชายในอ้อมกอดด้วยความรักอย่างหาที่สุดมิได้ “กลับมาหาแม่ทีไร เจ้าก็เกือบตายเสียทุกครั้งไปเลยนะมะโรง เพราะพ่อเจ้าไร้สามารถนี่แหละ ตั้งชื่อข่มภัยแล้วยังช่วยเจ้ามิได้เลย...ลูกรัก”
งูเจ้าถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย “ข้าบอกเจ้าแล้วไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง ว่าอย่าเอื้อเอ็นดูมันให้มากไปนัก ลูกเรามีตั้งมากมาย เพียงแค่มันพบชะตากรรมที่โหดร้าย แต่ก็มิได้ตายจากไปเสียหน่อย”
สัตยากับพงหญ้าหันมองงูเจ้าทั้งสองคนละทีสองทีอย่างงงงัน ไม่เคยคิดว่าแม้แต่งูจงอางก็มีเรื่องให้ทะเลาะกันด้วย ช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริง ๆ อย่างนี้ก็คงเป็นโชคดีกระมัง ที่ได้มีโอกาสมาพบเรื่องราวมหัศจรรย์นี้...
“พวกเจ้ากลับไปเถิด ไม่ได้ว่างมากนี่นะ...ข้าไม่เห็นกลับบ้านกันนานแล้ว แต่ก็ดีแล้วจะหงุดหงิดกันเปล่า ๆ พวกด็อกอะไรนั่นมันมาวุ่นวายกันเหลือเกิน ชื่อก็แปลกนัก ฟังก็ยาก รู้สึกว่าจะคล้าย ๆ วิทยุ ตู้เย็น หม้อข้าวอะไรนี่แหละ” งูเจ้าเอ่ยบอกด้วยความหงุดหงิดเต็มที สายตาดุดันจ้องมองไปเบื้องหน้าด้วยความอาฆาตตามนิสัย
“พี่มะโรงเล่าให้ฟังแล้วครับ แต่พวกนั้นจะกำจัดพวกท่านไปได้จริง ๆ น่ะเหรอครับ” สัตยาถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ ว่าจะมีคนทำลายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านนับถือลงได้
“ประสาอะไรกับพวกนั้น เจ้ายังพูดเองว่าสามารถทำลายศาลลงได้ เป็นใครก็ทำลายได้ทั้งนั้น เพียงแต่พวกนั้นหวังจะเอาชีวิตเราด้วย ป่าผืนนี้มีความสำคัญที่เราต้องรักษาดูแล หากคิดจะทำลายก็ต้องฆ่าพวกเราเสียก่อน มีอะไรบ้างที่มนุษย์อย่างพวกเจ้าจะทำไม่ได้...อยู่มาหลายร้อยปี ข้าไม่ยักรู้” งูเจ้าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยาะ
“เพียงมีแขนขา สมองใหญ่โต คิดจะทำลายโน่นนี่ก็ทำกันง่าย ๆ สักวันเถิดจะได้ชื่อว่าเป็นเผ่าพันธุ์ทำลายล้าง รู้จักแต่ทำลายผู้อื่น หวังแต่ทำให้ตนเองมีความสุข...เห็นแก่ตัวยิ่งนัก”
สัตยากับพงหญ้าไม่สามารถตอบโต้คำพูดนั้นได้เลย เมื่อเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน ความคิดที่ต้องการทำลายบางอย่างเพื่อตนเอง ย่อมมีอยู่ในจิตสำนึกไม่มากก็น้อย เป็นไปได้หรือที่มนุษย์อย่างพวกเขาจะรักษาศีลข้อห้าไว้ได้อย่างเหนียวแน่น...เช่นไรเสียก็ต้อง ‘ฆ่า’ ชีวิตอื่น
“ทางเราจะช่วยสืบเรื่องของคนพวกนั้น และหาทางไล่ออกไปให้ ไม่ว่าอีกนานแค่ไหนศาลงูเจ้าก็จะต้องอยู่กับป่าเครือตะโก้ต่อไป แม้เราจะห้ามคนอื่นไม่ได้ แต่ตัวเราเองก็จะทำทุกอย่างและรักษาที่นี่ให้คงอยู่ไปนานที่สุดแน่นอน” สัตยาให้คำมั่นต่องูเจ้าด้วยความมั่นใจ
สามีภรรยางูเจ้ามองแผ่นหลังของชายหนุ่มทั้งสอง ที่เดินจากไปอย่างมั่นคง และเชื่อมั่นว่าสัตยาจะสามารถทำอย่างที่พูดไว้ได้แน่นอน
หากก็เสียดายยิ่งนัก...
แม้ศาลงูเจ้าจะคงอยู่ตลอดไป แต่บุตรชายที่พ่ายในรักที่ผูกพันกันมาตั้งแต่ก่อนถือกำเนิด ก็คงต้องคงอยู่ต่อไปอย่างเจ็บช้ำ เมื่อไม่มีผู้ที่รักอยู่ข้างกายไปจนชั่วชีวิต
เสียดายอดีตเด็กชายตัวน้อยผู้อ่อนโยนคนนั้น แม้พวกเขาจะเคยคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นพรหมลิขิตที่ผูกชะตากันมาแต่ปางก่อน แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง อาจจะเกี่ยวเนื่องถึงเผ่าพันธุ์ชาติกำเนิด...
มิควรตั้งแต่แรกที่งูเจ้าวัยเยาว์ จะคร่ำครวญหาเด็กตัวเล็ก ๆ ที่เติบใหญ่เป็นชายหนุ่มผู้กล้าหาญ มิควรจะผูกพันอยู่กับความรู้สึกรักและหลงใหล และวาดหวังถึงความสมหวังข้ามเผ่าพันธุ์
มิควรเลยจริง ๆ หนอ...ลูกรักเอ๋ย