▓▒░ อุบัติรักเร็วเกินเหตุ ░▒▓ ตอนที่ 23
ครั้งสุดท้ายที่พอจะจำได้ ผมหลับไปด้วยไออุ่นและความหวัง
แต่สุดท้าย
สุดท้ายผมกลับตื่นขึ้นมาด้วยความว่างเปล่าในห้องพักพยาบาลซะได้
ใจหายจนน้ำตาแทบจะไหลออกมาเลย
ความรักที่ไม่ใช่ความรักระหว่างสายเลือดแม่ลูกมันเป็นแบบนี้เองนะ ความรู้สึกอ่อนหวานซาบซ่าแล้วตามมาด้วยรสขมฝาดเฝื่อนแถมยังบรรยายความรู้สึกพวกนั้นออกมาได้ยากอีก
เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อยจริงๆนะ เหนื่อยมากจริงๆเลยพับผ่าสิ!!
ผมเผลอพรูลมหายใจเฮ้อใหญ่อย่างลืมตัว คิดไม่ถึงว่าจะมีคนพรวดพราดเข้ามาในขณะที่ผมกำลังอ้าปากกว้างอยู่พอดี
แต่หากคนที่เกาะขอบเตียงมองผมอยู่ข้างๆนั้นจะมีแค่แม่ก็คงจะดีแต่นี่ข้างๆกันมีหรรษายืนทำหน้านิ่งอยู่ด้วย มันเป็นคนเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอทุกครั้งที่เจอหน้า
ความบังเอิญที่ทำให้เราเจอกันครั้งสุดท้ายบอกผมชัดเจนเลยว่าผมไม่อยากเลิกกับมันเลย ไม่อยากมีศักดิ์ศรีหรือเย่อหยิ่งอะไรบ้าๆอย่างที่ทำไปสักนิดเดียว
การอยู่ร่วมพื้นที่กับคนที่เพิ่งลดความสัมพันธ์กันไปมันทำให้ผมไม่รู้จะวางตัวหรือทำหน้ายังไงเมื่ออยู่ต่อหน้ามัน ผมเลยได้แต่เอ๋อๆไปตามปกติในแบบของผม
“เมตเป็นอะไรไปเหรอแม่”
ตอนที่พูดอยู่นี้ผมยังปวดหัว ครั่นเนื้อครั่นตัวและผะอืดผะอมขมปากอยู่เลย
“เป็นไข้”
“งั้นเราก็ขอหมอกลับบ้านได้แล้วสิแม่ เมตฟื้นแล้วนี่”
ผมไม่ชอบโรงพยาบาลเลย คิดว่าใครก็คงจะไม่ชอบที่นี่นักหรอก
“เป็นไข้นะเว้ยไอ้เมตไม่ใช่เป็นลมที่จะฟื้นขึ้นมาแล้วเป็นปกติลุกขึ้นกลับบ้านได้เลยน่ะ”
แต่ผมรุ้สึกอยากกลับบ้านแล้วนี่หว่า แอบลอบมองหน้าหรรษาแม่งก็ยืนหน้านิ่งไม่รูไม่ชี้แต่พี่แกไม่ยอมไปไหนอยู่อย่างนั้น งอแงกับแม่ไม่ถนัดเลย
“แต่เมตแค่เป็นไข้เองนะแม่”
ผมได้แต่งอแงอย่างสำรวม
“เอ๊!! ไอ้ลูกคนนี้นี่งอแงนะ เป็นไข้น่ะใช่ แต่เป็นไข้หวัด 2009 เลยนะเว้ยไอ้เมต ใครจะให้แกออกไปแพร่เชื้อได้ง่ายๆกันเล่า คนที่เฝ้าไข้แกนี่ต้องฉีดวัคซีนป้องกันก่อนนะเว้ยถึงเยี่ยมหน้ามาหาแกได้เนี่ย”
“มันร้ายแรงขนาดนั้นได้ยังไงกันแม่ เมตแค่รู้สึกเหมือนจะไม่สบายเองนะ ไม่คิดว่า.....”
“ไม่คิดว่าจะหมดสติบนรถเมล์อะเหรอ แกคิดว่าตัวเองเป็นสโนไวท์รึไงที่พอไร้สติแล้วเจ้าชายจะอุ้มกลับวังอะ นี่หรรษาต้องแบกแกไว้บนบ่าแล้วพาขึ้นแท็กซี่มาส่งโรงบาลเลยนะเว้ย”
ผมเหลือบมองหน้าคนช่วย พอมันสบตากับผมมันก็เบือนหน้าไปทางอื่นเหมือนไม่อยากเห็นหน้าผมงั้นแหละ
“ขอบใจนะหรรษาที่ช่วยกูเอาไว้อีกแล้ว”
“อืม” มันตอบแค่นี้เอง
“มึงอายเปล่าวะ”
ผมพยายามหาเรื่องคุยกับมันเพราะดูเหมือนว่าผมจะทำใจไม่ได้แม้มันจะเป็นการตัดสินใจของผมเอง
“มึงอายหรือเปล่าวะ”
คราวนี้มันมองหน้าผมแบบคนที่งงเป็นไก่ตาแตกเลยก็ว่าได้
“ทำไมกูต้องอายด้วยล่ะ”
“ก็แทนที่จะเป็นสาวๆสวยๆหมวยๆหุ่นดีๆ ดันกลายมาเป็นผุ้ชายอย่างกูเนี่ยดิ”
“กูไม่เคยอาย” มันพูดย้ำชัด
นั่นสินะ ผมเองก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าหรรษาไม่เคยแคร์ใครมันจะอายกับเรื่องแค่นี้ทำไมกัน
“แกฟื้นก็ดีแล้วเมต แม่ไปก่อนนะ”
“อ้าวแม่ ข่าวว่าผมไม่สบายอยู่นะแม่ แม่ไปแล้วใครจะอยู่กับเมตล่ะ”
“โตแล้วงอแงเป็นเด็กๆไปได้ ไม่มีใครอยู่ด้วยก็อยู่คนเดียวสิ ช่วยตัวเองบ้างให้มาต่อสายฉี่ไปที่ห้องน้ำเลยดีมั้ย”
“ไม่เห็นจะมีอะไรดีเลย”
ผมบ่นอุบอิบเพราะหางตาแอบเห็นว่าหรรษามันมองผมกับแม่ที่โต้ตอบกันอยู่แบบอึ้งๆ
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวกูอยุ่กะมึงเองก็ได้ เผื่อแม่มึงมีธุระต้องไปทำ”
หรรษาเสนอตัว
แม่หันมาพยักหน้ากับมันแล้วยิ้มให้อย่างคนที่เข้าอกเข้าใจกันดี แต่ผมที่เป็นลูกยังนอนอยู่ตรงนี้เปล่าวะ ทำไมเขาถึงได้เข้าขากันดีจัง
แต่ผมกลับรู้สึกว่าผมไม่ควรทำแบบนี้ ไม่ควรรั้งหรรษาไว้ด้วยความเจ็บไข้ของตัวเอง และผมเองก็อึดอัดที่จะต้องวางตัวกับมันอย่างคนรู้จักกันมากกว่าตอนที่คบกันเป็นแฟน ผมอาจจะเผลอหรือลืมตัวว่ามันยังเหมือนเดิมอยู่ก็ได้ ผมเองก็ละอายแก่ใจที่พูดจาตัดขาดกับมันไปแบบนั้นแล้วยังยอมรับความมีน้ำใจของมันอยู่ ผมไม่ชอบแฟนเก่าของมันอย่างแอนที่ยังเอาตัวมาผูกติดกับหรรษาทั้งๆที่เลิกกันไปแล้วอย่างน่ารำคาญ ผมเองก็ไม่อยากทำอย่างนั้น หากผมจะเป็นแฟนเก่าอีกคนของหรรษา ผมก็อยากจะเข้มแข็งให้ได้อย่างเพอร์ชี่ แล้วสักวันหนึ่งผมจะมีหรรษาเป็นเพื่อนให้ได้
“ไม่เป็นไรหรอกหรรษา เดี๋ยวกูค่อยเรียกหาพยาบาลเอาก็ได้ เผื่อมึงเองก็มีธุระของมึงเหมือนกัน”
ผมเห็นหน่วยตามันหรุบต่ำก่อนจะค่อยๆเงยขึ้นมาสบตากับผมอย่างหรรษาคนเดิม หรรษาคนที่ไม่เคยอ่อนข้อให้ใคร
“แล้วพยาบาลเคยจับไข่มึงอย่างที่กูเคยจับรึไง มึงไม่เกรงใจเค้าเหรอที่เค้าต้องมาจับไข่ให้มึงเยี่ยว”
“ห๊ะ อะไรนะ”
ผมตกใจดีดตัวขึ้นนั่ง
เอ่อ!! ผมอึ้ง นี่มันคิดไปไกลถึงไหนกันวะ ผมแค่ไม่อยากอยู่ใกล้มันให้ปวดใจไปมากกว่านี้ การเห็นมันอยู่ข้างๆมันทำใจลำบากมากเลยนะ
“เดี๋ยวกูจะเฝ้าไข้มึงเอง”
มันตะคอกจนผมเผลอสะดุ้ง แต่แม่ผมกลับยืนมองนิ่งๆแฮะ เหมือนแม่กำลังกลั้นหัวเราะอยู่ด้วยซ้ำ ผมมองหน้าแม่สลับกับหรรษาเหวอๆ
“ตกลงกันได้แล้วเนาะ แม่ไปได้ยังอะ”
แม่ถามยิ้มๆ เบิกบานมากเลยคุณนายแม่เนี่ย ไม่ตื่นตกใจกับการเข้าโรงพยาบาลของผมเลยสักนิดเดียว
“แล้วแม่จะมาอีกมั้ย”
“ดูก่อน”
“แม่อะ เมตเป็นลูกนะแม่ นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลนะไม่ได้นอนเล่นอยู่บ้าน แม่ต้องบอกว่าเดี๋ยวจะกลับมาหาสิไม่ใช่บอกว่าคิดดูก่อนแบบนี้”
“อ้าวเหรอ งั้นถ้าแม่เสร็จธุระแล้วจะรีบกลับมานะ ฝากมันด้วยนะหรรษา”
“ครับ”
เคยอยู่กันสองต่อสองกับคนคุ้นเคยที่กลายมาเป็นแค่คนรู้จักมั้ยครับ มันอึดอัดมากเลยนะ โดยเฉพาะเวลาที่ไม่รู้จะพูดคุยอะไรกัน
แล้วความเงียบทั้งหลายก็ถูกทำลายด้วยรถเข็นอาหารเที่ยงเอามาเสริฟพอดี เราสองคนเลยมีพุ่งเป้าสายตาไปที่พยาบาลคนนั้นจนเธอเกร็ง
อาหารมื้อแรกในรอบกี่วันกี่ชั่วโมงไม่รู้ทำให้ท้องของผมลั่นราวกับประท้วงขอความยุติธรรมให้ตัวเองราวกันฟ้าร้อง
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”
ผมยิ้มอายๆให้พยาบาลที่ยิ้มรับผมอยู่ก่อนแล้ว
“ไม่เป็นไรค่ะ ค่อยๆทานนะคะ เดี๋ยวจะจัดยาหลังอาหารมาให้หลังจากได้รับสัญญาณเรียกค่ะ”
“ครับผม ขอบคุณมากครับ”
พยาบาลมองเราสองคนก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้งแล้วเข็นรถอาหารออกไป
ผมมองถาดอาหารตรงหน้า เอาช้อนคนสองสามทีก็รู้สึกผะอืดผะอมขึ้นมาอีกครั้ง มันขมไปหมดทั้งคอ หิวแต่ไม่อยากกินเลยได้แต่กลืนน้ำลายลงไปต่างข้าวอย่างยากลำบาก
“ไม่กินสักทีอะ”
มันยืนมองอยู่ข้างขอบเตียงถามผมเสียงเข้มเมื่อเห็นว่าผมวางช้อนไว้ข้างๆชามข้าวอย่างเดิม ผมสะดุ้งกับเสียงเข้มๆดุดันของมัน การได้สติกลับมาอีกครั้งว่าเราอยู่กันสองต่อสองกันอีกครั้งนั้นทำให้ผมประหม่าจนม้วนสายน้ำเกลือเล่น และพอสายตึงผมก็ปวดหนึบที่แขนเหมือนโดนต่อย จนเผลอร้องโอ๊ยออกมา
“บ้าจริงเลยมึงเนี่ย”
หรรษาสบถคำหยาบอีกหลายคำแต่มันก็รีบถลามาจัดระเบียบสายน้้ำเกลือให้อยู่อย่างเดิม เลือดย้อนขึ้นมาทางสายน้ำเกลือจนน่ากลัว แขนผมเจ็บจนชาแล้วก็แสบๆตรงที่เข็มน้ำเกลือเจาะอยู่
พยาบาลหรรษาผลักผมให้เอนหลังกับเตียงคนไข้ มันเอากับข้าวทุกอย่างที่เค้ายกมาให้ผสมกันในชาม เอาช้อนคนให้เข้ากันแล้วตักขึ้นจ่อมาที่ปากผม ผมเอามือกันเอาไว้โดยอัตโนมัติ
“หรรษา มึงอย่าวู่วามสิ กูเป็นคนป่วยนะไม่ใช่พระบวชใหม่หรือเข้าค่าย รด.”
มันชะงักมือค้างไว้กลางอากาศก่อนจะค่อยๆลดมือลงมาวางจานไว้บนโต๊ะอย่างเดิม
“ก็มึงไม่กินสักที ลีลาอยู่นั่นแหละ”
“มึงรำคาญกูเหรอ เบื่อหรือเปล่า กูก็งอแงกับแม่ไปงั้นแหละ จริงๆแล้วกูอยู่ได้ มึงกลับก่อนกูได้นะ กูเกรงใจ”
“เกรงใจเหรอ ทำไมมึงเพิ่งจะมาเกรงใจเอาตอนนี้ล่ะ”
“ก็ตอนนี้เราไม่ได้เอ่อ ไม่ได้เป็นแฟนกันแล้วนี่”
พูดออกมาน้ำตาผมก็จะไหล คิดถึงเพลงที่คะยั้นคะยอให้มันฟังคืนนั้น
มันไม่พูดถึง
มันไม่ได้ฟัง
หรือว่ามันไม่ได้สนใจ
“ตอนแรกเราก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน เราแค่เอากัน เราไม่รู้จักกัน แต่ตอนนั้นมึงก็ไม่ได้เกรงใจกูขนาดนี้นี่”
หรรษาโต้กลับมาซะผมยอมจำนน จริงอย่างที่มันพูดทุกคำ ตอนนั้นผมไม่เห็นต้องเกรงใจอะไรมันเลย บังคับได้ผมก็บังคับมันหน้าด้านๆ ตอนนี้แม้ความสัมพันธ์จะลุกล้ำไปไกลแต่เราก็เหมือนคนแปลกหน้ากันอยู่ดี ต่างกับตอนนี้ ตอนที่ผมต้องต่อสู้กันใจตัวเอง ผมต้องข่มใจ เพราะจากที่มันเริ่มจากไม่มีอะไรกลายเป็นผมรักมันจนหมดใจซะแล้ว รักจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกย์คืออะไร ทำไมผู้ชายด้วยกันถึงรักกันได้ ผมไม่เคยสงสัยหาคำตอบในเรื่องพวกนี้ ผมรู้แค่ว่าการอยู่ใกล้หรรษาทำให้ผมรักมัน ก็แค่นั้นเอง
คนเราพอรักกันแล้วมันยากและทรมานมากสำหรับการตัดใจ แม้ว่าเราจะเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจแค่ไหน หลังจากนั้นเราก็เหมือนจะเจ็บจนทนไม่ไหวอยู่ดี การสั่งให้ร่างกายต่อต้านกับความใกล้ชิดจากมันทั้งๆที่จิตใจโหยหามันเป็นบทพิสูจน์อย่างดีว่าผมต้องหลอกตัวเองให้แสดงออกว่าเข้มแข็งมากแค่ไหน
“กูขอโทษนะหรรษา ขอโทษที่ทำให้มึงเสียเวลากับเรื่องไร้สาระพวกนี้ มึงอึดอัดใจมากเลยใช่มั้ย”
“อึดอัดใจสิ อึดอัดใจว่าทำไมครั้งนี้กูถึงผ่านเรื่องพวกนี้ไปไม่ได้อย่างที่เคยผ่านมาแล้วตั้งสองครั้ง มึงมันมีดีที่ตรงไหนกันเมต มึงมีดีอะไรกูถึงตัดใจจากมึงไม่ได้อย่างนี้ ทั้งๆที่มึงไม่เคยเชื่อในความรักของกูเลย มึงไม่เคยเชื่อเลยว่ากูรักมึง กูต้องอดทนเพราะเข้าใจว่าเราเริ่มต้นกันมาไม่ถูกทาง แต่กูพยายามบอกมึงไปแล้วมึงก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี เหมือนที่คนอื่นไม่เคยเชื่อกูเพราะฉะนั้นกูเองก็ต้องพิจารณาตัวเองไม่ใช่เหรอวะ ว่าปัญหมันอยู่ที่ตัวกูหรืออยู่ที่ใคร”
ผมเพิ่งเห็นมันยอมอธิบายอะไรยาวๆก็ตอนนี้นี่เอง
ผมมองมันพูดความในใจตาปริบๆ นึกเสียใจที่ตัดสินมันไปแบบนั้นเพราะความน้อยใจงี่เง่าของตัวเอง
“แต่ครั้งนี้ ครั้งนี้กูทำใจปล่อยมึงไปไม่ได้จริงๆเมต ไม่ใช่เพราะกูไม่ยอมแพ้อย่างที่เป็นมาอีกแล้ว แต่เพลงที่มึงชวนให้กูฟังด้วยกันบนรถเมล์นั้นตอบกูได้ทุกคำถามเลยเมต มึงกับกูรู้สึกแบบเดียวกัน เพียงแต่เรายังจูนความเข้าใจไม่ตรงกันเท่านั้นเอง”
คราวนี้ผมไม่พูดอะไร ได้แต่พยักหน้าให้น้ำตาไหลพราก มันพูดถูกทุกคำเลย มันอ่านใจผมออก จริงๆมันเคยบอกผมแล้วว่าให้ผมมองมันอย่างคนธรรมดาๆ อย่าตั้งความหวังกับมันมาก อย่ามโนไปเองว่ามันเป็นคนที่ใครๆหมายปอง อย่าคิดว่ามันจะหล่อเลือกได้เพียงเพราะมันเป็นคนเด่นคนดังอย่างนั้น
“มึงชอบลองใจกูด้วยการพูดกระทบกระเทียบความรักของเรากับเรื่องอื่นๆ มึงคิดแต่จะลองใจกู ดูถูกความรู้สึกของกู ในขณะที่กูได้แต่พยายามศึกษาและเข้าใจความเป็นมึง กูเลือกที่จะเข้าใจมึงเพราะครั้งหนึ่งกูเคยเข้าใจมึงผิดมาแล้ว แต่สุดท้ายมันคืออะไรวะ ทุกคนชอบคิดว่ากูคือแรไอเท็ม คือของลิมิเต็ดอิดิชั่นที่หายาก อยากครอบครองกูเพื่อหน้าตาและความสะใจในหมู่เพื่อนฝูงทั้งๆที่กูก็มีหัวใจเหมือนกัน ตอนคบกันแรกๆทุกคนตื่นเต้นกับการได้ควงกับกู แต่พอเรียนรู้กันไปก็คิดขึ้นได้ว่ากูน่าเบื่อ กูไม่เอาไหน กูไม่ใช่อย่างที่ต้องการทุกคนก็ทิ้งกูไปพร้อมกับข้อเสียมากมายที่ยัดเยียดให้กูเต็มไปหมด กูเย็นชา กูไม่แสดงออกห่าอะไรเลย ทั้งๆที่ตอนคบกันกูไม่เคยนอกใจใคร แต่กูกลายเป็นคนเจ้าชู้ในสายตาคนอื่น เพราะกูไม่ใช่อย่างที่ต้องการกูกลายเป็นคนผิดเลยแม่ง ส่วนมึงนะเมต มึงต้องการกูแต่มึงเสือกไม่มั่นใจในตัวเองอย่างที่ปอก็รู้สึกเป็น แต่นั่นอาจเป็นเพราะเรารักกันเร็วเกินไป รักกันก่อนที่เราจะเข้าใจในกันและกันซะอีก”
ผมเห็นมันหอบเลยยื่นน้ำให้มันดื่ม ตาก็ยังไม่ละไปจากสีหน้าจริงจังของมัน หรรษาซัดน้ำเข้าไปหมดแก้ว มันตั้งใจจะพูดความในใจของมันต่อแต่ผมกลับเข้าใจมันแล้วและมีเรื่องที่อยากจะบอกมันบ้าง
“ขออภัยฉันไม่รู้จริงๆ เชื่อใจ มือใหม่ ก็ฉันนั้นยังไม่เคย ขอโทษ ขอร้องนะอย่าเคืองโกรธเลย ฉันมันโง่ ขอโทษที”
ผมร้องออกมาเป็นเพลง ผมพยายามจะง้อมันด้วยเพลงแบบเนียนๆ แต่มันทำหน้าเหรอหรา มันขมวดคิ้วมองหน้ามอึ้งๆ
“นั่นเพลงเหรอวะ”
มันทำหน้าปุเลี่ยนๆ
“อือ”
ผมเขิน เบือนหน้าหนีอาย
“เพลงเหี้ยอะไรวะ มีเพลงนี้ด้วยเหรอ”
คราวนี้ผมยอมประจันหน้ากับมัน
“กูให้สนใจเนื้อเพลงเว้ย ไม่ได้ให้สนใจว่ามันคือเพลงอะไร”
“แล้วเพลงอะไร”
“ขออภัยมือใหม่หัดรัก”
หัดรักนี่ผมเติมเอง
“ใครร้องวะ”
“มึงเกิดไม่ทันหรอกหรรษา”
ผมประหม่ายิ่งกว่าเดิมอีก เพลงมันเก่ามาก ผมเดินผ่านไหนสักแห่งแล้วได้ยิน จำท่อนฮุกได้แม่นเลยเอามาเสริชหาในเน็ต ปรากฎว่ามันเป็นเพลงที่เก่ามากแล้ว
“จริงๆเพลงอะไรใครร้องมันไม่ใช่ประเด็นหรอก แต่ประเด็นมันอยู่ที่มึงร้องผิดคีย์อะเมต ดีนะที่กูสนใจเนื้อหาเพลงมากกว่าเสียงร้องของมึง”
มันพูดแค่นั้นแล้วมันก็หัวเราะ นั่งลงข้างๆเตียง หยิบชามข้าวมาคนอีกรอบแล้วตักยื่นจ่อปากผมอีกครั้ง สภาพในชามข้าวมันเหมือนอ้วกมากกว่าของกินได้ แต่ผมก็ยอมอ้าปากรับแต่โดยดี
ทำไมนะ?
ตอนทะเลาะกันนี่มันเจ็บปวดแล้วก็ทรมาน เวลาแต่ละนาทีแต่ละวันมันยาวนานจนแทบจะทนให้มันหมดวันไม่ไหว แต่พอเราปรับความเข้าใจกันแล้วมันก็ดูเหมือนจะง่ายดายขึ้น และเหมือนผมจะเข้าใจคนหยาบกระด้างอย่างหรรษามากขึ้นด้วยนะ
“เพลงเก่าฉิบหายคนที่เกิดทันเค้าตะบันหมากกินกันแล้วมั้งตอนนี้ มึงนี่มันเป็นถั่วที่ปลูกแบบโบราณจริงๆ ไม่รู้เลยดิว่าตอนนี้เค้ามีวิธีปลูกแบบไฮโดรโพนิคกันแล้ว”
ถึงจะโดนแขวะแต่ผมก็ยิ้มรับ
“เราคืนดีกันหรือยังวะหรรษา เราไม่เลิกกันแล้วใช่มะ”
“มึงนี่มันปัญญาอ่อนจริงๆ ในเมื่อไม่ได้อยากเลิกแต่แรก ทำไมไม่มาง้อกูอะ”
“กูก็มีศักดิ์ศรีของกูเว้ย กูเป็นคนบอกเลิกมึงก่อน ขืนกลับไปขอคืนดีมึงได้หัวเราะใส่หน้ากูดิ”
“มึงใจแข็งมากนะ เลือกที่จะข่มใจแล้วนั่งร้องไห้คนเดียว”
“มึงรู้ได้ไงวะว่ากูแอบร้องไห้ กูแอบแล้วต้องไม่มีใครรู้ดิวะ ไม่งั้นก็จะแอบไปทำหอยโข่งอะไร”
“มึงรู้มั้ยครั้งแรกมันเกิดขึ้นได้เพราะบังเอิญ แต่หลังจากนั้นมันเรียกว่าความตั้งใจ”
“อ้าว ไม่ใช่พรหมลิขิตเหรอวะ”
“พรหมที่ไหนจะมาลิขิตวะ กูเนี่ยแหละลิขิตตัวเองให้ไปหามึงที่มหาลัยทุกวัน ทีหลังมึงอะช่วยเลือกสถานที่ร้องไห้ให้เป็นที่เป็นทางหน่อยได้มั้ยวะ กูเดินตามมึงจนเมื่อย วันนี้มึงร้องไห้ริมสระน้ำ วันก่อนนั้นมึงร้องไห้ข้างรั้ว อีกวันมึงเลือกร้องใต้ต้นไม้ กูเนี่ยเดินตามหามึงกันขาลาก”
ผมมองมันอย่างคาดไม่ถึง จับมือมันเอาไว้แล้วเขย่าไปมาเหมือนเด็กน้อยอยากได้ของเล่น
“มึงโกรธกูมากไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมมึงยังไปหากูที่มหาลัยล่ะ”
“เพราะกูคิดถึงมึงไงถามได้”
มันพูดออกมามันไม่ได้มองหน้าผมเลย ผมดึงมือมันมาพิศดู มือนี้เคยจับมาทั้งปืนทั้งมีด เคยต่อยหน้าใครมาบ้างก็ไม่รู แต่มือเดียวกันนี้เวลาที่จับมือผมแล้วอุ่นดีนะ อุ่นวาบไปถึงใจเลย”
“แล้วมึงล่ะหรรษา ในเมื่อมึงเองก็ไม่ได้อยากจะเลิกกับกูทำไมมึงไม่รั้งกูไว้บ้างล่ะ”
“เพราะกูเองก็อยากให้มึงรู้ว่าการใจร้อนไม่ได้ช่วยอะไร แล้วเวลาที่เราตัดสินใจอะไรลงไปทั้งๆที่เราไม่ได้ต้องการอย่างนั้นจริงๆมันเจ็บปวดแค่ไหน มึงจะได้รู้ใจตัวมึงเอง ส่วนกู กูเองก็รู้จักใจตัวเองมากขึ้นเหมือนกัน”
“กูเจ็บมากเลยหรรษา เจ็บปวด เหงา เคว้งคว้าง คิดถึงทรมานตีกันอีรุงตุงนังไปหมด มันทำให้กูรู้ว่า กูจะไม่เอาอารมณ์เป็นหลักอีกแล้ว กูจะหันหน้าเข้าหามึงให้มากขึ้นนะ จะคุยกับมึงมากขึ้น เพราะการห่างกันมันทำให้กูซึ้งแล้วว่ากูอยากอยู่ข้างมึงแค่ไหน”
“กูเองก็รู้ว่าการห่างจากมึงนั้นกูกังวลมากแค่ไหน เป็นห่วงมึงมากแค่ไหน นั่นทำให้กูอดใจไม่ไหวที่ต้องไปหามึงทุกวัน ยิ่งเห็นมึงเสียใจแบบนั้นก็ยิ่งอยากให้เราปรับความเข้าใจกันไวๆ”
“กูขอนิ้วก้อยมึงหน่อยได้มั้ยหรรษา”
“เอาไปทำไมวะ”
“เอามาเกี่ยวก้อยคืนดีกันไง”
“ปัญญาอ่อนไปมั้ยมึง....เอ้า”
มันโวยวายแต่มันก็ยื่นนิ้วก้อยมาให้ผม อาศัยความไวของคนปกติที่ไม่ป่วยอย่างผมตวัดเกี่ยวนิ้วของผมเอาไว้
“กูจะไม่วู่วามทำอะไรเพราะความน้อยใจอีกแล้ว”
“ดีมาก”
“มึงเองก็อย่าปล่อยกูไปอีกนะ”
“ทำไมอะ”
“กูกลัวมึงไม่ง้อแล้วกูก็ไม่กล้ามาง้อมึงอีกอะดิ”
“เป็นหัวถั่วที่ไม่เคยพัฒนาเลยสักที”
“แต่กูเป็นคนดีที่รักมึงนะหรรษา เน่ามะ”
“มาก อย่าพูดแบบนี้ที่วิทยาลัยกูนะ”
“ทำไมอะ”
“เดี๋ยวกูไม่ขลังไร้พลังอำนาจอะดิ แม่ง ขอเลยคำพูดพวกนี้ไว้คุยกันสองคนจะดีที่สุด”
“ก็ได้ มึงอายก็ไม่บอก หน้าแดงเชียว”
ผมล้อมัน มันเองก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากรัดนิ้วก้อยผมไว้แน่นกว่าเดิม ผมยกตัวขึ้นหอมแก้มมันให้สมกับที่คิดถึงและห่างกันนาน มันเองก็ตั้งตัวไม่ทันว่าผมจะทำอะไรแบบนี้ กว่าจะนึกขึ้นได้ว่าผมป่วยอยู่ลิ้นผมก็ไปวนในปากมันอยู่หลายรอบจนคนเฝ้าไข้จะขึ้นคร่อมคนป่วยบนเตียงพยาบาลอยู่แล้ว ลืมยาหลังอาหารไปซะสนิท ผละออกมาด้วยคิดได้ว่ามันอาจจะป่วยก็เห็นอีกคนกำลังส่วยหน้า
“กูฉีดวัคซันแล้วไม่เป็นไร”
กางเกงผมถูกมือใหญ่บุกรุกพื้นที่แล้วเรียบร้อย ผมจะหนีบเก็บก็ไม่ได้ มันเล่นพองใหญ่สู้มือซะขนาดนี้ หน้าผมมองหรรษาอย่างเขินๆ แต่แอ่นเนินหญ้าหยอกล้อกับฝ่ามือมันอย่างต้องการ
ไม่เจียมสังขารจริงๆเลยนะผม!!