Boulevard of Broken Dreams +Wish You a Greatest Dream By ลูกหมู
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Boulevard of Broken Dreams +Wish You a Greatest Dream By ลูกหมู  (อ่าน 117975 ครั้ง)

playCardPlaYBoy

  • บุคคลทั่วไป
GreenDay
I walk a lonely road
The only one that I have ever known
Don't know where it goes
But it's home to me and I walk alone

I walk this empty street
On the Boulevard of Broken Dreams
Where the city sleeps
and I'm the only one and I walk alone

I walk alone
I walk alone

I walk alone
I walk a...

My shadow's the only one that walks beside me
My shallow heart's the only thing that's beating
Sometimes I wish someone out there will find me
'Til then I walk alone

Ah-ah, Ah-ah, Ah-ah, Aaah-ah,
Ah-ah, Ah-ah, Ah-ah

I'm walking down the line
That divides me somewhere in my mind
On the border line
Of the edge and where I walk alone

Read between the lines
What's fucked up and everything's alright
Check my vital signs
To know I'm still alive and I walk alone

I walk alone
I walk alone

I walk alone
I walk a...

My shadow's the only one that walks beside me
My shallow heart's the only thing that's beating
Sometimes I wish someone out there will find me
'Til then I walk alone

Ah-ah, Ah-ah, Ah-ah, Aaah-ah
Ah-ah, Ah-ah

I walk alone
I walk a...

I walk this empty street
On the Boulevard of Broken Dreams
Where the city sleeps
And I'm the only one and I walk a...

My shadow's the only one that walks beside me
My shallow heart's the only thing that's beating
Sometimes I wish someone out there will find me
'Til then I walk alone...
..............................................................


ผมแอ่นลำตัวเกร็งเครียด มือทั้งสองกำหมัดแน่นยันผนังกระเบื้องเหนียวเหนอะ หอบหายใจราวกับเพิ่งวิ่งมาราธอนมาหลายกิโล เม็ดเหงื่อเล็กๆไหลจากขมับไล่ลงยังคางรวมกันเป็นหยดใหญ่ก่อนหยดลงพื้นห้อง น้ำที่เต็มไปด้วยคราบน้ำสีโคลน ความร้อน กลิ่นเหงื่อ และกลิ่นเฉพาะตัวของการทำรักตีเข้าจมูกจนวิงเวียน มือที่จิกสะโพกของผมตอนนี้บีบแน่นจนรู้สึกเจ็บ ท่อนเนื้อแข็งร้อนภายในร่างกายกำลังขยับเข้าออกด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น เรื่อยๆ เสียงคำรามกราดเกรี้ยวประชิดหูบอกผมว่า คนข้างหลังกำลังจะเสร็จกิจแล้ว ผมใช้ไหล่ข้างหนึ่งยันรับน้ำหนักตัวไว้ ละมือออกจากผนังกำส่วนกลางร่างกายของตัวเองแน่น เร่งขยับรวดเร็วหวังให้เสร็จสมก่อนที่จะต้องค้างคาจนเสียอารมณ์

“อา~…” เสียงครางอย่างสุขสมดังยาวดังเข้าหู สะท้อนก้องในห้องน้ำขนาดเล็กของโรงเรียน แก่นกายยันเข้าลึกสุดความยาวค้างนิ่งปลดปล่อยของเหลวร้อนระอุเข้ายังช่องทาง ด้านหลังของผม เป็นเวลาเดียวกับที่ผมปลดปล่อยด้วยมือของตัวเองจนหมดสิ้น ของเหลวข้นจากส่วนปลายฉีดพุ่งเลอะกำแพง ไหลเรื่อยลงตามแรงดึงดูดโลกเห็นเป็นทางยาว

ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าจาก ช่องระบายอากาศเล็กๆด้านบน มันถูกฉาบไปด้วยสีส้มของอาทิตย์อัสดง นกตัวเล็กบินรวมกันเป็นฝูงเพื่อกลับรัง...ผมเองก็ใกล้จะต้องกลับบ้านแล้ว เหมือนกัน

“วา...ยอดไปเลย” ก้องเลิกเสื้อนักเรียนของผมออก ก้มลงกัดบ่าเปลือยเปล่าแรงจนขึ้นรอยฟัน ผมดันศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมยุ่งๆออกก่อนพูดเรียบๆ “อย่ากัด เดี๋ยวน้าเห็นรอย”

“ให้ตาย! นายนี่ไม่มีความโรแมนติกซ์เอาซะเลย” มือซุกซนของเขายังไม่ยอมแพ้ ล้วงลอดใต้เสื้อเข้าบีบยอดอกผมเล่นก่อนอีกมือจะจับคางให้ผมหันหน้ากลับไปรับ จูบตะกรุมตะกราม

“เอาออกไปได้รึยัง” ผมหมายถึงสิ่งที่ยังคงทิ้งคาอยู่ในร่างกายจนน่าอึดอัด ตอนนี้มันเริ่มขยายตัวขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่เพิ่งปลดปล่อยจนอ่อนนุ่มไป

“อือ...ขออีกครั้งได้มั้ย” โดยไม่ฟังคำตอบ ก้องเริ่มขยับผลักดันเข้ามาอีกครั้ง เสียงแฉะจากของเหลวภายในลอดเข้าหูให้ได้ยินเบาๆ

ผมถอนหายใจ แอ่นสะโพกให้เข้ามาได้สะดวกกว่าเดิม โค้งตัวลงต่ำ เข่าแยกออกกว้าง เกร็งเข่าเหยียดตรงเตรียมรับน้ำหนักที่โหมลงมาอีกครา


++++++++++++++++++++++++++++++++++++


แท็กซี่จอดสนิทด้านหน้าประตู อัลลอยด์บานใหญ่ ด้านในเป็นบ้านที่ตกแต่งไสตล์ยุโรป ตัวบ้านทาสีครีมหม่นดูนุ่มตา หลังคาปูด้วยกระเบื้องสีอิฐตัดกันอย่างมีรสนิยม รอบนอกถูกโอบล้อมด้วยสวนสีเขียวที่ตัดแต่งพุ่มไม้เป็นรูปทรงสัตว์ต่างๆหลาย ตัว

...บ้านสวยที่ไม่น่าอยู่...

ผมยังไม่อยากเข้าไปข้างใน ผมเกลียดบรรยากาศหนาหนักเหมือนไม่มีอากาศหายใจในบ้านหลังนี้...แต่ผมมีที่อื่นให้ไปด้วยหรือ?

ผมตัดสินใจออกเดินไปยังทิศทางที่ตรงข้ามกับประตูบ้าน มุ่งหน้าไปยังแหล่งค้าขายที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก

 

“คุณวา สนใจเชอร์รี่ซักกล่องมั้ยจ๊ะ เดี๋ยวป้าลดให้” เสียงแหลมของหญิงวัยกลางคนเรียกให้ผมหันไปให้ความสนใจ ผมฉาบยิ้มเด็กดีบนใบหน้า ก่อนจะตอบกลับไป

“เอากล่องนึงก็ได้ครับป้า” สาวใหญ่รูปร่างท้วมยิ้มกลับอย่างยินดี หล่อนยิ้มเพราะผมยิ้มให้ หรือยิ้มดีใจที่ขายของได้กันนะ

เธอส่งถุงหูหิ้วที่บรรจุ กล่องเชอร์รี่มาให้ผม ก่อนจะรับธนบัตรเข้ากระเป๋า คุ้ยหาเศษเงินมาทอน “คุณน้าสบายดีรึเปล่าคะ ช่วงนี้ไม่เห็นมาเดินตลาดเลย ป้าละคิดถึง”

ผมยิ้มกลับนิ่งๆไม่ตอบอะไร หล่อนก็ยังไม่ยอมหยุดปาก มือเรียงเงินทอนวุ่นวาย “ฝากบอกคุณด้วยนะจ๊ะ ว่าป้าขอบคุณ ที่ให้ยืมเงินค่าเล่าเรียนเจ้าตัวน้อยเมื่อเดือนที่แล้ว ไว้ป้าจะส่งคืนทีหลังนะ”

หล่อนส่งเงินทอนใส่มือผม ก่อนจะหันไปตะโกนเสียงดังเรียกลูกค้ารายใหม่

น้าชายของผมเป็นคนกว้างขวาง ทีเดียว เขาเป็นนักธุรกิจหนุ่มที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม ช่วงที่ผมย้ายมาอยู่กับเขาเมื่อปีที่แล้วเป็นช่วงที่กำลังวุ่นกับการเริ่มหา เสียงลงเล่นการเมืองเป็นครั้งแรก

ในสายตาคนแถวนี้ คงมองว่าน้าเป็นผู้ชายที่น่านับถือ ร่ำรวยใจบุญ นิสัยสุภาพบุรุษ ส่วนตัวผมก็คงเป็นเด็กชายมารยาทดี สุภาพเรียบร้อย ตั้งใจเรียนหนังสือ แล้วก็มีอนาคตสดใสล่ะมั้ง

...แต่ใครจะคิดยังไงก็เรื่องของเขา...


ผมเดินไปตามทางเดิน ลึกจนสุดตลาด เลือกวกอ้อมไปทางอีกฝั่งฟาก โดยตั้งใจจะกลับบ้านด้วยทางที่ไกลที่สุดที่มี

“น้องชาย แวะดูหน่อยมั้ย?”

เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังทัก ขึ้น ผมก้มลงไปมองพบชายแปลกหน้ารูปร่างผอมนั่งขัดสมาธิอยู่บนเสื่อพลาสติก เขาใส่เสื้อยืดเก่าๆกับกางเกงยีนส์ขาดยุ่ยบริเวณหัวเข่าทั้งสองข้าง ด้านหน้าของเขามีกล่องพลาสติกใสบรรจุแท่งเหล็กสองสามชิ้นเรียงอยู่ประมาณสิบ อัน ด้วยความสนใจผมจึงลงนั่งยองๆมองสิ่งของประหลาดนี้อย่างพิจารณา

“หีบเพลงทำมือ?” ผมถาม

“ใช่...มีเพลงไม่ซ้ำกันด้วยนะ พี่ทำเอง ขายไม่แพงหรอก” เขายิ้มอย่างภูมิใจในผลงาน

“มีเพลงอะไรบ้างล่ะ” ผมเอื้อมมือจับหีบเพลงอันหนึ่ง กำลังจะไขลานฟัง มือใหญ่ของเขาก็จับห้ามเอาไว้ก่อน

“อย่าเลือกด้วยเสียงเพลง ลองเลือกด้วยใจดูสิ เราอาจจะได้เพลงที่เหมาะกับตัวเองที่สุดก็ได้นะ” คนคนนี้ท่าทางจะสติไม่ดี

“แล้วจะรู้ได้ยังไง ว่าชอบรึเปล่า?”

เขายิ้มยักไหล่ “ก็เลือกไปซักอัน นั่งคนเดียวเงียบๆแล้วลองหลับตาฟังดู ถ้าไม่ชอบยังไงค่อยเอามาเปลี่ยนก็ได้”

ด้วยความที่ราคามันไม่แพงนัก ประกอบกับท่าทางน่าสนใจของคนขาย ผมจึงเลือกซื้อมาหนึ่งอัน ให้เขาห่อใส่กล่องส่งให้ ผมรับของมาพร้อมลุกเดินกลับบ้านด้วยใจที่อยากรู้เล็กน้อย

...เพลงที่เหมาะกับผมที่สุด...จะเป็นเพลงอะไรกันนะ?...


++++++++++++++++++++++++++++++


“ไปไหนมา?”

เมื่อผมเดินผ่านยังส่วนที่เป็นห้องทานอาหาร เสียงน้าที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟาก็ถามผมขึ้นมาทันที

“ติวกับเพื่อนครับ แล้วเมื่อกี้ก็แวะตลาดซื้อของนิดหน่อย” ผมทำท่ายกถุงใส่เชอร์รี่ประกอบ น้าวีมองผมเงียบๆอยู่นาน ก่อนจะหันกลับไปอ่านหนังสือพิมพ์เหมือนเดิม

“ป้าที่ตลาดฝากมาขอบคุณ บอกว่าไว้จะเอาค่าเทอมหลานมาคืน” ผมชวนคุย

น้าวีถอนหายใจ “นี่ก็อีกราย ให้เงินไปก็ตั้งนาน ไม่เห็นมีท่าทีจะเอามาคืน นี่ถ้าไม่เห็นว่าฐานเสียงอยู่ในตลาดล่ะก็ ให้ตายก็ไม่ให้ยืมหรอก ไอ้จะคืนๆก็แค่ปากพูดเท่านั้นแหละว้า”

ผมเบื่อกับการตีสองหน้าของผู้ใหญ่คนนี้ซะจริง

แต่มันต่างกับผมที่ใส่หน้ากากเด็กดีเชื่อฟังตรงไหนกัน?

“เออ วา!” น้าวีตะโกนเรียกผมที่กำลังเดินออกจากห้องทานอาหารให้หยุดฟัง “มะรืนวันครบรอบ กลับบ้านเร็วๆนะ”

ผมตอบน้าวีส่งๆ ก่อนจะเดินขึ้นห้องนอน

ครบปีแล้วหรือ?

วันมะรืนของปีที่แล้ว เป็นวันที่หญิงชายสองคนผู้ให้กำเนิดผมจบชีวิตลง

พ่อแม่แต่ในนามที่เอาแต่ทำ งานเข้าสังคม ทิ้งผมไว้กับพี่เลี้ยงตั้งแต่ยังแบเบาะ เสียชีวิตคาที่ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ คืนที่ผมได้รับโทรศัพท์จากตำรวจ ผมก็แค่พูดออกไปว่า ‘งั้นเหรอ’ เท่านั้นเอง

หลังจากนั้นผมก็ย้ายมาอยู่ กับน้าที่ซื้อบ้านใหม่ในตอนนั้นพอดี ชีวิตโดยรวมก็ไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ เพียงแต่ผมจำเป็นต้องย้ายจากโรงเรียนเอกชนที่เคยเรียนอยู่ มาเป็นโรงเรียนรัฐบาลแถวนี้ก็แค่นั้น

...ความเย็นชาสองหน้าของเหล่าผู้ใหญ่ก็ยังคงเหมือนเดิม...

...ชีวิตที่ต้องอยู่คนเดียวของผมก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง...


+++++++++++++++++++++++++++++++++


ผมเลือกที่จะชำระร่างกายก่อน เป็นอันดับแรกเมื่อถึงห้องนอน หลังจากถอดกางเกงออกก็ได้คำตอบถึงสัมผัสเหนอะหนะน่ารำคาญที่กวนใจมาตั้งแต่ ตอนเย็น ของเหลวสีขาวชุ่นจากการมีเซ็กซ์เมื่อกี้ไหลเยิ้มเปื้อนกางเกงชั้นใน ซึมออกมาถึงกางเกงนักเรียนจนเขรอะ บางส่วนแห้งแข็งไปแล้วให้ความรู้สึกน่าขยะแขยง

ก้องเป็นผู้ชายคนแรกของผม เราเริ่มมีอะไรกันตั้งแต่ครึ่งปีที่แล้วโดยเก็บไว้เป็นความลับไม่ให้ใครรู้ เรามักจะใช้ห้องน้ำในตึกเรียนที่ทั้งเหม็นทั้งสกปรกจากการใช้งานมาทั้งวัน เป็นที่ประกอบกิจช่วงเย็นหลังเลิกเรียน

ทุกครั้งที่มีการสอดใส่ ก้องไม่เคยใช้ถุงยางอนามัยเลย ผมเคยถามเขาว่าทำไม เขายักไหล่ทำท่าไม่ยี่หระ ตอบหน้าตาเฉยเพียงแค่ ‘ใส่แล้วมันไม่ถึงใจว่ะ’

ความลำบากทั้งหมดจึงตกอยู่ ที่ผมที่ทั้งต้องคอยเป็นที่รองรับอารมณ์เมื่ออีกฝ่ายเกิดความใคร่ ทั้งต้องทำความสะอาดเองทุกครั้งหลังจากที่เขาฉีดพ่นน้ำรักเข้ามาอย่างไม่ เกรงใจ

ผมรักเขาหรือเปล่า?

คำตอบคือ...ไม่...

แล้วทำไมผมถึงต้องยอมทน?

...เพราะมันทำให้ผมรู้สึกว่า อย่างน้อย...ผมก็ยังอยู่ในอ้อมกอดของใครสักคน...ล่ะมั้ง


เมื่ออาบน้ำเสร็จ ผมก็มาให้ความสนใจกับของที่อยู่ในกล่องกระดาษ ผมแกะฝากล่องหยิบมันขึ้นมาอย่างเบามือ พิจารณาผิวพลาสติกใสเรียบ ด้านในมีแกนเหล็กต่อกับฟันเฟือง แท่งเหล็งเล็กๆยื่นออกมาสำหรับใช้ไขลาน

ผมค่อยๆหมุนลานช้าๆ วางหีบเพลงบนหัวเตียง ก่อนจะหลับตานิ่งตั้งใจฟังอย่างที่ผู้ชายคนนั้นบอก เสียงกรุ๊งกริ๊งดังเป็นทำนองเพลงช้าๆ เป็นเพลงคลาสสิกที่เคยได้ยินจากแผ่นเสียงของแม่ตอนเด็กๆ เป็นเพลงบอกรักหวานซึ้ง เนื้อหาที่กล่าวปลอบใจว่าเธอเป็นคนที่ถูกรัก ห่วงหา อาธรณ์ และสัญญาว่าจะมีเราอยู่เคียงกัน

ผมรีบไขลานเร่งให้เพลงจบโดยเร็ว ในห้องเงียบสงบต่างกับจิตใจที่กำลังกราดเกรี้ยวของผม

...เพลงรัก มันไม่เหมาะกับคนไร้หัวใจอย่างผมเลยซักนิดเดียว...


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คนไร้หัวใจ ไครจะเป็นเหมือนวาบ้างนะ มีชีวิตแต่ไม่มีความรัก เศร้าโว้ยยยยย :o12: :o12: :o12:



*** ขออนุญาตแก้ไขคำห้อยท้ายของชื่อเรื่อง เพื่อลดความรุงรังของหัวข้อ  แต่หากผู้แต่งมีเรื่องแจ้งเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขชื่อเรื่องได้ตามปกติค่ะ
 ทิพย์โมบอร์ดนิยาย

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2010 15:43:26 โดย THIP »

devil_duel

  • บุคคลทั่วไป
Re: Boulevard of Broken Dreams By ลูกหมู
«ตอบ #1 เมื่อ06-04-2008 10:54:03 »

โหหหหห  เรื่องฮาร์ดสุดยอดด
ให้บรรยากาศหนักๆดีอ่ะ  แนวๆดี
ชอบคับๆ ชอบเพลงนี้ของ greenday ด้วย เพราะมาก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-04-2008 11:08:39 โดย devil_duel »

ออฟไลน์ duchess

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 153
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
Re: Boulevard of Broken Dreams By ลูกหมู
«ตอบ #2 เมื่อ06-04-2008 11:56:11 »

 :m4:

โห น่าติดตามคับๆๆ


จะรอตอนต่อไปนะ

+++

เปนกำลังใจให้คับป๋ม +++

playCardPlaYBoy

  • บุคคลทั่วไป
Re: Boulevard of Broken Dreams By ลูกหมู
«ตอบ #3 เมื่อ06-04-2008 14:12:07 »



“ที่นี่ไง” ก้องพาผมที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีพื้นกับกางเกงนักเรียนขาสั้นมายังคอนโดแห่งหนึ่ง กดกริ่งรอให้คนข้างในเดินมาเปิดประตู

ทั้งๆที่เป็นเวลาเข้าเรียน แต่พวกเราก็เลือกที่จะหนีออกจากสถานที่น่าเบื่อมาหาประสบการณ์แปลกใหม่ยัง โลกกว้าง นี่เป็นครั้งแรกที่ก้องพามายังบ้านของเพื่อนนอกโรงเรียนที่ผมไม่รู้จัก

รอเป็นเวลาค่อนข้างนานก่อน ที่คนข้างในจะเปิดประตูออกมา ท่าทางของเขายิ้มเคลิ้มๆ ดวงตาฉ่ำเยิ้มแทบปิด กลิ่นแปลกๆจากในห้องลอยอบอวลออกมา ก้องพาผมเดินเข้าไปในห้องก่อนปิดประตู ผมสำรวจห้องสี่เหลี่ยมแคบๆคร่าวๆ เดินตามคนที่เดินเอนไปมาเข้าไปยังส่วนด้านในที่คาดว่าจะเป็นห้องนอน

กลิ่นฉุนในห้องนั้นเข้มข้น กว่าข้างนอกมาก บนเตียงนอนที่ปูด้วยผ้าปูที่นอนยับยู่ยี่ มีเด็กผู้หญิงในชุดนักเรียนม.ต้นนอนหัวเราะรื่นเริง ใต้กระโปรงมีชายหนุ่มตัวใหญ่ในชุดเสื้อกล้ามสีดำอวดลายสักที่แขนกำลังซุก ไซร้อย่างเมามัน คนที่เดินมาเปิดประตูให้เมื่อกี้คว้าแท่งบุหรี่ที่วางพักอยู่บนจานเขี่ยขึ้น ดูดก่อนจะหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างไม่มีเหตุผล

“เข้าไปสิ” ก้องดุนหลังผมให้ก้าวเข้าไปในห้อง กดบ่าลงให้นั่งอยู่ที่เก้าอี้หวายตัวใหญ่ใกล้ๆเตียง ก่อนจะยัดแท่งบุหรี่ที่ต่อไฟเรียบร้อยแล้วใส่มือ “ลองสูบดู” เขาบอกผมที่มองหน้าเขาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร

ผมเคยลองสูบบุหรี่ครั้งหนึ่ง เมื่อประมาณสามเดือนที่แล้ว ยังจำได้ว่าตอนนั้นสำลักควันจนน้ำหูน้ำตาไหล แสบลำคอไปนานจนไม่คิดอยากกลับไปลองสูบอีกเป็นครั้งที่สอง

“เถอะน่า ลองดู เดี๋ยวดีเอง” ก้องบอกผมที่ทำท่าลังเล ผมยังนั่งมองมันอย่างตัดสินใจว่าจะสูบดีหรือไม่ ก้องคงจะรำคาญจึงคว้ามันไป อัดควันใส่ปอดตัวเอง ก่อนจะจับหัวผมเงยหน้ากดจูบปล่อยควันเข้ามาในปากรวดเร็ว ผมตกใจลืมตัวกำลังจะร้องอุทาน กลิ่นแปลกๆเข้มข้นนั้นก็ถูกสูดเข้าปอดเต็มเปา

...น่าแปลก มันหอมหวานต่างจากที่ลองตอนนั้นหน้ามือเป็นหลังมือ...

ก้องพยักหน้าให้ผมเป็นเชิงว่าบอกแล้วไม่เชื่อ ก่อนจะยัดแท่งบุหรี่ใส่มืออีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้ผมไม่ลังเลที่จะยกมันขึ้นสูบเลย

ผมอัดควันเข้าสุดลมหายใจ ก่อนจะปล่อยให้ควันสีขาวลอยเอื่อยออกจากปากที่เผยอแคบๆ หัวมึนเบาสบายอย่างบอกไม่ถูก กรอบสี่เหลี่ยมของห้องนอนโยกโย้หมุนไปมาน่าดู ผมหันไปมองก้องที่ตอนนี้คว้าบุหรี่มวนใหม่ขึ้นอัด นั่งพิงผนังห้องอยู่ข้างๆเก้าอี้ เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วยิ้มให้ ผมก็หัวเราะตอบอย่างร่าเริง

เขาตบพื้นข้างตัวนัยว่าให้ผม ลงจากเก้าอี้ไปนั่งข้างๆ ซึ่งผมก็ทำตาม ลุกขึ้นจากเก้าอี้กำลังจะหมุนตัวลงนั่ง โลกก็โคลงเคลงจนทรงตัวไม่อยู่ ทิ้งกายลงบนหน้าตักของก้องพร้อมหัวเราะสนุกสนาน ทุกอย่างมันน่าขำไปหมด แม้แต่มือใหญ่ที่กำลังถอดกางเกงผมอยู่ก็ดูตลกเหลือเกิน

ก้องกำรอบแก่นกายของผมไว้ แน่น ขยับรูดขึ้นลงจนผมร้องคราง รู้สึกถึงความร้อนที่คั่งอยู่ที่ส่วนกลางลำตัว ผมผงกหัวขึ้นดูส่วนของร่างกายที่ก้องปล่อยมือไปแล้ว มันตั้งชันขึ้นเองโดยไม่ต้องพยุงเลย ผมหัวเราะเบาๆมองก้องล้วงเชือกเส้นสั้นๆออกจากกระเป๋ากางเกง ลงมือมัดส่วนปลายไว้แน่นพอจะทำให้ผมอึดอัดจนหยุดขำชั่วคราว เขากลับไปยุ่งกับกางเกงตัวเอง รูดซิปลงจนหมดก็จับสัดส่วนแข็งเกร็งของตัวเองไว้ในอุ้งมือ อีกมือหนึ่งจับท้ายทอยผมไว้ ออกแรงดันให้ต้องก้มหน้าลงคลอเคล้ากับท่อนเนื้อร้อนผ่าว

“ทำให้ที” ก้องหอบหนัก สั่งผมด้วยเสียงแหบพร่า ในเวลาปกติผมคงจะปฏิเสธไป เพราะผมเกลียดกลิ่นอับของมันเหลือเกิน แต่ตอนนี้อารมณ์ดีๆทำให้มองผ่านมันไป ผมอ้าปากครอบครองมันไว้ข้างในจนมิด ก้องกดหัวผมแน่นพร้อมกับดันสะโพกขึ้นสูง กระแทกท่อนเนื้อจนสุดความยาวพร้อมร้องซี้ดอย่างเสียวซ่าน “แม่ง ดีฉิบหายเลยว่ะ” เขาอุทานคำหยาบเสียงดัง

กลิ่นที่ผมเคยเกลียด ตอนนี้มันกลับกระตุ้นอารมณ์กระสันของผมจนพลุ่งพล่าน ผมเอื้อมมือไปยังส่วนกลางของตัวเอง กำลังจะคลายปมเชือกที่รัดอยู่ มือก็โดนปัดทิ้งไป “ไม่ให้แกะหรอก” ก้องพูดปนหัวเราะทั้งๆที่ยังหมกมุ่นอยู่กับการดันตัวเข้าช่องปากของผม

ทันใดก็ต้องตกใจเมื่อมีมือ ตะปบลงบนบั้นท้าย ละปากหันไปดูเห็นชายคนที่เปิดประตูให้เมื่อกี้กำลังจ้องมองอยู่ข้างหลังได้ แวบเดียวก็โดนมือใหญ่จับหันกลับมากดหัวให้ต้องยุ่งอยู่กับความแข็งแกร่งดัง เดิม

“โอย วา เม้มปากอีก อา สุดยอดเลยว่ะ แม่ง!!” ก้องพูดไปหัวเราะไปหอบไปไม่หยุด ส่วนผมที่ขาดการสูบเจ้าแท่งหรรษาไปพักใหญ่ก็เริ่มคืนสติกลับมา นิ้วหนาที่ล้วงควานช่องทางข้างหลังของผมก็ยังคงสนุกกับการทำหน้าที่ต่อไป ด้วยความที่ชายคนนั้นเป็นใครก็ไม่รู้ ทำให้ผมรู้สึกขยะแขยง อยากจะคลานหนีเหลือเกิน แต่ตำแหน่งที่เราสามคนชุลมุนอยู่ทำให้ไม่สามารถทำอะไรตามใจได้

จนรู้สึกว่าหนั่นเนื้อด้าน หลังทั้งสองข้างถูกมือหยาบกร้านจับแยกออกกว้าง ความร้อนผ่าวจ่อแตะอยู่ที่ปากทางกำลังจะดันตัวสอดใส่เข้าไป ก้องก็จิกผมไว้แน่นดึงให้ศีรษะเงยขึ้นสูง ปล่อยปากเป็นอิสระจากแก่นอารมณ์

“เฮ้ย นั่นของกู ใครอย่ามายุ่ง!” เขาคลานป้อแป้ ใช้น้ำหนักตัวผลักผู้ชายคนนั้นออกไป ตนเองเข้าแทนตำแหน่ง สอดใส่ความใคร่รวดเร็ว

...กำลังคิดอย่างโล่งใจว่า อย่างน้อยผมก็ยังไม่ได้เสียตัวให้กับคนที่ผมเพิ่งเห็นหน้ามาไม่เกินชั่วโมง หัวก็โดนจับหันให้อ้าปากรับความร้อนผ่าวของคนคนนั้นเข้ามา

อยากจะอาเจียนเหลือเกิน


+++++++++++++++++++++++++++++


เมื่อลืมตาตื่น ชันตัวลุกขึ้นมาจากพื้นกระเบื้องเหนียวๆได้ ก็พบสภาพที่น่าสมเพชของตัวเอง ในความทรงจำขาดๆเกินๆนั้น ผมต้องรับผู้ชายถึงสามคนเข้ามาในร่างกาย คนหนึ่งคือก้อง อีกคนคือคนที่เปิดประตู ส่วนคนสุดท้ายก็คือคนที่ซุกหน้าอยู่กับกระโปรงตอนที่ผมเดินเข้ามา...คนที่ผม ยังไม่เห็นหน้าด้วยซ้ำ ร่างกายตอนนี้มันปวดเมื่อยไปหมด ริมฝีปากเจ็บแปลบเหมือนจะฉีกขาด ตามแขนมีรอยช้ำเป็นจุดๆ แก่นกายที่หมดอารมณ์ทั้งที่ยังไม่ได้ปลดปล่อยยังมีเชือกเส้นเล็กมัดคาอยู่ ช่องทางด้านหลังปวดระบม เมื่อก้มลงดูก็ต้องตกใจกับกองน้ำสีขาวปนเลือดที่นองเจิ่งอยู่ที่พื้น

ผมมองไปรอบห้อง พบชายสามหญิงหนึ่งกำลังนอนเปลือย กกก่ายแน่นิ่งกันอยู่บนเตียงนอน ท่าทางพวกเขาจะสูดดมเจ้าสารละลายมโนธรรมนั่นไปมากกว่าผมเยอะทีเดียว

ผมค่อยๆพลิกตัว สองแขนพาคลานไปเก็บเสื้อผ้า หาหลักพยุงเพื่อลุกขึ้นยืนได้ก็แต่งตัวอย่างอ่อนเพลีย คว้ากระเป๋านักเรียนเดินออกจากห้องนรกนี้ไป

 

ผมในตอนนี้สกปรกยิ่งกว่าที่เคย...ผมในตอนนี้คงไม่ต่างจากโสเภณีที่อ้าขาแลกเงินสักเท่าไหร่

ไม่สิ...จะต่างก็ตรงที่ผมอ้าขาโดยไม่ได้เงินตอบแทนนี่ล่ะ


ผมเดินลากขาไปตามท้องถนน เหงื่อผุดพรายจากความเจ็บปวดทั่วตัว แสงแดดยามบ่ายแก่ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย ผู้คนที่เดินผ่านไปมามองผมด้วยสายตาที่เหมือนจะประณามในความโสมม …พวกเขามีสิทธิ์อะไรที่จะมองตัดสินความดีเลวของคนอื่นด้วยหางตาอย่างนี้นะ?

ผมก้าวอย่างช้าๆ มองถนนที่ทอดยาวเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด รู้สึกว่าหัวมันหนักเหลือเกิน อยากจะล้มลงนอนตรงนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย ตามใจคิด ขาก็อ่อนยวบเป็นเทียนไขลนไฟทันที ร่างกายตกวูบ ภาพพื้นอิฐตัวหนอนวิ่งเข้าหาผมอย่างรวดเร็ว ราวกับกำลังเล่นรถไฟเหาะอยู่ยังไงยังงั้น

แต่ก่อนที่ตัวผมจะกระแทกพื้นล้มลงนอน ก็มีมือใหญ่คว้าพยุงเอาไว้ได้พร้อมกับเสียงที่ได้ยินเมื่อวานพูดถามผมด้วยอารมณ์ตกใจ

“น้อง เป็นอะไรรึเปล่า?”

ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่จับแขน ผมดึงไว้แน่น ผู้ชายคนเดียวกับที่ขายหีบเพลงให้เมื่อวานนี้กำลังมองผมอยู่เช่นกัน เขามองตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยไม่พูดอะไร กวักมือเรียกรถสามล้อพาผมไปยังอพาร์ทเมนท์เก่าๆแห่งหนึ่งโดยไม่สนใจท่าทาง ขัดขืนของผมเลย


+++++++++++++++++++++++++++


“ถอดเสื้อออกให้หมด” หลังจากถูลู่ถูกังผมที่ฝืนตัวอย่างอ่อนแรงเข้าห้องมาได้ เขาก็ดุนหลังผมเข้าไปในห้องน้ำ

คนคนนี้จะเป็นผู้ชายคนที่สี่ของวันนี้งั้นหรือ?

ผมยืนนิ่ง ไม่ได้ทำตามที่สั่ง เขาจึงถอนหายใจทีหนึ่งแล้วถอดเสื้อถอดกางเกงออกให้ผมเอง

“โดนอะไรมา?” เขาสำรวจทั่วตัวพร้อมถามผมด้วยเสียงคาดคั้น ผมก้มลงมองตัวเองบ้างจึงเข้าใจว่าทำไมเขาถึงถาม ช่วงแขนที่ผ่านเสื้อยืดออกมามีรอยช้ำประปราย คงไม่ร้ายแรงเท่าคราบสีขาวปนเลือดที่ตอนนี้ไหลย้อยลงมาถึงหน้าแข้ง ชุดนักเรียนกางเกงขาสั้นที่ผมใส่อยู่เมื่อกี้มันไม่ได้ช่วยบดบังความโสมมนี้ ไว้ได้เลย

“โดนข่มขืนมารึเปล่า อยากแจ้งตำรวจมั้ย” เขาถามพลางดึงหัวฝักบัวขึ้นถือ เปิดน้ำเบาๆ

ผมส่ายหัวเชิงว่าไม่ต้องการ “ผมสมยอมเอง” ใช่ ผมเป็นคนเดินเข้าไปในห้องนั้นเอง

เขาไม่พูดอะไร บีบขวดสบู่เหลวใส่ตัวผมพร้อมลงมือทำความสะอาดร่างกาย ความเย็นของน้ำกับกลิ่นหอมของสบู่ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมากทีเดียว

ถ้าสบู่สามารถชำระล้างความโสโครกที่ฝังแน่นในเนื้อตัวได้ก็คงดี

มือใหญ่ที่ลูบต้นขาอยู่ละออก พร้อมกับส่งฝักบัวให้ผมถือไว้เอง “ตรงนั้น…ล้างเองแล้วกัน เสร็จแล้วค่อยออกมา” เขาพูดก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำพร้อมงับประตูตามหลังเบาๆ


ผมอาบน้ำต่อเองจนสะอาดสะอ้าน คว้าผ้าขนหนูที่พาดอยู่ขึ้นพันเอวเดินออกจากห้องน้ำ สังเกตลักษณะห้องที่เมื่อกี้ไม่ได้สนใจอย่างจริงจัง มันเป็นห้องที่เรียกว่าแทบจะไม่มีอะไรอยู่เลย ขนาดเล็กพอให้ผู้ชายตัวโตๆอยู่ได้เพียงคนเดียว ผนังเก่าคร่ำจนสีทาหลุดลอกเป็นชิ้นๆ หน้าต่างถูกบานไม้ตอกปิดจากด้านนอกมิดไม่เหลือแม้แต่รูให้แสงลอดเข้ามา พื้นปูนสากเท้ามีเสื่อพลาสติกขาดๆปูบริเวณมุมห้องเท่านั้น มุมห้องอีกด้านหนึ่งมีกล่องพลาสติกใสกองซ้อนกันอยู่ ด้านข้างมีชิ้นเหล็กกับหัวบักรีวางเป็นระเบียบเรียบร้อย

“มานั่งนี่ก่อน” ผู้ชายคนนั้นเรียกผมให้เข้าไปนั่งบนฟูกนอนที่พับกองไว้ติดผนังห้องด้านหนึ่ง เมื่อผมเดินไปนั่ง เขาก็ยื่นขวดน้ำมาให้ผมรับไปดื่ม แม้มันจะไม่เย็นชื่นใจแต่มันก็ช่วยบรรเทาอาการแสบคอได้มากทีเดียว ผมหันไปมองเขาที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ข้างๆ หลุบตาลงสนใจกีตาร์โปร่งที่พาดอยู่ในอ้อมแขน นิ้วดีดเส้นลวดเบาๆเกิดเสียงใสดังกังวาน

“พาผมมาที่นี่ทำไม?” เขาหันหน้ามามองเมื่อได้ยินคำถาม

“ก็แค่...อยากช่วย” เขาตอบกลั้วหัวเราะ กลับไปสนใจเครื่องดนตรีตามเดิม

“ต้องการอะไร?” นิ้วที่ดีดสายลวดสะดุดกึกชั่วขณะ ก่อนจะเริ่มกรีดเล่นตามเดิม

“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ”

“ใครช่วยคนโดยไม่ต้องการอะไรตอบแทนบ้าง?”

“แล้วเราจะให้อะไรตอบแทน เล่า?” นั่นไง มันเป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ ใครช่วยคนโดยไม่อยากได้ของตอบแทนล่ะ ทุกคนล้วนทำอะไรบางอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น
 
“ผมพอมีเงินอยู่บ้าง”

“…ฉันไม่อยากรับเงินจากเด็กหรอก” เสียงตีคอร์ดเป็นจังหวะสม่ำเสมอดังในห้องกว้าง

“งั้น...” ผมไล้มือลงบนต้นขาที่คลุมด้วยกางเกงยีนส์ ลากฝ่ามือขึ้นไปยังส่วนแก่นกลางลำตัว “ก็ร่างกาย”

เขาถอนหายใจ บรรจงวางกีต้าร์ลงข้างตัว ก่อนหันมาจับมือซุกซนของผมกำไว้แน่น “เราอายุเท่าไหร่”

“อีกสองเดือนจะสิบห้า...ไม่เห็นต้องห่วงนี่ แค่ผมไม่บอกใคร กฏหมายก็เอาผิดคุณไม่ได้หรอก”

เราสบตากันนาน วัดใจว่าใครจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เขาปล่อยมือที่กำไว้ ก่อนโอบแก้มผมไว้ในสองฝ่ามือ “อย่าทำร้ายตัวเอง อนาคตเรายังอีกไกลนะ...อย่าทำร้ายตัวเอง” เขาย้ำคำเหมือนจะสลักคำสั่งนี้ลงในสำนึกของผม

เขาลุกขึ้นจากที่นอนยืดตัวบิดขี้เกียจก่อนจะหันมา “กลับบ้านไปเถอะ มืดแล้ว เดี๋ยวพ่อแม่เป็นห่วง”

“ผมไม่มีพ่อแม่” เขาชะงัก

“แล้วอยู่กับใครล่ะ?”

“น้าชาย”

“งั้นก็...กลับบ้านซะ เดี๋ยวน้าชายจะเป็นห่วง” เขาเก็บชุดนักเรียนที่ทิ้งกองไว้หน้าห้องน้ำมายื่นให้ผมแต่งตัว

“...นั่นสินะ...” ผมตอบรับแกนๆ...น้าคงจะโมโหน่าดูถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผม เขาคงไม่อยากให้หลานชายมีข่าวไม่ดีให้เสียชื่อสะเทือนถึงหน้าตาทางสังคมหรอก


++++++++++++++++++++++++++++


กว่าจะถึงบ้านก็เป็นเวลาดึก กว่าทุกที แต่ก็ยังโชคดีที่น้าวียังไม่เลิกงาน ผมเดินขึ้นบันไดมุ่งหน้าไปยังห้องนอน เมื่อโยนเป้ลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ เสียงของแข็งๆกระทบพื้นก็ดังขึ้นมา ผมรูดซิปดูต้นตอที่ซุกอยู่ก้นกระเป๋า

...มันเป็นกล่องเพลงที่ผมไม่อยากฟัง...

ผมคงจะต้องไปหาเขาคนนั้นอีกครั้งเพื่อขอเปลี่ยนเพลง คราวนี้ผมจะไม่ใช้จิตใจในการเลือก ผมจะเลือกจากสิ่งที่ผมได้ยินเอง

...เพลงที่เหมาะกับผม...


+++++++++++++++++++++++++++++++++
จะบอกเรื่องนี้ตัวเองกะยังไม่ได้อ่าน  :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: แต่กะอ่านพร้อมๆกะโพสเลย มานมีไม่กี่ตอนนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าผมกั๊กอีกอ่า ค่อยๆอ่านไปนะ o7

อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามาให้กำลังใจคนโพสต์  :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ ( = ___ = )

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 605
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1

 
จิ้มอาจารย์ฟ้า งุงิๆ :m13:
 :o8: ยังมะได้อ่าน มาช่วยดัน+ให้กลจ.คนโพส
ขยันจัง อุอุ

เด๋วไปอ่านก่องล่ะ :oni1:







ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
 :เฮ้อ: อ่านแล้วเศร้า  :sad2: :sad2: :sad2:

playCardPlaYBoy

  • บุคคลทั่วไป
Boulevard of Broken Dreams 3


วันนี้ก้องไม่มาเรียน

กระดิ่งสัญญาณเลิกเรียนดัง ขึ้นพร้อมๆกับที่หัวหน้าชั้นเรียนตะโกนบอกทำความเคารพอาจารย์ ผมเก็บหนังสือที่แทบไม่มีรอยดินสอจดอยู่เลยเข้าเป้ ยกขึ้นสะพายพาดบ่าเดินออกจากห้องเรียนที่เต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวาย

นอกจากก้องแล้ว ผมก็แทบจะไม่มีเพื่อนเลย เนื่องจากก้องเป็นหัวโจกของเด็กเกในละแวกนี้ ทุกคนในห้องจึงไม่มีใครอยากจะยุ่งด้วยซักเท่าไหร่ ลามมาถึงผมที่เป็น ‘คนสนิท’ ด้วย

ผมเดินออกจากโรงเรียนมุ่ง หน้าไปยังบ้านที่เคยไปมาสองสามครั้ง บ้านของก้องอยู่ในชุมชนแออัด เป็นห้องแถวชั้นเดียวเล็กๆหนึ่งห้อง ก้องอาศัยอยู่กับแม่ที่เปิดร้านขายขนมในตลาด ช่วงเย็นหลังเลิกเรียนจนถึงประมาณสองทุ่มก้องจะอยู่บ้านคนเดียว จนสามทุ่มแม่ที่ขายขนมเสร็จแล้วจึงค่อยกลับมา

สองสามครั้งที่ไปเยี่ยมบ้าน ก็หนีไม่พ้นเรื่องอย่างว่า เรามีอะไรกันบนพื้นห้อง ดูเหมือนก้องจะชอบการทำผิดในบ้านอย่างมาก การมีเซ็กซ์โดยต้องหลบๆซ่อนๆ พยายามไม่ให้มีเสียงลอดออกมาให้ข้างบ้านได้ยินเป็นเรื่องที่น่าท้าทายสำหรับ เขา

ผมกำลังจะเคาะประตู ก็ต้องหยุดชะงักกับเสียงกุกกักที่ดังลอดฝาบ้านบางๆออกมา ถอยตัวออกมาสังเกต ก็พบสภาพบ้านที่ปิดประตูหน้าต่างสนิท...เหมือนเวลาที่เราลักลอบกระทำกามกิจ กันไม่มีผิด ด้วยความที่อยากดูให้รู้กับตา ผมจึงล้มเลิกความคิดที่จะเคาะประตูเรียกคนข้างในไปเสีย ผลักประตูเข้าไปโดยไม่ให้สุ้มเสียงใดๆทั้งสิ้น

“วา!” ก้องเงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างตกตะลึง เขาชะงักค้างในสภาพเปลือยเปล่ากับท่าทางที่กำลังสอดใส่ห้วงอารมณ์ลงในร่าง กายของเด็กสาวแรกรุ่นคนหนึ่ง  จากสภาพห้องที่ผมเห็น คงไม่ใช่การรุกรานเป็นครั้งแรกแน่ๆ

“นึกว่าไม่สบาย เลยมาดู” ผมก้าวเข้าไปในบ้าน ปิดประตูเบาๆ  ตอบก้องไปเรียบๆ

เขาค่อยๆดึงตัวเองออกจาก กิจกรรมตรงหน้า คว้าเสื้อปิดส่วนกลางกายก่อนเดินมาหาผม “วา...ฟังเราก่อน เรารักนายที่สุดนะ” เขาพูดแก้ตัวเสียงเบา พยายามไม่ให้เด็กสาวที่นั่งปิดเนื้อปิดตัวอยู่ด้านหลังได้ยิน

...ท่าทางก้องจะจำเรื่องในคอนโดนั้นไม่ได้ล่ะมั้ง...

..เขาบอกรักผมทั้งๆที่เขาพาผมไปให้ผู้ชายอีกสองคนข่มขืน...

“ไม่เห็นเป็นไร เราไม่ถือ” ผมยังคงพูดอย่างไร้อารมณ์เช่นเดิม กวาดสายตาไปสบกับเด็กสาวด้านหลังก้องพอดี ผมยิ้มแบบที่คิดว่าดูเยือกเย็นที่สุดให้เธอ “ที่จริงทำสามคนก็น่าจะตื่นเต้นดี”

ก้องชะงัก คิ้วขมวดบ่งบอกพื้นเพอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่น “นายพูดจริง?”

“ทำไมล่ะ? นายรักเรา นายมีอะไรกับคนอื่นได้ แล้วเราที่ไม่ได้รักนาย ต้องมีอะไรกับนายคนเดียวหรือไง?”

เพี๊ยะ!!

ผมหน้าหันหูอื้อไปชั่วขณะ เมื่อตั้งตัวได้ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่แก้มจนต้องยกมือขึ้นแตะ ก้องจ้องผมเขม็งอย่างต้องการจะกินเลือดกินเนื้อ เขาหันกลับไปสั่งให้เด็กสาวแต่งตัวรวดเร็ว ไล่ออกจากห้องไปอย่างไม่สนใจใยดี ห้องทั้งห้องพลันเงียบสงัด เหลือเพียงอุณหภูมิระหว่างเราที่กำลังพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ

“ไม่รักงั้นเหรอ” ก้องย่างสามขุมเข้าหาผมที่ก้าวถอยหลัง “งั้นจะมีอะไรกันอีกทีก็คงไม่เป็นไร ยังไงนายก็มีเซ็กส์กับคนที่ไม่ได้รักได้สบายๆอยู่แล้วนี่นา”


++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ผมลากขาออกจากห้องนั้นอย่าง ยากลำบาก  แผลที่เพิ่งโดนข่มขืนสอดใส่เข้ามาเมื่อวาน ตอนนี้ปริเปิดขึ้นมาอีกครั้งจนรู้สึกเจ็บเสียดทุกย่างก้าวเดิน

จบแล้วสินะ ความสัมพันธ์บ้าๆบอๆ ความรักที่ได้รับเพียงแค่ลมปาก

...เท่านี้ก็ไม่มีใครรักผมอีกต่อไปแล้ว...

ผมโบกรถแท็กซี่ บอกจุดหมายปลายทางที่เพิ่งไปมาเมื่อวานอย่างไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ...รู้แค่ตอนนี้ผมต้องการใครสักคน


++++++++++++++++++++++++++++


“มาทำอะไรตรงนี้?”

นั่งรอจากบ่ายจนเย็น เย็นจนค่ำ เสียงคุ้นหูก็ทักผมที่นั่งกอดเข่าซุกหน้าเงียบให้เงยขึ้นมอง ผมลุกขึ้นยืนเปิดทางให้เขาไขกุญแจเปิดประตูห้อง เชิญผมเข้าไปข้างในเงียบๆ

เมื่อเข้ามาในห้องได้ ผมก็ลงมือคุ้ยเป้นักเรียน หยิบของที่ซุกอยู่ล่างสุดออกมา “ผมเอามาเปลี่ยน”

เขาเลิกคิ้วมองหีบเพลงในมือผม “ไม่ชอบ?” ผมพยักหน้าส่งกล่องพลาสติกใส่มือที่แบขอ เขาไขลานสั้นๆ หลับตาฟัง

เสียงเพลงรักแว่วหวานดังกังวานในห้องแคบเสียดแทงจิตใจผมเหลือเกิน

“ทำไมล่ะ เป็นเพลงที่ดีออก?”

“ผมไม่ชอบ” เขามองผมที่ก้มหน้าอยู่ เงียบไปสักพักก่อนพูดถาม

“อกหักมาหรือ?”

“ไม่ได้อกหัก” ผมตอบเบาๆ “แค่ไม่เคยมีใครรักผม...ก็เท่านั้น”

เขานั่งลงบนกองฟูกข้างห้อง มือคว้ากีตาร์ตัวเดิมวางบนตัก “ไม่เคยมีใครรัก?”

ผมลงนั่งด้านข้าง ตำแหน่งที่ผมนั่งเมื่อวาน “ใช่...ไม่เคยมีใครรัก แล้วก็ไม่เคยรักใคร”

เขาหัวเราะขึ้นจมูกเบาๆ “...เด็กหนอเด็ก...”

“ผมโตแล้ว” ผมสวนกลับอย่างฉุนๆ

“คนเราเติบโตได้ด้วยความรัก ไม่รู้จักความรักจะเรียกว่าโตแล้วได้ยังไง?” นิ้วใหญ่กรีดสายลวดเบาๆ

“แล้วคุณล่ะ มีความรักหรือไง” ผมถามอย่างท้าทาย

เขาเงียบไป

“เห็นมั้ยล่ะ ถ้ามีคนรักจริง จะมาอยู่ห้องเก่าๆแคบๆอย่างนี้คนเดียวทำไม” ใช่ ผมรู้สึกถึงบรรยากาศเหงาหงอย ไร้ชีวิตชีวาตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในห้องแล้ว

เขาไม่ตอบคำถาม กลับตีคอร์ดกีตาร์เป็นเพลง ท่วงทำนองของมันหนักแน่น  แต่ก็โดดเดี่ยวในคราวเดียวกัน เสียงทุ้มนุ่มร้องเนื้อเพลงคลอแผ่วๆ

I walk a lonely road
The only one that I have ever known
Don't know where it goes
But it's home to me and I walk alone…


เสียงกีตาร์ดังขึ้นกว่าเก่า มันก้าวร้าวรุนแรง แต่ยังคงอารมณ์เหงาไว้เต็มเปี่ยม ผมหลับตาตั้งใจฟัง

My shadow's the only one that walks beside me
My shallow heart's the only thing that's beating
Sometimes I wish someone out there will find me
'Til then I walk alone…


เพลงจบลงพร้อมกับอารมณ์หนาหนักของเราทั้งสองคน ผมลืมตาขึ้นมองเขาที่นั่งกอดกีตาร์สายตาเหม่อลอยไปไกล

“...ผมชอบเพลงนี้...” ใช่ เพลงนี้เหมาะกับผมมาก มันไม่ใช่อารมณ์เหงาเศร้าโศกแบบชวนคร่ำครวญโดยไม่ยอมทำอะไร มันเป็นอารมณ์เหงาแบบที่ชวนให้หาทางออกด้วยตัวเองมากกว่า

เขาพิงกีตาร์ไว้ที่ข้างฝา ก่อนล้มตัวลงนอน ประสานมือรองท้ายทอยต่างหมอน “ชีวิตเรามันแย่ขนาดนี้เลยเหรอ” พูดเหมือนรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะต้องการคำตอบ

แต่ในช่วงเวลานี้ ผมอยากระบายให้ใครสักคนได้รับรู้เรื่องราวของผม...อยากให้มีใครสักคนได้รับรู้ว่าผมยังมีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้

ผมเล่าให้เขาฟัง ตั้งแต่เรื่องของพ่อแม่ เรื่องน้าชาย แล้วก็เรื่องของก้อง เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่นอนฟังเงียบๆอยู่ข้างกาย

“ผมรู้สึกว่า...เราเหมือนกัน ” ผมทิ้งตัวลงนอนข้างเขา เพิ่งรู้ว่าการมีคนฟังสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจ มันรู้สึกดีมากขนาดไหน ตอนนี้ในอกมันเบากว่าเดิมเยอะทีเดียว

“ไม่หรอก” เสียงเหนื่อยๆดังจากคนข้างตัว “เราต่างกัน เธอก็แค่เหงา ต้องการให้ใครมารักจนทำเรื่องบ้าๆประชดตัวเองเท่านั้นเอง”

“ผม...”

“ชู่ว์...” ผมที่ผงกหัวขึ้นกำลังจะเถียงก็ต้องชะงักกับท่าทางยกมือจุ๊ปากสั่งให้เงียบ

“…ลองฟังเรื่องของฉันดูบ้างไหม?”

“เรื่องของคนที่ได้รับความ รัก…จนรู้สึกเจ็บปวดที่ความรักนั้น มันกลับไปทำร้ายคนที่มอบมันให้แก่เรา” โดยไม่ฟังคำตอบ เขาก็เริ่มพูดต่อ ผมวางหัวลงบนหมอนเหมือนเดิม ฟังเสียงทุ้มที่เล่าเรื่องเรียบเรื่อยราวกับกำลังเล่านิทานก่อนนอน

“รู้จักโรคไตวายมั้ย?”

“เคยได้ยิน”

“ลองแตะตรงนี้ดูสิ” เขายกข้อมือซ้ายยื่นมาให้ผม เส้นเลือดใต้ผิวหนังปูดโปนจนเห็นเป็นสีเขียวจางๆ ผมวางนิ้วแต่อย่างกล้าๆกลัวๆ มันเต้นตุ้บตามจังหวะชีพจร แต่เสียงที่รู้สึกกลับเป็นเสียงฟู่เหมือนของเหลวไหลผ่านท่อเล็กๆแทน

“ตรงนี้น่ะ เอาไว้สำหรับฟอกเลือด” เขาพูดเบาๆ

“ฟอกเลือด?”

“ใช่ฟอกเลือด...คนที่เป็นโรค ไตวายน่ะนะ ไตจะสูญเสียหน้าที่ในการขจัดของเสียไปอย่างถาวร ต้องอาศัยการฟอกเลือดอาทิตย์ละครั้งเป็นอย่างต่ำในการจะมีชีวิตอยู่ต่อไป”

“แล้วยังไง?”

“รู้มั้ยล่ะ ว่าการล้างไตแต่ละครั้งใช้เงินเท่าไหร่?”

“คงมากอยู่” ผมตอบอย่างไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องหนักหนาอะไร...ก็แค่เงิน ผมจะขอจากน้าวีเท่าไหร่ก็ได้

“ใช่...มันมากจริงๆ มากเกินกว่าที่คนฐานะธรรมดาจะรับได้” เสียงของเขาเริ่มจริงจังขึ้นกว่าเดิม “มากจนแม่ที่ทำงานเป็นพนักงานบริษัทธรรมดาต้องยอมกู้เงินมาเพื่อใช้ในการนี้ จำนองที่ดินที่เคยมีรายได้จากการให้เช่าแลกกับเงินก้อนใหญ่...แต่มันก็ยัง ไม่พอ...เราสองแม่ลูกต้องย้ายออกจากบ้านที่พ่อกับแม่สู้เก็บเงินผ่อนมาเป็น สิบปีเพื่อสร้างครอบครัว ไปอยู่ในตึกแถวเช่าโทรมๆแทน...แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น...ท่านก็ไม่ปริปากบ่น เลยซักนิดเดียว”

“แล้วสวัสดิการรัฐล่ะ?” 

“มันไม่สวัสดิการไหน ที่จะเบิกค่าล้างไตได้หรอก” เขาตอบทันทีที่ผมถามจบ “จนถึงสุดท้ายแม่ทำงานหนักจนทรุดโทรม ความรู้สึกบาปมันก็ทำให้ฉันต้องหนีจากมา มาอยู่คนเดียวตรงนี้ ใช้เงินก้อนสุดท้ายที่ได้จากการขายมอเตอร์ไซค์ เช่าห้องอยู่คนเดียว ทำตามใจตัวเองในช่วงสุดท้ายของชีวิต”

“คุณกำลังจะตาย?”

“เมื่อไหร่ที่เงินหมดลง ฉันก็จะตายอย่างสงบอยู่ในห้องนี้ มันคงจะทำให้เจ้าของห้องลำบากอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้”

เราเงียบกันไปนาน

“เกลียดตัวเองมั้ย?”

“เคยเกลียด... แต่อย่างน้อยร่างกายนี้มันก็ยังทำในสิ่งที่ฉันต้องการได้” เขาลุกขึ้นนั่งมองหีบเพลงในมืออย่างอาวรณ์ “ฉันชอบหีบเพลงนะ มันวนกลับมาที่เดิมได้ไม่รู้จบ ถึงลานจะหมดจนหยุดลง เราก็ยังไขให้มันเดินใหม่ต่อไปได้...”

เขายิ้มเหงาๆ

“ฉันถึงบอก ว่าเราไม่เหมือนกัน เราเหงาเหมือนกันก็จริง แต่เธอยังมีโอกาสไขว่คว้าความรักมาได้ ต่างกับฉันที่ต้องหนีจากความรักมา...”

“…กลับบ้านไปซะเถอะ...กลับไป หาญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ กลับไปทวงความอบอุ่นที่ควรจะได้รับมา มันอาจจะดูยากในความคิดเรา...แต่ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถหรอก” เขาลุกขึ้นส่งกระเป๋าเป้ใส่มือผม จับมือฉุดให้ลุกขึ้นยืน

“ส่วนหีบเพลง...ไว้ฉันจะหาเพลงใหม่ให้ก็แล้วกัน”

ผมที่กำลังจะเปิดประตูเตรียมเดินออกจากห้อง หันหน้ากลับไปถาม “ผมชื่อวา...คุณล่ะ?”

“พีร์” เขาตอบกลับมาสั้นๆ ผมหันหลังกลับทางเดิม กำลังจะเดินออกไปก็ต้องชะงัก หยุดฟังเสียงที่ดังมาจากข้างใน

“ถ้ารักใครไม่เป็น...เริ่มจากหัดรักตัวเองก่อนก็ได้นะ วา”


+++++++++++++++++++++++++++

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
โว๊ย  วันนี้ลูกหมูดุจิงๆๆๆ

devil_duel

  • บุคคลทั่วไป
ฮื้มมม ชอบจังเลย :mc4:
เรื่องนี้ ได้รับแรงบันดาลใจจาก เพลงนี้เลยรึเปล่า
 เราชอบเพลงนี้มากๆๆๆๆอ่ะ ให้อารมณ์เหงา เศร้า ..เหมือนเรื่องนี้เลยอะ :a11:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






playCardPlaYBoy

  • บุคคลทั่วไป
http://www.mp3-center.org/download_mp3/Green%20Day/Boulevard%20Of%20Broken%20Dreams/7160225
เอาที่โหลเพลงมาให้ครับ เผื่อไครอยากได้คับ เพิ่งฟังเพลงนี้เหมือนกัน  o7 เศร้าอ่า ยิ่งอ่านไปถึงตอนสุดท้ายของเรื่องยิ่งเศร้า เมื่อฟังเพลง เดี๋ยวเอาไปให้เพื่อนทำดนตรีใหม่แบบอครูติกดีกว่า แล้วค่อยตัดเสียงคนร้องมาไส่  :laugh: :laugh: ต้องข่มคอเพื่อนเลิฟอีกตามเคยสิเรา :sad2:อยากได้แบบเศร้ากว่านี้อ่า อันนี้มันเจ็บอกไปหน่อย :laugh: :laugh:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-04-2008 22:45:58 โดย playCardPlaYBoy »

playCardPlaYBoy

  • บุคคลทั่วไป
Boulevard of Broken Dreams 4
........................................


ตั้งแต่วันนั้น ผมก็ไม่ไปโรงเรียนอีกเลย ผมใช้เวลาในช่วงกลางวันเตร็ดเตร่ไปเรื่อยไร้จุดหมาย ตกค่ำก็แวะไปหาพีร์ นอนฟังกีตาร์บนฟูกมุมห้องจนเริ่มดึก เขาก็สั่งให้กลับบ้านทุกทีไป

หีบเพลงใหม่ก็ยังไม่ถูกทำขึ้นซักที

บ้านหลังใหญ่สวยงามที่ผม ต้องกลับยังคงเงียบเหงาเหมือนเดิม ความอบอุ่นที่ผมควรจะได้รับก็ยังไม่เห็นว่ามันจะมีอยู่ตรงซอกไหนของบ้าน ผมยังคงกินข้าวเย็นคนเดียว นอนอยู่คนเดียวในห้องนอนเหมือนเดิม สิ่งที่ต่างจากเดิมก็คือ ยามใดที่ผมล้มตัวลงนอนหลับตาบนเตียง ภาพของผู้ชายใส่เสื้อยืดเก่าๆถือกีตาร์เล่นไปร้องไปจะเข้ามาแทนฉากดำมืดที่ เคยเห็น

ตอนนี้ผมเริ่มมีความสนใจในคน อื่นได้แล้ว...ความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับจากคนเป็นญาติ กลับได้จากคนที่เพิ่งเคยพบกันเพียงไม่กี่สัปดาห์ ความเข้าใจในตัวของผม ความเหงาที่จางหายไป ทั้งหมดนี้ผมได้รับมาเมื่อผมได้พบกับพีร์

พีร์เองก็ดูร่าเริงกว่าที่พบในวันแรก

ระหว่างที่พีร์นั่งดีดกีตาร์ ร้องเพลงอย่างเพลิดเพลิน ผมก็ลอบมองเขาเป็นระยะ มือใหญ่ กับรูปลักษณ์ของเพศชาย เสียงทุ้มห้าว เรียกร้องในสิ่งที่ผมเคยทำกับก้องให้หวนกลับมา

“พีร์” ผมเรียกชื่อเขาเมื่อเสียงเพลงเงียบลง

“บอกให้เรียกพี่พีร์ เจ้าเด็กแก่แดดนี่!” เขาเขกหัวผมทีหนึ่งก่อนว่าอย่างไม่จริงจังนัก

“กอดผมได้รึเปล่า?”

“…” เขาเงียบ

“ผมพูดจริงๆ...มีเซ็กซ์กับผมได้มั้ย?”

“ไม่ได้หรอก” เขาพูดเรียบๆ วางกีตาร์พิงผนังห้อง

“รังเกียจผมหรือไง?”

“วารู้สึกยังไงกับฉัน?” เขาถามกลับ

“…” คราวนี้ฝ่ายที่เงียบกลับเป็นผมซะเอง

“อยากมีอะไรกัน เพราะอะไร?”

ผมตอบคำถามนั้นไม่ได้...ผมไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร


++++++++++++++++++++++++++++


ผมกลับถึงห้องนอนที่ใหญ่โตแต่กลับหนาวเหน็บกว่าห้องของพีร์มากมาย

ทิ้งตัวนอนลงบนเตียง หลับตาได้สักพัก ใบหน้าของพีร์ก็ผ่านเข้ามาเหมือนดังเคย พีร์กำลังยิ้ม เป็นยิ้มเหงาๆแต่ดูอบอุ่นเหลือเกินในความคิดของผม มือใหญ่ที่คอยเกาสายกีตาร์ ตอนนี้กำลังลากไล้ลงบนแผ่นอกของผม ไล่ลงไปยังส่วนกลางกาย ความร้อนของฝ่ามือนั้นปลุกเร้าอารมณ์ใคร่ให้ลุกโชน ความปรารถนาที่ไม่ได้ปลดปล่อยมาร่วมสัปดาห์ถูกปลุกขึ้นให้ตื่นตัว มันไต่ระดับขึ้นสูงเรื่อยๆ พร้อมกับลมหายใจที่หอบหนัก จิตใจร้อนรนสั่งให้เร่งเดินทางให้ถึงยังจุดหมายที่ต้องการโดยเร็ว

ผมมองของเหลวสีขาวขุ่นเยิ้มชุ่มฝ่ามือ คำถามของพีร์ก็ดังขึ้นในใจ

‘วารู้สึกยังไงกับฉัน?’


+++++++++++++++++++++++


ประตูห้องที่มีพีร์คอยเปิดรับผมทุกวัน วันนี้มันปิดไฟเงียบไร้การตอบรับ
 
ผมไม่ยอมแพ้ ยังคงนั่งรอด้วยความคิดที่ว่า พีร์อาจจะไปขายของเพลินจนดึกก็ได้  แต่มันไม่ใช่…ผมรอ...รอพีร์ตั้งแต่บ่ายจนดึกก็ยังไม่เห็นวี่แวว

แปะ แปะ

เสียงน้ำฝนร่วงหล่นจากกันสาด กระทบกับหลังคาสังกะสีข้างล่างเป็นจังหวะ มองออกไปภายนอกที่มืดสนิทก็พบว่าฝนซาแล้ว อากาศยามดึกบวกกับฝนที่เพิ่งหยุดตกไปเย็นยะเยียบจนผมต้องยกมือขึ้นกอดตัวเอง

ทำไมผมต้องมานั่งรอพีร์อย่างนี้ด้วยนะ?

ผมรู้สึกยังไงกับพีร์กันแน่?

ที่แน่ๆ มันแตกต่างจากที่ผมรู้สึกกับก้อง ผมอยากให้ก้องกอดเพราะมันทำให้ผมรู้สึกว่า ยังไงก็ยังมีใครสักคนกอดผมอยู่

แต่กับพีร์ล่ะ?

นาฬิกาข้อมือบอกเวลาสามทุ่มครึ่ง เลยเวลาที่ผมกลับบ้านตามปกติแล้ว ผมควรจะเลิกคอย

...ผมควรจะกลับบ้านได้แล้ว...


+++++++++++++++++++


“ไปไหนมา กลับบ้านดึกดื่น?” น้าวีที่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจอย่างเคร่งเครียดในห้องอาหาร  ทักเสียงเรียบถามผมที่เดินย่องผ่านไป

“ไปติวกับเพื่อนครับ”

“เฮอะ! ติวกับเพื่อน” เขาแค่นเสียงเหยียดๆ กระแทกหนังสือพิมพ์บนโต๊ะอาหาร ก่อนจะก้าวเข้ามาจับต้นแขนผมบีบไว้แน่น

“น้าวี ผมเจ็บ”

“ดี ให้เจ็บซะบ้าง! มันจะได้จำ!”

“น้าวีพูดเรื่องอะไร?”

น้าวีหยิบกระดาษจดหมายยับยู่ ออกจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต ใช้มันตบหน้าผมจนแสบจี๊ด ผมเหลือบมองแผ่นกระดาษที่ปลิวหล่นลงบนพื้นหินอ่อนอย่างสงสัย ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาอ่าน

มันคือจดหมายรายงานผู้ปกครอง จากโรงเรียน เนื้อความในนั้นบอกว่าผมไม่ได้เข้าเรียนเป็นเวลาสิบวันติดต่อกันแล้ว ให้ผู้ปกครองติดต่อกลับพร้อมบอกเหตุผลให้ทางโรงเรียนทราบด้วย

“โรงเรียนยังไม่เข้า แล้วเสือกขยันไปติวอะไรกับเพื่อนซะดึกดื่น?” เสียงน้าวีดุกว่าทุกครั้งที่เคยได้ยิน ผมยังคงจ้องข้อความในกระดาษนั้น อ่านวนไปมา ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองน้าวี

“ทำตัวเป็นเด็กเลว โดดเรียนตั้งแต่ยังเล็ก เกรดก็ห่วยแตก คิดจะทำให้ฉันขายหน้ารึไงกัน!!?” น้าวีตะโกนประโยคสุดท้ายดังลั่นบ้านจนคนใช้แอบเข้ามาเมียงมอง “มองอะไรกัน มีงานอะไรก็ไปทำ!”

หลังจากหันไปว่าคนใช้จบ น้าวีก็กลับมาให้ความสนใจกับผมอีกรอบ

“ทำไมไม่ตอบ กล้าทำไม่กล้ารับหรือไง?”

“...ผมขอโทษ...” ผมยังคงก้มหน้า พูดเสียงเบาอย่างกลัวๆ พลันมือของน้าวีก็จับคางผมบังคับให้เงยหน้าขึ้น

“พูดกับผู้ใหญ่ ทำไมไม่มองหน้า ที่โรงเรียนมันห่วยขนาดไม่ได้สอนมารยาทพื้นฐานเลยใช่มั้ย!”

“ผม...ขอโทษ” ดวงตาของน้าวีดดุดันจนผมไม่กล้ามองสบ เขาปล่อยมือเดินหันหลังให้ผม

“ฉันอุตส่าห์ใจดี เอาแกที่เป็นลูกชายคนเดียวของพี่มารับเลี้ยง ค่ากินค่าเรียนก็เยอะแยะ หวังว่าแกจะเป็นเด็กดีตั้งใจเรียนเชิดหน้าชูตาฉันซักหน่อย แล้วนี่ยังไง! แกทำตัวเหลวแหลกห่วยแตกขนาดนี้ ไม่คิดจะไว้หน้าฉันเลยใช่มั้ย!! รู้มั้ย ว่าฉันรู้สึกยังไง เวลาเพื่อนร่วมงานเค้าคุยอวดเรื่องลูกเรื่องหลาน...แกมันไม่มีอะไรให้ฉันได้ ภูมิใจเลยสักอย่าง!!”

น้าวีพูด พูด แล้วก็พูด

พูดในสิ่งที่ตัวเองอยากให้เป็น พูดในเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเองทั้งนั้น

ทำไมไม่ถามผมหน่อยเล่า ว่ามีปัญหาอะไรที่โรงเรียน จะดุจะว่าผมหนักขนาดไหนก็ได้ อย่างน้อยก็ขอให้ดุด่าเพราะเป็นห่วงผม...แค่นี้ไม่ได้หรือ?

“พอกันที โรงเรียนรัฐบาลมันคงเข้มงวดกับแกไม่พอ ฉันจะส่งแกไปเรียนโรงเรียนประจำที่ต่างจังหวัด ไม่ต้องมาเสนอหน้าอยู่ให้อายใครอีก”

ความอบอุ่นจากญาติเพียงคนเดียวที่พีร์พูดถึง มันอยู่ตรงไหน?

“ไม่ต้องมาทำบีบน้ำตา ขึ้นห้องไปซะ แล้วห้ามออกจากบ้านนับจากนี้ไป จนกว่าฉันจะหาโรงเรียนใหม่ให้แกได้”

ใครบีบน้ำตา? ผมยกมือขึ้นแตะแก้ม ปลายนิ้วรับรู้ถึงสัมผัสเปียกร้อน

...ผมกำลังร้องไห้...


++++++++++++++++++++++++++++++++++


ผมยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงหลังใหญ่ ตามองเหม่อไร้จุดหมาย รอเวลาแค่ให้น้าวีออกจากบ้านไปทำงานเสียที

เมื่อเสียงเครื่องของรถยนต์ไกลออกไปจนไม่ได้ยิน ผมก็ดีดตัวขึ้นหยิบเป้ที่จัดไว้เมื่อคืนขึ้นสะพายบ่า เดินไปทางประตู

แกร๊ก

ลูกบิดหมุนได้ แต่ประตูกลับเปิดไม่ออก...ผมถูกขังอยู่ในห้องนอนอย่างแท้จริง น้าวีคงตั้งใจจะให้ผมอดอาหารเป็นการลงโทษด้วยแน่ๆ ผมเดินกลับไปนั่งบนเตียงอย่างเครียดๆ

ผมไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป...ที่นี่ไม่มีใครต้องการผม...

ใจของผมมันร่ำร้องบอกเจ้าของว่า...มันต้องการใครสักคน…

“ผมอยากเจอพีร์” ผมพูดออกมาแผ่วเบา ภาพห้องนอนที่เห็นมันโย้เย้ไปหมดเพราะหยดน้ำที่คลอเบ้าตา ผมตัดสินใจเด็ดขาด กระชากผ้าปูที่นอน ลงมือใช้คัตเตอร์กรีดเป็นริ้วยาว ต่อกันจนคิดว่าน่าจะลงไปยังพื้นดินได้ก็ผูกติดกับขอบหน้าต่าง ค่อยๆโรยตัวอย่างเก้ๆกังๆ

โชคดีเหลือเกินที่ห้องนอนของผมอยู่ด้านข้างของตัวบ้าน และตอนนี้ก็เป็นเวลาที่พวกคนใช้ไปรวมกันที่หลังบ้านเพื่อกินข้าวเช้า

เมื่อเท้าแตะพื้นได้ ผมก็วิ่งหนีออกจากบ้านสุดชีวิต เรียกรถมุ่งไปยังจุดหมายที่ใจเรียกร้องทันที


++++++++++++++++++++++++


มาถึงหน้าห้องก็ต้องแปลกใจ ที่พีร์อยู่ข้างในทั้งๆที่เป็นเวลากลางวัน หน้าตาของพีร์ดูดีขึ้นกว่าที่เห็นวันก่อนมาก แม้ท่าทางจะดูเพลียๆก็เถอะ

“ทำไมไม่ไปเรียนล่ะ แล้วกระเป๋านี่มันอะไร?” เขาถามขณะที่ผมวางกระเป๋าลงข้างประตูห้อง

“ขอผมอยู่ด้วยได้มั้ย?” ผมถามอย่างกล้าๆกลัวๆ...ถ้าพีร์ไม่ยอมขึ้นมาล่ะ ผมจะไปอยู่กับใคร

นิ้วใหญ่อบอุ่นยกขึ้นเช็ดคราบน้ำตาบนแก้มผมก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “มีเรื่องอะไรรึเปล่า?”

น้ำตาที่แห้งไปแล้วกลับเอ่อล้นขึ้นมาอีก ครั้งนี้ไม่เหมือนกับเมื่อวาน...มันเป็นน้ำตาที่กลั่นออกมาเพราะความดีใจ

...ดีใจที่อย่างน้อยผมก็ยังมีพีร์คอยรับฟัง…

“วา เป็นอะไรไป เจ็บตรงไหนรึเปล่า” พีร์ถามอย่างลนลาน เอื้อมมือจับตามตัวเพื่อหาบาดแผลตามเนื้อตัว
 
“ตอนนี้...ไม่เป็นไรแล้ว” ผมตอบไปหัวเราะไปทั้งน้ำตา สองแขนโอบกอดร่างกายผอมๆของเขาไว้แน่น ซุกหน้าลงกับเสื้อยืดเก่าๆแต่สะอาดหอมกรุ่น เช็ดน้ำตากับเสื้อจนเปียกชื้นเป็นวงกว้าง พีร์ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่จับหัวลูบหลังผมเบาๆจนสงบลงเท่านั้น

...

...

ผมยกขวดน้ำดื่มขึ้นดื่มแก้ กระหาย เล่าเรื่องให้พีร์ที่นั่งอยู่บนฟูกข้างตัวฟัง “ขอผมอยู่ด้วยได้มั้ย ผมยังไม่อยากเจอน้าวีตอนนี้ ผมเอาเงินมาด้วยนะ ไม่ทำให้พีร์เดือดร้อนหรอก”

พีร์นั่งคิดอยู่นาน “อยากอยู่ฉันก็ไม่ว่าอะไร...แต่ให้เวลาแค่สิบวันนะ แล้วก็สัญญามาก่อน ว่ากลับไปแล้วจะต้องเป็นเด็กดีตั้งใจเรียน ไม่ต้องทำเพื่อน้าวีก็ได้...ทำเพื่ออนาคตของเราเอง รักตัวเราเอง เท่านั้นก็พอ เรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดอย่าหันกลับไปทำอีก ลืมมันไปให้หมด แค่นี้ทำได้มั้ย?”

ผมกำลังจะรับปากก็เอะใจขึ้นมา “ทำไมต้องสิบวัน?”

“...เพราะหลังจากนั้น ฉันก็จะไม่อยู่แล้ว”

“จะย้ายบ้านเหรอ?” มีอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมไม่กล้าถามออกไป...อยากจะปิดหูปิดตาเรื่องอาการป่วยของพีร์ไปตลอดกาล

“เปล่า” พีร์ล้มตัวลงนอน มือหมุนแท่งแกนเหล็กหีบเพลงที่เพิ่งทำเสร็จเล่น “เงินเก็บสำหรับล้างไตหมดแล้วน่ะ เมื่อวานนี้เป็นครั้งสุดท้าย”

ผมลำคอตีบตันพูดอะไรไม่ออก เรานอนมองเหม่ออยู่ข้างกันเงียบๆไปนาน

“...อยู่ต่อไปไม่ได้เหรอ ผมพอมีเงินให้นะ”

“บอกแล้วไง ไม่อยากรับเงินจากเด็ก” พีร์ตอบกลั้วหัวเราะ น้ำเสียงสบายอกสบายใจเหมือนเป็นเรื่องล้อเล่น

“ทำไมยังใจเย็นอยู่อีกเล่า! ไม่กลัวตายหรือไง!” ผมลุกขึ้นนั่ง สองมือกดบ่าของเขาลงกับพื้นฟูก ถามอย่างเดือดดาล

“เรื่องที่อยากทำก็ทำหมดแล้ว จะกลัวตายไปทำไม” พีร์ยังคงตอบเรียบๆ ผมทนไม่ไหว น้ำตามันเอ่อขึ้นมาอีกแล้ว ผมเอนตัวลงทาบทับ ก้มหน้าลงซุกกับอกเขาอีกครั้ง

“แต่ผมไม่อยากให้พีร์ตาย...” ผมพูดไปสะอื้นไป ไม่สนใจว่าพีร์จะฟังรู้เรื่องหรือเปล่า มือใหญ่ยังคงลูบหัวผมอย่างแผ่วเบา

“เหงาหรือ?” ผมพยักหน้า

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวย้ายโรงเรียนใหม่ ลองหาเพื่อนดีๆซักคน ก็หายเหงาเองล่ะ”

“ผมไม่ต้องการเพื่อนใหม่... ผมต้องการพีร์ ผม...ฮึก...ผมรักพีร์” พีร์กอดผมที่ตัวสั่นสะท้านไว้แน่น โยกตัวเหมือนปลอบเด็กน้อย ตอนนี้ผมแน่ใจในความรู้สึกที่ผมมีต่อพีร์แล้ว ผมอยากมีความสุขร่วมกับพีร์ อยากอยู่กับพีร์ไปนานเท่านาน

“อย่ารักคนใกล้ตายเลย อย่าทำให้การจากไปของฉันทำให้มีคนต้องเสียใจไปมากกว่านี้”

“ขอให้ผมได้รัก...ผมอยากเป็นคนที่รู้จัก...ความรัก”

“ความรัก หาที่ไหนก็ได้” เขาตะกองแก้มผมขึ้นให้มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “นี่ไง แค่ยิ้มให้อย่างนี้ เดี๋ยวก็มีคนมารักเองล่ะนะ” นิ้วโป้งบรรจงปาดน้ำตาให้ “ลองยิ้มดูสิวา”

ผมฝืนยิ้มให้ตามที่เขาบอก ทั้งๆที่น้ำตายังคงไหลอาบแก้ม

“ไม่ไหวแฮะ เหมือนแยกเขี้ยวมากกว่า” เขาหัวเราะ สองมือยกขึ้นกันกำปั้นที่ผมทุบลงบนอกเบาๆ

...

...

“จริงสิ!” หลังจากที่ผมนอนเล่นดูพีร์ประกอบหีบเพลง ก็คิดขึ้นได้ “เปลี่ยนไตไง! เดี๋ยวนี้เค้าเปลี่ยนไตกันได้แล้วใช่มั้ย ผมยกไตให้พีร์ข้างนึง แล้วอยู่กับผมต่อไปได้มั้ย?”

พีร์ละมือจากหีบเพลง คลานเข้ามาโอบกอดผมไว้เบาๆ ส่งผ่านความอบอุ่นมายังร่างกาย

“วาเป็นคนใจดี ไม่ต้องห่วงเลยว่าจะไม่มีใครรัก ฉันรับรอง ว่าจะต้องมีคนที่รักวาสุดหัวใจแน่ๆ”

“อย่าเพิ่งนอกเรื่องซี่ ตอบมาก่อน นะ...เปลี่ยนไตแล้วอยู่กับผมต่อไปนะ?” ผมถามอย่างมีความหวัง

“เราเลือดกรุ๊ปอะไร?”

“…O” เขาหัวเราะเบาๆ

“ของฉัน AB”

“แล้วทำไม” ผมถามกลับอย่างไม่เข้าใจ

“จะเปลี่ยนไตได้ มันต้องมีอะไรหลายๆอย่างที่เข้ากัน ไม่ใช่แค่ตัดมาใส่จะใช้ได้นะ” เสียงเขาเศร้าลง “ขนาดแม่ที่เลือดกรุ๊ปเดียวกัน ยังให้ไม่ได้เลย”

ผมนั่งซึมเงียบไปด้วยความผิด หวัง รู้สึกว่าวันนี้บ่อน้ำตามันตื้นเหลือเกิน พีร์คงจะทนเห็นเด็กโข่งงอแงไม่ไหว เลยส่งกีตาร์โปร่งมาให้ผมรับไว้ “เดี๋ยวจะสอนให้นะ อยู่ในห้องจะได้ไม่เหงา”

เรานั่งจับคอร์ดตีสายกันจนมืดค่ำ นิ้วของผมเจ็บแสบไปหมด จึงค่อยทำอาหารกินและเข้านอนกัน

...คืนนี้ ผมฝันดีที่สุดเท่าที่เคยฝันมาเลยทีเดียว...


+++++++++++++++++++++++++


เวลาผ่านไปแปดวัน ทุกๆวันก็เหมือนเดิมๆ ตอนกลางวันพีร์จะออกไปข้างนอกเพื่อขายหีบเพลง ส่วนผมก็นั่งเล่นนอนเล่นอยู่ในห้องของเขา เมื่อตกดึกพีร์กลับบ้านมา เขาก็จะมีเรื่องสนุกๆเล่าให้ผมฟังเสมอ ทุกๆวันผ่านไปด้วยเสียงหัวเราะ เราคุยกันด้วยเรื่องต่างๆมากมายโดยพยายามเลี่ยงไม่พูดถึงโรคของพีร์อีกต่อไป

“กดเส้นนี้ กับเส้นนี้” พีร์พยายามสอนคอร์ดกีตาร์เพิ่มให้ผม แต่มันยากเกินกว่าที่นิ้วสั้นๆจะเอื้อมไปถึง เขาจึงเอื้อมแขนโอบข้ามเอวเพื่อวางนิ้วทับช่วยกดอีกแรง ลมหายใจร้อนๆตีต้นคอจนรู้สึกขนลุก สมาธิกระเจิงหมด ผมหันหน้าไปสบตาพีร์ ตอนนี้หน้าเราห่างกันแค่นิดเดียว ปลายจมูกของเขาไล้ลงบนแก้มผมแวบหนึ่งก่อนที่พีร์จะตั้งตัวได้ถอยห่างออกไป

“...ขอโทษที”

“...พีร์...” ผมวางกีตาร์พิงผนังห้องอย่างเบามือ ก่อนจะเอื้อมแขนโอบคอเขาไว้ เงยหน้าขึ้นแนบริมฝีปากกับปากของเขา มันเป็นจูบแบบเด็กๆที่แค่แตะแล้วก็ถอยห่าง แต่ให้ความรู้สึกดีกว่าที่เคยจูบกับก้องมากมาย

“วา...คิดดีแล้วเหรอ?...” พีร์กระซิบถาม

“ผมอยากมีความทรงจำร่วมกับพี ร์นะ ถึงพีร์จะไม่อยู่ใกล้ตัว ผมก็จะยังจำพีร์ได้ ยังนึกถึงวันที่เรามีความสุขได้…ผมจะมีพีร์อยู่ในใจตลอดไป...มันไม่ใช่แค่ ความเหงาหรอก ผมรู้ดี” …มันคือความรัก...เป็นคำต่อที่พูดเพียงในใจ

ผมสบตาพีร์อย่างอ้อนวอน เขาหลับตานิ่งคิด ก่อนจะเอ่ยปากเบาๆ “แต่ฉันไม่เคยกับผู้ชาย”

ผมยิ้มกว้าง “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า”

เราถอดเสื้อให้กันและกัน อย่างอ้อยอิ่ง จูบปากกันเมื่อมีโอกาส หัวเราะให้กันยามตาสบตา ผมเป็นฝ่ายนำทาง เขาเป็นฝ่ายตาม มันเป็นการทำรักที่เก้ๆกังๆแต่หอมหวานกว่าที่ผมเคยเจอมาทั้งหมด ผมพร่ำบอกคำรักข้างหูยามที่พีร์ดันกายเข้ามาในตัว เราช่วยกันขยับโยก ฉุดกระชากโลดแล่นหลีกหนีโลกแห่งความเป็นจริง ปีนป่ายขึ้นยังสวรรค์ชั้นสูงสุด

เขาถอนแก่นกายที่อ่อนนุ่มออก ล้มตัวลงนอนเคียงข้าง ผมขยับตัวให้ร่างกายเราสัมผัสถึงไออุ่นของกันและกันได้มากที่สุด วางหัวลงบนต้นแขนของเขา ก่อนจะกระซิบเบาๆ “ผมรักพีร์นะ”

แล้วพวกเราก็หลับไปทั้งๆร่างกายที่ชื้นเหงื่อ

...

...

ผมลืมตาขึ้นอีกครั้ง กะเวลาว่าน่าจะยังมืดอยู่ ด้วยเสียงถนนภายนอกยังไร้วี่แววของรถรา ในห้องมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากโคมไฟดวงเล็กที่มุมห้องเท่านั้น พีร์กำลังนั่งทำอะไรบางอย่างอยู่

“พีร์”

“ไฟแยงตารึเปล่า ขอโทษทีนะ” เขาพยายามใช้ตัวเองบังแสงไฟไว้ แต่กลับกลายเป็นการบดบังไม่ให้ผมเห็นสิ่งที่เขากำลังทำ

“ทำอะไรอยู่ ทำไมไม่นอน” ผมคลานเข่าไปตรงมุมห้อง กอดเขาจากด้านหลัง วางคางลงบนลาดบ่าเพื่อมองสิ่งที่พีร์ถืออยู่ในมือ

“หีบเพลงน่ะ”

“ทำไมไม่ทำตอนเช้า?”

“ไม่รู้สิ แค่รู้สึกว่าต้องทำตอนนี้” เขาหันมาจูบปากผมก่อนจะกลับไปสนใจเจ้าแท่งเหล็กชิ้นน้อยตามเดิม

“ทำเพลงอะไรเหรอ?”

“ไม่บอก...ไปนอนซะ เจ้าหนู”

“อย่าเรียกผมว่าเจ้าหนูเซ่ ผมโตแล้วนะ ผมรู้จักความรักแล้ว!” ใช่ ผมรักคนอื่นเป็นแล้ว แม้จะยังรักตัวเองไม่เป็นก็เถอะ ผมจับคางพีร์ให้หันมารับจูบอีกที “คนนี้ไง คนรักของผม”

“เด็กแก่แดด” พีร์หันมายิ้มตาหยีระยับ กอดเอวผมลากไปยังฟูกอีกมุมของห้อง ก่อนจะลงมือให้ความรักแก่ผมอีกครั้งหนึ่ง

...

...

เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกที ก็เป็นเวลาสายแล้ว พีร์ออกจากห้องไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมสำรวจตัวเองก็พบว่าร่างกายถูกทำความสะอาดเรียบร้อย ช่วงตัวถูกคลุมด้วยเสื้อยืดหอมสะอาดของพีร์ ผมล้มตัวลงนอนหนุนหมอน ยกเสื้อแนบจมูกสูดดมกลิ่นอย่างมีความสุข มองห้องไปมาได้ซักพัก สายตาก็สะดุดอยู่กับแท่งเหล็กชิ้นน้อยที่มีรอยปุ่มนูนใหม่เอี่ยม ...คงจะเป็นแกนเหล็กที่พีร์นั่งทำเมื่อคืน

เขาทำให้ผมรึเปล่า?

เป็นเพลงอะไรนะ?

ผมคลานไปยังจุดหมาย ยกแท่งเหล็กขึ้นมองด้วยความสงสัย ปุ่มนูนนี่มันไม่ได้ช่วยบอกโน้ตเพลงได้เลยซักนิด ด้วยความอยากรู้ ผมคว้ากล่องพลาสติก แผ่นเหล็กที่ตัดไล่ระดับไว้แล้ว แล้วก็ลานสำหรับไขเพื่อประกอบมันอย่างที่เคยเห็นพีร์ทำ

นั่งประกอบไปได้ไม่ถึงครึ่ง ผมก็รื้อมันทิ้ง วางอุปกรณ์เก็บเข้าที่ดังเดิม

...รอให้พีร์ประกอบให้ผมเองดีกว่า...


++++++++++++++++++++++
ไม่อยากั๊กอีกแล้ว กลัวเน็ตเน่าอีก หงุดหงิด ไม่มีคนอ่านกะช่างมาน แต่ผมทำมายถึงน้ำตาซึมกะมันได้นี้อ่ะ o7 o7

playCardPlaYBoy

  • บุคคลทั่วไป
Boulevard of Broken Dreams 5 [end]
..................................................
แกร๊ก

เสียงประตูเปิดขึ้นเรียกความ สนใจผมจากการจับคอร์ดกีตาร์ให้ต้องเงยหน้าขึ้นมอง...แปลก พีร์กลับมาเร็วกว่าปกติ นี่มันเพิ่งบ่ายแก่ๆเท่านั้นเอง

สภาพของเขาดูไม่ดีเลย หน้าซีดเหงื่อแตกทั่วตัว เดินสะโหลสะเหลเข้าห้องอย่างอ่อนแรง ผมรีบวางกีตาร์ลุกไปยังประตูห้องเพื่อรับตัวเขาที่ล้มลงมาพอดี ค่อยๆลากร่างกายที่ไม่ใหญ่นักของเขานั่งพิงผนังห้อง ก่อนจะปูฟูกให้พีร์นอนลงสบายๆ

“พีร์เป็นอะไรรึเปล่า?” ตัวพีร์เย็นเฉียบทั้งๆที่หน้าผากมีเหงื่อผุดพราย ใบหน้าซีดเผือดค่อยๆหันมาทางผมอย่างอ่อนแรง

“รู้สึกไม่ดีเลย วา”

“ไปโรงพยาบาลกันเถอะนะ เดี๋ยวผมเรียกแท็กซี่ให้” ผมกำลังจะลุกออกจากห้อง พีร์ก็ดึงมือผมไว้ก่อน

“อย่าเลย ไปก็ทำอะไรไม่ได้ มีแต่จะยื้อให้ยุ่งขึ้นก็เท่านั้น”

“มันจะยุ่งยังไงผมไม่สนใจ! ผมติดต่อน้าวีได้ น้าวีมีเงินตั้งเยอะแยะ เขาต้องช่วยพีร์ได้แน่นอน” ตอนนี้น้าวีที่ไม่เคยอยู่ในความคิดผมกลับผุดขึ้นมา หวังเหลือเกินว่าเขาจะใจดีพอที่จะช่วยเหลือคนรักของผม

“…ไม่ต้องหรอก ช่วยได้คราวนี้ เดี๋ยวก็ต้องช่วยตลอดไป ใครจะมีเงินมากมายให้ใครก็ไม่รู้เอาไปใช้กันล่ะ”

“แต่ถ้าพีร์ไม่ไป พีร์จะ...” ก้อนสะอื้นจุกคอจนพูดไม่ออก น้ำตารื้นขอบตารวมเป็นเม็ดใหญ่หยดลงบนมือที่วางบนหน้าอกพีร์

“อย่าร้องไห้ อย่าทำให้ฉันรู้สึกผิดอย่างนี้เลย” พีร์พูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน น้ำตาไหลจากหางตาของชายหนุ่มที่คอยช่วยค้ำจุนจิตใจของผม ...ผมเป็นคนทำให้พีร์ต้องร้องไห้…

“ผม...ผมขอโทษ” ผมพยายามยกต้นแขนปาดเช็ดน้ำตาออกจนแห้ง “ผมจะไม่ร้องไห้ ผมจะไม่ทำให้พีร์เสียใจ...”

เขายิ้ม “เด็กดี...ยิ้มให้ดูหน่อยได้มั้ย” เรามองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม เป็นยิ้มที่ทรมานที่สุดในชีวิต ไม่มีวันไหนที่ผมต้องยิ้มทั้งๆที่กลั้นน้ำตาไว้ข้างในเหมือนวันนี้เลย มือใหญ่ของพีร์ที่กุมมือผมวางบนอกบีบเบาๆ

“ขอฉันหลับหน่อยนะ รู้สึกเพลียเหลือเกิน” เขาหลับตาลงเงียบไป หน้าอกใต้ฝ่ามือเคลื่อนไหวขึ้นลงหนักๆ...พีร์คงจะเหนื่อยมาก...  ผมค่อยๆแกะฝ่ามือของพีร์ออก จัดท่าให้นอนได้สบาย ก่อนจะลุกไปในห้องน้ำคว้ากะละมังรองน้ำกับผ้าขนหนูกลับมาเช็ดตัวที่ชื้น เหงื่อให้

...

...


พีร์หลับไปนานจนถึงเวลาเย็น ผมค่อยๆปลุกเขาขึ้นมา “พีร์ กินข้าวหน่อยนะ”

พีร์นั่งพิงหมอนอย่างหมดแรง อ้าปากรับข้าวที่ผมป้อนให้เคี้ยวช้าๆ “อร่อยกว่าวันแรกที่ทำเยอะเลย” เขาชมพร้อมรอยยิ้ม

“ก็ได้ครูดีนี่นา” ภาพที่พีร์สอนผมทำอาหารเมื่อแปดวันที่แล้วผ่านเข้ามาในหัว ตอนนั้นแม้กระทั่งหั่นผักยังทำไม่เป็นด้วยซ้ำ พีร์ค่อยๆจับมือผมให้ใช้มีดอย่างใจเย็น อาหารเย็นในวันนั้นแทบจะเรียกไม่ได้ว่าอาหาร มันทั้งใหม้ทั้งเละ แต่พีร์ก็กินจนหมด …พวกเราช่วยกันกินจนหมด...

ผมส่ายหน้าแรงๆกลั้นน้ำตาที่ตั้งท่าจะไหลอีกครั้ง ...ผมจะไม่ร้องไห้...ผมจะต้องไม่ทำให้พีร์เสียใจ

“...พอแล้วเหรอ?” พีร์กินข้าวได้ไม่ถึงครึ่งก็ไม่ยอมกินต่อ ผมยกแก้วน้ำจ่อปากให้เขาดื่ม

“อืม อิ่มแล้ว” เขาพูดเนือยๆ ดวงตาแทบปิด ผมกำลังจะเอื้อมมือจัดหมอนให้ลงนอน เขาก็ห้ามไว้ซะก่อน

“ยังไม่อยากนอนเลย”

“จะฟังผมเล่นกีตาร์มั้ยล่ะ ตอนนี้เล่นได้เป็นเพลงแล้วนะ” เพลงง่ายๆที่พีร์สอน ผมหัดเล่นซะจนคล่องระหว่างที่เขาออกไปข้างนอกตอนกลางวัน

“เอาสิ ว่าแต่...ช่วยหยิบแท่งเหล็กที่ทำเมื่อคืนให้หน่อยได้มั้ย กับพวกกล่องด้วย อยากจะประกอบให้เสร็จน่ะ” ผมทำตามที่เขาขอก่อนจะกลับมานั่งข้างๆ คว้ากีตาร์ไว้ในอ้อมแขน ไล่กรีดสายลวดเล่นเบาๆ

“หีบเพลงอันนี้...ทำให้ผมรึเปล่า?”

“อืม...ว่าจะทำให้เสร็จก่อนพรุ่งนี้น่ะ” พรุ่งนี้เป็นวันที่สิบ วันที่ผมสัญญากับพีร์ว่าจะกลับบ้าน

“เพลงอะไรเหรอ? ใช่เพลงที่เล่นให้ฟังวันแรกรึเปล่า”

“ยังไม่บอกหรอก ไว้เปิดตอนที่จะไม่ได้พบกันแล้วเถอะนะ” พีร์พูดยิ้มๆ ตามองหีบเพลงที่เริ่มประกอบเป็นรูปร่าง

“…ผมยังไม่ไปได้มั้ย ผมขออยู่ต่อไปเรื่อยๆจน...” ยังพูดไม่ทันจบพีร์ก็แทรกขึ้นมาก่อน

“จะอยู่รอดูไปทำไม มันไม่ใช่ภาพที่น่ามองนักหรอกนะ ไปจากที่นี่ซะเถอะ”

“แต่ว่า...” ไม่ได้...ร้องไห้ไม่ได้!

พีร์ถอนหายใจ วางหีบเพลงที่ประกอบเสร็จแล้วไว้ใต้หมอน “อย่าดื้ออีกเลยวา เพื่อตัวเราเองนะ เชื่อที่ฉันพูดเถอะ...ขอนอนต่อหน่อยนะ รู้สึกเหนื่อยอีกแล้ว” ผมจัดหมอนให้เขาล้มลงนอนหลับไป


+++++++++++++++++++++++++++++++++


แสงอรุณยามเช้าของวันที่สิบสาดส่องลอดรูไม้ผุๆของหน้าต่างเข้ามาแล้ว พีร์ยังคงนอนหายใจรวยรินอยู่บนฟูกดังเดิม

“หนาว” เขาสั่นเพ้อ ขณะที่ผมเช็ดตัวให้

“พีร์ เช้าแล้วนะ” ผมกระซิบกับเขาเบาๆ

พีร์ลืมตาขึ้นมาอย่างอ้อยอิ่ง “วา...เหรอ”

ผมยิ้มรับอรุณยามสายตาเลื่อนลอยของเขาหยุดลงที่หน้าของผม “ใช่...วา คนรักของพีร์ไง”

“เมื่อคืนฉันฝันเยอะแยะไปหมด ฝันถึงพ่อที่ตายไป ฝันถึงแม่ ถึงเพื่อนเก่าๆ ...ฝันถึงวาด้วย…” เขายกฝ่ามือเย็นๆขึ้นแตะแก้มของผม ผมก็ยกมือขึ้นกุมมือเขา เราต่างมอบรอยยิ้มให้แก่กันและกัน

“ฉันเคยบอกว่าไม่กลัวตาย...” พีร์พูดเพ้อๆ  “ไม่ได้โกหกหรอก รู้รึเปล่า คนที่เป็นโรคเรื้อรังอย่างนี้น่ะไม่กลัวตายหรอก แต่สิ่งที่กลัวน่ะ...ความทรมานก่อนตายต่างหาก” เมี่อเขาพูดจบก็หลับตาลงทำท่าจะหลับต่อเหมือนเดิม

“พีร์ อย่าเพิ่งนอนซี่ ตื่นมาคุยกับผมก่อนได้มั้ย! ผมกำลังจะไปแล้วนะ พีร์!” ผมเขย่าตัวพีร์ที่ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลย จนถอดใจได้แต่นั่งกอดเข่าเกยคางอยู่ข้างๆฟูกนอน จับมือของพีร์บีบกระชับรับรู้ถึงชีพจรที่เต้นผ่านเส้นเลือดปูดโปนที่ข้อมือ

“พีร์รู้รึเปล่า ตั้งแต่เกิดมาน่ะ พีร์เป็นคนแรกที่สอนให้ผมรู้จักอะไรดีๆหลายๆอย่างนะ พีร์ช่วยผมออกจากมุมที่ว่างเปล่า ฉุดผมขึ้นมาจากความหนาวเย็น...” ไม่มีเสียงตอบจากพีร์ “…ผมยิ้มจากใจจริงเป็นแล้วนะพีร์ ผมรักคนอื่นเป็นแล้วด้วย...” น้ำตาที่ฝืนกลั้นมาทั้งคืนรินไหลไม่ขาดสาย...ตอนนี้คงไม่เป็นอะไร พีร์มองไม่เห็นนี่นา “…ผมรักพีร์นะ รักกว่าตัวเองซะอีก น่าแปลกนะ ทั้งๆที่เราเพิ่งรู้จักกันไม่ถึงเดือนเลย...”

“อือ…” ร่างที่นอนอยู่บนฟูกหนาวสั่นมาจนถึงปลายนิ้ว “หนาว...”

ผ้าห่มในห้องก็ถูกนำมาใช้แล้ว แม้กระทั่งผ้าขนหนูก็ห่มอยู่บนตัวพีร์  แต่ก็ยังไม่สามารถคลายอาการหนาวลงได้

ผมปลดเปลื้องชุดที่ปกคลุม กายออก ก่อนจะมุดผ้าห่มแนบผิวเนื้อกับร่างกายที่หนาวสั่น หวังเพียงความร้อนจากร่างของผมจะช่วยคลายหนาวให้พีร์ได้บ้างสักนิด...เพียง เท่านี้ที่ผมทำได้

...

...

ผมหลับไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ จากอากาศที่อุ่นร้อนทำให้พอจะเดาได้ว่าเป็นเวลาบ่ายแก่ๆแล้ว พีร็ยังคงนอนหลับอยู่ในอ้อมกอดของผม เขาหน้าซีดลงกว่าเดิม ตัวเย็นลงยิ่งกว่าเดิม

“พีร์...ผมขอโทษ” ตอนนี้ผมเกลียดตัวเองกว่าทุกครั้งที่เคยเกลียด เกลียดตัวเองที่ยังไม่โตพอจะมีอำนาจ มีรายได้เพื่อช่วยเหลือคนที่ผมรัก เกลียดความอ่อนเยาว์ต่อโลกใบนี้ที่มันไม่ช่วยแก้ปัญหาให้พีร์ได้เลย... เกลียดที่ช่วยชีวิตพีร์ไม่ได้...





...ไม่สิ...มีอย่างหนึ่งที่ผมสามารถทำได้...

...สิ่งเดียวที่เด็กอย่างผมทำได้...


+++++++++++++++++++++++++


‘คนที่เป็นโรคเรื้อรังอย่างนี้น่ะไม่กลัวตายหรอก แต่สิ่งที่กลัวน่ะ...ความทรมานก่อนตายไง’

คำเพ้อเมื่อตอนเช้าดังขึ้นในใจ มันสั่งให้ผมหาทางช่วยเหลือพีร์...สิ่งเดียวที่ผมทำได้ในตอนนี้...คือทำให้พีร์ตายโดยไม่ทรมาน

ผมมองมีดปลายแหลมราคาถูกในมือสะท้อนล้อแสงไฟ ในใจคิดอย่างว้าวุ่น...ผมคิดถูกใช่มั้ย...ผมกำลังจะช่วยพีร์

ผมค่อยๆกดคมมีดลงยังผิวหนัง มันสั่นระริกตามมือของผม แรงที่ไม่มากพอจากการลังเลไม่สามารถกดคมให้ทะลุผิวหนังลงไปข้างใต้ได้เลย

“...วา...” เสียงอ่อนระโหยของพีร์ดังขึ้นเรียกให้ผมสะดุ้งสุดตัวดึงมีดออกห่าง

“พีร์...ผมจะช่วยพีร์นะ” ผมพูดทั้งๆที่เสียงสั่นไหว

“อย่าทำอย่างนี้ อย่าให้มันเป็นความผิดติดตัวเราไปเลย...อย่าทำร้ายตัวเองนะ วา” ดูเถอะ...แม้ในเวลานี้ พีร์ก็ยังเป็นห่วงผม “วันที่สิบแล้ว...กลับบ้านไปซะเถอะ กลับไปเริ่มชีวิตใหม่ ปล่อยให้ฉันไปอย่างสงบคนเดี....” พีร์ยังพูดไม่ทันจบ ตัวก็กระตุกอย่างรุนแรง

“พีร์!!” ผมกดตัวเขาไว้จนเลิกชัก เหงื่อกาฬไหลท่วมตัว หอบหนักมากกว่าที่เคย

ผมมัวทำบ้าอะไรอยู่...ผมกำลังปล่อยให้พีร์ทรมาน

ด้วยแรงฮึด มือที่กำมีดไว้หลวมๆกระชับด้ามไว้แน่นจนกดผิวเนื้อ ออกแรงเงื้อขึ้นสูงก่อนจะจ้วงลงยังหน้าท้อง ของเหลวสีแดงอุ่นร้อนไหลทะลักออกมาทางบาดแผล กระเซ็นเลอะเต็มช่วงตัว หากแต่ผมไม่สนใจอะไรอีกต่อไป

...ผมทำถูกใช่มั้ย...

 ผมปล่อยมือออกจากด้ามมีด ลงนั่งกอดเข่าอยู่ข้างฟูก กำมือของพีร์ไว้แน่น ชีพจรจากเส้นเลือดที่ข้อมือเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ ประสานกับหัวใจของผมเอง

“...วา...รีบหนีไปเถอะ...” พีร์กระซิบอ่อนแรง เขาหลับตาลง แรงที่บีบมือผมตอบอยู่ค่อยๆอ่อนแรงไป ริมฝีปากแห้งผากขยับขึ้นลงเบาๆ ออกเสียงได้เพียงกระซิบ

...แม่...เป็นคำสุดท้ายที่พีร์พูดออกมา...คนที่พีร์รักสุดหัวใจ...คนที่พีร์ต้องหนีจากมาด้วยกลัวว่าตัวเองจะทำให้ต้องทุกข์ยากลำบากกาย

ผมนั่งอยู่นานเท่าไหร่แล้วนะ จากชีพจรที่เต้นแรงเร็ว กลับเริ่มอ่อนระโหย และหยุดเต้นไปในที่สุด





...พีร์จากไปแล้ว...

ผมลากร่างหนักอึ้งของตัวเอง ไปใกล้ มือจับด้ามมีดไว้แน่นก่อนจะดึงออกจากร่างกายของพีร์ จัดท่าให้นอนหงาย สองมือประสานไว้ที่อก กำลังจะเลิกผ้าห่มขึ้นห่มให้ มือก็ชะงักเมื่อสายตากวาดไปเห็นหมอนที่พีร์หนุนอยู่ ผมค่อยๆสอดมือลงไปใต้หมอน ควานหาสัมผัสของกล่องพลาสติกที่เขาซุกมันไว้ข้างใต้

หีบเพลงของผม...สิ่งที่พีร์ฝากไว้ ให้ผมได้ฟังหลังจากที่จะไม่ได้พบกันอีกต่อไป

ผมกลับไปนั่งคุกเข่าพิงผนัง มุมห้อง มือไขลานเหล็กเล็กๆจนสุดเกลียว วางมันลงบนพื้นปูน หีบเพลงส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งตามจังหวะที่แท่งเหล็กถูกตุ่มแกนดีด

แม้มีเพียงทำนอง แต่ผมก็จำเนื้อร้องเพลงนี้ได้ดี


...ยังมีอีกหลายสิ่ง ที่ฉันยังไม่เคยพูดสักที
และมีอีกหลายอย่าง ที่ไม่เคยทำจนวันนี้...


น้ำตาที่พยายามกลั้นมานาน ตอนนี้ไหลรินแบบไม่คิดว่าจะหยุดลงได้อีก


...รัก...รักเธอทั้งหมดของหัวใจ
สิ่งเหล่านั้นเก็บไว้ข้างใน
เธอได้ยินไหม คนดี...


ผมนั่งฟังมันไปเรื่อยๆ เมื่อจบลงก็หมุนเกลียวซ้ำ นึกถึงคำพูดที่พีร์เคยพูดเอาไว้

...ฉันชอบหีบเพลงนะ มันวนกลับมาที่เดิมได้ไม่รู้จบ ถึงลานจะหมดจนหยุดลง เราก็ยังไขให้มันเดินใหม่ต่อไปได้...

ถ้าชีวิตของพีร์เป็นอย่างหีบเพลงก็คงจะดี ผมจะได้อยู่กับพีร์ตลอดไป


+++++++++++++++++++++


เวลาผ่านไปนาน ผมนั่งมองเลือดจากร่างกายของพีร์ไหลเซาะตามพื้นปูนรวมกันเป็นแอ่ง ...ของเหลวที่เคยไหลวนในร่างกายของพีร์...ชีวิตของพีร์...

หีบเพลงหยุดลงแล้ว แต่ตอนนี้ผมไม่มีใจจะไขลานอีกต่อไป

ในเมื่อชีวิตคนไม่ใช่หีบเพลง ชีวิตพีร์ไม่ใช่หีบเพลง และชีวิตของผมก็ไม่ใช่หีบเพลง...มันย้อนกลับมาวนที่จุดเริ่มต้นไม่ได้หรอก

ผมควรจะออกไปจากห้องนี้เพื่อรับความผิดที่ก่อไว้สักที

ผมหันกลับไปมองหน้าที่หลับ อย่างสงบของพีร์ ยิ้มอำลาเป็นครั้งสุดท้าย “ผมขอโทษนะพีร์ ผมคงจะผิดสัญญา...ผมมีชีวิตใหม่ที่ดีไม่ได้หรอก...เพราะชีวิตที่เหลือของผม ...มันจบไปพร้อมกับพีร์แล้ว...”

สิ้นสุดคำพูด ประตูห้องก็ถูกกระแทกเปิดออก พร้อมกับเสียงรองเท้าหลายคู่ย่ำพื้นตรงมาทางผม

“เจอตัวเด็กชายวรวีกับคนร้าย ลักพาตัวแล้วครับ” ใครลักพาตัวใคร? ผมรู้สึกไม่พอใจเลย พวกเขาทำเสียงโหวกเหวกโวยวายรบกวนการนอนหลับของพีร์

“วา!” เสียงของน้าวีร้อนรนแบบที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน

เมื่อชายในเครื่องแบบตำรวจหลายคนกับร่างคุ้นตาของน้าวีเข้ามาเห็นสถานการณ์ในห้องอย่างชัดเจน ทุกคนต่างก็เงียบเสียงลง

“เป็นอะไรรึเปล่า” ตำรวจคนหนึ่งเดินเข้ามาทางผม

หน้าตาของเขาบิดเบี้ยวน่า หวาดกลัว คนอื่นๆที่ผมหันไปเจอก็เป็นแบบเดียวกัน ผมกรีดร้องโวยวาย อสูรร้ายพยายามจะเข้ามาจับตัวผม มีดที่กำแน่นอยู่ในมือถูกยกขึ้นตวัดไปมา กันไม่ให้ใครเข้าใกล้ กระเถิบตัวเข้าไปยังร่างของพีร์ ชี้มีดมั่วซั่วไร้ทิศทาง

…อย่าเข้ามานะ อย่าทำร้ายพีร์ อย่าเอาพีร์ไปจากผม...

ทั้งห้องเงียบกริบ ก่อนที่น้าวีจะพูดด้วยเสียงอ่อนๆ “วา…กลับบ้านเถอะนะ น้าวีเป็นห่วง”

น้าวีเป็นห่วงผม? น้าวีที่ไม่เคยแลสายตามายังตัวผมตอนนี้กำลังบอกว่าเป็นห่วงผม ...ความรักที่ผมควรจะได้รับอย่างที่พีร์เคยบอกมันมีจริงๆสินะ? ผมมองน้าวีที่สบสายตาเป็นห่วง เขาพยักหน้าให้ผมน้อยๆราวกับจะบอกว่า ผมยังมีเขาอยู่ ...มีดปลายแหลมหล่นลงจากมือ  ก่อนที่นาวีจะถือผ้าผืนใหญ่เข้าปกคลุมร่างกาย

เมื่อความอบอุ่นเข้ารองรับ ความตื่นตัวก็เบาบาง โลกทั้งใบวูบไหวน่าเวียนหัว ลานสายตาดำมืดบดบังการมองเห็น ประสาทรับรู้เพียงผมกำลังล้มลงสู่อ้อมกอดของญาติเพียงคนเดียวที่ผมมี


++++++++++++++++++++++++++++++++++++


เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ตัวผมก็นอนอยู่บนที่นอนอุ่นนุ่มแล้ว กวาดสายตามองเพดานกับสภาพห้องที่ไม่คุ้นเคยก่อนจนสังเกตเห็นขวดน้ำเกลือหยด ติ๋งๆเป็นจังหวะ

...โรงพยาบาล…

ทั้งๆที่มีคนควรจะได้เข้ามารักษามากกว่าผม แต่...

ผมยกแขนขึ้นปิดหน้า รับรู้ถึงความเปียกชื้นที่ไหลจากหางตาหล่นกลิ้งซึมลงยังปลอกหมอนขาวสะอาด

เสียงแว่วๆของน้าวีดังขึ้นมาจากระเบียงของห้อง เขาคงยังไม่รู้กระมัง ว่าคนที่นอนอยู่ข้างในตื่นแล้ว

“ฝากนายด้วยก็แล้วกัน อืม...ใช่ ให้เป็นความผิดของไอ้คนนั้น หลานฉันถูกลักพาตัว ต่อสู้ป้องกันตัวจนพลั้งมือฆ่าคนตาย เออ อย่างนั้นล่ะ แล้วก็ติดต่อพวกนักข่าวด้วย อย่าให้ออกข่าวเรื่องนี้เชียว เออดี แค่นี้นะ”

คู่สายคงจะวางไปแล้ว น้าวียังคงสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียง ก่อนจะสบถออกมาเสียงดัง

“ปัญหาฉิบหาย! ใจแตกหนีออกจากบ้านไปแล้วยังมีคดีฆ่าคนตายอีก ไม่น่าเก็บมาเลี้ยงเลยพับผ่า! นี่ถ้าไอ้พวกนักข่าวมันออกข่าวไป คะแนนเสียงตกยับ!”

ผมหลับตาลง ซุกหัวลงใต้ผ้าห่ม ปิดกั้นตัวเองออกจากโลกภายนอก กระชับหีบเพลงในอุ้งมือแน่น

...สิ่งเดียวที่ยังคงเดินอยู่...คู่กับชีวิตของผมที่ยังคงต้องก้าวต่อไปอย่างโดดเดี่ยว...

...

...

...อยากขอ  ให้ความรู้สึกที่ฉันมี ส่งไปถึงเธอที่แสนดี

ว่าชีวิตนี้ฉันมีแต่เธอดังความฝัน







...แล้วสักวันจะไปหา…

 


++++++++++++++++++++++++++++++++++
END
 o7 o7 :sad2:

playCardPlaYBoy

  • บุคคลทั่วไป
ตอนสุดท้าย บทสรุปของวาครับ หมดจิงๆนะเออ ไม่ได้โม้  :o เฮ้ย ไม่ได้กั๊กนะ
Wish You a Greatest Dream
***************************************
“คุณหมอคะ คนไข้ห้อง 1220 ขอคุยด้วยค่ะ”

เสียงจากนางพยาบาลเวรกะดึก เรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นจากการสรุปแฟ้มประวัติคนไข้หลังจำหน่าย ยกแก้วกาแฟเย็นชืดขึ้นดื่มก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องพักแพทย์เวร นาฬิกาข้อมือชี้บอกเวลาตีสองของวันใหม่...เป็นเวลาที่คนไข้ในหอผู้ป่วยควรจะ จมอยู่ในความฝันกันหมด แต่คนไข้คนนี้ที่เข้ามานอนรักษาตัวในโรงพยาบาลตั้งแต่ 15 วันที่แล้วนั้น แตกต่างจากคนอื่นโดนสิ้นเชิง

ผมเดินไปยังส่วนของห้องพิเศษเดี่ยว ลึกเข้าไปจนสุดทางเดิน เคาะประตูห้องสุดท้ายที่ติดเลขห้อง 1220 เบาๆก่อนบิดลูกบิดเปิดประตู

“เป็นยังไงบ้าง วรวี”

“…” เงียบ...ไร้การตอบสนองจากเด็กหนุ่มร่างผอมบางที่นอนนิ่งบนเตียง ดวงตาเหม่อลอยไร้จุดหมาย แขนทั้งสองข้างวางนาบลำตัว ข้อมือถูกพันธนาการด้วยผ้าผืนยาวโยงมัดกับราวกั้นเตียง ข้อพับแขนด้านขวามีเข็มเสียบต่อสายน้ำเกลือ หยดน้ำในหลอดสุญญากาศหยดช้าๆเป็นระยะ

วรวีเป็นเด็กหนุ่มธรรมดา อายุเพียง 15 ปี ก่อนหน้านี้ไม่ถึงหนึ่งปี ยังใช้ชีวิตปกติเหมือนเด็กมัธยมทั่วๆไป เหตุการณ์ที่ทำให้เขาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างนี้นั้น ผมได้รับรู้คร่าวๆจากญาติของวรวีแล้ว แต่เรื่องโดยละเอียดนั้น มีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ และเขาก็ไม่มีทีท่าจะเล่าให้ใครฟังเลย

วรวีนอนรักษาตัวอยู่ในห้อง เดี่ยวพิเศษตามลำพัง ญาติที่มีเส้นสายนำมาฝากไว้ก่อนจะหายหน้าไป...ก็แน่นอนล่ะ...คนที่มีกำลัง เงินพอจะจ่ายค่าห้องพิเศษได้สบายๆ ก็คงเป็นคนที่มีหน้ามีตาในสังคม …แล้วคนที่มีหน้ามีตาในสังคม ก็คงไม่อยากให้ใครรู้นักหรอก ว่ามีญาติป่วยเป็นโรคจิต

วรวีเป็นผู้ป่วยทางจิต เมื่อครึ่งปีที่แล้วมีหมายจากทางการส่งตัวเด็กหนุ่มมาตรวจรักษาที่โรงพยาบาล ผมออกตรวจผู้ป่วยนอกในวันนั้นพอดี ลักษณะท่าทางของเด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาในห้องวันนั้น ยังติดตาผมไม่รู้ลืม

เด็กหนุ่มสีผิวขาวจัด ซีดจนเหมือนร่างกายไม่มีเลือดอยู่ภายใน รูปร่างผอมบางกว่าเด็กวัยเดียวกันทั่วไป ผมสีดำสนิทซอยทรงเด็กนักเรียนที่ออกจะแหกกฏเล็กน้อย ดวงตาสีดำสอดส่ายทั่วบริเวณอย่างหวาดระแวง เขาตื่นกลัว สะดุ้งตกใจเมื่อมีใครก็ตามเข้าใกล้หรือพยายามจะจับตัว บางครั้งเป็นหนักถึงขนาดหัวใจเต้นแรง เหงื่อออกโทรมกาย หมดสติไปเลยก็มี

ญาติที่มาด้วยให้ประวัติ คร่าวๆเพียงว่า เขาถูกคนแปลกหน้าลักพาตัวไปเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ กว่าตำรวจจะหาตัวเจอบุกเข้าช่วยเหลือได้ ก็เกิดเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนขึ้นแล้ว

พวกเขาพบวรวีนั่งกอดเข่าอยู่ ชิดมุมห้องอพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่ง ดวงตามองเหม่อมีน้ำตาไหลพรากโดยที่เจ้าตัวไม่สนใจจะปาดทิ้ง มือขาวกำมีดปลายแหลมไว้แน่น ใบมีดเขลอะไปด้วยคราบของเหลวสีแดงข้น ไหลจากส่วนปลายหยดลงพื้นเป็นระยะ ข้างกายปรากฏศพชายหนุ่มแปลกหน้า ซึ่งคงจะเป็นคนเดียวกับที่ลักพาวรวีตัวไป ช่วงท้องมีบาดแผลถูกแทงลึกถึงอวัยวะภายใน เลือดไหลนองเป็นแอ่ง

สิ่งที่น่าแปลกใจคือ สภาพภายในห้องนั้น ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ขัดขืนอยู่เลย

ผู้เป็นญาติเป็นคนเดินเข้าไป นำผ้าผืนใหญ่ห่มร่างกายที่เปลือยเปล่าให้ ตอนแรกวรวีต่อต้านขัดขืนรุนแรง จนเมื่อรู้ว่าเป็นคนรู้จักจึงค่อยยอมให้สัมผัสตัว

จากการสอบปากคำ ไม่ได้ให้ความกระจ่างอะไรเพิ่มขึ้นเลยสักนิด วรวีไม่ยอมคุยกับคนแปลกหน้า หวาดกลัวกรีดร้องเหมือนคนบ้า ไม่ยอมให้แพทย์ตรวจร่างกาย ไม่ยอมให้ทำอะไรทั้งนั้น สุดท้ายทุกอย่างก็จบลงโดยที่ญาติเป็นผู้ใช้เส้นสายกับแรงทรัพย์ขอปิดคดี โดยลงบันทึกไว้ว่า วรวีต่อสู้ป้องกันตัวจนพลั้งมือฆ่าคนตาย

ในวันนั้น ผมวินิจฉัยว่าวรวีเป็นโรค PTSD …เป็นอาการเครียดหลังจากที่เจอเรื่องรุนแรงกระทบจิตใจ พบได้ในคนปกติทั่วไป ผมให้คำแนะนำแก่ญาติว่าอาการควรจะค่อยๆดีขึ้นเองภายใน 3 เดือน หมั่นดูแล พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นความทรงจำก็พอ พร้อมกับจ่ายยารักษาอาการ และให้กลับบ้านไป

หลังจากนั้นก็ไม่มีการมาตรวจ ติดตามอาการจากเด็กหนุ่มอีกเลย มาเจออีกครั้งเมื่อ 15 วันที่แล้ว เขาอยู่ในสภาพผอมเห็นกระดูก ผิวที่เคยขาวอยู่แล้วยิ่งขาวจัดกว่าเดิม ผมที่เคยสั้นระคอบัดนี้ยาวจนประบ่า มองโดยรวมวรวีในตอนนี้เหมือนเด็กผู้หญิงมากกว่าเด็กผู้ชาย

เขาไม่มีอาการหวาดกลัวคนแปลก หน้าอีกแล้ว แต่กลับไม่ยอมพูดกับใครเลยแม้แต่กับญาติสนิทผู้เป็นคนดูแล ไม่ยอมไปโรงเรียน ไม่ยอมทานอาหาร ไม่ยอมหลับนอน ไร้ความสนใจโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง

โรค PTSD บัดนี้หายดีแล้ว แต่วรวีกลับเป็นโรคซึมเศร้าอย่างรุนแรงแทน ผมสั่งให้เข้านอนรักษาตัวในโรงพยาบาลทันทีเพื่อรักษาภาวะขาดอาหาร ซึ่งญาติก็ดูจะพอใจกับการตัดสินใจนี้มาก ด้วยภาระจะได้หมดไปเสียที ไม่ต้องคอยดูแลเด็กมีปัญหาอีก

ผมใช้เวลาและความพยายามอย่าง มากในการสร้างสัมพันธ์และความเชื่อใจกับวรวี จนในวันที่เจ็ดของการรักษา เขาก็ยอมพูดกับผมเป็นคำสั้นๆได้เสียที...แต่กับเจ้าหน้าที่และนางพยาบาลคน อื่น ก็ยังคงไร้ตัวตนในจิตสำนึกของวรวีเหมือนเดิม

ตั้งแต่เข้านอนโรงพยาบาล ก็ไม่มีใครมีเยี่ยมเยียนเด็กหนุ่มเลย อาการซึมเศร้าย่ำแย่ลงกว่าเดิม ถึงขนาดเคยบอกว่าตัวเองเป็นคนไร้ค่าที่ไม่มีใครต้องการแล้ว เขาพยายามฆ่าตัวตายตามแต่จะคิดวิธีได้ เรื่องในคืนนี้เป็นครั้งที่ห้าแล้วนับจากการเข้ารักษามา 15 วัน

จากการรายงานของนางพยาบาล เขาไม่ยอมทานอาหารจนต้องให้กลูโคสผ่านหลอดเลือดดำ ผลการตรวจเลือดตอนบ่ายพบว่า ค่าเกลือแร่ในเลือดตัวหนึ่งลดลงต่ำมาก ผมจึงสั่งให้ทดแทนเกลือแร่ตัวนั้นผ่านทางสายน้ำเกลือ โดยไม่ทันคิดว่า วรวีจะมีความรู้ในเรื่องนี้ เด็กหนุ่มปรับความเร็วการหยดของน้ำเกลือให้เร็วที่สุด ค่าเกลือแร่ที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ และเกิดอาการชักรุนแรง ผมต้องสั่งการรักษาแก้อาการวุ่นวาย จนอาการดีขึ้นมาได้จึงตัดสินใจมัดข้อมือทั้งสองไว้กับราวกั้นเตียง

ผมยืนมองวรวีที่นอนเหม่อเงียบๆ รอจนเจ้าตัวยอมหันมาพูดกับผมด้วยเสียงแผ่วๆ

“ปล่อยผมได้รึยัง คุณหมอ?” แขนข้างหนึ่งยกขึ้นดึงผ้าที่พันธนาการข้อมืออยู่ให้ดู

“…สัญญามาก่อนสิ ว่าจะไม่ทำอย่างนี้อีก” เขานิ่งคิดสักพักก่อนพยักหน้าตกลง

“...งั้นหมอจะคลายปมให้” ผมก้าวเข้าใกล้เตียงช้าๆ ค่อยๆปลดปมผ้ารัดข้อมือฝั่งใกล้ตัวออก ก่อนจะเอื้อมข้ามตัวเด็กหนุ่มไปปลดอีกฝั่งหนึ่งให้ ตอนนี้ระยะระหว่างเราใกล้กันซะจนผมได้กลิ่นหอมจางของแป้งเด็กที่วรวีใช้

เมื่อผ้ารัดข้อมือถูกแกะ เรียบร้อย เขาก็ลุกขึ้นนั่งทำท่าบิดขี้เกียจ ก่อนจะหันมองผม ดวงตาดำมืดของเขาไม่ได้สื่อความรู้สึกภายในให้ผมได้เข้าใจเลยสักนิด

“หยิบกล่องในตู้ให้ผมหน่อย ครับ” เสียงแหบพูดขอผมเรียบๆ ซึ่งผมก็ทำตาม นั่งยองๆลงเปิดตู้ข้างเตียง หยิบสมบัติชิ้นเดียวที่วรวีให้ความสนใจออกมา มันเป็นกล่องดนตรีที่เรียบมากๆ มีเพียงกล่องพลาสติกใสหุ้มแกนเหล็กสองสามชิ้นไว้ภายในเท่านั้น ผมไขลานให้ช้าๆ ก่อนวางกล่องสี่เหลี่ยมลงบนฝ่ามือขาวที่แบรออยู่แล้ว

เสียงกรุ๊งกริ๊งใสดังเป็น ท่วงทำนอง สะท้อนก้องในห้องขนาดใหญ่...ช่างเป็นเพลงที่เศร้าสร้อยเหลือเกิน…ผมได้ยิน เสียงแหบพร่าพึมพำจากร่างที่ก้มหน้ามองหีบเพลงในฝ่ามือ เสียงร้องเนื้อเพลงคลอตามจังหวะ ค่อยๆดังขึ้นจนผมได้ยินชัดเจน

...ยังมีอีกหลายสิ่ง ที่ฉันยังไม่เคยพูดสักที...

...และมีอีกหลายอย่าง ที่ไม่เคยทำจนวันนี้...

รัก...รักเธอจนหมดทั้งหัวใจ...

เสียงร้องสะดุดลงทันทีหลัง จากที่เสียงกรุ๊งกริ๊งของหีบเพลงชะงักลง แกนเหล็กที่หมุนอยู่เมื่อกี้หลุดออกจากที่ยึด หล่นลงบนพื้นกล่องพลาสติกกลิ้งดังกลุกๆ ห้องนอนพลันเงียบสงัดวังเวง

“…เสียแล้ว” น้ำตาหยดหนึ่งตกกระทบพื้นกล่องพลาสติก ก่อนจะไหลกลิ้งไปตามแนวลาดของผิวเรียบลื่น ซึมแฉะบนฝ่ามือที่ถือมันอยู่

“ขอให้หมอได้รึเปล่า...หมอจะ ลองซ่อมดูให้” ผมพูดเสียงเบาด้วยกลัวว่า หากพูดเสียงดังเกินไป จะพัดพาตัวตนเจือจางให้อันตรธานไปต่อหน้าต่อตา

วรวีละสายตาจากหีบเพลง เงยหน้าขึ้นมองผม เขายิ้มเป็นครั้งแรกในรอบสิบห้าวัน เป็นยิ้มที่งดงาม แฝงความเศร้าโศกและอาลัยอาวรณ์ไปในคราวเดียวกัน

...เป็นยิ้มที่จะสลักอยู่ในความทรงจำของผมไปชั่วกาลนาน…

“ขอบคุณครับ แต่ผมอยากให้มันเป็นอย่างนี้ต่อไป...อยากให้มัน...เงียบเสียงไปพร้อมกับคนที่ประกอบมันขึ้นมา”

ผมไม่พูดอะไร เอื้อมแขนจัดหมอนใบใหญ่ ตบให้พองฟู ก่อนจะพยุงเขาให้เอนนอน

“นอนซะนะ หมอจะนั่งตรงโซฟาจนกว่าเธอจะหลับ” เลิกผ้าห่มคลุมให้ถึงคอ หันหลังกำลังจะเดินไปนั่งที่โซฟาข้างห้อง มืออุ่นๆก็จับมือผมเอาไว้ก่อน มันบีบกระชับแน่นหนา ผมหันไปมองคนที่หลับตาพริ้มบนเตียงนอน เขาพูดกระซิบเบาๆ

“ขอบคุณที่คอยดูแลผมนะครับ คุณหมอ” แล้วมือนั้นก็ปล่อยให้ผมเป็นอิสระ ผมเดินไปนั่งบนโซฟา มองเขานอนหลับตานิ่งบนเตียงนอน

ผ่านไปประมาณสิบนาที คาดว่าเขาคงหลับไปแล้ว ก็ได้ยินเสียงเคาะห้อง ตามด้วยประตูแง้มเบาๆ แสงจากทางเดินลอดเข้ามายังห้องที่ปิดไฟมืดสนิท นางพยาบาลโผล่หน้ามาส่งสัญญาณเรียกผม ผมจึงลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป พยายามปิดประตูให้เบาที่สุดด้วยกลัวจะรบกวนคนที่หลับไปแล้วให้ต้องรู้สึกตัว ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

“มีอะไรรึเปล่า” ผมถามพยาบาล

“ห้อง 1204 มีไข้สูง ร้องโวยวายค่ะ” เธอรายงานสั้นๆ

“งั้นเดี๋ยวผมจะไปดู แล้วจะเข้าห้องพักสรุปชาร์ทต่อเลย” ผมตอบกลับพลางเดินไปยังห้องที่กล่าวถึง

ถึงหน้าห้อง 1204 วางมือลงบนลูกบิด มืออีกข้างเตรียมเคาะประตู อะไรบางอย่างก็ดลใจให้ผมหันไปสั่งนางพยาบาลที่เดินตามมา

“ฝากดูวรวี 1220 เป็นระยะด้วย...ผมสังหรณ์แปลกๆ”


+++++++++++++++++++++++++++++
 

...ลางสังหรณ์ของผมเป็นจริง...

ผมยืนมองร่างผอมบางที่บัดนี้ คลุมผ้าขาวตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาจนมิดศีรษะ กลิ่นแป้งเด็กยังคงหอมอวล หากตอนนี้ไร้ไออุ่นของชีวิตโดยสิ้นเชิง

วรวีเสียชีวิตตอนรุ่งเช้า พยาบาลกะใหม่ที่เพิ่งเข้าเวร พบร่างของเขานั่งอยู่กับพื้นห้องน้ำที่เจิ่งนองด้วยน้ำจากฝักบัว ปลายสายไฟเปลือยเห็นลวดทองแดงที่ตัดออกมาจากไดร์เป่าผมประจำห้องน้ำถูกกำไว้ แน่นในอุ้งมือขาว

ทั่วทั้งร่างกายมีเพียงรอยไหม้เป็นจุดเล็กๆกลางฝ่ามือกับที่ปลายส้นเท้าขวาเท่านั้น

วรวีไปอย่างสงบ...ราวกับหลับไปเฉยๆเท่านั้นเอง


ผมเลิกผ้าขาวขึ้นจับมือเย็นชืดที่ตอนนี้เริ่มจะแข็งแล้วไว้เบาๆ...มืออุ่นที่จับมือผมไว้แน่นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา...

ผมก้มหน้าลง กระซิบกับร่างไร้วิญญาณ ส่งข้อความไปถึงเด็กหนุ่มที่ละทิ้งทุกอย่างไว้ ณ ที่นี้  ออกโบยบินอย่างอิสระไปยังจุดหมายที่ใจต้องการ






“หลับฝันดีนะ...วรวี”


+++++++++++++++++++++++++++++
จบละครับ o7 o7

ออฟไลน์ momo_2007

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
โอย เศร้ามากมายอะคับ ประจำรื่องแบบนี้ผมไม่ค่อยอานอะ เพราะมันจะศร้าไปมากมายเลย
เหๆๆ แต่เรื่องนดีมากๆคับ แล้วก็เศร้ามากๆอีกเหมือนกัน ดีนะ ที่อย่างน้อยชีวิตนี้ก้ได้รู้จักความ
โอย พอแล้ว น้ำตาคลอแระคับ

ขอบคุณคับ ที่อามาให้อ่านกัน

ออฟไลน์ G-NaF

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
เศร้ามากครับ

แต่ผมก็ชอบนะ

อ่านไปน้ำตาก็ไหลไป  เหอะๆ

Mp_qM

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณครับผม อิอิ

ออฟไลน์ ppanudet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 350
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ขอบคุณครับ

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
 :o12: เศร้าจัง

animob

  • บุคคลทั่วไป
เศร้ามากๆ  :sad2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
 :m15:  :m15:  :m15:
ฤาชีวิตนี้จะหมดแล้วซึ่งความหมาย
 :m15: :m15: :m15: :m15:

ออฟไลน์ TONG

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-4
 :m15: :m15: :m15:

เศร้าจังเลย

ไม่คิดว่าคนที่เขียนเรื่องอื่นๆสนุก

จะเขียนได้เศร้าขนาดนี้

อ่านไปเหมือนใจจะขาด

devil_duel

  • บุคคลทั่วไป
โห เพ่...เรียกน้ำตากานเง้เลยหรอ
ไม่ไหวละ...
ไปล้างหน้าก่อน

ออฟไลน์ fannan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +141/-6
เศร้ามากกกกกกกกกกกกวีน่าสงสารมากกกกกกกกกกกกชิวิตรันทดสุดดดดดดดดดดดดดดดดด พีร์แสนดีก็ตายจากไปอีกกกกกกกกกกกกกกกกกก สุดท้ายก็ไม่เหลือความสุขอีกเลย ก็คงจะดีแล้วละที่ความโหดร้ายมันจบไปแล้ว หลับอย่างสงบน่ะวี ขอบคุณมากค้าบบบบบบบบบบ
ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก :sad2: o7

ออฟไลน์ Shumi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนอ่านเรื่องนี้ น้ำตาไหล เผาะ ๆ ๆ เศร้ามากจริง ๆ  :sad2:

ออฟไลน์ Tifa

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +417/-2
เป็นเรื่องที่ดี ละก็เศร้ามากๆด้วยอะ

ไม่รู้อะไรจะขนาดนั้น เศร้าได้อีก

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
 :o12: :o12: เศร้ามากมายเลย แต่ก็ยังดีกว่าอยู่เนอะ ตายไปถือว่าไปสบายกว่า

ออฟไลน์ เมฆาสีน้ำเงิน

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
ผมไม่เคยเห็นด้วยกับการฆ่าตัวตาย

แต่หากการตายคืออิสระหนึ่งเดียวที่ทำได้

คงเป็นเรื่องดีที่ได้เลือกทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

เพราะคราวนี้ไม่ต้องเหนื่อยกับอะไรแล้ว

สิ่งเดียวที่จะพบเจอหลังจากนี้

คือความรู้สึกดีดี ที่เรียกว่ารัก

ที่นายค้นหามานานแสนนาน

นายใช้ชีวิตที่มีเพียงแค่ร่างกาย

แต่ตายไป พร้อมกับหัวใจของใครคนหนึ่ง

คุ้มค่าที่สุดแล้วชีวิตนี้ ..

.
.
.

หลับฝันดีน่ะ  วา

.
.
.


 :pig4:





ออฟไลน์ Angel_K

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 263
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +352/-0
ไม่รู้ว่าจะพิมพ์ออกมายังไงดี
เพราะตอนนี้ตาพร่าไปหมดแล้ว
น้ำตาไหลซะมากมาย

เศร้าจังเลยนะ

คงต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่อ่านแล้ว
ทำให้คิดตามและเข้าถึงตัวละครได้มากเลยมั้ง
ถึงทำให้เศร้าได้มากขนาดนี้

 :m15:

ryo

  • บุคคลทั่วไป
อ่านไป น้ำตาไหลไป
ไม่ไหวแล้วววว   :o12: :o12: :o12: :o12:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด