มาแล้ววววววววว

______________________________________________________________________________________________
CHAPTER 5 : การงอนของปีศาจ???พระไวยเดินลิ่วๆไปที่ประตูห้องนอนตนเอง ก่อนจะรีบกระชากมันให้เปิดออก แล้วแทรกตัวข้ามธรณีเข้าไปอย่างว่องไว จากนั้นจึงงับประตูลงดาลโดยไม่สนใจเสียงเรียกของใครอีกคนหน้าห้อง
ทั้งหมดนี่ใช้เวลาไม่ถึงสองนาที...
พระไวยมองประตูห้องแล้วฉีกยิ้มอย่างสะใจ คืนนี้ยังไงๆเจ้าปีศาจบ้ามันก็ต้องนอนนอกห้องเขา
ประตูฝั่งนี้ใช้สำหรับเดินออกไปยังทางเชื่อมเพื่อไปเรือนหลังอื่นๆเท่านั้น ส่วนประตูหน้าที่อยู่ติดชานเรือนก็ปิดแล้ว เพราะเขาคงจะไม่คิดออกไปเดินชมแสงจันทร์วันเพ็ญคืนนี้แน่ๆ
เหลือก็แต่ประตูเล็กที่ใช้สำหรับเดินลงไปอาบน้ำ... ซึ่งเขาก็ยืนอาบน้ำตุ่มอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ
หน้าต่างเรอะ สูงจนขโมยโบกมือลาไปแล้ว รับรองว่าไม่มีใครคิดอยากจะปีนขึ้นเรือนเขาที่สูงจากพื้นดินกว่าสี่เมตรแน่ๆ!
“เหอะ! เป็นไงล่ะ เชิญนอนนอกห้องไปซะเถอะไอ้ผีปีศาจ!”
“นั่นเจ้าพูดกับใครน่ะ”
“เฮ้ย!”
พระไวยหน้าตาตื่นทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มลึกดังมาจากข้างหลัง เจ้าตัวรีบหันกลับไปมอง แล้วก็พบกับคนรูปหล่อตัวสูงใหญ่ยืนกอดอกนิ่งๆรออยู่แล้ว
“นี่...นี่ เข้ามาได้ยังไงวะ! นายยังอยู่ข้างนอกอยู่เลยนี่นา!”
ชีวาชะเง้อมองออกไปทางหน้าต่าง ก่อนจะหันมาเลิกคิ้วใส่คนถาม “แล้วเจ้าเห็นว่าข้าอยู่ข้างนอกหรือเปล่าล่ะ”
พระไวยรีบหันไปชะโงกหน้าต่างตาม ตรงทางเดินข้างนอกนั่นไม่มีใครแล้วจริงๆ มีก็แต่ความมืดที่เริ่มโรยตัวมากขึ้นจนมองอะไรไม่ชัด
พระไวยเม้มปากขัดใจ พยายามจะยื่นหัวตัวเองออกไปยังประตูที่เป็นจุดบอด เผื่อพ่อคุณตัวดีจะแอบอยู่ตรงนั้น แล้งก็ส่งไอ้ตัวข้างหลังที่เป็นเวทมนต์หรือกลอะไรสักอย่างมาล่อ
ทั้งๆที่รู้ดีว่าไม่มีใคร...
ทั้งๆที่ไออุ่นจากคนข้างหลังก็ชัดเจน
แต่ทำไปเพราะไม่อยากจะสนใจใครอีกคนในห้องนัก ด้วยกลัวว่ารอยแดงๆจะวิ่งเป็นริ้วขึ้นหน้าให้ได้อาย...
และกลัวยิ่งกว่านั้น กลัวว่าจะเผลอใจกระตุกเพราะใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาปานเทวบุตร
นี่รู้สึกแปลกๆกับผู้ชายตั้งแต่เมื่อไหร่
ชักจะบ้า...
“ตกลงเจอใครไหม” เสียงนุ่มๆถามยั่วเย้า
พระไวยทำตาปะหลับปะเหลือกใส่อากาศ ก่อนจะดึงหัวตัวเองกลับเข้ามาในห้อง
“ไม่เจอ” เขาตอบแบบรำคาญ “ถ้าเจอสิดี... จะได้นอนนอกห้องซะ” ท่อนท้ายนี้เขากระซิบเบาๆกับตัวเอง
คนฟังไม่วายหูดี “นี่เจ้าจะใจร้ายให้ข้าไปนอนข้างนอกเลยหรือ หากข้าไม่สบายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบกัน” ชีวาถามยิ้มๆ จงใจแกล้งมากกว่าจะต่อว่าจริงจัง “หรือว่าเจ้าหาข้ออ้างอยากจะดูแลข้าด้วยวิธีนี้”
พระไวยค้อนใส่ตาโต “ดูแลกับผีน่ะสิ!” เขาตวาดแว้ด “เออ! อยากจะนอนที่ไหนก็นอนไป แต่บนเตียงฉัน! ห้าม! ไม่งั้นคืนนี้นายอยู่ไม่เป็นสุขแน่ ฉับรับรองได้!” เขาไม่วายขู่ให้อีกฝ่ายฟัง ก่อนจะเดินลงส้นเท้าตึงๆไปหยิบอุปกรณ์อาบน้ำ
ไม่ได้กลัวมันนะ สาบานว่าไม่ได้กลัวเล้ย!!!!
“ฉันจะไปอาบน้ำ” พระไวยบอกหน้าบูด “ส่วนนาย ก็หาของใช้ส่วนตัวเอาเองก็แล้วกัน ฉันไม่มีปัญญาจะหาซื้อให้หรอกนะ ดึกดื่นเย็นย่ำขนาดนี้ อยากอยู่ที่นี่ก็ช่วยจัดการตัวเองด้วย”
ชีวาก้มหน้ารับ “เชิญเจ้าตามสบาย เรื่องนั้นข้ารับผิดชอบได้”
พระไวยมองอีกฝ่ายอย่างเคืองๆ อดแปลกใจเล็กน้อยไม่ได้ที่เจ้าปีศาจดูจะทำตัวสบายๆเสียเหลือเกิน
จริงๆหมั่นไส้... คนอะไร หล่อไม่รู้จักเผื่อแผ่คนอื่นมั่งเลย
พระไวยสะบัดศีรษะไล่ความคิด
เรื่องอะไรจะต้องไปใส่ใจสนใจมัน ว่าจะอยู่ยังไงจะกินยังไง
ไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิดสักหน่อยหนึ่ง
คนหล่อเห็นผีเปิดประตูเล็กด้านข้างออก แล้วเดินลงบันไดไปเงียบๆ ไม่นานนัก อีกคนที่อยู่ในห้องก็ได้ยินเสียงสาดน้ำกระจายและเสียงขันกระทบผิวน้ำในตุ่ม
ชีวายิ้มลอยๆขึ้นมา คลื่นความสุขชนิดหนึ่งทำให้เขาอยากจะยิ้มกว้างๆ นานๆ
ไม่รู้ว่าเขาลืมวิธีการเป็นมนุษย์ไปตั้งแต่เมื่อไหร่
ทว่าตอนนี้... เขาชักอยากที่จะเป็นมนุษย์อีกสักครั้ง
อย่างน้อยๆ ก็ตลอดเวลาที่จะต้องอยู่กับคนปากแข็งแต่น่ารักจับใจคนนั้น
แสงสีดำจางๆค่อยปรากฏขึ้นที่ผิวกายของชีวา จนดูคล้ายกับมีโซ่ขนาดใหญ่มาร้อยรัดตัวชีวาเอาไว้
เจ้าตัวมองนิ่งๆ แล้วถอนหายใจ ก่อนจะกลั้นอารมณ์เพื่อข่มพลัง
สายโซ่น่ากลัวค่อยเลือนหาย ทว่าความอ่อนล้าเริ่มฉายชัดที่ผิวหน้าหล่อเหลา
ตอนนี้แรงเขามีน้อย เพราะไม่ได้เสพพลังชีวิตจากจิตวิญญาณตนเอง เนื่องจากดวงจิตย้ายไปอยู่ในร่างใครอีกคนอย่างถาวรเสียแล้ว
ยามปกติ สิ่งมีชีวิตเช่นพวกเขาจะอยู่ได้ด้วยพลังชนิดหนึ่ง ที่คล้ายๆกับพลังเวทมนต์ เรียกกันว่า พลังชีวิต หรือ ‘ไลฟ์’ โดยพลังที่ว่านั่นมีอยู่ในโลกเขาอย่างมากมายไม่จำกัด
ทว่า ในโลกมนุษย์ ในมิติที่แตกต่าง...
ไลฟ์เป็นสิ่งหายาก จนพวกเขาต้องคืนร่างจริงบ่อยๆเพราะร่างกายปรับสภาพไม่ได้เมื่อขาดแคลนแหล่งอาหาร
ไลฟ์ในร่างเป็นเสมือนพลังต้นกำเนิดของพวกเขา หล่อเลี้ยงชีวิต สร้างความยิ่งใหญ่ ทำให้ใช้เวทมนต์และเปลี่ยนร่างได้ รวมทั้งเป็นตัวที่ใช้ควบคุมสัญชาตญาณดิบแห่งเผ่าพันธุ์
อีกเรื่องหนึ่งที่ชีวายังไม่ได้บอกกับพระไวยก็คือ เมื่อเขาทำพันธะสัญญากับใครแล้ว คู่สัญญาจะต้องรับผิดชอบเรื่องการถ่ายไลฟ์ให้เขาตลอดชีวิต อันเนื่องมาจากลักษณะทางกายภาพของมนุษย์ที่แตกต่างจากพวกเขา ทำให้ไม่สามารถดึงไลฟ์ที่ว่าออกมาได้เอง
เพียงแต่ว่า... วิธีการเอาไลฟ์ออกจากร่างมนุษย์ มันค่อนข้างจะแปลกๆอยู่สักหน่อย
ไลฟ์ก็เป็นเหมือนอาหาร ซึ่งอันที่จริงแล้ว มันก็คืออาหารสำหรับ ‘อินเทลิเจนท์’ อย่างพวกเขา
ขาดแคลนมัน แม้จะไม่ถึงตาย... แต่ก็จะหลับใหลในสภาพที่ยังหายใจไปตลอดกาล
หลับอยู่อย่างนั้น จนกว่าจะสิ้นอายุ
แท้จริงแล้ว การทำพันธะกับใครสักคนหนึ่ง มีความเสี่ยงมากมายกว่าที่คิด
พวกเขาต้องปกป้องคู่สัญญา ซึ่งเป็นผู้รักษาดวงจิต เพราะหากคู่สัญญาตาย เท่ากับพวกเขาก็ต้องตายตามไป
อินเทลิเจนท์อย่างเขาต้องการไลฟ์ หากไม่มีไลฟ์... พวกเขาจะควบคุมสัญชาตญาณตนเองไม่ได้
ชีวาแทบไม่กล้าคิด ว่าหากเขาเกิดหลุดการคอนโทรลขึ้นมา อะไรจะเกิดขึ้นกับพระไวย...
มันน่ากลัว พอๆกับที่น่าลิ้มลองจนตัวสั่น...
แต่ชีวาไม่ต้องการเสี่ยง
ชีวิตเขาเสี่ยงมามากพอแล้ว ทำมนุษย์ตายไปมากแล้ว เขาไม่ต้องการทำให้ตนเองต้องทนกับอีกหลายพันปีไปกับความขมขื่นและเจ็บปวด
พระไวยจะเป็นคนสุดท้าย และคนแรก ที่เขาจะปกป้องรักษาจนปลอดภัย และตายพร้อมเขา...
ต่อให้ต้องอ้อนวอนเพียงใด ชีวาก็จะต้องให้พระไวยยอมนำไลฟ์ออกมาแต่โดยดีให้ได้
ไม่อย่างนั้น ลืมไปได้เลยเรื่องที่เขาจะมีโอกาสได้เสพไลฟ์... และลืมไปได้เลยที่พระไวยจะรอด
นอกจากนี้ เขานี่แหละที่จะต้องตายก่อน
เสียงลงฝีเท้าดังมาเบาๆ ชีวาที่ยืนคิดเรื่องอื่นๆอยู่ก็หันไปมองที่ประตูเล็ก
พระไวยอาบน้ำเสร็จแล้ว เขาเดินตัวสะอาดมีผ้าเช็ดตัวพันเอวขึ้นมาบนเรือน แต่หน้าตายังบูดๆอยู่ตอนที่มองผู้ร่วมห้องอีกคนหนึ่ง
“ให้เวลาสิบนาที ไปอาบน้ำแต่งตัวซะ แล้วรีบมานอน ฉันจะปิดไฟ” เจ้าเรือนบอกห้วนๆสั้นๆ ก่อนจะเดินเลยปีศาจหน้าหล่อไปยังตู้เสื้อผ้าไม้สักหลังใหญ่ เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
ชีวายิ้มจางให้แผ่นหลังเล็กขาวละเอียดที่มีรอยสักสีน้ำเงินเข้มปรากฏเป็นทางยาว พระไวยเองก็ยังหน้ามุ่ยเมื่อมองเห็นมันจากกระจก
ที่เขาไม่กล้าพูดออกไป เพราะกลัวอีกฝ่ายจะยันเท้าใส่ ก็คือความหมายของรอยสักรูปร่างประหลาดนั่น ที่เหมือนกันกับของเขาทุกกระเบียดนิ้ว
สิ่งนี้... เป็นสัญลักษณ์แห่งผู้ที่ทำพันธะสัญญากับเผ่าพันธุ์ของเขา โดยรูปร่างของมันจะแตกต่างกันตามรอยสักประจำตัวอินเทลิเจนท์แต่ละตน และมันยังสื่อถึงการครอบครอง การเป็นเจ้าของ
รอยสีน้ำเงินสวยสดใสนั่น เป็นสิ่งที่บอกความหมายว่า... พระไวย... เป็นของเขา
อีกไม่ช้าไม่นาน มันจะค่อยๆเปลี่ยนสี จนกลายเป็นสีเดียวกันกับคู่สัญญา
เมื่อถึงเวลานั้น ก็แสดงว่า ดวงจิตของเขาและพระไวย เป็นหนึ่งเดียวกัน...
ซึ่งชาตินี้ ไม่มีวันจะหนีกันได้พ้น
ชีวาละสายตาจากการเคลื่อนไหวช้าๆเนิบนาบของพระไวยมายังอากาศเบื้องหน้าตนเอง
พระไวยบอกให้เขาอาบน้ำ และต้องอาบโดยเร็ว เพราะเจ้าตัวอยากจะนอน
จริงๆเขาก็เห็นด้วยแหละที่เขาควรจะอาบเร็วๆ แม้เขาจะไม่สกปรกก็ตามที
แต่ที่เขาเห็นด้วย ไม่ใช่เพราะว่าเขาง่วง หรือเขาอยากให้พระไวยนอน
เขามี ‘เรื่อง’ ที่จะต้องให้อีกฝ่ายช่วยต่างหาก
น้ำเย็นเฉียบสัมผัสผิวกายแน่นตึงกำยำ ตอนนี้เป็นเวลาเกือบๆจะสามทุ่ม อากาศเย็นโรยตัวให้อยากจะกลับเข้าเรือนไวๆ
ชีวาสาดน้ำเข้าร่างด้วยขันพลาสติก ทว่าเขาไม่อาทรร้อนใจกับอากาศที่เริ่มหนาวและน้ำตุ่มที่เย็นยะเยือก
ชีวาเป็นพวกธาตุเย็น และออกจะชื่นชอบกับความเย็น แท้จริงแล้ว ที่อากาศหนาวจนแทบจะต้องใส่เสื้อกันหนาวอย่างนี้ เป็นเพราะรัศมีพลังของเขาทำให้เป็นไป
ตัวของชีวาอุ่นปกติเหมือนมนุษย์ เพียงแต่คลื่นความกดดันของเขามักจะแผ่ออกมาในรูปของไอความเย็น หรือสภาพอากาศ ทำให้ตอนนี้ อากาศที่บ้านพระไวยค่อนข้างจะเหมือนช่วงเดือนธันวาหรือมกราคม แต่ก็ไม่ได้หนาวจัดราวกับขั้วโลก หรือบนดอยบนเขา
ชีวาหยุดอาบน้ำ เมื่อรู้สึกว่าตนเองน่าจะสะอาดแล้วตามเกณฑ์ของมนุษย์ เขาวางขันที่เนรมิตมาด้วยเวทมนต์ แล้วเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่มาพันรอบเอวไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นจึงใช้ผ้าอีกผืนจัดแจงเช็ดตัวเงียบๆ
เสื้อผ้าอย่างมนุษย์ ชีวาก็จำต้องเสกออกมาเอง เพราะขนาดตัวแบบเขา ไม่มีเสื้อผ้าชุดไหนของพระไวยที่จะให้ยัดตัวลงไปได้ ดีไม่ดี เกิดขาดขึ้นมา เขามีหวังต้องระเห็จไปนอนนอกห้อง
ชีวาไม่อยากจะใช้พลังในการหายตัวหรือเนรมิตของออกมามากนัก เพราะตอนนี้เขายิ่งไม่ค่อยจะมีแรง
แต่ว่า หากการกลับมาอยู่ในร่างแปลงแล้วทำได้ขนาดนี้ ก็นับว่าพลังเวทย์เขายังไม่ตกหรือลดถอย พอจะสบายใจได้ไปเปลาะหนึ่ง
รอให้เสพไลฟ์สำเร็จก่อนเถอะ... เขาคนเดิมที่แกร่งและเก่งยิ่งกว่านี้ก็จะฟื้นคืนขึ้นมา
ทีนี้.. เขาก็จะปกป้องพระไวยได้อย่างที่ใจหวัง
“มานอนได้แล้ว” พระไวยเรียกชีวาที่แต่งตัวเรียบร้อยมาจากข้างล่าง “ลงดาลประตูซะ แล้วนี่ก็ที่นอนนาย”
ชีวาหันกลับไปลั่นดาลประตูเล็กจนแน่ใจว่าแน่นดี แล้วจัดการหาที่พาดผ้าขนหนูเอาแถวๆนั้น ทว่า พอกลับมามองยังที่นอนของตนเองตามที่พระไวยว่า เขาก็ต้องขมวดคิ้ว
แม้จะไม่ได้เป็นแปลงเป็นมนุษย์มานานมากๆก็ตาม แต่ชีวาก็จำได้ว่าที่นอนของมนุษย์ไม่ใช่แบบนี้แน่ๆ
“นั่นอะไร” ท้ายที่สุด ปากก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ที่นอนนายไง” พระไวยว่าหน้าตาย “รู้แล้วก็มานอนเสียที ฉันจะได้ปิดไฟ”
ชีวายังยืนงงอยู่ตรงที่เดิม พลางเขม้นมอง ‘ที่นอน’ ของตัวเองชัดๆ
ไม่ใช่ว่าเขามีปัญหาอะไรกับการนอนที่พื้นเย็นๆแข็งๆหรอกนะ ให้นอนอย่างนั้นเลยก็ได้ เพราะที่ผ่านมาก็นอนกลางดินกลางป่าอยู่บ่อยๆ พื้นไม้กระดานขัดมันเรียกว่าเป็นความสบายที่หาได้ยากเลยด้วยซ้ำ
แต่ที่ไม่เข้าใจ คือถ้าจะให้เขานอนกระดาน? แล้วไยไม่บอกมาตรงๆ ทำไมต้องส่งหมอนเน่าๆท่าทางเหมือนไม่ได้ซักมาชาตินึงอย่างนั้นมาให้เขาด้วย!?
“เดี๋ยวนะ” ชีวาร้องขัด “นั่นเจ้าเอาอะไรมาให้ข้า? หมอนรึ?”
พระไวยที่คลี่ผ้าห่มอยู่หันมามองคนถามด้วยความงง แล้วเบนไปยังต้นเหตุของชีวา ก่อนจะกลับมามองอีกฝ่ายใหม่ “ก็หมอนน่ะสิ มันมีอยู่อีกใบในตู้ แต่ฉันไม่ได้ใช้ จะให้นายนอนกระดานก็ยังไงอยู่ เดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่ดูแล” พระไวยบอกเสียงขุ่น “วันนี้ใช้ไปก่อน เดี๋ยวค่อยหาใบเก่าๆของพี่สังข์มาให้”
ชีวากลอกตาไปมาเหลือกๆครั้งแรก แล้วพ่นลมออกจากปาก
เฮ้อ...
แบบนี้ไม่ใช่แค่ไม่ดูแล แต่เรียกเหยียบย่ำซ้ำเติมนะ ...พระไวย
แค่เจ้าบอกมาคำเดียวว่าให้ข้าหาใช้เอาเอง แค่นั้น... ข้าจะไม่รู้สึกน้อยใจเจ้าเลยสักนิด
ให้ข้าดิ้นรน ยังดีกว่าเจ้าเสือกไสไล่ส่ง ทำกับข้าแบบขอไปทีเช่นนี้
พระไวยกำลังจะล้มตัวลงนอน แต่ก็ชะงัก เพราะคนตัวยักษ์อีกคนยังยืนนิ่ง
เขากำลังจะด่าอีกฝ่ายเพราะความง่วงงุน และพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า แต่เมื่อเห็นรอยเสียใจและตัดพ้อจางๆในดวงตาคมเข้มชวนหลงใหล ปากก็หุบฉับเสียอย่างนั้น
เจ้าบ้านั่นมันเป็นอะไร...
“เป็นอะไร” พระไวยลองถาม คราวนี้เขาพูดดีๆ “ทำไมไม่มานอนล่ะ”
ชีวาเมินไปอีกทาง
หน่วงๆในอกยังไงไม่รู้ ที่ดูเหมือนอีกคนจะรังเกียจกันขนาดนี้
“ถ้าเจ้าอยากให้ข้าออกไปนอนข้างนอกนัก บอกข้าดีๆคำเดียว ข้าก็จะทำให้” เสียงทุ้มๆเจือความน้อยใจ “ข้าจะไปนอนข้างนอก ขอโทษด้วยที่รบกวนเจ้า” พูดจบ เจ้าตัวก็ล่องหนแวบออกไป
พระไวยอ้าปากค้าง รู้สึกมันงงขึ้นมากะทันหัน
นี่เขาพูดอะไรผิดไปวะ? ทำไมดูไอ้หมอนั่นจะงอนๆยังไงก็ไม่รู้
ปีศาจมันมีมุมนี้ด้วยเรอะ?
พระไวยหันไปมองที่ประตูทางเชื่อมเรือน แล้วก็ขมวดคิ้ว จากนั้นก็มองไปที่หมอนใบเก่าดำๆที่วางอยู่บนพื้นตรงมุมหนึ่งไกลเตียงตนเอง
หรือมันจะน้อยใจที่เขาเอาหมอนเก่าๆเยินๆมาให้มัน?
พระไวยเริ่มฟุ้งซ่าน คิดกังวลไปต่างๆนานา
ยิ่งได้ยินเสียงพื้นกระดานลั่นเบาๆด้านนอก ใจก็ยิ่งว้าวุ่น
นี่มันโกรธเขาหรอ? น้อยใจเขาเรื่องอะไรเนี่ย?
รึว่ามันไม่อยากอยู่กับเขา? มันเบื่อเขาแล้วเรอะ! ทีนี้เขาจะตายรึเปล่าเนี่ย!
โอ๊ยยยย คิดไม่ออกวุ้ย! ไม่คิดแล้วววว
สุดท้าย ทางเลือกของพระไวยก็คือดึงผ้าห่มมาคลุมโปงซะ แล้วดับโคมไฟหัวเตียง พยายามจมลงสู่ห้วงนิทราโดยไว
นอน! นอนซะพระไวย ไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น! มันจะเป็นยังไงก็ช่างหัวมันเหอะ!
ดึกมากแล้ว และอากาศข้างนอกก็เย็นยะเยือกยิ่งกว่าตอนหัวค่ำ เพราะรังสีรอบๆตัวใครบางคนทวีความแรงขนาดหนัก
ชีวานอนนิ่งๆอยู่ที่ทางเชื่อมเรือน สายตาทอดจับไปยังกลุ่มดาวบนท้องฟ้าที่เรียงรายกันสุกสกาว
แสงจันทร์สีนวลทอแสงอ่อนโยนเย็นระเรื่อยมายังใบหน้าคมคายหล่อเหลา ราวกับกำลังจะปลอบคนที่อยู่ในอาการ ‘น้อยใจ’
ชีวาหลับตาลง ทว่าไม่วายขมวดคิ้วอยู่นั้น ลองที่จะหลับหลายครั้งแล้ว แต่ก็หลับไม่ได้
ใจมันพะวงไปถึงผิวเนื้อนิ่มละมุนหอมละไม ที่ตนได้มีโอกาสสัมผัสครั้งโอบอุ้มอีกฝ่ายไว้ในวงแขนเมื่อตอนเย็น
น้อยใจนั่นแหละ แต่ก็แค่นั้น...
เมื่อนึกถึงความลำบากที่พอจะสัมผัสได้จากอีกฝ่าย ใจเขาก็อ่อนยวบ
ไม่เคยรู้สึกอย่างรุนแรงกับใครแบบนี้มาก่อนเลย
คิดแล้วคิดอีก คิดวนเวียนไปมา ที่สุด ก็ต้องทำตามสิ่งที่ความรู้สึกเรียกร้อง
แค่อยากเห็นว่าคนข้างในนอนหลับสบายดี แค่นั้นจริงๆ...
เทวบุตรรูปงามหายตัวเข้าไปด้านใน
ชีวาส่ายหน้า เมื่อมองเห็นก้อนกลมเล็กๆคู้ตัวขดตัวอยู่บนเตียง หัวคิ้วนั่นมุ่นเข้าหากัน
ตัวแค่นี้ อายุแค่นี้ แต่คงจะแบกปัญหาเอาไว้มากทีเดียว
ชายหนุ่มถอนหายใจ เขาต้องยอมแพ้กับความสงสารอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้
สองเท้าก้าวเดินไปใกล้ๆ แล้วก็ขยับมือจัดแจงผ้าห่มให้คลุมตัวดีกว่านี้ ด้วยกลัวว่าคนหลับจะหนาว
พอนิ้วแตะหัวคิ้วได้ หัวทุยกลมๆก็ขยับเข้าหาฝ่ามือของเขาอย่างต้องการความอบอุ่น
ชีวายิ้ม บรรจงคลายอาการขมวดปมเป็นโบให้อย่างแผ่วเบานุ่มนวล
พระไวยเหมือนจะสะลึมสะลือขึ้นมาในจังหวะหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงอ้อแอ้ราวเด็ก
“อือ... ขอโทษนะปีศาจ... อย่าน้อยใจ...” น้ำเสียงนั้นไม่ค่อยชัด อาจเพราะความง่วง แต่ถ้อยคำก็เข้าสู่หัวใจคนฟังได้แจ่มแจ้ง
ชีวาก้มลงไปสูดความหอมแบบกลิ่นเด็กใกล้ๆ ทว่า... ไม่กล้าแตะผิวใสระเรื่อ
ในความหอมนั้น ชีวาได้รับพลังงานบางอย่างเข้าไปด้วย ความเกร็งเครียดตามร่างกายและความอ่อนล้ามลายหาย เหลือแต่ความสดชื่นแจ่มใส
เพียงน้อยนิด... แต่กลับทำให้พลังฟื้นคืนอย่างน่าพิศวง
อา... พลังของเจ้ามันช่างอัศจรรย์นัก พระไวยของข้า
ชีวาค่อยๆถอยห่างออกมา แล้วล้มตัวลงนอนข้างๆ
เตียงที่เคยแข็งกลับพลันนุ่มสบายจนใครอีกคนหลับลึกลงนิทรา
ผ้าห่มผืนเก่าหอมใหม่สะอาดอย่างน่าตกใจ และหมอนแข็งๆก็นิ่มขึ้น
ชีวายิ้มกว้างให้คนหลับ เกลี่ยปอยผมให้เห็นหน้าขาวเนียน
ดวงตาคมกล้าค่อยปิดลง แล้วขยับไปอีกมุมหนึ่งของเตียง
เอาเป็นว่า... มาถึงขั้นนี้แล้ว ขอนอนด้วยก็แล้วกันนะเจ้า
TO BE CON...
___________________________________________________________________________________________
มาก่อนตามคำเรียกร้อง เดี๋ยววันหลังมาจัดหน้า ไปล่ะนะ พรุ่งนี้ไปเรียนค่าาาา
