ผมคือ...นางเอก#แถลงรัก(ครึ่งแรก)อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมาวัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พลัง"สาธุ..."
เสียงสวดให้พรยามเช้าของผู้ทรงศีล กับเสียงรับพรของฆราวาส นำพาให้รู้สึกว่าเช้านี้ เป็นอีกวันที่ชีวิตยังต้องดำเนินไป
เช้าวันใหม่เริ่มขึ้นด้วยความสุขสงบ สองแม่ลูกกราบลาพระสงฆ์ที่ผ่านมาบิณฑบาต รอจนพระท่านเดินจากไป แล้วพากันเดินเข้ารั้วบ้าน ก่อนผู้เป็นแม่ จะชำเลืองไปเห็นใครบางคนที่มาหยุดยืนอยู่ข้างกันเสียก่อน
แม่ชีท่านนี้ จะมาเรี่ยรายบุญอย่างนั้นหรือ?
เพราะภาพแรกที่เห็นแปลกตา และไม่คุ้นหน้าสักเท่าไหร่ บุหงาจึงเผลอคิดไปว่าอาจเป็นแค่แม่ชีทั่วไป ที่เดินมาขอเรี่ยรายเงินทำบุญ อย่างที่เคยพบเห็นอยู่บ่อยครั้ง ทว่าพอลองเพ่งพินิจพิจารณาดูให้ดีเท่านั้น ใบหน้าหญิงวัยกลางคนก็พลันตื่นตระหนก
"...ชิด...ชิดจันทร์??"ได้ยินเสียงเรียก แม่ชีก็ส่งยิ้มน้อยๆให้คนที่เคยบาดหมาง สองแม่ลูกที่เธอเคยชังแสนชัง วันนี้แทบจำไม่ได้แล้วว่าเคยเกลียดด้วยเรื่องอะไร คนคนนี้เคยทำอะไรให้ เมื่อก่อนที่แค่นึกถึงในหัวใจก็เดือดพล่าน ทว่าตอนนี้...
ชิดจันทร์จำความรู้สึกอย่างนั้น ไม่ได้แล้วสักอย่างเดียว
“สวัสดีค่ะ ขอฉันเจอพ่อหน่อยได้หรือเปล่าคะ?” เห็นว่าคนตรงหน้ายังคงละล้าละลัง ชิดจันทร์ก็เอ่ยปากขอด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
ด้วยเพราะผิดจากความทรงจำชนิดหน้ามือหลังมือจึงยิ่งทำให้บุหงาลนลานยิ่งกว่าเก่า “ช..เชิญค่ะ” คำเชิญเข้าบ้านจึงเงอะๆงะๆ จนน่าสงสาร ร่างผอมแห้งของหญิงวัยกลางคนรีบเดินนำแม่ชีเข้าบ้านไป โดยมีลูกชายวัยสิบขวบเดินประกบติดพร้อมสีหน้าระแวดระวัง เพราะไม่ค่อยคุ้นเคยกับคนที่จู่ๆก็โผล่มา เด็กน้อยกลัวเหลือเกิน ว่าประวัติจะซ้ำรอย เหมือนกับตอนผู้มาเยือนที่ชื่อว่า เสน่ห์จันทร์
สายตากลมโตของเจ้าตัวจ้อย จ้องมองชิดจันทร์อย่างหวั่นหวาด คนถูกมองเพียงหันมายิ้มน้อยๆให้ ไม่พูดอะไร นอกจากเดินตามบุหงาเข้าไปในบ้าน
ตั้งแต่เหยียบเข้าประตูรั้วมา กระทั่งถึงธรณีประตูใหญ่ ความคิดเดียวที่แล่นอยู่ในหัวของแม่ชีคือ 'เก่า' บ้านหลังนี้มันดูเก่าเหลือเกิน...เก่าเกินกว่าในความทรงจำ จนแทบจำไม่ได้ นอกจากจะเก่าตามกาลเวลาแล้ว ยังดูทรุดโทรมซอมซ่อ จนไม่เหลือเค้าโครงของอดีตคฤหาสน์เจ้าสัวใหญ่เลยแม้แต่นิด สิ้นทั้งศักดิ์ ไร้ทั้งศรี
"ฉันรอพ่อที่ตรงนี้ก็ได้" ชิดจันทร์หยุดรออยู่ตรงห้องที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นห้องรับรองแขกห้องใหญ่ แม้ว่าตอนนี้ มันจะรกรุงรังไปด้วยข้าวข้องเก่าเก็บราวกับเป็นเศษขยะ
"เขาออกมาหาแม่ชีไม่ได้หรอก แม่ชีเข้ามาหาเขาเองได้ไหมคะ?" บุหงาชี้ชวนด้วยถ้อยคำถ้อยทีถ้อยอาศัย ใบหน้าหย่อนคล้อยตามวัยฉายแววกังวลเล็กๆ แม้อีกฝ่ายจะนุ่งขาวห่มขาว บุหงาก็ยังรู้สึกเกรง จนรู้สึกลำบากใจที่จะขัดใจ แต่พอเห็นชิดจันทร์พยักหน้ารับ แล้วยอมเดินตามมาแต่โดยดี สีหน้าหนักอกหนักใจนั้น ก็เริ่มคลายกังวลเล็กน้อย
บุหงานำชิดจันทร์เข้าไปที่ห้องพักฟื้นของสมภพ เปิดประตูออกด้วยความลังเลเล็กๆ ก่อนเดินนำเข้าไปที่เตียงที่มีคนป่วยนอนหลับลึกรออยู่ บุหงาค่อยๆยอบกายลงนั่งที่ข้างเตียงน้อย กระซิบเรียกชื่อสามีเบาๆ เพื่อปลุกให้อีกฝ่ายได้ขึ้นมาพบกับคนที่กำลังรอจะเจอ
ภาพที่ปรากฏต่อหน้าของชิดจันทร์ ทำแม่ชีตกประหม่าไม่น้อย ภาพนั้นช่างกระแทกความรู้สึก ภาพนั้นช่างต่างจากความทรงจำ จนเกือบไพล่นึกไปว่าหล่อนอาจมาผิดบ้าน ภาพของพ่อ ผู้เป็นอดีตอดีตลูกเจ้าสัวเสเพล ผู้หยิ่งทะนงองอาจ พ่อที่มีชีวิตร่ำรวยฟุ้งเฟ้อที่ไม่เคยชายตามาสนใจลูกนอกคอกอย่างหล่อน...พ่อคนนั้น
คือคนเดียวกันกับผู้ชายที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงนี้จริงๆหรือ?
“...พ่อ?” ชิดจันทร์ขานเรียกผู้เป็นบิดาด้วยเสียงที่เบาราวกับเสียงกระซิบ ถึงสภาพที่เห็นตรงหน้าจะต่างจากบิดาในความทรงจำ ชนิดที่ไม่สามารถเอาไปเทียบกันได้ แต่แค่เห็นแววตา ก็พอรู้ว่าเป็นคนคนเดียวกัน ชิดจันทร์นิ่งมองร่างของพ่อ ที่ไม่ตอบสนองสิ่งใดกลับมานอกจาก ดวงตาที่เบิกกว้างและริมฝีปากที่พะเงิบพะงาบกับเสียงที่เล็ดลอดออกมาก็ราวกับเสียงลูกหนูตัวเล็กๆ เสียงที่ถ้าเงี่ยหูฟัง ก็พอจับใจความได้ ว่าพ่อกำลังขานชื่อหล่อน
'ชิดจันทร์...ลูกพ่อ'“...เขาเป็นอัมพาต...ขยับไม่ได้มาเกือบสิบปีแล้ว...” บุหงาอธิบายความ ทว่ากลับไม่กล้าเอ่ยถึงสาเหตุที่ทำให้สมภพนอนแน่นิ่ง “เส้นเลือด....เส้นเลือดในสมองแตก ผ่าตัดช่วยชีวิตไว้ได้ แต่...ก็ต้องกลายเป็นอัมพาต”
"ตั้งแต่...วันนั้นใช่ไหม? วันที่ฉันกับทศมาที่นี่..." แต่แม้บุหงาจะพยายามไม่เอ่ยถึง ก็ดูเหมือนชิดจันทร์จะพอรู้ตัว วันที่ผู้เป็นพ่อล้มลงไปตรงหน้า แต่หล่อนไม่คิดดูดำดูดี ภาพสะเทือนใจจนจำได้ติดตาขนาดนั้น ชิดจันทร์ไม่มีวันลืมได้ลงหรอก
จบคำชิดจันทร์ บุหงาไม่ได้ตอบอะไร แค่เพียงหลุบตาต่ำลงอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดีเท่านั้น แต่ในที่สุดก็เอ่ยปากในบางสิ่งขึ้นมา “เมื่อไม่กี่วันก่อน คุณเสน่ห์จันทร์ก็มาที่นี่ค่ะ”
“แม่น่ะเหรอ? มาทำไม?”
"มา...เพื่อทวงความเป็นธรรมให้คุณค่ะ เพราะพี่ภพเขา...ละเลยคุณ...เพราะไอ้ระยำพวกนั้น...มัน...ทำร้ายคุณ คุณเสน่ห์จันทร์เขาต้องการ...สะสาง..." บุหงาอยากอธิบาย อยากเล่าให้ชิดจันทร์ฟังมากกว่านี้ แต่ราวกับถ้อยประโยคเหล่านั้นจะมาตีบตันอยู่ที่คอหอย เต็มตื้ออยู่ในทรวงอก จึงทำได้เพียงอธิบายสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงที่สั่นพร่าเต็มไปด้วยความวิตกกังวลเท่านั้น
“แม่นี่...ยังเก่งแต่โทษคนอื่นเหมือนเดิมเลย...” ชิดจันทร์ยิ้มบาง พร้อมถอนหายใจเหนื่อยอ่อน “เหมือนกัน...ไม่มีผิด” เหมือนจะเป็นประโยคต่อว่าทับถมเสน่ห์จันทร์ผู้เป็นมารดา หากแต่ประโยคต่อมา ถึงได้รู้ว่าเป็นการทับถมตัวเองของชิดจันทร์ด้วย
“ขอคุยกับพ่อหน่อยได้ไหม?” เมื่อสูดหายใจเข้าปอดลึกๆครั้งหนึ่ง เหมือนจะสามารถปกปิดความรู้สึกบางอย่างให้จมลึกลงไปในดวงตาฉาบแววเศร้าสร้อย บุหงาขยับตัวออกจากตำแหน่งเดิมทันทีที่ชิดจันทร์ร้องขอ ปล่อยแม่ชีเข้าไปนั่งที่ข้างเตียงของสมภพ แล้วตัวเองก็ออกมายืนอยู่ตรงหน้าประตูกับลูกชายที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว
ชิดจันทร์นั่งลงตรงข้างร่างแน่นิ่งของบิดา สายตามองสบไปยังสายตาที่จดจ้องมาอยู่ก่อนแล้วเบื้องหน้า ใบหน้าซูบตอบอิดโรยเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตาถะถั่งทั้งสองข้างแก้ม
“สวัสดีค่ะ คุณพ่อ” คำแรกที่ผู้เป็นบุตรสาวในชุดขาวบริสุทธิ์เอ่ยเอื้อน รอยยิ้มบางๆที่ปรากฏบนใบหน้าอ่อนวัยนั้น ยิ่งทำให้สมภพครางสะอื้น
“....อิด....อัน......”
(ชิดจันทร์) สมภพพยายามอ้าปากเรียกบุตรสาวที่อยู่ตรงหน้า “...อิด.....อัน...อู้ก...”
(ชิดจันทร์ลูก) แม้เสียงจะอู้อี้ไม่เป็นภาษา แต่สมภพก็พยายามเอื้อนเอ่ยทุกคำนั้นออกมาอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้ชิดจันทร์เข้าใจ เพื่อให้สามารถสื่อสารกับลูกสาวคนนี้ได้
อยากคุยด้วยเหลือเกิน อยากขอโทษกับช่วงเวลาเลวร้ายในอดีต ขอโทษสำหรับความไม่เป็นโล้เป็นพายของตน ขอโทษที่แม้แต่ช่วงที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของชิดจันทร์ คนเป็นพ่อแท้ๆอย่างตนกลับปกป้องอะไรลูกไม่ได้เลย
“.....อิด....อั...น....อ้อ....อ๋อ...โอ้ด....”
(ชิดจันทร์ พ่อขอโทษ) อยากแก้ไขอดีต แต่ทำได้เพียงขอโทษกับความขลาดเขลาของตน สมภพร้องไห้ อยากกอด อยากจับมือ ร่างกายก็ไม่อาจขยับเขยื้อน แม้แต่คำว่าขอโทษที่กว่าจะเอ่ยออกมาได้แต่ละถ้อยคำ ใบหน้าก็เกร็งกระตุกไปหมด ริมฝีปากบิดเบี้ยวที่พยายามกลั่นแต่ละคำออกมานั้นก็เต็มไปด้วยน้ำลายไหลย้อยเปรอะเปื้อน ทั้งอย่างนั้นสมภพก็ยังเกร็งหน้าเกร็งตา พยายามสื่อสารความหมายแห่งคำนั้น พร้อมน้ำตาที่ถะถั่งจากดวงตาโบ๋ลึก เพื่อมอบคำว่า
‘ขอโทษ’ ให้กับลูกสาว ที่ตนสุดรักที่ตนเคยปล่อยปละละเลย
มือผอมแห้งแข็งเกร็งพยายามเอื้อมเกี่ยวมือลูกรัก พยายามแล้วพยายามเล่า ขอเพียงได้สัมผัสแม้เพียงชายผ้าขาว หัวใจรวดร้าวเจ็บลึกดวงนี้ อาจพอได้อุ่นขึ้นมาบ้าง
ด้วยแรงพยายามนั้น ในที่สุดก็ทำให้ชิดจันทร์ได้เห็น สิงมือเรียวขาวของแม่ชี ยกขึ้นตระกองมือเหี่ยวแห้งของสมภพไว้ ก่อนมอบถ้อยคำปลอบประโลมใจ ให้สมภพได้คลายสะอื้น
“หยุดร้องเถอะค่ะคุณพ่อ...ถ้าพ่อจะโทษตัวเองที่ปล่อยปละละเลยหนูล่ะก็ พ่อได้ชดใช้กรรมนั้น โดยการเป็นที่พ่อต้องเป็นอยู่แบบนี้แล้ว ไม่ต้องรู้สึกติดค้างแล้วค่ะ” ชิดจันทร์พูดพลางโน้มกายต่ำลงหาผู้เป็นบิดาใกล้ขึ้น หล่อนยังไม่ได้ร้องไห้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รู้สึกเจ็บปวด ชิดจันทร์รู้ดี ทั้งหล่อนและบิดาในตอนนี้ กำลังต้องการการปลดปล่อยซึ่งกันและกัน “หนูอโหสิกรรมให้พ่อทุกอย่างเลยค่ะ” เลิกผูกพยาบาท เลิกก่อกรรมซึ่งกันและกัน “หนูเอง ก็ต้องขออโหสิกรรมกับพ่อด้วย...หนูขอโทษนะคะ ที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้พ่อต้องเป็นแบบนี้ อภัยให้ลูกคนนี้ด้วยนะคะ”
ร่างของสมภพยิ่งสั่นสะท้าน เมื่อได้ฟังสิ่งที่ชิดจันทร์พูดจนจบ เสียงสะอื้นหนักหน่วงดังขึ้นอย่างน่าสงสาร แต่สมภพก็ยังพยายามพยักหน้าจนได้ ยอมรับการอโหสิกรรม และยอมอโหสิกรรม ในทุกๆสิ่งที่ชิดจันทร์ขอมา
ทว่า การมาของแม่ชีชิดจันทร์ในวันนี้ ไม่ใช่เพื่อขออโหสิกรรมกับผู้เป็นบิดาเพียงอย่างเดียว อย่างที่ทุกคนคิด แต่มาเพื่อแจ้งบางสิ่ง ที่น่าสะเทือนใจยิ่งกว่า
“มีอีกเรื่องค่ะ ที่หนูอยากจะบอก” น้ำเสียงของแม่ชียังคงอ่อนหวาน ใบหน้าหมองเศร้านั้นก็หามีหยาดน้ำตามาแต่งแต้มไม่ แม่ชีราวกับเป็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบไร้จิตใจ ทั้งที่เรื่องที่กำลังเผชิญนั้นช่างแสนสาหัส
“พ่อขา...แม่ตายแล้วค่ะ”สิ้นคำชิดจันทร์ ความเงียบงันน่าใจหายก็เข้าปกคลุมทั้งห้องในพริบตา ข่าวการตายของเสน่ห์จันทร์ จากปากของชิดจันทร์ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ บ้านสมภพไม่ทราบเรื่องการตายของเสน่ห์จันทร์เลยแม้แต่นิด บ้านพวกเขาไม่มีทีวี หรือเครื่องมือที่จะรับสัญญาณสื่อสารกับโลกภายนอก ไม่รับรู้ข่าวสารใดๆ ทั้งดีหรือร้าย เพราะแค่กระเสือกกระสนเอาตัวรอดไปวันๆก็เต็มกลืนเต็มแก่ เงินก้อนเดียวที่เพิ่งได้มาจากเสน่ห์จันทร์เมื่อไม่นานมานี้ ก็ต้องเขียมใช้ เพื่อเป็นค่ายา ค่ารักษาตัวของสมภพ รวมทั้งเป็นค่าเล่าเรียนของเชน ลูกชายคนเดียว
ดังนั้นเรื่องการตายของเสน่ห์จันทร์ จึงเป็นเรื่องที่น่าตกใจไม่น้อย โดยเฉพาะสมภพที่เกือบจะช็อคหมดสติ
“แม่เขาถูกคนร้ายยิงตายค่ะ...ตายเพราะไปช่วยหนู ที่ถูกจับตัวเรียกค่าไถ่...” ชิดจันทร์เริ่มเล่าสาเหตุให้ฟัง ด้วยใบหน้าซีดสลด ทว่าถึงอย่างไร ก็ยังคงไร้ซึ่งหยาดน้ำตา “แม่ต้องตาย เพราะความโง่ของหนูเอง...”
“พ่อขา...หนูไร้ทางจะเดินแล้ว หนูไม่รู้จะไปไหน ในวันนั้นที่ยังมีแม่...หนูเคยหยิ่งทะนงคิดเสมอว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องมีใคร แต่ในวันนี้หนูรู้แล้ว...ว่าหนูอยากกลับไปในวันนั้นเหลือเกิน เพราะวันนี้...หนูไม่เหลือใครแล้วจริงๆ...”
ถ้อยสารภาพพร่างพรู ชิดจันทร์ที่กำลังอัดอั้น ชิดจันทร์ที่นิ่งงันมาตลอด พอมาเจอญาตเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ ก็ถึงกับกักเก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ไม่ไหว จริงอยู่ผ้าขาวที่ห่มกายไว้ทำให้หล่อนสงบลง แต่มันก็ได้เพียงภายนอกเท่านั้น หล่อนยังไม่สามารถทำใจได้ ทุกอย่างดูสดใหม่ และยังต้องใช้เวลา
ฝ่ายสมภพนั้น ยิ่งพอได้ยินสิ่งที่ชิดจันทร์พูด ยิ่งได้สดับถึงเสียงครางเครือเจ็บร้าวของบุตรสาว เขาก็ร้องไห้ออกมาอีกคำรบ ชิดจันทร์กำลังทรมาน และอีกแล้ว ที่เขาไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้ แม้แต่การกอดปลอบขวัญ แม้ลูกจะไม่ร้องไห้ แต่คนเป็นพ่อย่อมรู้ดีว่าลูกเจ็บปวดแค่ไหน
โถ...ชิดจันทร์ของพ่อ
ลูกเอ๋ย พ่อขอโทษ...ตั้งแต่ให้กำเนิด เคยอยู่ดูแลแค่ไม่กี่หน เติบใหญ่ให้ความสำคัญแค่เงินทองของใช้ ไม่ได้ให้เวลาหรือความอบอุ่น กระทั่งในเวลาที่ลูกต้องเผชิญกับความเลวร้าย เขายังไม่เคยนึกเอะใจ ไม่เคยนึกถามแม้ยามที่ลูกดูแปลกไป คราวที่ลูกหนีออกจากบ้านไปนั่นแหละ ถึงได้รู้ว่าตัวเองเป็นพ่อที่เลวระยำยิ่งกว่าคนพวกนั้นมากแค่ไหน คนที่เฝ้าแต่ตักตวงเพียงความสุขส่วนตน ไม่สนใจลูกเต้า จะแปลกตรงไหนเล่าที่ลูกจะหักหาญหนีหน้า
และแม้อีกครั้งที่ลูกกลับมา พร้อมกับความหายนะของบ้าน พ่อเลวอย่างเขาก็ไม่มีสิทธิ์โกรธ
สมภพมองหน้าเศร้าสร้อยของชิดจันทร์ มองอยู่อย่างนั้นทั้งน้ำตา อยากกอด อยากปลอบใจ อยากทำให้ลูกอบอุ่น ให้สบายใจ แต่กลับทำอะไรไม่ได้แม้แต่จับมือ
ใบหน้าไร้อารมณ์ของชิดจันทร์ก้มต่ำ ปากยังคงพร่ำพล่ามเรื่องความน้อยเนื้อต่ำใจ และความขมขื่น
"หนูเกลียดแม่...เพราะแม่ไม่เคยกอดหนู ไม่ยอมปลอบใจตอนหนูร้องไห้ ทิ้งหนูไว้กับอาม่า เย็นชา และสุดท้ายก็ทิ้งหนูไว้ที่นี่ไม่ใยดี..."
"หนูเกลียดแม่...ที่พรากทุกอย่างไปจากชีวิตใหม่ที่หนูโหยหา...พรากสิ่งที่หนูรัก แล้วยัดเยียดสิ่งที่ตัวเองเห็นชอบมาให้โดยไม่ยอมถามหนูสักคำว่าหนูชอบหรือเปล่า..."
"หนูเกลียด ที่แม่แอบอ้างการดูแลจัดการชีวิตของหนู ทั้งที่ตัวเองไม่เคยมีสำนึกของความเป็นแม่
น้ำเสียงแสดงความเกลียดชังกังวาลชัดในประโยคแรกๆ แต่หลังจากนั้น มันก็แผ่วลงเรื่อยๆ
"หนูคิดอย่างนั้นมาตลอด...กระทั่งตอนนี้..."
"...ทั้งที่คิดว่าถึงยังไงแม่ก็ต้องชดใช้ให้หนูแท้ๆ...แต่มันไม่ใช่แบบนี้ แม่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อชดใช้ให้หนูสิ ไม่ใช่...ตายหนีกันไปแบบนี้..."
"...แม่ทิ้งหนูอีกแล้ว...หนู...ไม่ให้อภัยเด็ดขาด..."
ชิดจันทร์พูดพร่ำ วนไปวนมาด้วยความสับสน
"หนูยังไม่ได้ให้อภัยแม่เลยนะ...ทำไม ถึงทิ้งหนูไปอีกแล้ว..."น้ำตาหยดน้อยหลั่งลงมาจาดวงตาเหม่อลอยเป็นหยดแรก
"พ่อขา...ทำไมทุกคนถึงทอดทิ้งหนู..." ที่ผ่านมาไม่ใช่ไม่เจ็บถึงได้ไม่ร้องไห้ แต่เพราะเจ็บจนตื้อจนชา น้ำตาเลยหลั่งรดอยู่ในหัวใจไม่ไหลออกมาที่ด้านนอก แต่ตอนนี้ ความเจ็บมันเกินจะรับไหว จนน้ำตาท่วมหัวใจไหลหลั่งมาด้านนอก
ไม่ใช่ชิดจันทร์ไม่ร้อง
แต่ร้องไห้อยู่ตลอดเวลาเลยต่างหาก...
หมับ!ในที่สุด ความพยายามอย่างสุดแรงกล้าของสมภพก็สำฤทธิ์ผล มือเกร็งแห้งเหี่ยวสามารถคว้ามือนิ่มของบุตรสาวเอาไว้ได้แล้ว แม้จะกอดไม่ได้ ใจของสมภพก็ยังคาดหวังเต็มล้น ว่าจะสามารถส่งผ่านความรักสุดชีวิตนี้ ส่งผ่านมือไปให้ถึงหัวใจของชิดจันทร์
รับรู้เถอะชิด ลูกยังมีพ่อ พ่อขอสาบาน
"อิด...อ้อ...อะอู่...อับอู้ก..."
(ชิด พ่อจะอยู่กับลูก) ริมฝีปากเกร็งเบี้ยวอ้าออกเสียงประโยคสำคัญ
อย่าเพิ่งแตกสลายไปนะลูกนะ ได้โปรดให้พ่อได้ชดเชย
“อ้อ...อะไอ้...อิ้งอู้ก...เอ็ดอ๋าด”
(พ่อจะไม่ทิ้งลูกเด็ดขาด) สมภพพยายามพูดให้ชิดจันทร์ฟัง โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย ที่ตั้งใจออกเสียงให้ชัดถ้อยที่สุด
“พ...พ่อ....ร...ร...รัก...ลู...ก...นะ...” เหมือนการรอคอยอะไรบางอย่างได้จบลง ชิดจันทร์ทรุดกายลงสะอื้นฮั่กอยู่กับมืออุ่นของบิดา
ตอนแรกที่ตั้งใจมา ก็เพียงเพื่อมาลาครั้งสุดท้าย และแจ้งข่าวการตายของผู้เป็นแม่เท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจอยู่นาน เพราะแท้จริงแล้วชิดจันทร์เองก็ไม่ได้รู้สึกสนิทใจกับผู้เป็นพ่ออย่างสมภพนัก ภาพความทรงจำยังคงมีแต่ความห่างเหิน ยังดีหน่อยอาจเป็นที่ชิดจันทร์อยู่กับอาม่า เลยสนิทคุ้นเคยกับบิดามากกว่าความรู้สึกด้านลบที่มีให้คนเป็นแม่ แต่ก็นั่นแหละ ถึงอย่างไรก็ไม่ได้สนิทใจ
ก็แค่พ่อแม่พรรค์นั้น...ชิดจันทร์คิดทบทวนอยู่ในหัวใจที่กลวงโบ๋ของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งใจบวชชี และใช้พุทธธรรมคำสั่งสอนขององค์ศาสดามาช่วยเยียวยาจิตใจรวดร้าว หวังพึ่งพระศาสนาช่วยบรรเทาความคั่งแค้น หวังใจอยากหลุดพ้นความทุกข์ตรมทั้งปวงผอง ตั้งใจเดินต่อไปข้างหน้าในทางที่ตัวเองเลือก ไม่คิดเหลียวหลังกลับอีกไม่ว่าใครจะฝืนดึงรั้ง หล่อนมันตัวคนเดียว ตัวคนเดียวมาตั้งแต่ต้น จะอยู่หรือไป ก็คงไม่มีผลต่อชีวิตใครมากนัก
ดีเสียอีก โลกที่ไม่มีชิดจันทร์ แผ่นดินอาจสูงขึ้น
น่าแปลกที่ไม่มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย ทว่าก็ไม่เหลือความคิดอยากใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ต่อ จึงออกจากบ้าน ขับรถเรื่อยเปื่อยมาจนถึงวัดที่ใช้จัดงานศพของเสน่ห์จันทร์ผู้เป็นแม่ แต่ชิดจันทร์ก็ไม่ได้คิดที่จะเข้าไปในงาน ไม่มีกะจิตกะใจจะเข้าไปเคารพศพ ไม่อยากเห็น และไม่มีหัวคิดที่จะทำอะไรทั้งนั้น จอดรถไว้ที่ลานจอด เดินผ่านศาลาที่มีศพแม่ตนตั้งอยู่ ผ่านไปจนถึงโบสถ์ด้านใน ที่มีสระเลี้ยงปลาสระใหญ่ อยู่ด้านหลัง ไม่ได้แวะไหว้พระประธาน แต่ผ่านไปยังสระใหญ่นั่นแทน ซื้อเพียงอาหารปลามาถุงใหญ่ โปรยเลี้ยงปลาไปเรื่อยๆ ด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย นั่งอยู่แบบนั้นจนเวลาผ่านไปไม่รู้เท่าไหร่ แม่ชีคนท่านหนึ่งจึงเดินเข้ามาหา
“ทุกข์ไม่มีวันหายได้เพียงใช้ตามอง แต่สามารถบรรเทาลงได้โดยใช้ใจมองนะลูก”
“ทุกข์ เป็นเรื่องของมนุษย์ทุกผู้ ทุกข์ใจไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การแบกทุกข์ไว้ จะทำให้เราก้าวต่อไปได้ยาก”
“หากลูกไม่มีที่ไป อยู่กับแม่ที่นี่ให้พอคลายทุกข์ได้นะ”
คำสอนของแม่ชี ทำให้อะไรบางอย่างในหัวใจของชิดจันทร์พบเห็นทางสว่าง แม้จะไม่สามารถหลุดพ้นจากความมืดมนอนธกาลในหัวใจได้ แต่อย่างน้อยก็ยังพอเห็นแสงส่องทางริบหรี่ ในที่สุดชิดจันทร์จึงตัดสินใจบวชชีในวันนั้นตามคำชวนของแม่ชี
ได้รับคำสอนหลายๆอย่าง จนได้สติ จนสามารถตัดสินใจเข้าร่วมพิธีเผาศพมารดาในที่สุด ได้แสดงความกตัญญุตาครั้งสุดท้าย ได้เก็บเถ้ากระดูก และได้มาที่นี่ ได้เจอกับพ่ออีกครั้ง
พ่อที่ตนไม่คิดจะยี่หระ ทว่าแค่พอเห็นสภาพความเป็นอยู่อันแสนเอน็จอนาถของคฤหาสน์ซอมซ่อ รวมถึงสภาพของพ่อที่แทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม อะไรหลายๆอย่างเปลี่ยนไปแล้ว อดีตไม่อาจย้อนคืน แม้จะฝืนรั้งไว้แค่ไหนสุดท้ายก็หลุดมือไปวันยังค่ำ
‘บางครั้งเราต้องตัดใจทิ้งบางสิ่งไว้เบื้องหลัง เพียงเพื่อจะสามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้’ คือคำสอนที่แม่ชีให้ไว้ ตอนนี้ชิดจันทร์เข้าใจคำนั้นกระจ่างแล้ว เพราะ
‘หากยังโอบกอดความแค้นเอาไว้ ’ หล่อนจะไม่สามารถหนีออกไปจากวังวนนี้ได้เลย ปิดหูปิดตา เฝ้าโทษบิดามารดามาทั้งชีวิต ทั้งที่คนที่ควรจะโทษที่สุดคือตัวเอง
ชิดจันทร์กุมมือบิดาไว้ ขณะที่ยังสะอื้นไห้ไม่หยุด น้ำตาที่หยุดไหลไปตั้งแต่วันที่เสน่ห์จันทร์จากไป ถะถั่งหลังไหลออกมาราวกับทำนบแตก ร้องออกมาให้หมด ร้องออกมาราวกับเด็กเล็กๆ ร้องเพื่อที่จะได้พบกับตัวตนใหม่ เมื่อหยาดน้ำตาเหือดแห้งลง
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน กว่าสองพ่อลูกจะหยุดร้องไห้ได้ และมันราวกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของทั้งคู่จริงๆ นับจากที่น้ำตาหยดสุดท้ายเหือดแห้ง ทั้งชิดจันทร์และสมภพ รู้สึกได้ว่าหัวใจของพวกตนเบาขึ้น ความอัดอั้นตันใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เคยถ่วงหนักในความรู้สึก ตอนนี้ เหมือนมันจะค่อยผ่อนคลาย ละลายหายไปบ้างแล้ว
ดีเหลือเกินที่ยังทนมีชีวิตอยู่ เพื่อเจอลูก
ดีเหลือเกินที่ได้มาหาพ่อวันนี้...ในที่สุดชิดจันทร์ก็ยิ้มได้ แม้จะยังขมขื่นเต็มทน สองมือยังคงสั่นน้อยๆ ขณะล้วงบางอย่างออกจากกระเป๋าย่ามสีขาวข้างตัว สิ่งนั้นคือตลับแก้วใสตลับน้อยที่ใส่เศษเถ้ากระดูกของเสน่ห์จันทร์เอาไว้ หล่อนบรรจงใส่ตลับนั้นไว้ในมือของบิดามั่น
“พ่อคะ...หนูฝากดูแลแม่ด้วยนะคะ” ชิดจันทร์ฝากฝัง ก่อนจะตัดใจเอ่ยคำลาเมื่อถึงเวลาอันสมควร “ในสักวันหนูจะกลับมาหาพ่อใหม่ ถึงตอนนั้นสัญญาได้ไหมคะ ว่าพ่อจะหายดี” ชิดจันทร์เอ่ยคำลาออกมาด้วยเสียงเครือสั่น ดวงตาอ่อนล้าที่ทอดมองร่างแน่นิ่งของบิดานั้นเริ่มมีหยาดน้ำตารื้นขึ้นอีกครั้ง
สิ้นคำของบุตรสาว สมภพก็ถึงกับสะอื้นฮั่ก เพราะมีทั้งน้ำมูกน้ำตาไหลเลอะเปรอะ ทำให้ลำคอตีบตันจนไม่อาจตอบคำถาม หรือให้คำมั่นใดๆเป็นคำพูดแก่ชิดจันทร์ได้อีก ทำได้เพียงเกร็งคอพยายามพยักหน้าตอบรับคำมั่นอย่างเอาเป็นเอาตายเท่านั้น
“ขอบคุณค่ะ...คุณพ่อ” ชิดจันทร์ยิ้มให้ผู้เป็นบิดาทั้งน้ำตานองหน้า ก่อนเอ่ยคำลาพร้อมก้มกราบแทบฝ่ามือเหี่ยวแห้ง ทว่าแสนอบอุ่น “หนูไปก่อนนะคะ” แล้วตัดใจเดินออกจากตรงนั้นโดยไม่หันหลังกลับไปอีก หล่อนยังต้องเดินทาง
ก่อนจากชิดจันทร์ฝากฝังบุหงาไว้ ให้ติดต่อไปทางสุริยาวดี เพื่อรับความช่วยเหลือทางการเงิน ในการรักษาสมภพ การซ่อมแซมบ้าน ค่าเล่าเรียนศึกษาของเชน ผู้เป็นน้องชายต่างมารดา รวมทั้งอาชีพของบุหงาที่ต้องมีไว้หาเลี้ยงชีพ
ไม่ได้เรียกว่าเคลียร์แล้วทุกอย่าง แต่อย่างน้อยก็พอรู้สึกว่า ได้สะสางบางอย่างได้บ้างแล้ว ชิดจันทร์จึงออกเดินทางไกล ที่หมายคือวัดเล็กๆวัดหนึ่งในจังหวัดห่างไกล ตามที่แม่ชีผู้ชี้ทางสว่างท่านแรกได้ให้แนวทางไว้
แม่ชีชิดจันทร์สูดหายใจเข้าปอดเพื่อกลั่นพลังชีวิต สายตาแน่วแน่มองตรงไปยังทางเบื้องหน้า
ก้าวเดินเนิบช้าจากไป ทิ้งอดีตที่แสนปวดร้าวไว้เบื้องหลัง มือขวาล้วงลงในกระเป๋าเสื้อขาว กอบกำตลับเล็กอีกตลับที่เก็บติดตัวไว้แน่น
อย่างน้อยๆ ก็ไม่ได้อยู่ลำพัง
อย่างน้อยๆ ในสักวันอาจยืนหยัด และกลับมาได้..
ในสักวัน ปล.ใครมีคำถามอยากสัมภาษณ์พี่เมธ น้องยุไหมคะ อิอิ ฝากเอาไว้ได้นะถ้าว่าง เดี๋ยวจะกลายร่างเป็นนักข่าวสาวเข้าไปแจมสัมภาษณ์ให้จ๊า