เสียงเอะอะโวยวายดังสนั่นจนทุกคนต้องเข้ามาดูสาเหตุของเสียง ทั้งข้าวของทั้งอุปกรณ์ต่างๆภายในห้องถูกโยนเข้าข้างฝาผนังจนพังยับไม่มีชิ้นดี เศษแก้วเศษจากที่แตกหล่นเกลื่อนกลาดไปทั่วห้องจนหาที่เดินยังยาก
ความวุ่นวายบนเตียงคนไข้ที่มีบุรุษพยาบาลตัวใหญ่กว่าสามคนล้อมรอบช่วยกันจับคนที่ดีดดิ้นรุนแรงอยู่บนเตียง แม้จะยากลำบากแต่คนที่พึ่งฟื้นขึ้นมาก็ไม่มีแรงพอจะสู้จนถูดมัดแขนติดไว้กับเตียงทั้งสองข้างก่อน
“คุณศูรคะ หมอเกรงว่าคงต้องใช้ยากล่อมประสาทให้คุณรพี”แพทย์หญิงเจ้าของไข้ดูพลางมองประเมินคนไข้บนเตียงที่อาละวาดไม่ยอมหยุด ศูรถอนหายใจพยักหน้าตอบให้กับคนที่ขออนุญาต
“ลูกผมจะหายมั้ยครับคุณหมอ”ถามด้วยใจที่หนักอึ้ง มองดูลูกชายที่เริ่มสงบสติอารมณ์ก็ยิ่งรู้สึกว่าใจสลาย
“มีโอกาสหายค่ะ แต่ต้องใช้เวลา ที่สำคัญตอนนี้คือคนไข้ คุณศูรต้องหาทางคุยกับคุณรพีให้ยอมรับสภาพของเขาตอนนี้ให้ได้เสียก่อน”แพทย์หญิงบอกพร้อมให้กำลังใจทางสีหน้า เคสแบบนี้เธอเจอมาค่อนข้างจะเยอะ อาการป่วยไม่ได้รุนแรงขนาดว่าจะรักษาไม่หาย หากเป็นที่คนไข้ต่างหากที่ไม่มีกำลังใจจะรักษาตัว
“ครับคุณหมอ”ศูรว่าเศร้าถอนหายใจอีกรอบ
หลังจากที่รพีถูกพาตัวออกจากห้องผ่าตัดแล้วถูกพักไว้ในห้องผู้ป่วยหนักก่อนที่แพทย์จะอนุญาตให้ย้ายมาในห้องพิเศษได้ มีศูรเพียงคนเดียวที่รอคอยลูกชายให้ฟื้นขึ้นมาอยู่ข้างๆโดยไม่ได้ไปไหน เนื่องจากคนอื่นก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องไปทำ พวกสาวใช้และโชนก็กลับไปหยิบข้าวของจำเป็นที่บ้าน ส่วนวัชรเลขาหนุ่มหน้าตี๋ดูจะงานหนักสุดเมื่อได้รับคำสั่งให้ไปจัดการเรื่องปิดข่าวทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นข่าวการตายของนลินหรือแม้กระทั้ง...ประธานกรรมการของบริษัทเครือเรืองรัตนโยดม...อัมพาตช่วงล่าง
ความรู้สึกมืดแปดด้านเกิดกับชายผู้ที่เก่งไปเสียทุกอย่างในวัยเกือบแปดสิบ ศูรกุมขยับดูลูกชายที่สงบนิ่งไปแล้ว ข้อมือแดงช้ำเพราะแรงเสียดสีกับผ้าที่มัดไว้กับราวเตียง
เมื่อตื้นขึ้นมาในโรงพยาบาล คนแรกที่รพีเห็นหน้าคือพ่อของตัวเอง อดไม่ได้ที่สอดส่ายสายตามองดูรอบข้างหาคนที่เห็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจำอะไรไม่ได้ เมื่อไม่เจอจึงเลือกที่จะสอบถามจากคนเดียวที่อยู่ในห้องนี้
ก่อนจะได้คนตอบว่าอดุลย์พักอยู่ในโรงพยาบาลเดียวกันแต่อยู่กันคนละตึกคนละแผนก รพีจึงจะลุกขึ้นเดินไปหาคนที่ถามถึงเพื่อดูอาการด้วยความเป็นห่วงกลัวจะเป็นอะไรหนักหนากว่าที่ศูรว่าไว้
แต่...
ทันทีที่พยายามจะลุก ร่างกายส่วนล่างของเขาไม่ได้ยอมรับคำสั่งจากสมอง ความรู้สึกด้านชาที่ขาทั้งสองข้างราวกับว่าไม่มีขาทำให้ตาคมดุเบิกค้างด้วยความตกใจ มือใหญ่ของตัวเองค่อยๆเปิดผ้าห่มที่คลุมตัวเองอยู่ออกด้วยมือที่สั่นเทา เหนือเม็ดใหญ่ผุดออกจากหน้าผาก ก่อนจะพบว่าตัวเองยังมีขาไม่เป็นแบบที่คิดไว้ แต่เมื่อใช้มือจิกลงที่เนื้อกลับไม่พบว่ามีความรู้สึกเจ็บปวดอะไร
หน้าคมนิ่งช็อคทันทีที่รู้ตัวว่าเป็นอะไร ศูรมองดูด้วยความเป็นห่วงอยู่ใกล้ๆ เขาเองก็พูดไม่ออกก่อนที่ร่างชราของตัวจะรีบถลาเมื่อรพีออกแรงทุบขาตัวเองดังปั่ก! ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแต่เขาทุบรั่วจนศูรใจเสียกลัวลูกจะเจ็บไปมากกว่านี้
รพีเริ่มร้องโวยวายและทำลายข้าวของจนคนเฝ้าคนเดียวคุมไม่อยู่ด้วยเขาเองก็แก่มากแล้วจึงต้องขอแรงจากทางโรงพยาบาล แต่ก็ไม่ได้คิดว่ารพีจะโดนมักขึงไว้ขนาดนี้
สภาพของคนเป็นลูกทำให้เขารู้สึกแย่ที่สุดตั้งแต่มีชีวิตเกิดมา
“ซัน...ซันต้องหายนะลูกเชื่อพ่อ”ศูรบอกกลับลูกชายพลางลูบไล้ตามชายผมเปียกด้วยเหงื่อของรพีด้วยความรักใคร่ ตอนที่อยู่ลูกอยู่ในห้องผ่าตัด ศูรถึงจะคิดได้ว่าตัวเขาพลาดอะไรหลายสิ่งไป ตอนนั้นเขาภาวนาให้รพีมีชีวิตรอดเพื่อเขา
เพื่อที่เขาจะได้บอกรักลูกมากขนาดไหน...
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูก่อนที่บานประตูจะถูกเปิดออกเผยเห็นร่างบางของคนที่คนที่พึ่งหลับจากฤทธิ์ยากำลังเป็นห่วง อดุลย์เดินเข้ามาด้วยขาข้างเดียวกับไม้พยุงส่วนอีกข้างเป็นแผลจากตอนที่หนีออกจากบ้านของการิน แล้วไปเผลอเหยียบก้อนหินแหมเข้า
“อดุลย์”ศูรครางเรียกคนเข้ามาใหม่เสียงอ่อน ชะเง้อไปด้านหลังหวังจะเห็นหลานชายแต่ก็ไม่พบ
“ค่อยยังชั่วหรือยัง”ศูรเอ่ยถาม อดุลย์สะดุดลมหายใจไปชั่วครู่ก่อนจะระบายลมพร้อมความอึดอัดที่อยู่ในอกออกมาพร้อมกันในคราวเดียว
“ดีขึ้นแล้วครับคุณท่าน...แล้วคุณรพี”อดุลย์มองไปที่คนบนเตียงแล้วตาโตต้องเบิกกว้างตกใจ เมื่อเห็นสภาพห้องภายในใกล้ๆเตียงเละเทะไม่มีชิ้นดี คนบนเตียงเองก็ถูกมัดไว้สภาพดูน่าอนาถ
“ค...คุณรพีเป็นอะไรไปครับ”ถามพลางรีบเขย่งพาตัวเองเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูก่อนจะเข้ามาดูรพีใกล้ๆ
“เขาอาละวาด”ศูรตอบก้มต่ำมองที่พื้นที่เกลือนกลาดไปด้วยข้าวของ ร่างบางหันมามองผู้สูงวัยด้วยความเป็นห่วง ความหมองเศร้าบนใบหน้าทำให้ตัวเองรู้สึกกังวลบวกรู้สึกผิดที่กับเรื่องที่จะมาพูดในตอนนี้
เมื่อคืนหลังจากอดุลย์ฟื้นและได้พูดคุยกับตะวันเสร็จ...เขาก็นอนพักหลับจนลึกต่อด้วยความเพลีย จนกว่าจะตื่นขึ้นมาก็พบว่าไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว พบก็เพียงแต่โน้ตกระดาษแผ่นหนึ่งของลูกชายที่เขียนทิ้งไว้ เป็นสาเหตุให้เขาต้องเดินข้ามตึกมาหารพี
“...รพีเขา...อัมพาต”อดุลย์เบิกตามากที่สุดในชีวิต หัวใจเหมือนโดนตีด้วยของแข็ง เจ็บปวดกว่าตอนที่โดนทำร้ายหลายเท่า น้ำตาไหลรินลงมาอย่างไม่รู้ตัว
“...โธ่”ครางเสียงอ่อนก่อนจะจับที่ราวเตียงยืนมองพินิจรพีด้วยความสงสารปนรู้สึกผิด
“อดุลย์...นายช่วยชั้นได้มั้ย”ศูรพูดด้วยเสียงที่ไม่เหมือนแต่ก่อน ความมีอำนาจในเสียงหายไปจนหมดสิ้นที่เหลืออยู่ตรงนี้เป็นเพียงพ่อแก่ๆคนหนึ่งที่สงสารลูกแต่ก็แสร้งไม่ร้องไห้ออกมาด้วยกลัวว่าลูกจะเห็นแล้วไม่มีแรงใจจะต่อสู้
“ชั้นไม่รู้เรื่องราวระหว่างเธอกับซัน...ลูกชายชั้น ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเธอเป็นยังไง แต่ช่วยชั้นได้มั้ยอดุลย์ ตอนนี้ซันมีโอกาสรักษาหาย แต่เขาคงกำลังเสียใจ นายช่วยเป็นกำลังใจให้เขาทีนะ”ขอร้องด้วยเสียงของคนที่สิ้นแล้วทุกอย่าง ขอเพียงให้คนที่รักหายศูรยอมทุกอย่าง
“ท..ทำไม...ถึงเป็นผมล่ะครับ”ผมเสียงแผ่ว รู้สึกแย่กับตัวเองตัวนี้ที่สุด
“ชั้นมองออก...รู้มั้ยอดุลย์ ตั้งแต่เธอกับตะวันย้ายเข้ามาอยู่ในบ้าน บ้านของชั้นก็มีชีวิตชีวามากขึ้น ลูกชายชั้นเองก็ถูกความอบอุ่นนั่นกะเทาะเปลือกนอกจนหมด เขากลับมาเป็นคนที่มีความรู้สึกดีๆให้กับคนอื่น ไม่ด้านชาและไร้หัวใจ...”
“...คนๆนั้นคือเธอนะ อดุลย์”ตัวร่างบางชาวาบกับคำพูดของศูร พอลองย้อนคิดไปถึงแม้รพีจะทำร้ายเขามามากแต่หลายเดือนมานี่รพีดีกับเขามากเช่นกัน
และสาเหตุที่ทำให้ร่างบางรู้สึกผิดที่สุดคงไม่พ้นเรื่องที่รพีมานอนพิการแบบนี้เป็นเพราะปกป้องตัวเขาเอาไว้
“ขอโทษนะครับ..ฮึก..ผมขอโทษ”อดุลย์ร้องไห้ออกมา ขอโทษกับคนที่ทำหน้างงไม่รู้เรื่องราวว่าเขาร้องไห้ทำไม
“ที่คุณรพีเป็นแบบนี้เพราะเขาปกป้องผม...ฮึก...ถ้า..ถ้าหากว่าไม่มีเขาผมคงถูกยิงตายไปแล้ว..แต่ผมกลับ”เสียงพูดปนสะอื้นฟังดูไม่ค่อยชัดแต่ก็จับใจความได้ ใบหน้าขาวร้องไห้จนน้ำตาเปรอะทั่วใบหน้าเพียงเวลาแค่ไม่กี่วินาที
“ไม่หรอกอดุลย์ เธอไม่ผิด รพีเขาเป็นแบบนี้เพราะเป็นสิ่งที่เขาควรทำ เพราะเขาปกป้องสิ่งสำคัญของเขา”ยิ่งศูรพูดก็ยิ่งเหมือนบาดลึกในใจของตัวร่างบาง อดุลย์ทรุดตัวลงกองกับพื้นกุมหน้าตาไว้ร่ำไห้ออกมา
“อย่าเสียใจเลยอดุลย์ ซันต้องหาย แค่เธอช่วยดูแล...”
“...ฮึก..ไม่ได้ครับ ผมดูแลคุณรพีไม่ได้”เสียงติดแหบด้วยความเหนียวคอพูดขัดศูรจนคนพูดสะดุดลมหายใจตัวเอง มองดูคนที่ร้องไห้ทรมานอย่างไม่เข้าใจกับสิ่งที่คนตรงหน้าพูดออกมา
“ผมดูแลไม่ได้...ผม...ผมกับลูกจะย้ายออก..ฮึก..ออกจากเรืองรัตนโยดม”ราวกับความหวังสุดท้ายหลุดรอด ในหัวของชายชรามีแค่ความว่างเปล่า
“ผมขอโทษ”
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
นิ้วยาวที่แผ่อยู่บนเตียงสีขาวขยับบ่งบอกถึงการที่คนที่หลับใหลด้วยฤทธิ์ยากำลังจะรู้สึกตัว ก่อนที่ดวงตาคมจะเปิดออกแล้วกระพริบถี่ไล่น้ำตาที่ติดอยู่ข้างดวงตา
ในยามบ่ายของวันเดียวกันรพีตื่นขึ้นมามองดูรอบๆก็พบว่าแตกต่างจากตอนที่ก่อนเขาจะหลับไป ห้องถูกจัดใหม่หรืออาจจะเป็นเขาที่ย้ายมาห้องใหม่ มองไล่ตามมือตัวเองก็ถูกพบว่าโดนมัดอย่างแน่นหนาที่ขอบเตียง ก่อนจะพบชายชราที่ใบหน้าอิดโรยนั่งหลับอยู่ที่โซฟาตัวเล็กอยู่ไม่ไกล
ความทรงจำก่อนที่จะถูกทำให้หลับตีตื้นขึ้นมาพร้อมกับอาการเหมือนคนไม่มีเท้าทำให้จิตใจรู้สึกห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรง รู้สึกเหมือนว่าโลกทั้งใบที่เขาเคยอยู่มันพังทลายไปหมดแล้ว รู้สึกแย่กับตัวเอง
ตัวเองที่เป็นแค่คน...พิการ
ปึ่งงงง!!! เสียงเหล็กของราวเตียงสั่นไหวกระทบเกิดเสียงดังปลุกให้คนที่พึ่งได้หลับสะดุ้งตื่นก่อนจะมองมาที่เตียงคนไข้มาเป็นอันดับแรก และพบว่าตอนนี้ลูกชายของเขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าที่โกรธเกรี้ยว มือใหญ่ของรพีพยายามดิ้นให้หลุดจากการจับกุม
“อย่าทำแบบนั้น...ซัน...”เพียงคำพูดเรียกชื่อตัวเองทำให้รพีถึงกับหยุดกึก นานแค่ไหนแล้วที่พ่อไม่เคยเรียกชื่อเล่นของเขาแบบนี้ รพีหันไปมองพ่อด้วยความรู้สึกร้าวราน ความเจ็บปวดของลูกชายที่แม้ปากหนักไม่พูดออกมาแต่เขาก็เข้าใจได้ว่าตอนนี้ลูกเขาเจ็บปวดแค่ไหน
“พอได้แล้วนะซัน...ลูกจะหาย เชื่อพ่อ...พ่อจะทำให้ลูกหาย”คำสัญญาเสียงคลอของศูรทำให้รพีจ้องมอง เขาไม่เคยเห็นพ่อในมุมนี้ เคยเห็นแต่พ่อที่เป็นนักธุรกิจใหญ่ มีอำนาจชื่อเสียงและเป็นคนที่น่าเกรงขามมาโดยตลอด
ชั่วครู่ภาพในอดีตก็ถูกย้อนเข้ามาในสมอง
ภาพของงานศพของผู้หญิงที่ตนแทบไม่มีความทรงจำร่วม...แม่
ภาพของชายหนุ่มที่ร้องไห้ราวกับไม่มีอะไรเหลือในชีวิต...พ่อ
ความทรงจำที่ถูกลืมย้อนกลับมาให้นึกขึ้นได้ พ่อของเขาไม่ใช่คนที่มีแค่ภาพลักษณ์ในด้านที่ตนเคยเห็น พ่อเสียใจเป็นและตอนนี้พ่อก็กำลังเสียใจที่สุดเช่นเดียวกับตอนที่เสียแม่ไป
“ผม...เป็นอะไร”คำพูดแรกของลูกชายที่เริ่มสงบนิ่งเรียกความชื้นใจให้ผู้เป็นพ่อ
“ไม่เป็นอะไร...แค่ผลข้างเคียงจากที่ลูกถูกยิง หมอบอกว่ามันหายได้ขอแค่ทำตามที่หมอสั่ง”รพีนิ่งเงียบฟังไม่มีเหตุผลที่เขาต้องทำอะไรที่เป็นการทำให้พ่อเสียใจ
แม้ก่อนหน้าเขาจะรู้สึกเหมือนว่าอยากตายไปให้พ้นๆ แต่พอจำภาพที่พ่อร้องไห้เสียใจตอนที่แม่ตายไปได้ก็รู้สึกไม่อยากตาย
เพียงเพราะไม่อยากให้พ่อต้องร้องไห้แบบนั้นอีกแล้ว
“แล้ว...อดุลย์”ไม่ทันได้ถามจบประโยคดี ศูรก็หลบสายตาลูกชายอย่างเป็นที่น่าสงสัย ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะหยิบกระดาษเอสี่สีขาวที่มีรอยข้อความสีน้ำเงินอยู่เต็มแผ่น
“คุณรพีครับ ผมอดุลย์นะครับ ผมขอบคุณทุกอย่างที่คุณทำให้ผม ถ้าไม่มีคุณวันนั้น ตอนนี้อาจเป็นผมที่กลายเป็นแบบคุณแทน
หรือไม่แน่ถ้าไม่มีคุณ ผมอาจจะเสียชีวิตไปแล้วก็ได้ สิ่งที่คุณทำให้กับผม...ผมรู้สึกดีกับมันมากๆครับ
ในตอนที่คุณอ่านจดหมายนี้ ผมคงไม่ได้อยู่พูดบอกคุณด้วยตัวเอง แต่ผมมีเรื่องจะเล่าให้คุณฟัง เป็นเรื่องที่คุณเองก็สงสัยมาตลอด
ในอดีต...ผมเคยรู้จักคุณ คุณเป็นนักร้องในที่ทำงานของผมตอนนั้น คุณคงจำคนแบบผมไม่ได้ แต่ตั้งแต่ตอนนั้นผมก็ได้คุณช่วยเอาไว้
คุณพูดให้เจ้าของร้านรับผมเข้าทำงาน ทำให้ผมมีชีวิตเดินต่อไปได้ ทำให้ผม...หลงรัก...
ผมเฝ้ามองคุณมาตลอด แต่ก็ไม่กล้าจะบอกเพราะผมเป็นแค่กระเทยคนหนึ่งเท่านั้น คุณที่ผมรู้จักเป็นคนที่ใจดี มีความสามารถ
เราไม่เคยคุยกันแต่ผมชอบที่แอบฟังเวลาคุณคุณกับคนอื่น ทำให้ผมรู้ถึงเรื่องที่คุณทำกับรวิวรรณ
ผมเสียศรัทธาในตัวคุณแต่ผมก็ไม่สามารถปล่อยให้เด็กเป็นอันตราย ผมจึงรับตะวันเป็นลูกของตัวเอง
จนกระทั้งเราได้มาพบกันอีกครั้ง ผมที่ซึ่งเสียศรัทธาในตัวคุณไปแล้วกลับรู้สึกถึงความดีที่ซ่อนอยู่ในตัวของคุณ
คุณปกป้องผมและลูกมาตลอด ให้ความใส่ใจเรามาตลอด หลายคนบอกว่าคุณเย็นชาและเจ้าอารมณ์ ไม่เหมือนกับตอนที่คุณยังเด็ก
แต่ผมก็ยังเห็นคุณเป็นคนคนเดิมเสมอ
ผมขอโทษสำหรับวันนั้น ที่ผมว่าว่าคุณทำลายความสุขของผม
ที่จริงแล้ว...คุณและตะวันเป็นความสุขของผม...
ผมรู้สึกผิดที่จะไม่ได้อยู่กับคุณคอยทดแทนกับสิ่งที่คุณปกป้องผม แต่ผมจะเป็นกำลังใจให้คุณเสมอ ขอให้คุณหายขาดไวๆ
ผมจะรอฟังข่าว...
ขอบคุณและ...
ผมรักคุณ”
ทันทีที่อ่านข้อความในกระดาษจบร่างกับมือไร้เรี่ยวแรง ก่อนที่เสียงเหล็กกระทบจะดังขึ้นอีกครั้งด้วยแรงจากรพีเช่นเดิม ดวงตาคมดุแสดงอาการโกรธอย่างไม่ปิดบัง
“ทำไม!!”เสียงคำรามกร้าวขึ้นอย่างน่ากลัว ไหนว่ารักกันแล้วทำไมถึงจากไป ทั้งๆที่เขารัก...ทั้งๆที่รักขนาดนี้แท้ๆ
“อดุลย์เขามีความจำเป็น”ศูรบอกเล่าเสียงเรียบ ก่อนหน้าเขาได้พูดคุยกับคนที่หายหนีไปแล้ว ความจำเป็นของอดุลย์ทำให้เขาพูดไม่ออก
“ไม่!! ผมไม่ยอม ไปตามมันกลับมา!!”ศูรยืนมองลูกชายที่อาละวาดขึ้นอีกครั้ง ส่งเสียงดังไม่เกรงกลัวสถานที่
“ผมบอกให้ไปตามมันกลับมา!!”เสียงดุดันยิ่งดังกว่าเดิมแต่ทว่ากลับมีเสียงตุแปลกลอยอบอวนเต็มห้อง ศูรทำจมูกฟุดฟิดด้วยความที่กลิ่นมันฉุนก่อนจะพบว่าสาเหตุจากกลิ่นมาจากลูกชายที่นอนอาละวาดอยู่บนเตียง
ชายชราเห็นแบบนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำถือกะลังมังใส่น้ำที่เตรียมไว้ออกมา ก่อนจะลงมือถอดกางเกงผ้าของลูกชายออกอย่างเบามือ บรรจงจุงตามง่ามขาที่มีของเหลวข้นสีเหลืองติดอยู่เป็นจุดๆ ท่ามกลางความเงียบงันในห้องที่มีกลิ่นเหม็นลอยไปทั่ว
รพีหยุดนิ่งตั้งแต่ตอนที่ศูรเดินมาถอดกางเกง มองตามการกระทำของผู้เป็นพ่อก่อนจะน้ำตาจะไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว ได้ยินแค่คำพูดของพ่อที่ตักเตือนเขาเท่านั้นที่ทำให้หัวใจทรมานขึ้นเป็นเท่าตัว
“...ซันอย่าดิ้นเยอะ...ผ้าออมมันหลุด แล้วลูกจะเปื้อนนะ”
รู้สึกเหมือนว่าคนเขียนจะโดนเกลียดมากกว่านลินซะแล้วมั้ง