สายลมที่พัดโชยไม่หยุดช่วยปัดเป่าไอร้อนระอุที่ยังหลงเหลือบริเวณริมน้ำ อากาศโดยรอบเริ่มเย็นลงพร้อมกับที่ตะวันยอแสงมากขึ้น ความเงียบห้อมล้อมไปทั่วบริเวณหลังจากธีระเล่าเรื่องราวจบลง เด็กหนุ่มถอนหายใจก่อนจะหยิบกรวดก้อนเล็กๆ มาโยนลงไปบนสายน้ำที่ไหลเอื่อย มีเสียง 'จ๋อม' ดังขึ้นพร้อมกับที่ผิวน้ำกระเพื่อมเป็นวงเบาๆ จากนั้นทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง
ธีระไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้เล่าความเป็นมาตั้งแต่เริ่มคบกับณรงค์จนมาเจอกฤตภาสให้เด็กหนุ่มที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานฟัง เขาตระหนักดีว่าตัวเองไม่ได้บริสุทธิ์ใสซื่อเหมือนหน้าตา และบางทีความประทับใจที่อีกฝ่ายมีในตัวเขาอาจหมดไปแล้วก็ได้เมื่อได้รู้เรื่องราวเหล่านี้
"พี่ตี้..."
ผ่านไปนานมากกว่าคเชนทร์จะปริปาก ธีระจึงหันไปมองเด็กหนุ่มที่ทอดสายตาตรงไปยังผิวน้ำข้างหน้าแล้วก็ส่งเสียงในคอ "หืม?"
"ขลุ่ยอาจยังเด็กเกินไปที่จะพูดแบบนี้ก็ได้ แต่ถ้าหากขลุ่ยมีคนที่รัก ขลุ่ยจะไม่มีวันทำให้เขาเสียใจแบบคนที่พี่ตี้พูดถึงเด็ดขาด"
น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวของเด็กหนุ่มช่างแหลมคมประดุจมีดแทงใจ ถ้าเพียงแต่ฤตภาส...แสดงออกหรือใช้คำพูดที่แฝงความนัยว่ามีเขาอยู่ในใจสักเศษเสี้ยวให้ได้ยินบ้าง เขาอาจยังยอมอยู่เคียงข้างอีกฝ่ายแทนที่จะจากมาแบบนี้ก็ได้
"ดีแล้วล่ะขลุ่ย อย่าโตขึ้นเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนั้นเลย"
"แต่ถึงเขาจะเห็นแก่ตัว พี่ตี้ก็ยังไม่ลืมเขาใช่ไหมล่ะ?"
คเชนทร์หันมาหาพร้อมกับที่ถามคำถามนั้น มือใหญ่กุมกระชับมือของธีระที่วางอยู่บนพื้นแน่นขึ้น ความจริงแล้วมือนั้นไม่ได้ปล่อยมือของเขาเลยตั้งแต่เริ่มเปิดปากเล่าเรื่องในอดีต แต่ธีระก็ไม่ได้ถอนมือออกเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายทำเช่นนั้นเพราะต้องการให้กำลังใจ...เพราะต้องการยืนยันกับเขาว่ายินดีจะรับฟังเรื่องราวที่เขาจะเล่าอย่างแท้จริง
และตอนนี้เขาก็ได้รับกำลังใจนั้นมามากพอแล้ว...
"ฟ้าเริ่มมืดแล้ว กลับกันเถอะขลุ่ย เดี๋ยวยุงจะหามเอา"
เด็กหนุ่มค่อยๆ ชักมือออกจากใต้ฝ่ามือใหญ่อย่างเงียบเชียบ และครั้งนี้คเชนทร์ไม่ได้ออกแรงยื้อ ทั้งสองเพียงแต่เดินขึ้นจากตลิ่งไปยังมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้โดยไม่มีใครพูดอะไร คเชนทร์หยิบเสื้อกล้ามที่ถอดไว้ในตะกร้าขึ้นมาสวมทับร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่า ส่วนธีระก็ถอดเสื้อยืดที่หมาดชื้นออกแล้วเปลี่ยนมาใส่เสื้ออีกตัวที่อยู่ในเป้แทน เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็ต่างก้าวขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วขับมาออกจากบริเวณนั้น
เมื่อเริ่มเข้าเขตตัวเมืองก็เริ่มมีรถราวิ่งสวน เสียงลมพัดหวีดหวิวและเสียงเครื่องยนต์ที่สัญจรบนถนนช่วยขจัดความวังเวงหลังตะวันตกดินได้เป็นอย่างดี หลังจากนั่งเงียบกันมาได้สักพัก คเชนทร์ก็เหลือบกลับมามองคนที่ซ้อนตัวเองอยู่แวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
"พี่ตี้"
"หือ?"
"ก่อนพี่ตี้จะกลับกรุงเทพฯ...ขลุ่ยยังชวนพี่ตี้ไปเที่ยวได้อยู่รึเปล่า?"
"ถ้าสัญญาว่าจะไม่ทำแบบตอนที่เล่นน้ำอีกก็โอเค"
ทั้งสองส่งเสียงหัวเราะประสานกัน อย่างน้อยๆ มิตรภาพฉันท์พี่น้องนี้ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่ธีระจะมอบให้
"แต่พี่ตี้รู้มั้ย พี่ตี้หุ่นดีจริงๆ นะ ผิวก็เนียน ตัวก็ขาว...โอ๊ย!"
"ถ้ายังไม่เลิกพูดอีกก็ไม่ต้องคิดจะมาชวนไปไหนเลย ตั้งใจขับรถให้ดีๆ ได้แล้ว ไม่งั้นจะลงไปเดินเองจริงๆ ด้วย"
"คร้าบๆ โธ่ ชมนิดชมหน่อยยังไม่ได้เลยเหรอเนี่ย"
คเชนทร์แกล้งทำเป็นบ่นเสียงเล็กเสียงน้อย แต่นั่นก็ช่วยให้ธีระยิ้มออกมาได้เพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายเพียงแค่ล้อเล่น เขาเหลือบตาขึ้นมองแผ่นหลังกว้างของเด็กหนุ่มจากด้านหลัง แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อโตขึ้นเป็นหนุ่มเต็มตัวเมื่อไร คนที่คว้าหัวใจของคเชนทร์ไปครองได้จะต้องเป็นคนที่โชคดีและได้รับความรักความทะนุถนอมอย่างมากแน่ๆ
พวกเขาใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงก็กลับมาถึงละแวกบ้าน เนื่องจากธีระซ้อนอยู่ด้านหลังจึงเหม่อมองบ้านเรือนและร้านรวงข้างถนนไปเรื่อย เขารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อคเชนทร์จอดรถแล้วเอาขายันพื้นไว้ จากนั้นก็หันกลับมาหาแล้วบุ้ยคางไปหน้าบ้าน
"สงสัยจะมีแขกมาหาพี่ปิ๊กแฮะ ขลุ่ยคงจอดได้แค่ตรงนี้ล่ะ เพราะมีรถตู้จอดขวางหน้าทางเข้าบ้านคันเบ้อเริ่มเลย"
"อ้าว? ใครกันจะมาหาพี่ปิ๊กตอนนี้"
ธีระพึมพำเพราะแทบจะไม่เคยเห็นเพื่อนฝูงของปิยพลไปมาหาสู่ถึงที่บ้าน เขายื่นหน้าออกจากหลังเด็กหนุ่มออกไปดูอย่างสงสัย และได้เห็นว่าหน้าทางเข้าบ้านของปิยพลมีรถตู้สีขาวคันใหญ่จอดอยู่จริงๆ ป้ายทะเบียนด้านหลังของรถตู้คันนั้นบอกว่ามาจากกรุงเทพมหานคร แต่เขาก็สุดจะเดาว่ารถคันนี้มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่าจอดอยู่นานแค่ไหนแล้ว
แต่ถึงจะไม่รู้ว่าผู้ที่โดยสารมากับรถตู้เป็นใคร ลางสังหรณ์กลับกระซิบข้างหูเขาเบาๆ ว่าเป้าหมายของคนที่ผู้โดยสารของรถตู้คันนี้เดินทางมาหา...ไม่น่าจะเป็นปิยพลแต่ว่าคือตัวเขาเองต่างหาก...
++---TBC---++
A/N: ตามที่สัญญาในตอนก่อนว่าตอนนี้ทุกคนจะได้เจอน้องตี้แน่นอน เลยจัดให้อิ่มไปเลยค่ะ ส่วนตากฤตก็ให้นอนให้น้ำเกลือต่อไปก่อนละกันนะ 