บทที่ 197 Smile
“พ่อหนุ่มเอ๊ย ลุงพอเดินไหวแล้ว ลุงขอตัวกลับบ้านก่อนนะ ถ้าเอ็งผ่านมาก็แวะมาที่บ้านลุงได้ เดี๋ยวลุงจะหาข้าวหาปลาไว้ต้อนรับ”
ลุงคนนั้นพูดพร้อมกับยันตัวลุงยืนขึ้น ท่าทางของชายคนนั้นดูจะมีอาการผ่อนคลายจากความเจ็บปวดไปมาก ยาของเขาน่าจะได้ผลดีอยู่ทีเดียว
“ลุงเอายานี่ติดไว้ดีกว่าครับ เผื่อช่วงนี้กำเริบอีก ถ้าลุงว่างลุงไปหาหมอดีกว่าครับ เวลาลุงปวดจะได้มียากิน”
เฟี๊ยตหยิบยาอีกหลอดหนึ่งใส่มือชายคนนั้น เผื่อในกรณีที่อาการกำเริบขึ้นมาอีก ลุงแปลกหน้าคนนั้นยิ้มกว้างอย่างขอบคุณ ก่อนจะค่อยๆ เดินกะโผลกกะเผลกไปตามทางเข้าสู้หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนั้น จนกระทั่งลับมุมหายไปในที่สุด
“เหลืออีก 9 ใบ” เฟี๊ยตพูดขึ้นเชิงหารือ
“คนละ 3 ง่ายจะตาย” ธันพูดขึ้นพร้อมยักคิ้ว
“โจทย์คงจะเป็นทำยังไงก็ได้ให้คนที่เมืองนี้มีความสุขจนมอบไพ่ใบนี้ให้เราสินะ” กันต์งึมงำในลำคออยู่คนเดียว
“ใครหาได้ช้าที่สุดแพ้” เฟี๊ยตพูดขึ้นพร้อมกับหันหน้าไปหาเพื่อนทั้งสองคน
“หือ”
“ใครกลับมาที่นี่ พร้อมกับไพ่สามใบนั้นช้าที่สุด แพ้” เฟี๊ยตพูดย้ำขึ้นอีกครั้ง
“เฮ้ยยย ไอ้ตี๋ นี่มึงยังไม่เข็ดอีกเหรอเนี่ย ฮ่าฮ่าฮ่า” ธันพูดขึ้นพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างสะใจ พร้อมกับหลิ่วตาให้อย่างเยาะเย้ย
“ถ้ากูชนะกูจะได้ยกเลิกสัญญาทาสจากมึงสักที” เฟี๊ยตพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“เฮ้ยยย คิดง่ายไปหน่อยมั้ง ถ้าแพ้นี่จะเป็นความพ่ายแพ้ยกกำลังสองเลยนะ”
ธันยังตอบแบบยียวน ในขณะที่กันต์ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ นอกจากกอดอกมองพร้อมกับรอยอมยิ้ม
“เรื่องของกู” เฟี๊ยตพูดพร้อมกับหันหลังออกเดินตรงไปยังหมู่บ้านตรงหน้านั่นอย่างไม่สนใจเพื่อนร่วมทีมอีก
“เฮ้ยยย รีบไปไหนวะ”
ธันหันไปตะโกนกับเพื่อนชายของตน หลังจากที่เฟี๊ยตเดินห่างออกไปกว่าห้าเมตรแล้วเห็นจะได้ ในขณะที่กันต์เองก็เอื้อมมือไปยังที่นาฬิกาข้อมือของตนเองด้วยเช่นกัน
“มึงอยากแพ้ก็เรื่องของมึงสิ ครั้งนี้กูไม่มีทางแพ้อีกแน่นอน!”
“move RELEASE!”
เฟี๊ยตตอบกลับมาทั้งที่หันหลังอยู่อย่างนั้น ก่อนที่จะเรียกใช้การ์ดใบหนึ่งและหายไปจากคลองจักษุของเพื่อนร่วมทีมในที่สุด
“hunt RELEASE!”
“กูไปก่อนนะ ท่าทางรอบนี้เฟี๊ยตมันจะเอาจริง” กันต์เอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะใช้ไพ่เวทมนตร์หายตัวไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้านั้นเหมือนกัน
“จริงจังกันจังเว๊ยยย”
“flied RELEASE!” เด็กหนุ่มโวยวายออกมาน้อยๆ เป็นคนสุดท้าย ก่อนจะหายตัวไปจากบริเวณนั้นเช่นกัน
เมืองที่เปรียบเสมือนลานประลองเล็กๆ ของชายทั้งสามคนนั้นมีลักษณะคล้ายกับเมืองพฤษภาคมอยู่พอสมควร ต่างกันตรงขนาดที่เล็กกว่ามาก และระยะห่างระหว่างบ้านแต่ละหลังดูจะน้อยอยู่พอสมควร
“อร่อยมากครับ”
เสียงนุ่มๆ เอ่ยขึ้นบริเวณหลังเคานเตอร์ในร้านเบเกอรี่และกาแฟแห่งหนึ่งในเมืองเล็กๆ แห่งนั้น ควันกรุ่นของเครื่องดื่มร้อนยังคงลอยอบอวลราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาที่แฝงไว้ในความชื่นชมที่เปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน
“ว่าไงนะคะ”
เสียงหญิงอวบอ้วนวัยกลางในชุดสีครีมหันมาถามอย่างได้ยินไม่ค่อยชัดเจนนัก เธอผละจากขนมที่กำลังทำอยู่ พร้อมกับเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนอย่างเตรียมที่จะสนทนากับลูกค้าที่มีอยู่เพียงคนเดียวในร้านในเวลานี้
“รับอะไรเพิ่มหรือเปล่าคะ” หญิงวัยกลางคนถามย้ำอีกครั้งอย่างไม่ค่อยมั่นใจ
“เปล่าครับ ผมแค่อยากชมเฉยๆ ว่าขนมปังชิ้นนี้อร่อยมากครับ” ชายหนุ่มผิวขาวสะอาดพูดพร้อมยิ้มกว้างอย่างเปิดเผย
“แต่ขนมปังชิ้นนี้เป็นแค่ขนมปังอบที่เอาไว้ทานคู่แยมเท่านั้นนะคะ” เสียงโต้ตอบดังมาอย่างสงสัย
“ขนมปังชิ้นนี้หอมและอร่อยจริงๆ ครับ กลิ่นเนยสดหอมเป็นเอกลักษณ์มาก เดี๋ยวนี้คนชอบทำขนมจากเนยเทียม ผมแทบไม่ได้กลิ่นเนยแท้ๆ ที่หอมอร่อยแบบนี้มานานแล้วครับ” ชายหนุ่มตอกย้ำคำพูดของตนอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม
ไม่มีคำพูดใดตอบกลับมานอกจากรอยยิ้มที่ฉายชัดถึงความยินดีที่ปิดไม่มิด แก้มอวบอิ่มคู่นั้นเรื่อขึ้นน้อยๆ จนพอจะรู้สึกได้
“อย่าเลิกใช้ความพิถีพิถันแบบนี้ในการทำขนมนะครับ ยังมีคนที่กินขนมที่มองหาขนมที่ทำจากใจรักแบบนี้นะครับ” ตาชั้นเดียวของเขาโค้งลงอย่างสดใส
“ขอบคุณมากค่ะ ขอบคุณจริงๆ ฉันทำขนมด้วยวัตถุดิบคุณภาพดีแบบนี้มานานแล้ว แต่ก็ท้อใจมาตลอด เพราะต้นทุนแพงกว่าร้านอื่นเขา ลูกค้าก็น้อย ตั้งแต่เปิดร้านมา คุณคือคนแรกนี่แหละค่ะ ที่พูดถึงความหอมของเนยสดที่ฉันใช้มาตลอด ขอบคุณมากจริงๆ”
หญิงสาวที่อยู่อีกด้านของเคานเตอร์นั้นละล่ำละลึกออกมาจากความรู้สึก เธอโค้งตัวหลายต่อหลายครั้งเพื่อแสดงความขอบคุณออกมาจากใจของคนทำขนมด้วยใจเช่นเธอ
ปังงงงงงงงงงงงงงง
“ชื่อ ความสุข (Happiness) ประเภท MC (ไพ่เวทมนตร์) ระดับ 5 ความสามารถ ใช้ส่งต่อให้กันเพื่อแสดงความขอบคุณ”
“ตายแน่ ตายแน่ ตายแน่”
เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากชายอีกคนที่เพิ่งออกมาจากร้านเบเกอรี่ที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก ชายหนุ่มที่เพิ่งสวมชุดคลุมทับลงบนไหล่นั้นมองไปตามแหล่งกำเนิดเสียงนั้น ระยะทางห่างออกไปประมาณสามคูหาเท่านั้นเอง
“มีอะไรให้ช่วยไหม”
ชายหนุ่มในชุดสีน้ำตาลทองเดินเข้าไปถามอย่างสนใจ ตรงหน้าเขานี้เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งอายุไม่น่าจะห่างจากเพื่อนร่วมทีมของเขามากนัก ผมนั้นสว่างเป็นสีทอง ท่าทางทะมัดทะแมง แบกกระเป๋าใบหนึ่งที่ดูจะใหญ่โตกว่าเป็นกระเป๋าสะพายทั่วไป
“ผม ผมจะทำยังไง”
เด็กหนุ่มคนนั้นพูดอย่างสับสน สายตาของเขาก้มมองสิ่งที่อยู่ในกระเป๋านั่นอย่างวิตกกังวลสลับกับตัวเขาที่อยู่ข้างหน้านี้อย่างไม่มั่นใจ
“ลองอธิบายออกมาก่อนไหม เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง” เภสัชกรหนุ่มพูดต่ออย่างใจเย็น พลางส่งรอยยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรไปให้
“ผมทำของในกระเป๋านี่สลับกัน ผมไม่รู้ว่าอันไหนคืออันไหน”
คนตรงหน้าเขาพูดพร้อมกับหยิบกระเป๋าสะพายใบเขื่องเปิดอ้าให้เห็นของที่ว่าซึ่งอยู่ภายใน พวกมันมีลักษณะเป็นขวดพลาสติกใสหลายขวดปนกันอยู่ ภายในภาชนะเหล่านั้นบรรจุของเหลวใสไม่มีสีที่มีลักษณะจะหนืดอยู่พอสมควร ที่สำคัญคือขวดเหล่านั้นว่างเปล่าไปด้วยสิ่งบ่งชี้ ทุกๆ ขวดไม่มีฉลากบ่งบอกประเภทของสสารที่อยู่ข้างในเลยแม้แต่ขวดเดียว
“ไหนลองเล่าเหตุการณ์อย่างละเอียดได้ไหม” ชายหนุ่มถามต่ออย่างไม่มีท่าทีตกใจแต่อย่างใด
“ผมเป็นคนหมู่บ้านนี้ ทำงานรับจ้างซื้อของให้คนจากหมู่บ้านอื่น วันนี้ตอนเช้ามีคำสั่งซื้อจากเมืองพฤษภาคมมาเป็นวัตถุดิบที่ใช้ทำอาหารจากภัตตาคารที่ผมซื้อของให้บ่อยๆ เขาสั่งซื้อวัตถุดิบทำอาหารกับผม ผมก็เอาเงินส่วนตัวของผมซื้อไปก่อน ระหว่างที่ผมจะกลับบ้านเพื่อรอให้คนมารับของ ผมก็เก็บของที่เขาฝากซื้อใส่กระเป๋าสะพาย โดยผูกถุงแล้วเขียนชื่อของใส่ไว้ในถุงอย่างดี เพราะว่าของที่เขาฝากซื้อแต่ละอย่างมีลักษณะคล้ายกันมากจนแทบแยกไม่ออก ปรากฏว่าเมื่อกี้ผมเดินหกล้ม ผมตกใจกลัวของจะแตก เลยหยิบกระเป๋าออกมาดู โชคดีที่ของในนั้นไม่แตกแม้แต่ขวดเดียว แต่โชคร้ายคือเงื่อนที่ผูกถุงไว้หลุดหมด ของที่ฝากซื้อทุกขวดมาอยู่ปนกันหมดเลย”
เด็กหนุ่มเล่าให้เขาฟังตามตรง รวมถึงยังให้เขาสำรวจดูสินค้าเหล่านั้นในกระเป๋าเหล่านั้นโดยละเอียดอีกด้วย เด็กผมทองกัดริมฝีปากอย่างครุ่นคิด ความวิตกกังวลถูกฉายออกมาอย่างชัดเจน
“สินค้าที่ซื้อมามีอะไรบ้าง บอกได้ไหม” เขาซักต่ออย่างสนใจ
“น้ำเชื่อมสองขวด น้ำมันมะพร้าวสองขวดครับ” เด็กคนนั้นตอบออกมาตามตรง
“น้ำเชื่อมกับน้ำมันมะพร้าวก็ไม่น่าแยกออกจากกันยากนะ แค่ลองชิมดูก็รู้แล้ว” ชายหนุ่มเสนอทางเลือกที่คิดได้เป็นอย่างแรกออกมา
“ไม่ได้หรอกครับ ของเขาสั่งซื้อ ถ้าปริมาณลดลง ผมขายต่อไม่ได้แน่ๆ”
พ่อค้าคนกลางตอบออกมาอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนเด็กนี่ก็จะคิดวิธีการนี้ออกแต่ก็รู้ถึงข้อจำกัดดังกล่าวเหมือนกัน
“งั้นทำไมไม่ลองดมกลิ่นดูหละ น้ำเชื่อมโดยปรกติจะไม่มีกลิ่น แต่น้ำมันมะพร้าวมักจะมีกลิ่นมะพร้าวอ่อนๆ ผสมอยู่ด้วย ที่สำคัญคือปริมาณของก็ไม่ได้ลดลงด้วย” ผู้อาวุโสกว่าเสนอทางเลือกต่อไป
“อย่างนั้นก็ไม่ได้เหมือนกันครับ ถ้าผมแกะฟิล์มที่ผนึกปากขวดออก ทางภัตตาคารต้องไม่รับของผมแน่ๆ ครับ ผมเคยโดนมาแล้ว เพราะพวกเขากลัวของปลอมครับ ผมเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน” เด็กคนนั้นพูดอย่างจนปัญญา
“ลองสรุปได้ไหมว่าพอจะใช้วิธีไหนในการแยกแยะของเหล่านี้ออกจากกันให้ถูกต้องได้บ้าง” ชายหนุ่มผิวขาวถามต่ออย่างตื่นเต้นในปัญหาตรงหน้า
“วิธีการอะไรก็ได้ครับ ที่ไม่ทำให้ปริมาณของสินค้าผมลดลง และไม่ต้องแกะฟิล์มที่หุ้มปากขวดออกด้วย ความจริงผมคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดคือแยกพวกมันด้วยตาเปล่าครับ แต่ผมเองก็ไม่รู้จะทำยังไง น้ำเชื่อมกับน้ำมันมะพร้าวต่างใสไม่มีสีและมีความหนืดใกล้เคียงกันมาก ผมจนปัญญาจริงๆ ”
ราวกับว่าประโยคเหล่านั้นจะเป็นปริศนาที่ส่งตรงมาถึงเขาอย่างใดอย่างนั้น เภสัชกรหนุ่มหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ เรื่องปริศนาปัญหาเชาวน์พวกนี้มันเป็นของโปรดของเขาอยู่แล้ว!
ติดตามข่าวสาร :
www.facebook.com/allornonetheauthor
