บทที่ 193 Horses
“เฮ้ยยย อย่างนี้ถ้าใครเล่นเกมเก่งๆ ก็รวยเละเทะดิ เอาเงินในเกมไปแลกเงินในชีวิตจริงใช้ได้สบายเลย”
ธันพูดขึ้นอย่างสนใจ เฟี๊ยตจึงต้องหยุดการสนทนาลับๆ กับไบเบิ้ลไว้เพียงเท่านั้น เขาไม่อยากแสดงตัวให้คนอื่นรู้เท่าไหร่นักว่าสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ
“เท่าที่รู้ เงินในเกมจะไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินจริงได้นะ ได้แต่เงินจริงเปลี่ยนเป็นเงินในเกมเท่านั้น” กันต์พูดขึ้น
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเหอะ เอาปัญหาเฉพาะหน้าตรงนี้ก่อน พวกเราจะเข้าเมืองมีนาคมเลยหรือเปล่า” เฟี๊ยตตัดบทสนทนานั้น ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพร้อมกับชี้ไปยังเมืองตรงหน้าที่อยู่ใกล้เท่าไหร่ตรงหน้านั่น
“ลุยเลยดิ รออะไรวะ” ธันพูดขึ้นอย่างไม่คิดมาก
“ก็คงอย่างนั้นมั้ง” เฟี๊ยตรับคำอย่างไม่มีข้อคิดเห็น
“เอาไงเอากัน” กันต์ปิดท้ายมาอย่างไม่ขัดแย้ง
“The Transformable Horse RELEASE!”
“The Transformable Horse RELEASE!”
เฟี๊ยตและธันเรียกการ์ดสำหรับเคลื่อนที่ที่เคยใช้กันออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน จนเกือบจะเรียกได้ว่าพร้อมกันเลยทีเดียว ม้าสองตัวที่มีลักษณะเหมือนกันแทบทุกประการออกมายืนอยู่ใกล้กัน พลางสะบัดแผงขนบริเวณลำคอไปมารับอากาศสดชื่นในยามสายอย่างกระปรี้กระเปร่า
“ใจตรงกันดีนะ” กันต์พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงดูจะเอนเอียงไปทางการกระเซ้าเสียมากกว่า
“ก่อนหน้านี้ก็ใช้การ์ดใบนี้มาตลอด” เฟี๊ยตหันไปตอบอย่างไม่คิดอะไร ในขณะที่ธันก็ไม่ได้ตอบอะไรมากกว่ายิ้มให้น้อยๆ
“เซ็กเธาว์!”
“เปกาซัส!”
คำสั่งจากผู้เป็นนายมีผลกับม้าทั้งสองนั้นทันทีเมื่อคำนั้นสิ้นสุดลง ม้าของเฟี๊ยตสะบัดตัวไปมาพร้อมกับร้องเสียงดังขณะที่มีปีกใหญ่สีขาวบริสุทธิ์แทรกออกมาจากกลางลำตัว มันกระพือปีกอันใหญ่โตนั้นไปมาราวกับจะสร้างความคุ้นชิน
ในขณะที่พาหนะของธันค่อยๆ กลายสภาพโดยขนของมันเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับถูกจิตรกรค่อยๆ บรรจงนำสีมาทาไปทีละส่วนอย่างนั้น มันร้องขึ้นด้วยท่าทีคึกคัก พร้อมกับใช้เท้าหน้าเขี่ยพื้นดินบริเวณนั้นไปมา ราวกับกระตือรือร้นที่จะออกวิ่งเสียในชั่วเวลานี้
เฟี๊ยตเดินขึ้นไปเหนี่ยวกายขึ้นไปบนเปกาซัสอย่างคุ้นเคยอยู่ก่อนแล้ว ฝ่ายธันก็เดินไปโดยสารบนหลังของเจ้าเซ็กเธาว์เช่นกัน ในขณะที่ผู้ร่วมทีมคนสุดท้ายยืนมองม้าทั้งสองตัวนั้นเงียบๆ ราวกับกำลังตัดสินอะไรในใจอยู่
“เฮ้ยยย กันต์มาซ้อนได้เลย บินถึงเร็วกว่าชัวร์” เฟี๊ยตหันไปพูดกับกันต์ พร้อมกับตบสะโพกของเจ้าม้าสีขาวสะอาดนั่นเป็นท่าทีเชิญชวน
“ไม่ได้ กันต์ มานั่งนี่ดิ เฟี๊ยตมันขี่ม้าไม่เก่ง เอียงกะเท่เล่ เดี๋ยวหัวหม่งพื้นไม่รู้นะเว้ยยย” ธันหันมากวักมือเรียกกันต์ไปอีกทางอย่างนั้น
“ไม่ต้องมามั่วเลย กูก็เคยขี่หวะ” เฟี๊ยตแย้งพร้อมกับบังคับม้าของตนวนกลับไปรับเพื่อนที่ยืนออกไปไม่ห่างนัก
“พอเลย เฟี๊ยต เปกาซัสมันมีปีกตรงกลาง นั่งซ้อนยาก ให้กันต์มาซ้อนกูนี่แหละ เซ็กเธาว์นั่งง่ายกว่าเยอะ” ธันแย้งอย่างไม่ยอม พร้อมกับเร่งม้าของตนกลับไปรับเพื่อนร่วมทีม
กันต์เหมือนจะยืนตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมีรอยยิ้มเจือขึ้นมาบนใบหน้า และเลือกเดินไปทางม้าอันเป็นเจ้าของปีกขนาดใหญ่นั่นในที่สุด
เฟี๊ยตไม่ตอบอะไรแต่หันไปยิ้มเยาะเย้ยธันอย่างผู้ชนะ พร้อมกับยกมือส่งให้กันต์ใช้เป็นหลักในการเหนี่ยวตัวขึ้นมาซ้อนบนเจ้าม้าสีขาวตัวนั้น
“เฟี๊ยต” ธันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“อะไรเหรอ” ชายหนุ่มตอบกลับไปอย่างยียวนนิดๆ
“มึงอะ มาขี่ม้าเซ็กเธาว์แทนกูซิ๊” ธันพูดขึ้น
“อะไรวะ แล้วมึงจะให้กูคุมเปกาซัสทั้งๆ ที่กูไม่ได้ขี่มันได้ยังไง” เฟี๊ยตตอบพร้อมขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
“มึงก็แค่เหนี่ยวจิตไว้เฉยๆ เดี๋ยวกันต์มันก็ขี่ของมันไปได้เองนั่นแหละ” ธันตอบอย่างไม่ยอม
“แล้วมึงจะเรื่องมากทำไมเนี่ย เมืองอยู่แค่นี้เอง หายใจสองทีก็ถึงแล้ว” ชายหนุ่มเถียง
“กูเมื่อย เข้าใจเปล่า มึงเป็นเบ๊ มึงต้องตามใจกู กูสั่ง มึงเข้าใจไหม” ธันพูดพร้อมยักคิ้วอย่างเหนือกว่า เมื่อถึงประโยคนี้กันต์ก็ถึงกับหัวเราะในลำคอขึ้นมาอย่างขบขัน
“อย่าทำตัวไร้สาระได้เปล่าวะ” เฟี๊ยตพูดอย่างไม่สบอารมณ์นิดหน่อย
“กูจะนับแค่หนึ่งถึงสามนะ คุณเบ๊ หึหึ” ธันตอบกลับมาอย่างแน่วแน่ในความคิด
“หนึ่ง”
“มึงอย่าไร้สาระได้เปล่าวะ เรื่องแค่นี้เอง”
“สอง”
“มึงจริงจังไปเปล่าเนี่ย เรื่องบ๊งเรื่องเบ๊อะไรเนี่ย”
“สาม”
“เออๆ รู้แล้ว เรื่องมากฉิบหาย”
เฟี๊ยตสบถออกมาอย่างเซ็งๆ ในที่สุด ก่อนจะยอมลงมาจากม้าของตนแต่โดยดี ซึ่งกันต์ที่ซ้อนอยู่ด้านหลังของปีกขาวสะอาดนั่นก็ย้ายตัวเองมานั่งอยู่เบื้องหน้าอย่างเตรียมพร้อม ท่าทางของเขาดูเชี่ยวชาญการขี่ม้าอยู่พอสมควรเลยทีเดียว
ชายหนุ่มที่ลงมาจากหลังพาหนะสีขาวนั่นเดินตรงไปยังม้าสีแดงสดอีกตัวที่อยู่ไม่ห่างออกไปนักด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ ดูเหมือนว่าอารมณ์ของเฟี๊ยตจะไม่ได้ไปในทางโกรธ แต่น่าจะเป็นความรู้สึกเสียหน้าที่ต้องถูกบังคับได้โดยง่ายมากกว่า
“กระเถิบไปสิ นั่งคร่อมอานอย่างนี้ มึงจะให้กูไปขี่บนหน้าผากม้ามึงเรอะ” เฟี๊ยตพูดไล่คนที่อยู่บนเจ้าเซ็กเธาว์ก่อนแล้วนั้นอย่างติดพาล
“กูเปลี่ยนใจละ” ธันพูดด้วยท่าทีเรียบเฉย
“เปลี่ยนพ่องงง กระเถิบไป ถ้าเรื่องมากนัก เดี๋ยวกูจะเอายาพิษกรอกปากมึง อยากตายแบบไหน ชักดิ้นชักงอตาย ตาบอด หูหนวก หรืออัมพาตก่อนตายดี”
เฟี๊ยตพูดอย่างหงุดหงิด พร้อมกับเอามือขวาฟาดไปตรงต้นขาของเด็กหนุ่ม พร้อมกับเอี้ยวศีรษะไปทางซ้ายเป็นสัญลักษณ์ให้เคลื่อนที่ไปตามที่ตนต้องการ
“กูเปลี่ยนใจให้มึงซ้อนกูดีกว่า มึงขี่ไม่เก่ง เดี๋ยวทำกูตกม้าหัวร้างข้างแตกไปจะทำไง” ธันพูดพร้อมกับยักคิ้วน้อยๆ อย่างยียวน
“อย่าเรื่องมาก กระเถิบไป” เฟี๊ยตพูดอย่างไม่ยอมคล้อยตาม
“มึงนั่นแหละ อย่าเรื่องมาก ขึ้นมาเร็วๆ ชักช้าฉิบหาย”
ธันพูดอย่างมีท่าทางหงุดหงิดเช่นกัน แต่ถ้าสังเกตให้ดีแล้ว ชายหนุ่มก็น่าจะพบว่าท่าทีเหล่านั้นถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเฉยๆ
“ไอ้แขก!” เฟี๊ยตพูดขึ้นพร้อมกับเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ
“หนึ่ง” ธันเริ่มนับเลขอีกครั้ง
“เออๆ ก็ได้วะ เรื่องมากฉิบหาย พ้น 24 ชั่วโมงเมื่อไหร่นะ กูจะฆ่ามึงทิ้ง กูจะเอาดาบมึงนั่นแหละกระซวกคอมึง เสร็จแล้วกูจะตัดแขนตัดขามึงเป็นชิ้นๆ ถลกหนังมึงออก แล้วตำพริกทาบนเนื้อมึง พอมึงทรมานจนใกล้จะตาย กูจะแล่เนื้อมึงให้ปลาปิรันย่ากิน สัด!”
เฟี๊ยตหยุดต่อล้อต่อเถียงพร้อมกับเหนี่ยวตัวเองขึ้นมาอยู่บนหลังจากเซ็กเธาว์อย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มมีท่าทีไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัดที่ถูกบงการ ในขณะที่เจ้าของคำสั่งเหล่านั้นกลับนั่งอยู่เบื้องหน้าพร้อมรอยยิ้มกริ่มที่แสนอารมณ์ดี
เมื่อเห็นว่าเพื่อนของตนขึ้นหลังม้ามาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ธันก็สะบัดบังเหียนเพื่อกระตุ้นให้เจ้าอาชาหนุ่มวิ่งทะยานไปเบื้องหน้า เมืองมีนาคมนั้นจะเรียกว่าใกล้ก็ไม่ถูกจะเรียกว่าไกลก็ไม่เชิง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะบริเวณที่พวกเขาออกมาจากโลกใต้ดินนั้นมีลักษณะเหมือนหน้าผาเล็กๆ ทำให้ทัศนียภาพที่มองเห็นนั้นกว้างไกลกว่าปรกติจนอาจทำให้รู้สึกว่าเมืองเบื้องหน้านั่นใกล้กว่าความเป็นจริง
ธันควบคุมเซ็กเธาว์ของตนให้หันหลังอ้อมทางลงมาจากบริเวณนั้นเพื่อลดระดับมาสู่พื้นราบสู่เมืองที่แสนโอ่อ่าแห่งนั้น ในขณะที่กันต์เพียงแค่คุมบังเหียนให้เจ้าเปกาซัสนั้นบินไปยังเบื้องหน้าเล็กน้อยพร้อมกับลดระดับลงสู่พื้นราบ เพื่อไปรอคอยเพื่อนสองคนที่กำลังไต่ทางลงจากทางลาด ดูเหมือนว่าการที่เฟี๊ยตหน่วงจิตเพื่อควบคุมม้าบินตัวนั้นไว้จะไม่มีปัญหาใดๆ เลย มันแสดงท่าทางเป็นปรกติทุกอย่างราวกับว่ากันต์เป็นเจ้าของมันเสียเอง
“ไป!”
เสียงของธันสั่งอย่างเฉียบขาดเมื่อลงมาถึงพื้นที่แนวราบ เจ้าม้าสีชาดตัวนั้นระเบิดพลังฝีเท้าอย่างเต็มแรง มันฮ้อตะบึงไปเบื้องหน้าจนฝุ่นตลบอบอวลไปหมด ท่าทางว่าธันจะสั่งการให้เจ้าเซ็กเธาว์ออกวิ่งด้วยความเร็วที่เกินความเร่งรีบในเวลานี้ไปโขทีเดียว
“มึงไม่ได้แอ้มกูหรอก หึหึ” เสียงของผู้โดยสารดังพร้อมกับเสียงหัวเราะในลำคอ
“หืมมม” ธันครางขึ้นลำคอเป็นเชิงสงสัย
“ไอ้มุกเร่งความเร็วจนกูตกม้า หรือว่าจะทำให้กูกลัวจนต้องไปเกาะเอวมึงไว้หนะ ไม่ได้แอ้มกูหรอก”
เฟี๊ยตพูดขึ้นราวกับรู้ทัน ถ้าเด็กหนุ่มเบื้องหน้าสามารถหันมาพิจารณาผู้พูดได้ในเวลานี้ จะพบว่าเฟี๊ยตรวมจิตไว้ที่ต้นขาทั้งสองอย่างหนาแน่น ซึ่งความเร็วระดับนี้ไม่สามารถสะบัดให้เขาหลุดจากหลังม้าได้แน่นอน
“อะไร๊ คิดไปเองหรือเปล่า” ธันแกล้งเย้าด้วยเสียงสูงอย่างนึกสนุก
“งั้นมึงจะรีบไปไหน เมืองก็อยู่แค่เนี้ย” เฟี๊ยตถามอย่างถือไพ่เหนือกว่า
“โอเคๆ กูไม่รีบแล้วก็ได้”
ธันพูดขึ้นพร้อมกับใช้ขาทั้งสองข้างเตะไปเบาๆ ที่เจ้าเซ็กเธาว์นั่นเหมือนเป็นการสั่งการให้ลดความเร็วลงสู่ระดับปรกติ
“มึงคิดว่ากูทำให้มึงเอามือมาเกาะเอวกูไม่ได้เหรอ” เด็กหนุ่มถามพร้อมหันกลับมายักคิ้วให้กับผู้โดยสารของตน
“แน่นอน!” เฟี๊ยตตอบอย่างมั่นใจ
“มึงเอามือมาเกาะเอวกูซิ๊” ธันพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมขึ้น
“เรื่อง!” เฟี๊ยตปฎิเสธ
“คุณเบ๊ ผมสั่งให้คุณนำมือของคุณมาเกาะเอวผมไว้” ธันพูดอย่างเป็นต่อ
“ไม่เอาโว๊ยยย” เฟี๊ยตพูดอย่างไม่ยินยอม พร้อมเริ่มหันซ้ายหันขวาเพื่อหาทางหนีจากเจ้าม้าสีสดและเจ้าของโรคจิตนี่
“ไม่รักษาคำพูด”
เสียงเชิงตำหนินั่นดังกว่าเสียงกระซิบเพียงนิดเดียว แต่มันก็ดังเพียงพอที่จะทำให้ชายหนุ่มอีกคนยื่นมือทั้งสองข้างมาสวมกอดไว้ที่บริเวณเอวของเจ้าของคำพูดนั้น
“เออๆ” เฟี๊ยตพูดอย่างยอมแพ้
“ถ้ากูอยากได้ ไม่มีอะไรเกินความสามารถกูหรอก”
ไม่มีคำตอบใดๆ สอดรับมากับประโยคกึ่งโอ้อวดนั้น ทุกอย่างเงียบสงบราวกับว่านี่เป็นการเดินทางของเสี้ยวเวลาหนึ่งที่แสนยาวนาน ดั่งเจ้าอาชาชาดนี่จะวิ่งตะลุยไปบนถนนที่ไม่มีจุดสิ้นสุดอย่างใดอย่างนั้น โลกรอบด้านเหมือนจะเวิ้งว้างว่างเปล่าราวกับไร้ซึ่งบุคคลใดๆ จะปรากฏมี ชั่วจังหวะเวลานั้นเหมือนประหนึ่งว่าเวลาชั่วเสี้ยววินาทีถูกนำมาขยายให้กว้างใหญ่ ก่อนที่เสี้ยวเวลานั้นจะถูกนำมายืดให้ยาวเสียจนไร้จุดสิ้นสุดอีกที กระแสลมยังคงพัดผ่านมาจากทางเบื้องหน้า แต่ราวกับว่าเวลาที่สถิตบนพาหนะแห่งความรู้สึกลำนั้นจะหยุดนิ่งลงเสียแล้ว ไม่มีเสียงใดดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบนั้น ไม่มีเสียงใดเลยนอกจากเสียงก้อนเนื้อในอกที่กำลังเต้นด้วยความถี่ที่มากขึ้นของบุรุษทั้งสองคน

ติดตามการอัพเดตข่าวสาร :
www.facebook.com/allornonetheauthor