ตอนที่ 18
บนท้องถนนยามค่ำคืน พอผ่านพ้นเขตเมืองไป สองข้างทางก็มีแต่ความมืดกับป่าเขาลำเนาไพร นอกจากไฟที่ส่องสว่างจากตัวรถที่วิ่งสวนมา ก็ไม่มีแสงไฟจากแหล่งอื่นอีกเลย
“คุณรู้จักกับมิวส์ได้ยังไง" ในขณะที่อยู่บนรถ ก้องก็เอ่ยถามเพื่อทำลายความเงียบ
“มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ" คำตอบของไม้ทำให้คนฟังแทบสะอึก
“แล้วคุณรู้เรื่องผมกับมิวส์... แล้วใช่ไหม” คำถามที่ถูกเอ่ยออกไปเป็นสิ่งที่คนถามกลัวที่จะได้รับฟังคำตอบมากที่สุด เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะมองมุมไหนเขาก็ผิดเต็ม ๆ และถ้าลูกศิษย์คนนี้รู้ ก็เท่ากับว่าไม้รู้ความลับของเขาทั้งหมด และเขาก็จะต้องกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาของลูกศิษย์คนนี้แน่นอน
“อาจารย์ขับรถต่อไปเถอะ อย่าถามอะไรมากเลย" ไม้ตอบด้วยน้ำเสียงที่ไร้เยื้อใย แม้ทั้งสองจะมีความรู้สึกเดียวกันคือเป็นห่วงมิวส์ แต่ทว่าความเป็นห่วงนั้นไม่ได้ทำให้พวกเขาสามัคคีกันเลยสักนิด
“สีหน้าคุณดูกังวลไปนะ มีอะไรหรือเปล่า" ก้องเอ่ยถาม เพราะถ้าไม้กับมิวส์เป็นแค่เพื่อนกันธรรมดา ไม่น่าจะมีเหตุผลใด ๆ ที่ไม้จะดูเป็นห่วงมิวส์ขนาดนี้ "บอกผมเถอะ...”
ตอนแรกไม้กะจะไม่บอกเรื่องประตูปรโลกจะเปิดตอนเวลาเที่ยงคืน แต่ทางที่ดีบอกไว้ก็ไม่เสียหาย ถ้าเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับเขาหรือมิวส์ อย่างน้อยอาจารย์คนนี้ก็น่าจะช่วยเหลือมิวส์ได้บ้าง
“หากถึงเวลาเที่ยงคืนประตูปรโลกจะเปิด และเหล่าภูตผีวิญญาณที่ออกมาจากประตูนั้นจะทำร้ายมิวส์" ไม้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น เมื่อเห็นว่าอาจารย์ของเขากำลังจะถามอะไรต่อ เขาจึงรีบเอ่ยขัด "อาจารย์อย่าถามอะไรมากเลย รีบขับรถไปที่บ้านคุณปริมเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันการ"
“ครับ" ก้องตอบอย่างสุภาพ "แต่ผมขอเล่าประวัติเกี่ยวกับห้องสมุดให้คุณฟังก่อนนะ เรื่องมันมีอยู่ว่า...”
เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน ตอนที่มหาวิทยาลัยได้สร้างห้องสมุดหลังใหม่ ในตอนนั้นตรงกับช่วงรับน้องของมหาวิทยาลัยพอดี มีกลุ่มเพื่อนสนิทกลุ่มหนึ่งจำนวน 4 คนซึ่งในตอนนั้นเป็นรุ่นพี่ชั้นปีที่ 2 ได้แอบเข้าไปในห้องสมุดทั้ง ๆ ที่มีป้าย 'ห้ามเข้า' โชว์หราอยู่หน้าประตู เนื่องจากว่าห้องสมุดยังตกแต่งภายในไม่เสร็จสมบูรณ์
“เฮ้ยพวกแก... แยกกันสำรวจดีไหมว่าหนังสือภาษาศาสตร์อยู่ชั้นไหน...” นักเรียนหญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น เพราะพวกเขาทั้งสี่ติด F ในวิชาภาษาศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาพื้นฐานของการเรียนภาษาไทยแบบเจาะลึก จึงต้องลงเรียนแก้ F ในช่วงฤดูร้อน และพวกเขาก็ได้ขออนุญาตเพื่อน ๆ แยกจากการรับน้องเพื่อจะมาหาหนังสือเตรียมทำรายงานส่งอาจารย์แล้ว
“เออ... ก็ดีเหมือนกัน" หญิงสาวอีกคนเห็นด้วย "อีกประมาณครึ่งชั่วโมงค่อยกลับมาเจอกันที่หน้าประตูนะ ตกลงไหม"
สิ้นเสียงของเธอ เพื่อนสาวทุกคนก็พยักหน้ารับ หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไปตามชั้นที่ตกลงนัดแนะไว้...
เริ่มจากชั้นใต้ดิน... ชั้นนี้เป็นชั้นที่ไม่มีหน้าต่าง ความอับชื้นจากการที่เพิ่งทาสีเสร็จใหม่ ๆ และกลิ่นอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เพิ่งจัดวางทำให้ชั้นหนังสือชั้นนี้มีบรรยากาศที่หน้าสะเอียดสะเอียนที่สุด
เธอกวาดสายตามองหาหนังสือตามชั้นต่าง ๆ แต่ก็ไม่พบ ไฟที่สว่างไสวก็เริ่มติด ๆ ดับ ๆ จนเธอรู้สึกว่าบรรยากาศชักจะทะแม่ง ๆ จึงตัดสินใจที่จะเดินขึ้นไปยังชั้นหนึ่ง แต่ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะก้าวขาออกจากช่องตู้หนังสือ สายลมอ่อน ๆ ที่พัดหวิวมากระทบกับร่างของเธอก็ทำให้เธอตัวแข็งทื่อเพราะไม่รู้ว่ามันพัดมาจากทิศทางไหน เนื่องจากชั้นนี้เป็นชั้นปิดตาย อากาศที่หายใจถ้าไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศก็แทบจะไม่มีอยู่แล้ว
เธอตัดสินใจจะก้าวขาเดินต่อไป แต่ก็เหมือนกับว่ามีอะไรจับร่างของเธอเอาไว้ทำให้เธอไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้สักที ดังนั้นเธอจึงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะค่อย ๆ หันไปมองด้านหลังว่ามีอะไรจับร่างของเธอไว้หรือเปล่า
ไม่มีใครรู้ว่าเธอเห็นอะไรกันแน่ แต่เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นทำให้เธอเป็นลมหมดสติไปในที่สุด...
เสียงกรีดร้องของหญิงสาวที่อยู่ชั้นใต้ดินที่ดังขึ้น ไปกระทบกับโสตประสาทของหญิงสาวที่กำลังหาหนังสืออยู่ที่ชั้นหนึ่ง นั่นจึงทำให้เธอรีบวิ่งลงบันไดไปดูเพื่อนของเธอด้วยความเป็นห่วงทันที
แต่ทว่าความไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อรองเท้าส้นสูงที่เธอสวมใส่ดันทำร้ายเธอทำให้เธอขาพลิกและดิ่งลงบันไดผิดท่าตั้งแต่ที่อยู่ชั้นบนสุด แรงกระแทกในแต่ละชั้นจนกระทั่งไปถึงชั้นล่างสุดส่งผลให้เธอคอหักและสิ้นลมหายใจในทันที มิหนำซ้ำดวงตาของเธอยังเบิกโพลงเห็นตาขาวชัดเจนราวกับว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะมาตายที่นี่
เสียงขลุกขลิก ๆ เหมือนกับของตกทำให้เพื่อนที่อยู่ชั้นสองวิ่งลงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เธอตะโกนเรียกชื่อของเพื่อนสาวที่อยู่ชั้นหนึ่งแต่พอไม่ได้ยินเสียงตอบรับก็เลยตัดสินใจลงไปตามหาเพื่อนอีกคนที่ชั้นใต้ดิน และภาพที่ปรากฏก็ทำให้เธอถึงกับอ้าปากตะลึงอึ้งค้าง
ภาพของหญิงสาวเพื่อนสนิทที่นอนตาเหลือกโพลงอยู่บันไดชั้นล่าง กับภาพของหญิงสาวอีกคนที่นอนตาเหลือกไม่ต่างกันกำลังดิ้นขยุกขยิกอยู่บริเวณชั้นหนังสือกลางห้องใต้ดินทำให้เธอสติแทบแตก
“อย่า... เพิ่งไป มะ... มาช่วยฉันด้วย" หญิงสาวที่เป็นลมหมดสติไปในตอนแรกเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเธอแสดงถึงความหวาดผวาอะไรบางอย่างได้อย่างชัดเจน เมื่อเห็นเพื่อนสาวที่วิ่งลงมา เธอก็พยายามส่งเสียงร้องเรียก แต่เสียงนั้นกลับทำให้เพื่อนสาวเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเสียงของวิญญาณร้าย เธอจึงตัดสินใจจะวิ่งกลับขึ้นไปด้านบน แต่ทว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นซ้ำสอง...
ราวกับว่ามีมัจจุราชที่ยืนรออยู่บันไดชั้นบนสุด เมื่อเธอวิ่งไปถึงขั้นบนสุด ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างผลักให้เธอหงายหลังตกบันได ไม่มีใครรู้ว่าเธอโดนผลักได้อย่างไร เพราะหลังจากที่ร่างของเธอตกลงไป ชะตากรรมของเธอก็ไม่ต่างจากเพื่อนอีกคนที่สิ้นลมหายใจก่อนหน้านี้...
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง พวกเพื่อน ๆ ที่ทำการรับน้องเห็นว่าเพื่อนของพวกเขาทั้งสี่คนยังไม่กลับมาสักที โทรตามก็ไม่มีใครรับสาย จึงมีบางส่วนที่ตัดสินใจไปตามหาในห้องสมุด และทันทีที่กลุ่มเพื่อนผู้หวังดีเดินเข้าไปภายในห้องสมุด ภาพที่พวกเขาได้เห็นทั้งหมดก็ทำให้ทุกคนต่างก็รู้สึกสลดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
หญิงสาวคนแรกที่ถูกพบอยู่บนชั้น 3 เธอโดนชั้นหนังสือล้มเรียงเป็นโดมิโน่และทับจนร่างติดแหง็ก สันของชั้นวางหนังสือที่มีความสูงกว่าสามเมตรพร้อมกับหนังสือหลายพันเล่มกระแทกเข้าที่บริเวณต้นคอของเธอ ไม่มีใครรู้ว่าเธอหมดสิ้นลมหายใจเพราะอะไรกันแน่ เพราะดูเหมือนว่าการที่ชั้นหนังสือทับร่างของเธอจะยังไม่หนำใจมัจจุราช เมื่อแท่งเหล็กบางอย่างซึ่งผู้พบเห็นสันนิษฐานเอาว่าน่าจะหลนลงมาจากบนชั้นหนังสือ ได้ตกลงมาเสียบเข้าที่เบ้าตาของเธอจนเกือบทะลุ นั่นเป็นภาพที่ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกสะเอียดสะเอียนที่สุด
ส่วนหญิงสาวอีกสามรายถูกพบที่ชั้นใต้ดิน มีสองรายที่ตกบันไดคอหักจนเสียชีวิต และอีกหนึ่งรายที่รอดพ้นจากความตาย แต่ทว่าสภาพของเธอก็ไม่ต่างจากตายทั้งเป็น เพราะการเสียชีวิตของเพื่อนสองคนตรงหน้าเธอทำให้เธอขาดสติจนฟั่นเฟือง มิหนำซ้ำยังเป็นไบ้ไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ
และหลังจากนั้น ตำนานอาถรรพ์ภายในห้องสมุดก็เกิดขึ้นเรื่อยมา เพราะมีนักศึกษาที่อยู่ในห้องสมุดหลัง 5 โมงเย็นเพียงคนเดียวในชั้นใต้ดินและชั้นสามมักเจอเรื่องราวประหลาด ๆ เป็นประจำ...
สิ่งที่อาจารย์ก้องภพเล่ามาทั้งหมดนั้นไม่ได้ทำให้ไม้รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด แต่มันเป็นความสะเทือนใจมากกว่า... และถ้าหากสามคนเสียชีวิตอีกหนึ่งคนเป็นบ้า แล้วใครจะเป็นคนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ล่ะ นั่นคือความสงสัยของไม้ เพราะทุกคนต่างก็เห็นสภาพของพวกเขาหลังจากที่เกิดเรื่องทั้งนั้น
“อะไรคือหลักฐานยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องจริง" ไม้เอ่ยถาม
“กล้องวงจรปิด ปกติกล้องวงจรปิดจะเปิดใช้การแค่เวลาทำการห้องสมุดเท่านั้น แต่ในช่วงนั้นทางมหาลัยได้เปิดกล้องวงจรปิดเอาไว้ตลอดเวลาเพื่อเป็นการทดสอบระบบ" คำตอบของก้องทำให้ไม้ถึงกับสะอึกทันที ถ้ามีหลักฐานเป็นภาพเคลื่อนไหวขนาดนี้ก็คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธความจริงของอาถรรพ์เหล่านี้หรอก "แม้สมัยก่อนภาพจะยังไม่คมชัดแถมยังเป็นภาพขาวดำ แต่ภาพของหญิงสาวที่โดนชั้นหนังสือทับและแท่งเหล็กเสียบเข้าที่เบ้าตากับหญิงสาวที่ตกบันได รวมถึงหญิงสาวที่มีท่าทางราวกับว่าเจออะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น มันถูกบันทึกไว้ในกล้องวงจรปิดทั้งหมด"
“แล้วหลังจากนั้นนอกจากเหตุการณ์ประหลาด ๆ ที่เกิดขึ้นกับนักศึกษาที่เข้าห้องสมุดในชั้นที่เกิดเรื่องหลังห้าโมงเย็นเพียงคนเดียว ยังมีเหตุการณ์อะไรอีกไหมครับ"
“มีนักศึกษาเสียชีวิตปีเว้นปีในห้องสมุดที่ชั้นใต้ดิน หรือไม่ก็ชั้นสามสลับกันไป" ก้องตอบออกมา "อ้อ... อีกย่าง นักศึกษาที่ตกบันไดตายคนแรกเจ้าหน้าที่มาสืบทราบทีหลังว่าเธอกำลังตั้งครรภ์อ่อน ๆ ด้วย"
“ตายทั้งกลม!?” ไม้ทวนคำด้วยความตกใจ เพราะจากที่โบร่ำโบราณเล่ามา การตายทั้งกลมมันเป็นการตายที่อาถรรพ์มาก ๆ
“ก็ไม่รู้จะเรียกว่ากลมหรือเปล่านะครับ เพราะเธอเพิ่งตั้งครรภ์อ่อน ๆ" ก้องเอ่ยขัด “แล้วถ้าสิ่งที่คุณบอกผม คือประตูปรโลกจะเปิดหลังเที่ยงคืนจริง แล้วถ้าเราไปไม่ทัน อน่างนั้นก็แสดงว่า...”
“มิวส์!!!” ทั้งคู่เอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ เพราะไม่รู้ว่าวิญญาณติดที่ที่ยังคุมสติได้อย่างมิวส์จะต้องเจอกับอะไรบ้าง
ก้องที่ขับรถด้วยความเร็วที่ประคองความปลอดภัยได้มาตลอดทางเริ่มออกแรงเหยียบคันเร่งให้แรงขึ้น มันพุ่งเร็วจนหากมีอะไรตัดหน้าหรือมีจักรยานที่ถีบโซซัดโซซาเข้ามากลางถนนอาจทำให้ก้องไม่สามารถหลบได้ทันเลยล่ะ
โชคดีที่ตลอดเส้นทางไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรจึงทำให้การเดินทางไปบ้านคุณปริมซึ่งอยู่ห่างไกลจากมหาวิทยาลัยถึง 40 กิโลเมตรไม่มีปัญหาอะไร และท้ายที่สุดก็ได้กุญแจห้องสมุดมา
ก้องขับรถกลับไปยังมหาวิทยาลัยด้วยความไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะตอนนี้ก็เป็นเวลา 22.10 น. แล้ว อ้างอิงจากนาฬิกาบนรถ ซึ่งเพียง 40 กิโลเมตรยังไงก็ทันเที่ยงคืนแน่นอน แต่ทว่าที่จะไปไม่ทันก็เพราะดันมีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างทางเสียก่อน
รถเก๋งที่ก้องขับมาด้วยดีตลอดเริ่มมีอาการส่ายไปส่ายมา พอเห็นว่าท่าไม่ดีก้องเลยตัดสินใจจอดลงไปดูก็พบว่าล้อรถด้านหน้าฝั่งขวาที่ไม่รู้ไปเหยียบอะไรมากำลังแฟบลงเรื่อย ๆ ถ้าจะให้ฝืนสังขารขับต่อไปก็ดูว่าท่าจะไม่ดีแน่นอน
“อีกประมาณสองกิโลเมตร เดินไหวไหมครับ" ก้องเอ่ยถามลูกศิษย์ที่เดินลงมาดูสภาพของล้อรถตามเขา
“ไม่" ไม้ส่ายหน้าเป็นคำตอบ "วิ่งเลยดีกว่า ให้เดินผมคงรอไม่ไหวหรอก"
“ป่ะ" ก้องเอ่ยขึ้นพลางพยักหน้ารับให้กับความเห็นที่เข้าท่า จากนั้นคนทั้งคู่ก็วิ่งตรงไปยังมหาวิทยาลัยทันทีโดยที่ไม่สนรถเก๋งที่จอดทิ้งไว้ข้างถนนเลยสักนิด เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าตอนนี้ก็คือร่างวิญญาณของมิวส์
เนื่องจากเวลานี้ก็ดึกมากแล้ว การเดินทางโดยเท้าจากริมถนนไปยังมหาวิทยาลัยจึงค่อนข้างทุลักทุเลอยู่พอสมควร ทั้งไม้และก้องต่างพลิกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูหลายต่อหลายครั้งด้วยความรีบร้อน ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลา 5 ทุ่มแล้ว เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้นก็จะถึงเวลาที่ประตูปรโลกจะเปิดตามที่ท่านเจ้าที่สั่ง
พอไปถึงหน้ามหาวิทยาลัย ยามที่เฝ้าประตูก็ดันดักทางไม่ให้ร่างของคนทั้งคู่เข้าไปข้างในได้
“ผมมีธุระ ต้องรีบเข้าไปข้างใน" พูดจบ ก็ยกกระเป๋าซึ่งเป็นบัตรยืนยันว่าเขาเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ "ผมอาจารย์ก้องภพ เกียรติขจร อาจารย์คณะศิลปศาสตร์สาขาวิชาภาษาอังกฤษ"
“เชิญครับ" เมื่อยามเห็นว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นอาจารย์ ยามก็เปิดทางให้ แต่ทว่าเหมือนว่าเขาจะยอมให้ก้องเข้าไปเพียงคนเดียวเท่านั้น
“นั่นลูกศิษย์ผม" ก้องเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่ายามกำลังทำตามหน้าที่อย่างเคร่งครัด "ให้เขาเข้ามาเถอะ"
พูดจบยามจึงยอมเปิดทางให้โดยที่ไม้ได้แต่มองยามหนุ่มนายนั้นด้วยสายตาที่เชือดเฉือน เนื่องจากเขาไม่เคยมามหาวิทยาลัยตอน 5 ทุ่มเลยสักครั้งจึงทำให้เขาไม่สนิทกับยามที่เฝ้าเวรในกะนี้
หลังจากที่ฝ่าด่านของยามมาได้ ทั้งไม้และก้องต่างก็วิ่งตรงไปยังห้องสมุดด้วยความเร่งรีบ บัดนี้สีหน้าของคนทั้งคู่แสดงอาการเหนื่อยหอบอย่างเห็นได้ชัด แม้นี่จะเป็นเวลากลางคืน แต่เม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาท่วมตัวก็ทำให้รู้ว่าพวกเขาต่างก็เหนื่อยกับการวิ่งระยะไกลแค่ไหน
จบตอน