วัยรุ่น วุ่นหัวใจ เทอมที่ 1 คาบเรียนที่ 23 หนี (24-04-14)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: วัยรุ่น วุ่นหัวใจ เทอมที่ 1 คาบเรียนที่ 23 หนี (24-04-14)  (อ่าน 30326 ครั้ง)

จิ๊บคุง

  • บุคคลทั่วไป
คือบอกได้เลยว่าเป็นดาราได้เลยนะนั่น

ผมนิ่งตะลึงไปครู่นึงก่อนที่จะดึงสติตัวเองกลับมาได้
ไม่ได้ๆ เห็นป้อต่างไปจากทุกทีทำเป็นเอ๋อกินไปเลยนะเรา
ไม่ได้หลงอะไรหรอกนะ แค่อึ้งๆ น่ะเดี๋ยวจะโดนหาว่านอกใจแบงค์ 5555+

“นันท์มานานรึยังครับ”
ป้อถามผมด้วยน้ำเสียงหอบเล้กน้อย เพราะรีบวิ่งมา
“ก็ไม่นานเท่าไหร่หรอก ว่าแต่ทำไมมาสายอ่ะ”
ผมถามกลับไป ป้อเอามือเกาหัวเล็กน้อย พร้อมกับทำหน้ายิ้มแหยๆ

“แห่ะๆ คือแบบว่า.....เกิดงานเข้าเล็กน้อย พ่อให้ช่วยงานนิดหน่อยอ่ะครับ เลยมาสาย ขอโทษด้วยนะครับ”
“อ้อ ไม่เป็นไรๆ แล้วนี่กินไรมารึยังน่ะ”
ทันทีที่ผมถามกลับไปแบบนั้น ป้อก็ส่ายหัวทันที ก่อนที่จะมีเสียงโครกครากตามมาจนป้อเองออกอาการเขินเล้กน้อย
ผมเองก็หัวเราะเล็กน้อย จึงเอ่ยปากชวนป้อไปหาอะไรกิน

เราทั้งสองเดินวนรอบห้างเพื่อตัดสินใจว่าจะกินอะไรกัน
แต่ในระหว่างที่เดินรอบห้างนั้น ผมก็สังเกตได้ว่า สายตาของคนรอบข้างโดยเฉพาะสาวๆ นั้นจับจ้องมาที่ป้ออยู่ตลอดเวลา
ก็แหงล่ะ ป้อออกจะเด่นเสียขนาดนั้น

เด่นเสียจนผมเองรู้สึกหมองไปเลย ;w;

“กินพิซซ่ากันมั้ย ผมไม่ได้กินนานแล้วอ่ะครับ”
ป้อหันมาถามผมเมื่อเราทั้งสองเดินผ่านหน้าร้านพิซซ่าฮัท ผมเองเมื่อได้ยินป้อถามเช่นนั้นก็พยักหน้าเป็นการตอบรับกลับไป
เพราะจะว่าไปผมเองก็ไม่ได้กินพิซซ่ามานานเหมือนกัน

เราทั้งสองจึงเดินเข้าไปในร้าน แล้วเลือกที่นั่ง ไม่นานนักก็มีพนักงานมารับออเดอร์

“เอาเซ็ต 299 ครับ พิซซ่าเอาเป็นหน้า.........เอ่อ นันท์อยากทานหน้าไหนครับ”
ป้อหันมาถามผมที่ตอนนี้กำลังเปิดดูเมนูด้วยความเอ๋อ เพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยสั่งเอง ให้เพื่อนสั่งให้แทนทั้งนั้น - -*
“เอาอะไรก็ได้ แล้วแต่ป้อละกัน นันท์กินได้หมด”
เมื่อป้อได้ยินเช่นนั้น ก็จึงหันไปสั่งพนักงานด้วยความคล่องแคล่ว เมื่อพนักงานรับออเดอร์เสร็จจึงเดินจากไป

“ว่าแต่ เราจะดูหนังเรื่องอะไรดีครับ วันนี้”
ป้อถามผม ผมหันกลับไปมองป้อด้วยความสีหน้างงๆ เล็กน้อย เพราะผมเองก็ไม่ได้ศึกษามาก่อนว่าช่วงนี้มีหนังอะไรสนุกๆ บ้าง
“แห่ะๆ ขอโทษทีนะ ไม่รู้อ่ะ ไม่ได้ดูโปรแกรมหนังเลยอ่ะ ขอโทษน้า”
“ไม่เป็นไรครับ งั้นเอาเป็นเรื่อง กราวิตี้ มฤตยูแรงโน้มถ่วง มั้ยครับ”
“มฤตยู??? น่ากลัวมั้ยอ่ะ หนังผีรึป่าว”
ผมถามกลับไปด้วยความกลัว เพราะปกติเป็นคนไม่ชอบดูหนังผีเท่าไหร่
ป้อเองเมื่อได้ยินผมถามเช่นนั้น ก็หัวเราะเล็กน้อย จนผมอายเพราะเหมือนตัวเองถามอะไรโง่ๆ ออกไปยังไงไม่รู้

“ไม่น่ากลัวหรอกครับ อาจจะมีตื่นเต้นบ้าง คือหนังมันเกี่ยวกับอวกาศน่ะครับ”
ทันทีที่ผมได้ยินคำว่า อวกาศ หูของผมก็ผึ่งทันที
“ก็พอดีผมสังเกตเห็นน่ะครับ ว่านันท์มักจะชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับอวกาศ จักรวาลอะไรพวกนี้ เลยคิดว่านันท์น่าจะชอบเรื่องนี้”
ป้อบอกกับผม พร้อมกับยิ้มให้ผม จนผมเองอดอายไม่ได้กับรอยยิ้มนั้น
มันอะไรกันเนี่ย ???????


หลังจากที่กินพิซซ่าเสร็จ ผมกับป้อก็เดินไปยังชั้นโรงหนังทันทีเพื่อดูตารางฉาย
“มีรอบบ่ายโมงครึ่ง ตอนนี้ก็เที่ยงกว่าๆ ยังไงก็ซื้อตั๋วไว้ก่อนละกัน ดูแบบ 3 มิติละกันนะครับ”
ป้อบอกผม พร้อมกับเดินไปยังเคาเตอร์เพื่อซื้อตั๋ว
ทันทีที่พนักงานบอกราคาผมก็ควักเอากระเป๋าเงินออกมาเพื่อจะหยิบเงินให้ป้อ แต่ก็โดนป้อห้ามไว้

“วันนี้ผมเป็นคนชวนนันท์มาดูหนังเป็นเพื่อน เพราะงั้นค่าตั๋วหนังขอผมเป็นคนจ่ายให้นะครับ”
“แต่....”
“เอาเถอะครับ นะ นะ ไม่งั้นผมไม่สบายใจนะครับ”
ป้อบอกกับผมด้วยสีหน้าอ้อนวอน ผมเองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อน จึงเก็บกระเป๋าเงินคืนเข้าที่
เมื่อป้อเห็นผมเก็บกระเป๋าเงินแล้ว จึงควักกระเป๋าของตัวเองออกมา

ในขณะที่ป้อกำลังหยิบเงินออกมา ผมก็เหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
แต่ก็ไม่ทันจะได้ดูให้แน่ชัด ป้อก็ปิดกระเป๋าและเก็บมันกลับเข้ากระเป๋ากางเกงไปเสียก่อน

“มีเวลาประมาณชั่วโมงนึงแน่ะ ไปไหนกันดีอ่ะ”
ผมหันไปถามป้อที่กำลังเก็บตั๋วหนังเข้ากระเป๋าเงิน เมื่อผมเห็นเช่นนั้น ก็พยายามสังเกตกระเป๋าเงินของป้ออีกครั้ง
โดยไม่ให้เจ้าตัวรู้ คราวนี้เห็นชัดกว่าเมื่อกี้นิดนึง

ผมพอจะสังเกตเห็นว่ามีอะไรบางอย่างในกระเป๋านั้
เหมือนเห็นบัตรอะไรสักอย่าง
แต่ก็ไม่แน่ใจนักว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นนั้นตรงกับสิ่งที่ตัวเองคิดหรือไม่

เอ่อ นี่ป้อ....................

“อืม.....ลองเดินๆ ดูรอบๆ ก่อนมั้ยครับ แล้วค่อยว่ากัน”
ป้อหันมาตอบผม ผมเองก็พยักหน้าให้กับความคิดนั้น
ผมพยายามเก็บอาการไว้ เพื่อไม่ให้ป้อรู้ว่าผมกำลังเผือกเรื่องของป้ออยู่ 55555+

“ว่าแต่ นันท์พักอยู่กับใครเหรอครับ”
ป้อหันมาถามผมในขณะที่เราสองคนกำลังเดินไปเรื่อยอย่างไร้จุดหมาย
“ก็อยู่กับแม่น่ะ ส่วนพ่อ แห่ะๆ หย่ากันตั้งแต่นันท์ยังเด็กๆ น่ะ”
“ขอโทษด้วยนะครับ ที่ถามอะไรออกไปให้นันท์รู้สึกไม่ดี”
ผมส่ายหัวพร้อมกับยิ้มกลับไป

“ช่างเถอะ เรื่องมันก็ตั้งแต่นันท์ยังเด็กละ ถึงจะอยู่กับแม่แค่สองคน แต่แม่ก็ไม่เคยทำให้นันท์รู้สึกว่าเหงา หรือขาดอะไรไปเลย”
ผมตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม ป้อเองเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็ยิ้มกลับมาให้ผม

แต่ทว่าทำไมรอยยิ้มคราวนี้นั้น กลับดูเป็นรอยยิ้มที่ดูแปลกไปจากทุกครั้ง
“แล้วป้อล่ะ อยู่กับใครเหรอ”
ผมถามป้อกลับไปบ้างคราวนี้
“ก็....อยู่กับพ่อสองคนน่ะครับ ส่วนแม่......แห่ะๆ ก็เหมือนนันท์น่ะครับ หย่ากันไปนานแล้ว”
ทันทีที่ผมได้ยินคำตอบนั้น ผมเองก็อึ้งไปพอสมควร เพราะไม่นึกว่าป้อกับผมจะมีส่วนคล้ายกันในเรื่องนี้

“แต่ของผมต่างจากนันท์นิดหน่อย เพราะผมกับพ่อไม่ค่อยได้เจอหน้ากันเท่าไหร่ เพราะงานท่านเยอะน่ะครับ
บางทีก็ต้องไปต่างจังหวัดหลายๆ วันเพราะงั้นผมเลยอยู่คนเดียวเสียมาก ผมเลยรู้สึกอิจฉานันท์นิดๆ อ่ะครับ แห่ะๆ”

ป้อตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม แต่ทว่า อย่างที่ผมบอกน่ะล่ะครับว่าเป็นรอยยิ้มที่ดูต่างจากทุกครั้ง
และตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าเพราะอะไร
นั่นเพราะผมดันไปเล่าให้ป้อฟังว่าแม่ไม่เคยทำให้ผมรู้สึกเหงาหรือขาดอะไรไป
โดยหารู้ไม่เลยว่าผมกลับไปสะกิดเข้ากับอะไรบางอย่างในใจของป้อโดยไม่รู้ตัว

“เอ่อ........นันท์ขอโทษนะที่นันท์ทำให้ป้อรู้สึกไม่ดี”
ผมเอ่ยคำขอโทษออกไปด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความรู้สึกผิด
“หือ ขอโทษผมทำไมครับ อ้อ ไม่ต้องคิดมากครับ ผมไม่เป็นไร ผมชินแล้วน่ะครับ”
ป้อตอบกลับมาพยายามที่จะทำให้ผมไม่คิดมาก
แต่ถึงผมจะเป็นคนทึ่มๆ เอ๋อๆ แต่ผมเองก็พอจะดูออกล่ะน่ะ ว่าแท้จริงแล้วป้อเองก็รู้สึกเหงาเหมือนกัน

ไม่งั้นคงไม่ยิ้มต่างไปจากทุกทีหรอก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-10-2013 04:30:47 โดย จิ๊บคุง »

จิ๊บคุง

  • บุคคลทั่วไป
“และอีกอย่างตอนนี้ผมก็ไม่เหงาด้วยละครับ เพราะตอนนี้ผมมีนันท์อยู่ข้างๆ ละครับ อ่ะเอ่อ แบบ เป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ ผมตอนนี้อ่ะครับ แห่ะๆ”
ป้อบอกผมเช่นนั้น ด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักและใบหน้าที่ดูเขินอาย คงเพราะพยายามที่จะทำให้ผมไม่คิดมากน่ะล่ะ
ผมเองเมื่อเห็นนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ

จะว่าไปป้อ ก็ดูเป็นคนดีมีมุมน่ารักเหมือนกันแฮะ
อันที่จริงก็ตั้งแต่ตอนเข้าค่ายแล้วล่ะ ที่ป้อดูเป็นคนเฮฮาร่าเริง
แต่ผมไม่เคยสังเกตเท่าไหร่นัก เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็ต้องจากกันเพราะอยู่กันคนละโรงเรียน
แต่ทว่า ป้อก็กลับย้ายมายังโรงเรียนนี้ ถึงจะด้วยเหตุผลอะไรก็เถอะ ผมไม่อยากถาม หากเจ้าตัวไม่อยากบอก
ถ้าการที่ผมเป็นเพื่อนป้อ จะทำให้หายเหงาได้ ผมก็ยินดี


ยังไงไหนๆ ก็เป็นเพื่อนละนี่


“อ๊ะ แวะร้านนี้มั้ยครับ พอดีมีเพลงอยากฟังนิดหน่อย”
ป้อหันสะกิดผม เมื่อเราทั้งสองคนเดินผ่านหน้าร้านขายซีดีเพลง ผมพยักหน้าพร้อมกับเดินตามเข้าไป
ป้อเดินนำหน้าเข้าไปในร้าน มุ่งตรงไปยังมุมทดลองเพลงตัวอย่าง พร้อมกับหยิบหูฟังขึ้นมาใส่

เพลงคงจะเพราะสินะ ถึงได้อมยิ้มคนเดียว

ผมเองเมื่อเห็นเช่นนั้น ก็ไม่อยากเข้าไปรบกวน จึงเดินไปรอบๆ ร้าน
จะว่าไปเรื่องเพลงนี่ ว่ายังไงดีล่ะ ปกติก็ฟังนะ แต่ส่วนมากจะฟังเพลงเดิมๆ เสียมากกว่า
ประมาณว่าชอบเพลงไหน ก็ฟังแต่เพลงนั้น หรือถ้าไปได้ยินเพลงไหนเพราะก็จะไปสืบหา หรือถามเพื่อนว่าเพลงอะไร
แต่ก็ไม่มากหรอก เพราะอย่างที่บอกว่าส่วนมาก ผมก็มักจะฟังแต่เพลงเดิมๆ
ขนาดในมือถือผม ยังมีเพลงไม่ถึง 30 เพลงเลย ฟังวนไปวนมาซ้ำๆ อยู่นั้นล่ะ - -*
ต่างจากคนอื่นที่มีเป็นร้อยๆ เพลง อย่างเห็นได้ชัด

ผมใช้เวลาไม่นานนักก็เดินวนกลับมายังป้อที่ตอนนี้ยังคงฟังเพลงอยู่
แต่ทว่าคราวนี้หันมาหาผมและกวักมือเรียกผมเข้าไป ผมจึงเดินเข้าไป

“ลองฟังเพลงนี้ดูสิครับ เพราะนะ นี่ๆ จะถึงท่อนฮุคละ”
เมื่อป้อบอกเช่นนั้น ผมจึงรีบรับหูฟังมาใส่ทันที

-ถ้าหากว่าฉันนั้นยังหายใจ ถ้าหากว่าเธอยังเชื่อในฉัน
หมดชีวิตนี้ เราจะมีกัน......ตราบนานเท่านาน
อาจไม่ใช่คนที่ตรงใจเธอ อาจไม่เหมือนใครที่เธอเคยวาดฝัน
แต่จะรักเธอ เหมือนเดิม อยู่ทุกวัน ตราบนานเท่านาน....-



“เพลงของใครเหรอ”
ผมถอดหูฟังออกพร้อมกับหันไปถามป้อ ที่กำลังยิ้มอยู่

“นานเท่านาน ของหนุ่มวงกะลาครับ ผมชอบเพลงนี้น่ะครับ ความหมายดี โดนใจผมอ่ะครับ”
ป้อบอกผมด้วยรอยยิ้มที่ดูสดใส สงสัยคงจะเป็นคนชอบฟังเพลงสินะ ถึงได้จ้อเชียว

“อ่อ...”
ผมพยักหน้ากลับไป
“เป็นไงครับ เพราะมั้ยครับสำหรับนันท์”

“อื้มเพราะดีอ่ะ นานๆ จะได้ยินเพลงไทยเพราะๆ แบบนี้อ่ะ สงสัยต้องไปหามาฟังแล้วล่ะ ของใครนะ หนุ่มวงกะลาใช่มั้ย”
“ครับ แต่ไม่ต้องไปหาหรอก เดี๋ยวผมส่งไปให้”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบตกลง เสียงมือถือของผมก็ดังขึ้นเสียก่อน เป็นเสียงได้รับข้อความหรืออะไรสักอย่าง
ผมหยิบขึ้นมาดู ก็พบว่าป้อได้ส่งเพลงมาให้ผมแล้ว
(เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเลยนะ อย่าทำตามล่ะ สงสารคนทำเพลง - -*)

“เร็วมากเลยนะ”
ผมหันไปพูดกับป้อ ป้อเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็อมยิ้ม
“ครับ ผมอยากให้นันท์ได้ฟังเพลงนี้น่ะครับ ฟังบ่อยๆ นะครับ”
ป้อบอกเช่นนั้น ก่อนที่จะหันหลังให้กับผม

“ไปเถอะครับ จะถึงเวลาฉายหนังแล้ว เดี๋ยวไม่ทัน”
ป้อหันมาบอกผมด้วยสีหน้าแดงก่ำไม่รู้ด้วยเพราะอะไร แต่ผมก็ไม่ได้ถาม เพราะมัวแต่สนใจกับเวลาฉายหนังที่กำลังจะถึง
จึงรีบเดินตามป้อออกไป

ในขณะที่ผมกับป้อเดินไปยังโรงหนังนั้นเอง


“อ้าว นั่น นันท์นี่หว่า เฮ้ย นันท์”
เสียงห้าวๆ ที่ผมคุ้นหูเรียกชื่อของผม ผมหันกลับไปยังต้นเสียงนั้น
ใช่จริงๆ ด้วย พลกับตี๋เอ๋อ นั่นเอง

“อ้าว มาเที่ยวกันเหรอ”
ผมถามกลับไปยังพล
“กูมาดูหนังกับตี๋เอ๋อน่ะ”
“อ่ะจริงดิ แล้วไม่ไปซ้อมบาสเหรอ เห็นแบงค์ไปซ้อมนี่”


“กูโกหกว่าไปบ้านญาติน่ะ อย่าไปบอกใครล่ะ""

นั่น - -*

"แล้วนันท์ล่ะ มาทำไรน่ะ กับ...........”
พลหันไปมองยังคนที่ยืนข้างผมในตอนนี้

“อ้อ นี่ป้อนะ อยู่ชั้นเดียวกับเรา แต่คนละห้องน่ะ”
ผมแนะนำป้อให้พลกับตี๋เอ๋อรู้จัก
“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
ป้อเองก็เอ่ยคำทักทายอย่างสุภาพให้กับพลและตี๋เอ๋อ
ตี๋เอ๋อเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ก้มหัวเป็นการทักทายกลับมา
ส่วนพลนั้น ก็พยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ แต่ยังคงไม่ละสายตาจากป้อ

“เอ่อ....ไม่รู้ยังจำกันได้หรือป่าว แต่ป้อเคยไปค่ายอบรมยาเสพย์ติดเหมือนพวกเรา แต่ตอนนั้นป้อยังอยู่คนละโรงเรียนกับเราน่ะ”
ผมอธิบายขยายความต่อ พลเองเมื่อได้ยินผมบอกเช่นนั้นก็ร้องอ๋อออกมาทันที

“อ่อ นึกออกแล้ว ก็ว่าทำไมหน้าตาคุ้นๆ แล้วย้ายมาด้วยสาเหตุอะไรล่ะ”
พลถามกลับไปยังป้อ ป้อเองเกิดอาการอ้ำอึ้งเล็กน้อยทันทีที่พลถามเช่นนั้น
“เอ่อ ก็นิดหน่อยน่ะครับ ไม่ได้มีอะไรสำคัญน่ะครับ แห่ะๆ”
พลพยักหน้าให้กับคำตอบนั้น แต่ยังคงขมวดคิ้วอยู่ (จะทำหน้าโหดไปถึงไหนน่ะ น่ากลัว - -*)

“เออ ว่าแต่ตะกี้เห็นบอกว่ามาดูหนัง ดูเรื่องอะไรกันอ่ะ”
ผมหันกลับไปถามพลเพื่อเปลี่ยนเรื่อง

“กราวิตี้น่ะ”
“อ๊ะ เรื่องเดียวกันเลย นี่นันท์กับป้อ ก็ว่าจะดูกันเนี่ย

“มา เดี๋ยวกูสปอยด์ให้นะ ตอนจบนางเอก.....”
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก”
ผมรีบตะโกนเสียดังขึ้นมาทันที จนคนรอบข้างต่างก็หันมามอง จนผมเองรู้สึกอายจนตัวแทบจะหดเล็กลง
“ไม่ต้องเล่าเลยนะ เดี๋ยวจะไปดูเอง”
ผมบอกกับพลด้วยน้ำเสียงที่เบาลง พลเองก็หัวเราะให้กับความเปิ่นของผม ;w;

“เออๆ งั้นกูไปก่อนละ ว่าจะไปหาไรกินก่อนน่ะ”
พลบอกกับผมก่อนจะเดินจากไป โดยหันกลับมามองผมกับป้ออีกเล็กน้อย ก่อนจะเดินหายลับไปจากสายตา

“เอ่อ เพื่อนนันท์ คนที่ชื่อพลนั่น ดูท่าทางน่ากลัวๆ ยังไงไม่รู้นะครับ”
ป้อหันมาคุยกับผมในขณะที่เราทั้งสองต่างก็เดินไปยังโรงหนัง
“อ่อ มันก็เป็นคนแบบนั้นน่ะล่ะ แต่จริงๆ ไม่มีอะไรหรอก แค่ภายนอกดูน่ากลัวเฉยๆ แค่นั้นล่ะ”
ผมบอกกับป้อไป ป้อเองก็พยักหน้าให้กับคำตอบนั้น

“ป่ะ รีบไปกันเถอะ อีกไม่กี่นาทีหนังจะเริ่มแล้ว”
ผมบอกกับป้อ ก่อนจะเร่งฝีเท้า ป้อเองจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินตามผมมาเช่นเดียวกัน


เอาล่ะ กราวิตี้งั้นเหรอ ขอดูสักหน่อยละกัน ว่าจะสนุกมั้ย

ไหนๆ ก็ดูแบบ 3 มิติ แถมยังดูฟรีด้วยนี่สิ




อิอิ

จบคาบเรียนที่ 16


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-10-2013 04:46:42 โดย จิ๊บคุง »

จิ๊บคุง

  • บุคคลทั่วไป
สวัสดีตอนตี 3 กับอีก 59 นาที ของวันที่ 14 ตุลาครับ
 o22


โห ห่างจากคาบเรียนที่ 15 ถึง 1 เดือนเต็มเลยเรอะเนี่ย  :angry2: :angry2:
ขอยอมรับความผิดแต่โดยดีครับ

ลืมกันไปรึยังเนี่ย  :sad4: :sad4:

ทุกครั้งที่อัพตอนใหม่เสร็จ ก็จะมีความรู้สึกว่า อ้าาาาาาาาาห์ ผ่านไปอีก 1 ตอน
สบายแล้ววววววววว

แล้วก็ชิลล์.......ไม่สิ จริงๆ ต้องเรียกกลับไปโหมงานหลักจนลืมวันและเวลามากกว่า :a5:
พอรู้ตัวเองอีกที ก็เป็นแบบนี้ไปซะแล้ว

ขอโทษด้วยครับบบบบบบบบบบ

กลัวคนอ่านจะคิดว่า นิยายเรื่องนี้จะโดนลอยแพแน่ๆ
ขอบอกตรงนี้เลยครับว่า ไม่เป็นแบบนั้นแน่นอนครับ ขอสัญญา

แต่เหตุผลก็ด้วยข้างบนนั่นล่ะครับ งาน+ความชะล่าใจ ก็เลย..........น่าโดนตื๊บยิ่งนัก เรานี่  :z6:

จะว่าไปช่วงนี้ งานก็หนักขึ้นจริงๆ น่ะล่ะ

แต่คิดในแง่ดีว่า เพื่ออนาคต อิอิ
แถมที่สำคัญ เจ้านายก็โอเค น้องๆ ที่ทำงานร่วมด้วย ก็น่ารักทุกคน โดยเฉพาะกระดิ่งน้อย ><  :-[

ไอคนที่นี้ก็บอกไม่ถูกแฮะ ว่าจะยังไงกันแน่
ทีตอนอยู่กัยสองต่อสองนี่ว่านอนสอนง่าย
แต่พออยู่ต่อหน้าคนอื่น ทำหัวแข็ง น่าจับตีก้นเสียจริง  :hao7:

เมื่อวันที่ 12 ที่ผ่านมาก็เป็นวันเกิดผมครับ
แต่ขอไม่บอกนะว่าครบรอบปีที่เท่าไหร่ อายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
น้องเขาก็อวยพรปนกวนตรีนใส่ผม บอกขอให้ขาวขึ้น - -* ขอให้รวย คิดสิ่งไหนได้สิ่งนั้น

ผมเลยบอกไปว่า สิ่งที่คิดที่อยากได้น่ะมี แต่ทำยังไงก็ไม่ได้สักทีนี่สิ 555555+

ไม่รู้เมื่อไหร่จะใจอ่อนสักทีนะ  :hao5:

เข้าเรื่องดีกว่า

ฮั่นแน่ะ นันท์ของเรา ร้ายนะเนี่ย แอบนอกใจแบงค์มาเที่ยวกับป้อ 555555555+

ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมต้องเป็น กราวิตี้ ก็อย่างที่รู้กันว่า นันท์ของเราชอบอวกาศ จักรวาล
แล้วเมื่อวันเกิดที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปดูเรื่องนี้
(ไม่ต้องถามนะว่าดูกับใคร คนเดียวครับ ชีวิตมันเศร้า  :hao5:)


บอกตามตรงว่า ประทับใจเรื่องนี้มากกกกกกกกกกกกกก
ก็เลยเอามาใส่ในเรื่องซะเลย 55555+


บอกเข้าเรื่อง แต่ไหง ไปๆ มาๆ ชวนออกนอกเรื่องซะงั้น - -*

สำหรับตอนนี้เหมือนจะไม่มีไรมาก ไม่รู้จะสมกับที่หายไปนานหรือป่าว
แต่ก็แฝงอะไรหลายๆ อย่างพอสมควรแฮะ สมกับชื่อตอน(คิดเอาเองนะ)

ยังไงก็ติชม วิจารณ์ พูดคุยได้ครับ

ส่วนตอนหน้า จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

บอกได้เลยว่า เนื้อเรื่องน่ะ มีในหัวแล้ว
เหลือก็แค่เวลา กับเรียบเรียงออกมาแค่นั้นล่ะครับ

ยังไงก็พยายามเร่งตัวเองให้มากขึ้น ไม่ให้ช้าจนน่าเกลียดแบบคราวนี้อีกครับ
ยังไงก็ฝากติดตาม ฝากไว้ในอ้อมใจด้วยนะครับ (ทำยังกะลิเก - -*)


ขอบคุณที่ติดตามครับ


ทิ้งท้ายด้วยเพลง ที่ป้อให้นันท์

นานเท่านาน หนุ่ม KALA




ปล. คิดถึงคนอ่านทุกคนครับ ทั้งที่เข้ามาคอมเม้นท์
(ผมชอบอ่านคอมเม้นท์ทุกท่านนะครับ บางวันรู้สึกเหงาๆ ก็เข้ามาอ่านคอมเม้นท์เล่น ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาได้)
และคลิกเข้ามาอ่านเฉยๆ ครับ (ดูจากยอดชมกระทู้ที่เพิ่มตลอดอ่ะนะ)

ขอบคุณมากครับ :bye2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-10-2013 12:27:09 โดย จิ๊บคุง »

จิ๊บคุง

  • บุคคลทั่วไป
คาบเรียนที่ 17 ความนัย


“เป็นไงมั่งครับ นันท์ หนังสนุกมั้ย”
ป้อถามผมในขณะที่เราทั้งสองเดินออกมาจากโรงหนัง
“สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ลุ้นมากด้วย ไม่ผิดหวังจริงๆ”
ผมตอบกลับไปด้วยความตื่นเต้นที่ยังไม่จบถึงแม้หนังจะจบไปแล้วก็ตามที
ป้อเองเมื่อเห็นท่าทีเฮฮาร่าเริงของผมที่ดูเหมือนเด็กในตอนนี้ ก็ยิ้มหัวเราะออกมาเบาๆ

“ถ้านันท์ดูแล้วชอบ ผมก็มีความสุขละครับ”
ป้อบอกกับผม พร้อมกับยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน เมื่อรวมกับป้อในวันนี้ ทำเอาผมถึงกับเขินไปพอสมควร
แต่ยังเก็บอาการเอาไว้อยู่


อะไรกันน่ะ รอยยิ้มนั้น....????

“จะ 4 โมงแล้ว จะไปหาอะไรกินกันก่อนมั้ยครับ”
ป้อหันมาถามผม หลังจากที่มองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง
“อืม โทษทีนะ คงไม่อ่ะ พอดีบอกแม่ไว้อ่ะ ว่าจะกลับไปกินข้าวเย็นที่บ้าน นี่ก็ว่าจะกลับแล้ว กลัวรถติดอ่ะ”
ผมตอบกลับไป พร้อมกับชำเลืองมองนาฬิกาข้อมือของป้ออย่างไม่ให้ผิดสังเกต
ใขณะที่ป้อเอง เมื่อได้ยินผมตอบเช่นนั้น ก็ออกอาการผิดหวังเล็กน้อย

“อ่า ครับๆ ไม่เป็นไรครับ งั้นนันท์จะกลับยังไงครับ”
“อืม ก็ว่าจะขึ้นรถไฟฟ้าไปลงลงที่สถานีสุดท้าย แล้วต่อรถเมล์กลับไปอ่ะ น่าจะเร็วสุดละ แล้วป้อล่ะ”
“บ้านผมอยู่แถวๆ นี้นี่ล่ะครับ เดินแป๊บเดียวก็ถึง”

“อ่ะจริงดิ”
ผมออกอาการอึ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินป้อตอบเช่นนั้น แต่ก็ยังเก็บความสงสัยอะไรบางอย่างไว้ในใจ

“ งั้นเดี๋ยวยังไงขอผมไปส่งที่สถานีละกันนะครับ”
ผมพยักหน้าให้กับคำตอบนั้น เราทั้งสองจึงดินตรงไปยังบันไดเลื่อน
ในระหว่างนั้นเอง

“อ้าวนั่น ป้อรึป่าวน่ะ”
เสียงของชายวัยกลางคนทักป้อ ผมกับป้อจึงหันกลับไปยังต้นเสียงนั้น
“อ่ะ สวัสดีครับ ลุงนพมาทำอะไรที่นี่ครับ”
ป้อยกไหว้ให้กับชายคนนั้น ซึ่งดูจากการแต่งตัวแล้วน่าจะเป็นคนที่มีฐานะพอสมควร
ซึ่งนั่นยิ่งสร้างความสงสัยให้ผมอยากสอดรู้สอดเห็นยิ่งขึ้นไปอีก

“ก็....ไม่มีอะไรมาก มาคุยธุระกับพ่อเรานิดหน่อยน่ะ พอดีลุงมีโครงการอยู่น่ะ อยากชวนพ่อเราเข้าร่วมด้วยน่ะ
แล้วเราล่ะ มาทำอะไร อย่าบอกนะว่า มาช่วยพ่อ มาศึกษาเอาไว้เพื่ออนาคตน่ะ”
ชายคนดังกล่าวแซวป้อ ทำเอาป้อถึงกับเขินหน้าแดงขึ้นมาทันที


“โอ้ย ยังไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ผมยังไม่เก่งถึงขนาดนั้นครับลุง เรื่องนี้ปล่อยให้พ่อกับลุงสนุกกันไปก่อนละกันครับ”
“แหม ทำเป็นถ่อมตัวนะ เอาน่ะยังไงต่อไปที่นี่เราก็ต้องรับช่วงต่อจากพ่อ คงจะหนักหน่อย แต่ยังไงก็ตั้งใจละกันนะ ลุงเอาใจช่วย
ลุงไปก่อนนะ มีธุระต้องไปที่อื่นต่อน่ะ”

ชายคนดังกล่าวกล่าวร่ำลาป้อ โดยป้อยกมือไหว้ให้ชายคนนั้นอีกครั้งเป็นการร่ำลาตอบ
ก่อนที่จะหันกลับมามองด้วยสีหน้ายิ้มแหยๆ

“ป้อ มันอะไรยังไงกันเหรอ คือ....อย่าหาว่าละลาบละล้วงเลยนะ แต่เมื่อกี้ได้ยินว่า -ที่นี่- ป้อต้องรับช่วงต่อ มันยังไงเหรอ”
ผมถามกลับไปด้วยความสงสัยสุดๆ เนื่องด้วยจากอะไรหลายๆ อย่างที่ผ่านมาในวันนี้

ป้อเองเมื่อได้ยินผมยิงคำถามเช่นนั้น ก็ทำหน้าแหยๆ กึ่งรับกึ่งสู้ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ประหนึ่งว่า ไม่มีทางเลือกสินะ

“คือ ห้างนี้น่ะ เป็นของตระกูลผมเองครับ แห่ะๆ”
ป้อตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเบาและเรียบง่าย

ส่วนผมนั้น

“.......................................”

!!!!!!!!!!???????????

ห่ะ ห่ะ หา???????????????

เดี๋ยวนะ นี่ผมหูฝาดไปรึป่าวน่ะ
“เอ่อ ป้อ ป้อบอกว่า ห้างนี้เป็นของตระกูลป้อใช่มั้ย”
ป้อพยักหน้าให้กับคำถามนั้น

“รวมถึงห้างอื่นๆ ที่อยู่ทั่วประเทศด้วยใช่มั้ย ที่ชื่อเดียวกับห้างนี้น่ะ”
ป้อพยักหน้าให้กับคำตอบนั้นอีกครั้ง

โอ้ แม่ จ้าวววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว


นี่ผมกำลังยืนคู่อยู่กับลูกหลานตระกูลดังเจ้าของห้างทั่วประเทศเลยเหรอเนี่ย ??????

มิน่าล่ะ ผมเองเริ่มเอะใจตั้งแต่เรื่องการแต่งตัวแล้ว เพราะเสื้อผ้าที่ป้อใส่ดูแล้วไม่น่าจะใช่ของถูก
ไหนจะเรื่องกระเป๋าเงินอีก เพราะผมเหลือบไปสังเกตเห็นบัตรอะไรบางอย่างที่ตอนนั้นผมยังไม่มั่นใจ
แต่ตอนนี้คิดว่าบัตรที่ผมเห็นน่าจะเป็นพวกบัตรเครดิตต่างๆ แต่คิดว่าจะของพ่อป้อนะ
 เพราะเด็กมัธยมคงทำไม่ได้หรอก (มั้ง ผมไม่รวยเลยไม่รู้ - -*)
ไหนจะนาฬิกาข้อมือนั้นอีก ดูยังไงก็ไม่น่าใช่ของกระโหลกกะลาทั่วๆ ไป
แถมยังบอกด้วยว่าบ้านอยู่แถวนี้ด้วย เพราะแถวนี้มันอยู่ในตัวเมืองเลยนะนั่น
เท่าที่ผมพอจะรู้มาค่าที่ดินแถวนี้นั้นแพงมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ย่านนี้ส่วนมากมักจะเป็นพวกไฮโซ เศรษฐีทั้งนั้น

สรุปสิ่งที่ผมสงสัยมาทั้งหมดก็เป็นดังที่ผมคิดว่าป้อน่าจะจัดได้ว่าเป็นลูกคนมีเงิน


แต่ไม่คิดว่า..................................
ป้อจะรวยขนาดนี้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
คนละระดับกับผมอย่างไกลลิบเลยนะนั่น อ๊ากกกกกกกกก

ในขณะที่ผมกำลังอึ้งกับสิ่งที่ผมได้รับรู้ เสียงของป้อก็ช่วยดึงผมให้กลับมาสู่โลกความเป็นจริง
“เป็นอะไรหรือป่าวครับ นันท์ นิ่งเงียบไปเลย”
ป้อถามผมด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นห่วง

“เอ่อ....ป่าวๆ หรอก แค่อึ้งนิดหน่อย...อันที่จริงก็ไม่หน่อยหรอก มากพอตัวเลยล่ะ คือ...ไม่คิดว่าป้อ..จะ.....”
ผมตอบกลับไปแบบตะกุกตะกัก
“แห่ะๆ ทุกคนล่ะครับ ที่พอรู้ความจริง ก็อึ้งกันแบบนี้ล่ะครับ คือปกติผมไม่ค่อยอยากบอกใครหรอกครับ
ส่วนมากถ้าจะรู้ ก็รู้ด้วยความบังเอิญอะไรแบบนี้มากกว่าน่ะครับ”
ป้อพยายามอธิบายให้ผมฟัง แต่ผมนี่สิ วางตัวไม่ถูกเลยทีนี้ ซึ่งป้อเองก็คงพอจะดูออก

“เอ่อ นันท์ครับ เรื่องวันนี้ นันท์ไม่ต้องไปบอกใครนะครับ ว่าผมเป็นใคร คือแบบผมอยากอยู่แบบสงบๆ น่ะครับ
ส่วนนันท์เอง ก็ไม่ต้องเกร็ง หรือกังวลอะไรนะครับคิดว่าผมเป็นผมเหมือนเดิม เป็นคนธรรมดาทั่วไปก็ได้
ไม่ต้องคิดมากว่าผมเป็นลูกคุณหนู ต้องมาพิธีรีตองอะไรแบบนั้น นะครับ นะ นันท์”
ป้อพยายามพูดอธิบายอีกรอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วเหมือนกับการอ้อนวอนกลายๆ



จิ๊บคุง

  • บุคคลทั่วไป
และให้ตายสิ ผมเองก็ไม่รู้ทำไม เวลาได้ยินเสียงอ้อนวอนแบบนี้ ถึงได้ใจอ่อนทุกที


คืออันที่จริง มันก็ไม่เชิงหรอก เพราะเรื่องนี้ป้อก็ไม่ได้ผิดอะไรเลยนี่นา
ก็แค่ผมอึ้ง และตกใจพอสมควร ก็เลยทำตัวไม่ถูก

คือจริงๆ ผมไม่ได้ใส่ใจหรอกว่าป้อจะเป็นลูกใคร ร่ำรวยหรือไม่ (ถึงตอนแรกจะแอบเผือกก็เถอะ ก็แบบ.......นิดนึงน่ะ - -*)
เพราะผมไม่ได้ตัดสินใครที่ตรงนั้น
และที่สำคัญป้อเอง ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรแบบนั้นด้วย
จากที่คุยๆ กันมาป้อเองก็เป็นคนดีคนนึง ซึ่งผมเองก็ไม่รังเกียจที่จะคบเขาเป็นเพื่อน

และดูแล้วในตอนนี้ ป้อเองก็มีทีท่ากังวลไม่ใช่น้อยเหมือนกันนะนั่น
ผมเองก็เลยยื่นมือไปคว้าข้อมือของป้อขึ้นมาจับไว้ พร้อมกับยิ้มให้ป้อ

“คือ นันท์แค่ตกลงใจน่ะ แต่ไม่ได้อะไรแล้วล่ะ แห่ะๆ ขอโทษนะที่ทำให้ป้อต้องกังวล
นันท์สัญญานะ ว่าจะไม่บอกใครถ้าป้อไม่อยากให้วุ่นวาย ว่าแต่เพื่อนที่โรงเรียนนี้มีใครรู้มั้งรึยังน่ะ”
ป้อส่ายหัวกับคำถามของผม ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะป้อเองก็เพิ่งจะย้ายมาที่นี่ไม่นาน

“ขนาดที่โรงเรียนก็มีแค่ 3-4 คนเองที่รู้”
ป้อตอบกลับมา ทำเอาผมถึงกับอึ้งไปพอสมควร ปิดความลับระดับนี้ได้เก่งมากเลยนะนั่น ทำได้ไงเนี่ย
“โอเค งั้นถือว่าเรื่องนี้เป็นความลับระหว่างนันท์กับป้อละกันเนาะ แห่ะๆ”
ผมพูดออกไปพร้อมกับยิ้มให้ป้อ ป้อเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ดูมีสีหน้าที่สดชื่นขึ้นมาเยอะเบยทีเดียว

“ครับ ความลับที่มีเราสองคนที่รู้”


หลังจากที่เราพูดคุยเรื่องนี้เสร็จ ป้อก็เดินมาส่งผมที่สถานีรถไฟฟ้า
ผมหยอกเหรียญลงไปในเครื่องพร้อมกับกดปุ่มราคาตามสถานีที่ผมจะลง
หลังจากที่บัตรดีดออกมาจากตู้แล้วนั้น ผมก็หยิบมันออกมา ก่อนจะหันไปหาป้อ

“งั้น โชคดีนะ ยังไงเจอกันที่โรงเรียนวันจันทร์นะ”
ผมกล่าวคำอำลาให้กับป้อ ป้อเองก็ยิ้มกลับมา ผมจึงเดินเอาบัตรสอดเข้าไปในเครื่องกั้นเพื่อเดินเข้าไปในสถานี
หลังจากที่ผมเดินเข้ามาแล้ว ผมก็หันกลับมาอีกรอบเพื่อดูว่าป้อกลับไปหรือยัง

แต่ทว่า ทันทีที่ผมหันกลับไป ภาพที่ผมเห็นตรงหน้านั้นคือ ป้อที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมนั่นเอง
ทำเอาผมถึงงงไปพอสมควร

“อ้าวเข้ามาทำไมน่ะ ไหนบอกว่าบ้านอยู่แถวนี้ไม่ใช่เหรอ”
ผมถามกลับไปด้วยความสงสัย
“ก็แค่ว่างน่ะครับ ไม่รู้จะไปไหน เลยว่าจะนั่งรถไฟฟ้าเล่นเป็นเพื่อนนันท์น่ะครับ”
ป้อตอบกลับมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มร่าเริง

แบบนี้ก็มีด้วย

“ว่าแต่ไปแลกบัตรตอนไหนน่ะ ไม่ทันเห็นเลย”
“ของผมมีตั๋วเดือนอยู่น่ะครับ”
ป้อตอบพร้อมกับชูกระเป๋าเงินให้ผมดู ผมพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ
เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าตัวว่างั้น ผมก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอกนะ

ผมกับป้อเดินขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อรอรถไฟฟ้า
วันหยุดแบบนี้ผู้คนในสถานีเยอะมาก มองไปทางไหนส่วนมากก็เห็นแต่เด็กวัยเดียวกับผม
มีทั้งที่มาเที่ยว และมาเรียนกวดวิชาแถวนี้

จริงสิ ปีหน้าผมก็จะ ม.6 แล้วนี่นะ คงต้องวางแผนอนาคตได้แล้วล่ะ
แต่ไว้ก่อน วันนี้ไม่ไหวละ (จะรอดมั้ยเนี่ย - -*)

ผมยืนต่อแถวเพื่อรอรถขบวนต่อไป ส่วนป้อเองก็ยืนอยู่ข้างหน้าผม
จะว่าไปป้อเองก็ตัวสูงหมือนกันนะเนี่ยพอๆ กับแบงค์เลย
หุ่นก็ดูโอเคใช้ได้เหมือนกันแฮะ เล่นกีฬาด้วยหรือป่าวเนี่ย

“รถมาแล้วครับนันท์”
ป้อหันมาบอกผม ผมสะดุ้งเล็กน้อยแต่ไม่แสดงอาการมากนัก
ทันทีที่ขบวนรถจอดเทียบชานชาลา และผู้คนด้านในก็เดินออกมาจนหมด ผมกับป้อก็รีบเดินเข้าขบวนทันที
แต่ด้วยผู้คนที่มากมาย กอรปกับผมที่ตัวเตี้ยด้วยแล้วนั้น ผมเองก็โดนเบียดจนเซไม่ใช่น้อยเหมือนกันนะนั่น

ว่าแต่ป้อไปไหนแล้วเนี่ย
ผมมองซ้ายขวาเพื่อหาป้อ แต่ไม่ทันที่จะหาเจอ ก็มีมือมาดึงตัวผมเข้าไป จนผมแทบจะเซถลาเข้าไปเลย
ผมเซเข้าไปชนเข้ากับอกของเจ้าของมือนั้น

“เกือบหลงกันแล้วนะครับ”
เจ้าของมือนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่ทว่าเป็นป้อนั้นเอง เมื่อเห็นเช่นนั้นและตั้งสติผมก็รีบดันตัวเองให้ยืนตรงในทันที

ไอฉากเมื่อกี้มันเหมือนในพวกละครหรือนิยายยังไงไม่รู้แฮะ
ให้ตายสิ แล้วทำไมถึงต้องรู้สึกเขินด้วยเนี่ย สงสัยจะอ่านนิยายมากเกินไป
ป้อเอื้อมมือข้างนึงขึ้นไปจับราวโหน ในขณะที่อีกมือนั้นจับไหล่ผมไว้

ส่วนผมนั้นน่ะเหรอ เหอะๆ จับได้แค่เสาครับ ;w;
อันที่จริง ผมก็ไม่ได้เตี้ยอะไรมากหรอกนะ แต่.............ก็ให้โหนราวแบบนั้น มันก็ไม่ถนัดอ่ะครับ - -*

ในขณะที่รถแล่นขบวนออกจากสถานี ผมก็สังเกตได้ว่ามีกลุ่มเด็กวัยรุ่นหญิงกลุ่มนึงอายุประมาณ 14 – 15 ที่นั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากผมนักมองมาทางผม
ไม่สิ ถ้าจะเรียกให้ถูก ต้องบอกว่ามองมาทางป้อมากกว่า

เด่นจริงๆ นะ - -*

แต่ดูป้อจะไม่ได้สนใจกับสายตากลุ่มเท่าไหร่

ดูพวกเธอจะซุบซิบอะไรกันด้วยนะ - -*

“ว่าแต่ ถ้าอย่างงั้น พอถึงสถานีสุดท้าย ป้อก็ต้องลงแล้วไปขึ้นอีกขบวนกลับน่ะสิแบบนั้น”
ผมเงยหน้าขึ้นไปถามป้อ ป้อเองไม่ตอบอะไรกลับมา จะมีก็เพียงแต่รอยยิ้มเป็นคำตอบแทน

“มันจะว่างเกินไปละแบบนั้น ไม่น่าลำบากมาส่งอะไรขนาดนั้นเลยแท้ๆ”
ผมบอกป้อด้วยน้ำเสียงเกรงใจเล็กน้อย ป้อเองเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็ส่ายหัว
“ไม่เลยครับ ไม่ลำบากสักนิด ผมเต็มใจน่ะครับ และอีกอย่าง..................”

ป้อเว้นประโยคไปครู่นึง ก่อนจะยกมือข้างที่จับบ่าผมขึ้นไปเกาจมูกเบาๆ

“ผมแค่อยากอยู่กับนันท์นานๆ น่ะครับ”


ตึ่กๆ ตึ่กๆ
หือ ???? หมายความว่าอะไรน่ะ

ในขณะที่ผมกำลังมึนงงอยู่นั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงคิกคักๆ ของกลุ่มเมื่อกี้
เมื่อผมหันไปมอง พวกเธอก็รีบทำหน้ายิ้มๆ แบบเขินๆ ไปทางอื่น


อะไรของพวกเธอเนี่ย - -*

ผมหันกลับไปเงยหน้ามองป้อ ที่ตอนนี้พยายามจะหันไปทางอื่นด้วยใบหน้าแดงก่ำ

จิ๊บคุง

  • บุคคลทั่วไป
“ใกล้จะถึงสถานีปลายทางละครับ ระวังโดนเบียดนะครับ”
ป้อหันกลับมาบอกผม ผมเองก็พยักหน้าตอบรับ

ทันทีที่รถจอดเทียบชานลา ผู้คนก็ต่างก็พากันลงอย่างรวดเร็ว
แต่ทว่าคราวนี้ป้อคอยจับไหล่ผมไว้ทำให้ผมไม่โดนเบียดเหมือนตอนขาขึ้น

หลังที่เราสองคนเดินออกมาจากขบวน ผมกับป้อก็หันมามองหน้ากัน
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมไปส่งถึงเครื่องกั้นแล้วกันนะครับ”
“ไม่ให้นันท์ไปส่งขึ้นอีกฝั่งเหรอ”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวจะเสียเวลานันท์เปล่าๆ ต้องต่อรถเมล์ไปอีกใช่มั้ยล่ะครับ”
ผมพยักหน้าตอบกลับไปเป็นเชิงตกลง ผมกับป้อจึงเดินไปยังเครื่องกั้น

เมื่อมาถึงที่เครื่องกั้น ผมจึงหันกลับไปกล่าวคำลากับป้ออีกครั้ง (ของจริงละคราวนี้ - -*)
ป้อเองไม่พูดอะไรกลับมา จะมีก็เพียงรอยยิ้มอย่างเดียวเท่านั้น
ผมจึงหันกลับไป แล้วเอาบัตรสอดเข้าไปยังเครื่องกั้น ก่อนที่จะเดินออกไปอีกฝั่ง


“นันท์ครับ”
ทันใดนั้นเองเสียงของป้อก็ตะโกนข้ามเครื่องกั้นมา
ทำเอาคนรอบข้างต่างพากันหันมามองป้อ
“มีอะไรเหรอ”
ผมตอบกลับไป คราวนี้บางคนหันมามองผมบ้างละ (ซวยละ - -*)



“ฟังเพลงที่ผมส่งไปให้เยอะๆ นะครับ ไปละนะครับ บาย”
ป้อตะโกนกลับมาพร้อมกับยกมือโบกลาให้ผม เล่นเอาผมถึงกับอายเลยทีเดียว เพราะคราวนี้ ผู้คนต่างหันมามองผมแล้ว

ผมทำอะไรไม่ถูกจึงรีบเดินลงอย่างรวดเร็ว

ป้อคึกอะไรขึ้นมาเนี่ย - -*



ผมเดินลงจากสถานีเพื่อมารอรถเมล์
คนเยอะแฮะ จะถึงบ้านกี่โมงเนี่ย

เสียงรอบข้างหนวกหูแฮะ ใส่หูฟังฟังเพลงดีกว่า
อ๊ะจริงสิ ป้อส่งเพลงมาให้ฟังนี่หว่า ลองฟังดูเลยแล้วกัน

ผมหยิบมือถือขึ้นมาพร้อมเสียบสายหูฟัง พร้อมกับจัดย้ายเพลงไปไว้รวมกับเพลงอื่นๆ
ก่อนจะเปิดเพลงนั้นฟัง


“.........................”




“.............................................”



“.......................................................................”


เอ.........มันก็เพราะดีนะ เพราะมากด้วย


คือกับเพลงน่ะ ผมก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ ออกจะชอบด้วยซ้ำ
แต่..............................


-ครับ ผมอยากให้นันท์ได้ฟังเพลงนี้น่ะครับ ฟังบ่อยๆ นะครับ-

“..........................”

-ฟังเพลงที่ผมส่งไปให้เยอะๆ นะครับ ไปละนะครับ บาย-


ด้วยเนื้อหาเพลง และคำพูดของป้อ
และเมื่อคิดทบทวนถึงการกระทำที่ผ่านๆ มา



ผมก็เกิดอาการอึ้ง และงุนงงพอสมควร


-ผมแค่อยากอยู่กับนันท์นานๆ น่ะครับ-


“.................................................”




นี่อย่าบอกนะว่าป้อเอง...............................................................




อ๊ะ มีสายเข้า ใครโทรมาหว่า



แบงค์!!!!!!!!!!!!



จบคาบเรียนที่ 17

จิ๊บคุง

  • บุคคลทั่วไป
สวัสดีครับ

เนื่องด้วยระยะห่างจากคาบเรียนที่ 15 และ 16 ห่างกันถึง 1 เดือน

เพราะงั้น คาบเรียนที่ 16 และ 17 เลยขอชดเชย ด้วยระยะห่าง 1 วัน แทนละกันครับ

อันที่จริง 16 และ 17 ตอนแรกจะเขียนเป็นตอนเดียวกัน แต่ด้วยจำนวนหน้าเลยแยกเป็น 2 ตอนแทน



ส่วนคาบเรียนที่ 18 ก็คงเร็วๆ นี้ครับ



ส่วนถ้าอ่านแล้ว สถานที่ในเนื้อเรื่อง และ ห้างในเนื้อเรื่องเป็นสถานที่สมมติขึ้นมานะครับ อย่าคิดมาก 5555+


วันนี้คงไม่พล่ามอะไรมาก เพราะยังไม่มีเรื่องคุยมากนัก อิอิ

ไปก่อนละครับ  :bye2: :bye2:

"เพราะพอมีเธออยู่ข้างกาย ยังไงผมก็ไม่มีทางทำพลาด
.
เธอช่วยให้ทุกอย่างช่างแสนเยี่ยมยอดในยามที่ทั้งหมดมันผิดพลาดไปหมด"



"AutoTune" - Jason Chen

จิ๊บคุง

  • บุคคลทั่วไป
คาบเรียนที่ 18 ความว้าวุ่น

เอาแล้วไงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ทำไงดีๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

อยู่ๆ ผมก็เกิดอาการตื่นเต้นมือสั่นขึ้นมาเสียอย่างงั้น
แต่เดี๋ยวนะ ทำไมผมจะต้องตื่นเต้นด้วยเนี่ย กะแค่แบงค์โทรมา


ไม่รู้สิ มันเหมือนความรู้สึกของคนที่กำลังกระทำความผิดอะไรสักอย่างด้วยล่ะมั้ง
เลยทำให้ผมเกิดอาการสั่นขึ้นมา

ผมกดสไลด์มือถือเพื่อรับสายนั้น
“ว่ะ ว่าไง แบงค์”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“นันท์อยู่ไหนอ่ะ ตอนนี้”
แบงค์ถามผมด้วยประโยคสั้นๆ
“อ่ะ เอ่อ.........ตอนนี้อยู่ตรงแถวสถานี.......รอรถเมล์จะกลับบ้านน่ะ”
“อ้าว ออกมาทำไรเหรอ”
แบงค์ถามผมกลับมาด้วยประโยคสั้นๆ ทั้งๆ ที่มันก็เป็นแค่ประโยคคำถามทั่วไปแท้ๆ
แต่ทว่าทำไมผมถึงได้รู้สึกหนักอึ้งกับคำถามนั้นเหลือเกิน

“อ่ะ เอ่อ......ออกมาธุระนิดหน่อยน่ะ ว่า...แต่แบงค์เถอะ มีอะไรเหรอ”
ผมพูดตัดบทถามกลับไป
“ก็ไม่มีไรมากหรอก พอดีเพิ่งซ้อมเสร็จน่ะ เลยว่าจะชวนออกมาข้างนอกหน่อย”
“ที่ไหนอ่ะ”



“ที่ห้าง.....น่ะ”
เฮือก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ผมถึงกับใจหายวูบในทันที ที่ได้ยินชื่อห้างนั้น
ก็แหวล่ะ มันเป็นห้างของป้อนี่ อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
“อ่ะ อ่ะ เอ่อออ พอดีนัดแม่ไว้น่ะ ว่าจะกินข้าวเย็นด้วยอ่ะ แบงค์”
ผมตอบกลับออกไปแบบนั้น ก็เหมือนจะได้ยินน้ำเสียงผิดหวังของแบงค์ลอดผ่านเข้ามาเบาๆ
“อ่ะ เอ่อ งั้นรอแปบนะ เดี๋ยวลองโทรหาแม่แป๊บนึง”
ผมกดพักสายพร้อมกับกดเบอร์ของแม่โทรออกไป ไม่นานนักแม่ก็รับสาย
“ว่าไง นันท์”
แม่ของผมถามกลับมา
“เอ่อ แม่ ทำข้าวเย็นรึยังอ่า”
ผมถามออกไปด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ

“ยังอ่ะ ทำไมเหรอ”

“เอ่อ.....แม่จะโกรธมั้ยอ่ะ ถ้าจะบอกว่านันท์มีธุระกระทันหันกลับไปไม่ทันอ่ะแม่”
“กับแบงค์เหรอ”
อุก!!!!!!!!!!!!
“รู้ได้ไงเนี่ย”

“เดาเอา แสดงว่าถูกใช่มั้ย”
นั่น เสียเชิงให้แม่อีกละ - -*
“หง่า แม่อ่ะ ว่าแต่ได้มั้ยอ่ะแม่ โกรธนันท์ป่ะ”
ปลายสายเงียบไปครู่นึง

“โกรธเรื่องไรน่ะ ดีเสียอีก เพราะจริงๆ วันนี้แม่ขี้เกียจทำกับข้าวน่ะ แม่จะได้ไปชวนป้าจันทร์ออกไปชอปเสียหน่อย”
เวรกำ แม่ผม  - -*
“แต่ยังไงก็อย่ากลับดึกล่ะ แม่เป็นห่วง แต่ไปกับแบงค์คงไม่เป็นไรหรอก แต่ก็นั่นล่ะ ยังไงอย่าให้ดึกมากล่ะ”
แม่ของผมบ่นเล็กน้อยพอเป็นพิธี ผมก็ได้แค่ครับๆ กลับไป ก่อนจะวางสาย

ผมกดวางสายแม่ ก่อนจะสลับกลับมายังสายของแบงค์
“เอ่อ คุยกับแม่ละ โอเค เดี๋ยวไปหานะ รออยู่ตรงไหนล่ะ”
“รออยู่ประตูทางออกที่ 4 ละกัน เชื่อมกับห้างพอดี”
แบงค์บอกกับผม ผมจึงตอบตกลงกลับไปก่อนจะกดวางสายแล้วถอนหายใจให้กับตัวเองเบาๆ

“นี่เรากำลังทำอะไรอยู่เนี่ย”
ผมบ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ เพราะเกรงว่าหากเสียงดังไปเดี๋ยวจะโดนผู้คนรอบข้างมองด้วยสายตาประหลาดแบบเมื่อครูบนสถานีอีก - -
ผมหันหลังเดินกลับขึ้นไปยังสถานีก่อนที่จะหยอดเหรียญแลกบัตรออกมา แล้วจึงเดินเข้าไปในสถานีเพื่อรอรถขบวนต่อไป

ในขณะที่ผมกำลังยืนรอขบวนรถไฟอยู่นั้นเอง
เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น ผมหยิบมันขึ้นมาดู

ง่ะ!!!!!!!
ป้อโทรเข้ามา!!!!!!!
จะรับหรือไม่รับดีเนี่ยยยยยยยย
ผมเกิดความลังเลอยู่พอสมควร แต่เอาวะ

“ว่ะ ว่าไงเหรอ ป้อ”
ผมเอ่ยถามไปยังปลายสาย
“แห่ะๆ ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่อยากโทรมา อยากรู้ว่าตอนนี้อยู่ไหนน่ะครับ พอดีเป็นห่วง”
ป้อตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย

“เอ่อ ตอนนี้กำลังยืนรอรถเมล์อยู่น่ะ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงมากหรอก แต่ ยังไงก็ขอบคุณนะ อ๊ะๆ แค่นี้ก่อนนะ พอดีรถมาแล้ว”
ผมรีบแหลสดตัดบทเพื่อวางสายทันที ก่อนจะถอนหายใจให้กับตัวเองอีกครั้ง


เอาแล้วไง ไอนันท์เอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย
ทำไงดีเนี่ย
เกิดมาบนโลกใบนี้ 17 ปีไม่เคยมีใครมาชอบก่อนเลยในชีวิต
แถมคนที่ดันมาชอบก็นะ ดันเป็นลูกหลานมหาเศรษฐีด้วย ทำตัวไม่ถูกยิ่งไปใหญ่
ไอให้คบเป็นเพื่อนทั่วไปน่ะ ก็โอเคอยู่หรอก แต่จะให้คบแบบ..........................


เฮ้ออออออ คิดมากอีกแล้ว =x=


หลังจากที่ผมนั่งรถไฟฟ้ามาถึงยังที่หมาย ผมก็ไม่รอช้าเร่งฝีเท้าไปยังจุดที่แบงค์อยู่ทันที
“รอนานมั้ย”
ผมทักแบงค์ที่ตอนนี้กำลังยืนกินไอศรีมแบบโคนอยู่ในชุดซ้อมบาส
“ไม่อ่ะ”
“ว่าแต่ไม่กลัวเหม็นบ้างเหรอ ถึงได้ยังใส่เสื้อบาสมาห้างเนี่ย”
ผมถามกลับไปด้วยความสงสัย

“ไม่เหม็นหรอก พอดีเอาชุดซ้อมไปเผื่อสองตัวน่ะ แล้วก็ก่อนออกมาก็อาบน้ำในห้องชมรมมาแล้วด้วยน่ะ ดมดูสิ หอมฉุยเลยเนี่ย”
แบงค์ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆ ผมพร้อมกับดึงเสื้อของตัวเองขึ้นมาให้ผมดม
ผมรู้สึกอายเล็กน้อย จึงบิดหน้าหนีแต่ทว่าแบงค์ก็ยังพยายามที่จะให้ผมดมให้ได้ เหมือนกับพยายามจะแกล้งผมยังไงยังงั้น

แต่ก็หอมจริงๆ น่ะล่ะ =w="

จิ๊บคุง

  • บุคคลทั่วไป
“พอละๆ อายเขาๆ ว่าแต่โทรชวนมามีอะไรเหรอ”
ผมเปลี่ยนเรื่องสนทนา ทันทีที่แบงค์ได้ยินคำถามนั้นก็ยิ้มให้กับผม
ก่อนจะเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพายพร้อมกับหยิบเศษกระดาษอะไรบางอย่างเล็กๆ ออกมาชูให้ผมดู

เมื่อผมพิจารณาดูดีๆ ก็พบว่าเจ้าเศษกระดาษที่ผมคิดในตอนแรกนั้นแท้จริงแล้วมันคือตั๋วหนัง
และเมื่อผมลองพิจารณาเจ้าตั๋วหนังที่อยู่ในมือแบงค์ให้ดีๆ ก็ถึงกับต้องใจหายวูบเลยทันที
เมื่อพบว่าชื่อหนังที่อยู่บนตั๋วนั้น

ก็คือเรื่อง “กราวิตี้” ที่ผมเพิ่งดูกับป้อไปเมื่อช่วงบ่ายนั่นเอง


“เห็นนันท์ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับพวกจักรวาลอวกาศก็เลยคิดว่าน่าจะชอบเรื่องนี้ ก็เลยชวนมาดู
อยากจะเซอร์ไพร์ซด้วยน่ะ”
แบงค์ยังคงพูดต่อไปด้วยประโยคที่ป้อเองก็เคยพูดกับผมมาแล้วเมื่อช่วงบ่าย

ส่วนผมในตอนนี้นั้นบอกตามตรงเลยว่าอยู่ในอาการมึนตึ๊บขึ้นมาในหัวอย่างบอกไม่ถูก
จะทำยังไงดี ในเมื่อผมเพิ่งดูเรื่องนี้ไปแล้วเมื่อตอนบ่าย
ผมพูดอะไรไม่ออกจึงได้แต่ทำหน้ายิ้มกลับไป แต่ทว่ามันเป็นยิ้มเจื่อนๆ เหมือนคนที่กำลังปกปิดความผิดเอาไว้

“อ่ะจริงดิ น่าดูแฮะ รอบกี่โมงอ่ะ”
ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“อีก 20 นาทีหนังจะเข้าแล้ว ป่ะ เรารีบไปกันเถอะ”
แบงค์บอกกับผมก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือผมพร้อมกับเดินนำหน้าไป
ผมรู้สึกเขินอายเล็กน้อยที่แบงค์จับมือผมไว้ มันเหมือนกับคนเดินจูงมือกัน

เหมือนคนเป็นแฟนกัน

ยิ่งผมคิด ผมก็ยิ่งรู้เขินอายมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
และก็ยิ่งรู้สึกผิดมากกว่าเดิม

แต่ผมก็ไม่รู้จะบอกความจริงยังไงดี
ถ้าบอกว่าดูไปแล้วกับคนอื่นแบงค์คงรู้สึกเสียใจพอสมควรเพราะแบงค์เองก็กะเซอร์ไพร์ซผม
จริงๆ เรื่องผมไปดูกับคนอื่นนั้น ยังไม่เท่าไหร่หรอก
แต่สิ่งที่ผมรู้สึกผิดจริงๆ ก็คือ คนอื่นที่ว่านั่น คือป้อที่ตอนนี้กำลังชอบผมอยู่



จริงอยู่ที่ว่าผมไม่ได้คิดอะไรกับป้อ (ถึงเมื่อตอนกลางวันจะดูเหมือนหวั่นไหวไปบ้างก็เถอะ - -*)

แต่ตอนนี้ทำไมถึงได้มีความรู้สึกผิดขึ้นมาในหัวใจยังไงก็ไม่รู้นี่สิ
มันเหมือนกับว่าตัวเองที่ผ่านมากำลังนอกใจแบงค์ยังไงไม่รู้ (ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้คบกับแบงค์เลยแท้ๆ - -*)



หลังจากที่ผมกับแบงค์ดูหนังจบ
“เป็นไงมั่ง สนุกมั้ย”
แบงค์หันมาถามผมพร้อมกับยื่นข้าวโพดคั่วมาให้ผม
“อ่ะ เอ่อ สนุกมาก เลยล่ะ ดูแล้วลุ้นตลอดเวลาเลยล่ะ”
ผมพยายามฝืนตอบออกไป
“นั่นไง คิดไม่ผิดจริงๆ ด้วยที่พามาดู”
แบงค์ออกอาการดีใจอย่างเห็นได้ชัด แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ผมยิ่งรู้สึกผิด

“ก่อนกลับเราไปหาไรกินก่อนมั้ย”
แบงค์หันมาถามผม ที่ตอนนี้กำลังทำหน้าเจื่อน แต่พยายามเก็บอาการไว้
“เอาสิ แบงค์เลือกเลย นันท์กินได้ทุกอย่าง”

“เชื่อๆ ว่านันท์กินได้ทุกอย่าง เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา แบงค์ยังไม่เคยเห็นอะไรที่นันท์กินไม่ได้เลย”
แบงค์หันมาแซวผม พร้อมกับหัวเราะ จนผมเองรู้สึกเขินอาย
ซึ่งผมก็พอช่วยให้ผมรู้สึกดีได้ขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด


“งั้น เอาเป็นพิซซ่ามั้ย รู้สึกว่าเราจะไม่ได้กินกันนานแล้วนะ”
อึก!!!!!!!

เอ่อ พระเจ้าครับ นี่ท่านกำลังแกล้งผมอยู่ใช่มั้ยเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยย
ถ้าใช่ล่ะก็ กรุณาหยุดทีเถอะ ลูกกำลังจะบ้าตายอยู่แล้วเนี่ย ;w;

ผมรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยที่จะตอบออกไป แต่ก็ไม่มีทางเลี่ยงจึงได้แต่พยักหน้าเป็นเชิงตกลงกลับไป
เราทั้งสองจึงเดินไปยังร้าน
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าโชคชะตาจะกลั่นแกล้งอะไรกับผมนักหนา ร้านพิซว่าในห้างนี้มีไม่ต่ำกว่า 5 ร้าน
แต่ไหงแบงค์ต้องมาเลือกร้านนี้ด้วยเนี่ย ???


ร้านที่ผมมากินกับป้อเมื่อตอนกลางวัน
อ๊ากกกก จะบ้าตาย

ผมเดินตามหลังแบงค์เข้าไปในร้านก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามแบงค์
ไม่นานนัก พนง. ก็เดินนำมาเมนูมาใหเรา
“เอาหน้าอะไรดี?”
“เอาอะไรก็ได้ นันท์กินได้หมดล่ะ”


“อืม..โอเค งั้นเอาเซ็ต 299 นะครับ ส่วนพิซซ่าขอเป็นหน้า........”

เอาเข้าไป เซ็ตเดียวกัน แถมหน้าเดียวกันด้วย
เดี๋ยวนะ นี่มันหนังแผ่นสะดุดวนซ้ำ ลูปนรกรึไงน่ะ

ไหงมันถึงได้เหมือนเมื่อตอนกลางวันเกือบทุกอย่างเลยเนี่ย ????????
ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆ

หลังจากที่กินเสร็จ
เราทั้งสองก็เดินเล่นดูนั่นดูนี่อีกเล็กน้อย แบงค์เองดูมีความสุขมากเลย
แต่ผมนี่สิ...............................................

ผมก้มลงไปมองมือของแบงค์ที่ตอนนี้กำลังจูงมือผมไว้ไม่ยอมปล่อย โดยไม่แคร์สายตาว่าจะมีใครมองหรือไม่
ผมยิ้มเล็กน้อย


อย่างน้อย ผมก็มั่นใจว่ายังไงผมก็ไม่มีทางจะเปลี่ยนจากใจจากแบงค์ไปชอบใครคนอื่นเป็นแน่นอน
ต่อให้อาจจะมีใครที่ดีกว่า เพรียบพร้อมกว่า
แต่นั่นก็ไม่ใช่คนที่ผมรัก

คนที่ผมรักตอนนี้มีเพียงคนเดียว

นั่นคือแบงค์

ทันทีที่ผมคิดได้เช่นนั้นก็เอามืออีกข้างไปกุมมือของแบงค์ที่จูงมือผมไว้
พร้อมกับเอนหัวตัวเองไปซบบนไหล่ที่กำยำของแบงค์
“หือ มีอะไรเหรอ”
แบงค์หันมาถามด้วยความสงสัย
“ป่าว ไม่มีอะไรมากหรอก แค่อยากจะซบเพื่อชาร์จพลังงานนิดหน่อยน่ะ”

จิ๊บคุง

  • บุคคลทั่วไป
แบงค์หัวเราะขึ้นมาเบาๆ ทันทีที่ได้ยินผมพูดแบบนั้น ก่อนที่จะยกมืออีกข้างมายีหัวผมเล่นเหมือนทุกๆ ครั้ง

ซึ่งนั่นก็พอจะช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง

“แบงค์”
“หือ?”


“ขอโทษนะ”
“หือ ขอโทษเรื่องอะไรน่ะ”
แบงค์ถามด้วยความสงสัยกับคำพูดที่ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของผม

“ก็หลายเรื่องน่ะ แต่ช่างเถอะ”


“แบงค์”
“หือ”



“นันท์รักแบงค์นะ”
“มาอารมณ์ไหนอีกเนี่ย เด็กบ๊องเนี่ย”

“แบงค์อ่ะ คนกำลังจะซึ้งสักหน่อย”
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงงอนเล็กน้อย แบงค์หัวเราะออกมาเบาๆ
“ครับๆ ขอบคุณนันท์มากเลยนะครับ ป่ะ กลับกันเถอะ เดี๋ยวจะดึกไปมากกว่านี้”
แบงค์บอกผมพร้อมกับกำมือผมไว้แน่นก่อนจะเดินลงบันไดเลื่อนเพื่อไปยังทางเชื่อมกับสถานี


“อ้าวเฮ้ย ไอแบงค์”
ผมต้องสะดุ้งเฮือกทันทีที่ได้ยินห้าวที่คุ้นหูดังขึ้นมา
ผมรีบหันกลับไปยังต้นเสียงทันที

ใช่แล้ว พล!!!!!!!!!
และตี๋เอ๋อด้วย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
“อ้าว ไอสัส ไหนเมิงบอกว่าไปบ้านญาติมีธรุไงวะ แล้วไหงมาอยู่ที่นี่ได้วะ”
แบงค์ด่าเหน็บกลับไปโดยปราศจากคำทักทาย
ในขณะที่พลเองก็ทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้ว่า –จริงสิ- ก่อนที่จะยิ้มกวนๆ กลับมา

“กูแหลน่ะ แต่ยังไงเมิงอย่าไปบอกพี่แจ้นะเว้ยเฮ้ย ไม่งั้นกูตายห่านแน่ๆ”
พลตอบกลับมา ในขณะที่แบงค์ก็ทำหน้าหน่ายๆ

“ว่าแต่เมิงโกหกว่าไปบ้านญาติ แล้วจริงๆ มาทำอะไรน่ะ”
แบงค์ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“กูพาไอตี๋เอ๋อมาดูหนังน่ะ นี่ก็เพิ่งดูจบไปอีกเรื่องนึงเนี่ย”

“หือ อีกเรื่อง?”
แบงค์ทำเสียงสูงเป็นเชิงสงสัย
“แม่นแล้ว วันนี้กูดูไปสามเรื่องละเนี่ย”
พลตอบกลับมาด้วยความภาคภูมิใจ

“โห ว่างมากนะเมิงเนี่ย กูสิซ้อมเนี่ยจะตายแล้วเนี่ย”
“เอาน่ะๆ แค่วันนี้วันเดียว ยังไงพรุ่งนี้กูก็กลับไปซ้อมตามปกติแล้ว ขอกูเหอะ”
พลเอ่ยปากขอร้อง แบงค์ก็พยักหน้ารับอย่างเสียมิได้

“ว่าแต่เมิงเหอะ มาทำอะไรที่นี่น่ะ กับเอ่อ ไอนันท์”
คราวนี้พลเป็นฝ่ายยิงคำถามกลับมาบ้าง พร้อมกับหันมองมาทางผมที่ตอนนี้หน้าซีดไปแล้ว
“กูก็มาดูหนังเหมือนกัน เรื่องกราวิตี้น่ะ เห็นนันท์เขาชอบอะไรเกี่ยวกับพวกอวกาศนี่ล่ะก็เลยพามาดู”

“หือ? กราวิตี้??”
พลทำเสียงสูงเป็นเชิงสงสัย ก่อนจะหันมองมาทางผม
ผมพยายามหลบสายตานั้นของพล แต่ก็นึกขึ้นได้ว่ากลัวพลจะปากโป้งอะไรออกมา
เลยเงยหน้าขึ้นมองพล ที่ตอนนี้จ้องมองผมโดยไม่ละสายตา

ผมไม่รู้ว่าตอนนี้พลเองกำลังคิดอะไรอยู่ และจะทำอะไร หรือพูดอะไรออกไป
ผมเองก็คงไม่สามารถห้าม หรือพูดอะไรออกไปได้ด้วย
สิ่งที่ทำได้อย่างเดียวในตอนนี้คือ ภาวนา เท่านั้น


พลหันกลับไปมองแบงค์






“เออ เรื่องนี้กูก็ดูแล้ว สนุกดีว่ะ ไอนันท์เมิงล่ะ ชอบมั้ย”
อยู่ๆ พลก็หันมาถามผม ผมจึงพยักหน้ากลับไปแทนคำพูด
“เออ ก็ดีแล้ว งั้นกูไม่กวนพวกเมิงละ เชิญสวีทต่อไปละกัน ไปละ”
พลหัวเราะก่อนที่จะเดินจากไปพร้อมกับตี๋เอ๋อ โดยทิ้งผมกับแบงค์ให้ยืนหน้าแดงกันอยู่สองคน

“ไปกันเถอะ อย่าไปสนใจไอพลมันเลย”
แบงค์บอกกับผมก่อนที่จะเดินต่อ

ไม่รู้ว่าด้วยเพราะอะไร แต่ที่แน่ๆ พลไม่ได้พูดเรื่องเมื่อกลางวันออกมาต่อหน้าแบงค์
ขอบคุณพลมากเลยนะ ;w;

แต่ดูจากสายตาแล้วเหมือนพลเองก็คงคิดอะไรอยู่ในใจเป็นแน่
และสิ่งที่ผมกำลังกังวลนั่นก็คือ พลคิดอะไรอยู่นั่นล่ะ
โอย มีแต่เรื่องเข้ามาแฮะ วันนี้

ไม่น่าเลยๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไอนันท์บ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


ผมจะทำยังไงต่อไปดีเนี่ย ;w;

จบคาบเรียนที่ 18

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
โหมาคราวนี้หลายตอนอย่างต่อเนื่อง อ่านคุ้มกับเลยทีเดียว
แต่มาพร้อมกับความสับสนของนันท์ด้วยน่ะซิ ไม่ค่อยเข้าใจนันท์
ปากบอกว่าไม่ได้คิดไรกับป้อ แต่ก็สับสนและหวั่นไหวอยู่หลายครั้ง
ตอนนี้นันท์ก็รู้แล้วว่าแบงค์รู้สึกอย่างไรกับตัว ไม่น่าจะทำให้สับสนได้นะ
แถมมีปิดบังแบงค์อีกต่างหาก ไม่เห็นต้องปิดบังเลยนะน้องนันท์
ก็คงต้องรอลุ้นกันต่อไป ว่านันท์จะตัดสินใจทำอะไรต่อไปเนอะ


ปล.อวยพรวันเกิดย้อนหลังของคนแต่งด้วยนะ ขอให้มีความสุขและเจอคนรู้ใจและใจรู้เร็ว ๆ นะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2013 11:27:35 โดย snowboxs »

ออฟไลน์ Lily teddy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-2
 :sad4: 3 ตอนแน่ะ ตามอ่านก่อนนะ ไม่หายไปไหนแน่นอน ยังเป็นกำลังใจให้เหมือนเดิมจ้า
ตอนนี้ก็ขอ  :a13: ย้อนหลังให้ก่อนนะ (เกิดห่างกะคนอ่านไม่กี่วันเอง แต่ปีนี่คงหลายอยู่ (มั่นใจ) :hao5:)
ก็ขอให้ผู้เขียนมีความสุขมาก ๆ สมหวังทั้งเรื่องการงาน และความรักจ้า  :mew1:

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
อุ้ย มาอีกที สามตอนเลย ขอโทษค่ะที่มาเม้นท์ช้าน้า เม้นท์ทีเดียว สามตอนเลยนะคะ
..................................................................................................
คาบเรียนที่ 16
หลังจากจูบ ได้สารภาพความในใจ น้องนันท์ดีใจมากจนร้องไห้ แล้วเผลอหลับไป ซะงั้น ฮะๆ   :laugh:
แหม ๆ ก็เรื่องนี้ใส ๆ อ่ะ จบแค่นั้นแหละพอแล้ว พี่ไม่คิดไกลหรอก น้องนันท์นั่นแหละคิดอะไรอยู่ ฮุฮุ
แต่ที่สงสัย ก็นั่นแหละ ว่าตกลงพอสารภาพกันเสร็จสรรพแล้ว ตอนนี้ทั้งคู่เป็นอะไรกัน จุ๊บกันไปแล้วเนี่ย
ยังไม่รู้เป็นอะไรกับแบงค์ แต่น้องนันท์ มาตะลึงกับความหล่อของป้อซะแล้ว ไม่ได้นะน้องนันท์ ห้ามหวั่นไหวนะ
ป้อดูแลเทคแคร์อย่างดี แถมให้ฟังเพลงซึ้ง ๆ มีความนัย แต่น้องนันท์ ก็ยังไม่รู้อะไรเหมือนเดิม ชักสงสารป้อแฮะ
อุ้ย เจอพลกับตี๋เอ๋ออีกแล้ว ชอบจริงเลยสองคนนี้เนี่ย มาดูหนังด้วยกันด้วยอ่ะ น่ารัก ๆ
..................................................................................
คาบเรียนที่ 17
โอ้โห ป้อ นอกจากหล่อ ดีแล้ว ยังเป็นลูกเศรษฐีไฮโซด้วย เพอร์เฟคที่สุด แต่น่าเสียดาย ที่ป้อมาช้าไปนะป้อ
แต่ท่าทางจะดีใจมากสินะ ที่ได้มีความลับที่รู้กันแค่สองคนกับนันท์ แต่ถ้าแบงค์รู้ จะคิดมากรึเปล่าว่านันท์ปิดบังอ่ะ
เบียดกันในรถไฟฟ้า แถมคำพูดที่ว่าอยากอยู่กันนันท์นาน ๆ โอย ๆ ถึงไม่ใช่แบงค์ แต่ก็ทำให้เขินไปกับน้องนันท์อยู่ดีนะเนี่ย  :-[
น้องนันท์ เริ่มรู้แล้วสินะ ความรู้สึกของป้อ ที่ต้องการจะบอกน้องนันท์น่ะ แบงค์โทรมาดักซะก่อน หยั่งกับรู้เลยนะแบงค์
........................................................................
คาบเรียนที่ 18
โถ ๆ น้องนันท์ จะตื่นเต้นทำไมเนี่ย ไม่ได้แอบออกมาหากิ๊กซะหน่อยนะ แบงค์จะคิดมากก็ไอ่ตรงน้ำเสียงแบบนี้นี่แหละ
ถ้าบอกความจริงไปก็หมดเรื่องแล้วนะ ถึงไม่ได้โกหก แต่เหมือนปิดบัง ถ้าแบงค์มารู้เอง จะคิดมากตรงที่นันท์ปิดบังเนี่ยแหละ
แล้วพอป้อ โทรมา ก็บอกว่ารอรถเมล์กลับบ้านอีก ถ้ากลับไปห้างเกิดเจอป้อขึ้นมา ป้อก็คงเสียความรู้สึกนะ ที่ถูกโกหกน่ะ
น้องนันท์ ตอนนี้ เหมือนคนที่กำลังสับรางรถไฟ เพื่อไม่ให้มาชนกันเลยนะเนี่ย ทั้งที่จริง ๆ มันไม่มีเรื่องอะไรยุ่งยากแท้ ๆ
เพราะยังไง นันท์ก็มั่นคงกับแบงค์อยู่แล้ว ถึงจะยังไม่ได้เป็นแฟนกันก็เถอะ และถึงเพิ่งจะรู้ว่า ป้อ มีความรู้สึกยังไงกับตัวเอง
แต่ถ้าตัวนันท์เอง มั่นใจว่ายังไงก็ให้กับป้อได้แค่เพื่อน มันก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลซักนิด แค่พูดเรื่องจริงออกไปกับทั้งสองคน
น้องนันท์ก็จะไม่รู้สึกผิดอย่างนี้หรอก แต่พอเริ่มไปแล้ว จะมาบอกความจริงทีหลัง ก็กลายเป็นจะทำให้แบงค์เสียใจซะอีก
แล้วนอกจากแทบทุกอย่างจะซ้ำเดิม กับตอนที่อยู่กับป้อแล้ว ยังอุตส่าห์เจอพลกับตี๋เอ๋อเหมือนกันอีก(สองคนนี้ไม่กลับบ้านอีกรึไงเนี่ย  :mew5:)
พลไม่ปากโป้ง แต่พลคิดอะไรอยู่นี่สิ อาจจะกำลังคิดว่านันท์ กำลังล้อเล่นกับความรู้สึกของแบงค์ กับ ป้อ อยู่ก็ได้นะ
เพราะถ้าเราเป็นเพื่อนแบงค์ แล้วก็รู้ว่าแบงค์รู้สึกยังไงกับนันท์ เราก็คงไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นะเนี่ย
น้องนันท์จะทำยังไงต่อไป ที่สำคัญอยากให้น้องนันท์ เปิดเผยและพูดตรง ๆ กับแบงค์ ดีกว่าปิดบังเรื่องนั้นเรื่องนี้ จนมันจะยิ่งยุ่งกว่าเดิมนะเนี่ย

...

ขออวยพรวันเกิดให้คนเขียน ซึ่งผ่านมาแล้ว หลายวันมาก ๆ ขอโทษนะคะ  :impress: ขออวยพรย้อนหลังแล้วกันน้า
ขอให้สุขภาพแข็งแรง ๆ หน้าที่การงาน ก้าวหน้ามั่นคง รวยขึ้น ๆ คิดอะไร หวังอะไร ก็ขอให้ได้สมดั่งใจ
โดยเฉพาะเรื่องน้องกระดิ่งน้อยน้า อันนี้ สำคัญ ๆ :b:
ขอบคุณมากค่ะ  :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-10-2013 17:16:47 โดย TIKA_n »

ออฟไลน์ Lily teddy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-2
 :mew2: แหะ ๆ ตั้งแต่อวยแล้วก็หายไปเลย ก็แหมผู้เขียนใจดีมาต่อตั้ง 3 ตอน เลยต้องให้เวลาในการอ่านเต็มที่นิดนึงอะคะ
3 ตอนนี้เป็นตอนที่ชีวิตนันท์สับสนจริง ๆ ก็แหม แค่เห็นป้อในอีกมุมที่ไม่ใช่ที่ร.ร. ป้อก็ทำนันท์ใจสั่นแบบไม่มีสาเหตุล่ะ
ยิ่งตอนนี้นันท์ได้รู้ว่าป้อชอบตัวเองด้วย จะไม่ให้นันท์หวั่นไหวได้ไงเนอะ ทั้งหล่อ ทั้งรวย ที่สำคัญป้อดูอบอุ่นจริงใจมากเลย
โดยเฉพาะเรื่องเพลง อ่านไปยังแอบใจสั่นไปด้วยเลย (คนอ่านฟังไป 3 รอบล่ะ 555)  แล้วตอนป้อตามนันท์ขึ้นรถไฟฟ้าอีก
แบบอยากกริ๊ด อิจฉานันท์เลยอะ อิมเมจประมาณดูหนังหรืออ่านนิยายหวาน ๆ เลย (ก็อ่านนิยายจริง ๆ นี่เนอะ) ป้อดูเป็นพระเอกมาก ๆ
เฮ้อ  แต่ยังไงนันท์ก็มีแบงค์แล้วนี่สิ เพราะถึงจะยังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกัน แต่สิ่งที่แบงค์แสดงออกกับความรู้สึกที่นันท์มีให้แบงค์มานาน
ยังไงมันก็เป็นความผูกพันที่ป้อคงเข้ามาแทรกไม่ได้ง่าย ๆ สงสารป้อจัง ยิ่งตอนนันท์ยอมย้อนกลับมาหาแบงค์นี่แบบลุ้นเลย
กลัวป้อกับแบงค์เจอกัน ถึงไม่อยากให้นันท์โกหกแต่ ณ ตอนนั้น นันท์คงทำอะไรไม่ได้ เพราะยังไงทั้งป้อและแบงค์ก็คงต้อง
เสียความรู้สึกแน่ถ้ารู้ความจริง แต่ตอนนี้ก็มีพลกับตี๋เอ๋อเข้ามารู้เห็นเหตุการณ์ด้วยแล้ว
คิดว่าพลคงพอเข้าใจเหตุการณ์แหละถึงไม่ได้พูดอะไร แต่ต่อไปนันท์จะทำตัวยังไงล่ะเนี่ย เครียดกะเสน่ห์ของนันท์ 555
ถึงจะเครียดแต่ก็มีตอนฮานะ เหมือนสวรรรค์กลั่นแกล้งนันท์จริง ๆ เพราะป้อกะแบงค์นี่ใจตรงกันหรือรู้ใจนันท์ทั้งคู่นะ
ทั้งเรื่องหนังทั้งเรื่องพิชซ่า แอบสงสารนันท์เลยอะเป็นหนึ่งวันที่แสนวุ่นวายหัวใจจริง ๆ
รอติดตามและเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนเหมือนเดิมนะคะ   :pig4:  :กอด1:
วันนี้ก็ไม่รู้จะนอกเรื่องอะไรดี เพราะก็รวมอยู่ในอวยพรวันเกิดแล้ว ทั้งเรื่องการงานและน้องกระดิ่งน้อย
ที่แอบดื้อจนน่าตีก้น แต่ยังไงก็ยังน่ารักใช่มั้ยล่ะค่ะ ทำผู้เขียนว้าวุ่นใจเหมือนนันท์เลย 555
เรื่องหนังนี่ก็อยากดูนะคะ แต่ปกติไม่ค่อยได้ดูในโรงหรอก และยอมรับเลยไม่เคยไปดูหนังคนเดียวค่ะ 
เพราะเวลาไปกะเพื่อน เพื่อนมันจะเป็นคนทำทุกอย่างกะทั่งเดินนำเข้าโรงเลย พอเรื่องไหนที่อยากดู
แต่คนอื่นไม่ได้อยากดูด้วย ก็จะอดดูเพราะทำไม่เป็นตั้งแต่ตอนซื้อตั๋วเลยอะค่ะ (บ้านนอกมาก)
ขนาดเดือนที่แล้วได้รางวัลเป็นตั๋วหนังมา 2 ใบ จากไปโหวตรูปลูกให้เพื่อนในเวป ยังไม่ได้ใช้เลย
เพราะน้องสาวไม่ยอมไปดูเป็นเพื่อน แถมเดือนก่อนชีวิตวุ่นวายมาก ๆ เลยต้องเอาตั๋วไปยกให้น้องที่ทำงาน เศร้าเลย
ท้ายสุดแต่ไม่สุดท้าย ก็รอติดตามน้องนันท์กะแบงค์ ต่อไปนะคะ จากตอนแรกเฉย ๆ ที่จะอ่าน Part ของป้อ (ถ้ามี)
แต่ตอนนี้เริ่มกลัวเพราะแค่ 3 ตอนนี้ ทำไมรู้สึกตัวเองปันใจให้ป้อไปง่าย ๆ ไม่รู้ สงสัยเพราะแบงค์ไม่ค่อยได้ออกมาเรียกคะแนน
เพราะมัวแต่ซ้อมบาสอย่างเดียวเลยอะ 555 คิดว่าถ้าป้อต้องผิดหวังจากนันท์จริง ๆ ก็อยากให้ผู้เขียนหาคู่ให้ป้อซักคนนะคะ
คิดว่าด้วยนิสัยแบบป้อที่แสดงออกกับนันท์แบบนี้ ถ้ามีคู่ต้องน่ารักแน่เลย อิอิ ขอบคุณค่ะ  :L1:








จิ๊บคุง

  • บุคคลทั่วไป
คาบเรียนที่ 19 : เปิดโปง

“นันท์”
“หือ”

เสียงของแบงค์เรียกผม ทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมองไปยังเจ้าตัว
ในขณะที่เราทั้งสองกำลังนั่งกินข้าวเช้ากันในโรงอาหาร

“วันนี้อาจจะช้าหน่อยนะ ถ้ายังไงจะกลับไปก่อนก็ได้นะ พอดีมีประชุมน่ะ”
แบงค์บอกกับผม ผมเองก็ครุ่นคิดอยู่ครู่นึง

“ไม่อ่ะ กลับไปไม่รู้จะทำไรอยู่ดี งั้นเอางี้ เดี๋ยวนันท์ไปนั่งรอแบงค์ที่สวนหย่อมใกล้ๆ อาคารสองละกัน อยากกลับพร้อมแบงค์อ่ะ แห่ะๆ”
ทันทีที่ผมบอกกลับไปเช่นนั้น แบงค์ก็ยิ้มให้ผม ก่อนจะเอามือมายีหัวผมเล่นเหมือนทุกครั้ง
“งั้นก็ตามนั้นก็ได้ ว่าแต่ไม่เบื่อบ้างเหรอไงน่ะ”
“หือ เบื่อไรอ่ะ”
ผมถามกลับไปด้วยความสงสัย

“ก็ต้องมานั่งคอยนั่งรอแบงค์เนี่ย เหมือนไปทำให้นันท์ต้องเสียเวลาส่วนตัวยังไงไม่รู้แฮะ”
แบงค์ทำท่าไม่สบายใจ พร้อมกับเอามือเกาหัวตัวเองเบาๆ
ผมเองเมื่อเห็นเช่นนั้น ก็ส่ายหัว พร้อมกับยิ้มให้แบงค์
“คิดมากน่ะ นันท์สบายใจที่ได้ทำน่ะ รอแค่นี้ นิดหน่อยไม่เห็นจะเป็นไรเลย”

ผมหยุดนิ่งไปนิดนึง ก่อนจะจะหันมองไปยังสนามบอลข้างๆ
“ต่อให้ต้องรอนานแค่ไหน ก็จะรอ ก็รักไปแล้วนี่”

พอพูดจบผมก็หันกลับมายิ้มให้กับแบงค์

ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน แต่อยู่ๆ ก็อยากจะพูดเช่นนั้นออกไปจริงๆ
แบงค์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็ทำหน้านิ่งไปครู่นึง

ก่อนจะส่งยิ้มให้ผม
“นันท์”
แบงค์เอ่ยชื่อของผมเบาๆ
“ถ้าแบงค์จะบอกว่า นันท์ไม่ต้......”

“เฮ้ย มานั่งอยู่ตรงนี้เองเหรอวะ กูตามหาตั้งนาน”
ไม่ทันที่แบงค์จะพูดจบประโยคเสียงของพลก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน
ก่อนที่พลกับตี๋เอ๋อ (ข้ารับใช้ส่วนตัว - -*)จะนั่งลงข้างๆ เรา

“ตามหากูเรื่องไรวะ”
แบงค์หันไปถามพลด้วยสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย
พลเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็หันไปมองแบงค์ ก่อนจะโยกหัวไปมาพร้อมกับยิ้มกวนๆ
“ไม่มีไร กูแค่อยากมาน่ะ อิอิ”
พลตอบกลับพร้อมกับหัวเราะชอบใจ ส่วนแบงค์เองเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้นก็ชูนิ้วกลางให้อย่างไม่ลังเล

ส่วนผมเองตอนนี้น่ะเหรอ
ได้แต่นั่งนิ่งหน้าซีดอยู่เงียบๆ ไม่พูดอะไร
พลเองก็หันมามองผมเล็กน้อยแต่ก็นิ่งเงียบ ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ป่ะตี๋เอ๋อ ไปเหอะ กูปวดฉี่ ป่ะ เดี๋ยวจะเข้าแถวละด้วย กูไปก่อนนะไอแบงค์ และก็....นันท์!!!!”

ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินพลเรียกชื่อผม
ซึ่งไม่รู้ว่าผมคิดเองหรือป่าวแต่เมื่อกี้ เหมือนพลพยายามเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงกระแทกเล็กน้อย

ให้ตายสิ ผมไม่รู้ว่าตอนนี้พลกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว
แต่ทว่ามันก็ทำให้ผมกระวนกระวายใจพอสมควรเลยล่ะ

กลัวว่ามันจะเป็นเรื่องนั้น เรื่องเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
ซึ่งไม่รู้ว่าผมจะคิดไปเองหรือป่าวนะ แต่ถ้ามันใช่
ผมต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ ก่อนที่มันจะบานปลายและเข้าใจผิดไปมากกว่านี้

“ป่ะนันท์ เอาจานไปเก็บเหอะ จะถึงเวลาเข้าแถวละ”
แบงค์เรียกผมให้กลับมาห้วงแห่งความคิดที่กำลังสับสน ผมลุกขึ้นตามแบงค์ไปอย่างเงียบๆ


ตกเที่ยง
“งั้นแบงค์ไปก่อนนะ แล้วเจอกันคาบบ่าย”
แบงค์เอ่ยลากับผมก่อนจะเดินออกไป
ผมในตอนนี้ที่ยืนอยู่หน้าห้องสมุดก็ได้แต่โบกมือพร้อมกับส่งยิ้มให้แบงค์
ก่อนจะเดินเข้าห้องสมุดไปอย่างหดหู่เล็กน้อย ไม่สิ มากพอตัวเหมือนกันนะนั่น

จริงสิ จำได้เมื่ออาทิตย์ก่อนมีหนังสือเข้ามาใหม่นี่นา ยังไม่ได้อ่านเลย


ผมเดินเข้าไปยังโซนวิทยาศาตร์เหมือนทุกครั้งด้วยความเฉื่อยชา
ในหัวผมตอนนี้มันมีหลายเรื่องปะปนมั่วกันไปหมด

ผมพยายามคิดทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดตั้งแต่ต้นเท่าที่ผมจำได้
ผมเริ่มพลาดตั้งแต่ตรงไหนกันนะ

จะว่าไปตอนเข้าค่ายมันก็ไม่ได้มีอะไรที่ดูผิดปกติเลยนี่นา

แล้วตอนป้อย้ายมาอยู่โรงเรียน.....................
จะว่าไปมันก็เริ่มมีเค้าตั้งแต่ช่วงนั้นแล้วนะ
ดูเหมือนป้อจะพยายามเข้าหาเรายังไงไม่รู้ แต่เราเองนั่นล่ะที่ดันไม่ได้เอะใจหรือสังเกต

ในขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเอง
“เฮ้ย..!!!”
อุ๊บ พลั่ก!!!!!

หนังสือที่อยู่ชั้นด้านบนประมาณ 2-3 สามเล่มหล่นลงมาเพราะด้วยผมหยิบออกมาไม่ดีเนื่องจากมัวแต่เหม่อลอยอยู่
แต่ผมก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก

เพราะมีคนเข้ามาช่วยบังไว้ให้ ซึ่งคนๆ นั้นก็คือ

“มีสติสมาธิหน่อยดิวะ”
พล!!!!!!!!!!
ผมตกใจพอสมควรเมื่อเห็นว่าเป็นพล จนเผลอหลบสายตาโดยไม่ทันตั้งตัว

“เป็นอะไรของเมิงน่ะ”
“ป่ะ ป่าว ป่าวนี่ แล้วมาอยู่นี่ได้ไงน่ะ ไม่ไปซ้อมเหรอ”
ผมตอบพร้อมถามกลับไป แต่ทว่าสายตาของผมกลับยังคงก้มลงต่ำไม่แม้แต่สบตาของพลเลยแม้แต่น้อย

“ซ้อมน่ะ ช่างแม่งเหอะ แต่กูก็แค่อยากมาน่ะ ว่าแต่เมิงเหอะ เมิงมีอะไรปิดบังกูอยู่ใช่มั้ย”
เฮือก!!!!!!!!
อยู่ๆ พลก็ถามคำถามที่ไม่มีที่มาและที่ไปขึ้นมา
“ป่ะ ปิดบังอะไร ไม่มี”
ผมพยายามตอบปัดไป พร้อมกับก้มลงเก็บหนังสือเพื่อเก็บคืนชั้น แต่ทว่าด้วยความลนลาน
กลับทำให้หนังสือหลุดออกจากมือหล่นลงพื้นอีกครั้ง

จิ๊บคุง

  • บุคคลทั่วไป
พลนั่งลงพร้อมกับเก็บหนังสือนั่นขึ้นมาให้ผม

“จะหยิบจับอะไร ก็จับให้มันดีๆ มั่นๆ หน่อย”

อึ่ก!!!

“และที่สำคัญ ถ้าคิดจะหยิบจับน่ะ ก็เลือกเอาสักอย่าง อย่าหยิบจับหลายอย่างพร้อมๆ กัน เดี๋ยวมันจะพลาดหลุดมือไปทั้งหมดนะเว้ย”

อึ่ก!!!!!!!!!!!


“หม่ะ หมายความ....ว่าไงน่ะ”
ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือในขณะที่มือก็รับหนังสือนั้นมาจากพล


“ก็...หมายความตามที่พูดน่ะ กูไปล่ะ”
หลังจากที่พลพูดจบ ก็เดินออกไปทันที โดยทิ้งผมให้นิ่งอึ้งกับคำพูดนั้นเพียงลำพัง

หม่ะ หมายความว่าไงน่ะ
หรือว่า.........!!!!!

ทันทีที่ผมฉุกใจกับคำพูดนั้นได้ ผมก็รีบวางหนังสือไว้ที่ชั้น ก่อนจะรีบก้าวเดินออกจากห้องสมุดอย่างรวดเร็วทันที

“พล!!!!”
ผมเรียกชื่อนั้นออกมาในขณะที่เจ้าของชื่อนั้นกำลังจะเดินลงบันไดไปพร้อมกับตี๋เอ๋อที่ตอนนี้กำลังทำหน้าเลิ่กลั่กอย่างเห็นได้ชัด
และทันทีที่ผมเรียกชื่อนั้นออกไป พลก็หันกลับมาทันที ก่อนที่จะหันไปมองตี๋เอ๋อพร้อมกับพยักหน้าเป็นเชิงว่า –ไปก่อน- ให้กับตี๋เอ๋อ

แต่ดูเหมือนตี๋เอ๋อจะยังละล่ำละลักกับเหตุการณ์อยู่หันมองไปมาระหว่างผมกับพลจึงได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าไปไหน
จนพลต้องทำหน้าดุใส่จนตี๋เอ่อถึงจะยอมเดินออกไป

เมื่อพลเห็นว่าตี๋เอ๋อเดินห่างออกไปแล้วจึงหันมองกลับมายังผมพร้อมเดินเข้ามาด้วยท่าทีที่ดูน่ากลัวจนผมเองยังรู้สึกหวาดๆ

“ว่าไง”
พลถามกลับมาสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงห้วน

“ที่...ที่พูดเมื่อกี้น่ะ...มะ หมายความว่าไง”
ผมตอบกลับไปด้วยคำถาม เมื่อพลได้ยยินเช่นนั้นก็ก้มหน้าลงครู่นึงก่อนจะเงยขึ้นมามองผม

“ก็หมายความตามที่พูดไง”
“เรื่องป้อนั่นเหรอ”
ผมถามกลับทันทีอย่างรวดเร็ว จนพลเองก็นิ่งไปครู่นึง


“แล้วทำไมถึงคิดว่าเป็นเรื่องนั่นล่ะ”
พลถามพร้อมกับหรี่ตามองผมเหมือนพยายามจะหยั่งเชิง
ผมนิ่งเงียบไปครู่นึงในขณะที่มือก็สั่นไปด้วย

“ถ้าเรื่องป้อน่ะ บอกได้เลยว่าไม่มีอะไรในก่อไผ่เลยแม้แต่น้อย”
ผมพยายามบอกกับพลด้วยความสัตย์จริง ถึงแม้น้ำเสียงผมในตอนนี้มันจะฟังดูสั่นๆ ก็ตามที

“เรื่องนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกูหรอก แต่ที่กูอยากรู้ แล้วแบงค์ล่ะ”
พลถามผมกลับด้วยคำถามที่ตรงประเด็นยิ่งขึ้น
“ยังไงล่ะ แบงค์ ก็ยังคงเป็นแบงค์สำหรับนันท์เหมือนเดิม ยังไงสำหรับนันท์ แบงค์ก็คือคนสำคัญที่สุด”

“สำคัญงั้นเหรอ? งั้นกูถามหน่อยว่าแบงค์มันรู้ยังว่าป้อย้ายมาโรงเรียนนี้แล้ว”

เออใช่แล้ว!!!!!!!!!!!!!! จะว่าไป ก็คิดว่าน่าจะยังไม่รู้นะ
แต่ที่ไม่ได้บอก  เพราะตอนแรกก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร
เรียนก็ไม่ได้เรียนห้องเดียวกันด้วย แถมก็แค่เคยไปอบรมด้วยกันแค่นั้น - -*
แต่ไม่คิดว่าเรื่องมันจะ...........

ผมส่ายหน้าให้กับคำถามนั้น โดยที่ไม่ได้บอกเหตุผลไป
ซึ่งกลายเป็นว่ายิ่งทำให้พลดูฉุนเฉียวยิ่งกว่าเดิม

“นั่นไง ถ้าสำคัญ แล้วไหงเมิงไปไหนมาไหนกับคนที่แบงค์มันไม่ชอบด้วยวะ เมิงจะปิดบังไว้เพื่ออะไร”

......................


!!!!!!
?????????
หือ ????

อะไรนะ
“ห๊ะ แบงค์เนี่ยนะไม่ชอบป้อ รู้ได้ไง ทำไมถึงคิดงั้น”
ผมถามกลับไปด้วยความสงสัยอย่างรุนแรง
“ก็กูอยู่กลุ่มเดียวกับไอแบงค์มันตอนเข้าค่ายน่ะสิวะ กูพอจะดูออกว่าตอนเมิงกับไอนั้นอยู่ใกล้กัน
ไอแบงค์ก็ดูมีอาการอยู่ไม่สุขแล้ว ถึงขั้นเดินออกจากที่ประชุมไปเลยก็มี
กูเองก็พูดไรมากไม่ได้ เลยได้แต่แซวไปเฉยๆ แต่ดูท่าจะยิ่งทำให้แม่งโกรธยิ่งกว่าเดิมอีก”

ผมในตอนนี้นั้นเมื่อได้ยินพลสาธยายให้ฟัง ก็เกิดอาการอึ้งพอสมควร

ว่าทำไมตัวเองถึงไม่เคยสังเกตมาก่อน
จะว่าไป ตอนนั้นก็ดูแบงค์จะทำสีหน้าไม่สบายใจพอสมควร แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องนี้
เพราะคิดว่าแบงค์ยังเครียดเรื่องที่โรงเรียน

แถมตัวเองยังมีหน้าไปห่วงใยให้คำปรึกษาทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตัวเองนั่นล่ะที่เป็นต้นเหตุให้แบงค์ไม่สบายใจ


ทันทีที่รู้ตัวเช่นนั้น อยู่ๆ น้ำตาของผมก็ไหลออกมาอย่างไม่ทันจะได้ตั้งตัว
จนแม้แต่พลเองที่มีท่าทีแข็งกร้าวในตอนแรกยังตกใจไปด้วย

“เฮ้ย เมิงจะร้องไห้ทำเชี่ยไรเนี่ย”
“ก็.....ก็ ไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็น....แบบนี้ นี่....ฮือๆ”
ผมร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมายิ่งกว่าเดิม จนพลเองยังทำหน้าเลิกลัก

ผมเล่าถึงความจริงทั้งหมด เรื่องราวที่ผ่านมา และเหตุผลต่างๆ ให้พลฟัง
พลเองเมื่อได้รู้เช่นนั้นก็มีท่าทีเย็นลงพอสมควรจากตอนแรก ก่อนจะนิ่งเงียบไปครู่นึง
“แล้วเมิงจะทำไงต่อ”
พลหันมาถามผม
“ก็ตอนแรกก็คิดจะบอกน่ะล่ะ แค่ยังหาโอกาสไม่ได้
แต่พอมารู้อะไรหลายๆ อย่างจากพล ตอนนี้ก็เลยยิ่งมึนเข้าไปใหญ่ จะทำไงดีเนี่ย”
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหดหู่พอสมควร

“กูก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ กูก็นึกว่าเมิงกำลัง....”
“จับปลาสองมือใช่มั้ยล่ะ”
ผมสวนคำทันที
“เออ นั่นล่ะ กูก็เลยเดือดแทนเพื่อนนิดหน่อยน่ะ”
พลทำหน้าวิตกเล็กน้อย ผมเองก็อึ้งไปเหมือนกัน พลเองก็เป็นคนรักเพื่อนมากกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย

จิ๊บคุง

  • บุคคลทั่วไป
“เอาเป็นว่าถ้าเมิงบริสุทธิ์ใจจริง และไม่ได้คิดอะไรกับมัน เมิงก็บอกไอป้อมันไปตรงๆ
แล้วก็พยายามห่างๆ มันไว้หน่อยก็ดี”
พลเสนอความคิดเห็น ซึ่งผมเองก็เห็นด้วยจึงพยักหน้าตอบกลับไป

“แล้วเรื่องป้อล่ะ จะบอกยังไงกับแบงค์ ยิ่งแบงค์ไม่ชอบป้อด้วยเนี่ย”
พลเงียบไปพร้อมกับทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่นึง

“กูว่าเรื่องนี้เมิงต้องคุยกันเองแล้วล่ะ คุยกันตั้งแต่เนิ่นๆ ได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี จะได้ไม่มีปัญหาทีหลัง กูว่าแบงค์มันก็คงมีเหตุผลมากพอคงเข้าใจน่ะล่ะ”
พลตอบกลับมา ผมได้แต่พยักหน้าให้กับคำแนะนำนั้น
คงต้องเป็นเช่นนั้นจริงๆ น่ะล่ะ ทำตามอย่างที่พลบอก

ผมไม่ยอมให้เรื่องราวระหว่างผมกับแบงค์ต้องพังทลายลงแน่
ผมพยายามมามากแล้ว กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ถึงแม้จะยังไม่สมบูรณ์เต็มร้อย
แต่อย่างน้อยก็ยังชัดเจนขึ้นมากกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด

อย่างน้อยความรู้สึกของแบงค์ในตอนนี้ก็เริ่มจะมีผมอยู่ในหัวใจแล้ว
อีกแค่นิดเดียว ผมจะไม่มีทางทำลายมันเด็ดขาด

“ไงก็ขอบใจมากนะที่เข้าใจ ว่าแต่รู้เรื่องด้วยเหรอว่า.......”
“ว่า ?”
พลย้อนถามด้วยความสงสัย ในขณะที่ผมเองก็เริ่มทำหน้าแดงเขินอาย

“ว่านันท์เป็น...........แถมยัง....กับแบงค์อีก”

ทันทีที่พลได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น จนผมต้องแทบจะเอามือไปอุดปากพลเอาไว้
“ป่าวหรอก กูไม่ได้รู้เรื่องเชี่ยอะไรเลยสักนิด”
“อ้าว”
“ก็แค่ต่อมเสือกของกูทำงานแค่นั้นล่ะ กูก็สงสัยนิดๆ หน่อยๆ ลองจับต้นชนปลายเอา แล้วก็ลองหยอดใส่เมิงดู
ที่เหลือเมิงก็พล่ามออกมาเองจนหมด จนตอนนี้กูรู้หมดละในสิ่งที่กูสงสัย”

อะ อะ อ๊ากกกกกกกกกก อะไรกันเนี่ยยยยย กับผู้ชายคนนี้เนี่ย เล่ห์เหลี่ยมจัดเหลือเกิน
“ว่าแต่ว่า เมิงกับแบงค์นี่....กิ๊กกั๊กกันจริงอ่ะ”
พลถามผมด้วยน้ำเสียงอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ แต่ผมตอนนี้ที่อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดไว้ที่ไหน
จึงได้แต่ตอบปัดๆ ไป ประมาณว่า รู้แล้วยังจะถามเพื่ออะไร

“เออ เอาน่ะ กูอาจจะดูไม่ค่อยหน้าเชื่อถือ แต่ที่กูบอกว่ากูเป็นห่วงไอแบงค์น่ะ กูพูดจริง
มันอาจจะไม่คิดว่ากูเป็นเพื่อนมัน แต่อย่างน้อยก็มีมันนี่ล่ะที่กูรู้สึกถูกชะตาด้วย
เพราะงั้นสำหรับกู ไอแบงค์คือเพื่อนกูคนนึง กูก็เลยเป็นห่วงมัน
แต่ตอนนี้กูรู้ละว่าไม่มีอะไรในก่อไผ่ กูก็เบาใจละ”
พลบอกกับผมด้วยรอยยิ้มที่ผมเองแทบจะไม่เคยได้เห็นเลยมาก่อน
มันเป็นรอยยิ้มที่ดูจริงใจมาก แต่ก็แค่แว่บเดียวเท่านั้นล่ะ เพราะอยู่ๆ พลก็กลับมายิ้มกวนเจ้าเล่ห์ใส่ผมอีกซะงั้น

“งั้นกูไปละ ไปสายมากแล้วเดี๋ยวจะโดนพี่แจ้ด่าชุดใหญ่ให้ เมิงก็สู้ๆ เข้าล่ะกันนะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
พลเดินออกไปทิ้งไว้ให้ผมยืนนิ่งอยู่กับอารมณ์ที่บอกไม่ถูกว่าควรจะอยู่ในอารมณ์ไหนดีกับผู้คนนี้อยู่คนเดียว

แต่เอาเถอะ อย่างน้อยผมก็เบาใจได้ลงหน่อยว่าเรื่องพลมันไม่ลุกลามใหญ่โตเหมือนที่ผมคิดวิตกไว้

เอาล่ะ เดี๋ยวไว้ตอนเย็นค่อยหาจังหวะคุยกับแบงค์ละกัน
แต่ตอนนี้ขอตัวไปอ่านหนังสือเล่มใหม่ก่อนละกันนะ อิอิ



ตกเย็น
“งั้นเดี๋ยวนันท์ไปนั่งรอที่สวนหย่อมนะ”
“โอเค เดี๋ยวเจอกันนะ”
แบงค์ยิ้มให้ผมก่อนจะเดินออกไป ผมเองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็เดินไปหาที่นั่งแถวสวนหย่อม
เมื่อไปถึงก็พบว่าโต๊ะหลายตัวถูกจับจองโดยนักเรียนคนอื่นเกือบหมดแล้ว
แต่ก็ยังพอเหลือโต๊ะว่างอยู่บ้าง ผมจึงเดินไปนั่ง

ผมหันมองไปมา สังเกตดูโต๊ะอื่น มีทั้งนั่งทำงานกลุ่มกัน ทำการบ้าน
นั่งอ่านหนังสือ ทั้งหนังสือเรียนและการ์ตูน นั่งเล่นกีตาร์ก็มี (ดีนะที่ดีดเพราะ - -*)
เอาล่ะ งั้นเราจะนั่งนิ่งเฉยๆ คงจะไม่ดีเป็นแน่แท้
เอาการบ้านออกมานั่งทำมั่งดีกว่า จะได้ไม่เป็นภาระกับแบงค์ 555+

ในขณะที่ผมกำลังค้นเอาสุดการบ้านออกมานั้นเอง

“อ้าว นันท์ยังไม่กลับบ้านทีเหรอครับ”
เสียงที่คุ้นหูก็เรียกทักผมขึ้นมา
ผมรู้ดีว่าเป็นใคร ป้อนั้นเอง

ผมหันไปยังต้นเสียงนั้น ก่อนจะส่งยิ้มแห้งๆ กลับไป

“ก็ยังอ่ะ พอดีรอแบงค์อยู่น่ะ”
ผมตอบออกไปตามจริง
ป้อเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไปครู่นึง

ก่อนจะหันมายิ้มให้ผมเหมือนไม่สะทกสะท้านอะไร
“งั้นผมขอนั่งรอเป็นเพื่อนด้วยคนได้มั้ยครับ”

!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!


เอาล่ะ ผมควรจะรับมือยังไงกับผู้ชายคนนี้ดี


จบคาบเรียนที่ 19


จิ๊บคุง

  • บุคคลทั่วไป
สวัสดีครับ ??

ก่อนอื่นเลย ต้องแบบว่า

ห๊ะ!!!!!!???????  o22 o22 o22 o22
ความรู้สึกมันแบบว่า
ห๊ะ จำได้ว่าอัพไปสามตอนรวดเมื่อวานเมื่อวานซืนแท้ๆ

กะว่าสบายไปนิดนึงละ เลยกลับไปง่วนกับงานต่อ

เผลออีกที พอรู้ตัวปุ๊บ
ไรเนี่ยยยยยยยยยยยย ผ่านมาเดือนกว่าแล้วเหรอเนี่ย ??????

โอแม่จ้าววววววววววววว ตูโดนเพื่อนๆ นักอ่านไปแล้วแน่ๆ แบบนี้ - -*

เวลาผ่านไปไวจริงๆ นะเนี่ย
คือคำเดิมเลยครับ คงเห็นจนเบื่อแล้วล่ะ ขอโทษคร้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
ฮือๆๆๆๆๆๆ ไม่ได้ตั้งใจจะหายไปนานแบบนี้จริงๆ แต่ด้วยชะล่าใจด้วยน่ะล่ะ
ขอยอมรับผิดแต่โดยดีครับ  :z6:

พอดีเดือนนึงที่ผ่านมานี้งานเข้าแบบไม่ทันตั้งตัวจริงๆ
หลังจากที่พ้นวันเกิดมาได้ไม่กี่วัน ก็โดนย้ายกลับไปช่วยงานสาขาเก่าแบบกระทันหันเนื่องจากมีปัญหานิดหน่อย
ก็กลับไปช่วยตามกำหนด 1 เดือน นี่ก็ผ่านพ้นมาแล้ว ก็กลับมาสาขาที่ตัวเองประจำละ
แถมยังเอาดราม่ากลับมาด้วย 5555+ แต่โชคดีที่ ผจก. สาขาตอนนี้เข้าใจ และยังให้คำแนะนำ สั่งสอนที่ดีมากๆ
ขอบคุณจริงๆ ครับ  :mew1:

แต่ที่ดีใจสุดๆ ในรอบเดือนที่ผ่านมาคือ
"ได้เจอแม่ครั้งแรก หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมากว่า 6-7 ปี"  :sad4: :sad4:

พอดีแกไปอยู่กับแฟนใหม่ที่อังกฤษน่ะครับ เลยไม่ได้เจอไม่ได้ติดต่อกันเลย
เสียดายที่พักร้อนหมดไปแล้ว เลยไม่ได้ลางานไปเที่ยวกับแม่เท่าไหร่
แต่แค่แกมาหาก็ดีใจละ แกบอกด้วยว่าปีที่แล้วก็มา แต่มาหาไม่เจอ เพราะญาติบอกข้อมูลมาผิด
(ซึ้งมากๆ)

เจอแม่ครั้งนี้ทำให้มีกำลังใจสู้ชีวิตมากขึ้น ><

และสดๆ ร้อนๆ วันเสาร์ที่ผ่านมานี่เลยครับ
ข่าวดีอีกเรื่องนั้นก็คือ "ผจก. จะส่งผมสอบเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้ช่วย"

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ไม่ทันตั้งตัวจริงๆ มีเวลาเตรียมตัวนับจากวันนี้ไปอีกแค่สองอาทิตย์เอง
แต่ก็ตอบรับขอคว้าโอกาสไว้ก่อนแล้ว
จะได้ไม่ได้อีกเรื่อง ถือว่าเป็นประสบการณ์ ดีกว่าปล่อยให้หลุดมือไป  :mc4:


ส่วนน้องกระดิ่งน้อย นับวันยิ่งทำตัวน่ารักขึ้นทุกวัน เดี๋ยวนี้ทำเสียงออดเสียงอ้อน
คนที่ทำงานก็หมั่นขยันแซวกันจัง ไม่เว้นแม้แต่ ผจก. ก็เอากะเขาด้วย - -*

แต่กระดิ่งน้อยเขาก็ยังรักกับแฟนเขาดีอยู่ครับ
แค่นี้ก็พอใจละ ไม่ได้อยากแย่งของใคร (เพราะครั้งนึงผมก็โดนแย่งมาเหมือนกัน)
แค่ได้ชอบ ได้คุยด้วยก็สุขใจละ

พล่ามเรื่องตัวเองเยอะละ เบื่อกันมั่งมั้ยนี่ - -* ทนๆ หน่อยนะครับ 555+ แบบอยากพล่ามน่ะ

เข้าเรื่องดีกว่า ชื่อคาบเรียนคาบนี้ตั้งได้หวาดเสียวดี
แต่เอาเข้าจริงๆ ไม่มีไรซะงั้น แต่ถือว่าก็ได้เห็นพลในมุมมองที่ไม่เคยเห็น
ตอนแรกในเวอร์ชั่นแรกที่เขียน พลไม่ได้มีบทบาทมากมายขนาดนี้นะเนี่ย
ออกจะจืดจางซะด้วย แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่า พลกลับเป็นตัวละครตัวนึงที่ผมชอบนะ
คงเพราะคล้ายๆ เพื่อนผมคนนึงตอนสมัยเรียนด้วยล่ะมั้ง

ส่วนป้อ อ่ะแหะๆ เอายังไงกับผู้ชายคนนี้ดีนะ
ตอนหน้ารู้กัน (มั้งนะ อิอิ)




ขอบคุณสำหรับกำลังใจทั้งคอมเมนท์และยอดวิวครับ  :mew1: :bye2:

ปล. สงสัยกันมั่งป่ะครับว่า เนื้อเรื่องตอนนี้ถ้าเทียบกับเนื้อเรื่องทั้งหมดแล้ว
มาได้ไกลแค่ไหนแล้ว

เอ ผมก็บอกไม่ถูกแฮะ จะว่าอีกนิดเดียวก็จะขมวดได้แล้ว มันก็ถูกในระดับนึง
แต่อีกแง่นึง จริงๆ มันก็ยังมีต่ออีกนะ

เพราะงั้น ผมถึงได้ใส่เป็น "เทอมที่ 1" ไว้ยังไงล่ะครับ

ยังไงก็รบกวนติดตามด้วยนะครับ อย่าเพิ่งเบื่อกันซะก่อนนะครับ
รักผมและตัวละครทั้งหลายน้อยๆ แต่รักนานๆ นะครับ 5555+

ปล.2 น้องที่ทำงานผมคนนึงเป็น สาววายตัวจริงเสียงจริงด้วยล่ะ ผมกำลังรู้นะเนี่ย
อึ้งๆ เหมือนกัน เพราะเกิดมายังไม่เคยเจอสาววายตัวเป็นๆ มาก่อน
เคยเจอแค่ในร้านหนังสือการ์ตูน แบบเขามาซื้อน่ะ แต่ไม่เคยจะกล้าทัก 555+

ออฟไลน์ Lily teddy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-2
โถ น้องพลนี่เนียนมาก มามาดนิ่ง ๆ กับคำพูดประชดประชันเหมือนจับผิดแบบนี้
ทำเอาน้องนันท์ที่รู้สึกผิดในใจอยู่แล้ว ร้อนตัวจนเปิดโปงตัวเองซะงั้น จะว่าน้องพลเจ้าเล่ห์ก็ไม่ได้
เหมือนแค่ตั้งใจจะเตือนน้องนันท์เพราะหวังดีกะแบงค์ กลายเป็นมารู้ความลับของน้องนันท์เข้าให้
น่าสงสารน้องนันท์ ตอนแรกก็เครียดอยู่แล้ว ตอนนี้ถึงเรื่องของพลจะผ่านไป
แต่พอได้มารู้เรื่องป้อกะแบงค์เลยยิ่งเครียดยิ่งกว่าเดิมอีก  ต่อไปน้องนันท์จะทำตัวยังไงเนี่ย
ถ้าไม่คุยกะป้อ และแบงค์ให้เข้าใจ น้องนันท์คงต้องระแวงหนักเลย
ยิ่งตอนนี้น้องป้อก็ดันรุกหนัก ขนาดต้องเผชิญหน้ากะแบงค์ป้อยังไม่หลบไม่เลี่ยง
งานนี้น้องนันท์จะสลับสับรางยังไงเนี่ย เผื่อโชคร้ายแบงค์มาเจอนันท์กะป้อซะก่อนเป็นเรื่องแน่
ยังไงก็ขอให้แบงค์เชื่อใจ ไม่คิดว่าน้องนันท์ตั้งใจปิดบังเหมือนที่พลคิดก็พอเนอะ
รอติดตาม และเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนเหมือนเดิมทุกเทอม ทุกคาบจ้า  :pig4: :L2:
ตอนนี้มีเรื่องให้ยินดีด้วยเยอะจังค่ะ  สงสัยพอผ่านวันเกิดมาแล้วปีนี้จะเป็นปีที่ดี มีแต่เรื่องดี ๆ นะคะ
โดยเฉพาะเรื่องแม่ที่ไม่ได้เจอได้ติดต่อกันเลยตั้ง  6-7 ปี นานมาก แต่แสดงว่าแม่ต้องคิดถึงผู้เขียนมากเลย
ไม่เจอครั้งก่อนยังพยายามหาจนเจอได้  ถ้ามีเวลาอยู่ด้วยกันเยอะ ๆ คงดีนะคะ ต่อไปถึงไม่ค่อยได้เจอก็ติดต่อกันได้ละ
เรื่องงานก็เป็นผลจากความตั้งใจนะเนี่ย (ขนาดไม่มีเวลามาลงนิยายเลย 555) มีผู้ใหญ่เห็นผลงานละ
จะได้ไม่ได้ไม่สำคัญเนอะ ถ้ามีคนสนับสนุนโอกาสก็มีเข้ามาได้เรื่อย ๆ แต่ถ้าได้ครั้งนี้เลยก็ยิ่งดีเนอะคะ
แค่ต่อไปคงต้องรอนิยายเพิ่มจาก 1 เดือน เป็น 2 เดือนรึเปล่า 555  สู้ ๆ ค่ะ ยังไงก็รออ่านแน่นอน
ท้ายสุดเรื่องน้องกระดิ่งน้อยที่น่ารักขึ้นทุกวัน อ่านแล้วต้องยิ้มตามเลย อยากเห็นจังค่ะทำเสียงออดเสียงอ้อนด้วย
อย่างงี้ก็ทำให้มีความสุขกะการทำงานเพิ่มขึ้นด้วยสินะคะ  ส่วนเรื่องของหัวใจก็เป็นเรื่องของพรหมลิขิตด้วยแหละ
ถ้าใช่ยังไงก็ต้องใช่ ถ้าไม่ใช่เดี๋ยวเราอาจได้เจอคนที่ใช่มากกว่าก็ได้ แค่ตอนนี้ผู้เขียนมีความสุขก็พอแล้วเนอะ
แล้วเรื่องสาววายเนี่ย ที่ทำงานคนอ่านไม่มีซักคน เลยไม่มีเพื่อนให้คุยหนุงหนิงเรื่องนี้เลย
แต่ที่บ้านน้องสาวมันก็น่าจะเรียกว่าสาววายตัวจริงได้นะ เพราะซื้อการ์ตูน Y เยอะจนกลัวห้องมันถล่ม
ที่สำคัญมันเป็นคนชักนำเข้าสู่วงการทั้งการ์ตูนและนิยายเลยค่ะ เพื่อนที่ทำงานมันก็โดนชักนำมาด้วย 1 คน 555
ตอนนี้แค่นี้ดีกว่า ยาวเกินล่ะ ตอนหน้าก็ขอให้ผู้เขียนโชคดีมีแต่เรื่องดี ๆ มาเล่าให้ฟังอีกนะคะ แต่ถ้าเครียดอะไรก็ระบายได้น๊า
ส่วนนิยายก็ขอให้นันท์กะแบงค์ผ่านป้อไปได้ด้วยดีเหมือนกันคะ อยากให้จบลงด้วยความเข้าใจกันทุกฝ่ายค่ะ :กอด1:   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-11-2013 18:01:13 โดย Lily teddy »

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
บางครั้งคนเราก็มีมุมเหมือนนันท์อยู่นะ
เพราะไม่ได้คิดอะไร และคิดว่าไม่ได้สำคัญอะไร
ก็เลยไม่ได้บอกไม่ได้พูดออกไปให้อีกฝ่ายได้รู้
แต่ที่นันท์พลาดก็ตอนที่พยายามปิดบังเรื่องที่มากับป้อ
อาจจะไม่ได้ตั้งใจปิดบัง แต่ตั้งใจพูดโกหกไปน่ะซิ
ทั้ง ๆ ที่นันท์เองก็ไม่เคยรู้เลยว่าว่าแบงค์ไม่ชอบป้อ
ในเมื่อไม่รู้แล้วทำไมไม่ยอมพูดความจริงกับแบงค์ออกไป
เรื่องของแบงค์ - นันท์ - ป้อ ก็ยังคงลุ้นกันต่อไปเนอะ

แต่เรื่องของคนเขียน ดีใจกับข่าวดีด้วยนะคะ
และขอให้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้ช่วยได้สำเร็จนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
“ต่อให้ต้องรอนานแค่ไหน ก็จะรอ ก็รักไปแล้วนี่” ฟังแล้วน่าสงสารน้องนันท์จังเลย
แต่ก็ชอบที่นันท์พูดตรง ๆ อย่างนี้ นะ แล้ว แบงค์จะพูดอะไรอ่ะ เหมือนจะบอกว่าไม่ต้องรอ
มันจะแปลว่าอะไรได้นะ ทางดีหรือไม่ดีกันล่ะ ข้องใจ ๆ นายพลมาขัดซะได้นะ ฮึ่ย ๆ
น้องนันท์ พอทำผิดไปแล้ว ก็เลยเหมือนมีชนักติดหลังล่ะเนอะ ระแวงพลตลอดเลย
ชอบที่พลทำนะ ในฐานะเพื่อนของแบงค์ เราเป็นพลก็คงคิดว่านันท์กำลังจับปลาสองมืออยู่เหมือนกัน
ยังดีที่ได้เล่าความจริงให้พลฟัง จะได้ไม่ต้องคอยระแวงพลอีก แถมยังไ้ด้ที่ปรึกษาซะด้วย
สิ่งที่พลแนะนำ ถูกต้องที่สุด ในเมื่อนันท์มั่นคงกับแบงค์แล้ว และรู้ความรู้สึกของป้อแล้ว
ที่ต้องทำคือ แสดงความชัดเจนให้ป้อได้รู้ ว่านันท์คิดยังไงกับแบงค์ และให้ป้อได้แค่ความเป็นเพื่อน
แต่ที่สำคัญที่สุด ต้องรีบบอกเรื่องป้อ ทุกอย่าง ให้แบงค์ได้รู้ และต้องรู้จากนันท์เองด้วย
ยิ่งปล่อยเวลาผ่านไป เกิดแบงค์รู้ขึ้นมาเอง แบงค์คงเสียความรู้สึกที่มีให้นันท์แน่ ๆ
แล้วนี่ ป้อดันมานั่งอยู่ตรงที่นัดกับแบงค์ไว้ด้วย เดี๋ยวแบงค์ต้องมาเจอแน่ ๆ เลย จะทำไงล่ะ
นันท์ จะจัดการยังไงกับป้อก็แล้วแต่ ที่สำคัญ ต้องไ่ม่โกหก ไม่งั้นจะทำให้เรื่องมันบานปลายอีกนะ
รอตอนต่อไปจ้า ขอบคุณนะคะ  :L1:
............................................................
ปล. 1 ดีใจเรื่องที่ได้พบแม่ด้วยนะคะ นาน ๆ(มาก) เจอกันทีอย่างนี้ เป็นเราคงเหงาแย่เลย คนเขียนเข้มแข้งจัง
ปล. 2 เอาใจช่วยเรื่องสอบเลื่อนตำหน่งด้วย พยายามเข้านะคะ ขอให้ผลเป็นดังที่หวังไว้นะ
ปล. 3 ดีใจด้วยเรื่องความสัมพันธ์ดี ๆ กับน้องกระดิ่งน้อย ไม่ว่าจะฐานะไหน รู้สึกดี ๆ ให้กัน มันก็น่ายินดีทั้งนั้นเนอะ
ปล. 4 จะผิดมั้ย ถ้าบอกว่า เรื่องนี้เราชอบ พล มากที่สุดเลยล่ะ ชอบตัวละครที่นิสัยตรง ๆ ชัดเจนแบบนี้
         เลยแอบหวัง จะได้อ่านคู่ของพลกับตี๋เอ๋อเยอะ ๆ อยู่นะเนี่ย แหะๆ แบงค์กับนันท์จะน้อยใจมั้ยน้อ
ปล. สุดท้าย เราว่า สาววาย หาได้ไม่ยากเลยนะคะ เรากับพี่สาว เป็นทั้งคู่เลย น้องที่ทำงานก็เป็น เลยคุยกันได้สนุกสุด ๆ
       และสำหรับคนอื่น เราก็ไม่รู้ แต่ตัวเราเนี่ย ไม่เคยปกปิดเลยว่าเป็นสาววาย เปิดเผยสุด ๆ เลยล่ะ 555
เป็นกำลังใจให้คนเขียนในทุก ๆ เรื่อง นะจ้ะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ  :L2:
 

จิ๊บคุง

  • บุคคลทั่วไป
คาบเรียนที่ 20


“ว่าแต่ป้อทำไมยังไม่กลับล่ะ”
ผมหันไปถาม ในขณะที่มือก็เปิดกระเป๋าเพื่อหวังเอาหนังสือออกมาอ่าน (ถึงแม้รู้ดีกว่ามันจะไม่เข้าหัวก็ตามที)

ป้อเองเมื่อได้ยินผมถามเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไปครู่นึง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“ก็ขี้เกียจกลับน่ะครับ อีกอย่างนั่งรอเป็นเพื่อนนันท์นี่ล่ะครับ มีความสุขดี”

ดู ดู๊ ดู ดูเขาตอบสิ
“เอ่อ ไม่ต้องก็ได้นะ เกรงใจน่ะ รบกวนเวลาของป้อเปล่าๆ”
ผมพยายามที่จะตัดบทของป้อไป แต่ดูเจ้าตัวยังคงไม่สะทกสะท้าน
“ไม่เป็นไรครับ อย่างที่บอกไง ผมมีความสุขครับ ถ้าได้อยู่กับนันท์”

ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือป่าว แต่ดูเหมือนว่าป้อกำลังรุกหนักเข้ามายิ่งกว่าเดิม


อะไรกัน ???
แค่ไปเที่ยวด้วยกันวันเดียวนี่ ดูจะยิ่งได้ใจมากขึ้นเยอะเลยนะนั่น
นี่ผมไม่ได้คิดไปเองแล้วใช่มั้ย ???

ในขณะที่ผมกำลังปั้นหน้าไม่ถูกว่าควรจะอยู่ในอารมณ์ไหนดีอยู่นั้นเอง
อยู่ๆ ป้อก็เอื้อมมือของตัวเองมากุมมือผมไว้โดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว
ผมพยายามจะดึงมือตัวเองกลับมา แต่ทว่าป้อก็กุมมือผมไว้แน่น

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองป้อด้วยสีหน้าเกร็งๆ
“นันท์เป็นอะไรไปรึป่าวครับ วันนี้ดูแปลกๆ ไปนะ”
ป้อถามผมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย พร้อมกับมองผมด้วยสายตาเศร้าๆ

“ก่ะ ก่ะ ก็ เปล่า เปล่านี่ ไม่มีอะไร”
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ในขณะที่สีหน้าผมในตอนนี้นั้นมันเกร็งไปหมดแล้ว

ป้อเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ปล่อยมือผม ผมจึงดึงมือตัวเองกลับมากุมไว้แน่นบนตักตัวเอง
ส่วนป้อเองก็เอามือเท้าคางตัวเองไว้ก่อนจะยิ้มให้ผมอีกรอบ
“ว่าแต่นันท์ได้ฟังเพลงที่ผมส่งไปให้อีกมั่งรึป่าวครับ”

อึก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
“ก็...ฟังนะ เพราะดีๆ”

โกหกคำโตเลยผม ความจริงแล้ว หลังจากวันนั้น ผมก็ไม่ได้ฟังมันอีกเลย
เพราะถ้าผมฟังอีก ผมคงยิ่งวิตกไปมากกว่านี้อีกแน่ๆ
แต่ป้อเมื่อได้ยินผมตอบเช่นนั้นก็ดูจะมีอาการดีใจยิ้มหน้าบานเชียว
“แล้วคิดยังไงมั่งครับ เมื่อได้ฟังเพลงนั้นแล้ว”

นั่นไง ยิงคำถามเด็ดมาแล้ว เอาล่ะสิ ทำไงต่อดี

-เอาเป็นว่าถ้าเมิงบริสุทธิ์ใจจริง และไม่ได้คิดอะไรกับมัน เมิงก็บอกไอป้อมันไปตรงๆ-

ในขณะที่ผมกำลังสับสนอยู่นั้นเอง คำพูดของพลก็วนเข้ามาในหัวผม
จริงสิ ที่มันเป็นปัญหาอยู่ตอนนี้เพราะผมไม่เคลียร์ตัวเอง
ถ้ายังไม่ทำอะไรสักอย่างให้มันชัดเจน มันก็จะไม่มีวันจบ
และยิ่งมีแต่จะกลายเป็นปัญหาบานปลายใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ



ผมต้องเคลียร์และจบมันให้ได้!!!!!!

“ป้อ”
ผมหันไปมองป้อด้วยสีหน้า(ที่พยายามจะ)จริงจัง
ป้อเองก็ดูมีทีท่าตั้งใจฟังด้วยเช่นกัน

“ป้อกำลังจีบนันท์อยู่ใช่มั้ย”

ตึ่กๆ ตึ่กๆ
เอาแล้วไง ในที่สุดก็กล้าพูดออกไปจนได้
เมื่อได้ยินผมถามไปเช่นนั้น ป้อเองก็นิ่งเงียบไปครู่นึง ทำหน้างงๆ ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ

หมายความว่าไงน่ะ สีหน้าท่าทางแบบนั้น ???

“เดี๋ยวนะ ทำไมถึงคิดงั้นล่ะ”
อ้าววววววววว หมายความว่าไงล่ะคราวนี้
นี่ผมกำลังทำอะไรที่น่าขายหน้าออกไปเหรอเนี่ย
อย่าบอกนะว่าที่ผ่านมาผมไปคิดเองคนเดียวหมดเลย ????

“ก็....ก็จากหลายๆ อย่างน่ะ มันทำให้ชวน เอ่อ คิดแบบนั้น ก็ ก็ ถ้า.....”
แย่แล้วๆ เริ่มไปไม่ถูกแล้วทีนี้ นี่ถ้ามันไม่ใช่
ไม่เท่ากับว่าผมหลงตัวเองหรอกเหรอนั่น ???


ในขณะที่ผมเองนั้นกำลังหน้าซีดเผือดเป็นไก่ต้มอยู่นั้นเอง
ป้อก็ยิ้มให้กับผม พร้อมกับประสานมือทั้งสองข้างเท้าคางไว้กับโต๊ะ



“แล้วถ้ามันใช่ล่ะครับ นันท์จะว่ายังไง”


!!!!!!!!!!!!!!

นี่มันอะไรกันเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยย
สรุปว่าอันไหนจริง อันไหนลวงกันแน่

“ล้อเล่นรึป่าวน่ะ ป้อ”
“ผมพูดจริงครับ ไม่ได้โกหก”
คราวนี้ป้อทำสายตาจริงจังใส่ผม ทำเอาผมเองถึงกับพูดไม่ออกไปเหมือนกัน

“ไหนๆ ผมก็ได้พูดในสิ่งที่ผมอยากพูดแล้ว ผมก็อยากจะถามนันท์ตรงๆ เลยแล้วกัน
ว่าจะขอโอกาสนั้นให้ผมได้มั้ย”

ป้อพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเข้ม
ความรู้สึกผมตอนนี้ มันเหมือนกับว่าสิ่งต่างๆ รอบข้างมันหยุดนิ่งไปในทันทีทันใด
ผมไม่ได้ยินอะไรรอบข้างเลย นอกจากคำพูดของป้อที่วนซ้ำไปซ้ำมาในหัวผม

แต่...........!!!!

“แต่นันท์ไม่ได้ชอบป้ออ่ะ”
ใช่ ผมต้องบอกออกไปตรงๆ

“คนที่นันท์ชอบคือแบงค์ใช่มั้ยครับ”
ป้อรีบสวนคำถามกลับมาทันที โดยไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ตั้งตัว
ผมพยักหน้าให้กับคำถามนั้น
“ใช่ นันท์มีแบงค์อยู่ในหัวใจแล้วนะ และก็คงไม่มีวันที่จะเลิกชอบแบงค์ได้ด้วยล่ะ”

จิ๊บคุง

  • บุคคลทั่วไป
ใช่แล้ว ผมต้องมั่นคงเข้าไว้ ไม่หวั่นไหวไปกับคำพูดของป้อ
จริงอยู่ถึงแม้มันอาจจะเป็นการทำร้ายจิตใจป้อที่ผมปฏิเสธป้อไป

แต่เรื่องความรักมันไม่ใช่เพียงแค่ความสงสารเท่านั้น
ถ้าผมสงสารป้อ แล้วยังคงอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ชัดเจน ปัญหามันก็จะคาราคาซังไปเรื่อยๆ

แต่แทนที่ป้อจะเข้าใจ กลับ......
“แล้วถ้าผมบอกว่า ผมสามารถทำให้นันท์หันมามองผมได้ล่ะ”
“งั้นนันท์ก็ขอบอกตรงนี้เลยว่า ไม่มีทางแน่นอน”
ถึงแม้ผมจะรีบตอบสวนกลับไปยังไง
ดูเหมือนว่าสิ่งต่างๆ ที่ผมพยายามพูดออกไป จะไม่ได้ทำให้ป้อเข้าใจขึ้นมาได้เลย

“อย่าพยายามทำเลยดีกว่า ขอร้องล่ะ นันท์ไม่อยากเสียแบงค์ไปจริงๆ อย่าได้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างแบงค์กับนันท์ ขอเถอะ”
ผมพยายามอ้อนวอนขอร้องกลับไป ป้อก้มหน้านิ่งเงียบไปครู่นึง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมอีกรอบ

“อย่าเรียกว่าทำลายเลย มันจะดูเหมือนว่าผมเป็นคนไม่ดี ต้องเรียกว่าให้ผมมีโอกาสพิสูจน์ตัวเองดีกว่า
ผมแฟร์อยู่แล้ว ที่ผ่านมาผมซ่อนเร้นตัวมามากพอแล้ว แต่ตอนนี้ผมคิดว่ามันถึงเวลาที่ผมจะทำให้มันถูกต้อง
และตรงไปตรงมาสักที ตอนนี้ผมขอแค่โอกาส ซึ่งถ้านันท์และแบงค์ ทั้งสองคนมั่นคงต่อกันจริง ก็พิสูจน์ให้ผมเห็นสิ
ทำให้ผมเห็นว่า แม้ผมจะสู้แค่ไหน ก็ไม่มีวันทำให้นันท์และแบงค์เลิกราต่อกันได้
วันนั้นนั่นล่ะ ผมถึงจะยอม”


คราวนี้ป้อพูดร่ายยาวออกมาเป็นชุดโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ตัดบทเลยแม้แต่น้อย

ผมอึ้งไปพอสมควร เพราะบอกตามตรงว่าตอนนี้ผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปแล้วจริงๆ
ดูท่าว่าคนๆ นี้จะเอาจริงเอาจังมากๆ

ซึ่งมันก็ยิ่งทำให้ผมสงสัยเช่นเดียวกัน

“ป้อ ถามจริงนะ ป้อชอบนันท์จริงๆ เหรอ นันท์มีอะไรดีตรงไหน นันท์กับป้อเอง ก็เพิ่งจะเคยเจอกันก็แค่ตอนเข้าค่ายอบรมแค่นั้นไม่ใช่เหรอ”

ผมถามกลับไปในสิ่งที่ผมเองก็สงสัยที่สุด
เพราะมันดูไม่สมเหตุสมผลเลย ที่อยู่ๆ คนๆ นึง จะรักชอบคนอีกคนนึงได้มากขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน
เมื่อป้อได้ยินคำถามนั้นก็ยิ้มให้กับผมอีกครั้งนึง คราวนี้มันดูเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นและดูมีความสุข

ป้อหยิบกระเป๋าตังค์ของตัวเองออกมาจากกางเกง ก่อนจะเปิดมันออกแล้วหยิบเอารูปถ่ายออกมาให้ผมดู
ภาพที่ผมเห็น คือรูปของเด็กใส่แว่นอายุราวๆ 11-12 ปี ที่อ้วนมากคนนึง ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้
ผมเองก็เกิดอาการงงเล็กน้อยว่าป้อต้องสื่อถึงอะไร

“นั่นคือผมสมัยก่อนครับ”

“..........................”

หือ ??? ห๊ะ ??????

“เมื่อก่อนผมเป็นคนอ้วนครับ อ้วนมากอย่างที่เห็นในรูปนั่นล่ะครับ”
ผมตกใจกับคำพูดนั้นพอสมควร ป้อเนี่ยนะ เคยอ้วนมาก่อน ดูไม่ออกเลยจริงๆ จนผมต้องหันกลับมาดูรูปอีกรอบ
พอสังเกตดีๆ มันก็ใช่ป้อจริงๆ มีเค้าโครงของป้อจริงๆ ด้วย

ว่าแต่มันเกี่ยวอะไรยังไงกับผมล่ะ

“ตอนเด็กๆ ผมมักจะถูกรังแกอยู่เสมอ เพราะด้วยรูปร่างที่ดูน่ารังเกียจในตอนนั้น
ในขณะเดียวกันนั้นเองผมก็เพิ่งย้ายเข้ามาเรียนใหม่
แน่นอนว่าไม่มีใครรู้จักถึงฐานะที่แท้จริงของผมหรอก เพราะอย่างที่บอกผมไม่ชอบความวุ่นวายและการประจบประแจง
แต่ก็นั่นล่ะ มันก็เลยทำให้พวกเขากล้ารังแกผม แต่ผมก็ทนเรื่อยมา โดยไม่บอกกล่าวใครที่บ้านทั้งสิ้น
เพราะคิดว่าสักวันพวกเขาคงเบื่อไปเอง ครั้งนึงในขณะที่ผมกำลังโดนรังแกอยู่ที่สนามเด็กเล่น
ก็ได้มีเด็กน้อยคนนึงกล้าที่จะเข้ามาช่วยผมไว้ ผลก็คือเป็นเรื่องเป็นราวจนอาจารย์ต้องเข้ามาห้ามปราม
แต่ก็จบลงด้วยแค่เรื่องทะเลาะของเด็กๆ ไป
และสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกประทับใจในตัวเด็กคนนั้นคือ เขายื่นมือเข้ามาสัมผัสหัวผมเบาๆ พร้อมกับพูดว่า –ไม่เป็นไรแล้วนะ-
ก่อนที่เด็กคนนั้นจะเดินออกไปเล่นกับเพื่อนของเขาต่อ”

ผมพยายามฟังเรื่องราวที่ป้อเล่าออกมา

“หลังจากนั้น ผมก็เกิดสนใจในตัวของเด็กคนนั้น แต่ก็ยังไม่กล้าที่จะเข้าไปพูดคุยด้วย
เพราะด้วยรูปร่างตัวเอง และเพื่อนที่อยู่ข้างเด็กคนนั้น ซึ่งก็เป็นช่วงจังหวะเดียวกันกับที่ผมต้องย้ายโรงเรียนไป
มันเลยทำให้ผมไม่มีโอกาสที่แม้แต่จะได้ทำความรู้จักกับเด็กคนนั้น
แต่มันก็คงเป็นแรงบันดาลใจเล็กๆ ให้ผมด้วยล่ะมั้ง หลังจากนั้นผมก็เลยพยายามลดน้ำหนัก
เล่นกีฬา  เปลี่ยนโฉมตัวเองใหม่ จากที่ใส่แว่น ก็เปลี่ยนมาใส่คอนแทคเลนส์สายตา ทำทุกวิถีทางให้ตัวเองดูดี
เพื่อหวังว่าสักวัน หากได้พบกับเด็กคนนั้นอีก ผมคงจะมีความกล้าที่จะเข้าไปทำความรู้จักกับเขา”


ป้อนิ่งเงียบไปอีกครู่

“และตอนนี้ ผมก็ได้พบกับเด็กคนนั้นแล้ว ตอนเข้าค่ายอบรมยาเสพย์ติด มันทำให้ผมดีใจมากๆ
และคิดว่าจะไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไปอีกเด็ดขาด
และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้ผมย้ายกลับมาโรงเรียนนี้ยังไงล่ะครับ”


ทันทีที่ป้อพูดจบ ผมก็เกิดอาการเหมือนโดนค้อนปอนด์ตีเข้ากลางหัวอย่างจัง
มึนงงกับเรื่องราวทั้งหมดที่ป้อเล่า และพยายามที่จะคิดทบทวนและเรียบเรียงมันใหม่อีกรอบ
ถ้าสิ่งที่ป้อพูดออกมาเป็นความจริง

ก็จะเท่ากับว่า เด็กคนนั้นที่ป้อพูดถึงก็คือ..............

“เดี๋ยวนะป้อ ป้อจะบอกว่าเด็กคนนั้นคือนันท์งั้นเหรอ ??”
ผมถามด้วยความงุนงง
ไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมา จะมีก็เพียงรอยยิ้มของป้อเป็นคำตอบ

“คือ ป้อ บอกตามตรงนะว่า นันท์จำเรื่องราวในวันนั้นไม่ได้จริงๆ  และถึงจะจริง นันท์จำไม่ได้ว่าทำไปด้วยสาเหตุอะไร”
ผมพยายามพูดอธิบายต่างๆ นานาให้ป้อฟัง
คือบอกตามตรงครับ ว่าผมจำไม่ได้จริงๆ พยายามคิดทบทวนยังไงก็จำไม่ได้

ถ้าจะให้คิดเอาเองตามตรรกะที่น่าจะเป็นไปได้ ก็คงแค่อารมณ์เด็กๆ มากกว่าที่อยากช่วยเฉยๆ ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้น

แต่........

“บางครั้งการกระทำที่ไม่สำคัญของเรา มันอาจจะไปจุดประกาย หรือให้ใครอีกคนนึงประทับใจไงครับ”
เหมือนป้อจะเดาใจผมถูก เลยพูดออกมาแบบนั้น

“นันท์จะจำผมไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ถือไม่โกรธ แต่สิ่งที่ผมต้องการ คือหลังจากนี้
ขอให้ผมได้มีโอกาสได้พิสูจน์ตัวเอง เพื่อให้นันท์ได้รู้จักในตัวผมมากขึ้น”

หมดประโยชน์!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
หมดประโยชน์อันใดที่จะพูดกับผู้ชายคนนี้ให้รู้เรื่อง
ผมไม่อยากจะเรียกว่าบ้า เพราะในความเป็นจริง เขาก็เหมือนผมนั้นล่ะ
ที่โหยหาและต้องการความรักจากคนที่เขาต้องการ
ซึ่งหากสิ่งที่ป้อพูดมาเป็นความจริง มันก็ไม่แปลกหรอกที่มันจะฝังอยู่ในใจของเขา

จิ๊บคุง

  • บุคคลทั่วไป
แต่ประเด็นมันอยู่ที่ ผมไม่ได้รักเขานี่สิ
เอาล่ะ เรื่องนี้ค่อยๆ คิด ค่อยๆ แก้ไขไป ยังไงอย่างน้อยก็ถือว่าผมได้พูดไปแล้ว

ทีนี้ปัญหาต่อไปที่ผมต้องแก้ไข นั่นคือ ผมคงต้องบอกความจริงกับแบงค์
ไม่อยากจะให้เป็นปัญหาและต้องผิดใจกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ด้วยเรื่องที่ผมไม่คาดคิดและไม่ได้ตั้งใจจะก่อมันขึ้น

แต่ยังไงเสีย ผมก็ต้องทำ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ

“เอาเหอะ พูดไปตอนนี้ยังไงป้อก็คงยังไม่ฟังนันท์อยู่ดี แต่ถึงยังไง นันท์ก็ยังยืนยันคำเดิม คือ นันท์รักแบงค์คนเดียวเท่านั้น”
พูดจบผมก็หยิบกระเป๋าพร้อมกับลุกออกจากโต๊ะทันที
“นันท์จะไปไหนเหรอครับ”
“จะไปหาแบงค์ ละยังไม่ต้องตามมาด้วยนะ จนกว่าเราจะคุยกันรู้เรื่อง อย่างที่บอก ว่านันท์ไม่อยากให้แบงค์เข้าใจผิด
เพราะเท่าที่รู้ว่า คือแบงค์เขาไม่ชอบป้อด้วยน่ะ”
ผมพยายามพูดขู่ป้อทันทีที่เห็นว่าป้อทำท่าจะลุกขึ้นตามผม

แต่ดูท่าคำขู่นั้นจะไม่ได้ผล ซ้ำยิ่งทำให้ป้อดูกระหยิ่มยิ้มย่องขึ้นมาอีกต่างหาก
พร้อมกับคว้ามือผมไว้ ผมพยายามจะสะบัดข้อมือออก แต่ทว่าก็สู้แรงของป้อไม่ได้
(โอ้ยยยยยย แรงนางเอกจัง ตูเนี่ย)
ผมพยายามออกแรงสะบัดอีกครั้งนึง แต่ทว่าคราวนี้ป้อก็กลับปล่อยมือผมง่ายๆ จนผมเองเกือบจะเซไปเหมือนกัน

ผมหันไปมองค้อนใส่ป้อ ป้อก็ยังคงยิ้มให้กับผมเหมือนเดิม เหมือนพยายามจะกวนประสาทผมเล็กน้อย
ผมก็พยายามไม่สนใจ จึงหันหลังเพื่อจะเดินออกมา
แต่ไม่ทันที่ผมจะได้หันหลัง อยู่ๆ ป้อก็ดึงตัวผมเข้ามากอดแน่น
“เฮ้ย ทำอะไรน่ะ”
ผมพยายามจะดิ้นเพื่อให้หลุดจากอ้อมแขนของป้อ ในขณะที่ตอนนี้สายตาของคนรอบข้างก็เริ่มหันมามองกันแล้ว
“เฮ้ย ปล่อยเดียวนี้นะ บอกให้ปล่อยไง”
ผมพยายามบอกกับป้อพร้อมกับออกแรงดิ้นไปด้วย ตอนนี้ใบหน้าของผมนั้นแทบจะแนบชิดกับแผงอกของป้อ
ชิดเสียจนผมได้กลิ่นเหงื่อผสมกับกลิ่นน้ำหอมจางๆ พร้อมกับความอุ่นจากแผงอกนั้น

แต่!!!!!!!!!!!!!!
มันไม่ใช่เวลามาเคลิบเคลิ้มว๊อยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

“ป้อ!!!!”
“อ่ะครับๆ ปล่อยก็ได้”
อยู่ๆ ป้อก็ปล่อยผมออกจากอ้อมแขนนั้นอย่างว่าง่าย จนผมแทบจะตามอารมณ์ไม่ทัน
ผมหันไปมองป้ออีกรอบ ในขณะที่ป้อก็ยังคงยิ้มให้ผมเช่นเคย
นี่ถ้ามันเป็นละครไทย มันคงได้ปล่อยหมัดใส่คู่กรณีไปแล้วสักหมัดสองหมัด
แต่เพราะมันไม่ใช่ ผมเลยต้องยั้งใจไว้ เพราะรู้ว่าทำไปมันก็เท่านั้น
ด้วยแรงแล้ว ผมคงสู้ไม่ได้หรอก เผลอๆ อาจจะโดนจัดชุดใหญ่อีกรอบก็เป็นไปได้
“งั้นเอาเป็นว่าผมกลับก่อนละกันนะครับ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะครับ บาย”

ป้อเอ่ยคำลากับผมพร้อมกับเดินออกไป

ส่วนผมเองผมรีบหันหลังให้กับป้อทันที และพยายามที่จะออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

แต่ทว่า!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ผมก็ต้องหยุดชะงักทันที พร้อมกับใจของผมที่มันแทบจะหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
เมื่อพบว่า บุคคลที่ผมกลัวและไม่อยากให้เห็นมากที่สุดได้มายืนรออยู่ก่อนแล้ว


“บ่ะ แบงค์!!!”
ผมเอ่ยชื่อนั้นออกไปด้วยน้ำเสียงสั่น
นี่มันละครไทยหรืออะไรกันเนี่ย ทำไมมันถึงได้ประจวบเหมาะอะไรกันเช่นนี้

“ทำอะไรกันน่ะ”
แบงค์เอ่ยถามกลับมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูก็รู้ว่าไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง
“เอ่อ..คือ นันท์มีเรื่องจะคุยกับแบงค์พอดีเรื่อง....”
“แบงค์ถามว่าทำอะไรกันน่ะ!!!! แล้วไอเจ้านั่นมันมาอยู่ที่นี่ได้ไง!!!!!????”
ผมต้องสะดุ้งทันทีที่ได้ยินเสียงตะคอกนั้น

มันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมโดนแบงค์ตะคอกใส่
ผมรู้สึกอึ้งและมึนงงไปชั่วครู่ เหมือนภาพทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นในตอนนี้มันบิดเบี้ยวไปหมด
ผมไม่คาดคิดว่าแบงค์จะโกรธได้มากขนาดนี้

จริงอยู่ว่าผมเองก็มีส่วนผิด
แต่ก็ไม่คิดว่า................

“แบงค์ใจเย็นๆ นะ ฟังที่นันท์จะอธิบายก่อน คือ....”
แต่ไม่ทันที่ผมจะได้อธิบายอะไร แบงค์รีบหันหลังให้ผมแล้วเดินออกไปโดยไม่คิดจะสนใจในสิ่งที่ผมจะพูดแม้แต่น้อย

ปกติถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ เขาต้องทำยังไงกัน
ใช่แล้ว ปกติเขาต้องรีบตามไปง้อและอธิบายให้เข้าใจกัน
แต่.......ผมในตอนนี้นั้นไม่สามารถทำเช่นนั้นได้แล้ว
มันเหมือนมึนงงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและหมดแรงที่จะทำอะไรต่อ

จะมีก็เพียงน้ำตาน้ำตาที่มันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

ใจนึงก็รู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น
แต่อีกใจนึงก็กลับเกิดความรู้สึกน้อยใจขึ้นมา
ว่าทำไมแบงค์จึงไม่คิดที่จะสิ่งที่ผมพยายามจะอธิบายเลย

จริงอยู่ผมผิดที่ปิดบังแบงค์เอาไว้
แต่มันก็ใช่ว่าผมจะเจตนาเสียหน่อย ก็แค่ไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นแบบนี้เท่านั้น
อย่างน้อยถ้ายอมหยุดฟังสักนิด ในสิ่งที่ผมอยากจะอธิบาย
แล้วจะตัดสินอย่างไรก็ค่อยว่ากัน

ที่ผ่านมาผมพยายามทำเพื่อแบงค์มาตลอด
ทั้งๆ ที่คิดว่าเราน่าจะเข้าใจ และใจตรงกันได้แล้วแท้ๆ

แล้วทำไม????
ทำไมถึงไม่คิดจะฟังเหตุผลกันบ้าง ???


ทำไม ???


จบคาบเรียนที่ 20

จิ๊บคุง

  • บุคคลทั่วไป
Merry X'Mas ครับ ทุกๆ ท่าน
สบายกันดีมั้ยครับ ห่างหายไปถึง 1 เดือนเต็มๆ อีกแล้ว 555+ (ยังมีหน้ามาหัวเราะกลบเกลื่อน  -*-)


มาช้า แต่ก็ยังมาครับ อิอิ
พอดีช่วงนี้งานหนักขึ้นครับ ขึ้นเยอะกว่าเดิมแบบทวีคูณจริงๆ
งานในส่วนรายวันของตัวเองก็ต้องทำ แถมยังต้องเตรียมตัวสำหรับสอบเลื่อนตำแหน่งอีก
 :hao5: :hao5: เอาน่ะ แต่เพื่ออนาคต สู้ๆ :hao7:

นี่ก็ไปสอบสัมภาษณ์รอบแรกมาแล้ว
ผลคือ ผ่านครับ แต่ยังไม่จบแค่นั้น ยังเหลืออีกรอบนึง คราวนี้สัมภาษณ์โดยเหล่าพี่ๆ ผู้จัดการเขตทั้งหลาย
ถ้าผ่าน ยังเหลือไปเทรนด์งานที่สาขาอื่นอีกรอบ ถ้าผ่านหมดจึงจะได้เลื่อนจริงๆ

หนทางช่างยาวไกลจริงๆ  :a5: :a5:
ส่วนน้องกระดิ่ง รายนี้ก็ขยันมาก ทำโอทีเกือบทุกวัน
ก็เริ่มได้เลื่อนขั้นกับเขาเหมือนกันนะนั่น 555+

เก่งจริงๆ หวานใจเราเนี่ย :L1:

เข้าเรื่องดีกว่า

ในที่สุดปมในส่วนของป้อก็เริ่มเปิดเผยออกมาแล้วว่าทำไมถึงได้หลงนันท์หัวปักหัวปำขนาดนั้น
จะว่าไร้เหตุผลมันก็ได้ จะเรียกว่ามีเหตุผลมันก็ใช่
ก็ความรักนี่เนาะ ก็อย่างที่ป้อว่านั่นล่ะ
"บางครั้งการกระทำที่ไม่สำคัญของเรา มันอาจจะไปจุดประกาย หรือให้ใครอีกคนนึงประทับใจไงครับ"
บอกตรงๆ เลยว่าอันนี้เอามาจากประสบการณ์ตรงของผมเลย 555+
เอามาจากสมัยเรียน ปวช. น่ะครับ

ผมไม่ได้ถูกแกล้งอะไรแบบป้อหรอก แต่พอดีช่วงนั้นแบบกำลังอยู่ในช่วงท้อชีวิตนิดหน่อย
แล้วก็ได้รุ่นน้องคนนึงพูดแบบไม่เชิงให้กำลังใจอะไรหรอกนะ
ก็แค่คำพูดสั้นๆ แค่ว่า "ต่างคนต่างก็มีเหตุผลของตัวเองกันทั้งนั้น"
แค่คำสั้นๆ ของน้องเขามันจุดประกายให้ผมจริงๆ ช่วงนั้นผมก็เลยชอบน้องคนนี้เขาให้
แต่สุดท้ายก็อกหักน่ะครับ 555555555+

ส่วนทางด้านแบงค์ของเรา มารอบนี้อยู่ๆ ก็โหดใส่เสียงั้น
ทำเอานันท์อึ้งไปเลย

เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป นันท์จะง้อและปรับความเข้าใจกับแบงค์ยังไง
แล้วทำไมแบงค์จึงได้โกรธอะไรมากมายขนาดนั้น
แล้วป้อจะมาไม้ไหนอีก

โปรดติดตามตอนต่อไป

ถ้าไม่ติดขัดอะไรก็คงไม่เกินอาทิตย์หน้าครับ
เพราะหลังปีใหม่ผมได้หยุดยาวราวๆ 3 วัน (เยอะสุดละ เท่าที่จะทำได้ 555+)

ติดตามกันด้วยนะครับ ขอบคุณครับ



ปล. มีใครสังเกตบ้าง ว่า มายด์ หายไปหลายตอนแล้ว ???????
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-12-2013 05:02:32 โดย จิ๊บคุง »

ออฟไลน์ Lily teddy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-2
555 นี่มันโหมดละครหลังข่าวเลยค่ะ พระเอกเดินมาข้างหลัง ตัวร้ายเห็นก็เลยแกล้งกอดนางเอกให้พระเอกเข้าใจผิด
แล้วนางเอกก็มัวแต่ตะลึง อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ดูมีพิรุธ พระเอกเลยยิ่งโมโห แล้วก็ไม่ยอมฟังคำอธิบายของนางเอก
ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกยังถามหาเหตุผลอยู่เลยแท้ ๆ แล้วอย่างงี้นายเอกผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างนันท์จะทำยังไงล่ะเนี่ย
สงสัยต้องออกตามหามายด์ที่หายไป(?) หรือปรึกษาพลได้ไหมนะ ตอนนี้นันท์ก็ทั้งงงทั้งน้อยใจจนทำอะไรไม่ถูกด้วยสิ
น่าสงสารนันท์พยายามปฏิเสธให้ชัดเจนแล้วแท้ ๆ แต่ป้อก็ยังดื้อตื้ออยู่นั่น ถึงจะมีความหลังที่ประทับใจแต่มันก็ต้องดูด้วยสิ
ไม่ใช่ว่านันท์ไม่มีใครหรือแบงค์ทำท่าไม่สนใจนันท์ซะเมื่อไหร่ แบบนี้ไม่ได้เข้ามาเพื่อทดสอบความมั่นคงของแบงค์กะนันท์นะเนี่ย
มันเหมือนเข้ามาเพื่อทำให้แบงค์กะนันท์แตกแยกกันมากกว่า ส่วนแบงค์ก็ทำตัวเข้าแผนของป้อมาก ๆ เห็นแค่นี้ถึงกะโกรธไม่ยอมรับฟังอะไรบ้างเลย
ทั้ง ๆ ที่แบงค์ไม่น่าจะเป็นคนไม่มีเหตุผลขนาดนั้น เพราะหวงนันท์ หรือเพราะอีกฝ่ายเป็นป้อกันแน่ 
รอติดตาม และบวก บวกเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนต่อไปจ้า  :pig4: :L2:
แฮะ ๆ Merryไม่ทันซะแล้ว เพราะคนอ่านก็ห่างหายจากเล้าไปร่วมอาทิตย์เหมือนกันค่ะ
งั้นยินดีกะการสอบสัมภาษณ์รอบแรกผ่านก่อนละกันนะคะ ถึงหนทางจะอีกยาวไกล
แต่ขอเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนทำได้สำเร็จ ผ่านฉลุยทุกด่านเลยค่ะ สู้ ๆ 
ถึงคงสู้กำลังใจจากน้องกระดิ่งน้อยหวานใจไม่ได้ก็เถอะ (อิอิ ช่างกล้าเปรียบ) วันนี้มาสั้น ๆ ละกันค่ะ
ยังไงก็ Happy New Year ล่วงหน้านะคะ มีความสุขสมหวังทั้งการงานและความรัก
พบเจอแต่สิ่งดี ๆ ตลอดปีตลอดไปค๊า   :mc2: :mc3:

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
น้องนันท์ ตอนนี้ทำดีมาก ๆ ดีนะที่จำคำพูดเตือนของพลได้แม่น
ถามออกไปตรง ๆ ตอบออกไปตรง ๆ จากความรู้สึกจริง ๆ อย่างนี้แหละดีที่สุดแล้ว
ถึงป้อ จะไม่ยอมเลิกรา ที่จะจีบนันท์ต่อ แต่นันท์ก็สบายใจได้อย่างว่า
เราแสดงความบริสุทธิ์ใจเต็มที่แล้ว จะได้ไม่ต้องมารู้สึกผิดกับทั้งแบงค์และป้อภายหลังอีก
และที่ป้อพูดมาก็ถูกนะ ยังไงนันท์ก็ห้ามความรู้สึกป้อไม่ได้ มีแต่ต้องพิสูจน์ให้ป้อได้เห็น
ว่านันท์กับแบงค์ มั่นคงต่อกันจริง ๆ ไม่มีทางหวั่นไหว สักวันป้อต้องเข้าใจแล้วยอมถอยไปเอง
ที่แท้ ที่ป้อฝังใจกับนันท์ขนาดนี้ เพราะมีความหลังต่อกันนี่เอง แต่ไหง นันท์จำไม่ได้สักนิดอ่ะ
แต่ก็นะ ในอดีตจะยังไง ปัจจุบันก็สำคัญที่สุด ยังไงคนที่นันท์รัก ก็คือแบงค์อยู่ดี
ไม่ชอบการกระทำป้อตอนนี้เลยนะ จู่ ๆ ดึงนันท์เข้าไปกอดเนี่ย ถึงนันท์จะเป็นผู้ชายก็เถอะ
แต่นันท์ก็บอกไปชัดเจนแล้ว ว่ากลัวแบงค์เข้าใจผิด อย่างนี้มันจงใจให้แบงค์เห็นชัด ๆ แย่จริง
ก็คิดอยู่แล้วล่ะ ว่ามาตรงที่นัดกับแบงค์ไว้อย่างนี้ แบงค์มาเจอคงเข้าใจผิดแน่ ๆ แล้วก็จริงซะด้วย
แบงค์เลยมารู้เรื่องป้อเองจนได้  แต่ก็นะ ทำไมแบงค์ไม่ฟังนันท์อธิบายก่อนเลย เราเป็นนันท์ก็คงเสียใจเหมือนกัน
ยิ่งอ่านยิ่งโมโหป้อแฮะ ดีใจมั้ยนั่น ที่ทำให้คนที่ตัวเองบอกว่าชอบ ต้องมาร้องไห้เสียใจอยู่เนี่ย  :m16:
แต่ก็นะ นี่แหละบทพิสูจน์ ถ้าแค่นี้ ยังปรับความเข้าใจกันไม่ได้ ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มเป็นแฟนกันด้วยซ้ำ
ต่อไปเป็นแฟนกันขึ้นมา คงมีเรื่องมาให้พิสูจน์รักแท้อีกเพียบ ถึงตอนนั้น จะผ่านมันไปได้รึเปล่า
หวังว่าแบงค์จะใจเย็นขึ้น มีเหตุผล แล้วยอมฟังคำอธิบายของนันท์บ้าง นะ
..............................................................................................
สู้ ๆ เรื่องเลื่อนตำแหน่งนะจ้ะ ขอให้ได้ดั่งใจหวังน้า ขอบคุณค่า :L1:

จิ๊บคุง

  • บุคคลทั่วไป
คาบเรียนที่ 21

“เลขหมายที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”

ตื๊ด ตื๊ด

“เลขหมายที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”

ตื๊ด ตื๊ด

“เลขหมาย...”

ตื๊ด
ผมกดวางสายลงหลังจากที่ได้ยินเสียงเดิมๆ นั่นมามากกว่า  20 รอบแล้ว
ก่อนจะเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงแล้วเดินไปยังโรงอาหารเพื่อหาข้าวเที่ยงกินด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยจะดีนัก

นี่ก็กินเวลากว่า 3 วันแล้วที่แบงค์ไม่มาเรียน โดยอ้างเหตุผลกับอาจารย์ว่าป่วย
แน่นอนผมรู้ดีว่านั่นไม่ใช่ความจริง และแน่นอนว่าส่วนนึงของความเป็นจริงนั้นมันมีต้นเหตุมาจากผม
หลังจากที่ซื้อข้าวเสร็จผมก็ทิ้งตัวนั่งลงที่โต๊ะทันที ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ เหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก

“นั่งด้วยคนได้มั้ย นันท์”
เสียงใสๆ ของมายด์เอ่ยถามผม ก่อนจะนั่งลงข้างๆ ผมโดยไม่รอให้ผมตอบกลับไป
“ว่าไง ยังติดต่อแบงค์ไม่ได้อีกเหรอ?”
มายด์เอ่ยถามผมด้วยความห่วงใย ผมหันหน้าไปมองมายด์ พร้อมกับส่ายหัวเป็นคำตอบ
ก่อนจะหันกลับมานั่งมองข้าวในจานต่อ
“ช่วงนี้มายด์ก็ยุ่งๆ อยู่กับชมรมด้วย เลยไม่ค่อยได้คุยกับนันท์เท่าไหร่
พอรู้อีกที ก็เกิดปัญหากันซะแล้ว โทษทีนะ ที่ช่วยอะไรไม่ได้”
ผมหันไปส่ายหัวให้กับมายด์
“ไม่เป็นไรหรอก มันเป็นความผิดของนันท์เองน่ะล่ะที่ชะล่าใจ ทำอะไรลงไปโดยไม่คิด”

“แต่ก็ไม่อยากจะเชื่อนะว่าแบงค์จะโกรธได้มากขนาดนั้น เพราะเท่าที่มายด์เห็น และรู้จักแบงค์มา
แบงค์ก็ไม่เคยจะเป็นแบบนี้มาก่อนนะ ออกจะเป็นคนมีเหตุผลด้วยซ้ำ แต่ก็อย่างว่าล่ะ.....”
มายด์นิ่งเงียบไปครู่นึง ผมหันไปเพื่อจะฟังว่ามายด์จะพูดอะไรต่อ

“ความรัก บางครั้งก็ทำให้เรากลายเป็นคนไม่มีเหตุผลไปแบบง่ายๆ โดยที่เราก็ไม่รู้ตัวได้เหมือนกันนะ”
มายด์พูดพร้อมกับยิ้มให้ผม

“แต่ว่า...”
“เอาเถอะ อย่าเพิ่งคิดมากไปนัก”
มายด์ตัดบทเมื่อเห็นว่าผมยังคงทำหน้าไม่สบายใจ

“บางที ตอนนี้แบงค์เองก็อาจจะกำลังว้าวุ่นอยู่เหมือนกัน แต่ยังไม่รู้จะทำยังไงก็เป็นได้
ที่ผ่านมา ก็ดูเหมือนแบงค์จะไม่ค่อยมีใครให้คำปรึกษาเรื่องแบบนี้ด้วยนี่”
มันก็จริงอย่างที่มายด์พูดแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ไม่ใช่ว่าไม่มีใครให้คำปรึกษาแต่ต้องเรียกว่าไม่ปรึกษาใครมากกว่า
เพราะส่วนมากแบงค์เวลามีปัญหาก็มักจะชอบเก็บเงียบไว้คนเดียว
ไม่คุย ไม่พูด ไม่ปรึกษาใคร

ส่วนนึงที่แบงค์เป็นแบบนี้ ก็คงเพราะด้วยตั้งแต่วันที่เมย์............
“จะว่าไป แบงค์เองก็เคยมาขอคำปรึกษากับมายด์เหมือนกันนะ เรื่องนันท์น่ะล่ะ”
ผมหันไปมองมายด์ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น
“เมื่อไหร่ อะไร ยังไง”

“ก็....คงราวๆ ช่วงหลังจากกลับมาจากเข้าค่ายนั่นน่ะล่ะ”
“แล้วแบงค์ขอคำปรึกษาเรื่องอะไร”
ผมพยายามถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“ก็ประมาณว่าสับสนในตัวเองอะไรประมาณนั้น ว่าตัวแบงค์เองเป็นอะไรกันแน่ ทั้งๆ ที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน
แต่อยู่ๆ ก็รู้สึกหึงและหวงนันท์ขึ้นมา และก็สงสัยมาตลอดว่านันท์แอบชอบใคร เหมือนไม่อยากให้นันท์ไปชอบใครคนอื่น
แต่พอได้รู้ว่าคนที่นันท์ชอบเป็นแบงค์เองก็ยิ่งทำให้แบงค์คิดมากพอสมควรว่าจะทำยังไงกับตัวเองต่อไป”

มายด์พยายามพูดพร้อมกับนึกไปพลาง
“มายด์เองก็ชะล่าใจไปด้วยล่ะ เพราะเห็นว่านันท์กับแบงค์ใจตรงกันแล้ว ก็เลยคิดว่าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเองดีกว่า
ไม่อยากเป็นแม่สื่อแม่ชักมากนัก เลยให้กำลังใจแบงค์ไปนิดหน่อย เพราะคิดว่าไม่นานพวกเธอทั้งสองก็จะเข้าใจและลงเอยกันได้เอง
แต่ไม่คาดคิดว่ามันจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเข้ามานี่สิ”
ยิ่งผมได้ฟังมายด์พูด ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก
เห็นได้ชัดเลยว่าแบงค์เครียดมากกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก

มันก็มีหลายคนที่เริ่มค้นพบว่าแท้จริงแล้วตัวเองคือใครเป็นอะไรและต้องการอะไรในช่วงเวลาที่แตกต่างกันไป
บางคนก็รู้ตั้งแต่เด็ก บางคนก็ช่วงเข้าสู่วัยรุ่น บางคนกว่าจะรู้ได้ ก็เมื่อแต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว

บางคนรู้และรับได้ในสิ่งที่ตัวเองเป็น ก็ดีไป

แต่มันก็ไม่ใช่กับทุกคน

เช่นเดียวกับแบงค์ซึ่งก็คงไม่แปลกที่จะเป็นเช่นนั้น
เพราะแบงค์เองไม่เหมือนผม ผมที่รู้ตัวเองว่าเป็นอะไรมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ต่างจากแบงค์ที่กำลังเพิ่งจะได้ค้นพบ และกำลังเริ่มที่จะเรียนรู้ในตัวเอง ว่าแท้จริงแล้วตัวเองเป็นอะไร
เมื่อรวมกับนิสัยชอบคิดมาก จึงไม่แปลกเลยที่แบงค์จะไม่กล้าปรึกษาใครและค่อนข้างเครียดกับเรื่องนี้

ที่ผ่านมา ผมมักจะคิดถึงแต่ตัวเอง คิดแต่เรื่องในมุมมองของตัวเอง
คอยแต่จะโหยหาและต้องการความรักในรูปแบบที่ต้องการจากแบงค์
โดยลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิท จนทำให้ผมมองข้ามมันไป ทั้งๆ ที่ผมน่าจะใส่ใจในเรื่องนี้ให้มากกว่านี้แท้ๆ แต่ผมก็ยังจะ....

“เอาน่ะ อย่างที่บอก อย่าเพิ่งคิดมาก มายด์คิดว่าแบงค์เขาคงสับสนอยู่น่ะ ยิ่งพอมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ด้วย
เลยไม่รู้ว่าตัวเองสมควรจะทำยังไง ให้เวลาแบงค์อีกนิด แต่มายด์เชื่อนะว่าสุดท้ายแล้วยังไงแบงค์ก็จะคิดได้และเข้าใจนันท์เองน่ะล่ะ
ขึ้นชื่อว่าความรัก ถ้าไม่เข้าใจ และเชื่อใจกันมันก็จบ ยิ่งนันท์เองก็บริสุทธิ์ใจกับเรื่องนี้ เพราะงั้นก็ไม่มีทางที่จะเป็นอย่างอื่นไปได้หรอก”

มายด์พยายามพูดให้กำลังใจผม

ใช่ ถ้าไม่เชื่อใจกันมันก็จบ
จริงอยู่ว่าวันนั้นผมเองก็มีอารมณ์น้อยใจพอสมควร แต่ผมก็ไม่โทษแบงค์
ผมเองต่างหากที่จะต้องเป็นฝ่ายพิสูจน์ให้แบงค์เห็นถึงความบริสุทธิ์ใจของผม

ผมไม่ยอมแพ้หรอก อุตส่าห์สู้มาได้ถึงขนาดนี้แล้ว ไม่ยอมให้มันพังลงไปได้หรอก

“ไง เป็นไงบ้าง ได้ข่าวไอแบงค์มันรึยัง”
เสียงห้าวๆ ของพลเอ่ยถามผม ก่อนจะนั่งลงตรงฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหารพร้อมกับตี๋เอ๋อคู่ซี้(หรือเบ๊)ของเขาที่ตอนนี้กำลังกินอมยิ้มอยู่
“ยังเลยอ่ะ ไปไหนก็ไม่รู้ ติดต่อก็ไม่ได้ ที่แน่ๆ ไม่ได้ไปหาพ่อกับแม่แน่นอน เพราะลองโทรไปแกล้งๆ ถามอ้อมๆ ดูแล้ว”
“แล้วไม่ลองไปถามแฝดของมันดูล่ะ น่าจะรู้นิ”
พลเสนอความคิดนั้นออกมา แต่ผมก็ส่ายหน้าให้กับความคิดนั้นทันที

“ลองมาแล้วบาสมันก็ไม่รู้ แถมยังเกือบโดนไอบาสต่อยเข้าให้ด้วยซ้ำ”
“เรื่อง???”
“ไม่รู้อ่ะ แต่เดิมทีบาสมันก็ไม่ชอบนันท์อยู่แล้ว ไม่รู้เพราะอะไร ยิ่งมาเกิดเรื่องแบบนี้ด้วยก็คงถือโอกาสน่ะ
แต่เคราะห์ดีนะ ที่แอลห้ามไว้ทัน ไม่งั้นคงได้มีตาปูดแน่ๆ”

จิ๊บคุง

  • บุคคลทั่วไป
ผมพูดพร้อมกับขยับแว่นให้เข้าที่ พลเองพอได้ยินผมพูดเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไปครู่นึงก่อนจะหันไปแย่งอมยิ้มจากปากตี๋เอ๋อมากินต่อ - -*

“คงเป็นอาการเด็กติดพี่ล่ะมั้ง กลัวโดนแย่งความสำคัญน่ะ”
พลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ทว่าก็ทำให้ผมอึ้งไปพอสมควร
เพราะเท่าที่ผ่านๆ มาผมไม่คิดว่าบาสจะเป็นคนติดพี่อย่างที่พลพูด
“ห๊ะ รู้ได้ไง”
“กูเดา จะไปรู้เหรอ สัส มึงอย่ามาถามหาเหตุผลหรือตรรกะอะไรจากกูนักได้มั้ย กูไม่ใช่นักวิชาการ เกรดกูก็ยังครึ่งผีครึ่งคนอยู่เนี่ย”
ผมเงิบทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้น ในขณะที่มายด์ได้แต่หัวเราะคิกคักๆ มันก็จริงอย่างที่พลบอกว่าอย่าไปถามหาเหตุผลจากเขา - -*

“เอาเหอะ เดี๋ยวมันก็กลับมา ยังไงมันก็ต้องมาเรียน มันจะไปไหนไกลได้”
พลพูดให้กำลังใจผมตามสไตล์ของเขา ผมยิ้มให้กับคำพูดนั้น
“ว่าแต่พลไม่โกรธนันท์เหรอ”
ผมถามพลกลับไป พลมองผมด้วยสายตาสงสัยพร้อมกับขมวดคิ้วก่อนจะส่งอมยิ้มกลับคืนไปให้ตี๋เอ๋อกินต่อ (ไอซกมก)

“โกรธเชี่ยไร ก็กูรู้ความจริงแล้วไงว่าไม่มีไรในก่อไผ่ ที่เหลือก็อยู่ที่ไอแบงค์นู่นที่มันยังไม่ยอมเปิดใจฟัง”
ทันทีที่พลพูดเช่นนั้นออกมา ผมก็รู้สึกซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูก เพราะไม่คิดว่าพลจะพูดอะไรที่มีความคิดแบบนี้ได้
(นี่ชมหรือด่า ????)
“แล้วพี่โจล่ะ ไม่ว่าอะไรมั่ง นี่ก็เหลืออีกแค่ไม่กี่วันจะแข่งแล้วด้วยนี่สิ”
ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงกังวล พลเองก็ดูท่าจะครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน

“พี่โจมันก็ยังไม่รู้ความจริงหรอก มันก็รู้ๆ แค่ว่าไอแบงค์ไม่สบายแค่นั้น
แต่กูก็ไม่รู้ว่าจะโกหกไปได้อีกนานเท่าไหร่ หากไอแบงค์มันยังไม่ยอมกลับมาเนี่ย”
ทันทีที่พลตอบออกมาเช่นนั้น ผมก็มีทีท่าวิตกไปพอสมควร

“เอาน่ะ คิดมากแล้วปิก๊ะจูไม่แข็งนะเว้ย กินข้าวเหอะมึงน่ะ เย็นหมดละนั่น”
พลแซวพร้อมกับชี้มายังจานข้าวของผมที่ถูกทิ้งไว้จนเย็นไปนานแล้ว
แต่ผมก็ยังตักมันขึ้นมากิน เพราะเชื่อว่ายังไง กองทัพย่อมต้องเดินด้วยท้อง (ยังคงตะกละไม่เปลี่ยน - -*)

“แล้วเรื่องของคนที่ชื่อป้อนั่นล่ะ นันท์จะเอายังไงต่อ”
มายด์หันมาถามผม ผมนิ่งเงียบไปครู่นึง ก่อนจะตอบออกไปด้วยสีหน้าเซ็งๆ
“ก็คงไม่ทำไงอ่ะ พูดไปก็ไม่รู้เรื่องกันเปล่าๆ ยิ่งพูดยิ่งปวดหัว เลยกะว่าจะอยู่ห่างๆ เท่าที่จะทำได้
ยังไงตอนนี้ก็เอาเรื่องแบงค์ให้เคลียร์ๆ จบๆ ก่อนดีกว่า ถ้าเคลียร์เรื่องแบงค์จบได้ ป้อก็ไม่ใช่ปัญหา”
มายด์เอามือมาตบลงบนบ่าผมเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ ผมหันไปยิ้มตอบให้กับมายด์


“ทำอะไรกันอยู่เหรอครับ ขอผมนั่งด้วยคนได้มั้ยครับ”
ตายยากจริงๆ คนนี้ พูดยังไม่ทันขาดคำก็มาซะแล้ว
ผมหันไปยังต้นเสียงนั้น ก็พบกับป้อที่ตอนนี้กำลังยืนยิ้มให้ผมอยู่นั่นเอง
ผมเกิดอาการเซ็งขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าป้อ จนแทบอยากจะลุกขึ้นออกจากตรงนี้ทันที

ในขณะที่พลและมายด์ก็มีสีหน้าไม่สบอารมณ์เช่นเดียวกัน

ส่วนตี๋เอ๋อ............ก็ยังคงเอ๋อตามแบบฉบับของเขา - -*

ป้อยังคงยิ้มให้ผมเหมือนทุกครั้ง ดูเหมือนเขาจะไม่รู้ตัวเลยว่าทำอะไรลงไป
ไม่สิ ป้อต้องรู้ตัวนั่นล่ะ และจงใจให้มันเป็นแบบนี้ จึงได้ยิ้มแบบนั้น
“มาทำไมน่ะ”
ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ แต่นั่นก็ดูเหมือนว่าไม่ได้ทำให้ป้อสะทกสะท้านเลย
กลับกันดูเหมือนยิ่งทำให้ป้อยิ้มแย้มแจ่มใสมากขึ้นกว่าเดิม
“ก็มาหานันท์ยังไงล่ะครับ เอ......ว่าแต่แบงค์ไปไหนล่ะครับ”
ทันทีที่ป้อเอ่ยคำถามนั้นขึ้นมาผมก็เหมือนโดนตบหน้าแรงๆ ขึ้นมาทันที
นี่มันจงใจกันชัดๆ เลยนะเนี่ย

“ก็เพราะใครล่ะที่เป็นต้นเหตุ”
ผมไม่เข้าใจป้อเลยจริงๆ ว่าทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย
คิดเหรอว่าทำแบบนี้แล้วจะทำให้ผมหันไปชอบเขาได้

ไม่เลยสักนิด มีแต่ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเกลียดมากขึ้นไปอีก
ทั้งๆ ที่อุตส่าห์คิดว่าจะเป็นเพื่อนได้แท้ๆ ทั้งๆ ที่อุตส่าห์รู้สึกดีด้วย
แต่ทำไมถึงได้ทำกับผมแบบนี้ ทั้งๆ ที่ปากก็บอกว่ารักผม ชอบผม
แต่เพื่อให้ได้ซึ่งสิ่งที่ตัวเองต้องการ ยอมทำทุกอย่างแม้กระทั่งทำร้ายความรู้สึกคนที่ตัวเองรักด้วยอย่างงั้นเหรอ ???
คิดอะไรกันแน่น่ะ

“เฮ้ย ไอหน้าหล่อ”
อยู่ๆ พลก็พูดตัดบทขึ้นมา ผมกับมายด์หันไปมอง
ป้อเองก็เช่นกัน หันไปมองพลด้วยรอยยิ้มประหนึ่งว่า มีอะไรงั้นเหรอ
“กูว่ามึงมาทางไหน มึงกลับไปทางนั้นดีกว่า ก่อนที่กูจะหมดความอดทน”
พลพูดขู่กลับไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แต่ทว่าก็ยังคงไม่ได้ทำให้ป้อสะทกสะท้านอะไรเลยสักนิด
ซ้ำยังทำให้ป้อกระหยิ่มยิ้มย่องมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับยกแขนขึ้นมากอดอกไว้

“หมดความอดทนแล้วไงเหรอครับ จะใช้กำลังเหรอครับ หึหึ ก็คงจะมีแต่วิธีนั้นเท่านั้นล่ะนะ กับคนที่มีดีแค่เรื่องนี้
ชอบใช้กำลัง รังแกข่มเหงคนอื่น”
พลรู้สึกฉุนขึ้นมาทันทีที่ป้อพูดเช่นนั้น ซึ่งมันก็ไม่แปลกที่ป้อจะแอนตี้เรื่องแบบนี้
“มึงหมายความว่าไงวะ ห๊ะ”
พลลุกขึ้นตะคอกถามกลับไปจนคนแถวนั้นเริ่มหันมามอง

“ก็หมายความตามที่พูดนั่นล่ะครับ ถ้ามีสมองสักหน่อยก็คงคิดได้”
ฟุ่บ!!!!!!!
ทันที่ป้อพูดจบ แก้วน้ำของผมก็ลอยไปยังป้อด้วยความเร็วสูงด้วยฝีมือของพล
ทว่าป้อก็หลบได้อย่างหวุดหวิด และก็เป็นเคราะห์ดีที่แก้วน้ำนั้นเป็นพลาสติก และก็ไม่ไปโดนใครด้วย
แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ผู้คนรอบข้างฮือฮาขึ้นมาด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
พลเองตอนนี้ดูท่าจะอารมณ์ไม่ดีสุดๆ แล้วเช่นเดียวกัน เกือบจะลุกออกจากเก้าอี้ไปหาป้อแล้ว
แต่ยังดีที่มีตี๋เอ๋อด้วยดึงชายเสื้อช่วยเตือนสติไว้ได้อยู่บ้าง พลจึงได้แต่กำหมัดไว้แน่น

“ดูท่าว่าองครักษ์จะไม่พอใจสุดๆ งั้นผมว่าผมไปก่อนดีกว่า ยังไม่อยากจะเสียประวัติร่วมไปกับคนแบบนี้
แล้วเราค่อยเจอกันนะครับ นันท์”
ป้อหันมาพูดกับผม

"อ้อ ส่วนคุณ ชื่ออะไรนะ พลงั้นเหรอครับ? ถ้าคิดว่าทำแบบนี้แล้วผมจะกลัว ก็ขอบอกเลยนะครับว่าคิดผิด
ผมเจออะไรมามากกว่านี้เยอะ และสิ่งที่ผมจะต้องเจอต่อไปหลังจากนี้เมื่อเทียบกับสิ่งที่คุณทำ
มันก็แค่เรื่องขี้ปะติ๋วแค่นั้นล่ะครับ ไปล่ะครับ"
ป้อตัดบทพร้อมกับเดินออกไปอย่างไม่รู้สึกผิดอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
ป้อกำลังคิดและจะทำอะไรต่อไปน่ะ
ป้อที่ผมรู้จักในตอนแรกนั้นดูเป็นมิตรและไม่เจ้าเล่ห์แบบนี้นี่

อันไหนคือตัวตนที่แท้จริงของป้อกันแน่ ????????

“ใจเย็นๆ นะนันท์ พลก็ด้วย ควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้หน่อยสิ”
มายด์ตบบ่าผมเบาๆ ก่อนจะหันไปเอ็ดใส่พล ที่ยังคงทำหน้าไม่พอใจอยู่
โอเค ผมเข้าใจว่าตอนนี้ปัญหามันกำลังรุมเร้าเข้ามา
ผมเองก็ต้องนิ่ง และมีสติไว้ให้ได้มากที่สุด


ทั้งๆ ที่ก็คิดว่าเข้าใจ
แต่ทำไม ทำไม

ฮึ่กๆ
ทำไมน้ำตามันต้องไหลด้วยล่ะ ทำไมผมต้องร้องไห้ออกมาเนี่ย
ผมรู้แค่ว่าตอนนี้ผมไม่สามารถกลั้นน้ำตานั้นเอาไว้ได้แล้ว
ทันทีที่มายด์เห็นเช่นนั้น ก็รีบโอบกอดผมเอาไว้ทันที
ผมเองก็หันไปสวมกอดกับมายด์ไว้แน่นโดยไม่สนใจสายตาคนรอบข้างเลยสักนิด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2014 05:28:11 โดย จิ๊บคุง »

จิ๊บคุง

  • บุคคลทั่วไป
“แล้วมันจะผ่านไปนะ นันท์ แล้วอะไรๆ จะดีขึ้น”
มายด์ลูบหลังผมพร้อมกับพูดปลอบโยนผมเบาๆ


แบงค์
ตอนนี้แบงค์อยู่ที่ไหนกันนะ
รู้มั้ย ว่านันท์เป็นห่วงแบงค์มากเลยนะ

ได้โปรด กลับมาสักทีได้มั้ย




..................................................
“เอาล่ะ ยังไงก็กลับไปทบทวนที่บ้านกันอีกรอบด้วยนะ ตรงนี้สำคัญมากๆ อย่าลืมกันล่ะ”
อ. ย้ำเตือนพวกเรา ก่อนที่จะปล่อยให้เราแยกย้ายกันกลับบ้าน
“ให้ไปส่งมั้ย นันท์”
มายด์เดินเข้ามาถามผม ในขณะที่ผมกำลังเก็บหนังสือเข้าใส่กระเป๋า

“ไม่เป็นไรหรอก นันท์ไหว ขอบคุณมากนะ”
ผมเอ่ยขอบคุณพร้อมกับยิ้มกลับไป แต่ดูมายด์จะไม่ค่อยเชื่อในคำพูดนั้นของผมเท่าไหร่หรอก
แต่ผมก็ไม่อยากให้เธอต้องลำบากเรื่องผมมากนัก สุดท้ายมายด์จึงยอมให้ผมกลับคนเดียว

“งั้นมีอะไรก็โทรหามายด์ได้ตลอดเลยนะ อ้อ ถึงบ้านแล้วก็โทรหาด้วยละ กลับบ้านดีๆ ล่ะ”
ผมโบกมือลาพร้อมส่งยิ้มให้เมื่อเห็นมายด์เดินเข้าไปยังรถไฟฟ้า
เมื่อเห็นว่าขบวนรถออกไปแล้ว ผมจึงหันหลังเดินไปอีกฝั่ง เพื่อรอรถไฟฟ้าเช่นเดียวกัน

ผมต้องเข้มแข็งเข้าไว้ ต้องไม่หลงไปตามเกมส์ของป้อ
ผมจะต้องพิสูจน์ให้ป้อเห็นได้ว่าผมมั่นคงต่อแบงค์แค่ไหน

แต่ผมคนเดียวคงทำไม่สำเร็จแน่ๆ ถ้าตราบใดที่แบงค์ยังไม่เข้าใจ
ซึ่งถ้าแบงค์ไม่เข้าใจ และไม่รับฟังผม นั่นก็เท่ากับว่าทุกอย่างจะเข้าแผนของป้อหมด
ทันทีที่ผมคิดเช่นนั้น ผมก็เกิดอาการจิตตกขึ้นมาทันที

เฮ้ออออออ ไม่น่าเลยไอนันท์เอ้ย
เพราะความชะล่าใจแท้ๆ ทำให้เรื่องที่ดูไม่เป็นเรื่อง กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาซะได้
นี่ถ้าฉุกใจคิดขึ้นมาได้บ้าง มองอะไรให้กว้างมากกว่าความรู้สึกของตัวเอง
เรื่องมันก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก

แต่เอาเถอะ เรื่องมันก็เกิดขึ้นไปแล้ว กลับไปแก้ไขอะไรก็ไม่ได้
เพราะงั้นจะมัวเอาแต่น้อยใจ ท้อแท้ไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นมาแน่

คิดในแง่เข้าไว้ แง่ดี แง่ดี โอมมมมมม แง่ดี

ในขณะที่ผมกำลังสะกดจิตตัวเองอยู่นั้นเอง
เสียงเรียกเข้ามือถือของผมก็ดังขึ้น ผมรีบล้วงมันออกมาจากกระเป๋าทันที
เพราะผมรู้ว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา เพราะผมเป็นคนตั้งค่าเสียงนั้นไว้เอง

แล้วมันก็ใช่จริงๆ ด้วย

“แบงค์!!!”
ผมอุทานชื่อนั้นออกมาทันทีที่เห็นชื่อนั้นบนหน้าจอมือถือจนคนรอบข้างหันมามอง
แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้น ผมรีบกดรับสายนั้นทันทีอย่างไม่ลังเล

“แบงค์ ฮัลโหลแบงค์ อยู่ไหนอ่ะ”
ผมรีบเอ่ยถามทันที แต่ทว่าสิ่งที่ผมได้ยินจากอีกฝั่ง ก็มีแต่ความเงียบงัน


“แบงค์ นันท์ขอโทษนะ นันท์ๆ นันท์ ไม่ได้ตั้งใจนะ นันท์”
ผมพยายามที่จะอธิบาย แต่ทว่าลิ้นของผม อยู่ๆ ก็เหมือนเกิดอาการพันกันจนพูดไม่ออกซะงั้น

“นันท์”
ในที่สุดปลายสายอีกฝั่งก็ตอบกลับมาเสียที
ผมรู้สึกดีใจมากเลยที่ได้ยินเสียงนั้น เสียงที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี
เสียงที่ผมต้องการได้ยินมากที่สุดในเวลานี้

“แบงค์ ตอนนี้อยู่ที่ไหนอ่ะ นันท์เป็นห่วงมากเลยนะ”
ผมพยายามถาม ปลายสายเงียบไปครู่นึง

“ตอนนี้อยู่เชียงใหม่น่ะ”


เชียงใหม่!!!!!!


ที่นั้นมัน........


เมย์!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!


จบคาบเรียนที่  21
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2014 05:39:48 โดย จิ๊บคุง »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด