แสงไฟในห้องยังสว่างอยู่ ชายหนุ่มยกมือเคาะหน้าประตูเบาๆ สามครั้ง ใช้เวลารอเกือบนาทีกว่าที่ประตูบานนั้นจะเปิดออก ใบหน้าซีดเผือดของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าทำให้อดใจหายไม่ได้
“หมอเป็นอะไรหรือเปล่าครับ หน้าซีดจัง”
คุณหมอตัวเล็กพยายามปั้นยิ้มที่ดูเป็นธรรมชาติที่สุด “ไม่เป็นไรครับ ผมคงนอนไม่ค่อยหลับ”
วรทย์ไม่รู้ตักสักนิดว่าตัวเองเป็นคนที่โกหกได้แย่ที่สุด คิมหันต์ยอมเสียมารยาทชายหนุ่มแทรกกายเข้ามาในห้องโดยไม่ขออนุญาตจากเจ้าของห้อง หนุ่มตัวเล็กเงยหน้ามองด้วยความงงงวยแต่ก็ยอมขยับหลีกทางให้
“หมอคีย์มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ผมเห็นรถของไร่เคียงฟ้าเลยตามมาดู มีใครทำอะไรหมอหรือเปล่าครับ”
ตาหวานหลบวูบ เขาไม่อาจบอกความจริงได้มันน่าอายจนเกินกว่าจะพูดให้ใครฟัง แค่คนที่ไร่เคียงฟ้าเขาก็อายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีแล้ว ถึงแม้ไอ้บ้านั่นจะไม่ได้ทำอะไรเขาแต่การโดนลูบไล้ เล้าโลมจนกระทั่งได้ปลดปล่อยมันน่าอายที่สุด เพียงแค่คิดผิวหน้าก็ร้อนวูบวาบราวกับว่าเนื้อตัวโดนมือหยาบกร้านนั่นสัมผัส มือเล็กยกมือขึ้นกอดตัวเองบรรเทาอาการสั่นเทา
“หมอเป็นอะไร หนาวหรือครับ”
“เอ่อ...ครับ คืนนี้อากาศค่อนข้างเย็น” เขาโกหกอีกแล้ว วรทย์ขอโทษเพื่อนร่วมสายงานในใจ
“ผมว่าหมอนอนพักสักหน่อยดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมลางานเพิ่มให้”
ร่างสูงเข้าประคองร่างเล็กลงบนเตียงนุ่ม ช่วยยกขาขึ้นวางบนเตียงพลางคลี่ผ้าห่มคลุมให้จนถึงระดับอก พลางยกมือลูบที่เส้นผมสีน้ำตาลเข้มอ่อนนุ่ม
“นอนนะครับ จะได้หายไวๆ”
“ผมไม่ใช่เด็กนะหมอคีย์” วรทย์พูดยิ้มๆ ไม่ได้นึกรังเกียจมืออ่อนโยนบนศีรษะตัวเอง เปลือกตาบางปิดทับดวงตาสีน้ำตาลเหมือนกวางตัวน้อย
“แต่คุณเด็กกว่าผม”
คิมหันต์ถอยตัวห่างจากเตียงขนาดสามฟุตครึ่ง เขาต้องห้ามใจตัวเองไม่ให้ก้มลงไปจูบที่หน้าผากมน เขารอจนกระทั่งแผ่นอกบางสะท้อนขึ้นลงเป็นจังหวะ เขาปิดไฟ และออกจากห้องโดยไม่ลืมกดล็อกจากด้านใน
คุณหมอหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขารู้ว่าทั้งวรทย์และอาณกรโกหกเขา วรทย์ไม่รู้หรอกว่าเขาสังเกตเห็นชุดนอนลายตารางหมากฮ็อตในตะกร้ามันเปื้อนดินและคราบอะไรบางอย่าง ต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอนแต่ไม่มีใครบอกความจริงกับเขาสักคน แม้แต่ตัวของวรทย์เองก็เลือกที่จะปิดบังเขา หัวคิ้วหนาขมวดมุ่นแม้จะอยากรู้มากแค่ไหนในเมื่อวรทย์ไม่เต็มใจที่บอกเขา คาดคั้นไปก็รังแต่จะผิดใจกันแต่กับอีกคนเขาไม่จำเป็นต้องรักษาน้ำใจ อาณกรไม่มีสิทธิ์จะปิดบังความจริงกับเขา...
“วันนี้พ่อเสือจะมารับหนูหรือเปล่าฮะ”
“วันนี้อาจะมารับนะ พ่อเสือต้องคุมตัดปาล์ม”
เจ้าตาใสทำหน้าหงอย จนผู้เป็นอาต้องยกมือลูบหัวทุยเบาๆ “เดี๋ยวเสร็จงานเมื่อไรอาจะให้พ่อเสือมารับมาส่งทุกวันเลย โอเคไหม”
พิกเร็ตพยักหน้าหงึก “หนูไปเรียนก่อนนะ”
“ตั้งใจเรียนนะลูก”
อาณกรมองร่างเล็กของหลานชายที่วิ่งตามกิ่งแก้วไป รอให้เจ้าตัวดีทั้งสองเข้าโรงเรียนไปอย่างปลอดภัยแล้วจึงค่อยกลับมาที่รถกระบะของตัวเอง มือเล็กยื่นไปที่ประตูรถแต่ยังไม่ทันจะได้เปิดข้อมือก็ถูกคว้าไว้เสียก่อน ใบหน้าขาวเงยขึ้นมองเจ้าของมือแกร่งทันทีกลิ่นน้ำหมอคุ้นลอยอวลอยู่ใกล้ๆ หมอคิมหันต์
“หมอคีย์”
“ใช่ผมเอง” อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แววตาฉายชัดถึงความไม่พอใจ “ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณ”
“แต่ผมไม่มี” อาณกรกระตุกมือให้หลุดจากการเกาะกุม เขาไม่ใช่พวกตัวเล็กแต่ไร้เรี่ยวแรงทว่ากลับไม่มีปัญหาทำให้อีกฝ่ายปล่อยมือได้ ซ้ำยังบีบแน่นกว่าเดิมอีกด้วย
“แต่ผมมี เมื่อคืนคุณพาตัวหมอมะรุมไปที่ไหนมา”
“ก็บอกว่าไม่ได้ไปไหนไง”
“ผมไม่เชื่อ เขาบอกผมเองว่าคุณพาเขาไป”
“ไม่ใช่ผมนะ!”
คิมหันต์ยกยิ้มมุมปาก “หมายความว่าหมอมะรุมออกไปข้างนอกมาจริงๆ ซินะ”
คนตัวเล็กกว่าอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ขาดนัก เขาหลงกลกับอุบายเล็กๆ น้อยๆ จนได้ มือเล็กพยายามบิดหนีแต่ยิ่งขัดขืนก็ยิ่งเจ็บ แถมวันนี้เขาไม่มีปืนคอยช่วยเหมือนเมื่อคืนแล้วด้วย
“คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ ถ้าคุณอยากรู้อะไรก็ไปถามหมอมะรุมเองจะดีกว่า”
“แต่ผมอยากรู้จากคุณมากกว่า ถ้าไม่อยากให้คนสนใจมากกว่านี้ก็บอกผมมาซะดีๆ”
อาณกรเหลือบตามองรอบๆ ตัว ที่คิมหันต์พูดไม่ได้เกินจริง เพราะจุดที่ยื้ดยุดกันอยู่มันหน้าโรงเรียนอนุบาลผู้ปกครองเด็กๆ ต่างหันมองด้วยความสนใจใคร่รู้ หนุ่มตัวเล็กเม้มปากแน่นเขาไม่มีทางพูดความจริงแน่ๆ แต่การเป็นจุดสนใจก็ไม่ใช่เรื่องดี
“ไปคุยกันที่อื่น”
หมอหนุ่มตัวสูงหรี่ตามองอย่างไม่ไว้ใจ “ไปรถผม รถคุณจอดไว้ที่นี่แหล่ะเก่าขนาดนี้ไม่มีโจรอยากได้หรอก”
โปรดติดตามตอนต่อไป