- 11 -
กว่าจะรู้ตัวอีกทีท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยงในยามบ่ายคล้อย เคนบึ่งรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจข้ามเขตมหาวิทยาลัยไปยังอีกฝั่งของมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นย่านที่เต็มไปด้วยที่พักอาศัยของเหล่านักศึกษา อาคารหลังเล็กใหญ่เบียดเสียดกันอยู่ในพื้นที่จำกัด ถนนเส้นเล็กๆที่ตัดเลาะไปเป็นซอกซอยทำให้เคนต้องชะลอความเร็ว ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่หน้าหอพักแห่งหนึ่งที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี ร่างสูงถอนหายใจเบาๆก่อนจะนำรถเข้าไปจอดในที่จอดรถใต้หอพัก ดวงตาคมสอดส่ายสายตา เขาเห็นรถคันเล็กสีแดงสดของนิดจอดอยู่ในที่จอดรถก็ยิ้มก่อนจะกดโทรศัพท์หาเบอร์โทรออก
“นิดเหรอ.....พี่อยู่ข้างล่างหอ...ขึ้นไปหาได้ไหมครับ” ชายหนุ่มพูดเสียงอ่อน ก่อนริมฝีปากได้รูปจะคลี่เป็นรอยยิ้ม เขาได้รับอนุญาตจากแฟนสาวให้ขึ้นไปหาบนห้องได้ ถึงจะหวั่นใจเล็กๆเพราะน้ำเสียงที่ตอบกลับมานั้นฟังดูไม่พอใจสักเท่าไร แต่ร่างสูงใหญ่ก็พาหัวใจสั่นๆก้าวไปพร้อมกับช่วงขายาวก้าวขึ้นไปด้านบน บันไดขั้นเล็กๆ ของหอพักสีชมพูหวานสไตล์ผู้หญิงที่ผู้ที่พักอาศัยส่วนใหญ่เป็นสาวๆจากหลายๆคณะนั้นใช้เวลาไม่กี่อึดใจก็ถึงหน้าห้องพักของแฟนสาว
...ก๊อกๆ...
เสียงมือแกร่งเคาะเบาๆลงบนบานประตู ได้ยินเสียงฝีเท้าเก้ามาปลดล็อคและเปิดประตูให้ ร่างเล็กของนิดอยู่ในชุดเดรสสั้นกับกางเกงยีนส์ขาสั้นรวบผมดูสบายๆ แต่ใบหน้านั้นกลับงอง้ำ ดูท่าว่าจะยังไม่หายงอนจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
“คิ้วขมวดแล้วครับ....” เคนเห็นหน้าอีกฝ่ายเข้าก็ใจแป้วอยู่ใช่ย่อยแต่ก็พยายามจะยิ้มสู้ ยกปลายนิ้วแตะเบาๆระหว่างคิ้วของอีกฝ่าย แต่หญิงสาวกลับปัดมือของเคนไปอีกทาง
“พี่เคนมีอะไรเหรอคะ...นิดไม่ค่อยว่างด้วยวันนี้ นัดพวกต่ายเอาไว้ว่าจะไปดูของกัน”
“อ่า...นิด...จะออกไปไหนเหรอ? ให้พี่ไปส่งไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวนิดจะขับรถออกไปรับต่าย”
“อ่า....เหรอ...ไปดูของแล้วจะไปไหนกันต่อหรือเปล่า” เคนถามเสียงแหบ คำตอบของอีกฝ่ายทำให้เขาไม่รู้จะถามอะไรต่อ
“ก็คงจะไปดูหนังค่ะ... พี่เคนล่ะคะ มาทำไม ไม่มีธุระอะไรกับพวกที่ชมรมแล้วเหรอคะ”
“เอ่อ เดี๋ยวพี่จะไปช่วยเพื่อนเก็บของน่ะ เลยแวะมาหาเผื่อว่านิดอยากจะออกไปข้างนอกด้วยกัน”
“แต่ก็ต้องแวะไปที่ชมรมก่อนอยู่ดี...พี่เคนไปทำงานที่ชมรมเถอะค่ะ นิดไม่ได้สำคัญขนาดนั้น” เด็กสาวยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆหากแต่ถ้อยคำนั้นเสียดแทงเข้ามาอยู่เนืองๆ
“โธ่ นิด...ยังโกรธพี่อยู่เหรอครับ ไม่เอาน่านะ เรื่องของชมรมก็เรื่องนึง เรื่องของแฟนพี่ก็อีกเรื่องนึง ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่ากันหรอก พี่ก็ให้ความสำคัญเท่าๆกันนั่นล่ะ” เคนยิ้มกว้าง แต่มันเป็นยิ้มแห้งๆ
“แต่เมื่อคืนพี่เคนก็ขึ้นเสียงใส่นิดเพราะ...ยัย...เอ่อ...นายคนนั้น” เด็กสาวเบือนหน้าไปอีกทางท่าทางยังคงขุ่นเคืองไปน้อยกับท่าทีปกป้องของคนรักที่มีต่อผู้ชายที่แต่งเป็นผู้หญิงท่าทางสะดีดสะดิ้งบนเวทีคนนั้น เคนหรี่ตาลงเล็กน้อย พิจารณาท่าทีของเด็กสาวดูท่าแล้วเขาคงไม่สามารถแก้ไขความฝังใจของอีกฝ่ายได้ง่ายๆเป็นแน่
“ขอโทษ พี่คงจะใช้น้ำเสียงผิดไป...แต่พี่ไม่อยากให้นิดเข้าใจพี่ผิดนะ” มือแกร่งยื่นไปจับมือของอีกฝ่ายหลวมๆ “ไม่มีผู้ชายคนไหนอยากให้แฟนของตัวเองเข้าใจผิดหรอก...”ดวงตาคมสบตามองกับแฟนสาวท่าทีออดอ้อนในแบบที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นมากนัก “พี่ขอโทษนะครับนิด...ยกโทษให้พี่นะครับ”
“.................” เด็กสาวไม่ได้ตอบ มือเรียวยกขึ้นแตะใบหน้าของอีกฝ่ายเบาๆ ยังเห็นพลาสเตอร์ปิดแผลอยู่ที่ปลายคางของร่างสูง “เมื่อคืน นิดทำพี่เป็นแผลเหรอคะ เจ็บหรือเปล่า...นิดขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร ไม่ได้เจ็บอะไรมากหรอก พี่ผิด ก็สมควรแล้ว” เคนตอบพลางยิ้มจับมือของแฟนสาวเอาไว้หลวมๆ
“พี่เคนทำแผลเองเหรอคะ... ”
“เปล่าหรอก จู...เอ่อ...ช่างมันเถอะ แผลแค่นี้พี่ไม่เป็นอะไรมากหรอก...” ชายหนุ่มรีบตัดบทเขาเกือบจะหลุดปากบอกออกไปแล้วว่า จูนเป็นคนทำแผลให้ ไม่อย่างนั้นนิดคงจะไม่สบายใจอีก และคงจะโกรธเขาไปมากกว่านี้อีกแน่ๆ
ดวงตากลมโตของนิดมองหน้าของร่างสูงอย่างพิจารณาก่อนจะถอนหายใจออกมา มือเรียวดึงมืออีกฝ่ายขึ้นมากุมเอาไว้ด้วยสองมือเล็กดวงตาหลุบลงต่ำ
“พี่เคน...นิด...เองก็ต้องขอโทษพี่เคนด้วยเมื่อคืนนิดก็ดูจะไร้เหตุผลไปหน่อย...นิดแค่อยากให้พี่เคนเข้าใจนิดด้วยว่าคงไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากเห็นแฟนของตัวเองไป...เอ่อ...จูบกับใครคนอื่นต่อหน้าตัวเองต่อหน้าคนอื่น...โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าจะทำกับใครที่ออกจะ....ผิดไปจากธรรมดาที่ควรจะเป็น”
ในน้ำเสียงของนิดนั้นยังแฝงอารมณ์ขุ่นมัวแต่นับว่าดีกว่าที่เคนจินตนาการเอาไว้หลายเท่าตัว เขาพอรู้ว่าแฟนของเขาเป็นหญิงสาวที่ค่อนข้างขี้หึง เธอมักคอยถามจุกจิกในบางเรื่องที่เขาไม่อยากจะตอบแต่เข้าใจดีเพราะผู้หญิงหลายคนก็เป็นแบบนี้เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรเท่าไรนัก เรื่องไหนตอบได้เขาก็ตอบตอบไม่ได้ และเลี่ยงได้ก็จะเปลี่ยนเรื่องไปเสีย แต่ที่ผ่านๆมานิดไม่เคยแสดงท่าทีมากมายขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าที่ผ่านๆมาเขาไม่ใช่ผู้ชายแบบที่คบกับใครหลายคนในเวลาเดียวกันจึงไม่เคยทำให้นิดต้องระแคะระคาย แต่เขาก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่านิดจะหึงที่เขาจูบผู้ชายอีกคน...เพราะสำหรับเขาแล้วนอกเหนือจากการแสดงมันก็คือการแกล้งกันขำๆเท่านั้น ไม่คิดว่าจะมีคนไม่ขำถึงสองคนแบบนี้
“ถ้าอย่างนั้น...พี่จูบนิดตอนนี้ได้ใช่ไหม” ด้วยนึกสนุกขึ้นมาอีกจึงได้หยอดมุกหยอกร่างเล็กไปเช่นนั้นร่างสูงก้มลงมาหมายจะฉวยชิงเอาสัมผัสนิ่มจากข้างแก้มของเด็กสาว
“พี่เคน ทะลึ่งละ....เดี๋ยวนิดจะออกไปหาเพื่อนข้างนอกนะ...” ถึงถ้อยคำจะต่อว่าแต่อย่างน้อยบนใบหน้านั้นก็มีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง
“ยิ้มแล้วแสดงว่าอารมณ์ดีแล้ว....”เคนแหย่เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายนิดยิ้มน้อยๆก่อนจะบ่ายหน้าไปอีกทาง
ร่างเล็กเดินไปหยิบกระเป๋าถือกับกุญแจห้องและกุญแจรถจากโต๊ะเครื่องแป้ง เคนมองสำรวจเล็กน้อย ในหัวนึกเปรียบเทียบกับห้องนอนของใครบางคนที่เขาไปขลุกอยู่ด้วยเมื่อคืน ห้องของนิดแม้จะดูเป็นสีชมพูหวานไปเสียทุกอย่างแต่ไม่ได้มีตุ๊กตาขนฟูๆวางเรียงรายในห้องเหมือนกับห้องของจูน บนโต๊ะเครื่องแป้งมีของใช้จุกจิกกับกล่องใส่เครื่องสำอางกล่องใหญ่ หนังสือเรียนวางเรียงไว้อีกทางคู่กับนิตยสารแฟชั่นและข่าวซุบซิบดาราซึ่งก็เป็นเหมือนห้องของหญิงสาวทั่วๆไปที่ไม่ได้แสดงออกถึงความหลงใหลในอะไรบางอย่างอย่างชัดเจน เคนเผลอยิ้มออกมาน้อยๆยิ่งเมื่อมองไปบนโต๊ะเครื่องแป้งแล้วยังเห็นรูปคู่ที่พวกเขาถ่ายด้วยกันเมื่อคราวเขาตามกลุ่มของนิดและเพื่อนไปเที่ยวเมื่อคราวก่อนติดอยู่กับกระจกบนโต๊ะเครื่องแป้ง
“อามรมณ์ดี แต่นิดต้องไปแล้ว พวกต่ายรออยู่...”
“ให้พี่ขับรถไปส่งไหม แล้วเดี๋ยวพี่ขับรถไปรับ” เคนรีบเสนอตัวอีกครั้งในใจเหมือนมีหวังว่าจะได้รับโอกาสจากแฟนสาว คำตอบที่ได้รับคือกุญแจรถที่อีกฝ่ายเดินเอามายัดใส่มือให้ พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆบนใบหน้าเพียงแค่นี้ก็ทำให้หายใจทั่วท้องได้แล้ว
.... อย่างน้อย ตอนนี้คงยังไม่คิดจะถีบส่งกูไปไหนล่ะมั้ง..... ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาเล็กน้อยเมื่อทั้งคู่เดินลงมาถึงลานจอดรถ ยังเหลือเวลาพอที่จะขับรถไปส่งนิดในเมืองแล้วกลับมาช่วยพวกโชติเก็บของ เขาบอกให้นิดรอสักครู่ก่อนวิ่งไปคว้าถุงใส่เสื้อผ้าที่ซักตากเรียบร้อยแล้วของจูนเดินกลับมาที่รถ
“เอาล่ะ ไปที่ห้างในเมืองใช่ไหม...”
“ค่ะ นิดอาจจะดูหนังกับพวกต่ายด้วย...ตอนแรกว่าจะไปดูกันแก้เซ็งน่ะ”
“ขอโทษนะที่พี่ทำให้นิดอารมณ์เสีย...” ชายหนุ่มเอ่ยเบาๆ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ยิน ดวงตาเหลือบไปเห็นถุงเสื้อผ้าที่วางอยู่ที่เบาะหลังและมันไม่ใช่ของเธอแน่
“ถุงนั่นของพี่เคนเหรอคะ”
“ของที่ชมรมน่ะ ตอนแรกจะเอาไปใส่บนเวทีแล้วใส่ไม่ได้ พี่เลยจะเอาไปคืน” เคนโกหกหน้าตาย รู้ดีว่าหากเอ่ยชื่อจูนขึ้นมาอีกคงเป็นเรื่องอีกแน่ๆ
“เหรอคะ...เราไปกันเถอะค่ะ ต้องไปรับพวกต่ายอีก เดี๋ยวไม่ทันดูหนังกันพอดี”
“ครับๆ เจ้าหญิง ...ตามแต่จะบัญชาเลยครับ” เคนไม่วายหยอกล้อให้เด็กสาวหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะพารถสีแดงสดเคลื่อนตัวออกจากบริเวณหอพักไป
ระหว่างทางที่จะไปถึงห้างในตัวเมือง เคนเหมือนถูกกลุ่มเพื่อนของนิดต่อว่าเล็กๆกับการกระทำเมื่อคืน ทั้งที่รู้ว่าผู้หญิงพวกนี้ไม่ได้รู้ที่มาที่ไป และไม่ได้รู้จักเขาและจูนเลยแม้แต่น้อย แต่ก็อดที่จะรู้สึกไม่พอใจเล็กๆไม่ได้ ทำให้พอจะรู้แล้วว่ากลุ่มเพื่อนนั้นมีอิทธิพลต่อแฟนสาวของเขาแค่ไหน นิดถึงได้แต่หัวเราะเบาๆตลอดทางแบบนั้น
“พวกผู้หญิงนี่ก็.....เฮ้อ....”
เคนถอนหายใจยาวพลางหักพวงมาลัยเลี้ยวรถหวังจะกลับไปให้ทันช่วยพวก โชติและยุทธ์เก็บของที่ชมรม ตอนนี้เขาคงจะรู้สึกสบายใจกว่าหากได้พูดคุยกับคนที่อย่างน้อยก็สามารถพูดคุยและอยู่ได้โดยที่ไม่รู้สึกอึดอัดใจ ถนนหลวงทางตรงมุ่งกลับสู่มหาวิทยาลัย สองข้างทางคลาคล่ำไปด้วยรถเคนค่อยพารถสีแดงของนิดแทรกผ่านการจราจรไปเรื่อย ตาเหลือบมองเห็นถุงเสื้อที่ตั้งใจว่าจะนำไปคืนเจ้าของในใจพาลคิดไปว่าถ้าได้นำไปส่งคืนให้แล้วจะได้รับเสียงตอบรับกลับมาว่าอย่างไร
“..... เออ.....ก็คิดอะไรแปลกๆนะเรา” เคนหัวเราะเบาๆก่อนจะกดคันเร่งลงไปอีกเล็กน้อย รถสีแดงคันเล็กพุ่งฉิวไปตามเส้นทางมุ่งหน้าสู่มหาวิทยาลัย
.........................................
รถสีแดงคันเล็กแล่นเข้าไปจอดตรงใต้ร่มไม้หน้าตึกของห้องชมรมตามหลังรถสีขาวของยุทธ์เข้ามาแบบติดๆ ตรงตามเวลานัดพอดี เคนจอดรถเขาเหลือบไปเห็นว่านอกจากยุทธ์แล้วยังมีโชติและจูนติดสอยห้อยตามมาด้วย นี่ยุทธ์คงไล่รับกันมาทีละคนเป็นแน่ ชายหนุ่มเหลือบมองที่กระจกมองหลังเห็นร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มที่ทำให้เขาคิดมากเมื่อคืนนี้ จูนยืนอยู่ข้างรถพร้อมกับยุทธ์ ยังคงพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนิทสนมเหมือนเคยเห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
....ความจริง มันก็คงไม่ได้มีอะไร ไม่ใช่รึไง... “พี่เคน....เมื่อเช้าจะกลับทำไมไม่เห็นปลุกอ่ะ...จะได้ไปหาอะไรกินกันก่อน...” ทันทีที่เห็นเคนดับเครื่องยนต์แล้วออกมาจากรถ ร่างสูงโปร่งของจูนก็เดินตรงเข้ามาหาทันที
“ก็...เอ่อ...นึกได้ว่ามีธุระแล้วก็...เอ่อ...ก็เห็นแกนอน พี่ไม่อยากปลุก” ท้ายเสียงของเคนนั้นเบาลงไปจนแทบไม่ได้ยินเสียงจนแม้แต่เจ้าตัวเองยังแปลกใจ จูนได้แต่มองหน้าของอีกฝ่ายด้วยความสงสัยแต่ก่อนที่จะได้ถามอะไรออกมาเสียงของยุทธ์ก็ดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมกับช่วงแขนที่สวมกอดจูนจากทางด้านหลัง
“คุยอะไรกัน...เรื่องที่ไอ้เคนมันหนีกลับตอนเช้าน่ะเหรอ ....ทำอย่างกับพวกได้แล้วทิ้งอย่างนั้นล่ะ”
“พี่ยุทธ์! พูดอะไรแบบนั้นอ่ะ...” จูนโวยลั่นทันทีใบหน้าแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“อ้าว...ก็นึกว่าไปปรับความเข้าใจแล้วก็...ปล่อยให้มันเลยตามเลย” ยุทธ์ยังไม่วายกวนประสาทด้วยคำพูดสองแง่สามง่ามในสำเนียงยียวน ท่าทางของยุทธ์ทำให้เคนขมวดคิ้วเล็กน้อย
.... นี่เล่าให้ไอ้ยุทธ์ฟังด้วยเหรอ...
....เผาอะไรกูไปบ้างวะเนี่ย...... . “ไอ้ยุทธ์พอเลยมึง คนเขาไม่ได้คิดแต่เรื่องใต้สะดือแบบมึงได้ทุกวันหรอกนะ” เคนพูดแล้วยื่นมือใหญ่ไปล็อคคอของยุทธ์ให้ถอยออกห่างจากจูน “นับวันยิ่งปากหมานะมึง”พูดพลางยิ้มเย็น เขาไม่อยากได้ยินยุทธ์พ่นคำอะไรแปลกๆออกมาอีกด้วยรู้ดีว่าคำเหล่านั้นจะแสลงหูจูนอยู่ไม่น้อย
“เอ้าเฮ้ย....พวกมึง มาช่วยกันหน่อยไม่ได้รึไงวะ ทางนี้กำลังต้องการแรงงานนะเว้ย” โชติรีบกวักมือเรียก เมื่อต้องยกกล่องอุปกรณ์ขนาดใหญ่ออกจากหลังรถของยุทธ์
“เฮ้ย พี่โชติไม่ต้องเดี๋ยวผมยกเอง” แต่จูนรีบปราดเข้ามาช่วยยกทันที สองแขนถลกแขนเสื้อขึ้นเหนือหัวไหล่ ก่อนจะสอดมือเข้าไปรับกล่องมาจากโชติ “ฮึบ!” แต่เพราะน้ำหนักของกล่องทำให้จูนต้องเดินเอนตัวไปทางด้านหลังเล็กน้อยเพื่อรักษาสมดุล
“เฮ้ย จูน แกไหวเหรอนั่นน่ะ...ให้ช่วยป่ะ” เห็นท่าทางเก้ๆกังๆของเด็กหนุ่มร่างสูงทำให้เคนอดเป็นห่วงไม่ได้
“ไม่เป็นไรพี่ ผมไหวๆ......” แต่จูนก็ปฏิเสธความช่วยเหลือ
“อวดเก่งอีกละ....เดี๋ยวตกลงมาของพังกูไม่ช่วยออกเงินซ่อมนะเว้ย” เคนบ่นเสียงดัง รู้สึกหงุดหงิดเล็กๆที่ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธความหวังดี ดวงตาคมมองเด็กหนุ่มค่อยๆเดินตรงไปที่บันไดจะขึ้นไปที่ชั้นสองซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องชมรมการแสดง อันที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากให้ทั้งคนทั้งของตกลงมาเหมือนกัน
“เอาล่ะ....” จูนตั้งท่าก้าวขึ้นไปทีละก้าว แต่เพราะความสูงของกล่อง กับฟ้าที่เริ่มมืดทำให้มองไม่ค่อยเห็นบันไดที่อยู่ด้านหน้า ปลายเท้าก้าวหมายจะแตะให้ได้อีกขั้นของบันไดแต่ดูเหมือนว่าจะก้าวไปไม่ถึง ร่างสูงโปร่งถึงกับเอนไปด้านหลัง “เหวอ....
“ จูนร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อแรงโน้มถ่วงกำลังจะฉุดเขาให้ตกลงจากบันได เด็กหนุ่มผวาแต่มือยังไม่ยอมปล่อยกล่องอุปกรณ์ จูนหลับตาแน่นรอรับแรงกระแทกเมื่อต้องล้มก้นจ้ำเบ้ากับพื้นด้านล่าง แต่ทั้งๆที่เตรียมใจแล้วกลับรู้สึกได้ถึงแรงดันจากด้านหลังอ้อมแขนที่กางกั้นระหว่างราวบันไดทั้งสองข้างนั้นช่วยรับน้ำหนักเขาเอาไว้ส่วนหนึ่ง เด็กหนุ่มรีบหันกลับไปมอง
“พี่ยุทธ์...?!”
“เดินระวังหน่อยซิ่วะ ....ล้มหัวแตกขึ้นมาว่าไง...” ยุทธ์ว่าพลางดันให้จูนยืนดีๆ
“ขอบคุณครับพี่....” เด็กหนุ่มยิ้ม “ความจริงพี่ไม่น่าเลย ผมตัวใหญ่กว่าพี่อีก พี่รับไม่ไหวขึ้นมาว่าไงเนี่ย เดี๋ยวตกลงไปเป็นแผลหน้าถลอกขึ้นมาจะทำยังไง” ยังไม่วายที่จูนจะห่วงใบหน้าของยุทธ์
“เจ้าบ้า ก็ต้องห่วงตัวเองก่อนแล้วค่อยมาเรื่องคนอื่นไม่ใช่รึไงประสาทจริงไอ้เด็กนี่” ยุทธ์หัวเราะกับความคิดของอีกฝ่าย พลางยกมือขึ้นปัดผมหน้าของจูนเบาๆ เคนที่กำลังยกชองออกจากรถมาวางไว้ที่ตรงหน้าบันไดยืนมองภาพนั้นก่อนจะถอนหายใจด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย เหมือนเขารู้สึกหงุดหงิดกับภาพที่เห็นตรงหน้า
..... ไหนว่าไม่ชอบให้ใครเล่นหัวไง.... “มา เดี๋ยวช่วยขนจะได้เสร็จสักที “ยุทธ์ว่าพลางยื่นมือออกไป แต่ไม่ทันจะได้รับกล่องพลาสติกนั่นมา เจ้ากล่องเจ้าปัญหากลับถูกมือที่สามคว้าไปเสียอย่างนั้น
“พอๆ ไม่มีแรงพอกันทั้งคู่ก็ช่วยหลบๆไปเลย คนจะทำงาน” ไม่พูดเปล่ากล่องพลาสติกที่คิดว่าหนัก เคนกลับยกขึ้นไหล่เดินขึ้นบันไดไปอย่างสบายๆ เสียงฝีเท้าลงหนักๆดังตามขั้นบันไดขึ้นไป จูนและยุทธ์ได้แต่มองตามอย่างไม่เข้าใจว่าอยู่ๆเคนก็เกิดอารมณ์หงุดหงิดอะไรขึ้นมา
“เมื่อกี้มันว่าพวกเราเกะกะมันทำงานเหรอ จูน” ยุทธ์หันมาถามท่าทางแปลกใจอยู่ไม่น้อย
“ไม่รู้เหมือนกันอ่ะพี่ยุทธ์ ผีเข้าผีออกอีกล่ะมั้ง” จูนยักไหล่ เขาก็ไม่ค่อยจะเข้าใจเหมือนกัน
“เฮ้ย ของไม่ได้มีลังเดียวนะเว้ย มีกล่องเสื้อผ้าอีก มาช่วยกันเร็ว” พลันเสียงโชติที่สแตนด์บายอยู่ด้านล่างตะโกนเรียกทำให้ทั้งจูนกับยุทธ์ต้องรีบวิ่งลงไปช่วยขนทันทีและเพราะช่วยกันสี่หนุ่มสี่แรงไม่นานอุปกรณ์กระจุกกระจิกทั้งหลายก็ถูกจัดเก็บเข้าที่จนเรียบร้อย ทั้งสี่หนุ่มทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นของห้องชมรม
“เฮ้อ..... ร้อนจริงวุ้ย ตึกชมรมนี่เขาไม่คิดจะบูรณะทำใหม่ติดแอร์อะไรเลยรึไงนะ” เคนบ่นอากาศร้อนๆในห้องชมรมทำให้เขาต้องถอดเสื้อออก สองขาเหยียดยาวอย่างหมดแรง
“งบไม่มีนี่หว่า...จะว่าไป อาจารย์ที่ปรึกษาประจำชมรมเราก็....ไม่กลับมาจากเมืองนอกสักที...เลยได้แค่เนี้ยะ กิจกรรมคิดเองเออเอง อยากทำอะไรก็ตามใจ แค่...งบไม่เข้าก็เท่านั้นเอง” โชติว่าพลางหัวเราะแห้งๆ เขาพอจะชาชินกับสถานการณ์แบบนี้แล้ว พูดไปพลางก็หยิบผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดเหงื่อเม็ดเป้งบนหน้าผาก
“แล้วเอาไงต่อเนี่ย เก็บของเสร็จแล้ว แกจะซ้อมหนังต่อเลยเหรอโชติ ....กูประท้วงนะเว้ย ร้อนโคตรอ่ะวันนี้ ขอพักก่อนสักวันเหอะ” ยุทธ์โวยขึ้นมา ร่างเล็กใช้ตักของจูนต่างหมอน ดูท่าเหมือนไม่อยากจะลุกอีกแล้ว
“เออ กูยังไม่ทันจะได้พูดอะไรก็โวยซะแล้ว...ไม่ซ้อมก็ไม่ซ้อม แต่ขอถามก่อนว่าแสดงเมื่อวานเป็นไงบ้าง” โชติว่าพลางขยับเข้าไปนั่งหันหน้าเข้าหาทุกคน การสอบถามเรื่องการแสดงและปัญหาที่เกิดขึ้นบนเวทีเป็นเรื่องที่พวกเขาต้องทำทุกครั้งหลังจากการแสดงในแต่ละรอบ “เรามีปัญหาอะไรกันบ้าง”
“พี่เคนนอกบทเกินไป....” เสียงจูนเป็นเสียงแรกที่ดังขึ้น แต่ไม่ได้เอ่ยขึ้นเพราะอารมณ์ขุ่นเคืองเหมือนอย่างเมื่อคืน ถึงเขาจะไม่ค่อยเข้าใจว่าอีกฝ่ายนอกบทไปเพื่ออะไร แต่ในเมื่อมันเป็นปัญหากับการแสดงของเขาเขาก็จำเป็นที่จะต้องพูดออกมาตรงๆ
“เคน...แกจะว่าไง” โชติหันไปถามผู้ที่ถูกพาดพิง
“สำหรับฉันที่นอกบทเพราะจำไม่ได้เป๊ะๆนี่หว่า แต่ส่วนนึงมันก็ทำให้บทมัน เขาเรียกว่าไงวะ ภาษามึงอ่ะ ไอ้โชติ มันมีชีวิต? อะไรแบบนั้นแต่...............”เขาหยุดก่อนจะหันไปมองหน้าของจูน “ถ้ามันจะทำให้เสียสมาธิคราวหน้าก็คงต้องหาทางนัดแนะกันก่อน”
“แต่คนดูก็ชอบไม่ใช่เหรอ เมื่อคืน ไอ้จูนมันแต่งขึ้น สวยจะตาย” ยุทธ์ว่าพลางยื่นมือขึ้นไปจับข้างแก้มของจูนเบาๆ “เน้อ....”
“ฮ่ะๆ...เขินเลยแฮะเรา” จูนหัวเราะ มือเรียวยกขึ้นแตะข้างลำคอของตัวเองเบาๆ “แต่ผมว่าถ้าพี่ยุทธ์แต่งต้องออกมาดูดีมากแน่ๆเลย...พี่โชติ คราวหน้าให้พี่ยุทธ์แต่งนะครับ” ท่าทางเขินแบบนั้นทำให้คนที่นั่งเหยียดขาอยู่ตรงข้ามกับทั้งจูนและยุทธ์อดจะทำเสียงในลำคอเบาๆด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้ ปลายขายกขึ้นเตะขาของยุทธ์เบาๆ
“ เฮอะ...ให้มันน้อยๆหน่อย กูจะอ้วก”
“อะไรล่ะพี่เคน...น้อยใจที่ตัวเองโดนทาหน้าขาวจนไม่หล่ออ่ะดิ่” จูนหันมาทำหน้าทำตาใส่ดูยียวนกวนประสาทอยู่ไม่น้อย
“รับไว้พิจารณา” โชติเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“อ้าว เฮ้ย...มึงเอาจริงสิ?” ยุทธ์พลิกตัวหันมามองหน้าของโชติทันที
“อื้ม จริงดิ่ เรื่องหน้ามึงเป็นนางเอก...” คำนั้นของโชติทำให้เคนหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“เยี่ยม งั้นคราวหน้าจะได้ดูไอ้ยุทธ์ใส่กระโปรง” เคนยังคงหัวเราะชอบใจ
“สาด อย่างน้อยกูคงดีกว่านางผียักษ์ใส่ยกทรงกับกระโปรงแดงเมื่อต้นเทอมล่ะวะ” ไม่พูดเปล่าส่งฝ่าเท้ามาถีบเคนเข้าอีกรอบ
“เอ้าๆ เดี๋ยวค่อยว่ากันละกันนะเรื่องนั้น แต่เรายังมีงานช้าง งานยักษ์ที่ซ้อมไม่จบไม่สิ้น ยังไม่ได้เริ่มถ่าย อุปกรณ์สถานที่ยังไม่ได้หา แต่ดันเหลือเวลาอีกแค่สองเดือน”โชติร่ายมาเสียยาวแบบนี้ทุกคนก็ตอบออกมาเป็นเสียงเดียว
“หนังสั้น”
“ใช่หนังสั้น ที่ฉันเป็นห่วงคือ ฉากเลิฟซีน แต่หลังจากที่เห็นเมื่อวานแล้ว คงยังต้องห่วงต่อไป เคนกับจูนกูรู้ว่าพวกมึงไม่ชอบนะ แต่....ช่วยทำใจให้อินกับบทแล้วแสดงไปตามธรรมชาตินะ ขอร้อง ไปซ้อมกันมาหน่อยก็ได้ อย่างน้อยจะได้ไม่เขิน”
“ก็...ถ้าให้ทำใจกันก่อนก็คงพอไปไหวอ่ะพี่” จูนอ้อมแอ้มตอบ เขาไม่ถนัดนักกับการด้นสด ยิ่งถ้าอีกฝ่ายเป็นเคนด้วยแล้วมันตั้งรับลำบากเสียเหลือเกิน
“เฮ้ย จูน นี่ต้องทำใจกันเลยเหรอ เล่นละครนะเว้ย ไม่ได้จะไปรบ” เคนจะยกขาเตะจูนเบาๆก็ยั้งไว้ก่อนด้วยกลัวจะดีดเข้าหน้ายุทธ์ที่นอนหนุนตักอยู่เข้าให้
“เล่นละครกับพี่ก็เหมือนส่งผมเข้าสนามรบทุกวันนั่นล่ะ” จูนไม่วายเถียงกลับ
“เอาน่าๆ ก็ไปซ้อมกันมาด้วย อย่าลืม กอด จูบ ลูบ คลำนี่ต้องไม่เขินแล้วนะเว้ย กูขี้เกียจจะเทคไหม” โชติกำชับท่าทางเอาจริงใช่ย่อย
“ถ้าขี้เกียจเทคให้มันเล่นกับกูดิ่ รับรองโคตรไหลลื่น...” ยุทธ์ลุกพรวดขึ้นมาสองแขนกอดจูนหมับเหมือนลูกหมีโคอาล่าเกาะต้นยูคาลิปตัส “แบบเนี้ยะๆ....” ไม่พูดเปล่าโน้มคอจูนมาหอมแก้มซ้าย ขวา ซ้าย ขวา จนแม้แต่เจ้าตัวยังต้องเบือนหน้าหนี
“ว้าก....พี่ยุทธ์ไม่เอา เหวอ...จักกะจี้เว้ย.....” แต่ถึงจะโวยวายไปก็หัวเราะไป ไม่ได้มีท่าทีตกใจหรือหวาดกลัวเหมือนตอนที่เคนแกล้งในตอนนั้นเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังคว้าหน้าของยุทธ์มาพยายามจะเอาคืนด้วยการหอมแก้มคืนอีกต่างหาก เคนเหลือบมองไปทางโชติที่ดูจะเหนื่อยหน่ายกับการหยอกล้อของทั้งสองคนเต็มที จึงได้เอ่ยปากออกไปด้วยท่าทีไม่พอใจสักเท่าไรนัก
“เฮ้ย เลิกเล่นได้ละพวกมึง...ไอ้โชติมันคุยอยู่นะ...” เคนดุจนทั้งสองคนสะดุ้งเฮือกก่อนจะแยกออกจากกันแล้วหัวเราะเบาๆ เคนถอนหายใจอย่างหงุดหงิด แต่กระนั้นก็ไม่แน่ใจนักว่าเขาหงุดหงิดเพราะอะไรกันแน่ ที่แน่ๆเขารู้ตัวว่าเขาใช้น้ำเสียงที่เข้มกว่าที่ควรจะเป็น
“งั้นไว้คราวหน้าก็จะให้จูนเล่นกับยุทธ์ก็แล้วกัน” คำตอบของโชติทำให้เคนต้องหันไปถลึงตามองด้วยความประหลาดใจ
“เยี่ยม งั้นตามนั้น” ก่อนจะได้ยินเสียงจูนสนับสนุนอีกเสียง จนเคนต้องหันควับกลับมามองทันที
...กร๊อบ... ได้ยินเสียงกระดูกคอลั่นเต็มสองหู
“โอ้ย...คอกู...”
“เอ่อ..... เอาเป็นว่ามะรืนนี้ค่อยมาซ้อมกันใหม่ละกัน จูนเตรียมคิดเรื่องเสื้อผ้าด้วย ส่วนยุทธ์ก็ต้องไปหาโลเคชั่นกับกู...ส่วนเคนไปช่วยไอ้จูนมันก็แล้วกัน” โชติตัดบทพร้อมสรุปเสร็จสรรพ “เอาล่ะ กลับกันดีกว่าพวกเรา”
“เฮ้ย จูนกลับกับพี่ป่ะ...” ชายหนุ่มร่างเล็กอย่างยุทธ์ลุกขึ้นบิดซ้ายขวาก่อนจะหันมาหาคนที่เป็นหมอนให้เขามาพักใหญ่
“เอ่อ...เหวอ...” เจ้าของผมสีบลอนด์ดูมีสีหน้าลังเล ร่างเพรียวพยายามจะลุกแต่เพราะนั่งทั้งๆที่มียุทธ์นอนหนุนตักอยู่นานทำให้ยืนได้ไม่มั่นคงนัก ร่างสูงโปร่งของจูนเซไปด้านหน้าแต่โชคยังดีที่แขนแกร่งของเคนเข้ามาพยุงเอาไว้ได้ทัน
“เฮ้ย อะไรวะไอ้จูน แค่มีไอ้ยุทธ์นอนหนุนตักแค่นี้ก็เข่าอ่อนแล้วเหรอ“ จูนเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงทุ้มที่สุดแสนจะกวนประสาทนั้นทันควัน เห็นรอยยิ้มกว้างแปะอยู่บนใบหน้าคมของเคน
“......ลองไปนั่งเองไหมล่ะครับ” เด็กหนุ่มเบือนหน้าไปอีกทาง “แต่อย่างพี่คงไม่สะทกสะท้านหรอก หนังหนากระดูกไดโนเสาร์นี่นะ”
“เออ จะว่าไงก็เหอะ ไป...กลับกับพี่ ให้ไอ้ยุทธ์มันขับรถข้ามเมืองไปอีกเปลืองน้ำมันตาย บ้านมันรวยแต่พ่อมันไม่ได้เป็นเจ้าของบ่อน้ำมันนะเว้ย” ไม่พูดเปล่ามือแกร่งคว้าคอเสื้อของจูนให้เดินตามจนแทบจะเรียกว่าลากตัวออกจากห้องชมรมเสียมากกว่า ปล่อยให้ยุทธ์กับโชติยืนมองหน้ากันงงๆ ยุทธ์เผลอชี้มือเข้าตัวเอง
“พ่อกูไม่ได้เป็นเจ้าของบ่อน้ำมันอ่ะ แต่พ่อกูเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมัน”
..............................................to be continued