รักไม่ใช่เล่น - Listen! This is not a joke -(Ch:54 ผ้าปูที่นอน 21/3/18 up!)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รักไม่ใช่เล่น - Listen! This is not a joke -(Ch:54 ผ้าปูที่นอน 21/3/18 up!)  (อ่าน 48068 ครั้ง)

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
   
   - 10 -

             ......โครก......


           ทันใดเสียงท้องร้องก็ดันขึ้น ทำเอาทั้งจูนและเคนสะดุ้งพรวดผุดลุกขึ้นนั่งทันที

    
             “ฮ่ะๆๆ......ที่แท้ก็หิวนี่เอง” จูนหัวเราะออกมาเสียงดัง เคนเองก็รีบกระเด้งออกจากโซฟาที่เมื่อครู่ยังลงไปนอนโดยมีอีกฝ่ายทับอยู่ด้านบน

             “ฮึบ!”     เขารีบลุกขึ้น “โอย...เจ้าจูน แกนี่ก็หนักใช่ย่อยนะเนี่ย...” ไม่วายโทษว่าน้ำหนักตัวของอีกฝ่ายอีกต่างหาก ร่างสูงพยายามดึงเสื้อที่ฟิตแน่นตรงไหล่ออกอย่างทุลักทุเลแต่ในที่สุดก็สลัดตัวเองออกมาจากเสื้อจนได้ “ตัวแกก็ไม่ได้เล็กนะจูน ทำไมเสื้อแกมันฟิตจังวะ....”

            “พูดมากน่า ผมไม่ได้มีกล้ามเท่าเด็กพละนี่....หรือจะเป็นเพราะทรงเสื้อหว่า...” ว่าพลางก็เดินเข้าไปดึงเสื้อจากมือของอีกฝ่ายขึ้นมาพิจารณา  “ อีกอย่าง ผมไม่ได้หนักขนาดที่ควาย เอ้ยคนถึกๆอย่างพี่รับไม่ไหวหรอกนะ”   จูนว่าพลางยิ้มหวาน แต่ก่อนที่เคนจะได้รู้ตัวว่าโดนด่าไปเต็มๆเจ้าของห้องก็เดินเลี่ยงไปที่ตู้เย็น “หิวป่ะ ...กินอะไรไหม...ห้องผมตอนนี้ก็มีแต่ มาม่าใส่ไข่อ่ะ...เอาป่ะ”

            “เฮ้ย เดี๋ยวเมื่อกี้แกด่าพี่เหรอ” เคนเพิ่งรู้ตัวเมื่อเห็นอีกฝ่ายหันกลับมาพร้อมกับไข่สองฟองในมือ

            “มาม่า...เอาป่ะ” จูนรู้ดีว่าวิธีหลบเลี่ยงการโดนเคนโวยวายคือรีบเปลี่ยนเรื่องไปให้เร็วและเปลี่ยนเรื่องไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะทำแบบนั้นแล้วอีกฝ่ายไม่มีทางตามเรื่องทันแน่นอน

            “เออ.... มาม่าก็ดี” และก็เป็นไปตามที่จูนคิด เคนเปลี่ยนเรื่องตามอย่างรวดเร็ว...โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องของของกิน จูนสนองคำตอบนั้นด้วยการเทมาม่าลงชามขนาดใหญ่ ตามด้วยน้ำแล้วก็ตกไข่สามฟองยัดใส่เข้าไปข้างในเตาไมโครเวฟ ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ช่วยชีวิตในยามดึกของเขา

          ถึงแม้ว่าแถวนี้ยังจะพอมีร้านอาหาร และร้านสะดวกซื้อเปิดบริการอยู่บ้างแต่ไหนๆก็เห็นว่าอีกฝ่ายอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะลากออกไปหาอะไรกินอีกก็เกรงใจ ระยะเวลาไม่กี่นาทีในขณะที่รอชามอ่างขนาดใหญ่นั่นหมุนไปเรื่อยๆนั้นเจ้าของห้องได้แต่จ้องชามอ่างนั่นอยู่อย่างนั้นในใจอดคิดไม่ได้ว่าวันนี้อารมณ์ของเขามันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมากี่ครั้งกันจนมาถึงตอนนี้ ทุกอย่างค่อยสงบลงอย่างน่าประหลาด ส่วนเคนเองก็ดูสงบลงมากเช่นกัน...หรือบางทีอาจจะเป็นแค่เพราะพวกเขากำลังหิวมากก็เป็นได้ ไม่นานมาม่าใส่ไข่สองชามก็ถูกนำมาเสริฟตรงโต๊ะหน้าทีวี อาจจะเป็นเพราะต่างคนก็ต่างหิวทั้งจูนกับเคนเลยจัดการซัดมาม่ากันจนหมดเกลี้ยงไม่เหลือน้ำซุปกันไว้สักหยด 


            “โอย....ได้กินซักที....นึกว่าจะขาดใจซะแล้ว....”เคนว่าพลางล้มตัวลงไปนอนกับพื้นห้อง

            “อิ่มหรือเปล่าล่ะ จะกินต่ออีกไหม” จูนเสนอ คำตอบที่ได้รับคือมือแกร่งที่ส่ายไปมา

           “ไม่ไหวอ่ะ เหนื่อยเกินจะกินแล้ววันนี้ พี่นอนเลยได้ป่ะ” ว่าพลางหันหน้ากลับมามองหน้าของเจ้าของห้องที่กำลังยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ดวงตาสีน้ำเงินหันไปจับจ้องกับข่าวภาคดึกบนจอทีวี ดูเหมือนว่าจูนจะไม่ได้ยินคำถามของเคนสักเท่าไร เด็กหนุ่มวางแก้วน้ำลงริมฝีปากสีอ่อนที่เพิ่งจะดื่มน้ำลงไปนั้นดูฉ่ำชื้น

           “เฮ้ย จูน..... “ เคนเรียกให้อีกฝ่ายหันกลับมามอง

           “หืม?..........” เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว 

           “ลิปเดี๋ยวนี้นี่มันมีรสผลไม้กลิ่นผลไม้ด้วยเหรอ...” รุ่นพี่ที่นอนอยู่กับพื้นถามพลางขยับตัวนอนตะแคงเพื่อมองหน้าคู่สนทนาให้ชัดขึ้น

           “ลิป? อ๋อ ที่ทาบนเวทีอ่ะนะ....ไม่รู้สิ กลิ่นผลไม้มั้ง...ตอนไปซื้อก็หยิบๆมา อายคนขายเขาอ่ะ...ไม่ได้ดูหรอก...”จูนตอบไปแต่โดยดีไม่ได้นึกเอะใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงถามเรื่องนี้

           “แล้ว....ที่แกทามันมีรสผลไม้ด้วยป่ะ ....” รุ่นพี่ที่นอนอยู่บนพื้นแม้จะดูเหมือนลังเลแต่ก็ยังคงถามออกมาเหมือนเพ้อพิษไข้ ดวงตาของคนช่างสงสัยยังไม่ละจากริมฝีปากอิ่มของรุ่นน้อง

          “ไม่อ่ะ...ก็จืดๆ...แต่ก่อนแต่งหน้าเพิ่งกินส้มกับแตงโมที่หลังเวทีกับพี่ยุทธ์ เกี่ยวป่ะ?” เด็กหนุ่มเลิกคิ้วถาม คำถามที่ยิ่งทำให้ในหัวของเคนเริ่มทำงานอีกครั้ง

         
                     ...ส้ม? แตงโม?... จะว่าไปมันก็เปรี้ยวๆหวานๆ....
                    ...แล้วมันก็หอม...นุ่ม....
                    .....มัน...ก็น่า......


 
             “มันก็.....เอ่อ........”  จินตนาการนำพารสชาตและรสสัมผัสหวนคืนมาติดอยู่ที่ริมฝีปาก แต่ส่วนหนึ่งของสติก็ถูกดึงให้กลับคืนมาเพราะเคนรู้สึกว่าสิ่งที่เขาเพิ่งจะคิดในหัวนั้นมันช่างพิลึกสิ้นดี เคนสะดุ้งลุกพรวดขึ้นมานั่งทันทีทำเอาจูน
พลอยสะดุ้งตามไปด้วย
         
              “พี่เคนเป็นอะไรอ่ะ....หืม? หน้าแดงๆนะ ไม่สบายป่ะ” จูนว่าพลางชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ จนเคนทำหน้าเลิกลั่ก ยิ่งดวงตาสีน้ำเงินนั่นยังจ้องมองมาเหมือนมีคำถามและตัวเขาเองก็เหมือนจะละสายตาออกจากริมฝีปากคู่นั้นไม่ได้ถึงจะพยายามเบนสายตาไปอีกทางแล้วก็ตาม
    
          “เปล่า...ไม่มีอะไร....เฮ้ยเดี๋ยวจานชามพี่ล้างเอง แกไปอาบน้ำไป ยังไม่ได้อาบน้ำเลยนี่”  เคนว่าพลางโบกมือไล่ให้อีกฝ่ายไปอาบน้ำในขณะที่ตัวเองยกชามมารวมไว้ด้วยกันเตรียมจะยกไปล้าง
     
          “อ่ะ...แบบนั้นก็ได้....” จูนดูจะงงๆกับท่าทีของอีกฝ่าย แต่ก็ยอมลุกไปอาบน้ำโดยดี วันนี้เขาเองก็เหนื่อยมามากเหลือเกิน
    เสียงประตูห้องน้ำที่ปิดลง ทำให้เคนที่ยกจานไปล้างที่อ่างน้ำอดจะถอนหายใจออกมาไม่ได้ เขายังตกใจกับความคิดชั่วแล่นที่วิ่งผ่านเข้ามาในหัวเมื่อครู่ไม่หาย

                      ....กูคิดห่าอะไรไปวะ ....
                       ....คิดว่าปากไอ้จูนมันน่า...จูบ...งั้นเหรอ?!...
                       ...ไม่ ไม่ ไม่ ท่าจะแกล้งแม่งมากไปหน่อยละ .....

    

             เคนคิดพลางสะบัดหน้าไปมาแรงๆหวังว่าจะให้ความคิดประหลาดๆนั่นหลุดออกจากหัวของตัวเองไปแต่นั่นยิ่งอาจจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงก็เป็นได้เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเขารู้สึกผิดและได้เอ่ยขอโทษจูนในเรื่องที่แกล้งอีกฝ่ายและสิ่งที่แฟนสาวของเขาอาจจะพูดไปด้วยแรงอารมณ์ เขาขอโทษไปทั้งหมด เว้นเสียแต่เรื่องที่เขาจูบจูนบนเวที ...

    
                   ...เรื่องจูบนี่กูไม่ได้รู้สึกผิดห่าอะไรเลยนี่หว่า....


              ตรงกันข้ามเคนกลับรู้สึกว่าเขาพอใจกับสัมผัสที่ได้รับนั่นเสียด้วยซ้ำ และที่ทำไปส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขารู้สึกไม่พอใจอย่างประหลาดที่มีต่อจูนที่ให้ความสำคัญกับยุทธ์มากกว่าตัวเอง ยิ่งคิดหัวใจในอกเหมือนจะเต้นแรงจนร่างสูงรู้สึกได้
 
 
                   ...นี่หวงไอ้จูนมันรึไง....
    

             “โอย....กูเป็นอะไรไปวะเนี่ย พอๆ ไม่คิดๆๆ ”     เคนสูดลมหายใจเข้าลึกพยายามไม่คิดอะไรให้มันมากไปกว่านั้น มือแกร่งสาละวนอยู่กับการล้างจานวนอยู่หลายต่อหลายรอบเขาไม่อยากจดจ่ออยู่กับความคิดแปลกๆเช่นนั้นอีก มันไม่มีทางเป็นไปได้ ...ถึงเขาจะไม่ถือสาเรื่องการถูกเนื้อต้องตัวแต่เขาก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะรู้สึกติดใจอะไรกับสัมผัสจากริมฝีปากของผู้ชายอีกคนได้ขนาดนั้น
 
             “เฮ้อ ...” ล้างจานเสร็จเคนก็เดินกลับมาเอนหลังที่โซฟา ใจเหมือนจะสงบลงไปเยอะเมื่อต้องจดจ่อกับอะไรนานๆอย่างการล้างจานนั้นช่วยได้มากเลยทีเดียว
 
            “อ้าว... พี่เคนจะนอนแล้วเหรอ” กลิ่นหอมลอยมาแตะจมูกก่อนเสียงกับตัวเจ้าของเสียงจะมาถึงตัวของเคนเสียอีก เมือเคนลืมตาขึ้นก็เห็นร่างโปร่งยืนเช็ดผมอยู่ไม่ห่างออกไปเท่าไรนัก  เคนเหลือบมองการแต่งตัวของอีกฝ่ายก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

          “เสื้อยืดสีขาว กางเกงผ้าแพรเนี่ยนะ....ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อนจะนึกว่าแป๊ะที่ไหน”
    
          “ช่วยไม่ได้ ก็บ้านผมใส่กันแบบนี้นี่นา แล้วกางเกงผ้าแพรผิดตรงไหน นอนสบายจะตาย...” จูนโกหกคำโต ปรกติเขาใส่กางเกงผ้าแพรเป็นแป๊ะอย่างที่อีกฝ่ายว่าที่ไหนกัน ทุกคืนๆหรือก็กางเกงบอกเซอร์ตัวเดียวกับเสื้อยืดธรรมดาเท่านั้นแต่เพราะวันนี้มีคนมานอนที่ห้องด้วยก็เลยนึกเขินขึ้นมาเท่านั้นเอง
    
           “สบายตรงถอดง่ายล่ะสิ...” ไม่พูดเปล่าทำท่าจะกระตุกกางเกงผ้าแพรของอีกฝ่ายอีกต่างหาก
     
          “เฮ้ย...ไม่เอาน่าพี่เคน เล่นอะไรเป็นเด็กไปได้ ...สรุปถ้าพี่จะนอนก็ปิดไฟนอนได้เลยนะ ผมจะเข้าไปในห้องล่ะ”
    
          “เออๆ แค่นี้ก็ดุด้วยเว้ย ไปนอนเลยไป “ว่าพลางก็โบกมือไล่ กดรีโมทปิดทีวีก่อนตัวเองจะเดินไปปิดไฟ ร่างสูงหันไปมองร่างของเจ้าของห้องที่ปรกติเคยได้แต่ส่งอยู่ที่หน้าหอ

         
            “ฝันดี...”      น้ำเสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นเบาๆเรียกให้เจ้าของห้องหยุดอยู่ที่หน้าห้องนอนเล็กน้อย    
 
                  “ฝันดี.....” เสียงนั้นตอบกลับมาเบาๆ ก่อนร่างโปร่งของจูนจะเดินเข้าห้องไปประตูบานเลื่อนเลื่อนปิดลงพร้อมกับไฟในห้องนอนที่ดับลง
   

........................................................



            แสงสว่างที่ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างในตอนเช้าทำให้คนที่นอนซุกกายอยู่กับผ้าห่มนุ่มบนเตียงต้องกระพริบตาถี่ๆด้วยรู้สึกเคืองตา มือเรียวยกขึ้นบังแสงเล็กน้อยก่อนจะรู้สึกตัวว่าสายมากแล้ว ก็บิดขี้เกียจลุกขึ้นนั่งสะบัดหัวไล่ความง่วงงุนออกไปร่างเพรียวลุกขึ้นพลางจัดเอวกางเกงผ้าแพรที่หลุดลงมากองกับสะโพกให้เข้าที่เข้าทาง เขาหัวเราะเบาๆกับความไม่คุ้นชินของตัวเองกับกางเกงแบบนี้ก่อนจะเปิดประตูห้องนอนเดินออกไปข้างนอก

              “สายแล้วพี่เคน.....อ้าว....ไปไหนวะ” เจ้าของห้องเหลียวซ้ายแลขวา แต่ก็ไม่เห็นเงาของเจ้าขอร่างสูงที่มาอาศัยนอนเมื่อคืน รองเท้าผ้าใบเบอร์ใหญ่มากของเคนก็หายไป  มีเพียงกระดาษแผ่นเล็กๆวางอยู่บนโต๊ะกลางหน้าโซฟาที่อีกฝ่ายใช้นอนเมื่อคืน
    
             
......เสื้อ กางเกง กับผ้าเช็ดตัวซักเสร็จเมื่อไรจะเอามาคืน.....
             

               “หึๆ....”จูนหัวเราะในลำคอเบาๆ  “สงสัยจะรีบไปง้อแฟน....”


                แต่ไม่ได้เป็นไปตามที่จูนคาดการณ์เอาไว้เลย เคนออกจากห้องพักของจูนมาแต่เช้าตรู่ อันที่จริงเขาแทบจะไม่ได้นอนเสียด้วยซ้ำ ตอนแรกเขาก็คิดมากเรื่องที่ตัวเองคิดว่า ปากของจูนนั้นน่าจูบ มันน่าตกใจและสับสนอยู่ไม่น้อยทำให้นอนกระสับกระส่ายพลิกตัวไปมาอยู่หลายรอบ แต่ผ่านไปสักพักความหนาวเย็นของแอร์ที่เปิดทิ้งเอาไว้ก็คืบคลานเข้ามา แถมตัวเขาก็ไม่มีเสื้อใส่นอนและไม่มีผ้าห่มแบบนั้น ทำให้หนาวสะท้านจนลืมคิดเรื่องที่กวนใจอยู่ไปจนหมด อันที่จริงเขาลุกไปหารีโมทแอร์แล้วแต่หาไม่เจอและไม่รู้ว่าจูนเอาไปวางไว้ตรงไหน เดินไปเปิดประตูห้องนอนของจูนแล้วแต่เห็นอีกฝ่ายนอนหลับสนิทก็นึกเกรงใจไม่กล้าเดินเข้าไปปลุก  สุดท้ายเคนเลยต้องกัดฟันทนนอนหนาวอยู่อย่างนั้นอยู่ครึ่งค่อนคืนแล้วรีบลุกออกมาในตอนเช้าแทน
    
              เคนขี่มอเตอร์ไซค์ ซีบีอาร์ 500x ที่ใครต่อใครแซวว่าหน้าตาประหลาดกลับหอของตัวเอง แต่ถึงมีคนแซวว่ารถของเขาหน้าตาประหลาด หรือคนขี่ซีบีอาร์เหมือนพวกเก็บดอกเงินกู้แต่เคนก็ไม่สะทกสะท้านสักเท่าไร เขาได้พาหนะคู่ใจคันนี้มาด้วยกำลังของตัวเองถึงหน้าตาของมันจะแปลกไปจากมอเตอร์ไซค์ที่เห็นตามท้องถนนไปเสียหน่อยแต่เขาก็รักมันมาก
      
              และสิ่งแรกที่เคนทำหลังจากกลับมาถึงหอของตัวเองคือ การวิ่งขึ้นห้องพักของตัวเองไปหยิบผงซักฟอกกับน้ำยาปรับผ้านุ่มพร้อมกาละมังเดินไปซักผ้าที่ระเบียงด้านหลังห้องของตัวเอง เปิดน้ำผสมผงซักฟอกตามขั้นตอนเสร็จสรรพ ก่อนจะแช่ทั้งผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้าที่ขอยืมจูนมาลงไปแช่ ดวงตาคมมองเสื้อยืดที่ดูมีราคาของจูนจมอยู่ใต้ฟองผงซักฟอกที่ลอยอยู่เต็มอ่าง
    

              “พอกูแก้ผ้า ก็จะเอามาให้ใส่ พอใส่ก็บังคับให้กูถอด ขี้โวยวายเป็นบ้า...”  เคนหัวเราะออกมาเบาๆ ในใจนึกถึงหน้าของจูนตอนโวยวายจะให้เขาถอดเสื้อ ดวงตาสีน้ำเงินกับสีหน้าจริงจัง ริมฝีปากที่โวยวายบ่นนั่นนี่ได้ตลอดเวลา...แต่ก็คงเพราะเป็นห่วงเขานั่นเอง

                “ก็พอเข้าใจนะว่าทำไม ไอ้ยุทธ์ไอ้โชติถึงชอบมันนักหนา...”  เขาพูดพลางหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะแช่ผ้าทิ้งไว้แบบนั้นสักพักระหว่างที่ตัวเองเดินไปอาบน้ำในห้องน้ำ เขาเลยจุดง่วงมาพักใหญ่จึงกะว่าอาบน้ำซักผ้าทั้งหมดของจูนเสร็จแล้วสายๆค่อยออกไปหาอะไรแถวๆโรงอาหารแถวหน้าหอพักของมหาลัย
    
               โรงอาหารในวันอาทิตย์คนน้อยกว่าปรกติร้านขายอาหารหลายร้านปิด แต่ก็มีบางร้านที่เปิดให้บริการ ข้าวแกงจานใหญ่สองจานในราคาที่ถูกแสนถูกถูกนำมาวางบนโต๊ะ เคนนั่งจัดการกับอาหารตรงหน้าไปอย่างสบายอารมณ์ การที่หอของเขาอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยมากๆแบบนี้ก็ดีไม่น้อย มันช่วยเขาประหยัดค่ากินไปได้เยอะ
    

                 “นี่ เมื่อคืนแกได้ไปเปิดท้ายป่ะ”
    
              “ไปๆ...แกได้ไปทันดูที่เวทีป่ะ พวกชมรมการแสดงอ่ะ โอ้ยแซ่บเว่อร์อ่ะ”
    
                “ชมรมการแสดง? ที่มีคนกันอยู่แค่สี่คนนั่นใช่ป่ะ...เล่นด้วยเหรอ โอ้ยเสียดายไปไม่ทันอ่ะ ทำไม? มีอะไรเหรอ”
    
                “โอ้ยแก...ฉันจะเล่าให้ฟัง พวกนั้นนะจูบกันบนเวทีด้วยอ่ะ ฉันนี่กรี้ดดดดด คอแทบแตก”

                  “เฮ้ย จริงดิ่ จูบกันเลยเหรอ... ปรกติก็เห็นเล่นแผลงๆอยู่แล้ว แต่แบบนี้นี่มันจะแผลงไปกันเกินไปหน่อยรึเปล่า?”
      
                 “ใช่มะ โอ้ย ฉันเห็นแล้วขนลุกเลยแกเอ้ย กลัวฟ้าผ่ากลางเวที คนที่สูงๆเท่ๆที่อยู่พละอ่ะ เมื่อวานทาหน้าเป็นตัวตลกด้วยนะแล้วก็ไปจูจุ๊บจูบปากกับอีกคนที่เหมือนกระเทยอ่ะ จูบกันแบบเม้าท์ทูเท็นเม้าท์เลยแก....”
    
                   “หา? อะไรจะขนาดนั้น เดี๋ยวนะ คนที่อยู่พละ เฮ้ย...พี่เคนคนนั้นน่ะเหรอ ผู้ชายสมัยนี้เป็นอะไรกัน ของแท้ไม่ชอบชอบกระเทย”

                    “เดี๋ยวๆ มีเด็ดกว่านั้นอีกเว้ย แล้วนะ ยังไม่ทันจะหายอึ้งเลยก็งานเข้าเว้ย แบบมีผู้หญิงคนนึงอ่ะ คงเป็นแฟนเขานั่นล่ะ ตะโกนดังลั่นเลยแก แบบ แนวโคตรหึงอ่ะ แล้วก็เดินฉับๆไปเลยเหมือนในละครอ่ะแก.... “เดี๋ยว ที่รัก นั่นมันเรื่องเข้าใจผิดกัน” แนวนั้นอ่ะ “

                    “จริงดิ่ แบบนี้มันก็เข้าแนวคงโดนแฟนจับได้ว่าไปติดใจกระเทยมั้ง เป็นฉันเจอแบบนั้นบ้างนะจะถีบส่งไปให้พ้นๆเลย ไม่ไหวอ่ะ ”
    

                   เคนได้ยินบทสนทนานั้นเต็มสองหูเขาถึงกับชะงักจนช้อนแทบจะหล่น พลางจินตนาการไปถึงแฟนสาวของตัวเอง ว่าจะคิดแบบเดียวกับที่สาวๆที่นั่งที่โต๊ะด้านหลังของเขาด้วยหรือเปล่า


                 ....นิดก็คิดจะถีบกูจริงๆด้วยรึเปล่าวะ...

                  คิดไปพลางเหงื่อตก กับข้าวตรงหน้าเหมือนจะจืดชืดไปในทันที


              “เฮ้อ หมดอารมณ์กินเลยกู ... ”  เคนว่าพลางวางช้อนส้อมลง แล้วถอนหายใจออกมาเสียงดัง

             “งั้นถ้ามึงไม่กิน เดี๋ยวกูกินให้เองดีไหม” เสียงยียวนดังขึ้นพร้อมกับร่างเล็กของโชติที่นั่งลงตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้มยียวนบนใบหน้า ศีรษะโตๆของโชติกับผมฟูชี้ไม่เป็นทรงนั่นบอกได้เลยว่าเพิ่งตื่น

             “เพิ่งตื่นเหรอมึง ...ดีจริงอยู่หอใน..ตื่นแม่งก็เดินลงมากินข้าวสบายๆ”
 
              “เออ...สบายที่สุดละกูเนี่ย... ว่าแต่ทำไม กินไม่ลง”   
    
            “ไม่มีอะไร...แค่...เออ ช่างมันเถอะ”  เคนบอกปัดพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
    
            “กลัวแฟนจะทิ้งเพราะไปจูบไอ้จูนมันน่ะเหรอ”

              “แค่กๆๆ.....”  คำถามของโชตินั้นทำเอาเคนสำลักน้ำ “รู้ได้ไงวะสาด”
    
            “สัญชาตญาณในการเดากูดีกว่ามึงเยอะ เคน... แล้วให้กูเดาอีกนะ เมื่อคืนมึงไปง้อแฟน แล้วคุยกันไม่รู้เรื่อง แฟนมึงคงหึง ส่วนมึงคงคิดว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่โต แฟนมึงเลยตบมึงให้ กูเดาถูกป่ะ” โชติพูดยาวเหยียดพลางเท้าคางมองหน้าเคน ท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องแบบนั้นชวนให้หงุดหงิดอยู่ไม่น้อย
 
                “มึงเป็นญาติกับริว จิตสัมผัสรึไง”  เคนบ่นอุบ เพราะสิ่งที่โชติทายมานั้นถูกต้องตรงเผงทุกประการ
 
                “กูมีพลังขนาดนั้นป่านนี้กูรวยไปนานแล้วไม่บอกมึงเอาบุญเฉยๆหรอกจะชาร์จอีกสามสิบเปอร์เซ็นต์ ...ก็เนี่ย รอยแมวที่ไหนข่วนมา...” โชติว่าพลางชี้หลักฐานที่มาปรากฏอยู่โทนโท่บนหน้าของเคน
    
              “เออ...เออ... ก็ตามมึงว่านั่นล่ะวะ แล้วจะให้กูทำไงว่า บนเวทีนั่นบทมันก็ต้องเล่น แฟนก็ดันจะมาหึงเอาแบบนี้”เคนโวยวายโยนความผิดให้บทละครของโชติไปเสียอย่างนั้น
    
                “เดี๋ยวๆ เคนมึงอย่ามาโยนความผิดให้บทกูนะเว้ย กูไม่ได้เขียนสักคำให้แกจูบไอ้จูนมันจริงๆ แล้วใครจะไปรู้ว่าแฟนมึงจะมาดูวะ”

               เคนนิ่ง...เขารู้ดีว่าต่อให้ตัวเองพยายามปฏิเสธความจริงแค่ไหนแต่ก็คงไม่อาจโกหกต่อคนเขียนบทได้
    
              “กูถามจริงเหอะ” โชติหรี่ตามองอีกฝ่าย มือก็หยิบส้อมจิ้มเอาลูกชิ้นลูกใหญ่จากจานของเคนเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ   “มึงจูบไอ้จูนมันทำไมวะ...รู้ก็รู้ว่ามันไม่ชอบให้ใครโดนตัวเท่าไร ....คราวก่อนโดนมันโกรธไปทียังไม่เข็ดเหรอ เมื่อคืนมันก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง...แล้วเมื่อคืนมึงได้เจอมันป่ะ”

                “ก็เจอ...” เคนพยักหน้าเบาๆ
    
               “แล้วไง...ทำหน้าเซ็งๆแบบนี้นี่ โดนมันจัดหนักเลยอ่ะดิ่ โอยกูไม่อยากคิดถึงตอนมันด่า....แค่โวยวายธรรมดายังยาวซะ แล้วนี่มันโกรธ ถึงไม่โดนต่อยแค่โดนด่าเฉยๆก็คงมึนอ่ะ”
    
                “เปล่า ...มันไม่ได้ด่าอะไร...หรือแค่ไม่มีโอกาสให้ด่าก็ไม่รู้ แต่เอาเป็นว่าพวกกูคุยกันแล้ว และกูก็ขอโทษมันอย่างมึงกับไอ้ยุทธ์คงจะสมใจกันเสียที คุยเสร็จก็นอนห้องมันนั่นล่ะ”
 
                  “อา...ฮะ....” โชติพยักหน้ารับคำ “แล้วไง?”
 
                  “แล้วไง แล้วไง? ไม่มีอะไรเว้ย” เคนว่าโบกมือไปมา
    
               “แต่หน้ามึงมันเหมือนมี....”
    
               “ไอ้นี่กูบอกว่าไม่มีไง” ชายหนุ่มร่างสูงปฏิเสธเสียงสูงในใจยังต่อสู้ไม่จบกับความคิดที่ว่าปากของจูนนั้นนุ่มและน่าจูบมากแค่ไหนกับความจริงแล้วพฤติกรรมบางอย่างของจูนนั้นก็.....น่าเอ็นดูอยู่ใช่ย่อย
 
                  “...โอเค...ไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไร” โชติมองหน้าของเพื่อนพลางยิ้มน้อยๆ “แต่ไอ้จูนมันไม่เป็นอะไรใช่ป่ะ”
 
                   “ก็เป็น..นิดหน่อย มันมาได้ยินที่แฟนกูพูดไม่ค่อยดีเข้า ก็ซึมไปหน่อย แต่ก็คุยกันดี ...เออโชติ กูถามมึงหน่อยเหอะ เรื่องจูนแกก็คงพอได้ยินมาบ้างว่ามีคนพูดถึงมันแบบนั้น มึงว่ามันเป็นไหม” โชติถอนหายใจออกมาเบาๆ
    
                 “นี่ เคน มันไม่ได้ขึ้นหรอกนะว่าคำตอบของกูจะเป็นยังไง ให้กูพูดไปก็เหมือนเด็กผู้หญิงกลุ่มเมื่อกี้ ไม่รู้อะไรแท้ๆกลับพูดไปเรื่อย มึงก็เคยบอกเองไม่ใช่เหรอว่า ถ้ามันไม่ออกปากเอง ห้ามคิด ทำไมมึงไม่ลองสังเกตแล้วพอคิดว่าตัวเองมั่นใจแล้วถึงลองถามมันดูล่ะ คำตอบที่ได้มันอาจจะทำให้มึงสบายใจกว่านี้ก็ได้” โชติเป็นคนมีเหตุผลเสมอ เพราะแบบนั้นทุกคนถึงยกให้เป็นเหมือนกับหัวหน้าของกลุ่มแต่เหมือนจะยิ่งทำให้เคนรู้สึกแย่มากขึ้น

    
                  ...ตอนนี้ มันจะเป็นหรือไม่เป็นกูไม่รู้ ที่รู้ๆแต่ไม่เข้าใจคือ ทำไมกูคิดว่ามันน่ารักแล้วปากมันก็น่าจูบมากด้วยวะ!....

.............................................


              หลังจากทานข้าวเสร็จโชติบอกกับเคนว่าในตอนหัวค่ำยุทธ์จะขนอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงเมื่อคืนกลับไปที่ห้องของชมรมเลยอยากให้เคนไปช่วยเก็บแยกของพร้อมกับซ้อมการแสดงสำหรับหนังสั้นของพวกเขาอีกด้วยซึ่งเคนก็ตกปากรับคำเป็นอย่างดี และนึกดีใจว่าอย่างน้อยช่วงบ่ายเขายังพอมีเวลาส่วนตัวบ้าง ทั้งสองคนนัดเจอกันช่วงหัวค่ำที่ห้องชมรมตามปรกติ เคนขี่รถมอเตอร์ไซค์คู่ใจกลับมาที่ห้อง

                  “แห้งพอดีล่ะมั้ง....” ร่างสูงยิ้มเมื่อมองไปที่ราวตากผ้าด้านหลังห้องเห็นเสื้อยืดสีขาวสะบัดไหวเพราะแรงลมที่พัดผ่านมา เขาเดินออกไปเก็บเสื้อผ้าของจูนที่ซักกับมือเข้ามาพับอย่างเรียบร้อยใส่ลงในถุง เตรียมจะนำกลับไปคืนเจ้าตัวในตอนเย็น เคนพับผ้าใส่ลงในถุงเสร็จเขามองไปรอบๆห้องของตัวเอง ทุกอย่างยังคงระเกะระกะหาความเป็นระเบียบได้ไม่ ดวงตาคมหันกกลับมามองผ้าที่พับเรียบร้อยอยู่ในถุงเขาหัวเราะออกมาเบาๆ

                     “ห้องตัวเองยังไม่เก็บ..ดันเก็บผ้าให้คนอื่นเสียดิบดี...”    คำพูดที่พูดกับตัวเองเบาๆนั้นเหมือนสะท้อนอีกเสียงที่ยังค้างคาอยู่ในใจ

                 
                 ....ทีแฟนตัวเองโกรธยังไม่ไปง้อ แต่เด็กนั่นโกรธทำไมถึงทนไม่ได้ขนาดนั้น....


................................... to be continued

@@@talk@@@

ว้า ผีเกือบจะทำสำเร็จแล้วเชียว :ling1:
แต่...ผีผลักถึงงานนี้จะยังไม่สำเร็จ...แต่พี่เคนก็เข้าขั้นเพ้อแล้วนะ
รอโอกาสก่อนเถอะ....หึ หึ หึ  :katai2-1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-05-2013 23:06:17 โดย goldfishpka »

ออฟไลน์ shiawase

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
กิ๊วๆๆๆๆๆๆ  พี่เคน กิ๊วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  หลงน้องจูนอะดิ๊   :hao3: :hao3:

อีกไม่นานแกต้องเสร็จน้องจูนแน่ๆอิพี่เคน ว๊ะฮ่าๆๆๆๆๆๆ  :katai2-1:

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
- 11 -

           กว่าจะรู้ตัวอีกทีท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยงในยามบ่ายคล้อย เคนบึ่งรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจข้ามเขตมหาวิทยาลัยไปยังอีกฝั่งของมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นย่านที่เต็มไปด้วยที่พักอาศัยของเหล่านักศึกษา อาคารหลังเล็กใหญ่เบียดเสียดกันอยู่ในพื้นที่จำกัด ถนนเส้นเล็กๆที่ตัดเลาะไปเป็นซอกซอยทำให้เคนต้องชะลอความเร็ว ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่หน้าหอพักแห่งหนึ่งที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี  ร่างสูงถอนหายใจเบาๆก่อนจะนำรถเข้าไปจอดในที่จอดรถใต้หอพัก ดวงตาคมสอดส่ายสายตา เขาเห็นรถคันเล็กสีแดงสดของนิดจอดอยู่ในที่จอดรถก็ยิ้มก่อนจะกดโทรศัพท์หาเบอร์โทรออก
     
          “นิดเหรอ.....พี่อยู่ข้างล่างหอ...ขึ้นไปหาได้ไหมครับ” ชายหนุ่มพูดเสียงอ่อน ก่อนริมฝีปากได้รูปจะคลี่เป็นรอยยิ้ม เขาได้รับอนุญาตจากแฟนสาวให้ขึ้นไปหาบนห้องได้ ถึงจะหวั่นใจเล็กๆเพราะน้ำเสียงที่ตอบกลับมานั้นฟังดูไม่พอใจสักเท่าไร แต่ร่างสูงใหญ่ก็พาหัวใจสั่นๆก้าวไปพร้อมกับช่วงขายาวก้าวขึ้นไปด้านบน บันไดขั้นเล็กๆ ของหอพักสีชมพูหวานสไตล์ผู้หญิงที่ผู้ที่พักอาศัยส่วนใหญ่เป็นสาวๆจากหลายๆคณะนั้นใช้เวลาไม่กี่อึดใจก็ถึงหน้าห้องพักของแฟนสาว

    
          ...ก๊อกๆ...



               เสียงมือแกร่งเคาะเบาๆลงบนบานประตู ได้ยินเสียงฝีเท้าเก้ามาปลดล็อคและเปิดประตูให้ ร่างเล็กของนิดอยู่ในชุดเดรสสั้นกับกางเกงยีนส์ขาสั้นรวบผมดูสบายๆ แต่ใบหน้านั้นกลับงอง้ำ ดูท่าว่าจะยังไม่หายงอนจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
    
           “คิ้วขมวดแล้วครับ....” เคนเห็นหน้าอีกฝ่ายเข้าก็ใจแป้วอยู่ใช่ย่อยแต่ก็พยายามจะยิ้มสู้ ยกปลายนิ้วแตะเบาๆระหว่างคิ้วของอีกฝ่าย แต่หญิงสาวกลับปัดมือของเคนไปอีกทาง
 
             “พี่เคนมีอะไรเหรอคะ...นิดไม่ค่อยว่างด้วยวันนี้ นัดพวกต่ายเอาไว้ว่าจะไปดูของกัน”
     
          “อ่า...นิด...จะออกไปไหนเหรอ? ให้พี่ไปส่งไหม”   
    
         “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวนิดจะขับรถออกไปรับต่าย”
    
         “อ่า....เหรอ...ไปดูของแล้วจะไปไหนกันต่อหรือเปล่า” เคนถามเสียงแหบ คำตอบของอีกฝ่ายทำให้เขาไม่รู้จะถามอะไรต่อ
    
         “ก็คงจะไปดูหนังค่ะ... พี่เคนล่ะคะ มาทำไม ไม่มีธุระอะไรกับพวกที่ชมรมแล้วเหรอคะ”
    
        “เอ่อ เดี๋ยวพี่จะไปช่วยเพื่อนเก็บของน่ะ เลยแวะมาหาเผื่อว่านิดอยากจะออกไปข้างนอกด้วยกัน”
    
       “แต่ก็ต้องแวะไปที่ชมรมก่อนอยู่ดี...พี่เคนไปทำงานที่ชมรมเถอะค่ะ นิดไม่ได้สำคัญขนาดนั้น”  เด็กสาวยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆหากแต่ถ้อยคำนั้นเสียดแทงเข้ามาอยู่เนืองๆ
    
       “โธ่ นิด...ยังโกรธพี่อยู่เหรอครับ ไม่เอาน่านะ เรื่องของชมรมก็เรื่องนึง เรื่องของแฟนพี่ก็อีกเรื่องนึง ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่ากันหรอก พี่ก็ให้ความสำคัญเท่าๆกันนั่นล่ะ” เคนยิ้มกว้าง แต่มันเป็นยิ้มแห้งๆ
    
       “แต่เมื่อคืนพี่เคนก็ขึ้นเสียงใส่นิดเพราะ...ยัย...เอ่อ...นายคนนั้น”  เด็กสาวเบือนหน้าไปอีกทางท่าทางยังคงขุ่นเคืองไปน้อยกับท่าทีปกป้องของคนรักที่มีต่อผู้ชายที่แต่งเป็นผู้หญิงท่าทางสะดีดสะดิ้งบนเวทีคนนั้น เคนหรี่ตาลงเล็กน้อย พิจารณาท่าทีของเด็กสาวดูท่าแล้วเขาคงไม่สามารถแก้ไขความฝังใจของอีกฝ่ายได้ง่ายๆเป็นแน่
     
       “ขอโทษ พี่คงจะใช้น้ำเสียงผิดไป...แต่พี่ไม่อยากให้นิดเข้าใจพี่ผิดนะ” มือแกร่งยื่นไปจับมือของอีกฝ่ายหลวมๆ “ไม่มีผู้ชายคนไหนอยากให้แฟนของตัวเองเข้าใจผิดหรอก...”ดวงตาคมสบตามองกับแฟนสาวท่าทีออดอ้อนในแบบที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นมากนัก “พี่ขอโทษนะครับนิด...ยกโทษให้พี่นะครับ”
      
        “.................” เด็กสาวไม่ได้ตอบ มือเรียวยกขึ้นแตะใบหน้าของอีกฝ่ายเบาๆ ยังเห็นพลาสเตอร์ปิดแผลอยู่ที่ปลายคางของร่างสูง  “เมื่อคืน นิดทำพี่เป็นแผลเหรอคะ เจ็บหรือเปล่า...นิดขอโทษนะ”
    
        “ไม่เป็นไร ไม่ได้เจ็บอะไรมากหรอก พี่ผิด ก็สมควรแล้ว” เคนตอบพลางยิ้มจับมือของแฟนสาวเอาไว้หลวมๆ
    
        “พี่เคนทำแผลเองเหรอคะ... ”
    
        “เปล่าหรอก จู...เอ่อ...ช่างมันเถอะ แผลแค่นี้พี่ไม่เป็นอะไรมากหรอก...” ชายหนุ่มรีบตัดบทเขาเกือบจะหลุดปากบอกออกไปแล้วว่า จูนเป็นคนทำแผลให้ ไม่อย่างนั้นนิดคงจะไม่สบายใจอีก และคงจะโกรธเขาไปมากกว่านี้อีกแน่ๆ
    ดวงตากลมโตของนิดมองหน้าของร่างสูงอย่างพิจารณาก่อนจะถอนหายใจออกมา มือเรียวดึงมืออีกฝ่ายขึ้นมากุมเอาไว้ด้วยสองมือเล็กดวงตาหลุบลงต่ำ
    
     “พี่เคน...นิด...เองก็ต้องขอโทษพี่เคนด้วยเมื่อคืนนิดก็ดูจะไร้เหตุผลไปหน่อย...นิดแค่อยากให้พี่เคนเข้าใจนิดด้วยว่าคงไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากเห็นแฟนของตัวเองไป...เอ่อ...จูบกับใครคนอื่นต่อหน้าตัวเองต่อหน้าคนอื่น...โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าจะทำกับใครที่ออกจะ....ผิดไปจากธรรมดาที่ควรจะเป็น” 
 
          ในน้ำเสียงของนิดนั้นยังแฝงอารมณ์ขุ่นมัวแต่นับว่าดีกว่าที่เคนจินตนาการเอาไว้หลายเท่าตัว เขาพอรู้ว่าแฟนของเขาเป็นหญิงสาวที่ค่อนข้างขี้หึง เธอมักคอยถามจุกจิกในบางเรื่องที่เขาไม่อยากจะตอบแต่เข้าใจดีเพราะผู้หญิงหลายคนก็เป็นแบบนี้เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรเท่าไรนัก เรื่องไหนตอบได้เขาก็ตอบตอบไม่ได้ และเลี่ยงได้ก็จะเปลี่ยนเรื่องไปเสีย แต่ที่ผ่านๆมานิดไม่เคยแสดงท่าทีมากมายขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าที่ผ่านๆมาเขาไม่ใช่ผู้ชายแบบที่คบกับใครหลายคนในเวลาเดียวกันจึงไม่เคยทำให้นิดต้องระแคะระคาย แต่เขาก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่านิดจะหึงที่เขาจูบผู้ชายอีกคน...เพราะสำหรับเขาแล้วนอกเหนือจากการแสดงมันก็คือการแกล้งกันขำๆเท่านั้น ไม่คิดว่าจะมีคนไม่ขำถึงสองคนแบบนี้
     
       “ถ้าอย่างนั้น...พี่จูบนิดตอนนี้ได้ใช่ไหม” ด้วยนึกสนุกขึ้นมาอีกจึงได้หยอดมุกหยอกร่างเล็กไปเช่นนั้นร่างสูงก้มลงมาหมายจะฉวยชิงเอาสัมผัสนิ่มจากข้างแก้มของเด็กสาว
    
       “พี่เคน ทะลึ่งละ....เดี๋ยวนิดจะออกไปหาเพื่อนข้างนอกนะ...” ถึงถ้อยคำจะต่อว่าแต่อย่างน้อยบนใบหน้านั้นก็มีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง
    
        “ยิ้มแล้วแสดงว่าอารมณ์ดีแล้ว....”เคนแหย่เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายนิดยิ้มน้อยๆก่อนจะบ่ายหน้าไปอีกทาง

          ร่างเล็กเดินไปหยิบกระเป๋าถือกับกุญแจห้องและกุญแจรถจากโต๊ะเครื่องแป้ง เคนมองสำรวจเล็กน้อย ในหัวนึกเปรียบเทียบกับห้องนอนของใครบางคนที่เขาไปขลุกอยู่ด้วยเมื่อคืน ห้องของนิดแม้จะดูเป็นสีชมพูหวานไปเสียทุกอย่างแต่ไม่ได้มีตุ๊กตาขนฟูๆวางเรียงรายในห้องเหมือนกับห้องของจูน บนโต๊ะเครื่องแป้งมีของใช้จุกจิกกับกล่องใส่เครื่องสำอางกล่องใหญ่ หนังสือเรียนวางเรียงไว้อีกทางคู่กับนิตยสารแฟชั่นและข่าวซุบซิบดาราซึ่งก็เป็นเหมือนห้องของหญิงสาวทั่วๆไปที่ไม่ได้แสดงออกถึงความหลงใหลในอะไรบางอย่างอย่างชัดเจน เคนเผลอยิ้มออกมาน้อยๆยิ่งเมื่อมองไปบนโต๊ะเครื่องแป้งแล้วยังเห็นรูปคู่ที่พวกเขาถ่ายด้วยกันเมื่อคราวเขาตามกลุ่มของนิดและเพื่อนไปเที่ยวเมื่อคราวก่อนติดอยู่กับกระจกบนโต๊ะเครื่องแป้ง

            “อามรมณ์ดี แต่นิดต้องไปแล้ว พวกต่ายรออยู่...” 
    
          “ให้พี่ขับรถไปส่งไหม แล้วเดี๋ยวพี่ขับรถไปรับ”  เคนรีบเสนอตัวอีกครั้งในใจเหมือนมีหวังว่าจะได้รับโอกาสจากแฟนสาว คำตอบที่ได้รับคือกุญแจรถที่อีกฝ่ายเดินเอามายัดใส่มือให้ พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆบนใบหน้าเพียงแค่นี้ก็ทำให้หายใจทั่วท้องได้แล้ว

               
           .... อย่างน้อย ตอนนี้คงยังไม่คิดจะถีบส่งกูไปไหนล่ะมั้ง.....
 

             ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาเล็กน้อยเมื่อทั้งคู่เดินลงมาถึงลานจอดรถ ยังเหลือเวลาพอที่จะขับรถไปส่งนิดในเมืองแล้วกลับมาช่วยพวกโชติเก็บของ เขาบอกให้นิดรอสักครู่ก่อนวิ่งไปคว้าถุงใส่เสื้อผ้าที่ซักตากเรียบร้อยแล้วของจูนเดินกลับมาที่รถ
    
          “เอาล่ะ ไปที่ห้างในเมืองใช่ไหม...”
    
         “ค่ะ นิดอาจจะดูหนังกับพวกต่ายด้วย...ตอนแรกว่าจะไปดูกันแก้เซ็งน่ะ”
    
         “ขอโทษนะที่พี่ทำให้นิดอารมณ์เสีย...” ชายหนุ่มเอ่ยเบาๆ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ยิน ดวงตาเหลือบไปเห็นถุงเสื้อผ้าที่วางอยู่ที่เบาะหลังและมันไม่ใช่ของเธอแน่
    
         “ถุงนั่นของพี่เคนเหรอคะ”
    
         “ของที่ชมรมน่ะ ตอนแรกจะเอาไปใส่บนเวทีแล้วใส่ไม่ได้ พี่เลยจะเอาไปคืน” เคนโกหกหน้าตาย รู้ดีว่าหากเอ่ยชื่อจูนขึ้นมาอีกคงเป็นเรื่องอีกแน่ๆ
    
         “เหรอคะ...เราไปกันเถอะค่ะ ต้องไปรับพวกต่ายอีก เดี๋ยวไม่ทันดูหนังกันพอดี”
    
         “ครับๆ เจ้าหญิง ...ตามแต่จะบัญชาเลยครับ” เคนไม่วายหยอกล้อให้เด็กสาวหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะพารถสีแดงสดเคลื่อนตัวออกจากบริเวณหอพักไป
    

             ระหว่างทางที่จะไปถึงห้างในตัวเมือง เคนเหมือนถูกกลุ่มเพื่อนของนิดต่อว่าเล็กๆกับการกระทำเมื่อคืน ทั้งที่รู้ว่าผู้หญิงพวกนี้ไม่ได้รู้ที่มาที่ไป และไม่ได้รู้จักเขาและจูนเลยแม้แต่น้อย แต่ก็อดที่จะรู้สึกไม่พอใจเล็กๆไม่ได้ ทำให้พอจะรู้แล้วว่ากลุ่มเพื่อนนั้นมีอิทธิพลต่อแฟนสาวของเขาแค่ไหน นิดถึงได้แต่หัวเราะเบาๆตลอดทางแบบนั้น

     
            “พวกผู้หญิงนี่ก็.....เฮ้อ....”

 
              เคนถอนหายใจยาวพลางหักพวงมาลัยเลี้ยวรถหวังจะกลับไปให้ทันช่วยพวก โชติและยุทธ์เก็บของที่ชมรม ตอนนี้เขาคงจะรู้สึกสบายใจกว่าหากได้พูดคุยกับคนที่อย่างน้อยก็สามารถพูดคุยและอยู่ได้โดยที่ไม่รู้สึกอึดอัดใจ ถนนหลวงทางตรงมุ่งกลับสู่มหาวิทยาลัย สองข้างทางคลาคล่ำไปด้วยรถเคนค่อยพารถสีแดงของนิดแทรกผ่านการจราจรไปเรื่อย ตาเหลือบมองเห็นถุงเสื้อที่ตั้งใจว่าจะนำไปคืนเจ้าของในใจพาลคิดไปว่าถ้าได้นำไปส่งคืนให้แล้วจะได้รับเสียงตอบรับกลับมาว่าอย่างไร
 
                “..... เออ.....ก็คิดอะไรแปลกๆนะเรา” เคนหัวเราะเบาๆก่อนจะกดคันเร่งลงไปอีกเล็กน้อย รถสีแดงคันเล็กพุ่งฉิวไปตามเส้นทางมุ่งหน้าสู่มหาวิทยาลัย


.........................................


               รถสีแดงคันเล็กแล่นเข้าไปจอดตรงใต้ร่มไม้หน้าตึกของห้องชมรมตามหลังรถสีขาวของยุทธ์เข้ามาแบบติดๆ ตรงตามเวลานัดพอดี เคนจอดรถเขาเหลือบไปเห็นว่านอกจากยุทธ์แล้วยังมีโชติและจูนติดสอยห้อยตามมาด้วย นี่ยุทธ์คงไล่รับกันมาทีละคนเป็นแน่ ชายหนุ่มเหลือบมองที่กระจกมองหลังเห็นร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มที่ทำให้เขาคิดมากเมื่อคืนนี้ จูนยืนอยู่ข้างรถพร้อมกับยุทธ์ ยังคงพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนิทสนมเหมือนเคยเห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ


                ....ความจริง มันก็คงไม่ได้มีอะไร ไม่ใช่รึไง...
 

                “พี่เคน....เมื่อเช้าจะกลับทำไมไม่เห็นปลุกอ่ะ...จะได้ไปหาอะไรกินกันก่อน...” ทันทีที่เห็นเคนดับเครื่องยนต์แล้วออกมาจากรถ ร่างสูงโปร่งของจูนก็เดินตรงเข้ามาหาทันที
    
          “ก็...เอ่อ...นึกได้ว่ามีธุระแล้วก็...เอ่อ...ก็เห็นแกนอน พี่ไม่อยากปลุก” ท้ายเสียงของเคนนั้นเบาลงไปจนแทบไม่ได้ยินเสียงจนแม้แต่เจ้าตัวเองยังแปลกใจ จูนได้แต่มองหน้าของอีกฝ่ายด้วยความสงสัยแต่ก่อนที่จะได้ถามอะไรออกมาเสียงของยุทธ์ก็ดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมกับช่วงแขนที่สวมกอดจูนจากทางด้านหลัง
    
          “คุยอะไรกัน...เรื่องที่ไอ้เคนมันหนีกลับตอนเช้าน่ะเหรอ ....ทำอย่างกับพวกได้แล้วทิ้งอย่างนั้นล่ะ” 
    
          “พี่ยุทธ์! พูดอะไรแบบนั้นอ่ะ...” จูนโวยลั่นทันทีใบหน้าแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
    
          “อ้าว...ก็นึกว่าไปปรับความเข้าใจแล้วก็...ปล่อยให้มันเลยตามเลย” ยุทธ์ยังไม่วายกวนประสาทด้วยคำพูดสองแง่สามง่ามในสำเนียงยียวน ท่าทางของยุทธ์ทำให้เคนขมวดคิ้วเล็กน้อย


           .... นี่เล่าให้ไอ้ยุทธ์ฟังด้วยเหรอ...
 
                 ....เผาอะไรกูไปบ้างวะเนี่ย...... .



              “ไอ้ยุทธ์พอเลยมึง คนเขาไม่ได้คิดแต่เรื่องใต้สะดือแบบมึงได้ทุกวันหรอกนะ” เคนพูดแล้วยื่นมือใหญ่ไปล็อคคอของยุทธ์ให้ถอยออกห่างจากจูน “นับวันยิ่งปากหมานะมึง”พูดพลางยิ้มเย็น เขาไม่อยากได้ยินยุทธ์พ่นคำอะไรแปลกๆออกมาอีกด้วยรู้ดีว่าคำเหล่านั้นจะแสลงหูจูนอยู่ไม่น้อย 
    
          “เอ้าเฮ้ย....พวกมึง มาช่วยกันหน่อยไม่ได้รึไงวะ ทางนี้กำลังต้องการแรงงานนะเว้ย” โชติรีบกวักมือเรียก เมื่อต้องยกกล่องอุปกรณ์ขนาดใหญ่ออกจากหลังรถของยุทธ์
    
        “เฮ้ย พี่โชติไม่ต้องเดี๋ยวผมยกเอง” แต่จูนรีบปราดเข้ามาช่วยยกทันที สองแขนถลกแขนเสื้อขึ้นเหนือหัวไหล่ ก่อนจะสอดมือเข้าไปรับกล่องมาจากโชติ “ฮึบ!”  แต่เพราะน้ำหนักของกล่องทำให้จูนต้องเดินเอนตัวไปทางด้านหลังเล็กน้อยเพื่อรักษาสมดุล
 
            “เฮ้ย จูน แกไหวเหรอนั่นน่ะ...ให้ช่วยป่ะ” เห็นท่าทางเก้ๆกังๆของเด็กหนุ่มร่างสูงทำให้เคนอดเป็นห่วงไม่ได้
    
          “ไม่เป็นไรพี่ ผมไหวๆ......” แต่จูนก็ปฏิเสธความช่วยเหลือ
    
         “อวดเก่งอีกละ....เดี๋ยวตกลงมาของพังกูไม่ช่วยออกเงินซ่อมนะเว้ย” เคนบ่นเสียงดัง รู้สึกหงุดหงิดเล็กๆที่ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธความหวังดี ดวงตาคมมองเด็กหนุ่มค่อยๆเดินตรงไปที่บันไดจะขึ้นไปที่ชั้นสองซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องชมรมการแสดง อันที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากให้ทั้งคนทั้งของตกลงมาเหมือนกัน
    
          “เอาล่ะ....” จูนตั้งท่าก้าวขึ้นไปทีละก้าว แต่เพราะความสูงของกล่อง กับฟ้าที่เริ่มมืดทำให้มองไม่ค่อยเห็นบันไดที่อยู่ด้านหน้า ปลายเท้าก้าวหมายจะแตะให้ได้อีกขั้นของบันไดแต่ดูเหมือนว่าจะก้าวไปไม่ถึง ร่างสูงโปร่งถึงกับเอนไปด้านหลัง  “เหวอ....

        “ จูนร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อแรงโน้มถ่วงกำลังจะฉุดเขาให้ตกลงจากบันได เด็กหนุ่มผวาแต่มือยังไม่ยอมปล่อยกล่องอุปกรณ์ จูนหลับตาแน่นรอรับแรงกระแทกเมื่อต้องล้มก้นจ้ำเบ้ากับพื้นด้านล่าง แต่ทั้งๆที่เตรียมใจแล้วกลับรู้สึกได้ถึงแรงดันจากด้านหลังอ้อมแขนที่กางกั้นระหว่างราวบันไดทั้งสองข้างนั้นช่วยรับน้ำหนักเขาเอาไว้ส่วนหนึ่ง เด็กหนุ่มรีบหันกลับไปมอง
   



           “พี่ยุทธ์...?!”
    
         “เดินระวังหน่อยซิ่วะ ....ล้มหัวแตกขึ้นมาว่าไง...” ยุทธ์ว่าพลางดันให้จูนยืนดีๆ
    
        “ขอบคุณครับพี่....” เด็กหนุ่มยิ้ม  “ความจริงพี่ไม่น่าเลย ผมตัวใหญ่กว่าพี่อีก พี่รับไม่ไหวขึ้นมาว่าไงเนี่ย เดี๋ยวตกลงไปเป็นแผลหน้าถลอกขึ้นมาจะทำยังไง” ยังไม่วายที่จูนจะห่วงใบหน้าของยุทธ์

           “เจ้าบ้า ก็ต้องห่วงตัวเองก่อนแล้วค่อยมาเรื่องคนอื่นไม่ใช่รึไงประสาทจริงไอ้เด็กนี่” ยุทธ์หัวเราะกับความคิดของอีกฝ่าย พลางยกมือขึ้นปัดผมหน้าของจูนเบาๆ เคนที่กำลังยกชองออกจากรถมาวางไว้ที่ตรงหน้าบันไดยืนมองภาพนั้นก่อนจะถอนหายใจด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย เหมือนเขารู้สึกหงุดหงิดกับภาพที่เห็นตรงหน้า

 
             ..... ไหนว่าไม่ชอบให้ใครเล่นหัวไง....


              “มา เดี๋ยวช่วยขนจะได้เสร็จสักที “ยุทธ์ว่าพลางยื่นมือออกไป แต่ไม่ทันจะได้รับกล่องพลาสติกนั่นมา เจ้ากล่องเจ้าปัญหากลับถูกมือที่สามคว้าไปเสียอย่างนั้น
    
           “พอๆ ไม่มีแรงพอกันทั้งคู่ก็ช่วยหลบๆไปเลย คนจะทำงาน”  ไม่พูดเปล่ากล่องพลาสติกที่คิดว่าหนัก เคนกลับยกขึ้นไหล่เดินขึ้นบันไดไปอย่างสบายๆ เสียงฝีเท้าลงหนักๆดังตามขั้นบันไดขึ้นไป จูนและยุทธ์ได้แต่มองตามอย่างไม่เข้าใจว่าอยู่ๆเคนก็เกิดอารมณ์หงุดหงิดอะไรขึ้นมา
    
         “เมื่อกี้มันว่าพวกเราเกะกะมันทำงานเหรอ จูน” ยุทธ์หันมาถามท่าทางแปลกใจอยู่ไม่น้อย
    
         “ไม่รู้เหมือนกันอ่ะพี่ยุทธ์ ผีเข้าผีออกอีกล่ะมั้ง” จูนยักไหล่ เขาก็ไม่ค่อยจะเข้าใจเหมือนกัน
    
        “เฮ้ย ของไม่ได้มีลังเดียวนะเว้ย มีกล่องเสื้อผ้าอีก มาช่วยกันเร็ว” พลันเสียงโชติที่สแตนด์บายอยู่ด้านล่างตะโกนเรียกทำให้ทั้งจูนกับยุทธ์ต้องรีบวิ่งลงไปช่วยขนทันทีและเพราะช่วยกันสี่หนุ่มสี่แรงไม่นานอุปกรณ์กระจุกกระจิกทั้งหลายก็ถูกจัดเก็บเข้าที่จนเรียบร้อย ทั้งสี่หนุ่มทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นของห้องชมรม
    
          “เฮ้อ..... ร้อนจริงวุ้ย ตึกชมรมนี่เขาไม่คิดจะบูรณะทำใหม่ติดแอร์อะไรเลยรึไงนะ” เคนบ่นอากาศร้อนๆในห้องชมรมทำให้เขาต้องถอดเสื้อออก สองขาเหยียดยาวอย่างหมดแรง
    
          “งบไม่มีนี่หว่า...จะว่าไป อาจารย์ที่ปรึกษาประจำชมรมเราก็....ไม่กลับมาจากเมืองนอกสักที...เลยได้แค่เนี้ยะ กิจกรรมคิดเองเออเอง อยากทำอะไรก็ตามใจ แค่...งบไม่เข้าก็เท่านั้นเอง” โชติว่าพลางหัวเราะแห้งๆ เขาพอจะชาชินกับสถานการณ์แบบนี้แล้ว พูดไปพลางก็หยิบผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดเหงื่อเม็ดเป้งบนหน้าผาก
    
          “แล้วเอาไงต่อเนี่ย เก็บของเสร็จแล้ว แกจะซ้อมหนังต่อเลยเหรอโชติ ....กูประท้วงนะเว้ย ร้อนโคตรอ่ะวันนี้ ขอพักก่อนสักวันเหอะ” ยุทธ์โวยขึ้นมา ร่างเล็กใช้ตักของจูนต่างหมอน ดูท่าเหมือนไม่อยากจะลุกอีกแล้ว
    
          “เออ กูยังไม่ทันจะได้พูดอะไรก็โวยซะแล้ว...ไม่ซ้อมก็ไม่ซ้อม แต่ขอถามก่อนว่าแสดงเมื่อวานเป็นไงบ้าง” โชติว่าพลางขยับเข้าไปนั่งหันหน้าเข้าหาทุกคน การสอบถามเรื่องการแสดงและปัญหาที่เกิดขึ้นบนเวทีเป็นเรื่องที่พวกเขาต้องทำทุกครั้งหลังจากการแสดงในแต่ละรอบ  “เรามีปัญหาอะไรกันบ้าง”
    
         “พี่เคนนอกบทเกินไป....” เสียงจูนเป็นเสียงแรกที่ดังขึ้น แต่ไม่ได้เอ่ยขึ้นเพราะอารมณ์ขุ่นเคืองเหมือนอย่างเมื่อคืน ถึงเขาจะไม่ค่อยเข้าใจว่าอีกฝ่ายนอกบทไปเพื่ออะไร แต่ในเมื่อมันเป็นปัญหากับการแสดงของเขาเขาก็จำเป็นที่จะต้องพูดออกมาตรงๆ
    
         “เคน...แกจะว่าไง” โชติหันไปถามผู้ที่ถูกพาดพิง
    
         “สำหรับฉันที่นอกบทเพราะจำไม่ได้เป๊ะๆนี่หว่า แต่ส่วนนึงมันก็ทำให้บทมัน เขาเรียกว่าไงวะ ภาษามึงอ่ะ ไอ้โชติ มันมีชีวิต? อะไรแบบนั้นแต่...............”เขาหยุดก่อนจะหันไปมองหน้าของจูน “ถ้ามันจะทำให้เสียสมาธิคราวหน้าก็คงต้องหาทางนัดแนะกันก่อน” 
     
          “แต่คนดูก็ชอบไม่ใช่เหรอ เมื่อคืน ไอ้จูนมันแต่งขึ้น สวยจะตาย” ยุทธ์ว่าพลางยื่นมือขึ้นไปจับข้างแก้มของจูนเบาๆ “เน้อ....”
    
         “ฮ่ะๆ...เขินเลยแฮะเรา” จูนหัวเราะ มือเรียวยกขึ้นแตะข้างลำคอของตัวเองเบาๆ “แต่ผมว่าถ้าพี่ยุทธ์แต่งต้องออกมาดูดีมากแน่ๆเลย...พี่โชติ คราวหน้าให้พี่ยุทธ์แต่งนะครับ”  ท่าทางเขินแบบนั้นทำให้คนที่นั่งเหยียดขาอยู่ตรงข้ามกับทั้งจูนและยุทธ์อดจะทำเสียงในลำคอเบาๆด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้ ปลายขายกขึ้นเตะขาของยุทธ์เบาๆ
    
         “  เฮอะ...ให้มันน้อยๆหน่อย กูจะอ้วก”
 
            “อะไรล่ะพี่เคน...น้อยใจที่ตัวเองโดนทาหน้าขาวจนไม่หล่ออ่ะดิ่” จูนหันมาทำหน้าทำตาใส่ดูยียวนกวนประสาทอยู่ไม่น้อย
     
         “รับไว้พิจารณา” โชติเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
    
         “อ้าว เฮ้ย...มึงเอาจริงสิ?” ยุทธ์พลิกตัวหันมามองหน้าของโชติทันที
    
         “อื้ม จริงดิ่ เรื่องหน้ามึงเป็นนางเอก...”  คำนั้นของโชติทำให้เคนหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้
    
         “เยี่ยม งั้นคราวหน้าจะได้ดูไอ้ยุทธ์ใส่กระโปรง” เคนยังคงหัวเราะชอบใจ
    
         “สาด อย่างน้อยกูคงดีกว่านางผียักษ์ใส่ยกทรงกับกระโปรงแดงเมื่อต้นเทอมล่ะวะ” ไม่พูดเปล่าส่งฝ่าเท้ามาถีบเคนเข้าอีกรอบ
    
         “เอ้าๆ เดี๋ยวค่อยว่ากันละกันนะเรื่องนั้น แต่เรายังมีงานช้าง งานยักษ์ที่ซ้อมไม่จบไม่สิ้น ยังไม่ได้เริ่มถ่าย อุปกรณ์สถานที่ยังไม่ได้หา แต่ดันเหลือเวลาอีกแค่สองเดือน”โชติร่ายมาเสียยาวแบบนี้ทุกคนก็ตอบออกมาเป็นเสียงเดียว
    
     
   “หนังสั้น”   
    

      “ใช่หนังสั้น ที่ฉันเป็นห่วงคือ ฉากเลิฟซีน แต่หลังจากที่เห็นเมื่อวานแล้ว คงยังต้องห่วงต่อไป เคนกับจูนกูรู้ว่าพวกมึงไม่ชอบนะ แต่....ช่วยทำใจให้อินกับบทแล้วแสดงไปตามธรรมชาตินะ ขอร้อง ไปซ้อมกันมาหน่อยก็ได้ อย่างน้อยจะได้ไม่เขิน”

           “ก็...ถ้าให้ทำใจกันก่อนก็คงพอไปไหวอ่ะพี่” จูนอ้อมแอ้มตอบ เขาไม่ถนัดนักกับการด้นสด ยิ่งถ้าอีกฝ่ายเป็นเคนด้วยแล้วมันตั้งรับลำบากเสียเหลือเกิน
    
        “เฮ้ย จูน นี่ต้องทำใจกันเลยเหรอ เล่นละครนะเว้ย ไม่ได้จะไปรบ” เคนจะยกขาเตะจูนเบาๆก็ยั้งไว้ก่อนด้วยกลัวจะดีดเข้าหน้ายุทธ์ที่นอนหนุนตักอยู่เข้าให้
    
       “เล่นละครกับพี่ก็เหมือนส่งผมเข้าสนามรบทุกวันนั่นล่ะ” จูนไม่วายเถียงกลับ
    
       “เอาน่าๆ ก็ไปซ้อมกันมาด้วย อย่าลืม กอด จูบ ลูบ คลำนี่ต้องไม่เขินแล้วนะเว้ย กูขี้เกียจจะเทคไหม”  โชติกำชับท่าทางเอาจริงใช่ย่อย
    
       “ถ้าขี้เกียจเทคให้มันเล่นกับกูดิ่ รับรองโคตรไหลลื่น...” ยุทธ์ลุกพรวดขึ้นมาสองแขนกอดจูนหมับเหมือนลูกหมีโคอาล่าเกาะต้นยูคาลิปตัส “แบบเนี้ยะๆ....” ไม่พูดเปล่าโน้มคอจูนมาหอมแก้มซ้าย ขวา ซ้าย ขวา จนแม้แต่เจ้าตัวยังต้องเบือนหน้าหนี
    

        “ว้าก....พี่ยุทธ์ไม่เอา เหวอ...จักกะจี้เว้ย.....” แต่ถึงจะโวยวายไปก็หัวเราะไป ไม่ได้มีท่าทีตกใจหรือหวาดกลัวเหมือนตอนที่เคนแกล้งในตอนนั้นเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังคว้าหน้าของยุทธ์มาพยายามจะเอาคืนด้วยการหอมแก้มคืนอีกต่างหาก เคนเหลือบมองไปทางโชติที่ดูจะเหนื่อยหน่ายกับการหยอกล้อของทั้งสองคนเต็มที จึงได้เอ่ยปากออกไปด้วยท่าทีไม่พอใจสักเท่าไรนัก

           “เฮ้ย เลิกเล่นได้ละพวกมึง...ไอ้โชติมันคุยอยู่นะ...” เคนดุจนทั้งสองคนสะดุ้งเฮือกก่อนจะแยกออกจากกันแล้วหัวเราะเบาๆ เคนถอนหายใจอย่างหงุดหงิด แต่กระนั้นก็ไม่แน่ใจนักว่าเขาหงุดหงิดเพราะอะไรกันแน่ ที่แน่ๆเขารู้ตัวว่าเขาใช้น้ำเสียงที่เข้มกว่าที่ควรจะเป็น
    
        “งั้นไว้คราวหน้าก็จะให้จูนเล่นกับยุทธ์ก็แล้วกัน” คำตอบของโชติทำให้เคนต้องหันไปถลึงตามองด้วยความประหลาดใจ
    
       “เยี่ยม งั้นตามนั้น” ก่อนจะได้ยินเสียงจูนสนับสนุนอีกเสียง จนเคนต้องหันควับกลับมามองทันที

    
        ...กร๊อบ...  ได้ยินเสียงกระดูกคอลั่นเต็มสองหู

    
        “โอ้ย...คอกู...”   

 
          “เอ่อ..... เอาเป็นว่ามะรืนนี้ค่อยมาซ้อมกันใหม่ละกัน จูนเตรียมคิดเรื่องเสื้อผ้าด้วย ส่วนยุทธ์ก็ต้องไปหาโลเคชั่นกับกู...ส่วนเคนไปช่วยไอ้จูนมันก็แล้วกัน” โชติตัดบทพร้อมสรุปเสร็จสรรพ “เอาล่ะ กลับกันดีกว่าพวกเรา”
    
        “เฮ้ย จูนกลับกับพี่ป่ะ...” ชายหนุ่มร่างเล็กอย่างยุทธ์ลุกขึ้นบิดซ้ายขวาก่อนจะหันมาหาคนที่เป็นหมอนให้เขามาพักใหญ่
    
        “เอ่อ...เหวอ...” เจ้าของผมสีบลอนด์ดูมีสีหน้าลังเล ร่างเพรียวพยายามจะลุกแต่เพราะนั่งทั้งๆที่มียุทธ์นอนหนุนตักอยู่นานทำให้ยืนได้ไม่มั่นคงนัก ร่างสูงโปร่งของจูนเซไปด้านหน้าแต่โชคยังดีที่แขนแกร่งของเคนเข้ามาพยุงเอาไว้ได้ทัน
 
           “เฮ้ย อะไรวะไอ้จูน แค่มีไอ้ยุทธ์นอนหนุนตักแค่นี้ก็เข่าอ่อนแล้วเหรอ“ จูนเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงทุ้มที่สุดแสนจะกวนประสาทนั้นทันควัน เห็นรอยยิ้มกว้างแปะอยู่บนใบหน้าคมของเคน
    
          “......ลองไปนั่งเองไหมล่ะครับ” เด็กหนุ่มเบือนหน้าไปอีกทาง “แต่อย่างพี่คงไม่สะทกสะท้านหรอก หนังหนากระดูกไดโนเสาร์นี่นะ”
    
            “เออ จะว่าไงก็เหอะ ไป...กลับกับพี่ ให้ไอ้ยุทธ์มันขับรถข้ามเมืองไปอีกเปลืองน้ำมันตาย บ้านมันรวยแต่พ่อมันไม่ได้เป็นเจ้าของบ่อน้ำมันนะเว้ย” ไม่พูดเปล่ามือแกร่งคว้าคอเสื้อของจูนให้เดินตามจนแทบจะเรียกว่าลากตัวออกจากห้องชมรมเสียมากกว่า ปล่อยให้ยุทธ์กับโชติยืนมองหน้ากันงงๆ ยุทธ์เผลอชี้มือเข้าตัวเอง
    
         
             
                 “พ่อกูไม่ได้เป็นเจ้าของบ่อน้ำมันอ่ะ แต่พ่อกูเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมัน”

       

     ..............................................to be continued

ออฟไลน์ shiawase

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
เกิดอะไรขึ้นในใจของพี่เคนกันนะ  หุหุหุหุ  น้องจูนนี่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงภัยใกล้ตัวเลย

เกิดอิพี่เคนมันหน้ามืดล้มทับกลิ้งๆๆๆๆ  น้องจูนจะแย่เน้ออออออออ

ปล. ไม่เอายัยนิดและคณะได้มั้ยอ่ะ

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
ตราบใดที่พี่เคนมีนิดก็ห้ามยุ่งกับจูนนะ
เกิดน้องมันรักมันชอบแล้วจะลำบาก
ผญนี่เป็นสิ่งที่ยากจะเข้าถึง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-05-2013 09:55:30 โดย quiicheh. »

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
@@@talk@@@

จะมีให้ลุ้นกันบ้างไหมนะ  :hao3:

...............................................


-12-

          แสงไฟหน้าของรถยนต์สีแดงคันเล็กสาดส่องไปตามถนนลาดยาวที่เป็นทางตรงยาวออกจากมหาวิทยาลัย ชายหนุ่มสองคนนั่งเคียงข้างกันอยู่ท่ามกลางบรรยากาศภายในรถที่นิ่งสนิท มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศภายในห้องโดยสารดังเบาๆคลอกับเสียงเพลงแนวบอสซ่าหวานหูดังคลอไปในแบบที่ขัดโดยสิ้นเชิงกับอารมณ์ของผู้โดยสาร
 
             “รถพี่เคนเหรอ ไม่เคยเห็น ...”ถามไปพลางดวงตาก็สอดส่ายสายตาสำรวจไปพลางทุกอย่างในรถให้ความรู้สึกเป็นผู้หญิงอย่างบอกไม่ถูกไม่ได้เข้ากับร่างใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างๆเลยแม้แต่น้อย
 
              “รถของนิดน่ะ....” เคนตอบเบาๆ
    
           “อ่อ...ของคุณแฟน....” จูนเองก็รับคำเบาๆ เช่นกัน เด็กหนุ่มก้มลงมองมือทั้งสองข้างของตัวเองเล็กน้อย “แล้วเอามาขับแบบนี้ แฟนพี่เขาไม่ว่าเอาเหรอ...ไหนว่าน้ำมันแพงไง”
    
          “แพงพี่ก็จ่ายเอง...แต่ยังไงเดี๋ยวก็ต้องไปรับเขาอยู่แล้ว เขาก็คงไม่ว่าอะไร” เคนตอบเสียงเรียบ “ว่าแต่หิวรึยัง ไปหาอะไรกินก่อนส่งแกเข้าหอก็แล้วกัน”
    
         “เลี้ยง?....ลาภปาก งั้นไปกันเลยพี่ชาย” จูนรู้สึกได้ถึงท่าทีแปลกๆของเคน แต่เขาไม่แน่ใจนักว่าความแปลกที่รู้สึกได้นั้นมันคืออะไรจึงได้แต่แหย่ออกไปแบบนั้น 
    
          “ให้มันน้อยๆหน่อยไอ้ตัวแสบ ยังไม่ทันบอกเลยว่าจะเลี้ยง...” เคนหัวเราะเบาๆขณะเร่งคันเร่ง อยู่ๆก็นึกถึงร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อขึ้นชื่อใกล้ๆกับหอพักของจูนขึ้นมาได้ “กินเนื้อได้ใช่ป่ะ “
    
          “อื้ม กินดิ่ ถามไมอ่ะ...”
    
          “เห็นเป็นอาตี๋น้อย นึกว่าจะนับถือเทพเจ้าแบบจีนๆอะไรแบบนั้น บางคนเขาไม่กินเนื้อไม่ใช่หรือไง”
 
            “อ๋อ เจ้าแม่กวนอิมน่ะเหรอที่บ้านก็นับถือนะ แต่...ผมไม่เคร่งน่ะ มีอะไรให้กินก็กินหมดล่ะ กินง่าย อยู่ง่าย เลี้ยงง่าย....เพราะฉะนั้นป๋าเคนก็เลี้ยงนะวันนี้  เย้ ขอบคุณครับ” สรุปเองเสร็จสรรพไม่พอยกมือกราบแทบอกงามๆไปอีกหนึ่งรอบ
    
         “เฮ้ย...ไอ้จูน เล่นบ้าอะไรวะ ขับรถอยู่นะเว้ย” เคนโวยพลางดันไหล่ของอีกฝ่ายออก กลิ่นหอมอ่อนๆจากเรือนผมสีทองของเด็กหนุ่มทำเอาหายใจหายคอไม่สะดวกไปครู่หนึ่ง เคนขยับคอเสื้อของตัวเองเบาๆก่อนจะเหลียวซ้ายขวาดูทิศทางรถแล้วหมุนพวงมาลัยเลี้ยวไปตามทาง
       
        “เออ....เลี้ยงก็เลี้ยง...”

    
          …………………………


          ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่เปิดตั้งแต่เช้ายันดึกดื่นที่อยู่ริมถนนยังคงมีลูกค้าแน่นเต็มร้าน แต่กระนั้นทั้งสองหนุ่มยังหาที่นั่งให้ตัวเองได้ต่างก็พากันสั่งก๋วยเตี๋ยวมากินกันคนละสองชาม
    

          “แล้วไปไงมาไง ถึงได้มากับเจ้ายุทธ์ได้ล่ะ...” เคนเอ่ยปากถามพลางหยิบเครื่องปรุงมาปรุงรสให้ก๋วยเตี๋ยวของตัวเอง
 
             “ก็...พี่ยุทธ์เขามาทำธุระให้พ่อ หอผมเป็นทางผ่านเลยแวะมารับอ่ะ” จูนตอบยังง่วนอยู่กับการหาตะเกียบที่ยาวเท่ากันมาใช้
    
          “เหรอ... แล้วคุยอะไรกัน เจ้ายุทธ์มันถึงได้รู้เรื่องพี่ไปนอนหอแกเมื่อคืน”
    
         “ก็คุยกัน....อ่ะ....ผมไม่ควรเล่าเหรอ...” จูนเงยหน้าขึ้นมามองสีหน้าตกใจอยู่ไม่น้อย
    
         “เปล๊า....ก็ไม่ได้ว่าอะไร” รุ่นพี่ยักไหล่พลางเสมองไปอีกทาง เขาอยากจะดูสิว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีอย่างไร
    
         “ถึงผมจะพูดเรื่องพี่มานอนที่ห้องแล้วแก้ผ้าอย่างหน้าไม่อาย แต่ผมไม่ได้พูดเรื่องที่พี่ทะเลาะกับแฟนพี่หรอกนะ” เด็กหนุ่มยืดหลังนั่งตัวตรงทันที สีหน้าที่มองมานั้นจริงจัง จนเคนอดจะหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้
    
         “เออๆ....เข้าใจแล้ว.....” เคนรับคำ ดวงตาคมมองใบหน้าของรุ่นน้อง “แล้วก็.....ขอบใจนะ”  พูดพลางยิ้มให้
    
         “อ่า...ครับ....” เด็กหนุ่มรับคำมือเรียวยกขึ้นแตะข้างลำคอเหมือนที่ชอบทำทุกครั้ง

         จูนที่วันนี้ไม่ได้เขียนอายไลน์เนอร์และไม่ได้ใส่คอนแทคเลนส์เหมือนอย่างทุกครั้งกำลังนั่งทำหน้ายิ้มแปลกๆยู่ตรงหน้า ไอร้อนจากบรรยากาศรอบด้านก็ทำเอาผิวขาวแบบเชื้อจีนนั่นแดงไปหมดจนเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าที่นั่งหน้าดำหน้าแดงอยู่ตรงหน้านี่เป็นเพราะคำพูดของเขาหรือบรรยากาศรอบข้างกันแน่
 
           “ฮ่ะๆ....ยิ้มอะไรของแก เอ้ากินเร็วๆ จะได้พาไปส่งหอ” เคนเหลือบมองนาฬิกาเล็กน้อยนี่อาจจะใกล้เวลาที่เขาจะต้องไปรับสาวๆ กลับจากที่ห้าง
 
          “จะรีบไปรับคุณแฟนล่ะสิ...ครับๆ จะรีบกิน” ไม่พูดเปล่ารุ่นน้องผมทองก็คีบเส้นหมี่สูดเข้าปากไปคำใหญ่
    
        “เอ้า ใจเย็นๆ เดี๋ยวติดคอตาย ไม่รับผิดชอบนะเว้ย” เคนหัวเราะเบาๆ มือแกร่งยกขึ้นจะขยี้ผมของอีกฝ่ายแต่ก็ยั้งมือเอาไว้ก่อน “......กินๆเข้าไปละกัน”


              มื้อเย็นเป็นก๋วยเตี๋ยวเนื้อคนละสองชามช่วยทำให้รู้สึกมีแรงขึ้นมาได้อีกหน่อยเมื่อเคนกับจูนกลับขึ้นรถ บรรยากาศในรถดูดีขึ้นมากเพราะระหว่างมื้ออาหารทั้งสองคนพูดคุยกันมากขึ้น เคนไม่แน่ใจนักว่าเขาเผลออมยิ้มไปกับคำพูดและท่าทางของอีกฝ่ายบ่อยครั้งแค่ไหน....และมันทำให้รู้สึกดีไม่น้อย เพราะตามปรกติแล้วมักเป็นเขาที่รู้สึกว่าจะต้องทำให้คู่สนทนาหัวเราะอยู่เสมอ
    

          “ความจริง...แกนี่ก็คุยเก่งเหมือนกันนะ จูน”  เคนเอ่ยขึ้นเบาๆขณะเหยียบคันเร่งให้รถสีแดงคันเล็กลัดเลาะไปตามซอกซอยที่เขารู้ว่าจะเป็นทางลัดไปยังหอพักของจูน
    
          “จะบอกว่าผมพูดมากก็บอกมาเถอะ....แต่ปรกติผมพูดได้เรื่อยๆนะ ถ้าสนิท”
    
          “ ....ถ้าสนิท? ….แสดงว่าก่อนหน้านี้แกกับพี่ไม่ได้สนิทกันงั้นสิ?....” เคนเลิกคิ้ว อดไม่ได้ที่จะสงสัยกับคำพูดของอีกฝ่าย

             “ไม่ใช่แบบนั้น ยังไงดีล่ะ ...สนิทของผมคือถ้าไม่เขินเวลาคุยด้วยก็เป็นสนิทล่ะมั้ง”
 
            “เหรอ...งั้นกับยุทธ์ก็สนิทกันมากเลยงั้นสิ?”
 
             “อื้ม ก็สนิท” จูนตอบสั้นๆ คำตอบสั้นๆที่เหมือนไม่ลังเลอะไรที่จะตอบ
    
          “เฮ้อ...อะไรก็ไอ้ยุทธ์ตลอดเล้ย....เอาเป็นว่า คราวหน้าคราวหลัง นอกจากเรื่องให้ไปส่งที่หอหลังเลิกซ้อม มีอะไรจะให้พี่ช่วยก็บอกละกัน แต่เรื่องหนังสือหนังหาไม่ต้องมาปรึกษานะเว้ย ไม่รับปรึกษาปัญหาการเรียน....แกหัวดีกว่าพี่เยอะ”
 
             “เยี่ยม งั้นวันไหนพี่เคนก็สอนผมขี่มอเตอร์ไซค์...สอนผมต่อยมวย ด้วยก็แล้วกัน....” จูนหันมายิ้ม
    
          “เอางั้นเลยเหรอ...ได้ๆ....” เคนรับปากทันที น่าแปลกที่รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก ในอกเหมือนใจเต้นแรงจนรู้สึกได้แต่กระนั้นก็ยังพยายามเก็บอาการเอาไว้ “ไว้วันไหนแกว่าง ก็บอกแล้วกัน จะพาไปชกกระสอบ”
 
             “อื้ม” จูนยิ้มกว้าง

    
......................................


          แสงไฟหน้ารถสาดส่องไปตามซอยแคบๆ จนกระทั่งมาจอดที่หน้าหอพักของจูน เคนจอดรถหลบเข้าข้างทางเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมไปหยิบถุงเสื้อผ้าของจูนที่เขารีบซักให้ตั้งแต่ช่วงเช้า
    
          “เอ้า นี่ของแก พี่ซักให้แล้ว” จูนรีบรับของไปเปิดดูทันที
 
            “โห....พี่เคน รีบซักรีบคืนไปป่ะ ความจริงไม่น่าเลยนะผมซักเองก็ได้”
    
          “เอาเหอะน่า....แล้วก็อย่าไปบอกไอ้ยุทธ์มันล่ะว่าพี่ทำแบบนี้....” รุ่นพี่หนุ่มกระแอมไอเบาๆ ความจริงก็เขินอยู่ไม่น้อย
    
          “ครับๆ จะเก็บไว้เป็นความลับ...” จูนว่าพลางก้มลงมองเสื้อผ้าของเขาที่อยู่ในถุง ท่าทางดีใจไม่เบา เคนเหลือบมองใบหน้านั้นแล้วเผลอยิ้ม  ดวงตาคมพิจารณาใบหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่ม สันจมูกโด่งได้รูป ตาเรียวแบบคนเชื้อจีนแต่ก็เป็นประกายชัดเจน ริมฝีปากได้รูปสวย   
 
            “เออนี่...พูดถึงเรื่องสนิทไม่สนิท ...พี่ว่าแกก็เพลาๆเรื่องเล่นกับไอ้ยุทธ์มันหน่อยก็คงจะดีนะ”เคนพูดขึ้นมาเบาๆ
    
          “เพลา? เรื่องอะไรอ่ะพี่?” จูนหันกลับมามองหน้าของเคนทันที รุ่นพี่ร่างใหญ่ไม่ได้ตอบทันที เขาหันมาครึ่งตัวช่วงแขนยาวยกพาดเบาะที่นั่งด้านข้างคนขับ พื้นที่แคบๆของรถอีโคคาร์คันกระจิ๋วดูแคบไปถนัดตา เคนถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะสบตากับเด็กหนุ่มรุ่นน้อง 
 
            “ก็ที่แกเล่นให้ไอ้ยุทธ์มันกอดมันหอมแก้มอยู่นั่นน่ะ....มันชวนคนเขาเข้าใจแกผิดไม่ใช่หรือไง ก็ถ้าเพลาๆหน่อยมันจะได้ไม่มีปัญหา....แบบเมื่อคืนอีกไง” ท้ายเสียงแผ่วลงเล็กน้อย ใบหน้าคมเบือนหน้าไปอีกทาง
    

         “พี่เคน...ห่วงผมเหรอ” จูนถามกลับมา 
       

        คำถามที่ได้รับทำให้หัวใจของรุ่นพี่กระตุกเบาๆ เขาไม่ได้ตอบแต่รับคำน้อยๆในลำคอ อีกใจก็อดสงสัยตัวเองไม่ได้ว่าจะไปเป็นห่วงเป็นกังวลกับเรื่องของอีกฝ่ายทำไมนักหนา
    
        “ก็เดี๋ยวมานั่งจ๋อยเป็นหมาหงอยเวลาโดนใครว่ามาอีก... ไม่มีใครเขาอยู่เถียงแทนแกได้ตลอดหรอกนะ”  ไม่พูดเปล่ามือแกร่งที่วางพาดเบาะข้างคนขับก็ยกขึ้นจะขยี้เส้นผมสีทองของอีกฝ่าย แต่จูนกลับขยับตัวหลบทันทีในพื้นที่แคบๆแบบนี้ไม่มีที่ให้เขาหลบไปไหนได้มากนัก
 
           “อะไร? เล่นหัวไม่ได้เหรอ? ทีไอ้ยุทธ์ยังให้จับได้เลย” เคนถามไม่วายพาดพิงบุคคลที่สามที่ทำให้เรารู้สึกหงุดหงิดแปลกๆมาตั้งแต่เมื่อวาน
     
        “ก็พี่ยุทธ์เขาไม่ได้ทำให้ผมตกใจแบบนี้นี่....” จูนตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ดวงตารีเสมองไปอีกทาง อันที่จริงเขาพูดความรู้สึกของตนเองไม่หมดด้วยกลัวอีกฝ่ายจะล้อเลียนอีก...ความรู้สึกเขินที่เกิดขึ้นทุกครั้งเมื่ออีกฝ่ายเข้าใกล้   
    
        “ถ้าอย่างนั้น... “เคนยิ้มเขาเอนตัวไปพิงประตูรถด้านหลังทำท่าเหมือนขบคิดเล็กน้อย
       “ถ้าพี่บอกก่อนหรือว่าให้สัญญาณก่อนว่าจะจับ แกก็จะไม่หนีพี่ใช่ป่ะ...ถ้างั้น...” เคนยกมือขวาขึ้นให้อีกฝ่ายมองเห็นก่อนจะยื่นมือเข้าไปใกล้ แล้วยกมือขึ้นวางลงบนเส้นผมสีทองของจูนเบาๆ
    
        “อ่ะ....”

         เห็นได้ชัดว่าจูนรู้สึกประหม่าแต่เคนก็ยังไม่หยุด มือแกร่งค่อยไล้ลงมาตามแนวของเส้นผมเรื่อยมาจนถึงใบหูบางและปอยผมสีทองที่อีกฝ่ายทัดหูเอาไว้ สันกรามได้รูปและปลายคางมน ทุกสัดส่วนดูลงตัว และทุกสัมผัสที่ส่งผ่านจากปลายนิ้วทำให้รู้สึกพึงพอใจอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งอีกฝ่ายที่สบตากลับมาด้วยท่าทีประหม่าแบบนี้ ท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงไฟจากโคมไฟหน้าหอพักทำให้ใบหน้าของจูนนั้นดูน่าเอ็นดูอยู่ไม่น้อย ดวงตาคมเผลอมองริมฝีปากบางที่อีกฝ่ายเม้มเบาๆนั่นด้วยความสนใจ ราวกับถูกดูดดึงเข้าไป เคนขยับตัวเข้าใกล้ และใกล้เข้าไปอีกนิด ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นในจังหวะที่ไม่เคยเป็น......

    
               
‘!!!! ......  Anywhere I will find you
                       Like my pulse is beating inside you’…….!!!!!”                                  
 (ไม่ว่าที่ใด ฉันจะตามหาเธอ เหมือนชีพจรของฉันมันเต้นอยู่ภายในกายเธอ)


              อยู่ๆเสียงโทรศัพท์มือถือของเคนก็ดังขึ้น เป็นเสียงเพลงที่นิดเป็นคนตั้งเอาไว้ให้ ไม่พอยังอุตส่าห์อธิบายความหมายให้เสร็จสรรพ ถึงนิดจะบอกว่ามันเพราะ ซึ่งเขาก็ยอมรับว่ามันเป็นเพลงจังหวะสนุกๆที่มีเสียงนักร้องสาวหวานหูที่เพราะใช่ย่อย แต่ในบางครั้งก็คิดว่าความหมายมันชวนหลอนได้เช่นเดียวกัน
    
          เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้เคนดันไหล่ของรุ่นน้องออกห่างทันที ใบหน้าคมหันไปมองอีกทางประหนึ่งอยากจะได้เวลาตั้งสติตนเองให้มั่นคงอีกครั้ง

          
...................สาด เมื่อกี้กูจะทำอะไรวะ................
          ........ ตั้งสติ เคน ตั้งสติ นี่มันไอ้จูนนะเว้ย ไอ้จูน.........
          ........ ถึงเมื่อกี้มันจะดู โคตร น่ารักมาก ก็ตามที .......
[/i]

 
            “ขอโทษ...พี่รับโทรศัพท์ก่อน” เคนยกมือขอเวลานอกสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะตัดสินใจยกรับโทรศัพท์นั้น

          “ครับ...นิด?...โอเค เดี๋ยวพี่ไปรับ” เคนรีบตอบกลับก่อนจะรีบตัดสาน เขาหันกลับมาและพบว่าที่นั่งข้างคนขับนั่นว่างเปล่า จูนเพิ่งก้าวออกจากรถไปเมื่อครู่ ร่างสูงรีบเปิดประตูรถตามลงไปทันที
    
          “จูน! “ ยังดีที่อีกฝ่ายยังไม่ทันก้าวขาไปไหน
    
         “ครับ....” เด็กหนุ่มหันมายิ้มแห้งๆ เหมือนไม่แน่ใจว่าควรจะทำหน้าอย่างไร
    
         “เมื่อกี้ เอ่อ....พี่....ขอโทษ “ เคนไม่แน่ใจว่าเขาควรจะขอโทษในเรื่องอะไรดี
    
        “มะ...ไม่เป็นไร...ผมไม่...เอ่อ...ผมไปดีกว่า พี่เองก็ต้องรีบไปนี่ เดี๋ยวคุณแฟนงอนอีกหรอก” จูนโบกมือแปลกๆ ท่าทางสับสนหากใครเดินมาเห็นคงคิดว่ากำลังเต้นคัฟเวอร์อะไรซักอย่างอยู่เป็นแน่
    
         “อ่ะ...เอางั้นนะ งั้นพี่ไปล่ะ เคนเองก็โบกมือให้กับอีกฝ่ายเช่นกันก่อนที่ร่างสูงจะกลับเข้าไปในรถอีโคคาร์สีแดงคันกระจิ๋วแล้วขับออกไปทันที


........................................

 
             แน่นอนว่าเคนไปถึงที่ห้างช้ากว่าที่คาดการณ์เอาไว้ เพราะพอขับออกมาจากซอยในหอพักของจูนได้เขาก็หักพวงมาลัยรถจอดสงบสติอารมณ์ที่ข้างทาง แต่ถึงจะพยายามทำจิตใจให้สงบก็แล้ว ท่องนโมพุทโธสังโฆก็แล้วแต่ใจก็ยังเต้นจนเหมือนจะกระเด้งกระดอนออกมาทางปากได้

    .....กูทำอะไรไปวะนั่น....


.......................................................



              “พี่เคน...เหม่อไปไหนเนี่ย ไฟเขียวแล้วนะคะ เดี๋ยวรถคันหลังเขาก็ว่าเข้าให้หรอก...”เสียงนิดว่ามือเรียวเล็กแตะเบาๆที่ไหล่แกร่งของชายหนุ่ม เคนไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่ยิ้มแห้งๆ ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่จะสับสนมากขึ้นจากการกระทำของตัวเอง

    
          “ อ่ะ ฮ่ะๆ....ขอโทษนะ เดี๋ยวพี่รีบไปส่งนิดกลับหอดีกว่าพรุ่งนี้มีเรียนนี่นะ”


.................................................


              อีกด้านหนึ่ง คนที่สับสนไม่แพ้กันยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่โซฟาหน้าทีวี ถึงจะพยายามเปิดเพลงแนวร็อคญี่ปุ่นทีตัวเองชอบให้ดังอยู่ในหูฟังราคาแพงที่พ่อซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปีที่แล้วแต่ไม่ได้ช่วยกลบเสียงหัวใจที่เต้นถี่รัวของตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย


              “ ...มันไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร พี่บ้านั่นมันแค่แหย่เล่นเหมือนทุกที มันไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร.....”

    
           จูนแทบจะท่องออกมาเป็นบทสวดแบบใหม่เผื่อจะสงบสติอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้บ้าง ทั้งๆที่เขาเองก็เห็นด้วยสองตานี้ ใบหน้าที่ใกล้เข้าของเคน สายตาและท่าทานั้นแปลกแตกต่างออกไปจากทุกครั้ง ไม่ใช่การแหย่เล่นเหมือนทุกที แต่กระนั้นก็ยังไม่อยากจะคิดเป็นอื่น เคนคงแค่เพี้ยนแหย่เขาเล่นเหมือนทกครั้ง ....มันควรจะเป็นเช่นนั้น และเขาเองก็อยากจะเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้น


................................................. to be continued


ออฟไลน์ KaorPaor

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +140/-4
เดี๋ยวกลับมาอ่านค่ะ

ออฟไลน์ shiawase

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
ช่วงเวลาของความสับสน ลังเลเข้ามาแลวววววว 
ไม่รู้จะรู้สึกยังไงดี...น้องจูนสู้ตาย!!!

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
ปาโทรศัพท์ทิ้ง!!!!!!!! จะจูบอีกรอบแระ โหยพลาดเบย

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
ปล่อยให้ผ่านไปได้ไง ตั้ง 12 ตอน แต่ไงก็อ่านทันแล้ว  :z2:
ความรู้สึก ที่ค่อย ๆ ซึมผ่านออกมาจากความรู้สึก และการกระทำ มันมาพร้อมกับอาการหวงเล็ก ๆ  :hao6:
ส่วนหนูจูน ยังไม่ค้นพบตัวเอง แต่กับอาการสั่นไหว เขินอาย เตรียมตัวมีสามีได้เลย  :mew1:
+1 ให้เป็นกำลังใจนะครับ  :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
@@@@talk@@@@
เห็นว่ามีคนมาคอมเม้นต์เพิ่มเติม คนเขียนก็ดีใจค่ะ  :katai2-1:
เรื่องของเรา มันเรียบๆ อาจจะไม่ค่อยหวือหวาอะไรนัก
แต่หวังว่าจะค่อยๆเข้มข้น(คิดว่านะ) เอาเป็นว่าเราปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน (ของเราด้วย) ดีกว่า

ขอฝากให้ติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ  :mew1:

ป.ล. สต๊อกใกล้จะหมดอีกแล้ว อาจจะขอเก็บสต๊อกสักสามสี่ห้าวันก่อนจะโพสต์ใหม่อีกรอบนะคะ
        งานยุ่งมาก แต่เราเขียนเป็นการแก้เครียด....ต้องแบ่งเวลาๆ  :katai4:
......................................



-13-



               เช้าวันจันทร์ที่คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ยังเป็นที่รวมตัวกันของนักศึกษาจากหลากหลายสาขาวิชาเพื่อมาเรียนวิชาพื้นฐาน ทุกคนดูไม่เร่งรีบที่จะเข้าเรียนเพราะยังเหลือเวลาอีกพักใหญ่กว่าจะเริ่มวิชาแรก โรงอาหารยังคงเต็มไปด้วยนักศึกษาที่มาขอฝากท้องก่อนเข้าเรียน กลิ่นของอาหารหลากหลายชนิดกับเสียงพี่สาวเจ้าของร้านร้องเรียกลูกค้าโฆษณาเมนูเด่นประจำวัน


              “เฮ้ย ไอ้จูน....มาแล้วพวกเรา...” เสียงสาวๆที่นั่งรวมกลุ่มกันอยู่ที่โต๊ะประจำกลุ่มพากันตะโกนเรียกเมื่อเห็นเด็กหนุ่มผมทองเดินสะพายเป้มาตามทางเดิน
    
          “ว่าไง....” จูนยิ้มน้อยๆ พลางยกมือทักทายกลุ่มเพื่อน
    
          “ไม่ต้องมาว่าไงเลยแก...มานี่เลยมานี่เลย” เสียงปิ๊กสาวห้าวดังขึ้นพร้อมร่างกลมป้อมที่วิ่งมาลากแขนของเขาให้เดินตามไปนั่งยังโต๊ะประจำกลุ่ม
    
          “เฮ้ยเบาๆ อะไรกัน....โวยวายแต่เช้าอ่ะ”    
    
         “เมื่อวันเสาร์แกไปแกรนด์โอเพนนิ่งมาเหรอ?” คำถามและศัพท์แปลกๆที่ถูกยิงมาทำให้จูนต้องขมวดคิ้ว
    
         “หะ? แกรนด์อะไร?”
     
         “ไม่ต้องมาทำไก๋ ก็ที่ไปจูบกับพี่เคนเอกพละมานั่นไง พวกแกเป็นแฟนกันจริงๆอ่ะ” พอถึงคำนี้เท่านั้นสาวๆทั้งกลุ่มก็พุ่งเข้ามาล้อมวงฟังแทบไม่ทัน จูนเหลือบมองซ้ายขวาสายตาของสาวๆที่ล้มรอบตัวเขาอยู่นั้นประหนึ่งฝูงหมาป่าที่กระหายหิว...กระหายใคร่รู้ในเรื่องที่พวกเธอได้เห็นได้อ่านแต่จากในการ์ตูน

         “ผู้หญิงอะไรวะ ทำหน้าโคตรหื่น ถอยไปเลย นี่มันไปกันใหญ่แล้ว ไม่มีอะไรทั้งนั้นล่ะ ก็แค่การแสดงบนเวที” จูนโบกมือปฏิเสธทันที
    
          “ไม่เชื่ออ่ะ ... ก็เห็นแกไปไหนมาไหนกับพี่เขาบ่อยๆ จูนยอมรับมาเหอะ พวกฉันรับได้นะเว้ย เรื่องแบบนี้ธรรมดาจะตาย” เพื่อนสาวอีกคนในกลุ่มก็เสนอหน้าเข้ามา จูนมองใบหน้าของเพื่อนๆอย่างเหนื่อยหน่าย
    
          “เชื่อเถอะ มันไม่มีอะไรให้พวกแกจิ้นกันไปมากกว่านี้หรอก พอ เลิกคิดไปได้เลย” ดวงตาสีน้ำเงินด้วยคอนแทคเลนส์นั้นสบตาเพื่อนๆท่าทีจริงจังยืนยันในคำพูดของตัวเอง
          “เลิกคิด...”จูนย้ำ ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ
          “แค่นี้ก็ก็เจอไปหลายข้อหาแล้ว...” ถ้าถึงขั้นเพื่อนๆในกลุ่มยังคิดกันไปขนาดนี้ไม่ต้องจินตนาการอะไรก็คงพอจะเดาปฏิกิริยาของคนอื่นๆในคณะได้  เพราะงานนี้ไม่ใช่แค่ลักษณะท่าทางของเขาเท่านั้น ยังมีตัวเสริมเป็นชุดกระโปรงวิกผมแต่งหน้า และขอบคุณเคนที่ช่วยเสริมบทบาทให้ “สมจริง” จนคนเชื่อกันไปครึ่งค่อนมหาวิทยาลัยแล้ว
   
         
    ................................................


             อีกด้านหนึ่งที่คณะวิทยาการจัดการ นิดแฟนสาวของเคนเองก็มาถึงคณะแต่เช้า แน่นอนว่ามีผองเพื่อนนั่งรอจะคุยด้วยอยู่ก่อนแล้ว
    

           “นิด...สรุปว่าเรื่องแกกับพี่เคนนี่เคลียร์กันรึยัง”
    
           “เปิดประเด็นแต่เช้าเลยนะ....ก็...อืม เคลียร์กันแล้ว....พี่เขาก็ขอโทษก็อธิบาย ฉันเองก็ขอโทษพี่เขาไปเหมือนกัน”นิดอ้อมแอ้มตอบ
    
           “อ๊ะ...ดูเหมือนจะมีคนแถวนี้ใจอ่อน....”ต่าย เพื่อนของนิดเอ่ยแซวเมื่อเห็นท่าทางที่เขินอายของเพื่อนร่างเล็ก
    
           “ก็...ก็ไม่เชิงว่าใจอ่อนหรอกนะ แค่...มันก็ผิดด้วยกันทั้งคู่ ฉันเองก็แรงไปหน่อย พี่เคนเขาจะโกรธก็ถูกแล้ว...ไปว่าเพื่อนเขาแบบนั้น” อันที่จริงแล้วเรื่องของจูนแทบไม่อยู่ในหัวของนิดอีกต่อไปในเมื่อ เมื่อคืนที่เคนไปส่งเธอที่หอเคนยังกระซิบเบาๆที่ข้างหูของเธอด้วยถ้อยคำหวานที่ไม่ได้ยินมาพักใหญ่ เพียงแค่นั้นหัวใจของเธอก็เหมือนจะหลุดลอยปลิวไปไกล หญิงสาวหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
    
         “แต่ที่พี่เขาโกรธนั่นเพราะแกไปว่าเพื่อนคนนั้นของเขาไม่ใช่รึไง ที่แกมาร้องไห้กับฉันว่าพี่เขาตวาดแกซะเสียงดัง...จะว่าโกรธแค่ไหนก็เถอะ แต่ทำแบบนั้นมันไม่ปกป้องเพื่อนคนนั้นมาเกินไปหน่อยเหรอ ก็เห็นกับตาว่า....จูบกันกลางเวทีซะขนาดนั้น” เสียงเจนเอ่ยขึ้น
    
         “เออ จริง....แบบนี้เขาเรียกอะไรดี ร้อนตัว แล้วรีบมาคืนดีกลบเกลื่อนความผิดหรือเปล่าแก”  ประหนึ่งเรื่องสนุกที่ชวนให้พูดคุยกันต่อแต่ละคนเสนอแนวคิดของตัวเองที่มีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งไม่ได้มีแนวคิดใดที่ทำให้นิดสบายใจขึ้นเลยรังแต่จะทำให้เกิดความรู้สึกระแวงสงสัยมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ
    
         “พวกแกคิดแบบนั้นจริงๆเหรอ...แต่พี่เคนเขาก็บอกแล้วว่าไม่มีอะไร ที่เขาโกรธเพราะว่าฉันไปเข้าใจเขาผิดด้วยนั่นล่ะ”
 
           “งั้นก็ไม่ต้องไปถามพี่เขาสิ ไปถามเอาจากยัยกระเทยจูนนั่นเลยก็ได้นี่นา” ต่ายเสนอความเห็น
    
         “จะดีเหรอ....”นิดดูมีท่าทีลังเล “เดี๋ยวเจอเขาตอกหน้าหาว่าฉันหึงไม่ดูตาม้าตาเรืออีกจะทำไงล่ะ”
    
        “โอ้ย...นิด หรือเธอจะยอมทนให้มันคลุมเครืออยู่แบบนี้ล่ะ ฉันไม่ได้หรอกนะ ต้องไปคุยให้รู้ด้วยตัวเอง ..” ต่ายว่า

                นิดขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะอันที่จริงเธอก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้อง “จำทน” อะไรขนาดนั้น เรื่องมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันก่อนนี้เอง และพอเข้าใจได้ว่าความใจร้อนด่วนตัดสินไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมาสักเท่าไร

          “แต่...ทำแบบนั้นมันจะดีเหรอ เหมือนเราจะไปตามเอาเรื่องเขายังไงก็ไม่รู้นี่นา”
 
          “ไม่ได้ไปเอาเรื่อง แค่จะไปคุยให้รู้เรื่องต่างหาก ว่าแต่คนที่ชื่อจูนนี่เขาอยู่คณะอะไรนะ”
     
               นิดส่ายหน้าเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน อันที่จริงกับคนในชมรมของเคนเธอไม่รู้จักใครเลย เพราะเคนไม่เคยพาเธอไปแนะนำให้ใครรู้จักเลยจนบางครั้งเธอก็อดคิดอย่างน้อยใจไม่ได้ว่า เธอไม่ได้รู้รายละเอียดอื่นๆในชีวิตของเคนเลย
    

        “อยากรู้แต่ไม่อยากถามกับพี่เคน ก็ไปถามกับโชติสิ โชติเขาเรียนเศรษฐศาสตร์นี่นา”เจนเสนอ

          “เอ้อ วันนี้ฉันมีวิชาเลือกเรียนกับพวกเศรษฐศาสตร์อ่ะ เหมือนจะมีคนชื่อโชติเรียนอยู่ เดี๋ยวไปถามมาให้นะ”ต่ายว่า
    
       “เอาแบบนั้นเลยเหรอ...อย่าดีกว่าต่าย ...” ไม่ว่าจะฟังอย่างไรนิดก็ยังเห็นว่ามันไม่ใช่ไอเดียที่ดีเลยแม้แต่น้อย
 
          “เหอะน่า... เดี๋ยวไปถามมาแล้วเราไปตามหาคนชื่อจูนกัน ถ้ามันไม่มีอะไรจริงๆ เขาปฏิเสธคำเดียวเธอก็จะได้สบายใจไงล่ะ” คำพูดของเพื่อนได้รับการเห็นพ้องด้วยจากอีกหลายๆคนที่พยักหน้าลงเป็นจังหวะเดียวกัน ดวงตากลมโตของนิดมองหน้าของเพื่อนๆอย่างชั่งใจก่อนจะพยักหน้าตกลง
    
       “อืม พวกแกว่ายังไงก็ว่าตามกัน....ได้ข่าวว่ายังไงก็โทรมาหาด้วยนะ ฉันจะรอ” 
 
            นิดอดแปลกใจไม่ได้กับคำพูดของตัวเอง ที่สุดท้ายแล้วก็ตอบตกลงจะทำตามที่เพื่อนว่า ขอให้รู้ว่าจูนอยู่คณะไหน เธอก็จะได้ไปถามจูนโดยตรง อาจจะเป็นเพราะว่าส่วนหนึ่ง ลึกลงไปข่างในหัวใจของเธอแล้วบางทีเธอก็อาจจะยังไม่วางใจจากเรื่องความสัมพันธ์ของเคนและคนที่ชื่อจูนนั่นเสียทีเดียว
    

         ...........................................................



             เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นในช่วงเกือบสี่ทุ่มของคืนวันจันทร์ท่ามกลางเสียงดังอึกทึกของเพลงที่กำลังได้รับความนิยมจากหมู่นักศึกษา ถึงแม้จะมีคนไม่มากแต่ก็นับว่าเป็นจำนวนที่เปิดร้านแล้วไม่ขาดทุนสำหรับคืนวันจันทร์ 
     
                 “เฮ้ย ยุทธ์โทรศัพท์มึงดังอ่ะ... “
    
                 “เออๆ.... ฮัลโหลว...สวัสดีครับที่รัก โทรหาพี่ทำไมเหรอจ๊ะ” ยุทธ์เดินกลับออกไปทางหลังร้านที่เขาจะมาช่วยเพื่อนดูกิจการบ้างเป็นบางวัน พยายามหลบเสียงอึกทึกออกไปให้ได้มากที่สุด
    
               “พี่ยุทธ์...ฮัลโหลพี่ ได้ยินผมหรือเปล่าเนี่ย...” เสียงของจูนดังลอดมาตามสาย
    
                “เออๆ ฟังอยู่ แล้วนี่แกอยู่ไหนเนี่ย โทรมามีไร” ยุทธ์เองก็ต้องตะโกนแข่งกับเสียงเหมือนกันเมื่อเสียงของจูนที่ส่งมาตามสายนั้นก็มีเสียงรบกวนดังไม่แพ้กัน
    
                “ผม...อยู่หน้าร้านพี่เนี่ย”
    
                “หา? มาทำห่านอะไรวะ...เออๆ เดี๋ยวพี่เดินไปหา รอแป๊บ” ถึงจะสงสัยแต่รีบวิ่งที่หน้าร้านทันที ร่างเล็กของยุทธ์เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ววิ่งเลาะด้านหลังร้านมาที่ด้านหน้า เห็นร่างสูงโปร่งของจูนยืนอยู่ที่ริมถนนด้านหน้าร้าน ท่าทางกระวนกระวาย ยุทธ์หยุดยืนมองท่าทีแบบนั้นเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
    

   ....ทำหน้าตาเหมือนมีปัญหาแบบนั้น....
    ....ไม่รู้ตัวรึไงว่ามันยิ่งน่าแกล้งน่ะ....



             “ว่าไงเรา.... ไหนว่าไม่เที่ยวแล้วทำไมมาหาพี่ถึงร้านล่ะ” ยุทธ์เดินเข้าไปตบบ่าเด็กหนุ่มร่างสูง แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสายตาที่อีกฝ่ายมองกลับมา
    
          “พี่ยุทธ์....” จูนยกมือข้างหนึ่งขึ้นดึงไหล่ของรุ่นพี่เข้าไปกอด
    
          “เฮ้ย...ไอ้จูน เฮ้ย เป็นอะไรวะ ปล่อยพี่ก่อน....หายใจไม่ออกเว้ย” ยุทธ์ตบไหล่รุ่นน้องเบาๆ ก่อนจะผละตัวออกห่าง   
     
          “ขอโทษ...ผมแค่ดีใจที่เห็นพี่ “ จูนว่า ยิ่งทำให้โชติงงกันเข้าไปใหญ่ ตัดสินใจลากแขนของรุ่นน้องร่างสูงเดินตามไปที่หลังร้าน
 
            “มานั่งนี่เลย...เป็นอะไรมาวะวันนี้...มาทำหน้าจ๋อยเป็นหมาหงอยอยู่หน้าร้านพี่เนี่ย แขกไม่เข้าร้านขึ้นมาว่าไง”
    
          “ขอโทษครับ...ผมแค่ไม่รู้จะไปคุยกับใคร” จูนก้มหน้าลงเล็กน้อย ทั้งๆที่เมื่อวานเพิ่งจะสัญญากับเคนไว้หยกๆว่าถ้าหากมีเรื่องอะไรที่พอจะให้คำปรึกษาได้ก็ให้ปรึกษาได้ทุกเรื่อง แต่เขากลับทำตามสัญญานั้นไม่ได้
    
         “แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ...” ยุทธ์ว่าพลางลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าของอีกฝ่าย ก่อนจะจุดบุหรี่ขึ้นสูบ
    
        “มีผู้หญิงมาตามผมล่ะ วันนี้ที่คณะ....”  จูนเอ่ย ท่าทีลำบากใจอยู่ไม่น้อย
    
        “อ้าว...ก็ดีนี่ มีสาวไหนเขาติดใจแล้วมาสารภาพรักรึไง” รุ่นพี่ผมสีน้ำตาลอดไม่ได้ที่จะแหย่พลางยกมือตบต้นแขนของรุ่นน้องเบาๆ
 
           “เปล่า เขาไม่ได้มาสารภาพรักหรอกพี่....เขามาถามว่า ผมเป็นกิ๊กกับพี่เคนหรือเปล่า...” 
    
         “แค่กๆ....อ่อก....โอย แค่กๆ แกว่าอะไรนะ? “ ยุทธ์สำลักบุหรี่อย่างช่วยไม่ได้ ดวงตากลมโตของรุ่นพี่เบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ
          “ทำไมเขามาถามแกแบบนั้นวะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับไอ้เคนวะ”
    
          “เอ่อ....เขาคงเป็นแฟนของพี่เคนน่ะครับ ....พี่นิด...อยู่คณะวิทยาการจัดการ”
 
             เมื่อได้ยินชื่อของบุคคลที่สาม ยุทธ์นิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง เขาเคยได้ยินชื่อนิดก็น่าจะเมื่อคืนก่อนที่เคนตะโกนเรียกออกไปพร้อมๆกับที่มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งออกไปจากกลุ่มคนดู
    
          “อ๋อ...คนนั้นสินะ แล้วทำไมเขามาถามอะไรแกแบบนั้นวะ”
    
         “.................” จูนได้ก้มหน้าลง เขาเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ยุทธ์ฟัง…


…………………………………


             วิชาเรียนภาคบ่ายเพิ่งจะเลิก วันนี้อาจารย์ปล่อยเร็วกว่าปรกติเล็กน้อยทำให้กลุ่มของจูนพอจะมีเวลาลงมานั่งเล่นกันอยู่แถวๆโรงอาหารของคณะ ช่วงบ่ายก่อนจะเปลี่ยนชั่วโมงเรียนแบบนี้ถือเป็นเวลาเหมาะสมนักที่จะนั่งล้อมวงกินลูกชิ้นทอดอีกหนึ่งเมนูขึ้นชื่อของโรงอาหารคณะมนุษย์ จูนรับหน้าที่เดินไปซื้อมาให้สาวๆสองจานใหญ่ กลุ่มของเขามีแต่สาวกินเก่งชนิดกินไม่ยั้งกันทั้งนั้น


             “เบาๆหน่อยปิ๊ก เดี๋ยวก็ติดคอตายกันพอดี” จูนปรามเพื่อนร่างอวบที่ดึงลูกชิ้นไก่หายเข้าปากไปทีละสามลูก
    
           “อ้ออันอะอ่อยอี้อา...(ก็มันอร่อยนี่นา).....” ถึงจะฟังไม่ได้ศัพท์นักแต่ก็พอจะจับใจความได้จากสีหน้าและท่าทาง
    
          “ฮ่ะ....ผู้หญิงอะไร” จูนเบ้หน้าเล็กน้อยพลางจิ้มลูกชิ้นเข้าปากบ้าง


            “ขอโทษนะคะ....” พลันเสียงหวานที่ไม่คุ้นหูของใครบางคนก็ดังขึ้นขัดจังหวะการกินของคนทั้งกลุ่ม เมื่อหันกลับไปดูก็ยิ่งต้องแปลกใจมากขึ้นไปอีกในเมือคนที่เรียกความสนใจของพวกเธอเอาไว้เป็น นักศึกษาสาวจากคณะข้างเคียง
 
           “มีอะไรเหรอคะ....” แพรสาวหมวยหน้าตาละม้ายคล้ายคนญี่ปุ่นเอ่ยถามกลับพร้อมรอยยิ้ม
    
         “คือ...ไม่รู้ว่าพวกน้องรู้จัก คนที่ชื่อจูนไหมคะ....ผู้ชาย...เอ้ยไม่สิ กระเทยที่ชื่อจูนน่ะค่ะ”  เพียงแค่ได้ยินชื่อก็ทำเอาทั้งกลุ่มต้องหันมองหน้ากันเลิกลัก คนชื่อจูนที่อีกฝ่ายว่านั่นก็พอจะรู้จักอยู่หรอกในเมื่อทั้งคณะมีผู้ชายชื่อแบบนี้แค่คนเดียวเพียงแค่......ไม่ใช่กระเทยตามที่อีกฝ่ายถามหาก็เท่านั้น
    
         “เอ่อ...ก็....” แพรเหลือบมองหน้าจูนเล็กน้อย เธอรู้ดีว่าจูนมีปัญหากับถ้อยคำแบบนี้มากแค่ไหน
 
           “ผมเองครับ... จูน ....” จูนยืนขึ้นพลางเดินเข้าไปหา หนึ่งคนในกลุ่มนั้นดูคลับคล้ายคลับคราเหมือนเคยพอที่ไหนมาก่อน ร่างสูงโปร่งที่ลุกขึ้นยืนต่อหน้านักศึกษาสาวทั้งสามคนนั้นดูสูงใหญ่กว่ามากเลยทีเดียว
    
         “อึ๋ย....อะไรกัน นิด ไหนว่าเป็นกระเทยไง....ไม่เห็นเหมือนที่แกบอกเลยที่ว่าผมยาวๆสีน้ำตาลไม่ใช่เหรอ” ต่ายว่า

           “ก็วันนั้นมันเห็นตอนกลางคืนนี่ต่าย .... ไม่ใช่แบบนี้ด้วย” เจ้าของชื่อดูลังเลเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าคนที่เดินมาพบนั้นเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งผมสีบลอนด์ทอง หน้าตาแม้ไม่ได้คมคายหล่อเหลาแบบมากมาย แต่ด้วยปรกติจูนทั้งเขียนขอบตาทั้งใส่คอนแทคเลนส์ ก็ไม่ต่างอะไรจากพวกแต่งตัวเลียนแบบการ์ตูนมายืนอยู่ตรงหน้าที่สำคัญไม่ได้มีท่าทีว่าจะตุ้งติ้งมีจริตจะก้านคล้ายผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย

           “แล้วสรุปว่าใช่ไหมล่ะ “เพื่อนอีกคนก็ดูลังเลที่จะพูดต่อเช่นกัน จูนมองท่าทางของทั้งสามคนพลางยิ้ม หญิงสาวร่างเล็กนัยน์ตาคมเข้มที่ยืนอยู่ด้านหลังเพื่อนทั้งสองคนนั้นน่าจะใช่คนที่เขาคิดเอาไว้จริงๆ ....ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะมาหาเขาถึงที่คณะแบบนี้


   ....นี่แสดงว่าคงจะติดใจมากสินะ.....
    ....และก็คงจะโกรธเรามากสินะ....



             “สรุปว่าพวกพี่จะมาคุยกับอะไรกับผมใช่ไหมครับ”แม้ในใจจะรู้สึกหวาดหวั่นแต่ปากกลับถามออกไป ดวงตาสีน้ำเงินเพราะคอนแทคเลนส์นั้นหรี่ลงเล็กน้อยยามที่ริมฝีปากนั้นหยักเป็นรอยยิ้ม
    
           “ช...ใช่ ค่ะ พอดีพวกพี่อยากจะคุยอะไรด้วยนิดหน่อย....” นิดเห็นท่าทีของอีกฝ่ายที่ดูสุภาพกว่าที่คิดทำให้แทนตัวเองด้วยคำว่าพี่ไปโดยปริยาย
    
           “นิด.....” แต่ต่ายที่มาเป็นเพื่อนกลับดูไม่พอใจเท่าไรนักที่นิดดูจะทำทีสุภาพกับจูนแบบนั้น “มาด้วยกันหน่อยสิ พวกเรามีเรื่องอยากจะคุยด้วย” ไม่พูดเปล่ากลับมองจูนชนิดหัวจรดเท้าก่อนจะเดินนำไปอีกทาง โดยมีนิดเดินตามไปติดๆ
    
             “เฮ้ย จูนมันเรื่องอะไรกันวะ” ปิ้กเอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วง
    
            “ไม่มีอะไรหรอก พวกแกกินกันไปก่อนเลย เดี๋ยวมา” จูนโบกมือปฏิเสธก่อนจะรีบเดินตามสองสาวนั่นไปอีกทาง
    
    
          ทั้งสี่คนเดินไปหาเก้าอี้นั่งห่างออกไปจากกลุ่มของจูนอยู่ไม่น้อย เด็กหนุ่มรอให้รุ่นพี่ทั้งสามคนนั่งลงก่อนแล้วจึงค่อยนั่งลงบ้าง ดวงตาสีน้ำเงินพิจารณามองคนทั้งสามที่นั่งตรงหน้าเขา อีกสองคนคงจะเป็นเพื่อนสนิทของนิด ดูออกได้ไม่ยากจากท่าทางเป็นเดือดเป็นร้อนกับภาษาที่ใช้ เด็กหนุ่มรวบรวมสติเมื่อประสานสองมือเรียววางบนขอบโต๊ะ ก่อนจะเอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย
 
             “พี่นิด...แฟนพี่เคนใช่ไหมครับ”  เจ้าของชื่อสะดุ้งเล็กน้อย
    
           “ช...ใช่....พี่เองล่ะ”
    
          “ผมเดาว่าพี่กับเพื่อนมีเรื่องอยากจะคุยกับผม เรื่องอะไรเหรอครับ” ถึงในใจจะพอคาดเดาคำตอบที่อาจจะพุ่งตรงเข้ามาปักหัวใจของตัวเองได้ แต่กระนั้นก็ยังจะเอ่ยถามออกไป จูนแค่อยากได้ยินให้มันชัดเจน และเขาคิดว่าอย่างน้อยการที่ให้อีกฝ่ายได้พูดออกมานั้นก็อาจจะช่วยระบายอารมณ์ความรู้สึกอะไรบางอย่างออกมาได้บ้าง
    
          หญิงสาวทั้งสามคนเหลือบมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่หนึ่งคนในนั้น คนที่มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า จะเอ่ยออกมา
    
         “เธอเป็นกระเทยใช่ไหม.....”
    
          “.......................” จูนไม่ได้ตอบ หากสบตาของอีกฝ่ายนิ่ง เขาหลับตาลงหวังว่าจะกลืนเอาก้อนน้ำลายของตัวเองลงไปให้หมด นี่เป็นกี่ครั้งกี่หนกันแล้วที่เขาต้องมาตอบคำถามเช่นนี้ กี่ครั้งกี่หนแล้วที่รู้สึกว่าคำพูดนั้นแสลงหูเสียดแทง
กี่ครั้งแล้วที่ต้องตอบออกไปว่า...
 
             “ผมไม่ใช่กระเทย....”
 
             “ไม่เชื่อหรอก แอ๊บแมนอยู่ใช่ไหมล่ะ....ในชมรมก็มีแต่ผู้ชายหล่อๆนี่ คงคิดจะเก็บไว้กินคนเดียวหมดสินะ เสียใจด้วยนะ พี่เคนน่ะ เป็นแฟนของนิดเขาล่ะ อย่างเธอน่ะคงจะหมดสิทธิ์นะ” อีกฝ่ายยังถามเขาด้วยท่าทีก้าวร้าว แต่จูนยังคงนิ่ง เขาเคยชินแล้วกับท่าทางแบบนี้ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถูก “เข้าใจผิด” ไปในลักษณะนี้


             “ถ้าสิ่งที่พี่เห็นบนเวที ทำให้พี่คิดไปได้แบบนั้น ผมจะถือว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วในฐานะสมาชิกชมรมการแสดง ... แต่พี่เชื่อผมเถอะ ผมไม่ใช่กระเทยจริงๆ” เด็กหนุ่มยิ้มอย่างสุภาพ
    
           “สรุปที่พูดแบบนี้คือจะยืนยันใช่ไหมว่าที่จูบกันนั่นเป็นแค่การแสดง”
    
           “ครับ....พวกผมเล่นบ้าๆบอๆแบบนี้กันเรื่อยๆ มันก็เป็นแค่การแสดง หลังเวทีนั่นแทบอยากจะอ้วกด้วยซ้ำไป” จูนตอบในใจเกิดมีคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว คำถามที่ทำให้รู้สึกหวาดหวั่น แต่ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงออกทางสีหน้า ดวงตาสีน้ำเงินของเด็กหนุ่มสบตามองกับนิดที่นั่งอยู่ตรงหน้า ดูท่าทางแล้วเธอก็คงไม่ได้อยากจะมาที่นี่สักเท่าไร แต่ต่อให้นิดเป็นคนที่อยากจะมาเห็นหน้า ถามไถ่เอาความกับเขาด้วยตัวเอง เขาก็ไม่ได้ว่าเธออยู่แล้วมันเป็นสิทธิ์ของนิด สิทธิ์ของคนเป็นแฟนที่จะหึง....ไม่ว่าอีกคนจะเป็นผู้หญิง หรือ ผู้ชายก็ตามที
    
          “เข้าใจแล้ว.....” นิดพยักหน้ารับคำน้อยๆ “แต่พี่ขอถามอีกคำนึง....จูน...ใช่ไหม....พี่ขอถามจูนอีกคำนึงนะคะ” ท่าทีของนิดดูสุภาพเรียบร้อยแตกต่างจากเมื่อคืนก่อนที่ดูหัวเสีย และแตกต่างจากเพื่อนอีกสองคนอยู่ไม่น้อย
    
           “ครับ....”
    
           “จูน...ไม่ได้ชอบผู้ชายใช่ไหม”

             “ไม่ครับ” เด็กหนุ่มตอบทันควัน ด้วยถ้อยคำที่หนักแน่น ดวงตาสีน้ำเงินที่สบตาของอีกฝ่ายนั้นเต็มไปด้วยความสัตย์จริง นิดสบตากับเด็กหนุ่มนิ่งเหมือนกำลังพิจารณาก่อนจะถอนหายใจยาว
    
          “.....ถ้าเรายืนยันแบบนั้น....พี่ก็จะไม่พูดอะไรอีกแล้ว ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจแบบนี้ พี่กลับล่ะ” นิดสรุปเองเสร็จสรรพก่อนจะลุกขึ้นเดินไปอีกทาง ไม่ได้รอเพื่อนสาวอีกสองคนที่ดูจะยังไม่อยากจะจบความเสียด้วยซ้ำ




    ..........................................................  to be continued

ออฟไลน์ shiawase

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
โอ้ย  อยากจะไซต์คิ๊กเพื่อนยัยนิ(นี่มันนิสัยสาววิทยาการชัดๆ!!)   :fire:

น้องจูนอดทนนะคะ  แม่ยกเชียร์อยู่  สู้ๆๆๆ

ปล.  ลูกชิ้นทอดคณะมนุษย์ฯอร่อยทุกมหาวิทยาลัย  คิคิ   :impress2:

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
@@@ Talk @@@
ค่อยๆปั่นไปอย่าง...เรื่อยๆ......
เลยอาจจะไม่อัพบ่อยนะ แต่ก็จะพยายามนะคะ
ฮือ....จะเปิดเทอมแล้ว.... :ling3:

....................................

-14-

              “จูน...ไม่ได้ชอบผู้ชายใช่ไหม”

             “ไม่ครับ” เด็กหนุ่มตอบทันควัน ด้วยถ้อยคำที่หนักแน่น ดวงตาสีน้ำเงินที่สบตาของอีกฝ่ายนั้นเต็มไปด้วยความสัตย์จริง นิดสบตากับเด็กหนุ่มนิ่งเหมือนกำลังพิจารณาก่อนจะถอนหายใจยาว
   
          “.....ถ้าเรายืนยันแบบนั้น....พี่ก็จะไม่พูดอะไรอีกแล้ว ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจแบบนี้ พี่กลับล่ะ” นิดสรุปเองเสร็จสรรพก่อนจะลุกขึ้นเดินไปอีกทาง ไม่ได้รอเพื่อนสาวอีกสองคนที่ดูจะยังไม่อยากจะจบความเสียด้วยซ้ำ


....................................................

 
              “แล้วแกก็ปล่อยให้เขาถามอะไรหมาๆแบบนั้นน่ะนะ“ ยุทธ์โวยวายด้วยไม่อยากจะเชื่อหู เขารู้ว่าตามปรกติแล้วถ้ากับคนไม่ค่อยสนิทจูนจะค่อนข้างสงบปากสงบคำแต่แบบนี้มันก็สงบมากเกินไป จนน่าโมโหแทน
 
              “อืม....ผมชินแล้วล่ะ”
    
          “ชิน? นี่แกชินกับเรื่องแบบนี้ได้ด้วยเหรอวะ โอย กูจะบ้า” ยุทธ์ขยี้หัวแรงๆ “นี่เขามากันสามคนขนาดนี้นี่สงสัยพวกอีกสองคนนี่คงหวังจะได้มาออกกำลังกายกันล่ะมั้ง...ไม่กลัวรึไงเรา เกิดเขารุมตบแกขึ้นมาล่ะจะทำยังไง”ว่าพลางก็ทิ้งก้นบุหรี่ลงกับพื้น หมดอารมณ์สูบต่อเสียแล้ว
    
         “ผมเป็นผู้ชาย ถ้าเขาจะตบมันก็คงไม่เจ็บนักหรอก”จูนตอบพลางหัวเราะแต่ก็ต้องตกใจเมื่อยุทธ์ใช้มือทั้งสองข้างตะปบข้างแก้มของเขาเอาไว้
    
        “เป็นผู้ชายก็เถอะ แกเองก็เจ็บเป็นไม่ใช่รึไง” ยุทธ์เอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง ในแววตาที่มองกลับมานั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วงที่จูนรู้สึกได้
    
         “...................” เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น อยู่ๆน้ำตาก็ทิ้งตัวลงมาจากหางตาอย่างช่วยไม่ได้ จูนรีบก้มหน้าลงเขาไม่ได้ตั้งใจจะร้องไห้ให้ยุทธ์เห็นเลยแม้แต่น้อย
  “ผม...เจ็บใจ” เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่น ความเจ็บปวดในวินาทีนั้นที่ถูกผู้หญิงสามคนนั้นถามคำถาม สายตาที่มองมานั้นเชือดเฉือน แต่ตอบโต้ออกไปไม่ได้ ไม่ว่าจะหนทางไหนหากตอบออกไปก็ไม่ก่อให้เกิดผลดีทั้งนั้น
  “ถ้าผม...ไม่เป็นแบบนี้....ก็คงดี” 

    “จูน...แกมองหน้าพี่.....” มือเรียวของยุทธ์จับหน้าของจูนให้เงยหน้าขึ้นมา “ที่แกเจ็บใจอยู่เนี่ย มันเป็นเพราะอะไร เพราะเขามาพูดเรื่องไม่จริง หรือเพราะเขามาพูดแล้วทำให้แกต้องโกหกตัวเอง“ เด็กหนุ่มตรงหน้าเหมือนจะสะอื้นขึ้นมาอีกรอบแต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมามากไปกว่านี้ จูนดูพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ร้องไห้ด้วยความรู้สึกโกรธหรือสับสนที่เป็นอยู่

    “แล้วผมควรจะทำยังไง เป็นยังไง พี่ยุทธ์ ผมควรจะตอบเขาไปว่ายังไง” ดวงตาสีน้ำเงินที่มองมานั้นดูฉ่ำชื้นไปด้วยน้ำตา ยุทธ์ถอนหายใจออกมาเบาๆ

    “................................... ลองพูดว่าแกชอบพี่สิ... “ยุทธ์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำเอาจูนสะดุ้งโหยง

    “เฮ้ย...ไม่เอาอ่ะ....” เด็กหนุ่มส่ายหน้ารัวๆ ใบหน้านั้นแดงก่ำขึ้นมาทันที

    “อะไรวะ ก็นึกว่าเป็นความจริงในใจ” ยุทธ์ยิ้มกว้างพลางลูบหัวของจูนเบาๆ ใบหน้าได้รูปของยุทธ์ที่ปรกติเป็นใครมองก็เห็นว่าเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหวาน แต่เมื่อมองใกล้ๆแบบนี้ในเวลานี้แล้วจะมองดูเท่และดูอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ

    “ความจริง อะไร...พี่ยุทธ์ตลกละ....ไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย” จูนยกมือปาดน้ำตา เผลอหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ รู้สึกได้ว่ายุทธ์กำลังใช้มือขยี้ผมของเขาเบาๆ

    “นั่นสินะ ช่างเถอะ แกหัวเราะได้แบบนี้ก็โอเคแล้วล่ะ ” ยุทธ์ว่าพลางลุกขึ้น “ไป....เข้าไปนั่งในร้านดีกว่า เดี๋ยวพี่เลี้ยงเบียร์แก้วนึง” ว่าพลางโอบไหล่ดึงให้อีกฝ่ายลุกขึ้นบ้าง

    “แก้วเดียว?....ขี้เหนียวจัง”

     “กินพอให้สบายใจ แล้วเดี๋ยวพี่พาไปส่งหอ โอเค?....” ยุทธ์ว่าพลางยิ้มเป็นรอยยิ้มที่สดใสขี้เล่นเหมือนทุกทีทำเอาจูนอดคิดไม่ได้ว่าสีหน้ากับน้ำเสียงที่จริงจังก่อนหน้านี้นั้นคืออะไร

 
    ...........................................


    ถึงจะโดนเพื่อนที่ร้านบ่น แต่ยุทธ์ก็ยังขอตัวออกมาส่งจูนที่หอและข้ออ้างอย่างดีคือ

                    “ไอ้นี่มันลูกคุณหนู นั่งรถรับจ้างแถวนี้ไม่เป็นหรอก...”
 

   “พี่ยุทธ์นี่อ้างเพื่อนได้ไม่ห่วงหน้าน้องเลยนะครับ.... คนอื่นเขาขำกันหมดเลย...” จูนอดจะแขวะอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าทั้งคำพูดของยุทธ์ การรับฟัง และเบียร์เย็นๆอีกแก้วใหญ่นั้นทำให้อารมณ์ดีขึ้นได้ไม่ยาก

    “ขำสิดี แกจะได้ไม่มีหน้าโผล่ไปที่ร้านพี่อีกไง....” ยุทธ์หัวเราะเบาๆในขณะที่เลี้ยวเข้าซอยตรงไปยังหอของจูน

    “อ้าว เป็นงั้นไป ไม่ให้น้องนุ่งไปหาที่ร้านนี่เพราะกลัวจะไปกินฟรีบ่อยๆงั้นสิ” ว่าพลางทำหน้างอ “ผมกินเหล้าไม่เก่ง ได้แค่กินนิดๆหน่อยๆแค่นี้ ไม่ทำพี่เจ๊งหรอก” จูนหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเห็นว่าอีกไม่กี่เมตรก็ถึงหอตัวเองแล้ว เวลาที่รู้สึกสนุกเวลามักผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ

    “ฮ่ะๆ...ทำหน้าอะไรไม่ได้เข้า เมารึไง” ยุทธ์ว่าพลางยื่นมือไปขยี้ผมของอีกฝ่ายเบาๆ น่าแปลกทั้งๆที่ผมของจูนเป็นผมทำสีแต่กลับให้สัมผัสนุ่มมืออย่างบอกไม่ถูก

    “แค่มึนๆน่ะ กำลังอารมณ์ดี....แต่ถ้าต่ออีกสักหน่อยอาจจะเมามั้ง...” จูนหัวเราะเบาๆ

    “เฮ้อ...เป็นแบบนี้ล่ะนะถึงไม่ค่อยอยากให้ไปที่ร้าน แกมันน่าแกล้งซะแบบนี้...”  ยุทธ์เหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆด้วยท่าทางอารมณ์ดี เสียงหัวเราะเบาๆในลำคอนั่นทำให้จูนอดจะสงสัยไม่ได้

    “อะไรของพี่.....” ยุทธ์จอดรถเข้าข้างทางห่างจากประตูใหญ่เข้าหอของจูนไปซักนิด ร่างเล็กกว่าหันมามองหน้าของจูนแต่เพราะแสงไฟจากหน้าประตูหอส่องมาไม่ถึงทำให้มองเห็นหน้าของอีกฝายไม่ชัดนัก

    “ก็ตอนแกทำหน้าลำบากใจเหมือนตอนไปยืนอยู่ที่หน้าร้าน กับตอนแกมึนๆแบบเนี้ยะมันน่าแกล้งนะ รู้ตัวบ้างรึเปล่า...”

    “ฮ่ะๆ พี่ยุทธ์เมาป่ะ? ผมเนี่ยนะ น่าแกล้ง ผมว่าคำพูดแบบนั้นมันเหมาะกับพี่ยุทธ์มากกว่าน้า....” ไม่พูดเปล่าถือวิสาสะยกมือขึ้นขยี้ผมรุ่นพี่เสียแบบนั้น

    “แกนั่นล่ะที่เมา....มาเล่นหัวพี่ได้ไง....” ยุทธ์จับมือของอีกฝ่ายเอาไว้

    “เมามั้ง เพราะวันนี้ผมว่าพี่ยุทธ์เท่จัง ใจดีด้วย...”

    “อ้าว งั้นถ้าแกไม่เมาปรกติพี่ไม่เท่ ไม่ใจดีเหรอ” ยุทธ์เลิกคิ้วสูง

    “ ฮ่ะๆ ก็ไม่ได้หมายความแบบนั้นหรอกครับ ขอบคุณนะครับที่....ฟังผม แล้วก็ขอโทษที่วันนี้ผม...งี่เง่าไปสักหน่อย” เด็กหนุ่มยิ้มให้กับอีกฝ่าย

    “ไม่เป็นไร...แค่แกยิ้มได้หัวเราะได้ก็โอเคละ....” มือเรียวของยุทธ์ขยี้ผมของอีกฝ่ายแรงๆอีกรอบ “รีบๆไปนอนได้แล้ว มานั่งทำหน้าเคลิ้มยิ้มหวานแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่ได้กลับออกไปหรอก”

    “หะ?....อะไรนะพี่” จูนถามกลับด้วยได้ยินไม่ได้ถนัดหู

    “เออๆ ไม่มีอะไรหรอกน่า รีบๆลงไปได้ละ เดี๋ยวพี่ต้องกลับไปที่ร้านอีก” ว่าพลางก็ไล่ให้อีกฝ่ายลงจากรถ ยุทธ์โบกมือลาอีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนจะขับรถออกไป ดวงตากลมโตเหลือบมองกระจกหลังยังเห็นร่างสูงโปร่งของจูนยืนส่งอยู่ไม่ห่างออกไปนัก ริมฝีปากได้รูปนั้นหยักเป็นรอยยิ้ม อีกฝ่ายคงไม่รู้หรอกว่าสำหรับเขาแล้วการที่จูนยิ้มได้อย่างอารมณ์ดีนั้นก็เป็นความสุขส่วนหนึ่งของเขาเหมือนกัน


………………………………


    “ร้อยสิบแปด.....ร้อยสิบเก้า......ร้อยยี่สิบ.....”


              เสียงนับเลขดังขึ้นปนกับเสียงหอบหายใจแรงๆของชายหนุ่มร่างสูงที่ลงไปนอนวิดพื้นอยู่ตรงกลางห้องนอน นาฬิกาที่ข้างฝาเดินไปใกล้จะเที่ยงคืนเข้าไปแล้วแต่เขากลับยังไม่รู้สึกง่วง อันที่จริงเขานอนไม่หลับมาตั้งแต่เมื่อคืนวาน เพียงแค่หลับตาภาพใบหน้าของใครบางคนก็จะลอยเข้ามาวนเวียนอยู่ในห้วงความคิด ทำไมเขาถึงรู้สึกสับสนไปได้ขนาดนี้ คิดวนเวียนหาคำตอบมานานก็เหมือนจะไม่มีอะไรดีขึ้น จะบอกว่าเป็นเพราะความใกล้ชิดหรือเขาก็ไม่ได้เพิ่งจะมาใกล้ชิดสนิทสนมกับจูนเมื่อเร็วๆนี้ ก็คบเป็นน้องเป็นนุ่งมาพักใหญ่ๆไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปรกติ แถมอีกฝ่ายก็เป็นผู้ชาย และแน่นอนตัวเขาเองก็เป็นผู้ชาย ผู้ชายที่มีแฟนเป็นผู้หญิงแล้วเสียด้วย จำเพาะเจาะจงอะไรจะต้องมารู้สึกแปลกๆกับสีหน้า ท่าทาง ดวงตา และริมฝีปากคู่นั้นเอาในตอนนี้ ยิ่งคิดยิ่งออกแรงวิดพื้นมากขึ้น มันไม่มีคำตอบที่จะอธิบายได้เลย
    
          ยิ่งเมื่อครู่ได้รับโทรศัพท์จากยุทธ์ มันยิ่งทำให้หงุดหงิดมากขึ้นไปอีก...เคนกัดฟันแน่น เขาไม่เข้าใจความรู้สึกที่เรียกได้ว่าหงุดหงิดจนแทบจะงุ่นง่านนี่เลยแม้แต่น้อย ไม่พอใจกับเรื่องที่ได้ยิน เจ็บข้างในอกลึกๆเหมือนเด็กที่ถูกแย่งของเล่นที่ถูกใจออกไปจากมือ อันที่จริงมันก็เป็นแทบจะทุกครั้งในระยะหลังนี่ที่เห็นจูนให้ความสนิทสนมกับยุทธ์มากกว่าใครๆ

    
          “ร้อยสามสิบเก้า ....ร้อยสี่สิบ....ร้อยสี่สิบเอ็ด....”

    
         ตัวเลขยังคงเพิ่มต่อไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายเคนก็หยุดและปล่อยตัวเองให้นอนคว่ำหน้าลงกับพื้นแบบนั้น ไม่ได้สนใจว่าพื้นห้องตัวเองจะเป็นอย่างไร ชายหนุ่มถอนหายใจยาว

    
          "เฮ้อ..........ทำไมกูต้องเป็นแบบนี้ด้วยว้า......” 


    ..................................................................
    

         TTT ! TTT!


             เสียงโปรแกรมในโทรศัพท์มือถือดังขึ้นกลางห้องเรียนทำเอาจูนสะดุ้งโหยง มองหน้าอาจารย์คนญี่ปุ่นก่อนจะก้มหัวลงเสียต่ำ
    
          “ขอโทษครับเซ็นเซย์”  จูนยิ้มหน้าเจื่อนก่อนจะรีบดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงมีข้อความเข้ามา และเมื่อเห็นว่าเป็นชื่อของใครก็ทำเอาต้องถอนหายใจ


   ....พี่เคน....
    ...โธ่เอ้ย...เพิ่งจะมาใช้เป็นเอาตอนนี้รึไงนะไอ้โปรแกรมเนี่ย....



               ทั้งๆที่สอนใช้ไปตั้งนานแล้วเคนกลับเพิ่งส่งข้อความมาหาเขาตอนนี้ เวลานี้ที่กำลังเรียนอยู่ รูปที่ปรากกฏบนหน้าจอเป็นรูปหมีสีน้ำตาลที่ดูท่าทางหงุดหงิดอยู่ใช่น้อย


   ....มีอะไร.....


     เด็กหนุ่มเหลือบมองอาจารย์ที่หันไปอีกทาง....


   ....เมื่อวานไปงอแงอะไรกับไอ้ยุทธ์......
    ....บอกว่ามีอะไรให้ปรึกษาพี่ก่อนไง...เด็กเปรตนี่....



             “อ้าว ด่ากูอีก....”จูนพึมพำออกมาเบาๆ พลางมองหน้าของหมีสีน้ำตาลที่ดูหงุดหงิดนั่นดูอย่างไรก็ไม่ได้เข้าเอาเสียเลยจนอดสงสัยไม่ได้ว่าท่ามกลางตลาดขายรูปตุ๊กตาที่มีอยู่มากมายนั้นจะมีใครทำรูปควายหน้าตาไร้ความฉลาดขึ้นมาสักตัวหรือไม่ เพราะไอ้เรื่องที่เขาไปปรึกษายุทธ์นั้นมันไม่ใช่อะไรที่จะพูดให้เคนฟังได้ง่ายๆเลย

    
....เงียบไปเลย คนกำลังเรียน....
    ....มีอะไรไว้ค่อยคุยหลังเลิกเรียนก็แล้วกัน....


           “จูนซัง...ใช้มือถือม่ายด้ายนะก๊ะ....” อยู่ๆเสียงอาจารย์ที่พูดภาษาไทยได้พอสมควรก็ดังขึ้นทำเอาจูนต้องยิ้มหน้าเจื่อนอีกรอบ

             “ซุมิมะเซ็น เซ็นเซย์ (ขอโทษครับ อาจารย์)”
    

.............................................


            ผลักประตูห้องเรียนออกมาในตอนเย็น ก็ได้ยินเสียงวี้ดว้ายจากเพื่อนสาวที่หน้าประตู
    
        “มีอะไรกันเหรอ....”  จูนเดินตามออกมาด้วยความสงสัยแต่แล้วก็ถึงบางอ้อ ในเมื่อมีชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาคมคายมายืนเก็กหน้าหล่ออยู่ที่หน้าห้องเรียน
    
       “พี่เคน....มาทำไรเนี่ย?”
 
         “อ้าว ก็บอกมีอะไรให้มาคุยหลังเลิกเรียน นี่ก็เลิกเรียนพอดี จะให้คุยเรื่องไหนก่อนดีล่ะ”  คำตอบที่ได้รับกลับมายียวนกวนประสาทอยู่ใช่ย่อย จูนเบะริมฝีปากเล็กน้อย
    
       “ก็ไปดิ่.... “ ว่าพลางก็เดินแยกจากกลุ่มเพื่อนไปอีกทาง เคนเองก็ผิวปากเดินตามไปอย่างอารมณ์ดี แต่เมื่อเดินลงมาจากตึก มือแกร่งของเคนก็คว้าคอเสื้อของจูนให้เดินตามตรงไปยังลานจอดรถที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก
    
      “ไปห้องพี่ละกัน วันนี้อยากซ้อมบท” เคนพูดสั้นๆเมื่อเดินมาถึงรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง
     
       “หะ....อ้าว เฮ้ย....” จูนอุทานเมื่ออยู่ๆ เคนก็โยนหมวกกันน็อคสีชมพูหวานแหววมาให้เด็กหนุ่มได้แต่ถอนหายใจเพราะไม่มีท่าทีว่าเคนจะหยุดฟังคำทัดทานใดๆ สุดท้ายก็จำใจขึ้นซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ของเคนกลับไปที่หอของเคนอยู่ดี

 
   ………………………………………..


              เสียงพวกกุญแจที่อยู่ในมือของเคนดังเรื่อยจากลานจอดรถขึ้นไปจนถึงหน้าห้องพัก อันที่จริงที่ตั้งใจเขย่าให้มีเสียงมาตลอดทางอาจจะเป็นเพราะตัวเขาในตอนนี้กำลังประหม่าอยู่มากก็เป็นได้ สาเหตุนั้นก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากรุ่นน้องที่เดินตามหลังอยู่ในตอนนี้ ทั้งๆที่อีกฝ่ายก็เป็นผู้ชาย แล้วก็ไม่ได้อ้อนแอ้นอรชรบอบบางขนาดที่เรียกได้ว่าเหมือนผู้หญิง แต่ทำไม...เขาถึงคิดว่าอีกฝ่ายน่าสนใจ....น่าเอ็นดู...ไปได้ขนาดนี้


    ...บ้าไปแล้ว...
    ...นี่กูคงบ้าไปแล้ว....
    ...ทำไมต้องลากมันมาถึงที่ห้องด้วยวะ...
    ....ดันไปอ้างว่าอยากซ้อมอีก บทก็จำไม่ได้...
    ....แล้วถ้ามันถามว่าทำไมไม่ไปห้องชมรมล่ะ
    ...ก็...ก็...ถ้าไปซ้อมที่ชมรมก็เขินไอ้สองแสบเตี้ยนั่นต้องแซวอีกนี่หว่า....
    ...จะไปซ้อมตามสุมทุมพุ่มไม้ เดี๋ยวแม่งก็หาว่ากูจะลากเข้าป่าไปอีก....
.    ...แล้วนี่กูเตรียมแก้ตัวพร้อมเลยเหรอเนี่ย....นี่มันบ้า...บ้าไปแล้วแน่ๆ....
    ....ทำไมหัวใจมันต้องเต้นแรงแบบนี้ด้วยวะ!...

 


........................ to be continued
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-06-2013 23:18:51 โดย goldfishpka »

ออฟไลน์ shiawase

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
พี่ยุทธ์หล่อโพดโพดดดดดดดดดดดดดดดดดดด  :impress2: :impress2: :impress2:

น้องจูนของเจ้อย่าเศร้าใจไป...มากิ๊กกับพี่ยุทธ์เถิดดดดดดดด  ปล่อยอิตาบ้าพลังไปไกลๆเลย  :angry2:

จับอิพี่เคนโขกข้างฝา  :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
ถึงนิดและพรรคพวกจะเป็นผญแต่จูนก็ผลักไหล่นางได้นะ
ชะนีจริงๆ5555555555555555555
เบื่อพี่เคนว่ะ ยุทธแมนสุดละใจใจดี

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
@@@ talk @@@
เค้าพยายามแล้ว........เค้าได้แค่นี้เจรงเจรง......


....................................................

- 15 -



    “พี่เคน...แน่ใจนะว่าไม่เป็นไร...หน้าตาตื่นๆอ่ะ” จูนถามเมื่อเดินตามอีกฝ่ายเข้ามาในห้อง ดวงตากวาดมองไปรอบๆ
 “โห...ห้องคนหรือรังหนูวะครับ...” จูนขมวดคิ้วแค่เห็นก็รู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมาเสียแล้ว

    “ห้องคนดิ่วะ แค่ยังไม่ได้เก็บ” เคนกระแอมไอเบาๆ ก็นึกเขินรุ่นน้องอยู่ไม่น้อย ร่างสูงเดินไปกอบเสื้อผ้าที่วางกองอยู่จะยัดใส่เข้าตู้

    “หยุด!! ไม่ต้องเลยคุณพี่ ไปยืนอยู่หน้าประตูโน่น มีเรื่องอะไรคาใจ บทอะไรเอาไว้ก่อน ผมทนไม่ได้อ่ะ ขอเก็บห้องให้ก่อนนะ”

ไม่พูดเปล่าจูนชี้นิ้วสั่งเสร็จสรรพ ร่างบางเดินไปหยิบตระกร้าผ้ามายัดผ้าที่ถอดวาง ถอดทิ้งของอีกฝ่ายลงใส่ตระกร้า มือเรียวคว้าเก็บขวดน้ำเปล่าที่ดื่มจนหมดแล้ววางไว้ตรงนั้นตรงนี้ทั่วห้องไปหมดใส่ในถุงขยะที่พอจะหาได้จากในลิ้นชัก ก่อนจะจัดการปัดฝุ่นกวาดพื้นดึงผ้าปูที่นอนให้เรียบร้อยจนเรียกว่าพอทนดูได้ ร่างสูงโปร่งของจูนเคลื่อนไหวคล่องแคล่วจัดการรังหนูให้พอดูเป็นห้องคนได้ในเวลาไม่นาน ทิ้งให้เจ้าของห้องได้แต่ยืนอึ้งอยู่แบบนั้น


    “โอเค...เสร็จ....”เด็กหนุ่มว่าเมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำหลังจากเข้าไปล้างมือสองมือเรียวเช็ดมือเปียกๆกับอกเสื้อเบาๆ

    “อ่า....ขอบใจนะ....”เคนไม่รู้จะเอ่ยอะไร อยู่ๆอีกฝ่ายก็มาจัดห้องทำความสะอาดให้แบบนี้เขาคงได้แค่เอ่ยคำขอบใจไปสั้นๆ ก่อนรีบเสนอให้อีกฝ่ายนั่งพัก  “นั่งก่อนป่ะ...ท่าจะเหนื่อยอ่ะ”

    “เหนื่อยดิ่ ...ผมว่าพี่ต้องเก็บห้องหน่อยนะ แฟนพี่เขามาห้องจะได้ไม่อายไง” จูนว่าพลางเสยผมที่ชื้นเหงื่อขึ้นเล็กน้อย เขาทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียง

    “นิดไม่เคยมาหรอก....” เคนตอบเบือนหน้าไปอีกทาง...เขาที่เป็นแบบนี้จะให้แฟนสาวมาเห็นได้อย่างไรกันมันไม่เท่เอาเสียเลย “มีแต่แกนั่นล่ะที่เคยมา...วันนี้”

    “ผมก็ว่า.... ไม่มีใครมานี่เอง มิน่า ห้องรกอย่างกับบ่อขยะ” จูนว่า

    “บ่อขยะเลยเรอะ....”

    “อื้ม คงหาคำอื่นไม่ได้แล้วล่ะ” เด็กหนุ่มตอบพลางฉีกยิ้ม “ดีนะผมมาวันนี้ค่อยดูดีขึ้นหน่อย”

    “ขอบใจ  ...” เคนว่าพลางยกมือขึ้นให้จูนเห็นก่อนแล้วค่อยขยี้ศรีษะของอีกฝ่าย จูนยกมือป้องเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้บ่นอะไร สภาพเหมือนปลงแล้วมากกว่ากับการที่อีกฝ่ายเล่นหัวแบบนี้

    “ว่าแต่เรื่องที่พี่จะคุยอ่ะ เรื่องอะไร ลากผมมาอย่าบอกว่าแค่ให้มาทำห้องให้แล้วจะไล่กลับนา...”

    “ก็จะให้มาซ้อมบท......” เคนว่าพลางโยนบทหนังสั้นให้กับอีกฝ่าย “ไอ้โชติมันบอกให้ซ้อมจนกว่าจะไม่เขินไม่ใช่รึไง"  รู้ทั้งรู้ว่าสีข้างตัวเองกำลังถลอกจนเลือดซิบแต่ก็ยังพูดออกไปแบบนั้นอยู่ดี

    “ไอ้เรื่องนั้นมันก็จริงหรอก...”จูนรับคำเบาๆ “อ้อ แล้วที่ว่าผมไปงอแงอะไรกับพี่ยุทธ์...พี่เขาเล่าอะไรให้ฟังงั้นเหรอ...”จูนถามอย่างหวั่นๆ เขาไม่แน่ใจว่ายุทธ์เล่าทุกเรื่องให้เคนฟังหรือเปล่า กลัวว่าสุดท้ายรู้เรื่องแล้วจะไปโมโหโกรธากับแฟนสาว หรืออะไรเหมือนเมื่อวันก่อนอีก

    “เอ้อ เรื่องนี้ก็ด้วย ซ้อมบทไม่ได้ทำไมไม่บอกพี่วะ ไปงอแงกับยุทธ์มันทำไม มันบอกว่าแกเครียดที่ต่อบทไม่ได้เลยไปหามัน....เดี๋ยว อย่าบอกว่าไปซ้อมจูบกับไอ้ยุทธ์มาแล้วนะ” เคนพูดด้วยน้ำเสียงตกใจระคนสงสัย มือแกร่งของเคนจับหน้าของรุ่นน้องให้หันมาบีบแรงเสียจนแก้มยู่ปากยื่น แค่จินตนาการตามก็รู้สึกหงุดหงิดจากเมื่อคืนก็กลับทำให้จิตใจขุ่นมัวขึ้นมากะทันหัน

    “อื้อ...อะไอเอ้าไอ้อู๊เอื้อง (อะไรเล่าไม่รู้เรื่อง)” รุ่นน้องผมทองพยายามจะโต้ตอบ มือก็พยายามดึงแขนของอีกฝ่ายออกจากปลายคางของตัวเอง เคนเห็นท่าทีต่อต้านพร้อมปฏิเสธจะเป็นจะตายแบบนั้นก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ

    “นี่สรุป ไม่ได้ซ้อมกันเหรอ” ท่าทางอารมณ์ดีขึ้นมาทันตาเห็น

    “อ้อไอ้อ่ะอิ่” (ก็ใช่น่ะสิ) จูนตอบกลับก่อนจะดันอีกฝ่ายให้ถอยห่าง “โอย...เจ็บ มือคนหรืออุ้งตีนหมีวะเนี่ย”  จูน
มองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจเท่าไรนัก “คิดได้ไงเนี่ยว่าผมไปซ้อมจูบกับพี่ยุทธ์น่ะ”

    “ก็มันบอกมางั้นนี่หว่า....” เคนตอบพลางเสมองไปอีกทาง คำตอบของเคนทำให้จูนอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมยุทธ์ถึงเล่าเรื่องที่...มีมูลความจริงเพียงแค่เสี้ยวเดียวให้อีกฝ่ายฟัง



   ....แต่จะให้เล่าเรื่องจริงไปก็ใช่เรื่องนี่นะ.....
    ....ขอบคุณครับ พี่ยุทธ์....

   

คิดได้แบบนั้นก็เผลอยิ้มแก้มแทบปริไม่ได้สังเกตอาการคนข้างๆเลยแม้แต่น้อย


   “เหอะ....ยิ้มอีก มาซ้อมบทเลยดีกว่ามา” โดยไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไรมากไปกว่านั้นสองแขนแกร่งดึงตัวของจูนเข้ามาใกล้ด้วยความหมั่นไส้

    
   .....พูดถึงไอ้บ้ายุทธ์ทีไรล่ะยิ้มแก้มปริเลยนะเด็กเปรตนี่.....
 



    “เฮ้ยๆ...” จูนโวยวายยกมือดันหน้าอีกฝ่ายจนหงายไปด้านหลัง

    “อ่อก.... ไอ้จูน อีกแล้วนะแก คอหักขึ้นมาทำไงวะ”เคนโวยวายแต่กลับเจอเด็กหนุ่มองกลับมาด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์สักเท่าไร

    “พี่เคนจะทำอะไร”

    “ก็จะซ้อมไง จูบเลยกะอิแค่ปากดูดปากนี่มันจะอะไรกันนักเชียว” ถึงจะพูดเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก แต่กลับใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่จ้องริมฝีปากที่ดูนุ่มนวลของอีกฝ่าย

    “โธ่เอ้ย...เขาบอกให้ซ้อมบท ก็ต้องมีบทด้วยดิ่ พูดไปพร้อมแอคติ้งอ่ะพี่...ไม่ใช่จะจูบดะท่าเดียว แบบนี้ออกไปเล่นหนังโป๊เลยไหม บทพูดไม่ต้อง!”

    “เอ่อ........มันก็จริง....โทษทีพี่มันพวกทำคะแนนปฏิบัติได้ดีอ่ะ”  เคนยิ้มแห้งๆ เสมองไปอีกทาง มือแกร่งปล่อยจากทั้งสองไหล่ของหนุ่มรุ่นน้องอย่างเสียไม่ได้  “แล้ว....แกจะให้พี่ทำไงวะ” 

    “ก็เริ่มจาก ช่วยกันอ่านบทกันดีๆอีกรอบไหมพี่ คือ เราเล่นเป็นคนรักกัน แต่ปัญหาคือ....พี่ก็ผู้ชาย ผมก็ผู้ชาย มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วจะให้อยู่ๆมาจูบกัน คงทำใจลำบาก ถ้าเราอินได้อย่างวันก่อนโน้นนนน....” จูนลากเสียงยาว
 “ก็ค่อยว่าไปอย่าง “จูนพูดพลางขยับถอยออกจากรุ่นพี่เล็กน้อย เด็กหนุ่มโคลงศรีษะเล็กน้อย
 “แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันนะ ว่าวันนั้นทำได้ยังไง อันที่จริง...การที่คนเราจะจูบกันเนี่ย พี่เคนไม่รู้สึกเหรอว่า มันไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่มีความรู้สึกอะไรนำมาก่อนอ่ะ แบบในละครใช่ป่ะ...หมั่นไส้ก็จูบ...อยากแกล้งก็จูบ..เศร้าก็จูบ ปลอบก็จูบ โกรธก็จูบ รักก็จูบ....“ ดวงตาที่ใส่คอนแทคเลนส์นั้นสบตาของรุ่นพี่

 “พี่เคนคิดว่าไง...”

  “...........................”

 คำพูดของจูนทำให้เคนคิดได้ที่เขาจูบจูนไปเมื่อคืนก่อนนั้น ...มันอาจจะเป็นเพราะอารมณ์ของเขา โกรธ?....ใช่มันอาจเป็นความไม่พอใจ ไม่พอใจเพราะอะไรกัน เพราะเรื่องที่ยุทธ์พูดอย่างนั้นหรอกเหรอ...ชายหนุ่มอดจะถามตัวเองไม่ได้ เพราะเขาไม่พอใจถ้าจูนจะสนิทสนมกับยุทธ์มากกว่า ในขณะเดียวกันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อน ที่เขาคิดว่าอยากจะจูบจูนนั้นมันเป็นเพราะความรู้สึกของเขาด้วยอย่างนั้นหรอกเหรอ...ที่รู้สึกเอ็นดู...คนตรงหน้า เคนเผลอยกมือขึ้นปิดจมูกเขารู้สึกว่าหน้าของตัวเองเริ่มมีความร้อนผะผ่าว
    
    
..........เฮ้ย....ไม่เอาน่า......
    ............ไม่จริงหรอก...........




    “พี่เคน?....เป็นอะไรหน้าแดง...ร้อน? ไข้จับ?”  จูนถามเมื่ออีกฝ่ายมีสีหน้าแปลกไป มือเรียวยื่นไปแตะหน้าผากของอีกฝ่าย แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อสายตาที่มองกลับมานั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“พี่เคน....?”

    “มะ...ไม่เป็นอะไร” เคนว่าพลางเบือนหน้าไปอีกทาง รู้สึกได้ถึงหัวใจของตัวเองที่เต้นไม่เป็นจังหวะ คำถามที่ถามเล่นๆแต่กลับได้คำตอบลางๆปรากฏขึ้นในความคิด คำตอบที่ยังไม่อยากจะเชื่อ

     “แน่นะ....” จูนขมวดคิ้วเล็กน้อย

    “เออน่า.....ไม่เป็นไรหรอก” เคนขยับออกห่างจากเด็กหนุ่มตรงหน้าเล็กน้อยกลัวว่าหากอีกฝ่ายเข้าใกล้ไปมากกว่านี้จะได้ยินเสียงหัวใจของเขาเข้าให้

 
   .....เสียงดังไปแล้วนะเว้ย....
    ......หยุดเต้นดิ่วะ......
    .....หยุดเต้นกูก็ตายสิ.....
    ...เอาเป็นว่า เบาๆหน่อยดิ่วะ....
 



    “แล้ว...พี่คิดว่าไง”     จูนถามต่อแม้จะไม่ค่อยเข้าใจกับท่าทางของอีกฝ่ายนัก

    “ว่าไงว่าไง ? “ เคนที่กำลังสับสนจนอาจจะเรียกตระหนกตกใจ

    “ที่ว่าถ้าจะจูบแล้วต้องมีอารมณ์ร่วม จะอารมณ์อะไรก็เถอะแต่ต้องมีความรู้สึกร่วม...พี่ว่าผมคิดแบบนี้ถูกไหม”

    “ก็...คงใช่มั้ง ปรกติพี่ไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้นหรอกนะ แล้วแต่ไอ้โชติมันว่า...”เคนตอบไปตามความจริง ด้วยปรกติแล้วเขาก็เป็นคนจำบทไม่ได้อยู่แล้วเลยไม่คิดว่าตัวเองจะอินกับบทบาทเพราะตัวของบทเอง ส่วนใหญ่เขาจะดูจากการกระทำของนักแสดงอีกคนแล้วค่อยแสดงด้วยภาษากายออกไปเสียมากกว่า

    “แต่ถ้าเราใส่ความรู้สึกลงไป บทก็จะสมจริงใช่ป่ะ แบบนั้นพี่โชติจะได้เหนื่อยน้อยลง งั้น...ทำไมเราไม่ลองใส่ความรู้สึกเพิ่มลงไปกันอีกนิดล่ะ อาจจะดีกว่าเป็นท่อนไม้กันทั้งสองคนก็ได้”

    “อะ...อ้อ เหรอ” เคนหัวเราะเบาๆ “ งั้นมันต้องเป็นไงล่ะ....” เคนขยับตัวไปนั่งพิงที่หัวเตียง ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่สังเกตว่าเขากำลังประหม่าอย่างเห็นได้ชัดขนาดนี้...  เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ที่ขอบเตียง หยิบบทหนังสั้นขึ้นมาอ่านยกมือข้างหนึ่งขึ้นตบเบาๆที่หัวเข่าราวกับกำลังนึก

    “อย่างเช่น...ถ้าจะจับมือก็...ต้องจับ...อ้าวแล้วหนีไปไกลแบบนั้นจะจับไงล่ะ” จูนยื่นมือออกไปแต่เพิ่งเห็นว่ารุ่นพี่ร่างสูงดันขยับหนีไปเสียไกล “มานี่เลย ไม่พูดเปล่าคว้าแขนของอีกฝ่าย ฉุดให้ลุกขึ้นมายืนข้างเตียงด้วยกัน

     “ต่อๆ... “ดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตสังกาอะไรเลย จูนจับมือแกร่งของเคนขึ้นมา สอดนิ้วประสานมือกับอีกฝ่าย “นี่ ถ้าจับแบบนี้ก็จะสมบทบาทมากขึ้น....” เด็กหนุ่มว่าพลางเงยหน้ามองหน้าของเคน “แบบนี้....”

    “............................” ดวงตาคมสบตาของเด็กหนุ่มนิ่งในตอนแรกเขาประหลาดใจกับความคิดของตัวเอง แต่ในตอนนี้บางอย่างที่ลอยขึ้นมาลางๆในใจนั้นกลับยิ่งจับกลุ่มก้อนชัดเจนมากขึ้น แม้จะไม่แน่ใจนกว่าคืออะไร รู้เพียงแค่ชัดเจนมากขึ้น เคนมองมือเรียวของจูนที่สอดประสานอยู่กับมือของตัวเอง มือของจูนเย็น เป็นมือเย็นๆที่ทำให้รู้สึกดีอย่างไม่น่าเชื่อ เคนเผลองอนิ้วประสานมือตอบรับกับอีกฝ่าย

    “แล้วยังไงต่อ......” เคนถามพลางอมยิ้มน้อยๆที่มุมปากรู้สึกพอใจอย่างบอกไม่ถูก

    “อืม... “จูนส่งเสียงในลำคอเบาๆอย่างครุ่นคิด ก่อนโคลงศีรษะเบาๆ “ไม่รู้สิ ผมไม่เคยมีแฟนนี่ เวลาคนเขามีแฟนเขาทำ......” ยังไม่ทันที่จูนจะได้พูดจบประโยคก็ชะงักเมื่ออยู่ๆเคนก็ยกสองแขนขึ้นโอบไหล่ของจูนเข้าไปหาจนจูนต้องเกยคางขึ้นกับไหล่แกร่งของอีกฝ่าย 

    “เขาทำกันแบบนี้...ไอ้หนู ....” ไม่พูดเปล่ากระชับอ้อมแขนเข้าหากันเล็กน้อย

    “อึ่ก....พี่เคน....”ด้วยอยู่ๆก็ถูกดึงเข้ามากอดจูนยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ “ปล่อยก่อน”

    “อยู่นิ่งๆซิ...อยากแสดงให้สมบทบาทไม่ใช่เหรอ”  เสียงทุ้มต่ำเบาๆข้างหูจูนรู้สึกได้ถึงไอร้อนจากลมหายใจของอีกฝ่าย

    “แต่นี่มันแค่ซ้อม....”เสียงของเด็กหนุ่มเองก็ดังอู้อี้อยู่ในอ้อมแขนของรุ่นพี่ร่างสูง

    “เออน่า.................” เคนพูดอย่างขอไปที แต่มือก็ยังไม่ยอมปล่อยแถมยกมือลูบผมของอีกฝ่ายเบาๆ

    “..............” จูนยืนนิ่ง ถึงก่อนหน้านี้จะเคยกอดกับเคนตอนซ้อมมาก่อนแต่ความรู้สึกทีสัมผัสได้นั่นมันไม่ใช่แบบนี้เลยแม้แต่น้อย ท่าทางของเคนดูแปลกไป แต่จูนบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร เขาได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายที่สะท้อนอยู่ในอก สอดประสานไปกับหัวใจของเขาเอง ก่อนที่เคนจะขยับตัวถอยออกมาเล็กน้อยดวงตาคมสบกับดวงตาของเขาทำเอาหัวใจในอกบีบตัวแรงจนคล้ายจะรู้สึกเจ็บ

    “ถ้าจะกอดล่ะก็ทำแบบนี้....เข้าใจไหม” เคนยิ้มน้อยๆ ท่าทางกวนๆเหมือนเช่นทุกที ทำให้จูนคิดได้ว่าอีกฝ่ายคงกะแกล้งเขาอีกเป็นแน่ ที่เขารู้สึกไปเมื่อกี้คงเพราะเผลอตกหลุมพลางเรื่องล้อเล่นของอีกฝ่ายเป็นแน่

    “อ๋อ......” จูนลากเสียงยาว “แล้วถ้าทำแบบนี้ด้วยล่ะ....” มือเรียวดึงเคนเข้ามาใกล้อีกครั้งแขนหนึ่งโอบเอวขของร่างสูงเข้ามาใกล้ แขนอีกครั้งดึงแขนของเคนให้โอบรอบคอของเขาเอาไว้

    “เอ่อ...เอาแบบนี้เลยเหรอ” เคนที่ตอนแรกแค่กะจะทำตามใจตัวเองเล็กๆแกล้งอีกฝ่ายหน่อยๆ ตอนนี้กลับอึกอักเพราะท่าทางของพวกเขาในตอนนี้ที่ช่วงอกที่ไล่เรื่อยลงไปจนถึงช่วงเอวนั้นเกือบจะเรียกได้ว่าแนบชิด

    “ใช่...แบบนี้ล่ะ...” จูบรับคำเสียงใส “ถ้าทำแบบนี้....แล้วจูบซะ...ก็จะเป็นการแสดงที่ลื่นไหลใช่ไหมล่ะ”

    “อะ...อื้ม.....ก็คงงั้นมั้ง”

    “งั้นพี่ก็ลองจูบผมสิ ....ต้องทำปากแบบนี้ด้วยรึเปล่า” ไม่พูดเปล่าเด็กหนุ่มตรงหน้าหลับตาทำปากยื่น ทำเอาเคนถึงกับผงะ


....เล่นอะไรของมัน.....
    ...จะฆ่ากันรึไง....
    ...แค่นี้หัวใจกูก็จะวายตายแล้ว เด็กเปรต...



    เคนดูลังเล เขาเลี่ยงมองไปอีกทาง แต่ริมฝีปากที่มองเหมือนปากเป็ดยื่นๆนั่นมันก็ดูน่ารักน่าจูบอยู่ใช่ย่อย แน่นอนว่ามันต้องนุ่มเขายังจำสัมผัสนั้นได้ดี...แต่เขาจะจูบอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกแบบไหนกันในตอนนี้ ถ้าจูบไปแล้วจูนจะเข้าใจความรู้สึกนี้ของเขาหรือเปล่า ถ้าจูบไปแล้วอีกฝ่ายจะมองเขาแบบไหน จะคิดอย่างไร ในเมื่อในตอนนี้ “บทบาทการแสดง” อะไรนั่นมันแทบไม่ได้อยู่ในหัวของเขาเลยแม้แต่น้อย เคนรู้สึกเหมือนยืนอยู่บนเส้นแบ่งกลางที่ก้ำกึ่งระหว่างความต้องการและความกลัว เมื่อมองด้วยหางตาอีกรอบจูนก็ยังทำปากยื่นอยู่อย่างนั้นจนน่าหมั่นไส้


   ....ทำปากยื่นแบบนั้นอีก.....
    ....เดี๋ยวพ่องับปากเลยนี่....



    กลุ่มก้อนความรู้สึกในใจตอนนี้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ใช่แล้ว เขาต้องการสัมผัสอีกฝ่าย ความต้องการคือแรงขับเคลื่อนที่ดี และหากจะก้าวต่อไปแล้วคงยากที่จะหยุด เส้นแบ่งกลางที่ก้ำกึ่ง...ความต้องการของเขาในตอนนี้ มีเพียงแค่เรื่องนี้เท่านั้น......
    ทันใดมือแกร่งที่โอบรอบคอของจูนอยู่นั้นเปลี่ยนมาจับที่ท้ายทอยของเด็กหนุ่มออกแรงเบาๆบังคับให้จูนเงยหน้าขึ้นอีกนิด เขารู้สึกได้ถึงแรงเกร็งต้านที่กล้ามเนื้อต้นคอของรุ่นน้อง ไหล่ของเด็กหนุ่มสั่น
    

....เพิ่งจะมากลัวหรือไง...


    เคนเผลออมยิ้มน้อยๆ ท่าทางที่อีกฝ่ายหลับตาแน่นจนปลายขนตาสั่นไหว ห่อไหล่ยกเกร็งด้วยความกลัวแบบนี้ยิ่งได้เห็นยิ่งรู้สึกอยากจะแกล้ง ทั้งที่จูนก็ไม่ได้เป็นเด็กหนุ่มร่างเล็กแต่กลับทำให้รู้สึกว่าอยากโอบอุ้มเอาไว้อย่างน่าประหลาด  นี่อาจจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เขาอยากแกล้งอีกฝ่ายก็เป็นได้ 


   ...ก็น่าจูบ...
    ...แต่.......



    เคนลดมือจากต้นคอของอีกฝ่ายก่อนเปลี่ยนเป็นกอดคอของอีกฝ่ายโน้มเข้ามาใกล้ อีกมือซ้อนทับกระชับกอดร่างของเด็กหนุ่มเอาไว้ ก่อนทอดถอนหายใจยาว


    “.......ไว้คราวหลังก็แล้วกัน............” ถึงปากจะพูดแบบนั้นแต่มือกลับยังไม่อยากปล่อยอีกฝ่ายไปไหน

    “พี่เคน...ปล่อยเหอะ หายใจไม่ออก”  จูนอ้าปากพูดอย่างยากลำบากเมื่อคางของเขายังเกยอยู่กับไหล่ของอีกฝ่าย

    “ชู่ว.....ปล่อยให้ตัวเองอินอีกนิดสิ........”  เคนยังไม่ยอมปล่อย เขาพอใจที่จะกอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่น กอดที่ไม่ต้องกลัวว่าร่างตรงหน้าจะบอบบางจนทนแรงจากมือของเขาไม่ไหว แต่ก็ไม่ได้ต้องการจะออกแรงไปมากกว่านี้ เพียงแค่อยากซึมซับทุกสัมผัสนี้เอาไว้ให้เต็มอกเท่านั้น

     “.....เฮ้อ...ให้มันอินใช่ไหม....” เมื่อรู้ว่าการประท้วงไม่เป็นผลจูนจึงลดแขนที่ตั้งใจจะตบไหล่อีกฝ่ายลง แทนที่จะขืนตัวเองออกแต่กลับพิงศีรษะลงกับไหล่กว้างของเคนอย่างว่าง่าย ผิวแก้มแนบลงไปนั้นคือช่วงไหล่กว้างและกล้ามเนื้อแข็งแรงที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีสัมผัสที่ได้รับนั้นแข็งหากแต่ให้ความรู้สึกมั่นคง จูนคงไม่รู้ตัวว่าริมฝีปากเผลอขยับเป็นรอยยิ้มก่อนจะหลับตาสูดลมหายใจเข้าลึกได้กลิ่นเหงื่อปนกลิ่นสเปรย์แบบสปอร์ตจางๆที่ให้ความรู้สึกสดชื่นอย่างน่าประหลาด ในหัวพยายามจินตนาการว่า “จูน” ตัวละครในบทหนังสั้นของเขาจะรู้สึกอย่างไรถ้าถูกชายคนรักกอดเช่นนี้บ้าง


   .....จะรู้สึก....
    ....สบายใจ......
    ....อุ่นใจ.........
    ....ปลอดภัย.....
    ....แบบนี้หรือเปล่านะ....



    เคนรับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มท่าทีโอนอ่อนไม่ได้ทำให้เขาอยากช่วงชิงโอกาสไปมากกว่านี้ เขารู้ว่าจูนแค่กำลังทำตามในสิ่งที่เขาพูดเท่านั้น มือแกร่งยกขึ้นลูบเส้นผมของอีกฝ่ายเบาๆ เส้นผมสีอ่อนที่ผ่านการทำสีมาไม่น้อยแต่น่าแปลกที่สัมผัสนั้นกลับนิ่มมือให้ความรู้สึกดีไม่หยอก ปลายนิ้วแทรกเข้าไปในเรือนผมของอีกฝ่ายสัมผัสแผ่วเบา ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์กับเสียงคนที่อยู่ด้านนอกหอดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทหากแต่รู้สึกสงบใจในแบบที่ไม่ได้รู้สึกมาหลายวัน แต่กระนั้นก็ต้องตัดใจ เคนค่อยคลายอ้อมแขนออกปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ เขาเบนสายตาขึ้นมองเพดานพยายามซ่อนใบหน้าที่ร้อนผะผ่าวของตนไม่ให้อีกฝ่ายมองเห็น


    “เวลาเล่นจริงก็...ทำแบบนี้ละกัน....” รุ่นพี่ร่างสูงพูดสองมือตบเบาๆลงบนหน้าขาของตัวเองฉวยโอกาสนั้นเช็ดเหงื่อที่ชื้นอยู่เต็มมือ

    “อะ...อื้ม “ จูนรับคำเบาๆ พลางยกมือขึ้นถูเบาๆที่ข้างลำคอใบหน้าขาวนั่นแดงเรื่อขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

“...ข...ขอบคุณที่สอนนะครับ” เด็กหนุ่มหันมายิ้มน้อยๆให้กับเคน ทำเอาร่างสูงที่หันมาทันสบพบรอยยิ้มนั้นพอดีต้องรีบหันหลังให้

    “เอ้อ....ไม่เป็นไรหรอก....วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน....” เคนพยายามเปล่งเสียงออกไปให้เป็นปรกติที่สุด ถึงจะยังไม่อยากเชื่อว่าในใจของเขาตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ แต่ทันทีที่เห็นรอยยิ้มของจูนเมื่อครู่น่าแปลกที่หอพักกลางเก่ากลางใหม่ของเขากลับดูสว่างเหมือนเพิ่งเปลี่ยนหลอดไฟใหม่ ทำให้เขาเข้าใจชัดเจนจนบอกกับตนเองได้ประมาณสามคำได้อย่างไม่ยากเย็นว่า.....


    ......น่า รัก สัด.....
 


   
    “พอแค่นี้เหรอพี่...เรียกมานึกว่าจะซ้อมหลายๆฉาก ซ้อมหลายรอบซะอีก” เด็กหนุ่มว่าพลางนั่งลงบนเตียงของอีกฝ่ายแล้วหยิบบทขึ้นมาอ่าน “ผมว่าท่าที่กอดกันมันแปลกๆนะเมื่อกี้”  ว่าพลางก็ยกมือทำท่าคล้ายจะกอดอากาศธาตุที่อยู่เบื้องหน้า


    “เหนื่อยๆว่ะวันนี้ พอก่อนเถอะ....” เคนพูดเหมือนรำคาญ แต่ก็แอบมองอีกฝ่ายที่กำลังยกแขนเก้ๆกังๆ



   ....ขืนซ้อมมากกว่านี้ เดี๋ยวจะได้สอนมากกว่ากอดน่ะสิ....



    คิดได้แบบนั้นก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ช่างเป็นความคิดที่อกุศลอะไรเช่นนี้ เคนอดที่จะช็อคกับความคิดของตนเองไม่ได้ ...ใช่แล้ว...ในตอนนี้มันชัดเจนจนไม่น่าเชื่อ ความต้องการที่ลอยเคว้งคว้างอยู่ในจิตใจอย่างไร้ที่ยึดเกาะ ดูสับสนหลงทางจนน่าขัน แต่ในตอนนี้หากเขาปล่อยให้ความต้องการและเจตนาที่แสนจะอกุศลของตนเองไปยึดเหนี่ยวกับสิ่งใด หรือกับใครคนใดคนหนึ่งเข้าแล้วล่ะก็คงจะเพียงหายนะเท่านั้นที่จะบังเกิด ....ในเมื่อตัวเขาเป็นผู้ชาย...ที่มีคนรักแล้ว...แต่ก็... ดวงตาคมหันไปมองจูนอีกครั้ง ท่าทางของเด็กหนุ่มที่มุ่งมั่นอยู่แต่กับการถ่ายทอดอารมณ์ในการแสดงเพื่อเอาใจโชติและยุทธ์โดยไม่ได้สนใจมองเหนือมองใต้หรือมองว่าความรู้สึกบางอย่างในใจของเขาได้เปลี่ยนไปแล้วนั้น....มันก็ยิ่งทำให้เขาต้องการมากขึ้น...แน่นอนในเมื่อตัวเขาก็เป็นผู้ชายคนนึง เป็นผู้ชายธรรมดาๆคนนึงเท่านั้น


................................ to be continued

ออฟไลน์ shiawase

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
เป็นไงหละ...ลากเค้ามาห้องแล้วก็หวั่นไหวเอง  สมน้ำหน้าเบาเบา

รอบนี้แก้ตัวได้ดีนะพี่เคน..ค่อยดูไม่ลังเลเท่าไหร่...หลงน้องจูนจริงจังสินะ :hao3:

ส่วนน้องจูน....ระวังตัวบ้างก็ดีนะ  ดูท่ายั่วเบาๆแล้วอิพี่เคนมันจะบ้าตายก่อน :hao6:

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
พี่เคนๆ จัดการเคลียร์กับ(ยัย)นิดก่อนดีไหม? ไม่อยากให้น้องจูนต้องถูกทำร้าย ทั้งร่างกายและจิตใจ

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
พี่เคนไปเยอะแหละ หลงน้องละซี่

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
- 16 -


“เฮ้ย จูน....ไปกินข้าวกันไป พี่หิวว่ะ....”  เคนว่าพลางเดินไปหยิบพวกกุญแจรถกับกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือ

   “กินไรอ่ะพี่เคน ถ้าจะกินหลังมอแถวนี้ก็เดินไปก็ได้มั้ง ไม่ต้องเอารถไปหรอก รถมันเยอะ รถพี่หาที่จอดยากจะตาย”  เด็กหนุ่มว่าพลางทำหน้ายุ่งเมื่อนึกถึงปริมาณของนักศึกษาที่จะแก่มารวมกันในช่วงเย็นของทุกๆวัน

   “เอางั้น?...เอ้อ งั้นก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน ขากลับเดินย่อยแล้วเดี๋ยวพี่ขี่รถไปส่ง”

   “จะไปส่งทำไมอีกล่ะพี่ ผมหารถขึ้นกลับหอเองก็ได้หรอก” จูนเกาหัวแกรก เวลาก็ยังไม่ได้ดึกดื่นอะไรขนาดที่รถจะหมดช่วงเวลาเย็นๆค่ำๆแบบนี้เขากลับหอเองเป็นปรกติอยู่แล้ว

    “เออน่า....” เคนตัดบทอย่างรำคาญทั้งๆที่ในใจนั้นหัวใจเต้นตึกตักโครมครามไปหมด ที่ไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายกลับหอเองไม่ใช่เพราะเป็นห่วงว่าอีกฝ่ายจะเป็นอะไรหรือเปล่า อย่างไรเสียจูนก็เป็นผู้ชายคงไม่เจอใครฉุดปล้ำหรืออะไรแบบนั้นเพียงแต่เขา ...กลัว...ว่าเวลาที่จะใช้ไปกับเด็กหนุ่มตรงหน้าในวันนี้จะหมดไปเร็วกว่าที่ควรจะเป็น


   .......กูคงจะเพี้ยนไปแล้วจริงๆ........


ทั้งสองคนเดินผ่านถนนเล็กๆที่ลัดเลาะด้านหลังของหอพักไปยังย่านร้านค้าหลังมอ แหล่งรวมร้านอาหารเริ่มคนเยอะทำให้ต้องรีบหาที่นั่ง สั่งข้าวราดแกงมานั่งทานกันคนละจานใหญ่ปากคุยเรื่องสัพเพเหระกันไป อันที่จริงเป็นจูนที่พูดคุยเสียส่วนใหญ่ เพราะอยู่ๆรุ่นพี่หนุ่มร่างสูงก็สงบปากสงบคำขึ้นมากะทันหันด้วยห่วงไปเสียหมดว่าหากพูดอะไรออกไปแล้วอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นความผิดปรกติของตัวเอง


   “โอย อิ่มกระเพราร้านพี่เขาเผ็ดจริงจัง....กินน้ำไปตั้งเยอะยังไม่หายเผ็ดเลยเหอะ” จูนบ่นพลางใช้มือพัดปากแดงเจ่อของตัวเองเบาๆ  “พี่เคนนี่ก็กินเผ็ดเก่งเนอะ....ไม่เห็นบ่นซักคำ” ว่าพลางก็หันไปมองหน้าของเคนที่แดงก่ำ

    “อ่า...คงงั้น “อันที่จริงเผ็ดแทบตายแต่กลัวว่าถ้าบ่นก็จะเสียฟอร์ม

    “หรือพี่เคนเผ็ด?... เผ็ดแล้วกินน้ำยัง เผ็ดก็บ่นว่าเผ็ดดิ่ ไม่เก๊กสักวันคงไม่มีใครว่าพี่หรอกน่า...” จูนแหย่พลางตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ แล้วยื่นแก้วน้ำให้ เคนยิ้มแห้งๆก่อนจะหัวเราะออกกมา

    “นั่นซิ่นะ.....” มือแกร่งรับแก้วน้ำมายกซดจนหมดแก้ว   “เฮ้อออออ...... เผ็ดชิบหายเลยเหอะ ตอนสั่งแกไปบอกพี่เขาว่าเอาเผ็ดๆรึเปล่าวะสงสัยจะยกพริกมาหมดสวน”

    “เปล่านา ก็บอกว่าเอากระเพราหมูกรอบจัดหนักๆ สองจานนะเจ๊...ว่างั้น” จูนนตอบหน้าตาเฉย

    “มิน่า...นอกจากจัดปริมาณแล้วเขาเลยใส่พริกมาให้หมดเลย.....” เคนว่ารู้สึกดีไม่น้อยที่ไม่ต้องกังวลอะไรมากเวลากินข้าวกับอีกฝ่าย ชายหนุ่มนั่งเหยียดขา เอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อยท่าทีสบายๆ จูนเห็นแบบนั้นก็อดจะขำออกมาเบาๆไม่ได้

    “แบบนี้ค่อยเป็นพี่หน่อย....” เด็กหนุ่มยิ้มก่อนจะเท้าคางมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม”เป็นอะไรไปอ่ะ วันนี้พี่ดูเกร็งๆตื่นๆ สงบปากสงบคำผิดปรกตินะ กินยาลืมเขย่าขวดรึไง”

     “เปล่านี่ ไม่ได้เป็นอะไร “เคนปฏิเสธเสียงสูงไม่ได้สบตาอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ร่างสูงลุกขึ้นยืนเหลียวซ้ายมองขวา 
   “กินข้าวเสร็จแล้ว...อยากกินอะไรอีกไหม ขนม?”  คำถามที่เคนถามกลับมาทำให้จูนเลิกคิ้วสูง
    
    “ขนม? นึกอะไรขึ้นมาจะมาชวนผมกินขนมเนี่ย....”
    
    “ขาดน้ำตาลมั้ง....คนอุตส่าห์จะเลี้ยง จะกินไม่กิน ไม่กินก็จะได้กลับ”
    
    “เอ้า ดุด้วย...ท่าจะขาดน้ำตาลจริงวุ้ย...แต่ถ้าป๋าจะเลี้ยงน้องก็พร้อมจะสนองนะ กินไรดีหว่า....กินไอติมในเซเว่นนี่ก็ได้เผ็ดจนจะพ่นไฟได้แล้วเนี่ย ดูดิ่ปากเจ่อเลย” ไม่พูดเปล่าชี้ปากแดงเจ่อๆของตัวเองให้อีกฝ่ายดู
   
     “ไอติมเซเว่นเองเรอะ....แค่เนี้ยนะป๋าจะเลี้ยงทั้งที” เคนพึมพำเบาๆ ในใจเขานึกถึงตอนพานิดไปทานข้าวหลายครั้งหลายหนที่ต้องพาออกไปหาอะไรกินกันนอกเขตมหาวิทยาลัยด้วยเหตุว่า ร้านแถวนี้ไม่มีที่น่ารักเลย


   .... ก็แค่วันนี้อยากให้อยู่ด้วย...
    ....จนกว่าจะแน่ใจกว่านี้....
    ...เผื่อว่าจะแน่ใจกว่านี้.....
    ....มันจะหาว่ากูบ้าไหม.....



    “อืม ก็เผ็ดนี่ อยากกินตอนนี้เลยด้วย ไปกันเลยป๋า เลี้ยงนี่ไปๆ” ไม่พูดเปล่าลากแขนร่างสูงให้เดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อที่อยู่ไม่ไกล


ไม่นานก็ได้ไอศกรีมออกมากันคนละโคน จูนเลือกรสวนิลา ในขณะที่เคนหยิบรสสตรอเบอร์รี่ ระหว่างทางเดินกลับท่ามกลางแสงสลัวที่ได้จากอาคารหอพักสองข้างทางซอยเล็กๆที่จะลัดเลาะกลับไปถึงหอของเคน ทั้งสองคนเดินไปพร้อมๆกัน  เด็กหนุ่มดูจะอารมณ์ดีไม่น้อยกับไอศกรีมที่ได้มาดับความเผ็ดร้อนในปาก ร่างสูงเผลอยิ้มให้กับท่าทางแบบนั้นเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่กล้านับ เคนยิ้มไปพลางก็ยกไอศกรีมขึ้นกัดไปเรื่อย อันที่จริงเขาไม่ได้ชอบรสสตรอเบอร์รี่สักเท่าไรนัก แต่อาจจะเป็นเพราะติดนิสัยเวลาอยู่กับนิดเพราะเวลานิดอยากจะทานไอศกรีมทีไรก็มักจะสั่งสตรอเบอร์รี่ หรือให้เขาซื้อรสสตรอเบอร์รี่ให้เสมอๆ เวลาทานไม่ไหวก็เป็นกรรมให้เขาทานต่ออยู่เรื่อยจนเขากลายเป็นคนทานรสสตรอเบอร์รี่ได้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น


    “ได้ไอติมค่อยดีขึ้นหน่อยเนอะ” จูนว่าพลางหันมาถามความเห็น ที่ปลายคางมีซอสชอคโกแลตติดอยู่ ดูท่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ตัวสักเท่าไรนัก

    “อื้ม...ค่อยดีขึ้นหน่อย.....หึ “เคนเผลอหัวเราะออกมา “เป็นเด็กรึไงแก กินเลอะมาถึงนี่....” ไวเท่าความคิดเคนใช้ปลายนิ้วปาดซอสชอคโกแลตที่ติดอยู่ที่ปลายคางของอีกฝ่ายก่อนยกปลายนิ้วตัวเองขึ้นเลียเบาๆ

    “อื้ม...อร่อยแฮะ”

    “อ่ะ.....พี่เคน...” จูนจะห้ามก็ไม่ทัน ซอสชอคโกแลตหายเข้าปากรุ่นพี่ร่างสูงไปเป็นที่เรียบร้อย

    “หืม...มีอะไร” ร่างสูงดูจะไม่ได้สะทกสะท้าน ตรงกันข้ามกับจูนที่รู้สึกร้อนผะผ่าวไปถึงใบหู

    “เปื้อนก็บอกกันดีๆก็ได้ ...บ้ารึเปล่า.ไม่...ไม่แขยงรึไง มาปาดไปกินแบบนั้น”

    “ไม่นี่ ถ้าแค่นี้แขยงพี่จะจูบแกได้ไหมวันนั้นน่ะ” เห็นท่าทางเขินๆแบบนั้นก็นึกสนุกจับคางของอีกฝ่ายให้หันมามองหน้าใบหน้าคมก้มลงมาหาแต่จูนกลับยกมือบังเสียมิด ทำเอาต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ

    “ใครกันแน่ทีแขยงน่ะ ....” เคนยิ้มยียวน 

    “ก็...ก็....มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก แค่....”จูนอึกอัก จะบอกว่าตัวเองไม่รังเกียจหรือก็พูดได้ไม่เต็มปาก “เลิกแกล้งผมสักทีเถอะ จะแกล้งไปจนถึงเมื่อไรกัน” พูดพลางก็ก้าวเท้าฉับๆตัดสินใจเดินหนีเสียฝห้รู้แล้วรู้รอดเพราะรู้ดีว่าถ้าขืนยิ่งนิ่งอยู่คงตกเป็นเป้าให้อีกฝ่ายล้อเล่นอีกแน่

     “ก็จนกว่าแกจะเลิกเขิน....ล่ะมั้ง “เคนหยุดมองตามร่างสูงโปร่งที่เดินห่างออกไป ก่อนจะชะลอฝีเท้าลง เพราะเห็นว่าจูนเองก็หยุดรออยู่เล็กน้อย
“โชติมันก็บอกนี่ ให้เราซ้อมจนกว่าจะไม่เขิน...แต่แกก็เขินพี่จังเลยจะให้พี่ทำไงได้ เขินอะไรนักหนานะเรา...ชอบพี่เหรอ”  ทั้งที่เป็นคำถามที่ควรจะย้อนกลับมาถามตัวเองในตอนนี้แท้ๆแต่เคนก็เลือกที่จะแหย่อีกฝ่ายออกไปแบบนั้น และดูจะได้ผล สองไหล่ของเด็กหนุ่มกระตุกกึกทันตาเห็น

    “จะ ...เจอใครทำแบบนั้นใส่มันก็ต้องเขินทั้งนั้นล่ะ น่าอายจะตาย” จูนพูดตะกุกตะกักไม่ได้หันกลับไปมองรุ่นพี่ร่างสูง

    “แล้วที่กอดวันนี้แกเขินพี่รึเปล่าหรือชินแล้ว” เคนเดินเข้ามาประชิดตัวเสียงทุ้มดังขึ้นเบาๆ แต่เสียงหัวใจในอกนั้นมันเต้นดังระรัวไปหมด เคนไม่เข้าใจนักว่าทำไมคำตอบของอีกฝ่ายถึงสำคัญ แต่เขาอยากได้ยิน อยากได้ยินกับหู ไม่ว่าคำตอบนั้นจะเป็นอะไรแค่ได้รับปฏิกิริยาบางอย่าง อะไรก็ได้ขอแค่ตอบกลับมาเขาก็รู้สึกดีแล้ว
 
จูนหันกลับมามองหน้าของร่างสูง ท่าทางครุ่นคิด

    “อันที่จริง...ผมว่าผมเขินนิดหน่อย แต่จะว่าไปมันก็เหมือนจะปลงแล้วมากกว่า...ยังไงก็ต้องทำแบบนี้กันเรื่อย ถ้าผมเลิกเขินซะทุกอย่างจะดีขึ้นใช่ไหมล่ะ” ดวงตาที่มองกลับมาเป็นประกาย เต็มไปด้วยความจริงจังของคนที่มุ่งมั่นอยู่กับการแสดงจนเคนต้องยอมแพ้ ตลอดเวลาเขาคงดูเป็นรุ่นพี่ที่มีแต่เล่นกับเล่น ไม่เคยได้ให้อีกฝ่ายเห็นด้านจริงจังเลย

     “จริงจังจริงๆเลยนะ....”เคนหัวเราะก่อนจะก้าวขาเดินอีกครั้งได้ยินเสียงฝีเท้าของจูนดังอยู่เคียงข้าง เขาเองก็อยากจะจริงจังกับเรื่องที่ทำให้ได้อย่างที่อีกฝ่ายทำบ้าง มือแกร่งถูเบาๆกับกางเกงยีนส์มือชื้นเหงื่อขึ้นมาตั้งแต่เมื่อครู่ร่างสูงเหลียวมองซ้ายขวา ในตรอกเล็กๆไม่มีใครเดินผ่านไปผ่านมา

    
    “นี่...จูน “ เคนตัดสินใจเอ่ยออกไป

    “หืม....มีอะไรเหรอ...” จูนถามกลับโดยไม่ได้หันมามอง สองขายังก้าวไปพร้อมๆกับอีกฝ่าย

    “ถ้าเราเป็นแฟนกัน....
    
“หะ?!” จูนอุทานเสียงดัง เผลอขยับตัวออกห่างอย่างช่วยไม่ได้

    “หมายถึงในบทน่ะ...ถ้าเราทำแบบที่คนเป็นแฟนเขาทำกันบ่อยๆ พูดบทบ่อยๆ ...แกจะเลิกเขินพี่ไหม”

    “อืม.....คิดว่านะ.....” จูนรับคำเบาๆ

    “เหรอ......” เคนเผลอยิ้มออกมาน้อยๆ ไม่แน่ใจนักว่ายิ้มทำไม แต่คำตอบที่ได้รับกลับมามันทำให้เขาอยากยิ้ม   
  “ถ้าอย่างนั้น.....”  เคนดึงมือออกจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ไปคว้ามือของจูนมาจับเอาไว้หลวมๆ ร่างสูงไม่ได้หันมามองหน้าของหนุ่มรุ่นน้อง หรือจะให้อธิบายอีกครั้งคงเป็นเพราะเขาไม่กล้าที่จะหันมาสบตาเสียมากกว่า
 
   “อะไรเนี่ยพี่เคน...” จูนทำเสียงล้อเลียน คิดว่าอีกฝ่ายแกล้งเขาอีกแน่

    “ก็ให้มันสมบทบาท....กลับด้วยกันก็จับมือเดิน แบบนี้ใช่ไหมล่ะ “ พูดไปพลางก็พารุ่นน้องเดินไปด้วยกันทั้งๆอย่างนั้น มือของจูนยังคงเย็นแตกต่างจากมือของเขาที่ร้อนและชื้นเหงื่อ...

......................................

 

    ตรอกแคบไม่มีรถผ่านไปมาเงียบสงบต่างจากเสียงรถมอเตอร์ไซค์ที่วิงกันให้ขวักไขว่ตรงถนนหลัก ระยะทางจากจุดนี้ถึงด้านหน้าที่เห็นเป็นแสงจากลานจอดรถของหอพักกลางเก่ากลางใหม่ของเคนนั้นไม่ได้ห่างออกไปเท่าไรนักเคนค่อยก้าวขาเดินไปทีละเก้าช้าๆรู้ดีว่าข้างๆมีใครที่ก้าวเดินไปพร้อมกัน จูนไม่ได้พูดอะไร จนอดรู้สึกหวั่นใจเล็กๆไม่ได้ว่าความเงียบนั้นของอีกฝ่ายหมายความว่าอะไร ....ยอมรับสัมผัสของเขาอย่างนั้นหรือ?.... หรือเพียงแค่เล่นไปตามบทบาทที่เขาส่งให้ ชัดเจนแต่ลางเลือน ท่ามกลางแสงสลัวของดวงไฟที่สาดส่องมาทำให้เคนคิดอะไรไม่ออก เขาไม่อยากจะจินตนาการเพิ่มเติม ตอนนี้ ขอแค่อีกฝ่ายยอมให้เขาจับโดยไม่โวยวาย ไม่บ่น ไม่แสดงท่าทีขวยเขินใดๆ...แค่เดินไปด้วยกันเงียบๆแบบนี้น่าจะเพียงพอ


    “ถึงแล้ว....รอแป๊บ พี่ไปเอารถก่อน เดี๋ยวไปส่ง” เคนว่าพลางละมือออกจากมือของอีกฝ่าย ก่อนจะเดินไปเอารถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ออกมาจากลานจอดรถของหอพัก เสียงเครื่องยนต์ที่มักจะได้ยินเสียงบ่นทุกครั้งว่าดังเกินไปดังขึ้นที่หน้าหออีกระลอก ปรกติหากกลับดึกเขาจะยอมเข็นมอเตอร์ไซค์เข้าหอด้วยกลัวใครจะขว้างขวดขว้างประป๋องลงมาให้เป็นรางวัล


    “เอ้า หมวก....” เคนว่าพลางยื่นหมวกกันน็อคสีชมพูหวานแหววให้กับอีกฝ่าย จูนมองมือแกร่งที่ยื่นหมวกมาให้นั่นเล็กน้อยก่อนจะขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้

    “ฮ่ะๆ.....”

    “หัวเราะทำห่านอะไรวะ” อยู่ๆเห็นอีกฝ่ายหัวเราะทำหน้าตาไม่น่าไว้ใจเช่นนั้นก็ต้องเสียงเขียวหน้ามุ่ย

    “เปล๊า....” จูนปฏิเสธเสียงสูง “แค่วันนี้พี่เคนตลกอ่ะ ไม่รู้สิ ดูตื่นเต้นผิดปรกติ มืองี้เหงื่อเต็มเลยเหอะ...”

    “เอ้าไอ้นี่.....คน...คนมันก็ร้อนเป็นเหมือนกัน” ว่าพลางก็ขยับคอเสื้อนักศึกษาของตัวเองเบาๆพอให้มีแรงลมพัดให้สมกับปากว่าอากาศนั้นร้อนจนเหงื่อออกมือ

    “อ้อ....เหรอ....นี่ก็ใกล้จะหน้าหนาวแล้วนะ....ยังจะร้อนอีก?” ได้ทีจูนยิ่งแหย่รุ่นพี่เข้าไปใหญ่

    “พูดมากจริง เด็กเปรตนี่ จะให้ไปส่ง หรือจะเดินกลับ....” เห็นอีกฝ่ายยังไม่เลิกก็ทำเสียงขู่ จูนหัวเราะเบาๆก่อนจะคว้าหมวกกันน็อคขึ้นมาใส่ แล้วโดดขึ้นซ้อนท้ายเหมือนเช่นทุกที
 
    “ไปเลยเฮีย.... เวลาจะบิดก็บิดดีๆนะ มือมันลื่น”


..................................................


ตุ๊กตาสีขาวขนปุยลอยขึ้นไปบนอากาศก่อนจะหล่นปุลงมาบนมือเรียว แล้วลอยขึ้นไปบนอากาศอีกรอบก่อนที่จะหล่นลงมาอีกครั้ง เป็นแบบนี้ซ้ำๆอยู่นานสองนานเมื่อเจ้าของห้องยังไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้


       ....เขินอะไรนักหนานะเรา...ชอบพี่เหรอ....[/b]


        “ชอบ.....เหรอ....... “จูนพึมพำออกมาเบาๆ มือยังไม่หยุดโยนตุ๊กตาขนปุย ดวงตาเหม่อมองไปยังเพดานเมื่อเสียงทุ้มของใครบางคนยังดังก้องอยู่ในหัว เขาไม่แน่ใจหรอกว่าคำว่าชอบนั้นควรจะเป็นอย่างไร แต่อาการเขินเมื่ออีกฝ่ายเข้าใกล้นั้นเขาห้ามเอาไว้ไม่ได้จริงๆ บางครั้งเพียงแค่มองก็หัวใจสั่นไหว แต่นั่นหมายความว่าต้องชอบอีกฝ่ายอย่างแน่แท้แล้วหรืออย่างไร.....มันคงไม่ใช่เช่นนั้น


   ...........จูน... ไม่ได้ชอบผู้ชายใช่ไหม..............


    อยู่ๆเสียงหวานกับดวงตาคมของสาวหน้าไทยอย่างนิดก็ดังแทรกขึ้นมาในห้วงความคิด สีหน้าท่าทางที่แม้ไม่ได้แสดงความไม่เป็นมิตรแต่กลับบาดลึกลงไปภายในจิตใจ

    “ไม่ชอบหรอก...ชอบไม่ได้หรอก....”  เด็กหนุ่มพูดกับตัวเอง อยากจะย้ำเตือนตัวเองเอาไว้แบบนั้น ไม่ว่าอีกฝ่ายจะหน้าตาดีเพียงไร แต่มันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว เขาชอบอีกฝ่ายไม่ได้หรอก ตุ๊กตาขนปุยสีขาวหล่นปุลงมาบนอกของเด็กหนุ่ม จูนค่อยกอดมันเข้าไว้ในอกทำแบบนี้แล้วพอจะรู้สึกสงบขึ้นมาได้บ้าง แต่ก็อดเปรียบเทียบกับความรู้สึกที่เผลอไผลยอมให้เคนโอบกอดไปเมื่อตอนเย็นไม่ได้ มันแตกต่างกันอยู่ไม่น้อยในอ้อมกอดนั้น อบอุ่น และปลอดภัย ดึงดูดให้เข้าหาอย่างน่าประหลาด แต่คิดได้อย่างนั้นก็ต้องรีบสะบัดความคิดนั้นออกจากหัว

     “เป็นไปไม่ได้....ไม่มีทาง ก็แค่การแสดงนั่นล่ะ ก็แค่แกล้งกันเล่นเหมือนทุกที”   ....ใช่...มันต้องเป็นเพียงแค่การแสดง ขอบเขตของมันชัดเจนอยู่แล้ว...มันเป็นเพียงแค่การแสดงเท่านั้น จูนได้แต่ย้ำกับตัวเองซ้ำๆ
   

............................................................................



    เสียงเพลงของวงดนตรีที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ดังคลอเบาๆ ในห้องนอนของยุทธ์ เจ้าของห้องนอนกลิ้งอยู่กับพื้นในขณะที่แขกผู้มาเยือนกำลังง่วนอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือ เปิดหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตไปพลางขีดเขียนอะไรลงบนสมุดไปพลาง  โชติกำลังนั่งเช็คสถานที่สองสามที่ที่พวกเขาเลือกที่จะเดินทางไปถ่ายทำหนังสั้น โชคดีที่ครอบครัวของยุทธ์มีบ้านพักตากอากาศอยู่ที่ประจวบคีรีขันธ์ ถึงจะเป็นการเดินทางที่ต้องมีค่าใช้จ่ายอยู่ไม่น้อยแต่จากเงินเก็บที่ช่วยกันเก็บมาได้พักใหญ่ประกอบกับความใจป้ำของพ่อของยุทธ์ที่อาจเรียกว่าตามใจลูกเสียจนเหลิงเพียงเพื่อขอให้ลูกช่วยดูแลกิจการทางบ้านหลังเรียน...ตามใจชอบ...จบ ก็คงมีทุนมาพอจะเดินทางไปถ่ายทำกันไกลขนาดนั้นได้
    

    “โชติ....” เสียงของยุทธ์ดังอู้อี้จากใต้ปกหนังสือการ์ตูนที่เจ้าตัวนอนอ่านอยู่กับพื้นห้องนอน

    “อะไร? “โชติถามแต่ไม่ได้หันกลับมามอง ยังง่วนกับการเขียนอะไรบางอย่างลงบนสมุด

    “กูห่วงไอ้จูนมันว่ะ”

    “นึกยังไงจะไปห่วงมันวะ....” เสียงที่ตอบกลับมานั้นไม่ได้บ่งบอกอารมณ์แต่อย่างใด ยังคงจดข้อมูลที่ต้องการลงไปอย่างละเอียด

    “ไม่รู้สินะ...” ยุทธ์ถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางเลื่อนหนังสือการ์ตูนลงมาปิดปาก ดวงตาที่โผล่พ้นขอบหนังสือออกมานั้นเหลือบมองโชติที่นั่งอยู่ไม่ห่างออกไปนัก 
“ก็แค่ห่วง....”

    “เหรอ...นึกบ้าอะไรอยู่ๆอยากจะมาเป็นรุ่นพี่ที่แสนดี “ โชติเอ่ยถามยังคงไม่ได้หันกลับไปมองเพื่อนที่นอนอยู่ด้านหลัง

    “นึกยังไงก็เรื่องของกูน่า.....” ยุทธ์ว่าพลางยกหนังสือการ์ตูนปิดหน้าอีกรอบ   

    “มึงจะให้กูเดาไหมล่ะ กูเดาแม่นนะ” โชติถามติดตลก แต่ยังไม่ได้หันกลับมามองอยู่ดี

    “เก็บสัมผัสวิญญาณแกไว้เลย กูไม่เล่นด้วยอ่ะรอบนี้” ยุทธ์ตอบบางครั้งบางทีโชติก็ทายอะไรแม่นจนน่าขนลุก

     “งั้นกูเดานะ....ต้องมีคนไปพูดไม่เข้าหูไอ้จูนจนมันงอแงอีกล่ะสิ ห่วงมันนักไม่ไปทำตัวเป็นพี่เลี้ยงที่ดีล่ะ โทรไปหามันเลย มานั่งเพ้อนอนเพ้อแล้วจะได้อะไร” โชติตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ยุทธ์เลิกคิ้วเล็กน้อยกับคำตอบนั้นของเพื่อน

    “นี่มึงเดาเอาแน่นะ.... “

    “ก็ไม่เชิง มีคนมาถามกูว่าจูนมันเรียนคณะอะไร...ก็เลยบอกไป” โชติตอบ “ตอนแรกก็นึกว่าคงจะแอบชอบน้องมัน แต่เห็นมึงบ่นๆแบบนี้กูว่ามันชักจะเข้าเค้าไปอีกทางมากกว่า ....คงเรื่องแฟนของเคนมันล่ะสิ”

    “เออ....ก็แนวๆนั้น.....” ยุทธ์รับคำอย่างหัวเสียพลางหยัดตัวลุกขึ้นยืนด้วยเข่า แล้วเดินเข่าไปใกล้ๆเก้าอี้ที่เพื่อนนั่งอยู่พยายามชะโงกดูสิ่งที่โชติกำลังเขียน “ทำอะไรวะ “

    “ลิสต์ของที่อยากได้ตอนไปถึงประจวบ กับคำนวณค่าใช้จ่าย แน่ใจนะว่าป๊ามึงจะช่วยจ่ายหมดเนี่ย” ว่าพลางก็ยื่นรายละเอียดของค่าใช้จ่ายให้อีกฝ่ายดู ยุทธ์หรี่ตาลงอย่างพิจารณา ก่อนจะยื่นสมุดคืนให้กับอีกฝ่าย

    “เออ....ยอมหมดล่ะ กูสู้มานานกว่าเขาจะยอมกูขนาดนี้ นี่ถ้าไม่ให้ไปจุดธูปบอกบรรพบุรุษว่าจะกลับมาทำงานที่บ้าน คงไม่ให้กูเรียนหรอกออกแบบเนี่ย “ ว่าพลางแค่นเสียงหัวเราะเบาๆ

    “งั้นโอเคนะ ส่วนเรื่องเสื้อผ้า เดี๋ยวจะได้เอาเงินไปให้จูนกับเคนมันไปซื้อ จะให้มันซื้อมาเผื่อมึงแต่งหญิงเล่นคู่ไอ้จูนเลยไหมล่ะ “ ไม่วายยังจะแหย่เพื่อน

    “ถึงกูไม่ค่อยชอบ แต่กูว่ากูแต่งสวยกว่าไอ้เคนมันก็แล้วกัน แม่ง....พูดแล้วหมั่นไส้มันชิบเลย แฟนตัวเองกับพวกไปทำไอ้จูนเอาไว้ขนาดไหนป่านนี้ยังไม่รู้เรื่อง แล้วมึงก็ตัวดี ไปบอกเขาทำไมวะว่า ไอ้จูนมันอยู่คณะมนุษฯ” ไม่พูดเปล่าตบหัวเพื่อนเสียหน้าแทบทิ่มลงกับโต๊ะ

    “อ้าว ก็ใครมันจะไปรู้วะ....ว่าแต่แกทำไมเป็นเดือดเป็นร้อนะช่วงนี้” โชติหันมาถามพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย “อ่ะ...นั่นแน่....หรือว่า.....”

      “พอ...มึงไม่ต้องบิ้ว” ยุทธ์ยกมือห้าม  “จูนมันไม่ได้ชอบผู้ชายเว้ย “

    “แต่มึงชอบ?.......” โชติถามกลับทันควัน

    “ห่า.......เลิกพูดเรื่องนี้จะได้ไหมวะ” ยุทธ์ดันหน้าของโชติออกไปจนคอแทบเคล็ดก่อนจะลุกขึ้นยืน บิดขี้เกียจซ้ายขวา “กูจะลงไปข้างล่าง มึงเอาไรป่ะ มาม่าก็มีนะเว้ย”

    “เอามาม่า.....ใส่ไข่ด้วย” โชติสั่งพลางยิ้มกว้าง

    “เออๆ...รอแป๊บ เดี๋ยวกูขึ้นมา”


     ประตูห้องปิดลงที่ด้านหลัง ยุทธ์เดินฮัมเพลงเบาๆลงมาตามบันไดไม้สักขัดเงาวับของที่บ้าน ห้องครัวยามดึกดื่นให้บรรยากาศวังเวงไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก จัดการเทมาม่าลงในชามพร้อมน้ำร้อนก่อนยัดใส่ไมโครเวฟเป็นตัวช่วยเร่งให้สุกเร็วขึ้นโดยไม่ลืมตอกไข่ใส่ตามลงไปด้วย เสียงไมโครเวฟทำงานไปช้าๆ ความกังวลแปลกๆที่เกิดขึ้นในใจกลับลอยเด่นชัดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ เขายังนึกห่วงรุ่นน้องผมทองคนนั้นอยู่ตลอด เป็นใครก็คงใจอ่อนยวบเมื่อมีคนมานั่งน้ำตาไหลปาดน้ำตาป้อยๆอยู่ตรงหน้า อันที่จริงเขาไม่ได้คิดเลยว่าจูนจะมาหาเขาที่ร้าน แต่พอฟังเรื่องราวทั้งหมดก็พอเข้าใจได้ เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่จูนมาหา มาปรึกษาเรื่องเรียน เรื่องเพื่อน หรืออย่างน้อยๆก็แค่มาขอนั่งเล่นเกมส์ด้วยให้พอคลายความไม่สบายใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งลงไปบ้าง

    “จูนเอ้ย...ขออย่าให้พี่ต้องห่วงแกไปมากกว่านี้เลยเถอะ”


......................................... to be continued

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ shiawase

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
อร้ายยยยยย...อิหน้าขาวมดขึ้นไอติมหมดแล้ว!!!  หมั่นไส้ :mew5:

พี่ยุทธ์~~~  ความจริงของพี่ทำหนูช็อคนิดๆ...แต่พี่คะ...หนูเชียร์ให้พี่ได้กับน้องจูนนะ   :-[ :-[

ไปทะเลจะมีเหตุอะไรมั้ยน้อ~~

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
@@@talk@@@
พี่เคนเอ้ย ไปกันใหญ่จริงๆนะคุณพี่.....

อัพครึ่งตอนแรกก่อนค่า อีกซัก สองสามสี่วัน จะมาอัพต่อนะคะ


-17 1/2 -



“อยากไปซ้อมแล้ว.... อยากไปซ้อม..... อยากไปซ้อม..... “


เคนพึมพำออกมา ดวงตาคมเป็นประกาย ตื่นเช้ามาวันนี้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่า รู้สึกสดชื่น แจ่มใส รู้สึก...อยากจะเจอหน้าใครบางคนเร็วๆ จนหากทำได้คงกระโดดข้ามเวลาไปช่วงเย็นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
 

    ผั่วะ!!


    ลูกวอลเลย์ลอยละลิ่วจากอีกฟากหนึ่งของเนตมากระแทกเข้ากับหัวของคนที่ “กำลังเพ้อ” อย่างแรง 

    “โอ้ย....ใครตบบอลใส่หัวกูวะแม่ง เดี๋ยวพ่อฆ่าทิ้งเลยนี่” เคนโวยลั่น

    “กูเอง....” เสียงของชายสูงวัยดังขึ้นทำเอาเคนต้องลงไปนั่งพับเพียบเรียบร้อยกับพื้น

    “อุ่ย จ๊านนนน....ขอโทษคร้าบบบบบบ!!! ”  สองมือยกขึ้นไหว้ท่าทีเรียบร้อยแบบเปลี่ยนจากเมื่อครู่แบบหลังฝ่าเท้าเป็นหน้ามือ

    “เอ้า พักได้....พวกเอ็งดูเพื่อนกันหน่อยสิ  มันตากแดดมากจนมันเพี้ยนแล้ว....” เสียงอาจารย์ว่าก่อนจะเป่านกหวีดเป็นสัญญาณให้หนุ่มๆเอกพละที่มาซ้อมวอลเลย์บอลกันพักได้

    “ไอ้เคน ดีนะมึง แค่ลูกบอล ขืนวิชามวยนี่ กูว่ามึงคงโดนน็อคลงไปนอนนับสิบอ่ะ” เพื่อนคนหนึ่งว่าพลางหัวเราะ ท่าทางของเคนเมื่อครู่มันเกินบรรยายจริงๆ “บ่นอะไรพึมพำวะ ซ้อม? ซ้อมอะไรของมึงวะ””

    “ซ้อมกับชมรมอ่ะ....”

    “ชมรม? อ๋อ ชมรมการแสดงอ่ะนะ ใกล้จะโดนยุบแล้วไม่ใช่เรอะ”

    “ยังเว้ย “เคนเถียงทันควัน “กูยังไม่ยอมให้ยุบหรอก.....อย่างน้อยก็จนกว่าจะถ่ายหนังเสร็จ” 

    “ หนังอะไรวะ”

    “หนังสั้น กูเป็นพระเอกนะเว้ย “ จะว่าโกหกก็ไม่เชิงเขาแค่ไม่อยากน้อยหน้ายุทธ์ก็เท่านั้น ใครๆรู้จักยุทธ์หนุ่มหน้าสวยประจำสาขาการออกแบบ หน้าตาสวยได้รูปเหมือนดารา นิสัยรักสนุกฮาเฮทำให้มีเพื่อนไปได้ทั่วมหาวิทยาลัยไปหมด

    “เหรอ กูนึกว่าไอ้ยุทธ์ซะอีก....เดี๋ยว ชมรมมึงมีแต่ผู้ชายนี่หว่า หนังเกย์เรอะ”

    “เกย์?....เกย์เกออะไร ไม่ได้เป็นเว้ย “คราวนี้กลับโวยเสียงสูง

    “เคนมึงหลอนเห็ดเมามาจากไหนวะ กูหมายถึงหนังมึงน่ะ ไอ้ควาย ฟังกูพูดหน่อยสิสาด” ไม่พูดเปล่าฟาดมือลงบนหน้าผากของเคนดังเป๊ะ

    “อ้อ เอ้อ หนังก็ไม่ใช่หนังเกย์เว้ย แค่ชมรมกูไม่มีผู้หญิงเท่านั้นล่ะ “ เคนว่าพลางยกมือขึ้นถูหน้าผากของตัวเองเบาๆ

    “อ้าว แล้วที่เขาว่ามึงไปจูบโชว์ชาวบ้านเขามานั่นไม่ใช่ผู้หญิงเรอะ ....”

    “เปล่า นั่นจูนน้องที่ชมรม ชื่อเหมือนผู้หญิงก็เหอะแต่ผู้ชายว่ะ ไม่ใช่กระเทยด้วย” เคนไม่ปล่อยให้เพื่อนได้พูดต่อเขาดักทางเอาไว้หมด

    “อึ๋ยยย.....เอาจริงดิ่ ถามจริงมึงจูบไปได้ไงวะ เป็นกูกูไม่เอานะเว้ย” สีหน้าและท่าทางของเพื่อนนั้นบ่งบอกถึงความรู้สึกได้อย่างไม่ยากเย็น


   ....แขยง? รังเกียจ?.....

    
เคนนึกในใจ คำพวกนี้ไม่ค่อยมีความหมายในหัวของเขาเท่าไรเมื่อพูดถึงการสัมผัสกับคนทีเป็นเพศเดียวกัน แต่จะว่าไปเขาก็ไม่เคยจิตนการเรื่องการแสดงเป็น “พระ” “นาง” คู่กันของเขากับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่จูนเลย หรืออาจจะเป็นเพราะตัวจูนเองที่เป็นคนเรียบร้อยเป็นทุนอยู่แล้วทุกอย่างมันเลยดู....นุ่มนวลไปเสียหมด..... คิดไปพลางในหัวก็นึกย้อนไปจนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ท่าทางแบบนั้นของจูนมันทำให้เขาใจเต้นได้อย่างไม่ยากเย็น



“ไม่ ไม่ ไม่ พอ พอ......”      


เคนพยายามไม่ฟุ้งซ่านไปมากกว่านั้น เพราะช่วงเช้าของวันนี้เป็นวิชาปฏิบัติตลอด ขืนเขาฟุ้งซ่นปล่อยให้จิตใจล่องลอยไปมากกว่านี้มีหวังต้องโดนลูกวอลเล่ย์ตีเข้าหน้าอีกหลายๆลูกเป็นแน่ ถึงจะค่อนข้างแน่ใจว่าเพื่อนในเอกเดียวกันคงไม่มีใครกล้าหือมาแกล้งเขาแน่นอน แต่ในการกีฬาอุบัติเหตุใดๆก็สามารถเกิดขึ้นได้ทัังนั้นไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตามที ก็แค่ไม่อยากมึนแล้วด่าผิดตัวแบบเมื่อครู่อีกก็เท่านั้น


...... ว่าแต่วันนี้ไอ้จูนมันเลิกเรียนกี่โมงว้า.....


.......................................................



"เคน ไปหาไรแดกกัน "   


เสียงชวนจากเพื่อนๆดังขึ้น พอตกเที่ยงเลิกเรียนส่วนใหญ่ทุกคนก็จะรีบไปหาอะไรใส่ท้องด้วยความหิวโหย ก่อนจะรีบพาตัวที่อาบเหงื่อต่างน้ำกลับบ้าน กลับหอกัน ไม่ค่อยมีคนอยากจะอยู่ตะลอนๆในมหาวิทยาลัยต่อมากนักเพราะทนกลิ่นตัวกันเองไม่ค่อยไหว
 

"จะรีบไปไหนวะ ขอกูเปลี่ยนเสื้อก่อนไม่ได้รึไง" เคนบ่นแต่ดูท่าเพื่อนจะไม่ทันได้ฟัง ยกขโยงกันออกไปจากบริเวณสนามแล้วเรียบร้อย


"โอ้ย จะรีบไปไหนนักหนาวะ ร้านข้าวมันไม่ลอยหายไปไหนหรอกน่า..... " พูดพลางตลบเสื้อโปโลที่ใส่อาบเหงื่อมาตลอดเช้าออกเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดที่เตรียมมาเปลี่ยน


"anywhere i will find you.... "
[/i]


ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาไปไหน เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นทำเอาร่างสูงชะงักกึก


.....นิด ......


มือแกร่งดึงโทรศัพท์ขึ้นมาดู เสียงโทรศัพท์ยังคงแผดลั่น ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าว เคนยกมือขึ้นปาดเหงื่อบชเม็ดเป้งบนหน้าผาก ก่อนจะกดรับสาย

"ว่าไงครับ นิด "

"พี่เคน เลิกเรียนรึยังคะ ไปกินข้าวกันเถอะ... " เสียงหวานดังออดอ้อนจากปลายสาย

"เลิกแล้วครับ แต่พี่ เอ่อ วันนี้ลงสนามมา ตัวเหม็นนะ นิดจะอยากไปกับพี่เหรอ "

"พูดอะไรแปลกๆเหมือนนิดไม่เคยนัดพี่หลังลงสนามงั้นล่ะ ไม่รู้ล่ะ ไปกินข้าวด้วยกันนะคะ บ่ายนิดมีเรียนที่คณะมนุษฯ ไปกินข้าวที่โรงอาหารกันดีไหม อย่างน้อยก็ได้เจอกันบ้าง "

"ครับ ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวเจอกันที่โรงอาหารก็แล้วกัน" เคนว่าเขาบอกลาอีกสองสามคำก่อนวางสาย รีบเดินตามเพื่อนออกไปที่ด้านนอกเพียงเพื่อจะบอกว่าเที่ยงนี้เขามีนัดอื่นเรียบร้อยแล้ว


..... นัดอะไรกะทันหันวะ......
......นัดกับแฟนหรือนัดกับกิ๊กวะ.........



คำถามของเพื่่อนดังวนเวียนมือแกร่งบิดคันเร่งมุ่งหน้าจากสนามมาตามถนนในมหาวิทยาลัย แทนที่จะมาตามถนนหลักด้านหน้า เขากลับเลือกที่จะลัดเลาะมาทางด้านหลังหยุดรจังหวะรถเล็กน้อยตรงสี่แยก น่าแปลกที่ด้านหน้าหากเขาเลี้ยวซ้ายไปจะเป็นคณะวิทยาการจัดการในขณะที่หากเขาเลี้ยวขวาจะเป็นคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ทางแยกระหว่างซ้ายและขวาที่คงไม่มีทางเลือกทั้งสองทางได้เป็นแน่ เคนอดแปลกใจตัวเองไม่่ได้เพราะแค่เพียงโทรศัพท์และเสียงหวานๆเมื่อครู่ก็ทำเขาสั่นไหวไม่ได้แตกต่างไปจากความรู้สึกหวั่นไหวเมื่อคืน...เพราะเด็กหนุ่มอีกคน แปลกเหลือเกินทั้งๆที่มีใจอยู่แค่ดวงเดียวแท้ๆ ทำไมเขาถึงรู้สึกหวั่นไหวไปกับท่าทีต่างๆของคนสองคนไปได้ขนาดนี้


โรงอาหารคณะมนุษฯ ยามเที่ยงคนยังแน่นเหมือนอย่างทุกที เคนเดินหิ้วหมวกกันน็อคไปยืนมองหาแฟนสาวของตัวเอง


.....ท่าจะยังเดินมาไม่ถึง....



"เหวอ !! ก่อนจะอุทานออกมาเมื่อมีแรงโถมเข้าใส่หลังของเขา

"ไปเลยเจ้าทุย!!"

"อ่ะ เฮ้ย ไอ้จูนแกว่าใครเป็นควายวะ ลงไปเล้ย ไอ้ตัวแสบ..." เคนจับแขนอีกฝ่ายได้ก็แทบจะสะบัดคนที่กระโดดมาขี่หลังเขาให้ลงจากหลังไปเสียที

"แฮ่ะๆ ขอโทษครับ ว่าแต่พี่มาทำอะไร มาหาผมเหรอ" จูนถามพลางยิ้มกว้างวันนี้ก็จัดทรงผมกรีดตามาได้ลงตัวเหมือนทุกๆวันจะต่างก็ตรงที่วันนี้ไม่มีคอนแทคเลนส์สีน้ำเงิน แต่เป็นแว่นแฟชั่นกรอบหนาแบบไม่มีเลนส์แทน ท่าทางจะนึกสนุกอะไรขึ้นมาถึงได้แต่งแบบนี้มาเรียน

"ค...ใครว่าวะ สำคัญตัวผิดไปหน่อยละไอ้ตัวแสบ....หนอยแน่มาหาว่าพี่เป็นควายเรอะ" ไม่พูดเปล่าล็อคคอของเด็็กหนุ่มเข้ามาเขกกะโหลกด้วยความหมั่นไส้

"โอ้ยโอ้ย กลัวแล้ว กลัวแรงควายแล้ว..." จูนโวยวายพยายามตบแขนให้อีกฝ่ายปล่อย

"ยังไม่เลิกอีกนะเรา " เคนหัวเราะก่อนจับศีรษะโยกไปมาด้วยความหมั่นไส้

"ฮ่ะๆ ใครใช้ให้ตัวใหญ่แรงเยอะแถม....." พอตั้งใจจะพูดต่อก็ต้องเงียบเสียงลงทันทีเมื่่อเห็นว่าใครคนหนึ่งเดินมา


"พี่เคน...รอนานไหมคะ"


เด็กสาวร่างเล็กเดินเข้ามาใกล้ นิดยังคงดูดีเหมือนเช่นทุกวัน รูปร่างเล็กบอบบางเข้ากันดีไม่หยอกกับชุดนักศึกษาเข้ารูป กระโปรงสั้นแบบพอดีๆ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป

"อะ...อ้าว นิด" เคนหันไปยิ้มแห้งๆให้กับแฟนสาว "เอ้อ นิด นี่จูนน้องที่ชมรมที่เคยพูดให้ฟังไง "ว่าพลางก็ดึงแขนของจูนให้ขยับเข้ามาใกล้หมายจะแนะนำให้นิดได้รู้จัก แต่จูนกลับดึงแขนของตัวเองออกช้าๆ เด็กหนุ่มยกมือไหว้อีกฝ่ายทันที

"สวัสดีครับ พี่นิด"

"สวัสดีจ้ะ จูน คราวหลังไม่ต้องไหว้หรอกนะ พี่ไม่ถือหรอก"

"ครับ.... " เห็นนิดยิ้มตอบกลับมาก็ทำให้จูนมีรอยยิ้มจางๆบนใบหน้า

"เราไปกินข้าวกันไหม จูน ไปกินด้วยกันสิ....มีเรียนต่อรึเปล่า?" นิดถามบนใบหน้ามีรอยยิ้มเป็นมิตร ไม่มีสีหน้าของความระแวงระวังเหมือนอย่างที่เคยเห็นเมื่อวันก่อน ทำให้จูนอึกอักเขาไม่แน่ใจว่าควรจะตอบว่าอะไร เด็กหนุ่มมองหน้าของเคนเล็กน้อย

"อ่ะ...เออ...จริง ไปกินด้วยกันดิ่ เที่ยงแล้วนะ "

"แต่ผม....เอ่อ...." จูนลังเล ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกว่าจำเป็นจะต้องหาข้ออ้างเพื่อปฏิเสธคำชวนของอีกฝ่าย

"เอ่อ อ่าอะไรเล่า ไปกินด้วยกันสามคนนี่ล่ะ" เคนว่าพลางคว้าแขนนิดข้างหนึ่งโอบบ่ารุ่นน้องด้วยแขนอีกข้างหนึ่งเดินไปสั่งข้าวราดแกงมานั่งกินกันสามคน



"................"



แต่สุดท้ายแล้วโต๊ะอาหารก็เงียบกริบท่ามกลางเสียงจอแจของผู้คนรอบข้าง


"ยังไม่มีน้ำกินกันเลยนี่นะ เดี๋ยวผมไปซื้อมาให้พวกพี่ดีกว่า " จูนรีบเสนอตัวพลางลุกขึ้นหมายจะเดินไปซื้อน้ำมาให้เคนและนิดที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

"เฮ้ย แกไม่ต้อง นั่งกินไปเลย เดี๋ยวป๋าจัดให้เอง" เคนห้ามเอาไว้มือแกร่งดันไหล่รุ่นน้องให้นั่งลงที่เดิม "เดี๋ยวพี่มานะนิด เอาน้ำเปล่านะ"

"ค่ะ " เด็กสาวรับคำก่อนจะมองร่างสูงของคนรักเดินไปอีกทาง


ถึงจะหิว แต่กับข้าวตรงหน้าในตอนนี้กลับไม่ได้เชิญชวนให้กินเลยแม้แต่น้อย จูนวางมือบนหน้าตักขยับนิ้วไปมารู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูกเมื่อมองไปแล้วเห็นสายตาของนิดจับจ้องมา

"วันนี้ แว่นสวยนะ" นิดเอ่ยทักแว่นตาที่อีกฝ่ายใส่

"อ่ะ อันนี้เพิ่งได้มาน่ะครับ " เด็กหนุ่มตอบยกมือขึ้นแตะแว่นตาอันใหม่ของตัวเอง

"ขอพี่ดูหน่อยได้ไหม "ว่าพลางยื่นมือเล็กมาขอ เด็กหนุ่มถอดแว่นยื่นให้โชคดีที่วันนี้เขาใส่คอนแทกเลนส์สายตามาด้วยจึงทำให้มองเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างถนัดถนี่

"ขอโทษนะ ...." หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาเบาๆขณะสำรวจแว่นตาของเขา ทำให้จูนต้องเลิกคิ้วสูง

“ครับ? “

“ เรื่องเมื่อวันก่อน พี่กับเพื่อนคงทำให้จูนตกใจ และก็อาจจะโกรธพวกพี่ด้วย พี่เข้าใจจูนผิดไปแต่ก็อยากให้จูนเข้าใจพี่นะคะ เพราะเดี๋ยวนี้มันก็ยากจะเชื่อสิ่งตาเห็นกับสิ่งที่ใครๆบอกมา แต่วันก่อนที่เราเจอกันในเมื่อจูนก็พูดกับพี่ตรงๆแล้ว พี่คิดว่าพี่ควรจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็นมากกว่า...บางครั้งอารมณ์ชั่ววูบมันก็ทำให้คนเราไม่ทันได้คิดอะไร พี่ขอโทษนะ แล้วก็ขอโทษแทนเพื่อนพี่ด้วยที่ทำเรื่องแย่ๆแบบนั้น”  หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกได้ถึงความประหม่า เหมือนคิดเรียบเรียงคำทีละนิดก่อนจะค่อยพูดออกมา เพราะเหตุนั้นเองในทางกลับกันก็เป็นคำพูดที่ฟังดูน่าเชื่อถืออยู่ไม่น้อย


จูนนิ่งจนอาจจะเรียกได้ว่าหมดคำพูด ในอกรู้สึกสะเทือนสั่นไปหมด เขาไม่แน่ใจว่าควรจะคิดอย่างไรดีกับการที่อีกฝ่ายมาขอโทษเขาแบบนี้ แต่หากจะให้พูดตามตรงการเข้าใจผิดกันในครั้งนี้ไม่น่าจะมีใครที่ผิดหรือถูกมันเป็นเพียงแค่การเข้าใจกันไปเองตีความกันไปเองมากกว่า นิดเองก็ไม่ได้ผิดอะไรแล้วทำไมเขาจะยกโทษให้ในสิ่งที่อีกฝ่ายทำไม่ได้ เด็กหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ


“ไม่เป็นไรครับ....เอาเป็นว่าเราอย่าไปจำเรื่องแบบนั้นเลยนะครับ”  หญิงสาวยิ้มตอบกลับมา ทำให้จูนคิดว่าเขาไม่น่าจะต้องรื้อฟื้นอะไรขึ้นมาพูดอีกแล้ว ลืมมันไปเสียความรู้สึกแย่ๆแบบเมื่อวันก่อนก็คงจะหายไปด้วย


..............ยังไงเสีย เราก็ไม่ได้เป็นแบบที่พี่เขาเคยเข้าใจผิดนี่นะ...............


“คุยอะไรกันสองคน....”  เสียงของเคนดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่เดินกลับมาพร้อมขวดน้ำเปล่า กับโค๊กอีกสองขวดและน้ำแข็งอีกสามแก้ว

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่กำลังว่าแว่นของน้องเขาน่ารักดี.....นิดว่าคนที่ต้องหาแว่นมาใส่น่าจะเป็นนิดมากกว่า น้องเขาก็เป็นผู้ชายแท้ๆ แถมหน้าตายังเป็นหนุ่มญี่ปุ่นขนาดนี้ วันนั้นนิดเข้าใจผิดไปได้ยังไงก็ไม่รู้ นิดนี่แย่จัง....” หญิงสาวว่าพลางหัวเราะเขินๆ ก่อนจะยื่นแว่นตาคืนให้กับจูน “นี่สงสัยจะเป็นเดือนคณะล่ะมั้ง”

“โอยๆ ไปกันใหญ่แล้วครับพี่นิด เดือนคณะอะไรไม่ใช่เลยครับ ...” จูนโบกไม้โบกมือ “หน้าตาแบบผมเนี่ยนะเดือนคณะ ไม่เลยครับ อย่างพี่เคนต่างหาก หน้าตาดี...จนผมเองยังอิจฉาเลยครับ คนอะไร เกิดมาก็หล่อเลยไม่เหมือนผมหรอกต้องทำโน่นทำนี่อีกเยอะไม่งั้นก็ไม่กล้าออกจากห้องหรอกครับ”

“ถล่มตัวเองไม่เข้าท่าอีกละ....” เคนว่าพลางยื่นมือไปขยี้หัวของหนุ่มรุ่นน้อง ท่าทางตอนจูนถล่มตัวเองเพราะเขินแบบนี้มันดูน่าเอ็นดูอยู่ไม่น้อยแต่ในขณะเดียวกันก็ขัดใจอยู่เล็กๆ เพราะเขาคิดว่าจูนที่ไม่ค่อยได้แต่งอะไรในวันสบายๆแบบนั้นดูน่ามองกว่าที่เห็นกันทุกวันๆแบบนี้เป็นไหนๆ   “ผู้หญิงเขาชมก็รับๆไปเถอะน่า...ไม่ต้องมาถล่มตัวให้น่ารักเลย ”

“พี่เคน เล่นหัวอีกแล้ว ปล่อยเว้ยเดี๋ยวไม่หล่อ...”จูนโวยวายหน้างอขึ้นมาเสียอย่างนั้น  “ผมอายพี่นิดเขานะ...” พูดพลางก็ยกมือขึ้นถูกข้างๆลำคอเหมือนอย่างที่เคนเคยเห็นบ่อยๆเวลาที่อีกฝ่ายเขิน

“ฮ่ะๆ....” นิดหัวเราะออกมาเบาๆ กับท่าทางของทั้งสองคน “สนิทกันดีจังนะ จูน วันหลังพี่จะแนะนำรุ่นน้องที่คณะให้เอาไหม หน้าตาอินเทรนด์แบบนี้สาวคณะวิทยาการฯคงอยากรู้จักอยู่หลายคน”

“โอ้ย....จะยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ” จูนพูดติดตลก แต่คนที่ดูจะไม่อยากตลกด้วยน่าจะเป็นเคนเสียมากกว่า คิ้วคมขมวดเข้าหากันอย่างห้ามไว้ไม่อยู่


“ไหวเร้อ เดี๋ยวได้ไปอายม้วนต่อหน้าสาวจะเสียฟอร์มนา...”เคนเอ่ยแซวเล่นๆ แต่ในใจกลับนึกจริงจัง


...กูยังไม่อยากเห็นมันไปเขินแบบนั้นต่อหน้าคนอื่นนี่....


“พี่เคนก็ว่าไป กินๆเข้าไปเลยข้าวน่ะ ....” จูนว่าช้อนก็ชี้ไปที่จานข้าวที่ยังไม่พร่องเลยของอีกฝ่าย

“ใช่ พี่เคนน่ะไปว่าน้อง....” นิดว่าพลางหัวเราะ

“อ้าว ไหงทีนี้เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยล่ะเนี่ย” เคนอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วสูง ท่าทีของแฟนสาวแตกต่างไปจากเมื่อวันก่อนที่ดูไม่อยากแม้แต่จะเสวนากับจูน แต่ถ้าคิดอีกทีดูจากภายนอกแล้วจูนก็ไม่ได้มีท่าทีจะคล้ายผู้หญิงอะไรขนาดนั้น เป็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งอาจจะติดก็ตรงที่เรียบร้อยไปเสียหน่อย และไม่ได้เหมือนผู้หญิงเลยสักนิด แต่กระนั้น.....ก็ยังรู้สึกว่าน่ารัก
บางที นิดเองก็อาจจะสังเกตเห็นแล้วเอ็นดูเหมือนอย่างที่เขาเอ็นดูจูนก็เป็นได้


    ทั้งสามคนนั่งทานข้าวกันไปพลางพูดคุยกันไปพลางบรรยากาศดีขึ้นอยู่ไม่น้อยเมื่อนิดสังเกตเห็นพวงกุญแจที่จูนห้อยอยู่กับกระเป๋าแล้วเป็นตัวการ์ตูนที่เธอชื่อชอบ แต่ไม่รู้จักว่ามันคือตัวอะไร จูนเองได้ทีก็บรรยายสรรพคุณของตุ๊กตาตัวนั้นอย่างจริงจัง ปล่อยให้เคนนั่งงงอยู่อย่างนั้น


“อ่ะ ใกล้เวลาเรียนแล้ว เดี๋ยวนิดคงต้องไปแล้วล่ะค่ะพี่เคน....” หญิงสาวร่างเล็กว่า ก่อนจะหันมาทางจูน “ไว้ถ้าพี่อยากได้ตุ๊กตาแบบนี้บ้างจะให้จูนพาไปซื้อนะคะ” นิดหันไปแหย่ จูนหัวเราะเบาๆ

“ครับ...ผมจะพาไป ถ้าพี่เคนไม่ว่านะครับ”

“เฮอะ จะไปว่าอะไรได้ ไปกันเลย ทิ้งพี่ไว้งี้ล่ะ เป็นหมาหัวเน่าแล้วนี่ หาเรื่องคุยกันถูกคอได้นี่คุยใหญ่เลยนะ” เคนอดไม่ได้ที่จะประชด ร่างสูงทำหน้าบึ้งไม่ต่างจากยักษ์ใหญ่ใจเล็กที่กำลังงอแง

“โอ๋ๆ ก็ไปด้วยกันสามคนนะคะ” นิดว่า “เอาล่ะ เดี๋ยวนิดไปเรียนแล้วนะคะ แล้วจะโทรไปหานะคะพี่เคน” หญิงสาวว่า มือเรียววางลงบนไหล่แกร่งของชายหนุ่มเบาๆเป็นเชิงปลอบประโลม ก่อนทำท่าจะยกจานชามไปเก็บ แต่จูนก็ห้ามเอาไว้

“เดี๋ยวผมเก็บให้พวกพี่เอง....ปล่อยไว้ก็ได้ครับ”  นิดมองหน้าของเคนเล็กน้อย ซึ่งเคนก็พยักหน้าลง

“งั้นพี่ฝากด้วยนะคะ ขอบใจนะ” หญิงสาวยิ้มก่อนจะถือหนังสือเรียนภาษาอังกฤษกับกระเป๋าถือใบเล็กของตัวเองเดินไปอีกทาง

 “พี่นิดนี่ สวยเนอะ...อิจฉาแท้คนมีแฟนสวย....” จูนพูดแหย่เคนก่อนจะลุกขึ้นรวบจานชามเข้าด้วยกันจะยกไปเก็บ

“เฮ้ย จะทำอะไร....” มือแกร่งยื่นเข้ามายึดข้อแขนของจูนเอาไว้

“เก็บจานไงพี่....”

“ไม่ต้อง พี่เก็บเอง....” พูดพลางก็แย่งทุกอย่างที่อยู่ในมือจูนมาถือเอาไว้ มืออีกข้างที่ว่างก็ถือขวดโค้กเดินนำไปโดยไม่ลืมบอกให้จูนถือแก้วน้ำกับหยิบกระเป๋าเดินตามเขามาด้วย  “คราวหน้าคราวหลังกินของตัวเองก็เก็บเองก็แล้วกัน” เคนดูหัวเสียเล็กๆ ทั้งสองคนเดินเอาของไปเก็บแล้วชวนให้จูนกลับด้วยกันกับเขา

“เอ้อ วันนี้มาแปลก เลี้ยงน้ำน้องไม่พอ เก็บให้อีก แถมจะไปส่งหออีก ....ฟ้าก็ยังสว่าง ไม่ได้ฝันชัวร์ สรุปหัวพี่ไปกระแทกอะไรมารึเปล่า...” มือเรียวยกขึ้นแตะหน้าผากของอีกฝ่ายปรากฏว่ามันปูดอยู่จริงๆ “เฮ้ย....หัวคนหรือมะนาววะเนี่ย? ไปโดนไรมาอ่ะ....” จูนโวยวาย พยายามดึงให้เคนก้มหัวลงมาเพื่อที่จะได้ดูให้แน่ใจว่ามันบวมขนาดไหน

“เออน่า..ไม่ได้เป็นไรหรอก ปล่อย....” เคนเองก็เพิ่งรู้ตัววันนี้เขาทำอะไรที่ผิดปรกติไปเยอะจนอีกฝ่ายก็คงสังเกตเห็น

“แต่มันบวมมากเลยนะพี่” จูนยังดื้อไม่หยุด

“เป็นห่วงนักรึไง.....” เคนยิ้มกับท่าทางแบบนั้นของรุ่นน้อง

“ก็....มันปูดนี่นา” เด็กหนุ่มว่าพลางทำปากยื่น หน้าตาเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย

“.............ซื้ดดดด.........ฮ่า...........” เห็นแบบนั้นก็ต้องซูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะผ่อนลมหายใจออกยาวๆ เคนหลับตาแน่น มือกำจนข้อขาวไปหมดเขาควรจะทำอย่างไรกับอีกฝ่ายดี ในที่สาธารณะแถมกลางวันแสกๆแบบนี้ ทำไมถึงต้องรวบรวมสมาธิพยายามอดทนมากมายขนาดนี้


....กูแพ้ปากเป็ดเว้ย....


ถึงจะอยากจะไหล่อีกฝ่ายเอาไว้ให้แน่นๆแล้วเขย่าไปพลางตะโกนบอกไปพลางแต่ก็ทำไม่ได้ 

“เป็นไรพี่ เจ็บแผลอีกเหรอ”

“ถ้าบอกว่าเจ็บแล้วจะเป่าให้รึไง....”เคนมองอีกฝ่ายด้วยหน้าเซ็งๆ การทำอะไรไม่ได้นี่มันทรมานแบบไหนเขาก็เพิ่งเคยได้สัมผัสความรู้สึกแบบนี้เป็นครั้งแรก

“โอ๋ๆ....เป่าให้นะครับ....อย่าร้องนะค้าบบบบ....” จูนหัวเราะออกมาเบาๆนึกขำอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อยวันนี้รุ่นพี่ร่างสูงคนนี้ของเขาคงจะเพี้ยนไปแล้วจริงๆ แต่กระนั้นก็ยังบ้าจี้จับหน้าของอีกฝ่ายให้ก้มลงมาใกล้

“โอม...เพี้ยงหายนะครับ เพี้ยงหาย” 

“..............................” ทำเอาต้องกลั้นลมหายใจอยู่ๆหน้าของรุ่นน้องก็เข้ามาเสียใกล้ขนาดนี้ หัวใจสั่นไหวง่ายดายทั้งที่ยังไม่ถูกลมใดปัดเป่า เคนรีบผละออกจากเด็กหนุ่มตรงหน้าทันที “เอ้ย เล่นอะไร พอๆ กลับได้แล้วพี่จะได้รีบไปอาบน้ำ เหม็นตัวเองชิบหาย” เคนตัดบทก่อนจะเดินไปคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง เขาเป็นอะไรไปได้มากขนาดนี้เลยหรืออย่างไร

“ครับๆ...ว่าแต่ส่งตรงหน้าโรงอาหารกลางก็ได้นะ เดี๋ยวผมนั่งรถกลับเอง แดดร้อนเดี๋ยวขี่รถไปกลับจะตกมันซะก่อน”

“ไอ้เด็กนี่หลอกด่ากูอีกละ...” เคนโวยบ้างเมื่อรู้ตัวว่าอีกฝ่ายหลอกด่าเขาอีกแล้ว แต่พอได้ยินเสียงหัวเราะดังเบาๆจากด้านหลังก็อดยิ้มออกมาไม่ได้      “เอาวะ...จะช้างม้าวัวควายหมีผีทะเลอะไรก็เถอะ..... เอาเป็นว่าพี่ไปส่งนั่นล่ะดีละ”     



..................................... to be continued
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-06-2013 16:07:12 โดย goldfishpka »

ออฟไลน์ shiawase

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
อ๊ากกกกกกกกกกกกกก  รักสามเศร้าของเราสามคน!!!!!  แกหยุดเลยนะอิพี่เคน #จับโขก  :z3: :z3:

น้องจูนก็บ้าจี้ไปเอาใจอิหมีควายบ้าพลัง...ฮึ้ยๆๆๆๆ  :fire:

ยัยนิด  มาเอาแฟนเทอกลับไปเลย!!!!!!!

อร้ายยยยยยยย  เกลียอิหมีควายบ้าพลังหน้าขาววอกแล้ว!!! :z3: :z3:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
@@@ talk @@@

มาแล้วค่า .... ครึ่งตอนหลัง..... ความยาวปานจะได้อีกตอน อ่านกันให้อิ่ม ให้จุใจ นะคะ
ว่าแต่ วันนี้ จะมีกึ๋มกึ๋ยอะไรไหมน้าาาาาา  :impress2:

...............................................................


-17 2/2 -


เสียงเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์เบาลงที่ที่จอดรถหน้าหอพักของจูน เด็กหนุ่มร่างสูงก้าวลงจากรถพลางถอดหมวกกันน็อคสีหวานส่งคืนให้กับคนที่อาสาขับรถมาส่ง

“ขอบคุณครับพี่.... “ จูนยิ้มน้อยๆให้กับอีกฝ่าย “งั้นไว้...พรุ่งนี้เจอกันที่ชมรมเนอะ จะไปซ้อมก่อนไหมอ่ะ พี่โชติอยากให้ซ้อมฉาก...เอ่อ ...เลิฟซีนก่อนด้วย ยังมีฉากแอคชั่นที่เราต้องไปเล่นเป็นตัวประกอบด้วยนะ คงต้องบล็อกกิ้งกันดีๆหน่อย ไปเตะไปต่อยกับพวกพี่พลาดขึ้นมาผมคงโดนจระเข้ฟาดหางคอหักตาย” จูนว่าท่าทางดูเป็นกังวลกับการแสดงของตัวเองอยู่ไม่น้อย

“ฮ่ะๆ....นั่นสินะ งั้นก็ตามนั้น....” เคนตั้งใจจะปิดกระจกหมวกกันน็อคแล้วขี่รถออกไป แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ “เฮ้ย จูน.....”

“ครับ” จูนที่กำลังล้วงหากุญแจห้องจากในกระเป๋าเงยหน้าขึ้นมา

“จะซ้อมกันไหมล่ะ” เคนว่าพลางถอดหมวกกันน็อคออก

“หา? “จูนร้องออกมาเบาๆ “แล้วไหนว่าจะรีบกลับไปอาบน้ำไง...”

“ก็แกพูดมาซะจนพี่ก็ห่วงด้วย เอาเป็นว่าซ้อมไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักเหนียวตัวก็อาบน้ำห้องแกเลยจะเป็นไร” เคนบอกแผนการคร่าวๆของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง

“เอางั้นเลยนะ...” เด็กหนุ่มไม่ค่อยอยากจะเชื่อหูตัวเองเท่าไรนัก “วันนี้พี่เป็นอะไรมากเปล่าเนี่ย “

“เออน่าๆ...ไปเดี๋ยวเอารถจอดแล้วขึ้นไปด้วย”  เคนว่าพลางขยับรถจะเข้าไปด้านในที่จอดรถของหอพักของจูนและคงไม่ได้ยินหรอกว่าจูนบ่นว่าเคนนั้นพูดคำว่า “เออน่า” เพื่อตัดบทแบบนั้นมาเป็นครั้งทีเท่าไรแล้วในวันนี้ 


……………………………………………..




“แล้วสุดท้ายก็ขออาบน้ำก่อนแล้วก็ออกมาหลับเนี่ยนะ.....”


จูนบ่นพึมพำเมื่อเดินกลับออกมาจากห้องน้ำพร้อมเปลี่ยนจากชุดนักศึกษาเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้นแล้วมาเจออีกฝ่ายผล็อยหลับอยู่บนโซฟาตัวเดิมที่เคยให้ยืมนอนไปเมื่อวันก่อน


“ท่าจะเหนื่อยจริง...แต่วันนี้แม่งก็ร้อนชิบหายจริงๆนั่นล่ะ”

 จูนถอนหายใจก่อนจะเดินไปนั่งลงกับพื้นใกล้ๆกับโต๊ะกลาง เขาเองก็ไม่ได้ต่างจากอีกฝ่ายสักเท่าไร เรียกได้ว่าเหงื่อโทรมกายทีเดียว วันนี้อากาศช่วงกลางวันร้อนกว่าปรกติ ร้อนจนในห้องเรียนที่ปรกติเปิดพัดลมให้ลมโกรกจนผมฟูก็ไม่ค่อยจะบรรเทาอะไรได้อยู่แล้วยิ่งย่ำแย่เข้าไปใหญ่ จนอดจะแปลกใจไม่ได้ว่ามหาวิทยาลัยที่มีงบมาสร้างตึกใหม่กันโครมๆนั้นสร้างตึก ห้องทุกอย่างสวยหมดทำไมไม่เจียดเงินมาติดแอร์ให้นักศึกษาเสียหน่อย เด็กหนุ่มหันไปมองรุ่นพี่ที่ตอนนี้หลับไม่รู้เรื่อง
 

   เคนนอนเหยียดอยู่บนโซฟา ข่วงขายาววางพาดเลยที่พักแขนออกไป มือหนึ่งวางพาดบนอกเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อในขณะที่อีกมือก็ยกขึ้นก่ายหน้าผาก เสียงลมหายใจดังเบาๆด้วยหลับสนิท หันไปมองเห็นภาพแบบนั้นก็ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ


"ขนาดนอนยังต้องเก๊กอ่ะคนเรา....นอนอย่างกับคนอมทุกข์มาจากไหน" จูนนั่งมองพลางยิ้ม เขาชอบสันจมูกคมที่อยู่ใต้ท่อนแขนนั่น กล้ามเนื้อที่สร้างมาเพื่อการเล่นกีฬาโดยเฉพาะแบบนั้นมันชวนให้อิจฉาอยู่ลึกๆ


 "เฮ้อ..... คนอะไรวะขาก็ยาวแขนก็ยาว หน้าตาก็ดี กล้ามก็สวย ซุปเปอร์ไนซ์บอดี้อีกตะหาก " นึกแล้วก็หมั่นไส้ เขาหันไปมองนาฬิกา ก็เพิ่งจะบ่ายกว่าๆ รายการทีวีหรือก็ไม่รู้จะเปิดดูอะไร แถมถ้าเปิดอีกคนก็คงจะตื่นมาหงุดหงิดแน่ เด็กหนุ่มคว้านิตยสารเกี่ยวกับเพลงญี่ปุ่นที่เพิ่งส่งมาถึงเมื่อวันก่อนมาเปิดอ่าน หากให้เรียกให้ถูกคงเป็นเปิดดูรูปภาพเสียส่วนใหญ่เพราะถึงแม้จะเรียนภาษาญี่ปุ่นการอ่านนิตยสารก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่เพิ่งจะเรียนปีสอง แต่กระนั้นก็ยังนั่งอ่านต่อไปเรื่อย เปลี่ยนท่านั่งไปเรื่อย ปล่อยให้เวลายามบ่ายค่อยๆผ่านไปอย่างช้าๆ ได้ยินเพียงเสียงแอร์ที่ทำงานดังเบาๆ ควบคู่ไปกับเสียงคอมเพรสเซอร์ของตู้เย็น และเสียงลมหายใจเป็นจังหวะของคนอีกคน


…………………………………………………..



 “อืม.....” เสียงครางในลำคอเบาๆ พร้อมกับร่างใหญ่ที่พลิกตัวพยายามจะควานหาหมอนข้างมากอดด้วยความเคยชิน แต่ก็หาไม่เจอ “อะไรวะ......” เคนกระพริบตาถี่ๆพอหาหมอนข้างไม่เจอก็หงุดหงิดจงต้องจำใจลืมตาตื่น


เชี่ย!....” ก่อนจะผงะเมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นฝ่าเท้าของใครบางคนมาจ่อเข้าที่หน้า เคนสะดุ้งเฮือกลุกขึ้นมานั่งอย่างช่วยไม่
ได้ความง่วงงุนแทบจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง
“อะไรวะ.......” พอตื่นเต็มตาก็พาจะรู้ได้ว่าฝ่าเท้านั้นไม่ใช่ของใครอื่นนอกจากของเจ้าของห้องนั่นเอง เด็กหนุ่มนอนขดตัวอยู่บนพื้นที่จำกัดของเก้าอี้โซฟาหันเท้ามาทางเขาและด้วยเก้าอี้โซฟาวางไว้ชิดกันมากเท้าจูนเลยแทบจะเกยหน้าเขาอยู่แล้ว แต่ถึงเคนจะสะดุ้งเฮือกสุดตัวขนาดนั้นแต่จูนก็เหมือนจะหลับไม่ได้สติ  คอเอียงพิงพนักเก้าอี้โซฟา มือข้าหนึ่งตกลงข้างลำตัวที่พื้นมีนิตยสารภาษาญี่ปุ่นตกอยู่ ท่าทางจะอ่านจนหลับไปเป็นแน่


“โธ่เอ้ย......”เคนขยี้ผมของตัวเองเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน

 “ถ้าจะนอนแบบนี้ ไม่เอาเท้ามาเหยียบหน้ากูเลยวะ ไอ้ตัวแสบ....” เคนเก็บหนังสือที่ตกอยู่ขึ้นมาก่อนจะใช้ตีหัวของอีกฝ่ายเบาๆแต่เด็กหนุ่มก็ยังไม่รู้สึก มีเพียงเสียลมหายใจแผ่วๆจากริมฝีปากที่เผยอออกเล็กน้อยนั่นเท่านั้น รุ่นพี่ถอนลมหายใจรู้สึกเหนื่อยเล็กๆที่วันนี้ใจเขาวิ่งวุ่นอยู่กับคนที่นอนไม่รู้เรื่องอะไรอยู่ตรงหน้า

ชายหนุ่มค้อมตัวลงมาเล็กน้อยสองมือเท้าแขนกับพนักเก้าอี้ล้อมกรอบอีกฝ่ายเอาไว้ เคนก้มลงพิจารณาอีกฝ่ายให้ใกล้ขึ้น คนตรงหน้านี้มีอะไรกันที่ทำให้ใจของเขาสั่นไหวนักหนา มันเป็นความต้องการโดยแท้ที่ไหลเวียนไปทั่วร่างของเขาตอนนี้ แต่กลับเหมือนจะหาเหตุผลที่แน่ชัดไม่ได้ มีแค่ความรู้สึกว่าอยากจะสัมผัส อยากจะครอบครองเท่านั้นที่ชัดเจน ทั้งๆที่เขาก็มีนิดอยู่แล้วแท้ๆ ทำไมจะต้องมารู้สึกอะไรเช่นนี้กับผู้ชายด้วย แม้จะรู้สึกขนลุกอยู่บ้าง แต่อีกส่วนหนึ่งในใจของเขาก็ไม่ได้มีคำว่า “หยุด” อยู่เลยแม้แต่น้อย 


“ชาวบ้านชาวเมืองเขาก็สงสัยว่าแกชอบผู้ชายไหม เป็นเกย์รึเปล่า....พี่ว่าตอนนี้พี่คงต้องเริ่มถามตัวเองแล้วก็ได้....” เคนพูดกับตัวเองเบาๆก่อนจะหัวเราะคล้ายเย้ยหยันตัวเองเบาๆ ชายหนุ่มก้มลงไปลงไปใกล้ๆ ราวกับมีแรงดึงดูดจากร่างที่ไม่ได้สติตรงหน้าเคนฉวยโอกาสแตะริมฝีปากแผ่วผ่านเส้นผมที่ด้านบนศีรษะของอีกฝ่ายเบาๆ 


“อือ......”   เสียงครางนั่นทำให้ต้องรีบขยับออก

“พี่เคน?...” จูนงัวเงียลืมตาตื่นขึ้น “...............................เป็นอะไรอ่ะ”  จูนถามเมื่อลืมตามาเห็นเคนกำลังเบือนหน้าไปอีกทางแถมยังดูเกร็งจนกลัวจะกลายเป็นตะคริวขึ้นคอ

“ปะ...เปล่า...ไม่มีอะไร...จะ..จะซ้อมไหมล่ะ”

“ชิ....ตัวเองนั่นล่ะบอกว่าจะซ้อมเองแท้ๆ มาชิงหลับซะได้ จะฟ้องที่ติกับพี่ยุทธ์ว่าพี่เคนอู้”

“คำก็ยุทธ์ สองคำก็โชติอีกแล้วนะ....” เคนเผลอทำเสียงเข้มใส่อีกฝ่าย ดวงตาคมฉายแววไม่พอใจออกมาแทบจะในทันที

“โอ๋....งอนอีกละ แล้วจะให้ผมทำไงล่ะครับ “ จูนหัวเราะเบาๆ ไม่คิดว่าแค่แหย่นิดหน่อยอีกฝ่ายก็คิดจริงจัง

“ทำไง.....บอกว่าแกรักพี่ดิ่
 

“เฮ้ย.....”จูนตกใจ คำพูดของเคนทำให้นึกถึงคำพูดของยุทธ์เมื่อวันก่อน ไม่คิดว่าภายในเวลาไม่กี่วันจะเจอมุกคล้ายๆกันถึงสองรอบ “ไม่เอาอ่ะ....” จูนส่ายหน้าพรืด “พูดอะไรแปลกๆ วันนี้เพี้ยนๆนะพี่เคน”

“ก็ซ้อมไง....ซ้อม......” เคนยิ้มน้อยๆที่มุมปาก ชอบปฏิกิริยาของงเด็กหนุ่มตรงหน้าที่เป็นแบบนี้เสียจริง  “ลองบอกรักพี่เหมือนแบบในบทน่ะ ทำได้ไหม....”  เสียงทุ้มต่ำดังกระเซ้าแหย่พร้อมใบหน้าคมที่ขยับเข้ามาใกล้เสียจนทิ้งระยะห่างแค่ไม่กี่เซ็นต์

“จะซ้อมให้ได้สินะ....”

“อื้ม.......” รุ่นพี่รับคำพลางยิ้มกว้าง จูนดันตัวเคนให้ถอยออกไปก่อนจะลุกขึ้นยืน เคนได้ยินเสียงจูนสูดลมหายใจเข้าปอดเบาๆ เขาเองก็ยืนรอดูอยู่เหมือนกันว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะแสดงออกมาอย่างไร....


...............................................


มือแกร่งทำท่าคล้ายรับโทรศัพท์ ดวงตาคมมองหน้าของจูนให้ทำเช่นเดียวกัน มันเป็นฉากท่ามกลางสายฝนเย็นเยียบที่คู่รักทั้งสองคนจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในสถานการณ์ที่ยากจะตั้งสติรับมือได้ จูนท้อง (?) และสิ่งที่เคนทำได้คืออ้อนวอนคนรักท่ามกลางสายฝนให้ยอมให้เขาเข้าไปพบจูนในบ้านและสัญญาว่าจะรักและดูแลคนรักตลอดไป



       “ จูน.............. “ เคนส่งบทไป น้ำเสียงสั่นเล็กๆเหมือนคนยืนอยู่กลางฝนมานาน ในหัวกำลังจินตนาการถึงความหนาวเย็นรอบกาย

          “ทำไม...ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วย....” จูนเองก็สบตากลับมามอง แววดตาเจ็บปวด จนเคนรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูกหลายรครั้งมานี่จูนส่งอารมณ์ได้ดีเหลือเกิน หากถ่ายเป็นหนังสั้นแล้วคงต้องดีมากเป็นแน่ นึกอยากให้ยุทธ์ช่วยถ่ายภาพดวงตาคู่นั้น กับแนวขนตาที่สั่นระริกนั่นเหลือเกิน...

    “ทำไม..ทำไมต้องทำขนาดนี้ ทำไมต้องกลับมาทำให้ฉันสับสนอีก”เด็กหนุ่มพูดบทด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

    “............เพราะรักไงล่ะ....จูน...เพราะฉันรักนาย....ขอร้องล่ะให้โอกาสฉันเถอะนะ ให้ฉันได้ดูแลนาย..กับลูกของเราเถอะนะ...”  เคนพูดบทด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ ตัวละครของเขากำลังสำนึกผิด กำลังขอโอกาส อ้อนวอนหากแต่เต็มไปด้วยความหวัง ร่างสูงมองตรงไปยังคนที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะได้ยินเสียงคล้ายคนสะอึก เมื่อลองเพ่งมองดูดีๆ เหมือนหัวใจโดนบีบรัดเข้าอย่างแรง  เสียงสะอึกเมื่อครู่คือเสียงของจูน สะอื้นออกมาด้วยอารมณ์ที่ถูกพัดพาไป เด็กหนุ่มร่าสูงโปร่งโผเข้ามาหา ก้มหน้าก้มตาทุบมือลงบนอกของเขา


     “ไอ้บ้า ไอ้งี่เง่า ไอ้ควาย!!” แรงที่กระแทกลงมาบนอกนั่นแรงใช่ย่อย เคนพยายามจับมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายเอาไว้แต่จูนก็ดินหลุด ก่อนเป็นฝ่ายกอดร่างสูงของรุ่นพี่เข้าไปหา       “แต่ก็รักนะ....[/i]”

คำนั้นฟังดูหวานหูจับใจกว่าทุกครั้งที่เคยได้ยิน เคนรู้สึกได้ว่าหัวใจของเขากำลังพองโต พองจนรู้สึกเจ็บและกลัวว่าหากมันระเบิดด้วยความอิ่มเอมนั้นในท้ายที่สุดตัวเขาเองจะไม่เหลืออะไร คิดได้แบบนั้นสองแขนแกร่งกอดกระชับร่างของอีกฝ่ายเข้าหา ปลายจมูกซุกไซ้กลิ่นหอมจากแชมพูที่อีกฝ่ายใช้สระผม เส้นผมสีทองของจูนยังชิ้นอยู่นิดหน่อยด้วยซ้ำไป

     เป็นอีกครั้งที่จูนรู้สึกว่าอ้อมแขนที่โอบรัดเข้ามานั้นแตกต่างไปอีกครั้ง ความร้อนจากแผ่นอกเปลือยเปล่าที่ส่งผ่านเสื้อยืดเนื้อบางของเขามานั้นอ่อนโยน หากแต่โหยหาอะไรบางอย่าง จังหวะเสียงหัวใจของเคนที่ได้ยินนั้นถี่รัวชัดเจนไม่ได้ต่างไปหัวใจในอกของเขาเลย เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าน้ำตากำลังทิ้งตัวลงมาที่ข้างแก้ม ตัวละครของเขารู้สึกเช่นนั้น  .....ตัวละครของเขาคงโหยหาสัมผัสแบบนี้เหมือนกัน.....



    เคนผละตัวออกจากเด็กหนุ่มในอ้อมแขนเล็กน้อยจะยังไม่คลายอ้อมกอดออกแต่อย่างใด ดวงตาคมสบตาของอีกฝ่าย เห็นดวงตาเรียวนั่นฉ่ำชื้นเพราะน้ำตาก็อดยิ้มออกมาน้อยๆไม่ได้ ปลายนิ้วโป้งยกปาดน้ำตาออกจากข้างแก้มของจูนไล้เล่นเรื่อยผ่านมายึดท้ายทอยของอีกฝ่ายเอาไว้ ดวงตาคมยังสมตอบกลับด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาความหมายใบหน้าคมของเคนขยับเข้าใกล้


    “รัก....เหมือนกันครับ” เคนเอ่ยด้วยเสียงทุ้มที่ต่ำจนคล้ายจะแหบพร่าแต่กลับดังชัดเจนให้ได้ยินทั้งสองคน ร่างสูงสูดลมหายใจเข้าเล็กน้อยดวงตาคมจับจ้องที่ริมฝีปากสวยสลับกับมองใบหน้าของเด็กหนุ่ม ระยะเวลาที่เขาหยุดอยู่ไม่กี่เซนต์ห่างจากริมฝีปากบางนั้นทำให้จูนเผลอหลับตาเกร็งตัวรอรับสัมผัส...


   ..... กลัวอีกแล้ว......



    เคนยิ้มที่มุมปากเขาคิดว่าท่าทางแบบนั้นของจูนมันน่ารักเกินจะยั้งใจไว้ได้อีกต่อไป ร่างสูงก้มลงเล็กน้อยก่อนประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากของเด็กหนุ่มที่เกร็งจนไหล่สั่นรู้สึกได้ถึงมือที่โอบอยู่นั้นจิกลงบนแผ่นหลังของเขาจนรู้สึกเจ็บ เคนขยับริมฝีปากแต่หาได้ละออก สองมือประคองสองแก้มของอีกฝ่ายเอาไว้มั่นก่อนประทับริมฝีปากลงเม้มคลึงเบาๆที่ริมฝีปากล่างของอีกฝ่ายอีกครั้งและอีกครั้ง
    
    “อือ....” เสียงค้านในลำคอดังขึ้นเบาๆจากร่างของรุ่นน้องในอ้อมแขน สองไหล่เกร็งยักขึ้นสูงเหมือนพยายามจะปัดป้อง แต่เคนก็ยังไม่ปล่อยริมฝีปากของเขากำลังเพลิดเพลินกับสัมผัสนุ่มที่เย้ายวนอย่างที่ไม่เคยเป็น

    “ค....คัต.....คัตก่อน แบบ...แบบนี้แกล้งกันนี่หว่า...” เสียงแหบพร่าขาดห้วงดังจากริมฝีปากฉ่ำชื้นของเด็กหนุ่มที่พยายามเบี่ยงหลบสัมผัสของรุ่นพี่ จูบที่เขาได้รับนั้นแตกต่างจากเมื่อครั้งอยู่บนเวทีนั่นไม่น้อย และเขาไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้เลย จูนสั่งคัตเองเออเองด้วยอยากจะหลุดพ้นของสัมผัสอ่อนโยนที่ทำเอาใจเขาสั่นไหวไปให้เร็วที่สุด ริมฝีปากของเคนเหมือนจะดูดดึงหัวใจของเขาให้หลุดลอยไปในสถานที่ที่เขาเองก็ไม่เคยพบเจอ

    “คัตทำไม.....”เสียงของเคนดังทุ้มต่ำข้างหูมือแกร่งและริมฝีปากยังไม่ละจากข้างแก้มของหนุ่มรุ่นน้องปลายจมูกที่สูดลมหายใจเข้าลึกที่ข้างใบหูนั้นทำให้จูนขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง “แบบนี้ต้องบอกว่า เทค ทู แอคชั่น

    “แอคชั่น บ้า....อุ๊บ”ยังไม่ทันจะอ้าปากเถียง เคนกลับช่วงชิงคำพูดให้หายไปพร้อมกับปลายลิ้นร้อนที่ตวัดเลียริมฝีปากของเด็กหนุ่มอย่างแผ่วเบาหากแต่รุกรานอย่างถือดี มือใหญ่ประคองสองแก้มเอาไว้แน่นจนจูนหมดหนทางหลบเลี่ยง รุ่นน้องหลับหูหลับตายกมือขึ้นทุบไหล่กว้างหวังจะให้อีกฝ่ายหยุด ก่อนที่สองขาของเขาจะไร้เรี่ยวแรงจะยืน เคนถึงค่อยละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง

    “.......................” จูนพูดอะไรไม่ออกได้หอบหายใจแรงเขาคงเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งแล้วถ้าไม่ได้มือแกร่งของเคนที่ยังประคองหลังของเขาเอาไว้
    

    “จูน.....พี่............เอ่อ.....พี่ขอโทษเมื่อกี้มัน” เคนไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูด สัมผัสที่ได้รับทำให้ทั้งสุขใจละคนปนไปกับความเสียใจ แต่ก็ไม่อาจตัดสินได้แน่ชัดว่าควรจะจำกัดความรู้สึกของตัวเองว่าอย่างไร เพราะทั้งๆที่เขายังโอบอีกฝ่ายเอาไว้ในอ้อมแขนแบบนี้แต่เด็กหนุ่มกลับก้มหน้านิ่ง ผมที่ปรกลงมาทำให้เห็นหน้าของอีกฝ่ายไม่ชัด มีเพียงใบหูบางที่แดงก่ำไปด้วยเลือดที่สูบฉีดเท่านั้นที่ทำให้พอจะเดาอารมณ์ได้อยู่สองทาง



   ....นี่กูอะไรลงไปอีก....
    ....ทำให้มันโกรธกูมากหรือเปล่า...
    ....กูบังคับมันอีกแล้วใช่ไหม.....
    ....เวรแล้ว ไอ้เคนเอ้ย......
    ....ไม่คิดหน้าคิดหลังอีกแล้วไหมมึง....



เคนทำใจเขารู้ว่าภายในสองวิหลังจากนี้เขาคงเจอหมัดหนักๆของอีกฝ่ายซัดเข้าหน้ามาเป็นแน่ ถึงจะหลบได้แต่ถ้าอีกฝ่ายจะต่อยเขาตอนนี้ก็คิดว่าคงไม่อาจหลบความผิดนี้ได้พ้น.....เพราะแม้ตอนแรกจะเป็นการแสดงแต่สุดท้ายเขาก็ปล่อยให้อารมณ์นำทางไปจนกลายเป็นว่าฉวยโอกาสอีกฝ่ายไปเสียอย่างนั้น


    “พี่เคนเมื่อกี้............” เด็กหนุ่มเรียกชื่อของรุ่นพี่ด้วยริมฝีปากฉ่ำชื้นที่ยังสั่นระริก




“พี่แสดง?.....โหยพี่แม่งโคตรอัจฉริยะเลยอ่ะ....สุดยอดอ่ะ....ไปเล่นให้พี่โชติดูแบบเมื่อกี้เลยนะ ถึงจะจูบจริงจังไปหน่อยก็เหอะแต่เอาแบบเมื่อกี้เลยนะ”เด็กหนุ่มดูตื่นเต้นมากกับความคิดของตัวเอง เด็กหนุ่มว่าพลางลุกขึ้นยืนตบบ่าตบไหล่ของเขาเสียเป็นการใหญ่


    ...............หา?!................... เคนแทบจะร้องออกมาด้วยความมึนงงแต่ซุ่มเสียงของเขามันหายลงคอที่แห้งผากไปหมดแล้ว


    “เยี่ยม แสดงว่าเราโคตรอินอ่ะเมื่อกี้....สุดยอดเลยพี่เคน” จูนตบเบาๆลงบนอกของเขาดูจะยังพอใจและยินดีกับ “การแสดง” เมื่อครู่อยู่ไม่หาย เคนแทบจะกระโดดเอาหัวกระแทกกำแพงสักสามสิบเก้าตลบ


   ............ไอ้เด็กบ้านี่ บทมันจะซื่อก็ซื่อไร้กาลเทศะพิกล.......
    .......... นี่กูเพิ่งจูบผู้ชายไปนะ นี่มึงยังคิดว่ากูอินเนอร์แรงอีกหรือไง............
     ...........แถมยังจูบบิ้วจนเข่าอ่อนขนาดนี้ นี่มึงยังคิดว่ากูล้อเล่นอีกเรอะ......
    ...........โอ้ย กรรมของเวร.......




    “เดี๋ยว...นี่แกไม่คิดจะเขิน หรือจะโกรธพี่ด่าพี่เหมือนคราวก่อนเลยเหรอ....” เคนยังมึนไม่หายเขาไม่รู้จะถามอะไรนอกเสียจากความสงสัยว่าทำไมรอบนี้เขาไม่โดนต่อย

    “ตอนแรก ผมก็คิดว่าพี่แกล้งผมนะ....แต่คิดอีกทีมันอินเนอร์แรงเกินไป แล้วอีกอย่างพี่คงไม่ลงทุนมาแกล้งผมแบบนี้หรอก เรื่องพี่นิดคราวก่อนก็ยังมี เลยคิดว่าพี่แสดงชัวร์ เก่งมากเลยอ่ะพี่ นี่ถ้าพูดบทต่อด้วยนะ ผมเชื่อพี่ล้านเปอร์เซ็นต์เลยนะว่าพี่คิดว่าพี่กำลังจูบแฟนอยู่อ่ะ”

     “โอย....กูละมึน” คราวนี้เป็นเคนเองที่เข่าอ่อน  จะนึกโทษใครได้ในเมื่ออีกฝ่ายซื่อกับเรื่องการแสดงออกของเขาไปเสียขนาดนี้

    “เป็นอะไรอ่ะพี่เคน....ฮั่นแน่ แกล้งผมไม่ได้ผลหรอกนะคราวนี้ แบบนี้แสดงไม่เนียนอ่ะ”จูนหัวเราะพลางยื่นมือไปให้อีกฝ่ายจับให้ลุกขึ้นยืน เคนเงยหน้าขึ้นมองหน้ารุ่นน้องก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิดเล็กๆ


   .......ไอ้เด็กนี่ ทีแบบนี้ทำไมมันไม่เขินวะ......
    .....กูเขินจะเอาหัวมุดดินอยู่แล้วเนี่ย...........



    “ยังซ้อมไม่จบซักหน่อย....” เคนเอ่ย ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืน

    “หะ....อะไรนะ” จูนเลิกคิ้วสูง แต่พอเห็นอีกฝ่ายก้าวเข้ามาใกล้ก็นึกอยากจะถอยขึ้นมากะทันหัน “เฮ่ย ไม่เอานะ พอแล้ว....” เด็กหนุ่มยกมือห้าม แต่ก็เหมือนจะก้าวไม่พ้น เคนเดินเข้ามาใกล้ ก่อนที่อยู่ๆมุมมองทุกอย่างจะเปลี่ยนไปเมื่อเคนช้อนตัวของเขาขึ้นอุ้มจนตัวลอย “เฮ้ยยย....” จูนอุทานเสียงดังลั่น

    “สำหรับเด็กไม่รู้กาลเทศะมันต้องโดนแบบนี้” เคนพูดด้วยนึกหมั่นไส้ พาจูนที่เขาอุ้มอยู่ในอ้อมแขนหมุนวนรอบตัวจนรู้สึกตาลายไปด้วยกันทั้งคู่

    “โอ้ย พี่เคนนน... ปล่อย....ผมเวียนหัว....โว้ย....” จูนทั้งร้องทั้งดิ้นให้อีกฝ่ายปล่อยเขาลง   

    “ไม่ปล่อยเว้ย หมั่นไส้ชิบ เด็กเปรตนี่” เคนตอบแขนก็กระชับอีกฝ่ายเข้าหาตัวอีก ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ ถึงจูนจะไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ตัวเล็กแต่ก็ไม่เกินกำลังเขาจะยกอีกฝ่ายจนตัวลอยได้แบบนี้

    “หมั่นไส้อะไรอีก เลิกแกล้งผมซะที ปล่อยโว้ย. ไอ้พี่บ้า”  จูนโวยลั่น

    “ก็มันน่าหมั่นไส้นี่หว่า  ซื่อไม่ดูกาลเทศะ.....”  เคนก้มลงมาแทบตะโกนใส่รุ่นน้อง สองขาก้าวยาวๆพาอีกฝ่ายเข้าไปในห้องนอนก่อนจะกึ่งโยนเจ้าของห้องลงกับเตียง “โว้ย หนักเป็นบ้า”

    “อ้าว ว่ากูอีก ใครใช้ให้อุ้มอ่ะ ” จูนยันตัวเองขึ้นนั่งหันซ้ายมองขวาอดสงสัยไม่ได้ว่าพวกเขาสองคนเข้ามาอยู่ในห้องนอนตั้งแต่เมื่อไร

    “ซ้อมไง ซ้อมอุ้ม...หนักเป็นบ้า ลดน้ำหนักด้วย ถ้าไม่ลดเดี๋ยวพี่จะพาไปวิ่งให้มันลดเอง” เคนเฉไฉด้วยเรื่องอื่น เขาก็ไม่รู้จะตอบอีกฝ่ายอย่างไรว่าทำไมเขาถึง “หมั่นไส้” ในท่าทีซื่อๆแบบนั้น

    “เข้าใจแล้ว...ทำไมต้อหงุดหงิดด้วยวะ....” ได้ฟังคำพูดแบบนั้นจูนก็บ่นอุบทำปากยื่นอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ “เอาเป็นว่าถ้าเบากว่านี้ก็จะอุ้มได้ง่ายขึ้นใช่ไหม....เจอกันสนามบอลเลย จะไปวิ่งให้ดู”

    “ขอให้ไปจริงเหอะ...” เคนว่าพลางหัวเราะออกมาเบาๆ “ไปล่ะ พรุ่งนี้เจอกันที่ชมรม ซ้อมคราวนี้ห้ามเขิน ห้ามหลบ ห้ามเกร็งนะเว้ย จะเกร็งไปไหนคอจะตะคริวกินแล้วมั้ง...”เคนว่า “ถ้าแกเกร็งอีกพ่อจะจูบให้ขาเข่าอ่อนเป็นขี้ผึ้งโดนไฟเลย”  ร่างสูงพูดพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้เหมือนจะทำอย่างที่พูดอีกสักรอบจริงๆ ทำเอาจูนขยับหนีไปจนสุดหัวเตียง

    “พอๆ ไม่เอาแล้ว....”

    “ฮ่ะๆ.....ไปละ ได้แกล้งคนพอใจละ” เคนโบกมือให้กับอีกฝ่าย เขารีบคว้าเสื้อยืดที่ถอดวางเอาไว้มาสวมทับ “แล้วเจอกันพรุ่งนี้” เคนหันมายิ้มกวนๆให้กับเจ้าของห้องที่ทำหน้าย่นด้วยความหงุดหงิด

    “ไปเลย... โธ่เอ้ย คนอุตส่าห์จะนับถือว่าวันนี้จริงจัง.... สุดท้ายก็บ้าบอคอแตกเหมือนเดิม!”

    “เออๆ จะว่าอะไรก็ว่าไปเหอะ...อย่าให้จริงจังขึ้นมานะ แกจะหนาวอย่าหาว่าไม่เตือน” เคนยักคิ้วให้ก่อนจะคว้ากระเป๋าเดินจากห้องของจูนไป 



............................................ to be continued

ออฟไลน์ shiawase

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
#เพิ่งจะได้มาตอบ#

น้องจูนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน  อย่ามาซื่อบื้อ เอ๋อแดรกแบบนี้นะ  เจ๊เครียด!!!!!  :ling1: :ling1:

อิพี่เคนและดูน่าสงสาร พอตั้งใจจะจริงจังอีกฝ่ายดันไม่รับ  แต่ก็สะใจเล็กๆ  หึหึหึ  :z2:

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
@@@ talk @@@
ถ้าให้ตั้งชื่อตอนนี้ .... คงให้ชื่อว่า "คำถาม" ล่ะมั้ง....
มาแล้วค่า ขอโทษที่ทำให้รอ ....มีคนรอไหมนะ?..... :monkeysad:

..............................................




-18-



              การซ้อมเมื่อวันก่อนผ่านไปด้วยดี ทั้งฉากแอคชั่นก็เล่นกันได้อย่างคล่องแคล่วเพราะทั้งเคนและยุทธ์ต่างก็มีทักษะด้านกีฬาอย่างโชกโชนเรื่องการเคลื่อนไหวขยับตัวเลยไม่ต้องเป็นห่วงมาก ในขณะที่ฉากเลิฟซีนก็ผ่านฉลุย เคนกับเขาแสดงเข้าขากันได้ดี จนยุทธ์ออกอาการหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะเขาพนันกับโชติเอาไว้ว่าเคนจะไม่จูบเขาจริงแน่นอน
    
   
                .......เอ้า...ห้าร้อย....



                  โชติพูดแบบนั้นพลางยื่นแบงค์ห้าร้อยมาให้แถมบอกว่าเป็นเงินที่ยุทธ์เสียพนันให้เลยตั้งใจจะใช้เงินนี้ไปซื้อชุดผู้หญิงมาใส่ประกอบฉาก จูนได้แต่หัวเราะแห้งๆเมื่อเห็นยุทธ์ท่าทางหัวเสียอยู่ใช่ย่อยตรงกันข้ามกับเคนที่ดูสนุกกับการซ้อมเมื่อวันก่อนอยู่ไม่น้อย 
    
   
                ...พี่ยุทธ์ก็ทำตัวแปลกๆ พี่เคนเองก็พอกัน....



                 จูนรู้สึกแบบนั้น ยิ่งตอนที่ซ้อมกันเมื่อวันก่อนเขารู้เลยว่าเคนไม่ได้แสดงออกมาเหมือนตอนที่ซ้อมด้วยกันในห้องของเขาเมื่อวัน สัมผัสที่ริมฝีปากนั้นเป็นเพียงการแตะริมฝีปากเบาๆจนแทบจะไม่โดนเสียด้วยซ้ำ พอเขาอ้าปากจะท้วงว่าไม่เหมือนที่แสดงในห้องกับเขาเมื่อก่อนหน้า แต่เคนกลับทำท่าเหมือนว่านั่นคือการแสดงที่ถูกต้องแล้ว ซึ่งโชติก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมในฐานะผู้กำกับ แสดงว่าการแสดงแบบนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วอย่างนั้นหรือ ? ถ้าการแสดงมันควรเป็นอย่างนั้นแล้ว สิ่งที่เคนทำกับเขาในห้องนั่นมันคืออะไร คำถามนี้รบกวนจิตใจของจูนมาตลอด มันไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้สึกหวั่นไหวมันยากที่จะทำให้ใจเป็นกลางในเมื่อปฏิเสธตัวเองไม่ได้ว่าเขาปลื้มใบหน้าคมของอีกฝ่ายมากขนาดนั้น แล้วยิ่งต้องมาแสดงบทบาทสมมติแปลกๆด้วยกันอีกเป็นใครคงต้องเผลอคิดเกินเลยไปบ้าง แต่ก็เอ่ยออกไปไม่ได้ แม้จะเป็นเพียงการพูดเล่นก็ตามที คงไม่ใช่เรื่องดีแน่เพราะยิ่งจะทำให้ตัวเองดูแย่เข้าไปใหญ่ จากที่เคยโดนเข้าใจผิดมาก่อนหน้านี้จะกลายเป็นว่าถูกเข้าใจถูกต้องมาโดยตลอด...


      ....แต่เราไม่ใช่แบบนั้น....
       ...เราไม่ได้เป็นแบบนั้น....



              เป็นครั้งที่เท่าไรที่จูนพยายามพูดกับตัวเองเช่นนี้ สองคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันจนจะเป็นปม อันที่จริงเขาถูกเรื่องนี้หลอกหลอนมาหลายคืนจนรู้สึกว่าตนเองพักผ่อนไม่เพียงพอ รู้สึกเหนื่อยอย่างประหลาดกับการวิ่งหนีจากความคิดของตัวเองแบบนี้       
         

              “จูน...ไม่สบายรึเปล่าคะ หน้าซีดๆนะวันนี้” เสียงของนิดเอ่ยทักเด็กหนุ่มที่นั่งเหม่ออยู่ที่เบาะด้านหลังรถสีแดงคันเล็กของเธอ เรียกให้คนที่ขับรถอยู่เหลือบมองผ่านกระจกมองหลังมามองท่าทางของจูนด้วย
         
             “อ่ะ...สบายดีครับพี่นิด ช่วงนี้นอนน้อย ใกล้จะสอบมิดเทอมแล้วเลยอ่านหนังสือหนักไปหน่อยน่ะครับ” จูนยิ้ม
         
              “ช่วงอ่านหนังสือมันต้องกระทิงแดงอ่ะไอ้น้อง โด๊ปเข้าไป” เคนเอ่ยเสียงเข้ม
    
            “กาแฟก็พอมั้งพี่ กระทิงแดงดูจะโหดไปนิด ไม่เข้ากับหน้าผมหรอก” จูนเถียงทันควัน นึกในใจว่าเป็นเพราะใครกันทีทำให้เขาต้องมีเรื่องอื่นๆนอกเหนือจากเรื่องเรียนมาคิดให้มากมายเสียขนาดนี้

              “คงไม่ใช่ทุกคนที่พอจะสอบก็กินกระทิงแดงแบบพี่เคนหรอกมั้ง “นิดหัวเราะออกมาเบาๆ “ว่าแต่วันนี้จูนจะไปซื้ออะไรคะ”
     
              “แฮะๆ ก็ของใช้ในชมรมน่ะครับพี่นิด ....ขอโทษนะครับมาเป็นก้างขวางคอแบบนี้” จูนเอ่ยขอโทษรุ่นพี่ฝ่ายหญิง อันที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากจะมานักเพราะรู้สึกว่ายังเข้าหน้านิดไม่ติดอย่างไรก็อธิบายไม่ถูก แต่ตอนที่กำลังรอรถอยู่ที่หน้าโรงอาหารกลางก็มีรถคันเล็กสีแดงมาจอดเทียบ พอกระจกหน้าต่างลดลงมาถึงได้เห็นว่าเป็นเคนและนิดนั่นเอง

               “จะมาซื้อของก็ไม่บอกก่อนวะ ไอ้โชติมันให้เราไปซื้อด้วยกันไม่ใช่เหรอ ลืมไปแล้วรึไง” เคนว่า
    
           “ก็ไม่ได้ลืมหรอกแค่........บางทีมันจะซื้อง่ายกว่าถ้าไปคนเดียว” จูนบ่นพึมพำ
    
          ไม่นานทั้งสามคนก็มาถึงที่ห้างสรรพสินค้า จูนรู้ดีว่าเขาจะต้องรีบแยกตัวออกไป และจุดมุ่งหมายของเขาคือร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิงที่ก่อนหน้านี้ก็เคยมาเลือกซื้อขอลองเสื้อ ในตอนแรกๆพนักงานก็มองหน้าเขาแปลกๆแต่หลังๆมาคงจะชินแล้วเลยไม่ค่อยแสดงท่าทีอะไรนัก
    
          “ว่าแต่แกจะมาซื้อเสื้อใช่ป่ะ....” เคนดึงแขนของจูนเอาไว้ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้เดินแยกตัวไปไหน “ทำไม่ให้นิดช่วยเลือกให้ล่ะ...”
   
              “หะ?....” จูนเลิกคิ้วสูง
    
           “ซื้อเสื้ออะไรเหรอ? “ นิดเองก็เดินเข้ามาถาม
    
          “เสื้อผู้หญิงน่ะ เดี๋ยวที่ชมรมต้องใช้ แต่อยากให้แต่งออกมาแล้วดูดีหน่อย เสื้อผ้าที่คราวก่อนใส่ก็แก่เป็นย่าเดินถือไม้เท้ามาเลย....ให้นิดช่วยเลือกให้พวกพี่หน่อยได้ไหมครับ”  จูนนึกอยากจะกระโดดดร็อปคิกใส่หัวของรุ่นพี่ร่างสูงนี่กำลังจะพูดว่ารสนิยมของเขาแย่อย่างนั้นเหรอ


             ....โอ้ย...น่าหมั่นไส้เป็นบ้า ...


              “ได้สิคะ...น่าสนุกดี”  คำตอบของนิดยิ่งทำเอาจูนตกใจ เขานึกว่าอีกฝ่ายจะไม่เล่นด้วย หรือเป็นเพราะว่าเขายืนยันไปคราวก่อนว่าเขาไม่ได้เป็นสาวประเภทสองในตอนนั้นอีกฝ่ายถึงได้ทำใจคุยกับเขาได้มากขนาดนี้
    
          “มากับพี่สิจูน....พี่จะเปลี่ยนหนุ่มหล่อเป็นสาวสวยให้ดู” ไม่พูดเปล่าร่างเล็กเดินนำลิ่วไปก่อนดูท่าทางตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย
 
             “ผู้หญิงนี่เข้าใจยากกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลยนะ...” จูนเอ่ยขึ้นมาเบาๆ
    
          “อืม......บางทีพี่ก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน....ไป...พาสาวน้อยไปแต่งตัวกันดีกว่า”” เคนตอบกลับก่อนจะหันมายิ้มแล้วดึงแขนของจูนให้รีบเดินตามแฟนสาวของตัวเองไป
    
         “ใครสาวน้อยกัน....ปล่อย ไม่ต้องจูงเลย”
    
        “เออน่า.....” เคนหัวเราะพลางพูดอย่างขอไปที แต่มือก็ยังไม่ยอมปล่อยจากแขนของอีกฝ่าย

    
                          ................................................
    

               โซนร้านขายเสื้อผ้าที่เป็นแหล่งรวมแฟชั่นของเหล่าวัยรุ่นเป็นเป้าหมายแรกที่นิดมุ่งหน้าไป ตามติดด้วยสองหนุ่ม ด้วยความที่จูนเป็นผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งไม่ได้ไหล่กว้างหนาเหมือนอย่างเคนทำให้การเลือกเสื้อผ้ามาให้ใส่นั่นมีความหลากหลายในเรื่องของแฟชั่นมากขึ้น

 
                “พี่ไม่อยากให้จูนใส่เสื้อผ้าที่มันใหญ่ไป....เอาพอดีตัว แต่ไม่เน้นไหล่ เพราะไหล่ผู้ชายกว้างกว่าไหล่ผู้หญิงอยู่แล้ว กระโปรงก็ต้องช่วยเพิ่มสะโพก...เอ....หรืออยากได้แบบชุดเดรสยาวๆคะ...จะได้ง่ายๆดีไหม” เสียงนิดพูดไปก็หยิบเสื้อตัวนั้นยกเสื้อตัวนี้ขึ้นมาเทียบ ปากก็พึมพำคำว่า น่ารักบ้าง สวยบ้าง
 
             “เอ่อ....ผมว่าอะไรที่ง่ายๆก็ดีนะครับ” จูนยิ้ม ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเจอเคนตบก้นเข้าดังป้าบ
 
            “เอาแบบเซ็กซี่ด้วยได้ไหมนิด พี่ว่าคงมีคนอยากเห็นไอ้จูนแบบสวยเซ็กซี่”
    
          “เฮ้ย ... “จูนอุทานหันไปมองหน้าเคนอย่างไม่พอใจ “พี่เคน!”
 
             “ฮ่ะๆ....ต้องถามคนใส่ดีกว่าค่ะพี่เคน  เล่นหนังกันไม่ใช่เหรอคะ บุคลิกเขาเป็นแบบไหนล่ะ “ นิดหันมามองหน้าของจูนใบหน้าสวยคมระบายด้วยรอยยิ้มทำให้จูนรู้สึกเกรงใจอยู่ไม่น้อย
    
          “แบบเรียบๆก็คงได้ครับ”
    
          “งั้นตัวนี้...” หญิงสาวเดินกลับไปเลือกเสื้อผ้า ปรึกษาเรื่องขนาดกับคนในร้านก่อนจะเดินกลับออกมาพร้อมชุดแมกซี่เดรสสีส้มอิฐตัวกระโปรงเป็นผ้าสองชั้นด้านล่างเป็นกระโปรงผ้าทึบยาวคลุมเข่าในขณะที่ชายยาวที่เหลือนั้นเป็นผ้าโปร่งที่เวลาใส่คงดูวับแวมอยู่ไม่น้อย
         “กับตัวนี้ค่ะ ใส่เสื้อคลุมทับจะได้ไม่ดูไหล่ใหญ่เกินไป...เอ้าไปลองๆ....”

         ซึ่งจูนก็ทำตามแต่โดยดี มีคนมาช่วยเลือกเสื้อผ้าให้แบบนี้ก็คลายความลำบากใจไปเยอะ แถมแม่ค้าที่ร้านก็ไม่ได้ว่าอะไรหากจะมีผู้ชายมาลองเสื้อผ้าในร้านทำให้เปลี่ยนเสื้อผ้าลองได้อย่างสบายใจจนกระทั่ง....


          “เวรละ!” จูนอุทานออกมาจากห้องแต่งตัวด้วยเสียงไม่เบาเท่าไร 
    
      “เฮ้ย จูนเป็นอะไร...” ทั้งที่ตอนแรกยืนอยู่ห่างจากห้องลองเสื้อไม่น้อยกลับสาวเท้าเดินเข้ามาประชิดประตูห้องลองเสื้อด้วยความว่องไว

          “ผม...ติดกระดุมข้างหลังไม่ได้....”เด็กหนุ่มร้องออกมาพลางหัวเราะนึกขำตัวเองอยู่ไม่น้อย ไม่ต่างจากคนอีกสองคนที่ยืนรออยู่ด้านนอก ทั้งเคนและนิดเผลอหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ผมได้ยินนะ พวกพี่หัวเราะกันใช่ไหม”
    
         “ฮ่ะๆ...ขอโทษค่ะ เดี๋ยวพี่ช่วยไหม” นิดว่าพลางจะเปิดประตูเข้าไปด้านในแต่เคนยื่นแขนมาห้ามเอาไว้
    
         “เดี๋ยวพี่ช่วยมันเอง.....” เคนยิ้มก่อนก้มลงไปกระซิบให้นิดฟัง “เกิดมันโป๊อยู่จะทำยังไง...”  ได้ผลหญิงสาวหน้าแดงขึ้นมาทันที ก่อนจะขยับถอยออกห่างพลางทำมือบอกเคนว่าจะไปรอด้านนอก เคนมองให้หญิงสาวเดินห่างออกไปแล้วจึงเปิดประตูห้องลองเสื้อแคบๆนั่นแล้วเบียดตัวเองเข้าไปด้านใน
     
          “เฮ่ย...อ่อ...พี่เคนเองเหรอ ตกใจหมดนึกว่าคนขายซะอีก...” จูนสะดุ้งโหยงยกมือขึ้นปิดอกตัวเองถึงจะเคยเปลือยท่อนบนบนเวที ต่อหน้าคนมาก็หลายครั้งแต่จะให้ผู้หญิงมาจ้องเอาๆก็เกรงใจฝ่ายหญิงเสียมากกว่า
    
          “อะไรวะ แค่นี้ทำเขิน...ไหนที่มันติดไม่ได้อ่ะตรงไหน” เคนพูดพลางจับให้จูนหันหลัง แต่ก็เหมือนดึงภัยมาหาตัวด้านหลังของชุดเดรสเป็นกระดุมเรียงกันหลายเม็ดที่...ไม่ได้ติดเลยสักเม็ดเผยให้เห็นแผ่นหลังขาวพอมีกล้ามเนื้อภายใต้เนื้อผ้าสีส้มอิฐที่ยิ่งช่วยขับให้ผิวกายนั้นดูขาวมากยิ่งขึ้นไปอีก หัวใจของชายหนุ่มพลันเต้นผิดจังหวะขึ้นมาทันที
    
          “ตรงนั้นล่ะพี่...ติดให้หน่อย เอาเป็นว่าติดได้เท่าที่ติดได้นะ เดี๋ยวมันจะตึงเปรี้ยะขาดแคว่กขึ้นมาจะแย่”
    
         “อ่ะ...อืม....” เคนกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่พยายามเพ่งปลายนิ้วของตัวเองไปที่กระดุมที่อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่แผ่นหลังของหนุ่มรุ่นน้อง ทั้งสองคนเงียบอยู่ในพื้นที่แคบๆได้ยินเสียงลมหายใจของเคนดังเบาๆอยู่ไม่ห่างออกไปนักทำให้จูนรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย
    
         “.....เสร็จยังอ่ะพี่เคน....”
    
          “อย่าเร่งดิ่ กระดุมมันเม็ดเล็กเว้ย”

            ถึงจะพูดออกไปคล้ายจะรำคาญแต่ส่วนหนึ่งในใจกลับสั่งให้ปลายนิ้วขยับช้ากว่าที่เป็น จูนใส่ชุดที่นิดเลือกให้ได้พอดีมันเหมาะมากกับร่างโปรงของจูน ช่วงไหล่ขาวที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าโปร่งทำให้เกิดความรู้สึกเย้ายวนอย่างบอกไม่ถูกทั้งๆที่อีกฝ่ายก็เป็นผู้ชายแท้ๆ เคนก้มหน้าลงเล็กน้อยขณะที่มือกำลังจะติดกระดุมเม็ดสุดท้าย...กระดุมเม็ดสุดท้ายที่เหมือนจะทำใจติดให้ไมได้ ใช่ว่าไม่เคยติดกระดุมให้ใคร ใช่ว่าไม่เคยปลดประดุมให้ใคร แต่ในครั้งนี้มันแตกต่างออกไป เหมือนเขาถูกดูดดึงให้ก้มลงไปหาผิวกายขาวๆนั่นริมฝีปากได้รูปของเคนแตะลงแผ่วเบาบนผิวเนื้อของอีกฝ่ายอย่างยากจะห้ามใจ
    

           “................................” เสียงจูนสูดลมหายใจเข้าด้วยความตกใจ ร่างสูงโปร่งพลิกตัวหันกลับมามองหน้าของเคนด้วยสีหน้าประหลาดใจใบหน้าของเด็กหนุ่มแดงก่ำ    “พี่ทำอะไรน่ะ.....” มือเรียวข้างหนึ่งยกขึ้นแตะตรงด้านหลังคอของตนเอง    
 
             “อ่ะ....ก็แกขยับนี่หว่า คนก้มๆอยู่ปากมันก็โดนอ่ะ...น้ำลายติดเลย” เคนโกหกหน้าตาย
    
          “ฮึ่ย....น้ำลาย.....” จูนทำหน้าแขยงขึ้นมาทันที “ผมว่าพี่ออกไปได้แล้วอึดอัด เดี๋ยวผมออกไปให้ดู...” ว่าพลางก็รีบดันให้อีกฝ่ายออกไปจากห้องลองเสื้อ


............................................................................



             “ได้เสื้อสองตัวราคาอยู่ในงบใช่ไหมจูน” เสียงนิดถามขณะเดินออกมาจากร้านสีหน้าท่าทางพึงใจกับผลงานของตัวเองอยู่ไม่น้อย
    
          “ครับ พอดีเลยครับพี่นิด ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มว่า
    
          “เหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ดีค่ะ....งั้นเราไปหาอะไรกินกันดีกว่าไหม พี่เคนท่าจะหิวแล้ว” พูดพลางหันไปแหย่แฟนหนุ่มร่างสูงของตนเอง
 
             “อ่า...แบบนั้นก็ได้ครับ...อ๊ะ” จูนอุทานเมื่อสายตาเบนไปพบอะไรบางอย่างในตู้กระจกร้านตรงข้ามร่างสูงโปร่งพุ่งไปยังร้านนั้นทันที
   
          “มันเป็นอะไรของมัน” เคนถาม นิดก็ได้แต่ยักไหล่ก่อนจะเดินตามไปดู
    
          “อุ้ย ตุ๊กตาตัวนี้ กำลังอยากได้พอดีเลย พี่เคน...” เด็กสาวชี้ไปที่พวงกุญแจตุ๊กตาสีขาวหูยาวกลมๆตัวการ์ตูนของญี่ปุ่นตัวที่จูนกำลังจับจ้องอยู่ เด็กหนุ่มหันกลับมามองนิดที่กำลังคว้าแขนของเคนไปกอดคล้ายจะออดอ้อนแบบนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ เขาคว้าตุ๊กตาตัวนั้นเดินไปจ่ายสตางค์
    
          “พี่ฮะพี่มีแบบนี้อีกตัวไหมอ่ะ....” เด็กหนุ่มลองถามกับเจ้าของร้าน
    
         “เอ....ไม่มีน้า ตัวนี้มีมาตัวเดียวอ่ะน้อง โทษทีนะ “
    
         “อ่ะ.....เหรอครับ .............” จูนทำปากยื่นเล็กน้อย รู้สึกเสียดายอย่างบอกไม่ถูกเขาหันกลับไปมองเคนกับนิดอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจ “งั้นเอาตัวนี้ล่ะครับพี่”   ไม่นานเด็กหนุ่มก็เดินกลับมาพร้อม ยื่นถุงใบเล็กให้กับนิด
 
            “ผมให้ครับพี่นิด...ขอบคุณที่ช่วยพวกผมวันนี้”
    
          “อุ้ย จริงเหรอคะขอบใจจ้ะจูน...น่ารักจัง พี่จะเก็บไว้อย่างดีเลย” หญิงสาวรับของขวัญนั้นไปอย่างง่ายดาย “แล้วจูนล่ะ ไม่ซื้ออะไรอีกเหรอ....” แต่เด็กหนุ่มกลับส่ายหน้า
    
         “ไม่ล่ะครับ แค่นี้ก็พอแล้ว....เราไปหาอะไรกินกันเถอะครับ ไปกันพี่เคน หิวแล้วไม่ใช่เหรอ” จูนว่าพลางหันมาดันไหล่ของเคนให้เดินไปพร้อมๆกับนิด ร่างสูงแอบมองเห็นว่าอีกฝ่ายหันกลับไปมองร้านขายตุ๊กตานั่นแล้วแอบถอนหายใจเบาๆ 
    
        “เหอะ...ทำเป็นเท่ซื้อให้คนอื่นเขาทำไม” เคนเอ่ยขึ้นเบาๆ เมื่อเห็นว่านิดเดินทิ้งระยะห่างออกไป
    
        “ก็ผมอยากให้นี่ ขอบคุณพี่นิดผิดตรงไหน ว่าแต่...พี่เคนไม่หึงใช่ป่ะ” เด็กหนุ่มแหย่กลับทำท่าเหมือนอารมณ์ดีเต็มพิกัด
    
        “ไม่หึง......แค่......”ร่างสูงหันไปมองหน้าของอีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจออกมา “ไปหาอะไรกินกันเถอะ....”



               ......แค่ไม่อยากเห็นแกทำหน้าเป็นหมาหงอยแบบนั้นก็เท่านั้น.....



....................................................



              หลังจากทานข้าวเสร็จเคนดูเหมือนจะหายตัวไปนานจนน่าเป็นห่วง แต่หลังจากปล่อยให้ทั้งแฟนสาวและรุ่นน้องยืนรออยู่พักใหญ่ก็วิ่งกระหืดกระหอบมาพร้อมกับบัตรจอดรถที่เจ้าตัวบอกว่าลืมวางไว้ที่ร้านอาหาร นิดบ่นเคนแต่เป็นคำบ่นที่มาพร้อมกับรอยยิ้มท่าทีสนิทสนมนั้นอยู่ในสายตาของจูนตลอด เด็กหนุ่มตั้งใจจะขอตัวกลับก่อนเพื่อที่ทั้งสองคนจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน แต่เคนกลับบอกว่าจะต้องรีบกลับไปเอารถที่จอดทิ้งไว้ที่โรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัยจึงขอไปลงรถที่หน้าโรงอาหารพร้อมจูนเลยทีเดียว
 
             “งั้นเดี๋ยวเจอกันนะคะพี่เคน” นิดโบกมือให้กับเคนก่อนจะขับรถสีแดงคันเล็กของเธอออกไป เคนยืนโบกมือให้แฟนสาวเช่นกัน  จูนเองก็แอบโบกมือให้กับนิดด้วย พอได้มาพูดคุยกันตลอดทางแบบนี้แล้วเขาก็รู้สึกว่านิดเป็นผู้หญิงที่น่ารัก ดูน่าทะนุถนอมแต่ก็มีความเข้มแข็งอยู่ในตัวไม่แปลกใจเท่าไรที่รุ่นพี่ร่างสูงของเขาจะคบหาด้วยทั้งคู่ก็ดูจะเข้ากันดี...อย่างน้อยก็จากภาพที่เขาเห็นวันนี้
    
         “โอเค แยกย้าย หวัดดีครับพี่” จูนตบมือเข้าหากันก่อนตั้งท่าจะเดินไปขึ้นรถโดยสารกลับห้องพัก
    
        “เดี๋ยว..... “ เคนคว้าแขนของจูนเอาไว้ “พี่ไปส่ง”
 
          “จะไปอีกทำไม เมื่อกี้ก็ขับรถ เทียวไปเทียวมาสนุกเหรอครับ” จูนขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมช่วงนี้อีกฝ่ายถึงอยากจะไปส่งเขานักทั้งๆที่ก่อนหน้านี้อิดออดแถมต่อว่าเขาเสียด้วยซ้ำว่ามัวแต่ไปส่งไอ้จูนจนไม่มีเวลาไปเจอแฟน
 
          “อื้ม...สนุก “ เคนตอบสั้นๆ ก่อนจะจูงแขนของรุ่นน้องให้เดินตามเข้าไปยังที่จอดรถเพื่อเอารถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง
 

          สักพักใหญ่กว่ารถมอเตอร์ไซค์คันโตของเคนจะพาจูนมาส่งถึงที่หน้าหอ เด็กหนุ่มถอดหมวกกันน็อคคืนให้แต่หน้าตาไม่ได้ดูร่าเริงเหมือนทุกครั้ง เขาทนเก็บความสงสัยในใจมาตั้งแต่ที่ห้างและเหมือนจะยังชั่งใจอยู่ว่าตัวเองควรจะพูด หรือถามอะไรออกไปดีหรือไม่ แต่ก็ไม่อยากรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังคิดอะไรบางอย่างไปเอง มันออกจะน่าขายหน้าถ้าในท้ายที่สุดแล้วไม่ได้มีใครคนใดคิดไปในแบบเดียวกันเลยแม้แต่น้อย
 
           “ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ ตัวแสบ” เคนว่าพลางยกมือขึ้นให้จูนเห็นก่อนขยี้หัวของเด็กหนุ่มเบาๆ
 
           “ก็ผม.....” จูนตั้งใจจะเอ่ยออกไป แต่ก็หยุดนิ่ง ความลังเลเข้ามาก่อกวนใจอีกครั้ง
 
           “เอานี่ไปแล้วเลิกทำหน้าแบบนั้นสักที .....” เคนว่าพลางหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า เขาดึงมือของจูนมาให้รับของสิ่งนั้นไป ห่อพลาสติกสีสดใสทำให้จูนเลิกคิ้ว
    
        “อะไรอ่ะ....” จูนเหลือบมองใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยระแวงว่าเคนจะแกล้งอะไรเขาอีกหรือเปล่า
    
        “ เออน่า แกะๆดูเถอะ....” เคนเหลือบซ้ายมองขวาหวังว่าจะไม่มีใครเดินเข้าเดินออกหอในตอนนี้
จูนลงมือแกะห่อพลาสติกนั่น ก่อนจะต้องเงยหน้าขึ้นมองหน้าของรุ่นพี่อย่างไม่อยากจะเชื่อเมื่อของในห่อนนั้นคือตุ๊กตาสีขาวหูยาวที่เขาอยากจะได้
    
        “ที่ร้านเขาบอกว่ามีตัวเดียว....นี่นา...”
    
         “ขากลับจากไปเอาบัตรแล้วบังเอิญเดินผ่าน เลยลองเข้าไปดู ก็บอกให้เจ๊แกไปค้นๆคุ้ยๆ บังเอิญเจอก็เลยเอามา” เคนยักไหล่ทำท่าเหมือนไม่ได้สนใจอะไรนัก แต่คำว่า “บังเอิญ” ในประโยคที่เพิ่งจะพูดมานั้นมีตั้งสองครั้งจูนเลยเผลอยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้
 
           “หืม...นี่ขนาดบังเอิญนะ”
    
         “อ่ะ..เอ้อ...บังเอิญก็บังเอิญซิ่....” เคนตอบกลับ

           “ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มยิ้มพลางยกมือไหว้ รอยยิ้มที่ทำให้ใจของคนตรงหน้าสั่นไหวอีกครั้ง เคนเผลอเบือนหน้าหนีทันที
    
        “ไม่เป็นไร.....ก็...คราวหลังถ้าอยากได้อะไรก็บอกตรงๆละกัน เข้าใจไหม...” มือแกร่งวางลงบนศีรษะของอีกฝ่ายอีกครั้ง
    
        “พี่จะให้ผมพูดตรงๆเหรอ...”จูนเอ่ยถาม ดวงตาทีมองกลับมานั้นสะท้อนกับแสงไฟเป็นประกายชวนมองอย่างประหลาด เคนตอบรับคำถามนั้นด้วยการพยักหน้า เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงลมเย็นที่พัดผ่านมาในยามค่ำ ได้ยินเสียงรถราวิ่งสัญจรไปมาดังมาจากที่ไกลๆ รอบข้างก็เหมือนจะปลอดคน ทำให้รู้สึกปลอดภัยหากจะถามอะไรบางอยางออกไป
    


           “งั้นผมถามพี่ตรงๆนะ.....พี่กำลังเล่นอะไรอยู่?




.................................................... to be continued


ออฟไลน์ shiawase

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
น้องจูนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน  คุณพี่ก็กำลังคิดแบบนั้น  อิพี่เคนแกพยายามจะทำอะไร!!!!!  :z3:

แต่ไอ้ฉากติดกระดุมนั่นมัน  มัน  มัน   :jul1:

นิดเอ๋ย...คนของเธอกำลังจะเปลี่ยนไปนะ  เอะใจนิดนึงสิ!!!

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
พี่จูนนนนนนนนนมิสยู้ววววววววววว
รำคาญเคนโว้ย ซึนนน
รอฉากเค้ารักกันอิอิ

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
@@@ talk @@@
คิดว่า...เราน่าจะเริ่มตั้งชื่อตอนดีกว่า (เพิ่งมาคิดได้...)



- บทที่ 19 -
คำตอบ


          “งั้นผมถามพี่ตรงๆนะ.....พี่กำลังเล่นอะไรอยู่?”



           "แกถามพี่แบบนั้นทำไม...." เคนพยายามจะยิ้ม แต่อาจเป็นเพราะท่าทางของเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ทำให้เขายิ้มไม่ออก "พี่กำลังเล่นอะไร...หมายความว่ายังไง"
     
         "ไม่รู้สิ....ผมก็ไม่มั่นใจเท่าไร แค่รู้สึกว่ามันอาจจะเป็นแบบนั้น ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่มันเปลี่ยนไป...แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไม พี่ต้องการอะไร กำลังเล่นอะไรอยู่" เด็กหนุ่มยิ้มน้อยๆ เขาก้มลงมองพื้นไม่กล้าสบตากับรุ่นพี่ร่างสูงสักเท่าไร ในใจก็กลัวว่าถ้าพูดอะไรผิดหูไปอีกฝ่ายจะตวาดใส่หรือไม่ก็ชกเขาสักหมัด
    
          “....พูดเรื่องอะไร...พี่งงไปหมดแล้ว...” คำพูดที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมยิ่งทำให้ร่างสูงยิ่งทำตัวไม่ถูก
    
          “ขอโทษนะที่ผมอาจจะคิดมากไปเอง...แต่พี่ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ปรกติพี่ก็ทำผมใจเต้นอยู่แล้วแค่นั้นก็น่าจะแปลกพอแล้ว แต่อยู่ๆพี่ก็ใจดีมากขึ้นมา เลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมทั้งที่ปรกติไม่ค่อยเลี้ยง นึกจะไปรับไปส่งติดๆกันหลายๆวันทั้งๆที่ปรกติบ่นผมจนหูชา แล้วยังตอนแสดงที่พี่ทำเหมือนไม่ได้แสดงอีก...ไหนตุ๊กตานี่อีก...” เด็กหนุ่มพูดรัวด้วยท่าทีสับสนก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหน้าของอีกฝ่ายในมือยังกำตุ๊กตาตัวเล็กเอาไว้แน่น
       "ซึ่งผมขอบคุณมาก ...แต่ผมว่าเพราะทั้งหมดนี่มันเยอะมากไปในระยะเวลาแค่นี้เลยทำให้ผมคิดว่าพี่กำลังเล่นตลกกับผมอยู่ ผมเคยเจอมาเยอะนะมุกพวกนี้ ...." เด็กหนุ่มยิ้มเยาะตัวเอง
     
          เขาคิดว่าในที่สุดเขาก็เดินทางมาพบว่าตัวเองได้กลับมาหยุดอยู่ที่เดิม ความรู้สึกดีๆที่ได้รับมา มิตรภาพอย่างนั้นหรือ?
ในท้ายที่สุดมันอาจจะเป็นเพียงภาพลวงตา...เหมือนกับทุกครั้ง... เป็นเขาที่สับสน เป็นเขาที่ต้องคอยวิ่งหนีคำตอบของตัวเองมาตลอดท่ามกลางเสียงหัวเราะของใครต่อใคร

      "เห็นผมไม่ค่อยมีเพื่อนเลยมาสนิทด้วย สุดท้ายก็เอาไปพูดให้ใครต่อใครเขามาบอกว่าผมเป็นเกย์บ้างกระเทยบ้าง....แต่ผมก็ชินแล้วนะ" จูนแค่นหัวเราะเยาะปมในชีวิตของตัวเอง


        "จูน.... " เคนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ถ้อยคำมันติดอยู่ที่คอหอย "พี่ไม่ได้มีเจตนาจะทำอะไรแบบนั้นเลยนะ" เคนยกมือขึ้นหมายจะลูบผมของอีกฝ่ายเหมือนทุกทีแต่จูนกลับขยับตัวหลบ

       “ถ้าอย่างนั้นก็ตอบผมมาสิ...ผมจะถามพี่อีกครั้ง....พี่กำลังเล่นอะไรอยู่" ดวงตาสีน้ำเงินที่จ้องมองมานั้นเต็มไปด้วยคำถาม
    

         ร่างสูงยืนนิ่งมือที่ถือหมวกกันน็อคอยู่กำแน่น อีกฝ่ายถามมาได้ตรงประเด็นเหลือเกิน ตรงประเด็นเสียจนไม่แน่ใจว่าควรจะหลบสายตาที่มองมา หรือจ้องกลับไปตรงๆดี  เคนยอมรับว่าสิ่งที่เขาทำทุกครั้งเต็มไปด้วยความต้องการและความรู้สึกที่อยากจะเห็นรอยยิ้มและท่าทีเขินอายของอีกฝ่าย แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นการกระทำที่สับสนไม่มั่นคงจนอีกฝ่ายก็คงจะรู้สึกได้ อะไรทำให้เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้เรื่องนะในเมื่อเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ารู้จักคิดอะไรมากกว่าเขาตั้งเยอะ อีกฝ่ายคงกำลังเสียใจและเขาก็เสียใจเช่นกันที่ทำให้จูนต้องรู้สึกแบบนี้ 
    
          ความไม่มั่นคง...เขาเองก็เกลียดความรู้สึกเช่นนั้นเพราะมันทำให้เขาตัดสินใจได้ช้ากว่าทุกครั้ง แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในเมื่อเขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับผู้ชายคนไหนหรือใครมาก่อนและถึงมันจะแสดงออกมาได้ไม่เต็มที่จนสับสนและวุ่นวายขนาดนี้ แต่ความรู้สึกที่เขามีนี่มัน.....


     “มันไม่ใช่เล่นๆนะ” เคนเอ่ยขึ้นมาเสียงไม่เบาเลย หลังจากยืนนิ่งอยู่ ริมฝีปากของร่างสูงขยับเอ่ยถ้อยคำออกมาอย่างหนักแน่นราวกับจะเน้นทุกคำที่พูดออกไป ดวงตาคมสบตาของอีกฝ่ายมาถึงตอนนี้แล้วเขาก็ไม่อยากจะสับสนอีก ถึงจะเป็นเวลาไม่นานเลยจากที่เริ่มรู้สึกแบบนี้ แต่บางทีความรู้สึกนี้อาจจะลอยเคว้งอยู่ในใจของเขาและรอวันตกตะกอนมานานแล้วก็เป็นได้
 
       “หะ? “ จูนต้องเงยหน้าขึ้นมามองหน้าของร่างสูงตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ 
    
     “ แล้วถ้ามันไม่ใช่เล่นๆล่ะ......” ร่างสูงก้าวเข้าไปประชิดตัวของจูน มือแกร่งฉวยมือของเด็กหนุ่มมาจับเอาไว้หลวมๆ
     “ถ้าทุกอย่างที่พี่ทำไปเป็นเพราะพี่อยากทำล่ะ ถ้าพี่จะไม่เล่นๆกับแกอีก...แกจะทำยังไง” 
     

       “..............................” จูนถึงกับมองหน้าของอีกฝ่ายด้วยความตกใจ มือเรียวขยับหมายจะดึงมือออกจากการเกาะกุมของเคนแต่มือแกร่งกลับกระชับยึดมือของเขาเอาไว้แน่น
    

       “แกถาม พี่ก็ตอบตรงๆแล้ว...พี่ขอฟังคำตอบขอแกตรงๆชัดๆบ้างได้ไหม แกจะทำยังไง” สายตาที่มองมาของเคนนั้นจริงจังกว่าทุกครั้ง มือที่กุมมือของเขาเอาไว้นั้นอุ่นจนร้อน
    
       “ผม...ผมไม่รู้....”เด็กหนุ่มส่ายหน้า ความกลัววิ่งเข้ามาจับใจ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองควรจะคิดหรือทำตัวอย่างไร ในใจไม่เคยคิดจินตนาการถึงคำตอบที่ได้รับกลับมาว่าจะเป็นเช่นนี้ เขายังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าใครกำลังพูดกับเขาอยู่ คนตรงหน้าของเขาคือเคนที่มักจะพูดเรื่องล้อเล่น ทำตัวบ้าบอไม่ใช่หรืออย่างไร
 
        “กลัวเหรอ....” เคนยิ้มขัดกับน้ำที่แหบพร่า เขารู้สึกได้ว่ามือของจูนกำลังสั่น ร่างสูงไม่ได้ยินคำตอบเห็นเพียงแค่เด็กหนุ่มที่กำลังเม้มริมฝีปากแน่น จูนไม่ได้มองหน้าเขาเสียด้วยซ้ำ รุ่นพี่หนุ่มถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะจับมือของอีกฝ่ายให้ยกขึ้นมาแตะที่อกของเขาเอง หัวใจของเขาเองก็กำลังเต้นแรงและไม่ใช่อีกฝ่ายที่กำลังสั่นตัวของเขาเองก็กำลังสั่นไม่แพ้กัน
     

      “........................” รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนเบาๆที่สะท้อนมาจากในอกของร่างสูง จูนเงยหน้ามองหน้าของเคน ใบหน้าคมที่มีแสงสลัวจากดวงไฟสาดเข้ากระทบนั้นชวนมองเหมือนเช่นทุกครั้ง
    

      “พี่ไม่ได้ล้อเล่นนะ.....แกอย่าหนีล่ะ” ร่างสูงเอ่ยก่อนขยับเข้าไปใกล้แตะริมฝีปากลงบนผมที่ปรกหน้าผากของอีกฝ่าย แผ่วเบาหากแต่สัมผัสนั้นร้อนผ่าว ไม่ได้ต่างจากใบหน้าแดงก่ำของจูนที่เลือดฉีดพล่านไปทั่วหัวใจของเขายังเต้นไม่เป็นจังหวะ 
    
      “..............................”
    
       “กลับล่ะ “ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายยังไม่มีอะไรจะพูดกับตนเองในตอนนี้ เคนปล่อยมือของหนุ่มรุ่นน้องให้เป็นอิสระก่อนจะก้าวถอยออกห่างแล้วกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง หนุ่มพละร่างสูงขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์แต่ก่อนที่จะสวมหมวกกันน็อคก็หันกลับมาหาคนที่เขาตั้งใจจะมาส่งตั้งแต่ทีแรก
       “ฝันดีนะ...”  คำหวานที่เก็บเอาไว้พูดกับเฉพาะนิดด้วยคิดว่ามันหวานเลี่ยนจนไม่อยากให้ใครได้ยิน จะเคยก็แค่นำมาพูดทีเล่นที่จริงกับจูนมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ในคืนนี้สำหรับตัวเองคำๆนี้กลับฟังดูหวานหูอย่างไม่น่าเชื่อ นี่อาจเป็นพลังของความรู้สึกเมื่อใส่ใจลงไปในคำพูดทุกคำอย่างที่จูนเคยพูดเอาไว้ก็เป็นได้
       

       เด็กหนุ่มได้แต่พยักหน้าลงน้อยๆ ไม่ได้ตอบออกไปด้วยคำพูด เขายืนนิ่งอยู่อย่างนั้นจนมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของเคนคำรามเสียงออกไปจากประตูหอพัก เด็กหนุ่มคล้ายจะก้าวขาไม่ออกเหมือนมีแรงบางอย่างที่ฉุดดึงเขาเอาไว้ให้ยืนอยู่กับที่ เจ้าของเรือนผมสีทองรู้สึกเหมือนตัวเองได้เดินกลับมายืนอยู่  ณ จุดๆเดิมที่กลับกลายเป็นว่าในตอนนี้เขารู้สึกไม่คุ้นตาจนทำให้เริ่มไม่มั่นใจว่าหากจะก้าวเดินออกไปอีกสักก้าวแล้วหนทางข้างหน้านั้นจะเป็นอย่างไร สับสน ประหลาดใจ และกลัว....กลัวว่าหลังจากนี้ต่อไปเขาควรจะต้องทำตัวอย่างไร 


          “หนี?.... แล้วจะให้ผมหนีไปไหนได้....”

    
        จูนยกมือขึ้นปิดหน้าพลางสูดลมหายใจเข้าลึก นึกเสียใจที่ถามอะไรแบบนั้นออกไป บางทีเขาอาจไม่ควรถาม บางคำตอบไม่ควรจะต้องพูดออกมา บางทีมันอาจไม่ใช่ความจริง สายตาที่อีกฝ่ายมองมา สิ่งที่อีกฝ่ายทำ มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไรในเมื่อเคนเองก็มีแฟนเป็นผู้หญิงไม่ใช่หรืออย่างไร... ร่างสูงโปร่งย่อตัวลงนั่งกับพื้นเหมือนขาของเขาหมดแรงแล้วที่จะยืนต่อไป


        “โอย.....ไม่จริงได้ไหมเนี่ย....”

 
   ..........................................



         คิ้วเรียวขมวดมุ่น เขารู้ว่าเช้าแล้วเพราะได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกดังก่อนหน้านั้นไม่นานแต่ไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะลุก แต่ที่ต้องขมวดคิ้วเป็นเพราะรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของโทรศัพท์และเสียงริงโทนที่แผดร้องเป็นเพลงร็อคกระแทกโสตประสาท
    
      “โอ้ย.... ใครมันโทรมาตอนนี้วะ!”ผุดลุกขึ้นมาจากกองผ้าห่มอย่างหัวเสีย มือเรียวคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาทั้งๆที่ยังไม่ได้ลืมตาเสียด้วยซ้ำ “ฮัลโหล.....”
    
      “ตื่นรึยัง? ....” เสียงทุ้มจากปลายสายทำให้คนที่ยังงัวเงียต้องเลิกคิ้วสูง ยกโทรศัพท์ออกจากข้างหูมองเบอร์โทรเข้าด้วยอยากให้มั่นใจ

    
   ...เคน พละ...



        ชื่อที่เม็มเอาไว้นั้นแสนจะธรรมดา และคงจะเป็นธรรมดาเหมือนเช่นทุกทีถ้าเมื่อคืนอีกฝ่ายไม่ตอบคำถามเขากลับมาแบบนั้น
    
     “พี่เคน...มีอะไรครับ” เด็กหนุ่มตื่นเต็มตา มือลูบหน้าอีกครั้งพยายามจะไล่ความง่วงออกไปให้พ้น
    
     “จะไปเรียนรึยัง มีเรียนไม่ใช่รึไง...”
    
    “ไอ้มีมันก็ใช่อ่ะ พี่จะโทรมาปลุกผมเพราะเรื่องนี้อ่ะนะ....” คำถามที่ถามกลับมาทำให้คนเพิ่งตื่นนอนคล้ายจะหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อคืนกว่าเขาจะทำใจเดินกลับเข้าหอ พยายามข่มตาให้นอนกลับได้หลังจากคำพูดของอีกฝ่ายก็นานโขอยู่
    
    “เปล่า โทรมาปลุกจะถามว่ามีเรียนไม่ใช่รึไง จะได้ไปส่ง”  เสียงทุ้มที่ลอดตามสายมานั้นกลั้วเสียงหัวเราะ จูนได้ยินเสียงจอแจดังอยู่ด้านหลังทำให้คำพูดของอีกฝ่ายแทบฟังไม่ได้ศัพท์
    
    “ไปส่ง? จะบ้าเรอะ พี่อยู่หลังมอไม่ใช่รึไง....แล้ว แล้วนี่อยู่ไหนเนี่ย?”
    
    “ตลาดใกล้หอแกอ่ะ เดี๋ยวก็ถึงแล้วไปอาบน้ำแต่งตัวมารอข้างล่างเลยนะ! สิบนาทีไม่เกิน!!” เคนแทบตะโกนใส่หูโทรศัพท์ก่อนจะตัดสายไป
    
    “หา?! ฮัลโหล? พี่เคน ฮัลโหล.....ไอ้พี่เคน ฮัลโหลโว้ย” จูนแทบเขย่าโทรศัพท์มือถือแต่ก็ไม่ทันการณ์เสียงแล้วปลายสายตัดไปเหลือเพียงความเงียบเท่านั้น เด็กหนุ่มลุกพรวดจากเตียงทันที เขาหันไปมองนาฬิกายังอีกสองชั่วโมงกว่าจะถึงชั่วโมงเรียนของเขาปรกติขึ้นรถโดยสารใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงมหาวิทยาลัยแล้ว
   “โอ้ย จะรีบมาทำไมนักหนาเนี่ย” ร่างสูงโปร่งโวยวายแต่ก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำทันที

 
   .............................



         “เฮ้อ.......................”

          เสียงผ่อนลมหายใจดังขึ้นเบาๆ สุดท้ายแล้วก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าลงมาทั้งๆที่ไม่ได้เช็ดผมให้แห้งดีเสียด้วยซ้ำ จูนนั่งคอตกอยู่ที่ม้านั่งหน้าหอพักอย่างหมดแล้วซึ่งเรี่ยวแรงจะเงยหน้าสู้แดดยามสาย รอว่าเมื่อไรจะได้ยินเสียงเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ของคนที่โทรมาปลุกเขาอย่างกะทันหันจะดังขึ้นที่หน้าทางเข้าหอพักเหมือนอย่างทุกที   
     
        อยู่ๆเสียงดังกรอบแกรบก็ดังขึ้นข้างหูพร้อมกับความร้อนที่แตะเข้าที่ข้างแก้ม จูนสะดุ้งเฮือกแล้วพอหันมาดูก็ยิ่งต้องร้องออกมาไม่เป็นภาษา เพราะไอ้ที่เขาหันมาเจอคือถุงพลาสติกใส่ปาท่องโก๋ร้อนๆควันขึ้นส่งกลิ่นหอมฉุย


         “เฮ่ย......พี่เคน!?” 
    
      “เอ้า ข้าวเช้า” ร่างสูงยืนยิ้มกว้างในมือถือถุงพลาสติก วันนี้เคนดูสบายๆเพราะใส่เพียงเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขาดเข่าขนาดพอดีตัว ช่วงขายาวกับกล้ามเนื้อในเสื้อยืดนั่นยิ่งส่งให้ดูดีมากขึ้นไปอีก
    
    “ขอบคุณครับ เอ้ย ไม่ใช่ มาตอนไหนอ่ะ....” จูนหันซ้ายแลขวา “ผมไม่เห็นได้ยินเสียงรถพี่เลย”  แต่ร่างสูงกลับหัวเราะแล้วยกมือขยี้ผมของเขาเบาๆ
    
    “แกคิดว่ามาจากตลาดแถวนี้มันใช้เวลามาขนาดนั้นเลยรึไง...” เคนว่าพลางนั่งลงข้างๆอีกฝ่ายไม่พอบอกให้
จูนขยับให้ที่ให้นั่งอีกด้วย “เอ้า กินซะ”
    
    “ใครจะไปคิดเล่า ปรกติเดินเอา ไม่ได้บึ่งบิ๊กไบค์มานี่นา” จูนทำปากยื่น แต่ก็รับปาท่องโก๋มาเขี้ยวหมุบหมับ
    
    “แล้วนี่มันอะไร โทรมาปลุก ขี่มอไซค์มา แล้วยังปาท่องโก๋อีก.....” จูนพูดพลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แดดยามสายนี่มันแสบตาเหลือเกินจริงๆ เด็กหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะเลี่ยงแสงแดดด้วยการหันหน้ามามองหน้าของเคนกลับเจอรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าคม ดวงตามี่มองมาเป็นประกายดูเข้ากับแสงแดดยามสายอย่างบอกไม่ถูก
 
       “ ก็บอกแล้วไง...ว่าไม่ได้ล้อเล่น ...”
    
      “อ่ะ.........อืม” จูนพยักหน้าลงน้อยๆ คำพูดของอีกฝ่ายยิ่งตอกย้ำความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อคืน สายตาที่มองมาเอาจริงอย่างที่ได้พูดเอาไว้ เด็กหนุ่มเคี้ยวปาท่องโก๋ต่อไปช้าๆ อยู่ๆปาท่องโก๋ก็ฝืดคอขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก 
    
      “เอ้า นม....”  ปานรู้ใจ เคนยื่นนมขวดขนาดกลางมาให้ “กินซะเดี๋ยวติดคอ”
    
      “อะไร.....เซอร์วิสไปไหนคนเรา” จูนอดไม่ได้ที่จะแขวะ

         “ก็หวังผลนี่.....” เคนพูดขึ้นมาลอยๆ
    
       “แค่กๆ....โอ้ย....แค่ก....พี่เคน!?” จูนสำลักออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ดวงตารีเรียวมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความตกใจ “เล่นอะไร...”
    
      “ก็บอกแล้วไง....ว่าไม่ได้เล่นๆ “เคนยิ้มยกปลายนิ้วขึ้นเช็ดคราบนมสดจากปลายคางของอีกฝ่าย “รีบๆกินซะ...เดี๋ยวพี่ไปส่ง...โห จะรีบไปไหนเนี่ย ผมยังไม่แห้งเลย...” เคนว่าพลางขยี้ผมของเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเส้นผมสีอ่อนที่ยังหมาดๆ...
    
     “ก็ใครทำให้รีบล่ะ...พี่นั่นล่ะยัดๆไปเลย โหยซื้อมากี่บาทเนี่ย ปาท่องโก๋ถุงขนาดนี้เนี่ยนะ...”
    
     “ห้าสิบบาท” เคนตอบพลางยิ้มเท้าคางมองหน้าของอีกฝ่าย เรียกให้ถูกคือแทบจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้
    
       “ห้าสิบบาท? ซื้อไปถมที่รึไง...กินไม่หมดก็เสียดายของแย่ดิ่”
    
      “กินไม่หมด แกก็เอาไปแบ่งเพื่อนที่คณะไง พี่ไม่ว่านะถ้าจะเลี้ยงเพื่อนกลุ่มแกด้วยน่ะ” ว่าพลางขยิบตาให้
จูนพยักหน้าอย่างล้อเลียน
    
      “อ๋อ....เดี๋ยวนี้ป๋า?.....เชื่อผมเถอะ อะไรที่พี่ว่าจริงจังหมดวันก็จบแล้ว...” เด็กหนุ่มพูดลงท้ายด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทางพลางยกนมขึ้นดื่ม ถึงอีกฝ่ายจะบอกว่าไม่ได้เล่น ไม่ใช่เล่น แต่ท้ายที่สุดของความต้องการของเคนนั้นมันคืออะไร จูนรู้คำตอบนั้นดี แต่มันคงไม่มีทางเป็นจริงไปได้เคนจะได้ถึงผลของการกระทำของตนเองบ้างหรือเปล่าเขาเองก็ไม่อาจจะหยั่งรู้ได้เลยจากท่าทีของรุ่นพี่ร่างสูงในตอนนี้
    
      “พอจบวันแล้วแกก็อย่าหนีก็แล้วกัน...” เคนยิ้มน้อยๆกับท่าทางแบบนั้น เขารอจนจูนกินนมจนหมด แล้วจึงอาสาพาจูนไปส่งที่มหาวิทยาลัย 
    

................................ to be continued
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2013 23:39:36 โดย goldfishpka »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด