Chapter 45 เริ่มรัก
วันอาทิตย์
“ความจริงคุณทวีไม่จำเป็นจะต้องมาถึงนี่เลยนะครับ การแข่งก็ผ่านไปแล้วแถมไอ้ลูกชายของผมยังแพ้คะแนนอีกทำคุณทวีเสียชื่อเปล่าๆ “ เสียงของพ่อสุชาติดังขึ้นเมื่อประตูรถปิดลง เขามาที่สนามบินเพื่อรับสปอนเซอร์คนสำคัญที่ยื่นโอกาสให้กับค่ายของเขารวมถึงลูกชายของเขาด้วย
“ไม่เป็นไรเลยครับ นั่งเครื่องแค่เดี๋ยเดียวก็ถึงแล้ว ไม่ได้ลำบากอะไรเลย อีกอย่างลูกชายของคุณสุชาติก็ขึ้นไปต่อยให้แถมยังต่อยได้ดีมากเสียด้วย จะไม่ให้มาเยี่ยมให้กำลังใจหลานแล้วจะให้ผมทำอะไรได้ล่ะครับ” เจ้าของชื่อยิ้ม เจ้าของบริษัทผลิตเฟอร์นิเจอร์ส่งออกรายใหญ่คนนี้รีบมาทันทีที่จัดแจงตารางเวลาเสร็จ ทำให้สุชาติเห็นได้ถึงความจริงใจและความชื่นชอบในกีฬามวยไทยและความใส่ใจของอีกฝ่าย
“เคนเขาเป็นนักมวยที่เก่งนะครับ น่าส่งเสริม ยิ่งรูปร่างแบบนี้น่าจะให้ไปต่อยเมืองนอก”
“อ่ะ ครับ ตัวมันใหญ่แต่หลังๆมานี่ มัวแต่ทำกิจกรรมที่มหาลัยจนไม่ค่อยฟิตเท่าไร มันน่าเล่นงานนัก”
“เท่าที่ทราบไฟท์ครั้งนี้ก็เหมือนจะกะทันหันอยู่เหมือนกัน ขอแค่ถ้าเขามีเวลาซ้อมคงทำได้ดีกว่านี้ แต่เท่าที่เห็นจากในคลิปเมื่อวานผมว่าเขาใจสู้มากเลยนะครับ” สปอนเซอร์รายใหญ่เอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะน้อยๆ ในขณะที่มองตรงไปเบื้องหน้าภาพบ้านเมืองดูเจริญหูเจริญตากว่าครั้งสุดท้ายที่เขามาเยือนที่จังหวัดนี้อยู่มากมีห้างใหญ่ขึ้นมากมาย
“แต่ยังไงก็คงต้องให้คุณทวีช่วยเตือนเจ้าเคนมันหน่อยนะครับว่าอย่าเล่นให้มันมากนัก เพราะผมพูดอะไรไปมันก็คงจะไม่ฟังสัก
เท่าไร” แต่ถึงจะบ่นไปแบบนั้นสุชาติก็ภูมิใจในตัวของเคนไม่น้อยที่สู้ไม่มียอมแพ้แบบนั้น
“เขาเรียนที่มหาวิทยาลัยที่นี่ด้วยใช่ไหมครับ? “ อยู่ๆสปอนเซอร์ใหญ่ก็เอ่ยถามขึ้นมา
“อ้อ...ใช่ครับ มหาวิทยาลัยเขาก็อยู่ไม่ไกลจากถนนนี่สักเท่าไร เรียนพละนั่นล่ะครับ”
“เหรอครับ โลกกลมจังนะครับ เพราะลูกชายผมก็เรียนที่นี่เหมือนกัน นี่ก็ไม่ได้เจอกันมาตั้งนานแล้วด้วย ถ้าอยู่ๆผมโผล่ไปหาที่หอเขาคงจะโวยวายน่าดู” ทวีหัวเราะเบาๆด้วยท่าทางที่ดูอ่อนโยนเมื่อพูดถึงลูกชาย
หุ้นส่วนทั้งสองคนมาถึงที่โรงพยาบาลเพราะทวียืนกรานอยากจะมาเยี่ยมนักกีฬาที่เขาให้ความสนับสนุนอยู่ให้ได้ แม้สุชาติจะอยากห้ามเพราะเขาไม่แน่ใจว่า “ธุระ” ทั้งหลายของลูกชายนั้นจะเสร็จแล้วหรือยังยิ่งบรรยากาศบางอย่างที่เขาเห็นจากเด็กหนุ่มคนที่มาเฝ้านั้นก็กวนจิตใจเขาอยู่ไม่น้อย แต่ในเวลานี้สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือภาวนาให้สปอนเซอร์อย่างทวีไม่รู้สึกได้อย่างเหมือนที่เขารู้สึก เพราะมันคงไม่ดีนักหากนักกีฬาที่บริษัทใหญ่แบบนี้จะมาสนับสนุนนั้นมีข่าวอะไรแพร่งพรายออกไป
[/i].....อย่าให้มันน่าปวดหัวไปมากกว่านี้เลย....... [/i]
สุชาติภาวนาในใจก่อนเปิดบานประตูห้องพักผู้ป่วยแล้วเดินเข้าไปด้านใน โดยมีศักดิ์ยืนรออยู่ที่ด้านนอก
“กลับมาแล้ว....มีแขกมาเยี่ยมด้วย....” เขาจงใจส่งเสียงดังหวังให้คนป่วยและเพื่อนรู้ตัว
“อ้าว...พ่อ มาเร็วจัง” คนป่วยที่ยังไม่ได้สติจนกระทั่งเมื่อเช้าตรู่ลุกขึ้นมานั่งดูทีวีได้หน้าตาเฉยในช่วงบ่ายของวัน สุชาติหันมองไปรอบห้องแล้วไม่มีวี่แววของเด็กหนุ่มผมทองคนนั้น
“....เพื่อนแกล่ะ”
“เห็นเขาเพลียๆ เลยบอกให้กลับไปแล้วน่ะ” เคนว่าพลางยิ้ม รอยยิ้มในแบบที่ไม่ค่อยมีให้เห็นมาสักพักใหญ่ยิ่งทำให้ผู้เป็นพ่อรู้สึกประหลาดใจว่าเด็กคนนั้นเป็นใครทำไมถึงได้ทำให้ลูกชายของเขาอารมณ์เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างสุดขั้วขนาดนี้ แต่ถึงจะมีคำถามก็ลืมไม่ได้ว่ามีแขกมาด้วยจึงได้รีบหันไปแนะนำ
“เอ้อ เคน...ไหว้คุณอาเขาซะ คุณทวีที่เมตตามาเป็นสปอนเซอร์ให้พวกเราในคราวนี้” ว่าพลางหลบทางให้กับคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“สวัสดี....ครับ....” เคนยกมือขึ้นไหว้อีกฝ่าย เขาชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเงยหน้าขึ้นมาสบตากับแขกของพ่อ
“สวัสดีเคน เป็นไงมั่ง อาดูที่เราต่อยแล้วนะ เก่งมากจริงๆ” ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาใกล้ ทวีเป็นชายวัยกลางคนเชื้อสายจีนดวงตารีเรียว คิ้วคมเข้มจมูกโด่ง เส้นผมบางส่วนเป็นสีดอกเลาหากแต่ตกแต่งอย่างมีสไตล์ แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกคุ้นเคยอาจจะเป็นรอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมาให้อย่างเป็นมิตรนั้นก็เป็นได้
“อ่ะ....เอ่อ....ก็ยังมีเจ็บบ้างครับ แต่เดี๋ยวก็คงหายครับ ขอบคุณคุณอานะครับที่อุตส่าห์มาเยี่ยม” เคนยิ้มตอบ รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนไม่ถือตัวสักเท่าไรนักแม้จะได้ยินจากพ่อมาก่อนหน้านี้ว่าคุณทวีเป็นนักธุรกิจใหญ่ที่มีกิจการมูลค่ามหาศาล
“เออ...เห็นคุณสุชาติว่าเราเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยที่นี่ด้วย ลูกชายอาก็เรียนเหมือนกันนะ เขาชื่อ....”
....RRR !! RRR !!... ไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นทั้งสามคนยืนมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเป็นทวีเองที่สะดุ้งขึ้น
“อ่ะ ขอโทษนะครับ...ขอผมออกไปรับโทรศัพท์สักครู่” สปอนเซอร์รายใหญ่เอ่ยก่อนจะยกมือป้องโทรศัพท์เดินออกไปด้านนอกทันที
“เคน.......”
“อะไรพ่อ” เคนยั งนึกติดใจใบหน้าของแขกของพ่ออยู่ไม่น้อยแต่ก็กันกลับไปหาพ่อของตัวเอง
“สรุป...แกกับไอ้เด็กนั่น มันยังไง” สุชาติหันมาถามลูกชาย สีหน้าเครียดอยู่ไม่น้อย
“..............” เคนนิ่ง ดวงตาคมสบตาผู้เป็นพ่อไม่ไหวติง ไม่มีท่าทีประหลาดใจ ก่อนริมฝีปากนั่นจะเหยียดเป็นรอยยิ้มน้อยๆ
“เขาเป็นแฟนผมเอง” “แฟน? มึงจะมาอำอะไรกูเล่นอีก ไอ้เด็กนั่นมันเด็กผู้ชายนะ” สุชาติร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นคำที่ได้ยินจากปากของลูกของตัวเอง
“ก็ถ้าจะให้ใช้คำที่พ่อเข้าใจได้ละก็คงคำนี้ล่ะ ไม่มีคำอื่นแล้ว ก็คนนี้นี่ล่ะที่พ่อบอกให้
ปล้ำ นี่ก็เลยเลิกกับนิดเพื่อที่จะมาหาคนนี้นี่ล่ะ” เคนตอบออกมาหน้าตาเฉย
“ปล้ำอะไรกูไม่เคย.....” คนเป็นพ่อตั้งใจจะเถียงว่าเขาไม่เคยออกไอเดียแผลงให้ลูกชายไปปล้ำผู้ชายแน่ แต่แล้วดวงตาก็ต้องเบิกกว้างเมื่อทันใดคำพูดที่เคยพูดกับอีกฝ่ายไว้เมื่อคืนวันสิ้นปีก็ดังขึ้นมาในหัว
“ไม่ฟังก็ต้องทำให้รู้ ปล้ำแม่ง.....วิถีชายไทย ไม่เคยเห็นในละครรึไง ปล้ำซะ ถ้าเขารักเขาชอบเดี๋ยวก็ยอมเอง ผู้หญิงเขาต้องมีฟอร์มเว้ย เดี๋ยวโดนหาว่าง่าย”
“ไอ้เคน....นี่มึงเอาเรื่องแบบนี้มาพูดจริงจังไม่ได้นะ” แม้ไม่อยากจะเชื่อแต่สุชาติก็ทำได้แค่เอ็ดลูกชายเบาๆเมื่อคิดว่าสปอนเซอร์รายใหญ่อยู่ที่ด้านนอกของห้อง
“เรื่องแบบนี้พ่อก็รู้ว่าผมไม่พูดเล่น ผมรักเขาจริงๆ ตอนแรกก็คิดอยู่นะว่าถ้าพ่อรู้จะเป็นยังไง แต่ไหนๆพ่อถามตรงๆผมก็ตอบตรงๆเหมือนกัน” เคนตอบมาตามตรง ตรงเสียจนสุชาติแทบจะอยากเบือนหน้าหนี
“........นี่มึงไม่ได้อำกูเล่นใช่ไหม” รู้สึกเหมือนเข่าอ่อนสุชาติทรุดตัวลงนั่งกับโซฟาที่อยู่เบื้องหลัง
“ไม่ ผมไม่ได้ล้อเล่น” ดวงตาคมของลูกชายที่สบตากลับมานั้นยิ่งย้ำให้รู้ว่าคำที่พูดออกมานั้นมันจริงเสียยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
“แล้วมึงก็ไม่คิดจะปิดบังอะไรกูด้วยสินะ”
“เอายาไหมพ่อ....ดูสิก็ขนาดบอกตรงๆแล้วพ่อยังเป็นขนาดนี้ ถ้าผมปิดพ่อคงเข้าห้องไอซียูแน่ ” เคนถามด้วยความเป็นห่วงแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายโบกมือนั่นก็ทำให้เขาต้องเงียบเหมือนกัน
“ฟังกูนะไอ้เคน...กูมันก็ผู้ชายตัวคนเดียว กูรู้ว่าเลี้ยงมึงมาแบบทิ้งๆขว้างๆ จะมีลูกน้องมาช่วยเลี้ยงเด็กมันก็ทำได้แค่หยาบๆ มึงโตมาแบบนี้ก็ดีกว่าที่กูคิดไว้เยอะ แต่กูก็ยังอยากเห็นว่ามึงมีคนมาคอยดูแลเอาใจใส่มึงดีๆก็เท่านั้น....กูหมายถึงผู้หญิงน่ะนะ”
สุชาติเอ่ยออกมาอย่างอ่อนใจ ถึงจะคอยเฝ้าดูทุกก้าวของลูกชายอยู่ห่างๆมาโดยตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเป็นห่วงมากขนาดนี้ ดวงตาของผู้เป็นพ่อมองหน้าของลูกชายคนเดียวด้วยความเป็นห่วง นักมวยร่างโตแต่สุดท้ายสำหรับเขาแล้วเคนก็ยังเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆที่จับมือเขาเอาไว้แน่นในวันงานศพของภรรยาของเขาอยู่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
ชายหนุ่มตรงหน้าก้มลงมองที่มือที่อยู่บนหน้าตัก ราวกับกำลังนึกถึงอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมายาวเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างได้
“แต่พ่อ....คนที่จะคอยดูแล เอาใจใส่ ความอ่อนโยนพวกนั้นน่ะ...
มันจำเป็นด้วยเหรอที่จะต้องเป็นผู้หญิง?” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงที่ดังพอที่เขาทั้งสองคนจะได้ยิน “ทั้งๆที่ผมคิดว่าผมเจอทั้งหมดนั้นในตัวของเขาแล้ว” เป็นอีกครั้งที่เคนยิ้มด้วยความภูมิใจในดวงตาคมนั้นเป็นประกาย “และผมก็อยากจะใส่ใจของผมทั้งหมดกับเขาเหมือนกัน แค่นี้มันก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่เหรอ พ่อ”
“...มะ...ไม่รู้ด้วยหรอกเว้ย อย่าพูดอะไรชวนเลี่ยนได้ไหมเนี่ย แล้ว...มึงจะยิ่มหาอะไรเนี่ย กู...ยังไม่ได้บอกนะเว้ยว่ากูยอมรับ” ถึงจะพูดออกมาแบบนั้นแต่คุณสุชาติเจ้าของค่ายอุดรพยัคฆ์ที่ใครต่อใครก็เกรงใจกลับตอบลูกชายได้ไม่เต็มปากแบบนั้นทำให้เคนยิ้มออกมาอย่างได้ใจ
"จูนเขาเป็นเด็กดีนะ”
“กูก็ไม่ได้เถียงนี่.....” ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อเสียงบานประตูดังขึ้นอีกครั้งทำให้สุชาติต้องเบาเสียงลงก่อนจะหันมาทำหน้าเครียดใส่ลูกชาย “กูกับมึงมีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะ ไอ้ตัวแสบ”
“ขอโทษนะครับ...พอดีว่าลูกชายโทรมา นี่แม่เขาคงโทรไปรายงานข่าวน่ะว่าผมมาที่นี่ เอ้อ เคนก็เรียนที่เดียวกับลูกอาด้วยนะ แต่คงจะเป็นรุ่นน้องล่ะมั้ง”
“อ่า...เหรอครับ” เคนรับคำพล่างยิ้มแห้งๆ
“ใช่ ลูกชายอาน่ะ เรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่ที่เดียวกับเราเลย ชื่อจูนน่ะ”
.....................................
สองวันผ่านไป
‘พี่เคน...หายดีรึยังคะ อยากได้ทานอะไรรึเปล่านิดจะเอาไปให้’
‘จะออกจากโรงพยาบาลหรือยังคะ ให้นิดไปอยู่เป็นเพื่อนไหม’
‘พี่เคน พุธนี้มีเรียนภาษาอังกฤษไม่ใช่เหรอคะ พี่เคนจะมาเรียนไหม หรือจะให้นิดไปเอาเลคเชอร์กับพี่ต้าร์ดี’
เคนมองตัวอักษรบนหน้าจอโทรศัพท์นั้นอย่างอ่อนใจ แม้ไม่ได้โทรมาแต่ข้อความบนโทรศัพท์กลับมีมาถึงเขาทุกวันอาจจะบ่อยกว่าตอนที่เขายังเรียกเธอว่าแฟนด้วยซ้ำไป นิดกำลังคิดจะทำอะไรอยู่เขาเองก็ไม่อาจจะเข้าใจ เขารู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงแต่สำหรับตัวเองในตอนนี้แล้ว...เขาไม่ได้ต้องการให้อีกฝ่ายมาเป็นห่วงเป็นใยเขาอีกต่อไปแล้ว
...ขอโทษนะนิด ...แต่พี่ตอบกลับข้อความของนิดไม่ได้แล้ว ... ชายหนุ่มได้แต่คิดแบบนั้นถึงแม้จะสงสารแต่ก็คงทำได้เพียงแค่สงสาร เขาได้แต่เชื่อว่าเวลาจะทำให้นิดรู้สึกดีขึ้นเอง ร่างสูงเอนกายลงนอนกับเตียงแข็งๆในหอพักที่ไม่ได้กลับมานานเสียนาน แสงไฟด้านนอกสาดส่องเข้ามาในห้องที่มืดสลัว มีเพียงแค่หน้าจอมือถือที่ยังสว่างอยู่ในความมืด ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วเลื่อนไปบนหน้าชื่อของเด็กหนุ่มที่อยู่ในห้วงความคิดก็ปรากฏขึ้นมา ริมฝีปากบางเหยียดเป็นรอยยิ้มก่อนปลายนิ้วจะพิมพ์ข้อความส่งออกไป
…………………………………….
ความคิดที่ว่าตื่นขึ้นมาในตอนเช้าแล้วจะนึกถึงใครก่อนตัวเองนั้นแทบไม่เคยมีในหัว แต่ในวันนี้กลับตื่นมาด้วยพร้อมถ้ออยคำที่ใครบางคนฝากไว้ในโทรศัพท์ตั้งแต่คืนที่ออกจากโรงพยาบาล
“พุธมีเรียนภาษาอังกฤษที่คณะแกอ่ะ เลิกบ่ายสามเหมือนกัน รอที่โรงอาหารนะ เดี๋ยวจะพาแว๊นส์กลับหอ”
ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะอมยิ้มอยู่ได้นานสองนานกับถ้อยคำธรรมดาๆแบบนี้
“จูน…แกเป็นไรมากป่ะ” เสียงปิ๊กดังเรียกสติให้ต่นจนเด็กหนุ่มนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองกำลังนั่งรอเรียนคาบสายอบู่กับเพื่อนๆที่ใต้ตึก
“เปล่านี่ ปกติดี” เด็กหนุ่มปฏิเสธแต่กลับซ่อนรอยยิ้มนั่นเอาไว้ไม่อยู่
“เหรอ…” ปิ๊กหรี่ตาลงเล็กน้อยพล่งลากเสียงยาว
….ไอ้ตี๋เอ้ย…
….เล่นยิ้มซะสาวน้อยเลยนะ…
คิดพลางเปิดกระดาษสมุดโน๊ตที่อยูในมือปลายปากกาขีดเขียนข้อความบางอย่างก่อนจะยื่นให้ “ไอ้ตี๋”ที่วันนี้ท่าจะอารมณ์ดีหนัก เซ็ทผมแต่งคิ้วกรีดตามาเสียหล่อ
….คบกันแล้วป่ะ…
….กับพี่คนนั้นน่ะ…เด็กหนุ่มรับสมุดไปอ่าน พลางฉวยดินสอจากในมือปิ๊กมาเขียนคำตอบเป็นตัวอักษรภาษาญี่ปุ่น
“はい” (ใช่ ) เป็นคำตอบสั้นๆง่ายๆแบบที่ไม่ต้องอธิบายอะไรต่อมาก
“อ่ะฮ่า....ยินดีด้วยนะเพื่อน เพราะหน้าเบื่อโลกของแกนี่มันเกินจะทนจริงๆว่ะ....แพรไอ้จูนมัน..”ปิ๊กว่าพลางจะหันไปบอกแพร
….แคว่ก!!...เสียงหน้ากระดาษขาดติดมือเด็กหนุ่มไปแทบจะในทันทีทำเอาเจ้าของสมุดถลึงตามองแทบไม่ทัน
“ไอ้จูนนน แกจะฉีกสมุดชั้นทำไมวะ”
“ทำลายหลักฐาน…เดี๋ยวแกปากโป้งไปบอกใคร” เด็กหนุ่มพูดหน้าตาเฉย
“อ๋อ...นี่ไม่ไว้ใจเรอะ…ได้...แม่จะป่าวประกาศมันตรงนี้ล่ะ เจ้าข้าเอ้ย ไอ้จูนนะมันได้ผ…..”
“เฮ้ยๆๆปิ๊ก” จูนล็อกคอเพื่อนเอาไว้แทบไม่ทัน
“อ่อก ปล่อยนะเว้ย”
“ไม่ปล่อย….” จูนหัวเราะแต่ก็ไม่ได้คลายมือที่รั้งคอเสื้อเพื่อนเอาไว้แต่อย่างใด
“ขอร้องนะปิ๊ก ยังไม่อยากให้คนรู้อ่ะ “จูนกระซิบเบาๆ
“….” ปิ๊กนิ่งฟังก่อนจะเลิกดิ้นเพราะยัยแพรที่นั่งคุยจ้อกับเพื่อนอีกคนอยู่ก็เหมือนจะหันมาสนใจแล้ว
“มีอะไรแลกเปลี่ยนล่ะ”
“เนื้อย่างสองมื้อ กาแฟฟรีอีกสามวัน” จูนยื่นข้อเสนอ
“ตกลง”
และสุดท้ายความลับก็ยังไม่แพร่งพรายเนื่องจากกความเห็นแก่กินของเพื่อนสาวสุดห้าวนั่นเอง
เมื่อเลิกเรียนจูนเดินลงมาจากตึก เดินไปตามทางเดินที่มีหลังคาคลุม มองตรงไปด้านหน้าเป็นลานที่รวมของเหล่านักศึกษาผู้หิวโหย ร้านขายน้ำสองร้านกับซุ้มร้านกาแฟมีคนต่อคิวซื้ออยู่เรื่อยๆเช่นเดียวกับร้านขายลูกชิ้นทอดที่เปิดมานาน
มองไปเห็นร่างสูงใหญ่ในชุดนักศึกษายืนถือแก้วน้ำรออยู่ ใบหน้าคมยังมีรอยฟกช้ำที่มองเห็นได้ชัดนั้นคงทำเอาคนที่เดินผ่านไปผ่านมานึกกลัวอยู่ไม่น้อย แต่สำหรับจูนแล้วในวินาทีแรกที่มองเห็นร่างสูงนั้นกลับทำให้รู้สึกว่าต้องหยุดยืนมองอยู่ห่างๆ น่าแปลกที่ภาพธรรมดาๆของผู้ชายคนนั้นกลับดูสวยงามอย่างยากที่จะอธิบาย
“โอ้ยๆ มีคนมารอรับด้วย...อิจฉาไปโลกหน้า” เสียงปิ๊กเอ่ยแซวพร้อมกับไหล่อวบที่ดันจนจูนแทบเซ ร่างอวบอัดแน่นเสื้อนักศึกษาของเพื่อนสาวเดินไปปากหรือก็บ่นพลางมือก็ลากแขนแพรที่อยากจะรู้เรื่องด้วยใจแทบขาดไปอีกทาง
“ไปหาอะไรกินกันหลัง ม.ดีกว่าแพร ช่วงนี้พวกเราคงจะเป็นส่วนเกิน” เสียงแหบห้าวนั้นว่า จูนได้แต่ขอบใจเพื่อนในใจก่อนจะเดินไปหาคนที่คอยเขาอยู่
“เลิกเรียนนานแล้วเหรอ” เด็กหนุ่มเดินเข้าไปสะกิดไหล่ร่างสูงที่ยืนดูดน้ำหวานจากแก้วที่ซื้อมา
“เปล่า พี่เพิ่งเลิกน่ะ” เคนสะดุ้งเล็กน้อยแต่พอเห็นว่าเป็นใครริมฝีปากนั้นก็หยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม แม้ใบหน้าจะยังดูบอบช้ำอยู่บ้างแต่รอยยิ้มที่มีให้นั้นสดใสอยู่ไม่น้อย “หิวน้ำป่ะ กินก่อนดิ่เพิ่งซื้อ” ว่าพลางก็ยื่นแก้วน้ำให้กับอีกฝ่าย
.... ความจริงก็น่าจะเลิกเรียนสักพักใหญ่แล้วไม่ใช่รึไง.... จูนยิ้มเพราะเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายโกหกแก้วน้ำที่อยู่ในมือนั่นน้ำแข็งละลายไปมากกว่าครึ่งแล้ว
“ขอบคุณครับ” พลางรับแก้วน้ำมาดื่ม “ว่าแต่…ที่ว่าจะไปแว๊นซ์นี่จะพาไปไหนอ่ะ”
“อืม…ยังไม่ได้คิดเลย ไว้เดินไปถึงรถก่อนค่อยว่ากัน เอากระเป๋ามานี่ เดี๋ยวช่วยถือ…” เคนว่าเมื่อออกเดินพานำอีกฝ่ายไปยังลานจอดรถที่อยู่ทางหน้าคณะ มือใหญ่เอื้อมมาจะฉวยกระเป๋าของเด็กหนุ่มมาถือแต่จูน
กลับยื้อกระเป๋าสะพายของตัวเองเอาไว้แน่น
“เฮ้ย…ไม่ต้อง…ผมถือเองได้”
“โห่ คนอุตส่าห์จะโชว์แมน” เคนขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ใช่ว่าไม่เคยเห็นท่าทางแบบนี้ของอีกฝ่าย
“โชว์แมนเมินอะไร” จูนเบ้ปากก่อนชกเข้าที่อกของรุ่นพี่ร่างสูงเบาๆ
“โอ้ย..!!” ได้ผลเมื่อเคนร้องออกมาเสียงดัง รอยฟกช้ำที่หน้าตาก็ใช่ว่าจะหายดีและคงไม่ต้องพูดถึงรอยบนร่างกาย
“เห็นไหม…แค่นี้ยังร้องเสียงหลงเลย ผมตอนนี้น่ะแข็งแรงกว่าพี่อีกนะ กระเป๋านี่มันก็หนักนะ แต่พี่น่ะเป็นหมีควายบาดเจ็บก็อย่าซ่าให้มากสิ” จูนเอ่ยพลางใช้เสียงเข้มดวงรีเรียวนั้นหรี่ลงเล็กน้อย ไม่ใช่ท่าทางที่จะใช้พูดกับผู้ชายตัวสูงเกือบร้อยเก้าสิบแบบนี้เลยสักนิด ช่วงขายาวก้าวไปเดินนำอีกฝ่ายออกไปสองสามก้าว
“คนเป็นห่วงเขานะเว้ย รู้ตัวไว้ด้วย”
เสียงนุ่มที่ดังขึ้นเบาๆนั้นทำให้เคนยิ้มกว้างออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ร่างสูงหัวเราะเบาๆก่อนจะก้าวตามไปจนทันมือใหญ่วางลงบนเส้นผมสีอ่อนของอีกฝ่ายพลางขยี้เบาๆ
"รู้แล้ว ขอบใจนะ”
ที่ด้านหน้าคณะมีรถจักรยานยนต์จอดเรียงรายเป็นแถวยาวแต่ถ้าหากให้เทียบกับในตอนเช้าก็คงจะนับได้ว่าบางตาไปมากพอสมควร นั่นยิ่งทำให้มอเตอร์ไซค์คันสวยของเคนดูเด่นอยู่ท่ามกลางลานจอดรถที่มีแต่รถมอเตอร์ไซค์คันเล็กๆที่เห็นคนซื้อใช้งานกันทั่วไป
“ว่าแต่จะพาไปไหนเนี่ย” จูนถามแล้วรับหมวกใบนั้นมาถือเอาไว้
“ไปที่ชอบๆดีไหม?”
“เฮ้ย...นี่จะพาไปแว๊นซ์หรือจะพาไปตายเนี่ย” จูนทำหน้าเหยเผลอชักเท้าก้าวถอยหลังเพราะรู้สึกไม่ไว้ใจ
“พูดใหม่ก็ได้....” เคนว่าพลางขยับเข้ามาใกล้ เขามองซ้ายขวาก่อนจะเอื้อมมือไปจับปลายนิ้วของอีกฝ่ายเอาไว้หลวมๆ
“จะพาไปทุกที่ที่แกชอบ....โอเคไหม” จูนไม่ได้ตอบแต่ริมฝีปากกลับเม้นแน่นสองไหล่นั้นสั่นไหวด้วยพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้
“อะไรเล่า” เคนเองชักเขิน
“ก็มันเลี่ยนนี่นา” เด็กหนุ่มหัวเราะพลางยกมือขึ้นจับที่ข้างคอเหมือนทุกครั้งที่รู้สึกเขิน
“เลี่ยนแล้วชอบไหมล่ะ” เห็นอีกฝ่ายตอบกลับด้วยใบหน้าแดงๆนั่นยิ่งอยากจะแกล้งเข้าไปใหญ่ ร่างสูงขยับเข้าไปใกล้อีกนิด พลางหยิบหมวกกันน็อคสีชมพูหวานที่แขวนเอาไว้ขึ้นมา
“ใส่ให้....”
“............” แต่จูนกลับมองหมวกใบนั้นนิ่ง
.....หมวกของพี่นิด.... “ติดใจเหรอ?” รุ่นพี่ร่างสูงถามด้วยเสียงทุ้มต่ำพลางมองหมวกสีสวยที่เขาเป็นคนซื้อให้นิดเอง
“ก็...นิดหน่อย” จูนโคลงศีรษะน้อยๆเหมือนไม่แน่ใจนักว่าควรจะพูดออกไปหรือไม่ “หมวกของพี่นิดนี่นา...คือ เอามาให้ผมใส่......จะเหม็นเอาหรือเปล่า” ในดวงตาคู่นั้นของเด็กหนุ่มอ่อนแสงลง เห็นได้ชัดว่าที่กำลังกังวลอยู่นั้นอาจไม่ใช่แค่เรื่องหมวก ทุกอย่างมันรวดเร็วจนแม้แต่ตัวเคนเองก็ลืมเรื่องนี้ไป
....เดี๋ยวคงต้องเอาของๆนิดไปคืน....
...แต่ตอนนี้.....
…อยากจะเริ่มต้นกับคนๆนี้...
...เริ่มให้ดีที่สุด....
“ชอบสีอะไรล่ะ”
“หะ?” คำถามที่อยู่ๆก็ดังขึ้นนั่นเล่นเอาจูนต้องเงยหน้าขึ้นมาสบตาของเคนอย่างช่วยไม่ได้ “อะไรนะ”
“ก็ถามว่าชอบสีอะไร “ เคนยิ้มเห็นฟันขาว
“เอ่อ....สี...เหลืองกับสีดำครับ”
“โอเค ได้ตามนั้น แต่ตอนนี้ยังไงก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อนนะ...” ได้ทีก็ทำตัวเป็นพี่ชายขึ้นมาเสียแบบนั้น มือแกร่งยกหมวกกันน็อคสีหวานขึ้นสวมให้กับอีกฝ่าย ปลายนิ้วไล่ลงมาช่วยขยับสายรัดใต้คางให้พอดีกับศีรษะของเด็กหนุ่ม
“ใกล้ ใกล้ ใกล้ไปแล้ว....” ใบหน้าคมที่ใกล้เข้ามานั้นทำให้จูนต้องร้องประท้วงออกมาเบาๆ ก่อนจะได้ยินเสียงเคาะเบาๆ เมื่อเคนยกมือขึ้นเคาะหมวกกันน็อคของเขาเมื่อล็อคสายรัดเข้าที่เรียบร้อย
“บ้าน่ะ ใครจะมาทำอะไรตรงนี้ ” เคนหัวเราะในลำคอเหมือนสนุกกับกับการได้แกล้งคนตรงหน้า
“ไป ไปเลือกหมวกกัน” ว่าพลางก็ยื่นมือไปให้อีกฝ่าย
“หา ตอนนี้เลยเหรอ?” จูนถามพลางทำตาโต
“อืม...จะได้มีหมวกเป็นของตัวเองไง ไม่ดีเหรอ” ไม่พูดเปล่ากลับขยิบตาให้เสียอีกหนึ่งครั้งโดยที่เจ้าตัวคงไม่รู้หรอกว่า เด็กหนุ่มนั้นได้จับมือของเขาเอาไว้แล้วก้าวขึ้นไปซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ด้วยหัวใจที่เต้นถี่รัวขนาดไหน
.....จะหัวใจวายตายก่อนถึงที่หมายไหมเนี่ย...... [/]
...................to be continued