รักไม่ใช่เล่น - Listen! This is not a joke -(Ch:54 ผ้าปูที่นอน 21/3/18 up!)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รักไม่ใช่เล่น - Listen! This is not a joke -(Ch:54 ผ้าปูที่นอน 21/3/18 up!)  (อ่าน 47962 ครั้ง)

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
Chapter 42 : แพ้ยกที่2 อัพ100%


ทันทีที่เสียงระฆังดังขึ้นนักมวยจากทั้งสองมุมต่างก็ไม่รอช้ารีบเข้าเผชิญหน้าเคนส่งหมัดตรงหนึ่งสองเป็นจังหวะหวังจะทำคะแนนและสร้างความเสียหายให้กับคู่ต่อสู้บ้างแต่ดิมิทรีก็แก้กลัยโดยการเตะเข้าที่สีข้างเคนฉวยโอกาสนั้นรั้งขาของอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะใช้ขาอีกข้างเกี่ยวจนฝรั่งนั่นเสียหลักล้มลงไป

จนเมื่อคู่ต่อสู้ลุกขึ้นมาได้อีกครั้งเคนก็เดินหน้าลุยเข้าหาด้วยหมัดซ้ายขวาเป็นชุดไล่ต้อนจนดิมิทรีจนมุมบ้างแล้วจัดชุดเข่าเข้าเป้าใหญ่ที่กลางลำตัวนับเป็นการตอบโต้ที่ดี เขาได้ยินเสียงของกรรมการสั่งให้แยกออกหลังดิมิทรีถ่วงเกมด้วยการเข้ามากอด ทั้งสองจึงแยกออกจากกัน ดวงตาของคนทั้งคู่จ้องกันเขม็งเกรียว ลมหายใจหอบแรงจนตัวโยน เคนได้ยินเสียงศักดิ์สั่งให้ฮุกขวาโดยอัตโนมัติชายหนุ่มพุ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว


“ผล่อก” เสียงกระแทกดังลั่นเวที เมื่อดิมิทรีม้วนตัวมาศอกกลับเข้าที่บริเวณขมับซ้าย  มันรวดเร็วเกินกว่าที่ตาที่ได้รับบาดเจ็บไปก่อนหน้าของเคนจะสังเกตได้ทันใบหน้าคมสะบัดไปตามแรงพร้อมกับร่างสูงที่ทรุดลงตรงกลางเวที


“เปรี้ยงงงงง ศอกครับพี่น้องเคนอุดรพยัคฆ์ทรุดลงไปแล้วครับ!!! กรรมการจะว่าไง!!!”

เสียงโฆษกร้องลั่นเมื่อเห็นเคนล้มลงไป กรรมการบนเวทีรีบเข้ามาดูอาการพลางชูนิ้วนับ



นิ้วที่เคนเห็นตรงหน้านั้นลางเลือนเบลอและสั่น เขาแสบตาและได้กลิ่นคาวเลือดอีกแล้วไม่แน่ใจว่าแผลใหม่หรือเก่าแต่ที่แน่ๆมันไม่ใช่เหงื่อที่กำบังเข้าตาของเขาอยู่



 “หนึ่ง... สอง....สาม...ไหวไหม” เสียงกรรมการฟังดูอื้ออึงเมื่อประกอบกับเสียงโห่ร้องจากรอบด้าน เคนสรรหาคำมาตอบไม่ได้ทุกอย่างมันพร่าเลือนไปเสียงหมดเลือดยังคงไหลแม้พยายามจะสะบัดหน้าแรงๆแต่ก็ทำได้เพียงเท่านั้น


“ลุกสิ ลูกพี่ ลุกกก!!!”เสียงศักดิ์ร้องลั่น


“ไอ้เคน ลุกสิลูกพ่อ!!” คุณสุชาติเองก็ถึงกับยืนขึ้นตะโกนเช่นกัน


จูนเหลือบมองซ้ายขวาเห็นแต่คนพยายามบอกให้เคนลุกขึ้นเขามองเลยไปยังอีกด้านของเวทีในหมู่ฝั่งคนดูหญิงสาวคนนั้นก็ลุกขึ้นตะโกนสุดเสียง


คนบนเวทีเองก็พยายามที่จะลุกขึ้นตามเสียงเชียร์แม้โซเซและดูอ่อนแรงแต่ร่างสูงที่อาบไปด้วยเลือดนั้นก็ยังหยัดตัวลุกขึ้นมาจนได้ กรรมการเห็นท่าแบบนั้นจึงให้ชกต่อช่างเป็นการตัดสินที่ยิ่งอยากทำให้จูนอยากจะเบือนหน้าหนี



...ทำไมต้องทำขนาดนั้น...
...ผมมาเพราะอยากเจอพี่นะมีเรื่องอยากจะบอก...
...ไม่ได้อยากจะ....



“เปรี้ยงงงงง!!! ดิมิทรีแจกศอกย้ำแผลเดิมไม่เห็นแก่คนเจ็บเลยครับ”



เสียงโฆษกดังขึ้นพร้อมกับร่างของเคนที่ทรุดลงไปอีกรอบ แต่ก็ยังพยายามจะดึงตัวเองขึ้นมาอีก ในตอนนี้เป็นฝ่ายเคนที่ตั้งรับปล่อยให้ดีมิทรีบุกเข้ามาทั้งหมัดเข่าศอกเจ้าฝรั่งตาน้ำข้าวคนนี้ก็ประเคนใส่มาให้เสียจนหมด เคนรับไว้ได้บ้างไม่ได้บ้าง เขาพยายามยันอีกฝ่ายออกด้วยแรงทั้งหมดทึ่เหลือ



คนที่ยืนอยู่ที่ขอบสนามได้แต่กำมือแน่นด้วยความเจ็บใจที่
ทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่ได้เลย เขายังไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงออกไปให้อีกฝ่ายรู้ด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ตรงนี้



....แต่ถ้าเขาไม่ทำอะไรตอนนี้แล้วละก็....



 “พี่เคน !! พอเถอะ!! ผมมาแล้ว พี่อยากจะให้ผมพูดอะไร...ผมยอมแล้ว...ผมยอมแล้ว....”



มือเรียวป้องปาก ตะโกนออกไรู้สึกได้ถึงความร้อนบนใบหน้าน้ำตาไหลออกมาตอนไหนก็ไม่รู้แต่เขาไม่อยากจะเห็นอีกฝ่ายอยู่ในสภาพแบบนั้นอีกต่อไป


“ขอแค่พี่...ไม่เจ็บไปมากกว่านี้” ท้ายเสียงของเด็กหนุ่มสั่นเครือจนไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะได้ยินหรือไม่แต่เสียงที่จูนตะโกนขึ้นไปนั้นทำให้คนที่อยู่บนเวทีต้องหันกลับไปมอง ทั้งๆที่เจ็บและมีเลือดเข้าตาแต่น่าแปลกที่ภาพของเด็กหนุ่มคนนั้นกลับเด่นชัด เคนยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ



....มาแล้วเหรอ.....



คิดแบบนั้นแล้วก็ยันตัวลุกขึ้นเพื่อหยุดการนับของกรรมการ ชายหนุ่มเหลือบมองไปยังดิมิทรีอีกฝ่ายดูท่าจะยิ่งฮึกเหิม เคนขบฟันลงกันฟันยางแล้วพยักหน้าให้สัญญาณกับกรรมการ



“ชก!”



.............................




เสียงฝีเท้าดังสะท้อนโถงทางเดิน ที่สุดปลายทางนั้นมีผู้คนยืนมุงกันส่งเสียงจอแจ จนพยาบาลต้องออกมาปรามไม่ให้ส่งเสียงดังไปมากกว่านี้ จูนยืนเก้ๆกังๆห่างออกมาพยายามมองหาศักดิ์



“ไอ้หนู....เป็นไงเจ็บไหมข้าขอโทษว่ะ เผลอตัวไปหน่อย” สำเนียงท้องถิ่นดังขึ้นจากด้านหลังทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือกที่หน้าของเขายังมีรอยแดงจากฝ่ามือของอีกฝ่ายประทับอยู่



“มะ....ไม่เป็นไรผมพูดบ้าๆแบบนั้นออกไปผมก็สมควรโดนแล้ว” จูนฝืนยิ้มแม้จะยังระบมอยู่บ้างก็ตาม นี่เป็นผลจากที่เขาตะโกนออกไปที่เวทีในตอนนั้น ศักดิ์ที่คงกำลังเครียดจัดเลยหันมาสั่งสอนโดยการตบเข้าที่หน้าของเขาอย่างแรง ใบหน้าของพี่เลี้ยงนักมวยในตอนนั้นทั้งตกใจและกราดเกรี้ยว



“อย่ามาปากพล่อยๆแบบนี้ที่ข้างเวทีนะไอ้หนู”  ศักดิ์พูดแบบนั้น



แต่สุดท้ายแล้วเคนก็ไม่ได้ยอมแพ้ตามที่เขาพูดกลับยืนหยัดสู้จนครบสามยกและแพ้คะแนนไปอย่างขาดลอย มิหนำซ้ำทันทีที่ก้าวลงมาจากเวทีก็ล้มพับลงไปจนแพทย์สนามสั่งให้หามส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วน



“พี่เคน....เป็นยังไงบ้างครับ”เด็กหนุ่มเอ่ยถามออกมาเบาๆ

“ก็ยังไม่รู้....” ศักดิ์ส่ายหน้า ก่อนจะเหลือบมองเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ไม่ห่างท่าทางที่ชะเง้อชะแง้ด้วยสายตาเป็นห่วงนั้นทำให้ต้องส่ายหน้าอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้

“ถ้าเป็นห่วงเอ็งไปนั่งคอยตรงนั้นก่อนไป ถ้ามีอะไรข้าจะเดินไปบอก แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งให้พ่อสุชาติเห็นหน้าเอ็งเลย คงกำลังเซ็งเลยล่ะ”



จูนทำตามที่ศักดิ์บอกอย่างว่าง่ายเด็กหนุ่มดึงฮู้ดขึ้นมาคลุมปิดสีผมที่โดดเด่นของตัวเองพยายามทำตัวให้”หาย” ไปกับบรรยากาศรอบด้าน ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงพูดคุยพร้อมกับเสียงรองเท้าดังเรื่อยมาตามทางเดิน จูนเหลือบมองลอดใต้ชายฮู้ดที่ดึงลงมาคลุม



“ คนไข้มีแผลฟกช้ำภายนอกหลายจุดจากการเล่นกีฬา เท่าที่เอ๊กซ์เรย์ดูยังไม่พบว่ามีอะไรหักนะครับ ที่สลบไปนีือาจเป็นเพราะศีรษะโดนกระแทกซ้ำๆ หมอเลยให้นอนเฝ้าระวังที่โรงพยาบาลสัก24 ชั่วโมงก่อนนะครับ เดี๋ยวพยาบาลจะพาไปที่ห้อง แล้วอาจจะต้องรอผลสแกนมาแล้วหมอจะเข้าไปเช็คอีกครั้งนะครับ ถ้าระหว่างนั้นเขาฟื้นก็ขอให้รีบเรียกพยาบาลทันทีเลยนะครับ”



เสียงของคุณหมอกำชับกับญาติคนไข้ก่อนจะเดินจากไป จูนเห็นเตียงถูกเข็นไปที่ลิฟท์เด็กหนุ่มเลือกที่จะทิ้งระยะห่างเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินตามไป เป็นเวลานานที่เขาต้องนั่งหลบอยู่ที่หน้าห้องพักฟื้นของเคนอีกครั้งโดยไม่คิดที่จะขยับไปไหน ในห้วงความคิดของจูนในตอนนี้มีคำหลายคำเหลือเกินที่อยากจะพูดกับอีกฝ่าย ขอเพียงแค่เคนฟื้นขึ้นมาอีกครั้งเท่านั้น


ภายในห้องของโรงพยาบาลร่างใหญ่ของสุชาตเอนกายเหยียดกับโซฟาของโรงพยาบาล มือก็กดรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อยโดยที่มีศักดิ์นั่งอยู่กับพื้นไม่ห่างออกไปน้ก


“ศักดิ์...เอ็งลงไปซื้อข้าวหรืออะไรขึ้นมากินกันหน่อยสิ ข้าก็ชักจะหิวแล้วว่ะ”

“พ่อจะกินอะไรล่ะ เดี๋ยวศักดิ์ไปจัดมาให้ นี่ก็มืดแล้วด้วยเดี๋ยวพ่อจะได้กินยาลดความดันไง วันนี้ยิ่งเครียดๆอยู่” ศักดิ์เงยหน้ามองอีกฝ่ายพลางยิ้มร่าเขารอคำนี้จากชายผู้เป็นนายมาสักพักใหญ่แล้ว

“แถวนี้มันมีอะไรอร่อยก็ไปหามาก็แล้วกัน...” สุชาติโบกมือไล่

“ครับๆ” พี่เลี้ยงนักมวยพยักหน้าเบาๆก่อนจะลุกไปหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกไปแต่ก่อนจะได้ไปถึงประตูก็ถูกเสียงของนายเรียกเอาไว้เสียก่อน

“เอ้อ....”

“อะไรพ่อ อยากกินอะไรอีกรึเปล่า”

“ไอ้หนุ่มที่หน้าห้องน่ะ ถามมันด้วยนะว่ามันกินอะไรแล้วหรือยังแล้วก็ซื้อมาฝากมันด้วย นั่งนิ่งเป็นตอแบบนั้นกูล่ะหวาดเสียวว่ามันจะตายแล้วรึเปล่า”



ถึงสุชาติจะไม่ได้หันกลับมาหรือแสดงท่าทีอะไรแต่คำสั่งที่ศักดิ์ได้รับก็ทำให้รู้ว่าสุชาติต้องสังเกตเห็นอะไรบางอย่างแล้วเป็นแน่



................



ครืด.....

เสียงประตูเลื่อนเปิดออกหลังจากที่ศักดิ์เดินออกจากห้องไปได้พักใหญ่ ร่างสูงของชายสูงวัยเดินมาใช้มือเท้าที่กรอบประตู มองไปเห็นเด็กหนุ่มผมทองยังนั่งอยู่ที่หน้าห้อง


“ไอ้หนู....บ้านช่องไม่กลับรึ”


“อ่ะ....คุณลุงสวัสดีครับ” จูนสะดุ้งลุกขึ้นในทันทีพร้อมทั้งยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ดวงตารีเรียวหลุบลงต่ำไม่กล้าสบตาของอีกฝ่ายนัก


“เออๆไหว้พระเถอะ...ชื่ออะไรล่ะเรา รู้จักไอ้เคนมันหรือไง” สุชาตเอ่ยถามพลางยืนกอดอกดวงตาไล่มองพิจารณาอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า


“ครับ เอ่อ ผมเป็นรุ่นน้องที่ชมรมของพี่เคนน่ะครับ”


“ชื่ออะไรล่ะเรา....” สุชาติถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย ดวงตาคมนั้นเห็นได้ชัดว่าเคนเหมือนพ่อของเขามากแค่ไหน


“ผมชื่อจูนครับ....” เด็กหนุ่มตอบพยายามจะยิัมแต่ก็ทำไม่ได้นักเพราะบรรยากาศหนักอึ้งที่อยู่ๆก็ถาโถมเข้ามา


“รู้ไหมว่าวันนี้เป็นวันแข่งนัดสำคัญของไอ้เคนมันแล้วก็ของค่ายด้วย ลุงทุ่มเงินไปเยอะก็หวังจะให้มันมีสมาธิกับการแข่ง...” เจ้าของค่ายเอ่ยถึงการแข่งขันที่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่ก็ต้องตกใจเมื่ออยู่ๆเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งตรงหน้ากลับก้มหัวลงต่ำ


“ผมต้องขอโทษคุณลุงด้วยครับถ้าวันนี้ผมได้ทำอะไรที่ไม่ดีลงไปและผมรู้ดีว่ามันคงฟังดูแย่ถ้าผมจะพูดออกไป...แต่ผมขอเข้าไปเยี่ยมพี่เคนสักนิดจะได้ไหมครับ” จูนก้มหน้าก้มตาพูดด้วยใบหน้าที่แดงก่ำไม่ใช่เพราะเลือดในตัวของเขาวิ่งพล่านไปทั่ว


“หมอเขาเข้ามาก่อนหน้านี้บอกว่าผลสแกนไม่มีอะไรผิดปรกติเพียงแค่ไอ้เคนมันยังไม่ฟื้น...เข้าไปก็ไม่ได้คุยหรอก”

“ได้โปรดนะครับ  ขอแค่เข้าไปนั่งเฝ้าพี่เขาเฉยๆก็ได้” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงที่หนักแน่นขึ้นมือเรียวนั้นกำแน่น สุชาติมองท่าทางของอีกฝ่ายอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ


“เดี๋ยวลุงจะไปสูบบุหรี่สักหน่อย....ฝากดูไอ้เคนมันด้วยก็แล้วกัน” ชายสูงวัยว่าพลางวางมือใหญ่ลงบนไหล่ของเด็กหนุ่มเบาๆ
“อ้อ เดี๋ยวไอ้ศักดิ์...คงรู้จักกันแล้ว....มันซื้อข้าวกลับมาก็เอาข้าวไปกินด้วยล่ะ “


คำพูดของสุชาติทำให้จูนต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เห็นใบหน้าคมที่ละม้ายคล้ายกันของคนเป็นพ่อพยักหน้าลงเบาๆความรู้สึกหนักที่แบกมาตลอดทั้งวันก็เหมือนจะผ่อนคลายลงไปได้บ้าง

“ขอบคุณครับคุณลุง”


เด็กหนุ่มเอ่ยพร้อมยกมือไหว้อีกฝ่ายอีกครั้ง ก่อนจะค้อมตัวเดินผ่านประตูที่เปิดอยู่นั้นเข้าไปด้านในเมื่อหันมามองอีกครั้งก็เห็นว่าประตูบานเลื่อนนั้นค่อยๆเลื่อนปิดลงพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ก้าวดังห่างออกไปเรื่อยๆเด็กหนุ่มจึงหันกลับมาที่ด้านในห้องพักผู้ป่วยเป็นห้องพิเศษที่มีขนาดกว้างขวาง มีเพียงเสียงของเครื่องมือของหมอที่ดังเป็นจังหวะชวนให้รู้สึกวังเวงอยู่ท่ามกลางความเงียบ



 ร่างใหญ่ของคนคุ้นเคยนอนเหยียดอยู่บนเตียงมีสายอะไรต่อมิอะไรต่อกันรุงรังไปหมด เด็กหนุ่มทรุดตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างๆเตียงคนไข้ ดวงตารีเรียวพิจารณาไปทั่วร่างของนักมวยหนุ่มที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง บนใบหน้าคมมีหน้ากากที่ให้ออกซิเยนครอบอยู่ แม้จะปิดบังใบหน้าไปเยอะแต่ก็เห็นได้ชัดว่า เคนบอบช้ำมากแค่ไหน รอยเขียวจนเกือบม่วงปรากฏให้เห็นบนใบหน้า บนศรีษะมีรอยเย็บเช่นเดียวกับที่คิ้วและสันจมูกของอีกฝ่าย ไหนจะที่แขนที่เป็นรอยฟกช้ำเต็มไปหมด



“ดูพี่สิ....”



เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นเบาๆ น้ำเสียงนั้นสั่นเครือ ในอกของจูนมันเจ็บจนสะท้านไปทั่วทั้งร่าง ปลายนิ้วสั่นระริกยื่นไปแต่เบาๆที่ท่อนแขนของเคนราวกับกลัวว่าสัมผัสของตัวเองจะทำให้อีกฝ่ายเจ็บไปมากกว่าเดิม


“ถ้าพี่เห็นผมเร็วกว่านั้น...พี่จะไม่เจ็บตัวขนาดนี้ใช่ไหม ผม.......ขอโทษ”


น้ำเสียงของเด็กหนุ่มสั่นพร่า รู้สึกได้ถึงของเหลวที่ทิ้งตัวลงมาจากหางตา จูนจับมือแกร่งที่ไร้เรี่ยวแรงนั่นขึ้นมากุมเอาไว้หลวมๆ


“ผมขอโทษ...ผมเสียใจที่เราไม่เคยพูดกันดีๆ ผมเสียใจที่ผมไม่เคยฟังพี่ ผมเสียใจที่เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้” เด็กหนุ่มสูดหายลมหายใจที่ติดขัดของตัวเองเข้าปอดไปเฮือกใหญ่

“แต่ฟื้นเถอะ คราวนี้พี่อยากจะให้ผมตอบคำถามอะไรผมจะตอบทุกอย่างเลย ผมยอมพี่แล้วจริงๆ เพราะฉะนั้นรีบๆฟื้นขึันมาสิแล้วผมจะได้บอกพี่สักที.....คำคอบที่พี่อยากได้ยินน่ะ....”  ใบหน้าของเด็กหนุ่มเบะเบ้ด้วยความเจ็บปวดราวกับว่าบาดแผลทั้งหมดบนกายของอีกฝ่ายนั้นเจาเป็นคนมอบให้กับเคนเอง จูนบรรจงจูบเบาๆลงบนมือแกร่งทั้งที่รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ว่าจะพูดหรือทำสิ่งใดอีกฝ่ายก็คงจะไม่รับรู้หรือได้ยิน



......ผมรักพี่นะ.....



to be continued......


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-01-2016 02:03:57 โดย goldfishpka »

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ asarigb

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ผมรักพี่~~~~~~~~~~~~~~~  o18
พูดแล้ว แต่คนฟังไม่ได้ยิน ฮืออออออ พี่เคนรีบๆฟื้นนะคะ น้องจูนรอบอกคำนี้กับพี่เคนอยู่
เข้าข้างพี่เคนจริงจังก็วันนี้5555555555

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a

@@ Talk @@
ไหนๆก็เดือนแห่งความรัก กลัวจะไม่ได้โพสต์
เรื่องความรักของเคนกับจูน เลยรีบทำคะแนน...


Chapter 43 ตอน แพ้ ยกที่3 อัพ 50 %
 (เดี๋ยวมาต่อในรีพลายถัดไปค่า กำลังปั่นๆ)



“เป็นยังไงล่ะ” เสียงของชายสูงวัยดังขึ้นเมื่อเดินมาถึงหน้าห้องพักฟื้นของลูกชายในเช้าของวันถัดมา ศักดิ์เป็นคนนอนเฝ้าเคนซึ่งศักดิ์ก็ทำตามคำสั่งของเขาเป็นอย่างดีที่ว่าไม่ให้ใครอื่นเข้าเยี่ยมลูกชายของเขาเป็นอันขาด


“ปกติครับนาย...ถ้าจะพูดแบบนั้น” ศักดิ์ตอบพลางเหลือบมองไปทางโถงทางเดิน เห็นเด็กหนุ่มผมทองคนเดิมนั่งกอดตัวเองเหยียดขายาวอยู่อย่างนั้น ถึงแม้เมื่อคืนจะบอกให้กลับบ้านไปหลังจากที่ยื่นข้าวกล่องให้และก็ดูว่าอีกฝ่ายจะทำตามแต่โดยดี แต่ในตอนเช้ามืดก็มานั่งอยู่ตรงนั้นแล้วราวกับไม่อยากจะทิ้งไปสักวินาที


“อะไรของมัน...” สุชาติได้แต่สายหน้า คนที่จะตอบคำถามนี้ได้ก็คงมีแต่ลูกชายที่ยังไม่ได้สติเท่านั้น คิดพลางเดินเข้าไปที่ด้านใน

“มันยังไม่ตื่นอีกรึไง”  ชายสูงวัยเอ่ยพลางถอนหายใจก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับโซฟาที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก

“ยังครับนาย...แต่หมอเข้ามาตรวจอาการเมื่อคืน ก็บอกว่าไม่มีอะไรผิดปรกติ คงแค่เหนื่อยเกินไป” ศักดิ์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล เพราะเขาเองก็ไม่เคยเทรนใครแค่ไม่ถึงเดือนแล้วส่งไปต่อยได้หนักขนาดนั้นมาก่อนเหมือนกัน


“อือ........”   ทันใดเสียงครางเบาๆก็ดังขึ้นจากคนที่นอนนิ่งมาตลอดทั้งคืน ร่างของคนป่วยค่อยขยับจนทั้งพ่อสุชาติและศักดิ์ต้องหันมามองหน้ากัน สุชาติปราดเข้าไปตบไหล่ของลูกชายเบาๆ


“เคน! เฮ้ย เคน...รู้สึกตัวแล้วเหรอวะ...ไอ้เคน”  ไม่มีเสียงตอบกลับมีเพียงดวงตาของลูกชายที่มองกลับมาก่อนจะมองไปรอบๆราวกับงุนงง


“ผมจะไปเรียกพยาบาล...” ศักดิ์ว่าพลางวิ่งออกไปจากห้องแทบจะในทันที


“อ้าวเฮ้ย ไอ้ศักดิ์ กดออดเรียกเอาก็ได้!  ” ผู้เป็นนายตะโกนก่อนจะปราดไปฉวยปุ่มกดเรียกพยาบาลมากดถี่ๆ ด้วยความตื่นเต้นที่เห็นลูกชายรู้สึกตัว


ร่างผอมของศักดิ์วิ่งไปตามทางเดินไม่ได้ฉุกนึกเลยว่าเพียงแค่กดปุ่มเรียกพยาบาลก็จะวิ่งไปหาแล้ว


“พยาบาล...ลูกพี่ผมฟื้นแล้ว”


เสียงที่ตะโกนลั่นนั่นทำให้จูนที่นั่งสะลึมสะลืออยู่รู้สึกตัวลุกไปคว้าตัวของศักดิ์เอาไว้


“พี่เคนฟื้นแล้วเหรอครับ!”

“เออสิวะ ไม่งั้นจะวิ่งหน้าตั้งมานี่รึไง”


แต่ก่อนที่ทั้งสองคนจะได้พูดอะไรกันไปมากกว่านี้ ทั้งพยาบาลและคุณหมอต่างก็วิ่งไปที่ห้องของผู้ป่วยเพื่อดูอาการ ทั้งสองคนถูกกันตัวไว้ด้านนอกไปโดยปริยาย ศักดิ์สังเกตเห็นท่าทางของเด็กหนุ่มที่นั่งดูกระวนกระวายอยู่ข้างๆ ก็ยื่นมือไปตบไหล่ของเด็กหนุ่มเบาๆ


“พี่เคนฟื้นแล้ว...เดี๋ยวก็คงได้เยี่ยมหรอก ...ถ้าพ่อเขาให้เยี่ยมนะ”


“ครับ ผมเข้าใจดี” คำพูดในตอนท้ายทำให้จูนต้องเอ่ยรับพร้อมพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะถอยออกมายืนรอที่หน้าห้องพักผู้ป่วยแทน เด็กหนุ่มได้แต่คิดว่าในเวลาแบบนี้ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแพทย์และคนในครอบครัวดีกว่า


ไม่นานนักหมอและทีมพยาบาลก็เดินกลับออกมาจากด้านในห้องพร้อมกับสุชาติที่เดินตามออกมาส่ง ชายสูงวัยดูมีสีหน้าโล่งใจอยู่ไม่น้อย หมอบอกว่าอาการของเคนไม่มีอะไรผิดปรกติซ้ำยังแหย่เสียด้วยว่า ลูกชายของเขานั้นหัวแข็งใช่เล่น ทำให้อดที่จะหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ มันเป็นเสียงหัวเราะที่มาพร้อมกับความโล่งใจ


“คุณลุงครับ......” ทันทีที่เห็นหน้าของสุชาติ จูนเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเบาๆ แต่แล้วเสียงรองเท้าที่ดังเรื่อยมาตามทางเดินกลับเรียกความสนใจให้คนทั้งสามคนที่ยืนอยู่ที่หน้าห้องผู้ป่วยได้มากกว่า และเมื่อมองตามเสียงนั้นไปก็เห็นร่างเล็กบางของนิดเดินมาพร้อมกับดอกไม้ช่อโต


“ พี่นิด?.......”  เด็กหนุ่มผลออุทานเป็นชื่อของหญิงสาวอย่างช่วยไม่ได้

“นิด? ....” สุชาติเองก็ขมวดคิ้ว เขาคุ้นกับชื่อนี้พอดู และเมื่อพิจารณาใบหน้าคมสวยของเด็กสาวก็พอจะจำได้ว่าเขาเคยเห็นผู้หญิงคนนี้อยู่สองถึงสามครั้งตอนที่ไปหาเคนที่มหาวิทยาลัย และจำได้ว่าคือคนที่ไปนั่งอยู่ตรงที่นั่งพิเศษที่เคนแอบเอาตั๋วของเขาไปนั่นเอง


    “อ้าว? จูน มาทำอะไรเนี่ย” หญิงสาวเอ่ยทัก แต่ก็เหมือนจะไม่ใส่ใจจะรับคำตอบสักเท่าไร ดวงตาคมของเชียร์ลีดเดอร์ประจำคณะเบนความสนใจไปยังชายสูงวัยกว่า

    “คุณพ่อคะ หนูขอโทษที่มาช้านะคะ พอดีก็มัวให้เพื่อนช่วยถามให้ว่าพี่เคนอยู่ที่โรงพยาบาลอะไรเลยมาช้าน่ะค่ะ ตอนนี้อาการพี่เคนเป็นยังไงบ้างคะ ฟื้นแล้วหรือยังคะ หนูจะขอเข้าไปเยี่ยมได้หรือเปล่าคะ” คำถามมากมายนั้นพร่างพรูออกมาจากริมฝีปากเคลือบสีอ่อนสวย


    “เฮ้อ.....” สุชาติถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้กับเด็กสาว เขาก็พอจะมองเห็นเค้าเรื่องราวทั้งหมดนี้แล้วว่าเป็นอย่างไรเมื่อพิจารณาจากท่าทางของลูกชายตั้งแต่ตอนช่วงซ้อม ดวงตาที่ผ่านประสบการณ์มามากมายนั้นมองหน้าของจูนสลับกับหน้าของนิด และตอนนี้เป็นเขาเองที่ต้องตัดสินใจ...มือใหญ่นั้นผายไปทางประตู

 
    “มาสิ...เดี๋ยวพ่อจะพาเข้าไป ส่วนไอ้หนู  ชื่ออะไรนะ” สุชาติหันมาทางของจูนอีกครั่ง ทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้ง


    “อ่ะ เอ่อ ผมชื่อจูนครับ”


    “จูนสินะ  เดี๋ยวเอาเงินนี่ไปที่ร้านข้างล่างนะ ลงไปซื้อข้าวกับน้ำ ขนมอะไรก็ได้มาหน่อยนะ ชวนไอ้ศักดิ์มันลงไปด้วยก็ได้” ว่าพลางก็พยักเพยิดไปทางศักดิ์ที่ดูจะไม่ได้อยากจะไปตามที่นายว่า


    “......” จูนมองหน้าของศักดิ์สลับกับใบหน้าของชายสูงวัยก่อนจะยิ้มน้อยๆ


     “งั้น...เดี๋ยวผมลงไปเองได้ครับคุณลุง คุณลุงกับพี่ศักดิ์มีอะไรที่ทานไม่ได้หรือเปล่าครับ?” จูนถามคิดเพียงแค่ว่าถ้าจะลงไปซื้อของ ก็ต้องรู้ของที่อีกฝ่ายชอบไม่ชอบเสียก่อน และดูท่าว่าอีกฝ่ายก็ดูจะประหลาดใจไม่น้อยกับคำถามของเขา


    “ก็ช่างถามนะ กินได้หมดนั่นล่ะ ...เลือกมาก็แล้วกัน เอาน้ำผลไม้อะไรก็ได้มาเผื่อไอ้เคนกับยัยหนูนี่เขาด้วยก็แล้วกันนะ”  สุชาติสั่งเพิ่ม จูนรับคำน้อยๆ


    “แล้วพี่นิดจะทานอะไรเพิ่มไหมครับ” ทันทีที่ได้ยินคำสั่งใหม่จูนก็หันไปถามนิดทันที


    “น้ำผลไม้กลัวจะหวานจังเลย พี่เอาน้ำเปล่าก็ได้จ้ะ” นิดฝากบ้าง เด็กหนุ่มยิ้มให้น้อยๆ ก่อนจะขอตัวทั้งสามคนเดินลงไปข้างล่างทันที...


.....................................................



ทันทีที่จูนเดินห่างออกไป สุชาติก็เชื้อเชิญให้เด็กสาวเดินตามเข้าไปด้านใน เคนรู้สึกตัวแล้ว เครื่องช่วยหายใจก็ถูกถอดออกไปแล้วเช่นกัน นอกเหนือจากสีหน้าที่ยังดูอ่อนแรงแต่ก็ดูเหมือนทุกอย่างจะปรกติดี



    “เคน...หนูนิดมาเยี่ยม” ผู้เป็นพ่อเอ่ย ก่อนจะพยักหน้าให้กับเคนเล็กน้อย “หนูเอาดอกไม้ไปใส่แจกันทีนะ เดี๋ยวพ่อออกไปสูบบุหรี่สักหน่อย เราคุยกันไปก็แล้วกัน” ชายสูงวัยเอ่ยก่อนจะเดินออกไปด้านนอกปล่อยให้ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันตามลำพัง



ร่างสูงของชายสูงวัยเดินออกไปด้านนอก และทันทีที่ปิดประตูไว้เบื้องหลังชายสูงวัยก็ทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ในทันที จนศักดิ์ต้องรีบเข้ามาดูอาการ


    “นาย... เป็นอะไรมากรึเปล่า นี่ทานยาหลังอาหารหรือยังครับ เดี๋ยวศักดิ์ไปเอามาให้”  แต่เจ้าของค่ายอุดรพยัคฆ์กลับโบกมือปฏิเสธสีหน้าดูอ่อนแรงกว่าเมื่อครู่อยู่ไม่น้อย 


    “ข้าไม่เป็นอะไรหรอก มึงช่วยตามไปดูไอ้เด็กนั่นด้วยละกัน ชวนมันไปซื้อเสื้อซื้อกางเกงอะไรมาให้ไอ้เคนมันหน่อย เผื่อยังจะต้องอยู่โรงพยาบาลกันอีกหลายวัน” 



    “ครับนาย ... ”เห็นท่าทางแบบนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ศักดิ์ก้มหัวรับคำก่อนจะเดินจากไป คิดอยู่อย่างเดียวว่าผมของเด็กหนุ่มคนนั้นออกจะสะดุดตา คงไม่ยากถ้าจะหาให้เจอ



ดวงตาคมของสุชาติมองตามศักดิ์จนเห็นว่าคนสนิทของตัวเองเดินจนลับตาไปแล้วจึงค่อยๆเลือนประตูให้เปิดออกเพียงเล็กน้อยเพื่อสอดส่องความเป็นไปที่เกิดขึ้นด้านในระหว่างลูกชายของตัวเองกับแฟนสาว


.............................



     ดอกไม้เยี่ยมไข้สีสวยยถูกจัดลงใส่แจกันของทางโรงพยาบาล หญิงสาวร่างบางค่อยวางลงที่โต๊ะตรงหัวเตียงพลางยิ้มให้กับชายหนุ่มที่ยังดูมีสีหน้าอิดโรย


    “พี่เคนเป็นยังไงบ้าง เจ็บมากไหม”  มือเรียวยื่นไปเตะที่ข้างแก้ม เคนได้แต่เม้มริมฝีปากเพราะเขารู้สึกได้ว่ามันเจ็บ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเพียงแค่อมยิ้มน้อยๆให้เท่านั้น มือแกร่งที่ยังมีสายน้ำเกลือเจาะติดอยู่ค่อยๆแตะมือของอีกฝ่ายนำทางให้ลดลงจากแผลที่ใบหน้า


    “พี่เห็นนิดมาดูพี่แข่ง...ขอบใจนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยเบาๆ


    “นิดก็ต้องไปดูพี่เคนแข่งอยู่แล้ว แฟนตัวเองแข่งทั้งทีจะไม่ได้ดูได้ยังไง” หญิงสาวว่าดวงตาคู่สวยนั่นเป็นประกาย “พี่เคนน่ะเท่จะตาย เสียดายที่เพื่อนนิดที่มาด้วยไม่ได้มาเชียร์ใกล้ๆ นิดเลยไม่ค่อยกล้าตะโกนเท่าไร แต่พี่เคนได้ยินเสียงนิดอยู่ใช่ไหมคะ” แฟนสาวพูดพลางใบหน้าคมนั้นมีสีชมพูระเรื่อขึ้นมา คงจะเขินอายอยู่ไม่น้อยที่ตัวเองออกไปตะโกนร้องอยู่ข้างเวทีแบบนั้น


     “อืม...ได้ยินสิ ดีใจมาก ขอบใจนะ” เคนตอบ เขาได้ยินเสียงของอีกฝ่ายดังฟังชัด สมแล้วที่ร่างเล็กๆตรงหน้านี่เป็นเชียร์ลีดเดอร์ของคณะ ไม่ใช่แค่เรื่องของหน้าตาเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องเป็นคนที่แข็งแรงและเสียงดังอยู่ไม่น้อยที่จะสั่งคนเป็นร้อยๆที่อยู่บนสแตนด์เชียร์ได้ทั้งๆที่ยังโพสท่าสวยงามอยู่ที่กลางสนาม


                 …. นี่ล่ะ แฟน ของเขา.....



    “แต่ถ้าพี่เคนชนะนะ จะต้องเท่มากๆแน่ๆ เสียดายจังอุตส่าห์ไปเชียร์ นี่เพื่อนนิดก็ยังบอกเลยนะคะว่า พี่เคนน่าจะชนะ พวกที่มหาลัยพอได้ยินชื่อพี่เคนก็ฝากมาเชียร์กันยกใหญ่เลย นี่ถ้าพี่เคนชนะนะ นิดคงยิ้มหน้าบานไปอีกหลายวันเลย มีแฟนเป็นนักมวยที่เท่แล้วยังเก่งขนาดต่อยฝรั่งจนชนะได้เนี่ย” หญิงสาวว่าพลางหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้สังเกตท่าทางของแฟนหนุ่มเลยว่ากำลังทำหน้าอย่างไร


              ....แต่ก็นี่ล่ะ แฟนของเขา....

         

            เคนยิ้มรับฝืนๆ ชายหนุ่มกุมมือเล็กของนิดเอาไว้หลวมๆพลางสูดลมหายใจเข้าลึกเขาทนกับความรู้สึกอึดอัดใจนี่มานานเกินไปแล้ว

    

         “นิด....เราเลิกกันเถอะ”  เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับดวงตาคมที่มองใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้า และจากสายตาที่มองกลับมาเขามั่นใจได้ว่าในครั้งนี้นิดได้ยินสิ่งที่เขาพูดอย่างชัดเจน

    
        "............”  ไม่เหลือความสดใสในดวงตาอย่างเช่นเมื่อครู่หญิงสาวค่อยชักมือกลับออกมาราวกับลังเลในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

    
         “พี่เคนอยากจะเลิกกับนิดเหรอคะ”นิดพูดออกมาเบาๆริมฝีปากสวยสั่นระริกมือไม้ของเธอเย็นเช่นเดียวใจที่สั่นคล้ายจะเป็นลมลงไปให้ได้เสียตรงนี้


    “ใช่...พี่คิดมาได้สักพักแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่ว หากแต่หนักแน่น


    “พี่เคนจะเลิกกับนิดจริงๆด้วย...” คำพูดที่เธอได้ยินนั้นเหมือนตอกย้ำในสิ่งที่เธอพยายามจะไม่คิดถึงมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา สองมือสั่นไหวด้วยไม่รู้จะวางไว้ที่ไหนดี ในดวงตารู้สึกได้ถึงความร้อนจากเส้นเลือดที่วิ่งพล่านไปทั่วร่างด้วยความสับสน หัวใจบีบจนเจ็บ ถ้าเธอรู้ว่ามาที่โรงพยาบาลแล้วเหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้เธอคงไม่หลับอดนอนเพียงเพื่อจะตามหาอีกฝ่ายว่าอยู่ที่โรงพยาบาลไหนเสียด้วยซ้ำ


     “ทำไมล่ะ นิดทำผิดอะไรเหรอ นิดทำอะไรให้พี่เคนไม่ชอบใจมากขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงต้องเลิกกัน” ร่างเล็กเอ่ยถามด้วยคำถามที่เธอเฝ้าถามตัวเองมาโดยตลอด


    “คนที่ผิดไม่ใช่นิดหรอกเป็นพี่เองนี่ล่ะที่ผิด”  เคนตอบดวงตาคมยังคงจับจ้องที่ใบหน้าของอีกฝ่าย  “ผิดที่พี่ไม่เคยบอกนิดว่า พี่ต้องการอะไรจากความสัมพันธ์ของเรา ผิดที่ปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นอย่างที่มันเป็น” 


    “พี่เคนจะพูดอะไร นิดไม่เข้าใจ”


    “เราคบกันมาก็นานเหมือนกันนะนิด แต่ในแต่ละวันที่พี่อยู่กับนิด พี่ไม่ได้รู้สึกว่าพี่เป็นคนทำให้นิดมีความสุขเลย และเชื่อไหมว่าต่อให้พี่รู้ พี่ก็ไม่ได้คิดจะปรับปรุงอะไรให้มันดีขึ้น เพราะพี่รู้ดีว่าคนที่จะให้คะแนนตัวพี่ ไม่ใช่นิด” ชายหนุ่มฝืนยิ้มออกมาน้อยๆเมื่อนึกถึงทุกครั้งที่เขาพยายามทำดีกับอีกฝ่าย แต่ก็มักจะมีเพื่อนของนิดคอยพูดวิจารณ์อยู่เรื่อยไป


    “ถ้าพี่จะบอกว่าเป็นเพราะเพื่อนๆนิด พี่เคนก็รู้นี่คะว่าพวกนั้นเขาล้อเล่น...ไม่ได้มีอะไรจริงจังสักหน่อย”  หญิงสาวเริ่มจับใจความได้จากคำพูดของเคน เธอมักจะอยู่กับเพื่อนๆและพูดล้อเล่นกันเสมอ มือเรียวฉวยจับมือของอีกชายหนุ่มเอาไว้แน่นราวกับจะยืนยันคำพูดของตัวเอง 


    “จริงเหรอนิด....” เคนถามย้อน “นิดลองคิดดูดีๆสิ ว่าพวกเราคบกันแบบไหน ถ้าไม่ใช่เพราะหลายๆคนบอกเราว่า เราเป็นคู่ที่เหมาะกัน นักกีฬากับเชียร์ลีดเดอร์  คนหน้าตาดีสองคนเป็นคู่ที่ใครๆก็อิจฉา เป็นคนที่ใครๆก็พูดถึง แต่จริงๆแล้ว....เรารู้สึกยังไงกันแน่? เราใส่ใจเรื่องของกันและกันบ้างหรือเปล่า? เรารักษาน้ำใจของกันและกันบ้างหรือเปล่า....” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงสั่น


       หลายครั้งเหลือเกินที่เขารู้สึกเสียหน้า หลายครั้งเหลือเกินที่เขารู้สึกว่าไม่ได้รับการใส่ใจ มันทำให้รู้สึกอึดอัดยิ่งเพราะเป็นผู้ชายมันเลยพูดออกไปได้ยากกว่าที่คิดเอาไว้หลายเท่า

    
       “ ลึกๆแล้ว พี่ว่านิดก็คงจะรู้ว่าพี่ไม่ใช่ผู้ชายที่จะทำให้นิดยิ้มได้ด้วยตัวของพี่จริงๆ นิดจะยิ้มก็ต่อเมื่อเพื่อนของนิดยิ้ม นิดจะมีความสุขก็ต่อเมื่อคนรอบๆข้างของนิดเห็นดีเห็นชอบกับสิ่งที่นิดทำ และสิ่งที่เขาอยากให้พี่ทำ ทุกอย่างเป็นเพราะคนพวกนั้นไม่ใช่พี่ ” เคนเอ่ยดวงตาคมจับจ้องใบหน้าเล็กๆที่เริ่มเป็นสีแดงระเรื่อของเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า นิดกำลังจะร้องไห้ หรือ กำลังอาย หรือกำลังโกรธเพราะคำพูดของเขา แม้แต่ในตอนนี้เขาเองก็ยังบอกความรู้สึกของอีกฝ่ายไม่ได้เลยด้วยซ้ำ


    “ที่พี่เคนพูดมาทั้งหมด....จริงๆแล้วเป็นเพราะพี่เคนมีคนใหม่ใช่ไหมคะ” เด็กสาวสูดลมหายใจเข้าลึก เธอเบือนหน้าไปอีกทางราวกับพยายามจะกลืนความรู้สึกของตัวเองลงไป แล้วเอ่ยขึ้นเป็นคำถามที่ทำให้เคนต้องนิ่งงัน เขาไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแค่พยักหน้าลงยอมรับตามความเป็นจริง


    “ใช่...พี่...มีคนใหม่แล้ว”  แม้ในใจจะยังตอบไม่ได้เต็มปาก แต่เมื่อใจทั้งหมดในตอนนี้กำลังเรียกร้องหาใครอีกคน มันก็ไม่อาจจะปฏิเสธเป็นอื่นได้อีกต่อไป


    “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าพูดให้นิดยิ่งรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้เลย” น้ำตาหยดลงมาจากดวงตากลมที่เคยสดใสของเด็กสาว นิดใช้นิ้วเกี่ยวปอยผมขึ้นทัดหูยิ่งทำให้เห็นใบหน้าแดงก่ำนั้นได้ชัดเจนมากขึ้น


     “มันเหมือนกับว่าสิ่งที่นิดทำให้มันไม่เคยมีค่า ...ถึงพี่เคนจะใจดี แต่ตอนนี้พี่เคนกำลังใจร้ายกับนิดมากนะคะ”  เคนไม่กล้าสบตากับนิดเพราะกลัวเหลือเกินว่าน้ำตาจะทำให้ตัวเองใจอ่อน ...แต่เขาได้ตัดสินใจไปแล้ว ดังนั้นถึงได้เลือกให้นิดรู้สึกเสียใจเพราะคำพูดที่เห็นแก่ตัวและโหดร้ายของตัวเองอาจจะดีกว่า...คนแบบเขาไม่สมควรจะได้รับการให้อภัยแล้วจากลาด้วยรอยยิ้ม 


    “พี่เสียใจ...” เคนพูดออกไปตามตรง มันไม่มีอะไรจะสะเทือนความรู้สึกไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว


    “...............” ไม่มีคำพูดอื่นออกมาจากริมฝีปากสีสวยของเชียร์ลีดเดอร์ประจำคณะอีก ไหล่บางไหวระริกพร้อมกับน้ำตาที่ทิ้งตัวลงมาเม็ดแล้วเม็ดเล่า ไม่มีเสียงสะอื้น มีเพียงแค่น้ำตากับความเงียบระหว่างคนสองคนเท่านั้น...



        แกร๊ก.... เสียงบานประตูที่แง้มอยู่นานแล้วถูกดันให้เปิดออกกว้าง พร้อมกับร่างสูงใหญ่ของสุชาติที่เดินเข้ามาด้านใน แสร้งเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับทุกคำพูดของทั้งสองคน ชายสูงวัยยิ้มกว้างแม้ในใจจะรู้ว่าไม่ควร

    
        “เอ้อ ไอ้เจ้าหนูนั่นกับเจ้าศักดิ์หายไปไหนน้อ....... หนูนิดคงหิวน้ำแย่แล้ว”


    เสียงที่ดังขึ้นทำให้เด็กสาวต้องรีบหันหลังให้กับคนที่เข้ามาใหม่ทันที สองมือปาดน้ำตาออกจากข้างแก้ม ฉวยผ้าเช็ดหน้าจากในกระเป๋าขึ้นมาปิดบังความรู้สึกบนใบหน้าของตัวเองเอาไว้


    “คุณพ่อคะ วันนี้หนูเสร็จธุระแล้ว เห็นพี่เคนไม่เป็นอะไรมาก็สบายใจแล้วค่ะ พรุ่งนี้หนูมีสอบถ้ายังไงวันนี้หนูขอลากลับก่อน ....” เด็กสาวว่าพลางลุกขึ้นยืนด้วยความเร่งรีบ สองมือยกไหว้ลาพ่อของเคนก่อนจะถือกระเป๋าใบน้อยเดินออกจากห้องพักฟื้นของคนไข้ออกไป


    “พูดกับเขาดีแล้วใช่ไหม”  สุชาติหันมองตามร่างบางของนิดให้ลับตาไปก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ


     “ก็พยายามให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้นั่นล่ะ” เคนตอบ หัวใจมันเบาจนทำให้รู้สึกว่าหนาวยะเยือกไปทั้งร่าง ชายหนุ่มเสมองไปที่นอกหน้าต่าง ท้องฟ้ายามสายมีสีฟ้าสดแต่เขากลับทำให้ใครบางคนต้องกลับออกไปด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว “ผมคงแย่มากสินะพ่อ ทำผู้หญิงร้องไห้แบบนั้น”


    “คนเรามีเหตุผลด้วยกันทั้งนั้น ถ้ามันอยู่ด้วยกันแล้วรู้สึกอึดอัด มึงก็ต้องเลือกที่จะทำร้ายเขาในตอนแรก คือพูดไปตามตรงแล้วจะปรับแก้ยังไงก็ค่อยทำ กับสองทำร้ายเขาในตอนท้ายตอนที่มึงอาจจะมีใครมาทำให้มึงรู้สึกดีกว่าทางมันก็มีแค่นี้” มือของผู้เป็นพ่อตบลงบนบ่าของลูกชายเบาๆ


    “ความรักมันจะยังไม่มีอะไรที่พอดี จนกว่าเราจะเจอคนที่เราคิดว่าใช่...แต่ที่สำคัญคือมึงติดค่าตั๋ววีไอพีกูอยู่สองที่....ตั๋วใบละสามพันห้าสองใบ ไอ้ลูกเวร”สุชาติเปลี่ยนเรื่องฉับพลันไม่พูดเปล่าใช้มือตบศีรษะของเคนด้วยแรงที่เรียกได้ว่าไม่เบานัก


    “โอ้ยพ่อ...ผมคนเจ็บนะ” เคนหันกลับมามองหน้าของพ่อของตัวเองก่อนจะต้องเงียบเสียงเพราะสายตาที่มองกลับมา มันเหมือนกับว่าพ่อของเขากำลังจะร้องไห้


    “พ่อเป็นอะไร...”


    “เปล่า...แค่นึกถึงแม่มึงขึ้นมานิดหน่อย” สุชาติตอบ “เดี๋ยวพ่อจะออกไปข้างนอกแป๊บไปคุยกับคุณทวีที่เป็นสปอนเซอร์นี่เขาอุตส่าห์จะมาดูแกต่อยเมื่อวานแต่เห็นว่ามีงานอะไรที่บริษัทก็เลยบินมาเช้านี้แทน เลยต้องไปคุยกับเขาให้ให้โอกาสเราต่ออีกหน่อยว่าจะพาเจ้าศักดิ์มันออกไปด้วย....”


    “ผมขอโทษ....” เห็นพ่อของตัวเองทำหน้ายุ่งแบบนั้นก็อดที่จะรู้สึกเสียใจไม่ได้ “ไว้งานหน้าผมจะพยายามให้มากกว่านี้”


    “เออๆ รู้แล้ว” สุชาติโบกมือปัด “ไปล่ะ บ่ายๆจะเข้ามาอีกรอบ อ้อ...ลืมบอกว่ามีรุ่นน้องจากชมรมมาเยี่ยม เดี๋ยวจะให้มันเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนก็แล้วกัน”  พูดจบก็รีบเดินออกไปยังด้านนอกทันที


    บานประตูเปิดออกด้วยความเร่งรีบทำให้ไม่ทันได้มองจนเกือบจะชนกับเด็กหนุ่มผมทองที่อยู่ตรงหน้าประตู


    “ขอโทษครับ คุณลุง....” เด็กหนุ่มเร็วพอที่จะสาวเท้าถอยหลบ ในขณะที่ยังถือของอยู่เต็มสองมือ


     “ผมซื้อข้าวเที่ยงกับน้ำมาให้ครับ... ไม่แน่ใจว่าคุณลุงจะดื่มอะไรเลยซื้อทั้งกาแฟเย็น น้ำผลไม้แล้วก็มีน้ำขิงมาให้ด้วยเผื่อบ่ายๆอยากจะดื่มอะไรร้อนๆ”
    
 
   “................................” สุชาติไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “คงยังไม่ได้กิน เพราะเดี๋ยวลุงจะออกไปข้างนอก บ่ายๆจะกลับ เรา....เข้าไปอยู่เป็นเพื่อนเคนมันหน่อยละกัน  ไอ้ศักดิ์เอ็งเอาของเข้าไปเก็บซะ แล้วรีบออกมาขับรถพาข้าไปรับคุณทวีที่สนามบินกัน”





.............................. to be con in next reply



ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Rywzaki

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ขอให้เค้าสมหวังกันซะที  :monkeysad:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-02-2016 13:02:15 โดย Rywzaki »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
@@@ Talk @@@
ตอนที่ 43 มาต่อจนจบแล้วค่า
เป็น 5 หน้า ที่แก้แล้วแก้อีกมาก หวังว่าจะถูกใจ คนที่เชียร์ พี่เคน กับ จูน นะคะ
 :katai4:



          ภาพห้องพักฟื้นที่อยู่ตรงหน้าดูจะกว้างกว่าเมื่อวานที่ย่างเท้าก้าวเข้ามา ระยะทางจะบานประตูถึงปลายเตียงของผู้ป่วยดูห่างไกล สองขาพลันรู้สึกหนักอึ้งแต่กระทั้งก็รู้ดีว่าจะต้องก้าวต่อไป

        “พี่เคน......” เด็กหนุ่มเอ่ยชื่อของอีกฝ่ายขึ้นทั้งๆที่ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นถี่รัวอยู่ในอก ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเตียง หน้าตายังคงมีรอยช้ำและดูอิดโรยแต่ทั้งหมดแล้วยังดีกว่าการที่ต้องเห็นอีกฝ่ายนอนไม่ได้สติเหมือนอย่างเช่นเมื่อวาน
     

       “จูน.......”  เคนดูแปลกใจที่เห็นเขา แต่ในสีหน้านั้นก็มีความโล่งใจอยู่ด้วย


       เด็กหนุ่มค่อยๆเดินไปหยุดที่ข้างเตียง หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ มันบีบตัวเสียจนรู้สึกเจ็บแปลบข้างในอก จูนได้แต่เม้มริมฝีปากก่อนจะดึงเก้าอี้มานั่งลงที่ข้างๆเตียง
 
     
        “พ่อพี่ไม่ได้บอกว่าแกมา....” เคนเอ่ยพลางยิ้ม จูนไม่ได้ตอบเพียงแค่พยักหน้ารับรู้เบาๆ  “แล้วก็ไม่ได้บอกว่าใช้ให้แกไปซื้อของด้วย”  ชายหนุ่มหัวเราะด้วยเสียงแหบพร่า


        เด็กหนุ่มมองหน้าของอีกฝ่ายนิ่งดวงตารีเรียวนั้นกลับแดงก่ำ ประกายในดวงตาขยับไหววูบเช่นเดียวกับปลายนิ้วที่สั่นน้อยๆ

 
       “ผมอาสาไปเอง คุณลุงไม่ได้ใช้หรอก” เด็กหนุ่มตอบ ริมฝีปากอิ่มได้รูปนั้นยิ้มน้อยๆ แล้วหลบตาลงมองต่ำ  “ผมแค่คิดว่าพี่คง...อยากจะคุยกับพี่นิด” ในเสียงนั้นมีความประหม่าอยู่เช่นเดียวกับท่าทีของเด็กหนุ่มปลายนิ้วยังคงขยับไปมาไม่หยุด


       “...นั่นสินะ...”เคนพยักหน้าก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ “คุยไปแล้วล่ะ”  ชายหนุ่มเอ่ย เขายังรู้สึกได้ถึงมือเล็กของนิดที่บีบลงบนมือของเขา มือเล็กๆที่บีบลงมาแล้วไม่ได้บีบตอบ


        ‘…เมื่อหมดใจแล้วความรู้สึกมันก็ไม่เหลือ...’ 
 

        เขาเคยได้ยินใครต่อใครพูดเอาไว้ และรู้ว่ามันจริงเมื่อผู้หญิงคนก่อนๆเดินจากเขาไปเพื่อคนที่บอกว่า “ดีกว่า” แต่ในตอนนั้นเขาและฝ่ายนั้นยังเป็นเพียงแค่เด็กวัยมัธยมความรู้สึกมันมาง่ายและหายไปง่าย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ซึ้งถึงความรู้สึกนี้ แต่ในอีกด้านกลับมีเด็กหนุ่มคนนี้ ดวงตาคมของเคนหันกลับมาหาจูน มือที่บอบช้ำยกขึ้นแตะกับปลายนิ้วที่สั่นไหวของอีกฝ่ายเบาๆ ราวกับว่ากลัวว่าคนตรงหน้าจะถอยห่างเหมือนอย่างทุกครั้ง


         “แล้วแกล่ะ...มีอะไรจะคุยกับพี่ไหม”


          “อืม......” จูนรับคำในลำคอเบาๆ
         เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่ราวกับว่ากำลังพยายามสกัดกลั้นความรู้สึกที่กำลังทำให้ใจของเขาเจ็บปลาบลงไปให้ลึกที่สุด แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผลในเมื่อความร้อนเริ่มเอ่อขึ้นมาที่ดวงตาทั้งสองข้างและทิ้งตัวลงที่สองแก้ม ในใจเฝ้าถามตัวเองว่าเขาปล่อยให้ความสัมพันธ์นี้ดำเนินเรื่อยมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร ทำไมถึงกว่าจะเข้าใจตัวเองและยอมรับได้จึงใช้เวลานานขนาดนี้ นานจนเจ็บปวดกันไปหมดไม่ว่าจะตัวเองหรือใครๆ


         “แกรู้ไหม พี่โคตรดีใจเลยที่แกมา  ” ถ้อยคำที่สื่อความรู้สึกตรงๆดังขึ้นเบาๆ มือของนักมวยหนุ่มขยับบีบปลายนิ้วของเด็กหนุ่มเอาไว้ เห็นจูนพยักหน้ารับแรงๆจนเส้นผมสีอ่อนนั่นสะบัดไหวหากแต่ริมฝีปากยังคงเม้มแน่น    
         
         “แล้วแกก็รู้ใช่ไหมว่าพี่อยากได้ยินคำตอบของแกสักที” เคนรู้สึกได้ว่าภายในอกที่ช้ำจากแรงกระแทกของตัวเองนั้นหัวใจเต้นแรงขึ้นมาขนาดไหน มันบีบตัวแรงด้วยยินดีที่อีกฝ่ายจะยื่นมือมาดึงเขาออกจากหลุมลึกที่เขากระโจนลงมาเองนี่เสียที...เพราะเขาเกลียดเหลือเกินเมื่อมองไปแล้วทุกอย่างมันดูเหมือนจะไร้หนทาง เขาไปข้างหน้าไม่ได้ ไปข้างหลังก็ไม่ได้ มันเหมือนติดอยู่ในหลุมลึกและดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด


           “เพราะอย่างนั้น แกช่วยพูดกับพี่จะได้ไหม...พูดอะไรก็ได้ไม่ใช่นั่งร้องไห้แบบนี้”


            “จะไม่ให้ผมร้องไห้ได้ยังไง ก็ผมกลัวนี่ ผมกลัวไปหมดทุกอย่าง กลัวตั้งแต่อยู่ๆพี่ก็มาบอกชอบ กลัวว่าใครๆจะรู้เรื่องนี้ แล้วไหนจะกลัวว่าพี่จะไม่ตื่น กลัวว่าพี่จะเจ็บ กลัวว่าพี่จะเสียใจ” จูนตอบพลางสะอื้นออกมาเสียงดังไหล่ได้รูปสั่นไหว  สองมือยิ่งกำแน่นจนทำให้คนเจ็บนิ่วหน้า

            “แล้วมันก็น่ากลัวชิบหายตอนที่รู้ว่าตัวเองเห็นแก่ตัวได้ขนาดไหนที่ไม่กล้าตัดสินใจอะไรสักที  แต่ที่มันเจ็บมากคือในท้ายที่สุดแล้วผมทำอะไรให้พี่ไม่ได้สักอย่าง มาดูพี่แข่งก็ได้แต่เป็นไอ้บื้อที่ดูพี่โดนไอ้ฝรั่งนั่นมันต่อยเอาๆ ผมได้แต่นั่งรอให้พี่ลืมตา พอพี่ตื่นแล้วผมก็ไม่กล้าที่จะถามพี่ด้วยซ้ำว่าพี่เจ็บไหม”  ดวงตารีเรียวของเด็กหนุ่มสบตาของเคนทั้งน้ำตา เขาไม่ได้อยากร้องไห้แต่มันห้ามเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไปแล้วจูนต้องยกมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้กลัวว่าจะส่งเสียงแปลกๆออกไปอีก


              มือแกร่งของเคนยื่นออกไปบีบมือของจูนเบาๆ ไม่ใช่เร่งรัดหากแต่เป็นการให้กำลังใจเสียมากกว่า


              “แต่ที่ผมไม่ถาม...เพราะผมรู้ว่าก็พี่เจ็บ...กับทุกๆเรื่องเหมือนกัน” เสียงที่ดังขึ้นนั้นแหบพร่า ดวงตานั้นแดงก่ำหากแต่กลับเป็นประกายชวนมอง  “ผมรู้ดีว่าพี่ก็ไม่ได้อยากแพ้ แม้แต่ตอนที่เห็นหน้าพี่เมื่อกี้ผมยังไม่กล้าถามพี่เลยด้วยซ้ำว่าพี่เป็นยังไงบ้างเพราะผมรู้....ว่าพี่ต้องกำลังเสียใจมากแน่ๆ” เด็กหนุ่มเอ่ย เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆ น้ำตายังคงไหลไม่หยุดจากดวงตาทั้งสองข้าง เด็กหนุ่มยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดแรงๆ


              “มันก็เจ็บเหมือนกันนะ ทั้งๆที่พี่สำคัญกับผมมากขนาดนี้ แต่ผมทำอะไรให้พี่ไม่ได้เลย แม้แต่จะห้ามไม่ให้พี่ทำผิดกับพี่นิดผมก็ทำไม่ได้...เพราะสุดท้ายผมเองก็แพ้ใจตัวเองเหมือนกัน”


             “โธ่ จูน....” หัวใจของเคนหล่นวูบ นี่คนตรงหน้าต้องพยายามเท่าไรที่จะรวบรวมทุกคำมาพูดกับเขาได้ขนาดนี้ ความพยายามที่จะเข้มแข็งของอีกฝ่ายคงมีมากมายกว่าตัวเองนัก ชายหนุ่มอยากจะขยับตัวลุกไปกอดอีกฝ่ายเอาไว้แต่ก็ทำไม่ได้ถนัดนัก สุดท้ายก็ฝืนตัวเองไม่ไหวทำได้แค่เอนตัวลงกับหมอนอิงก่อนจะตบมือเบาๆที่เตียงแทน


             เด็กหนุ่มพยักหน้าลงน้อยๆก่อนจะขยับขึ้นไปนั่งบนเตียงที่ลดราวกั้นด้านข้างลงแล้ว มือยังคงจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้ ดวงตารีเรียวของเด็กหนุ่มสบตาของอีกฝ่ายนิ่ง ริมฝีปากได้รูปเม้มแน่น นึกสงสัยว่าเพราะเหตุใดใจเจ้ากรรมจึงขยันบีบตัวให้เจ็บร้าวไปทั้งอกได้ขนาดนี้ มันรู้สึกอึดอัด เศร้า หากแต่ก็มีความอิ่มเอมที่มารวมตัวกันอยู่ในเวลาเดียวกัน


           “พี่รู้ว่าระหว่างเรา หลายอย่างมันข้ามขั้นตอนอะไรไปมาก...พี่ขอโทษที่เคยทำให้แกอาย ทำให้แกเจ็บ ทำให้แกเสียใจ พี่ขอโทษจริงๆ” 


            “ผม....ไม่โกรธพี่เรื่องนั้นแล้วล่ะ” เด็กหนุ่มเอ่ยเบาๆ ปลายนิ้วที่เคนจับเอาไว้ยังสั่นไหวหากแต่มั่นคงกว่าครั้งไหนๆ


             “ถ้าเป็นแบบนั้น พี่ขอถามคำถามเดียวตอนนี้จะได้ไหม” คนเจ็บวางมือที่ยังมีสายน้ำเกลือติดอยู่ลงบนมือของอีกฝ่าย ท่าทางนิ่งสงบในแบบที่ไม่ค่อยได้เห็น


             “........................”  จูนไม่ได้ตอบเพียงแค่พยักหน้าลงเบาๆ ใบหน้ายังคงก้มลงต่ำ จนเคนต้องประคองใบหน้านั้นขึ้นมาให้สบตากับเขาอีกครั้ง

 
            “เราจะรักกันดีๆได้หรือยัง”  เสียงที่แหบพร่าของเคนดังขึ้นเบาๆ ที่มุมปากมีรอยยิ้มขี้เล่นแบบที่ไม่ได้เห็นมานาน


           “............................”


            เป็นอีกครั้งที่ไม่มีคำใดเล็ดลอดออกจากริมฝีปากของเจ้าของผมสีทอง หากแต่พยักหน้าลงแรงๆ ในขณะมือเรียวก็ยกมือขึ้นทาบทับมือแกร่งที่อยู่ข้างแก้ม สัมผัสอบอุ่นที่ทำให้ใจสั่นไหว เมื่อหลับตาลงเขาทั้งคู่รู้สึกได้ถึงจังหวะแผ่วๆจากฝ่ามือของกันและกัน


            “ผมรักพี่นะ...” เสียงนุ่มดังเพียงกระซิบ


            เมื่อลืมตาขึ้นเคนเห็นใบหน้ามีคราบน้ำตา ใบหน้าที่เบะเบ้คล้ายจะร้องไห้ จมูกโด่งที่แดงก่ำ ผิวแก้มแดงจัด ทั้งหมดของคนตรงหน้าทำให้หัวใจของเคนพองโต จนต้องกระแอมไอออกมาเบาๆ


            “อย่าทำหน้าแบบนั้นดิ่ จะเป็นเป็ดอยู่แล้ว แพ้นะเว้ย นี่ถ้าไม่ติดว่าปากเจ็บขนาดนี้พ่อจะจูบให้ขาดอากาศตายเลย”


            “ปากหมาอีกละ” จูนยิ้มออกมาน้อยๆ มืออีกข้างตีลงไปบนไหล่ของอีกฝ่ายเสียงดัง


            “เบาหน่อยสิ นี่คนเจ็บนะ” คนเจ็บโวยออกมาเบาๆ  “ชิ ทนอดไปก่อนก็ได้วะ ไว้ออกจากโรงพยาบาลแล้วจะเอาคืนทีเดียวทั้งตัวเลย” ไม่พูดเปล่ายังทำท่าขู่ยื่นหน้ามาเสียใกล้ 


            “ไอ้หมีควายหื่นเอ้ย....” ท่าทางแบบนั้นทำให้จูนต้องด่าไปยิ้มไป ดวงตารีเรียวที่คราวนี้ไม่มีทั้งอายไลน์เนอร์ และคอนแทคเลนส์สีสวยสบตาของรุ่นพี่นิ่ง ในดวงตาคมของเคนเองก็ส่งความรู้สึกแบบเดียวกันกลับมา


             มันเป็นความรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาดหลังจากที่ความรู้สึกหนักอึ้งที่ต้องทนอึดอัดกันมานานเป็นเดือนๆนั้นได้จบลง ทั้งสองคนหัวเราะเบาๆออกมาพร้อมกัน  บรรยากาศรอบๆตัวกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง ต่างกันตรงที่ในคราวนี้ปลายนิ้วเรียวนั้นยังเกี่ยวกุมมือแกร่งของเคนเอาไว้ไม่ได้ละหนีไปไหน


              มือขาวของคนที่มีเชื้อจีนอย่างจูนยกขึ้นแตะใบหน้าคมเบาๆ นึกถึงคำขู่ของอีกฝ่ายเมื่อครู่ก็ยิ้มน้อยๆ


              “ถ้าเจ็บจนทำไม่ไหวก็บอก ไม่ต้องขู่......” จูนขยับเข้าไปใกล้ก่อนริมฝีปากจะจรดเบาๆลงบนผ้าพันแผลบนหน้าผากของอีกฝ่ายแล้วถอยออกมา 


              “จะได้ทำให้......”

 

            ในตอนนี้เองกลับเป็นเคนที่ต้องหน้าแดงและคำพูดทุกคำหายลงไปในลำคอ ไม่ได้คาดหวังว่าจูนจะตอบกลับด้วยการกระทำเลยแม้แต่น้อย แต่ก็นี่ล่ะ คนที่เขารัก ชายหนุ่มยกมือขึ้นขยี้ผมของเด็กหนุ่มเบาๆ แล้วโน้มคอของจูนลงมากอดไว้ในอ้อมแขน


            “ทำแบบนี้ไม่กลัวคนป่วยตบะแตกกันเลยใช่ไหม เก็บตัวนี่มันก็ต้องอดกันมาหลายอาทิตย์นะ” เคนกระซิบเสียงพร่าที่ข้างหูของเด็กหนุ่ม


            “พี่ไม่ทำอะไรผมหรอก....ผมรู้” จูนตอบก่อนจะค่อยละตัวออกมา “เรื่องนั้นน่ะ อดต่อไปได้เลย แต่ตอนนี้ ต้องกินข้าวก่อน”


           “ไรว้า....อุตส่าห์เคลิ้ม” ไม่วายที่เคนจะแหย่ แต่ก็สัญญากับตัวเองไว้แล้วเช่นกันว่า จะไม่ทำอะไรที่จูนไม่อยากทำอีก ถ้าอีกฝ่ายจะให้เขารอ นานแค่ไหนเขาก็จะรอ ...ไม่อยากจะเล่น ไม่อยากจะฉาบฉวยกับเรื่องราวที่กำลังจะดำเนินไปอีกแล้ว


            จูนเดินไปหยิบข้าวกล่องกับน้ำที่ศักดิ์เอามาวางไว้ให้ แต่ก่อนจะเดินกลับมาที่เตียงก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างที่ประตู จึงเดินไปดูที่ประตูด้วยกังวลเล็กๆว่าอาจจะเป็นคนรู้จักของเคนมาเยี่ยมกันอีกก็เป็นได้



            ....นี่ถ้ามาเห็นอะไรเมื่อกี้ไปคงเป็นลมตาย....



             “เออนี่จูน....” เสียงเคนดังมาจากอีกด้านของห้อง


              “อะไรครับ....” จูนตอบไม่ได้หันกลับไปมอง เด็กหนุ่มมัวแต่เปิดประตูออกไปดูที่ด้านนอกแต่ก็ไม่พบใคร


              “สรุปไอ้โชติมันเป็นคนเอาตั๋วให้แกใช่ป่ะ”



 

............................................................... to be continued in next chapter



ออฟไลน์ asarigb

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
บอกรักกันแล้วค่าาาาาาาาาาาา :ling1:  :ling1:
รอคอยมาเนิ่นนาน55555555 น้องจูนน่ารักน่ากดจังเลยอ่ะ แต่อีพี่เคนนี่ก็พระเอกสุดๆ ยอมน้องได้ตลอด
ปัญหาตอนนี้คงเหลือแต่ 'นิด' แล้วละ!
พี่เคนก็ช่วยทำอะไรให้ชัดเจนด้วยนะคะ น้องจูนของเรารักพี่เคนไปแล้วววววว :hao7:  :hao7:  :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Rywzaki

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
กรี๊ดดดดด ในที่สุดดดดดดดดดด ก็เข้าใจกันซักทีนะ จุดพลุค่า  :katai2-1:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
@@talk@@
สวัสดีปีใหม่ไทย 2559 ค่ะ
กว่าจะได้เขียนทีก็ต้องหาช่วงหยุด
งานยุ่งจริงๆค่ะ ไม่รู้นักเขียนท่านอื่นจะเป็นแบบเราไหม
ขอให้มีความสุขกันมากๆนะคะ

...........................


 
Chapter 44 ตั๋ว




    “ห้ามด่า แม่มึงโทรตามกูมา กูเลยต้องมา มึงเข้าใจนะ ”


     โชติเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย เมื่อเปิดประตูห้องนอนของยุทธ์เข้ามาพบกับห้องที่มืดสลัวเพราะเจ้าตัวไม่ยอมเปิดม่านให้แสงส่องเข้ามา ข้าวของที่กระจัดกระจาย โมเดลที่เคยได้คำชมจากอาจารย์โดนอะไรบางอย่างซัดจนตกลงไปกองที่อีกด้านของโต๊ะพังหักไม่เป็นชิ้นดี โคมไฟตกลงมาแตก กระจกบนบานประตูตู้ก็ร้าวเป็นรอยกลมที่กระจายรัศมีออกไปเป็นวงปรากฏเป็นรอยของอะไรบางอย่างที่กระแทกลงบนพื้นผิวนั่นอย่างแรง ความรุนแรงของพายุที่พัดผ่านไปนั้นก็เห็นได้ชัดที่พื้น รอยเลือดหยดเป็นทาง เมื่อมองตามก็เห็นเส้นผมสีอ่อนของใครบางคนที่นั่งคุดคู้อยู่ที่ข้างเตียง

 
    โชติกรอกตาเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปนั่งลงที่ข้างๆของอีกฝ่ายโดยไม่ลืมที่จะปัดเศษแก้วหรืออะไรก็ตามตรงนั้นออกไป ปลายจมูกได้กลิ่นเหล้าลอยมาแตะจมูก



    “อยู่ๆก็อาละวาดซะลั่นบ้าน เล่นซะเละขนาดนี้ใครจะเก็บวะ นี่แม่มึงเป็นห่วงมึงมากนะเว้ย” โชติเอ่ยดวงตามองไปรอบๆ ไม่ต้องสงสัยคงเป็นตัวเขาที่ต้องช่วยเก็บเป็นแน่


    “อืม...กูรู้” เสียงรับเบาๆจากคนที่นั่งอยู่ข้างๆ “แต่กูแค่....เจ็บ ก็เท่านั้น” ยุทธ์เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือในลำคอ ยุทธ์หันไปเห็นอีกฝ่ายขบฟันกรามแน่น มือที่มีรอยเลือดนั้นก็กำแน่นเช่นกัน “....มึงจงใจสินะ เรื่องทั้งหมด”


    ตอนที่โชติเอาตั๋วเข้าดูการชกของเคนมาให้นั้นเขาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไร แต่ตอนนี้มันก็เด่นชัดขึ้นมากแล้วว่าความต้องการของโชติคืออะไร เพียงแค่คิดก็รู้สึกปวดเข้าไปข้างในกะโหลกเจ็บเข้าไปในใจจนไม่รู้จะอธิบายอย่างไร สิ่งที่จะระบายความรู้สึกออกไปทั้งหมดได้ก็มีเพียงการกวาดสิ่งของรอบตัวออกไปให้หมดเท่านั้น เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน


    “ใช่...กูจงใจเอาตั๋วมาให้มึง กูรู้อยู่แล้วว่าอย่างจูนเวลามีเรื่องกลุ้มใจน่ะมันไม่มีทางมาหากูหรอก มันต้องมาหามึง มึงก่อนเท่านั้น กูก็แค่ช่วยให้น้องไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมาก็เท่านั้นเอง”


    “หึ....” ยุทธ์หัวเราะออกมาเบาๆ ใบหน้าสวยส่ายน้อยๆ “มึงแม่ง....เหี้ยจริงๆว่ะ” ชายหนุ่มพูดก่อนจะหันมากระชากคอเสื้อของโชติอย่างแรง “แล้วมึงยังมีหน้ามาหากูอีกนะ มึงต้องการอะไรกันแน่ ไอ้โชติ!!” แรงที่มือเรียวนั่นส่งมานั้นไม่ได้น้อย


    “อึ่ก...”  โชตินิ่วหน้าเพราะเสื้อมันรัดแน่นจนเขาจะหายใจไม่ออก  “เออ...กูมันเหี้ย “โชติแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ มืออีกข้างยกขึ้นพยายามดึงมือของอีกฝ่ายออกก่อนที่ยุทธ์จะทำเขาขาดอากาศหายใจ “แต่จริงๆแล้วใครมันเหี้ยกว่ากันกูก็อยากจะรู้ มึงน่ะ ก่อนจะว่าใครมึงถามตัวเองก่อนเถอะว่าสุดท้ายแล้ว...ไอ้จูนมันได้ตั๋วไปยังไง!!” 



    คำถามที่ดังออกมาจากปากของโชตินั้นทำให้มือที่ดึงคอเสื้ออยู่นั้นลดแรงลงแทบจะในทันที พลันในหัวนึกย้อนไปถึงสิ่งที่ตัวเองทำ...



   “ขอตั๋วให้ผมเถอะพี่ยุทธ์...”



    เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าในตอนนั้นเอ่ยคำพูดนี้ออกมา เขาเดาอารมณ์ของอีกฝ่ายไม่ออก ก่อนที่ดวงตารีคู่นั้นสบตากลับมาราวกับจะวอนขอ


    “ผมต้องไป” 



    คำพูดนั้นกับใบหน้าของเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าทำให้ยิ่งแน่ใจมากขึ้นไปอีกว่าทำไมถึงไม่อยากปล่อยอีกฝ่ายไปไหน มือเรียวจากเดิมที่ล้อมกรอบอีกฝ่ายไว้กับผนังจำต้องลดลงมา 



    ....ถ้าแกไป ไอ้เคนมันต้องทำแกร้องไห้อีก ...
    ....ถ้าแกไป...แกก็จะต้องเจ็บปวดอีก...
    ....ถ้าเป็นแบบนั้น...



    “จูบสิ...จูบพี่แบบที่แกทำกับไอ้เคน แล้วพี่ถึงจะให้แกไป”  ถึงปากจะยืนยันแบบนั้นแต่ในใจอยากจะให้อีกฝ่ายปฏิเสธ แต่สายตาของคนตรงหน้าที่มองมากลับทำให้ยิ่งรู้สึกเจ็บปวด ดวงตารีเรียวนั่นมองตรงมานั้นกลับยิ่งดูเศร้าสร้อย จูนดูผิดหวัง หากจะให้สรรหาคำมาบรรยายได้ตรงตัว คำว่าผิดหวังคงสื่อได้ชัดที่สุดแล้ว


    “มัน...เป็นบท พี่ยุทธ์ก็รู้...” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ในน้ำเสียงนั้นสั่นพร่า
       

        “ใช่ ... พี่รู้ “ ยุทธ์ตอบ นึกขัดใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงยังไม่ปฏิเสธ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกก่อน กระชากแขนของเด็กหนุ่มสุดแรงให้อีกฝ่ายตามมาที่เตียง ก่อนผลักเด็กหนุ่มลงไป ถึงจะตัวเล็กกว่าแต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากนักเมื่อเขานั่งคร่อมลงไปบนตัวของจูนทิ้งน้ำหนักลงไปบนตัวของอีกฝ่าย สองมือกดแขนของจูนเอาไว้กับเตียง
    

         “........................” ไม่มีเสียงร้องหรือตอบโต้ มีเพียงสายตาที่จ้องมองมาของจูน ที่ทำให้ใจของยุทธ์ยิ่งเจ็บ เจ็บที่อีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะปฏิเสธแต่อย่างใด
    

       “ทำไม นี่แกอยากไปหาไอ้เคนมันขนาดนั้นเลยรึไง” ยุทธ์ได้ยินเสียงของตัวเองแหบพร่าและรู้ได้ว่าทุกอย่างมันสั่นไปหมด ทั้งตัวทั้งหัวใจความรู้สึกนั้นทำให้ชายหนุ่มก้มหน้าลงไปจนชิด จนได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากร่างกายของอีกฝ่ายกลิ่นสบู่แบบเดียวกับที่ตัวเองใช้เมื่อเช้า
     
 
        “ตอบสิ!”  เมื่ออีกฝ่ายยังนิ่ง ด้วยไม่เข้าใจจึงยิ่งคาดคั้น ยิ่งอยากได้ยินจากริมฝีปากสวยนั่นมากขึ้น สองมือยิ่งบีบรัดข้อมือของเด็กหนุ่มแน่น คนที่นอนอยู่เบื้องล่างดูตกใจกับการใช้เสียงของเขา มันแน่นอนอยู่แล้วในเมื่อเขาไม่เคยใช้โทนเสียงนี้กับอีกฝ่ายมาก่อน
    

        “..........”


          แต่สิ่งที่จูนตอบกลับไปคือสัมผัสแผ่วเบาที่ริมฝีปากของยุทธ์ เด็กหนุ่มยกศรีษะขึ้นเพื่อจูบอย่างอ่อนโยน ริมฝีปากนุ่มเม้มลงเบาๆ สัมผัสที่ทำให้หัวใจหวามไหว อีกครั้งและอีกครั้งโดยไม่ได้ให้เขาตั้งตัว ยุทธ์ได้แต่หลับตา ปลายจมูกได้กลิ่นหอมอ่อนๆนั่นชัดเจน เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดด้วยยากจะต้านทาน ก่อนจะตอบรับสัมผัสนั้นราวกับกระหายอยากมาแสนนาน สองมือเปลี่ยนมาประคองใบหน้าของอีกฝ่ายขึ้นมาให้เขาเป็นฝ่ายได้มอบสัมผัสนั้นให้กับจูนบ้าง ริมฝีปากของพวกเขาแนบชิด ความฉ่ำชื้นที่หอมหวานตรงปลายลิ้นนั้นทำให้เป็นตัวเขาเองที่ช่วงชิงมา

          ร่างเล็กขยับตัวขึ้นทาบทับเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องล่าง รู้สึกได้ถึงความร้อนจากลมหายใจของตัวเองและอีกฝ่าย สัมผัสได้ถึงแผ่นอกที่ขยับขึ้นลงพร้อมกับแรงอารมณ์ ปลายนิ้วละจากคางมนของจูนลงมาที่สองไหล่ ไล้เบาๆก่อนที่ริมฝีปากจะประพรมจูบเรื่อยจากข้างแก้มลงมาที่ซอกคอขาว


    “...อ่ะ...พี่...ยุทธ์..”


      พลันหูที่อื้ออึงจากแรงอารมณ์ก็ได้ยินชื่อของตัว รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายขยับคล้ายจะขัดขืนแต่มันไม่ทันเสียแล้วเมื่อเขาฝังปลายจมูกลงกับซอกคอนั้นพลางใช้ฟันขบเม้ม ฝังร่องรอยที่เมื่อคืนห้ามใจแทบตายที่จะไม่ทิ้งเอาไว้ลงบนผิวกายของอีกฝ่าย หวังไว้ในใจว่าเด็กหนุ่มจะดิ้น ดัน หรือ เตะตัวเขาออกไปให้พ้นๆ แต่ก็ไม่ ยุทธ์ค่อยยันตัวเองขึ้นเพื่อมองหน้าของอีกฝ่ายอีกครั้ง  จูนนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น สองแขนกางออกเหมือนกับว่าเขายังตรึงมันเอาไว้ ผิวแก้มขาวบัดนี้เป็นสีแดงก่ำลมหายใจเหมือนติดขัด มีเพียงดวงตารีเรียวที่มองกลับมาอย่างยากจะคาดเดาความหมาย


    ในตอนนั้นเองที่ยุทธ์รู้ได้ในทันทีว่ามันไม่มีอะไรที่จะทำให้อีกฝ่ายอยู่กับเขาได้อีกต่อไป ความรู้สึกขมขื่นมันแล่นขึ้นมาจุกที่คอ แต่ก็รวบรวมแรงทั้งหมดให้ลุกไปหยิบตั๋วที่ตกอยู่บนพื้นนั่นขึ้นมาส่งให้กับอีกฝ่าย


    จูนยันตัวลุกขึ้นพลางใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากฉ่ำชื้นของตัวเอง  ใบหน้าของเด็กหนุ่มยังแดงก่ำเมื่อยื่นมือไปรับตั๋วใบเล็กๆนั่นมาจากมือของเจ้าของบ้าน


    “นี่พี่ทำอะไรไม่ได้แล้วเหรอ” ยุทธ์ยังไม่ปล่อยมือจากตั๋วนั่น


    “ มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ ” เด็กหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา


    “ทำไมแกถึงไม่ปฏิเสธ นี่ต้องทำขนาดนี้กันเลยรึไง” ยุทธ์ถามรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยากจะให้เขาจูบหรือทำอะไรแบบนั้น เขารู้สึกได้ถึงแรงขัดขืนเล็กๆที่อีกฝ่ายพยายามจะเก็บซ่อนเอาไว้


    “ผมชอบที่จะอยู่กับพี่นะ ผมสบายใจทุกครั้งที่มีพี่อยู่ข้างๆ  ”จูนเอ่ยมืออีกข้างยกขึ้นแตะที่ข้างแก้มของเขา ฝ่ามือนั้นร้อนผะผ่าว “พี่ทำให้ผมอุ่นใจเสมอเวลาที่ผมต้องการใคร และผมรู้ว่าผมโชคดีมากขนาดไหนที่มีพี่อยู่ด้วยตลอดทุกครั้งที่ทุกข์ใจ ” ดวงตารีเรียวของเด็กหนุ่มที่มองมานั้นคล้ายกำลังจะร้องไห้ แต่ด้วยความรู้สึกใด ยุทธ์ก็ไม่แน่ใจนัก


   “แต่ตอนนี้ ผมคงอยู่กับพี่ไม่ได้...ผมขอโทษ”



    สิ้นเสียงริมฝีปากสวยนั้นก็ขยับเข้ามาใกล้ ประทับเบาๆลงข้างแก้มของเขาสัมผัสแผ่วผ่านก่อนที่เด็กหนุ่มจะดึงเอากระดาษใบเล็กนั่นออกไปจากมือที่ไร้แล้วซึ่งเรี่ยวแรงของเขา ร่างสูงโปร่งนั่นค่อยเดินออกจากห้องของเขาไป ฝีเท้าแผ่วเบาแทบไม่ได้ยินเสียงราวกับว่าอีกฝ่ายได้ติดปีกแล้วโผบินจากไป...ไปยังที่ที่เขาคงไม่อาจคว้าอีกฝ่ายกลับมาได้อีกต่อไป



....................



             ปลายนิ้วที่ยึดคอเสื้อของโชติเอาไว้ค่อยคลายออกอย่างอ่อนแรง สองแขนเปลี่ยนมากอดร่างของคนตรงหน้าเอาไว้อย่างหลวมๆ ใบหน้าได้รูปของพระเอกประจำชมรมก้มลงพิงกับไหล่ของอีกฝ่าย เขาไม่อยากจะพูดอะไรต่อเพราะเพียงแค่นึกถึงมันก็เจ็บมากเหลือเกิน



    “ฮ่ะๆ....” เสียงของโชติหัวเราะขึ้นเบาๆ    “กูคิดไว้อยู่แล้วว่ามึงน่ะไม่มีทางรับบทเป็นรุ่นพี่ที่แสนดีไปได้ตลอดหรอก มึงคิดดูสิว่าไอ้จูนมันจะรู้สึกยังไงที่รุ่นพี่แสนดีบอกให้มันทำอะไรเหี้ยๆแลกกับตั๋วบ้าๆนั่น มันคงกลั้นน้ำตาแทบตายเลยล่ะ...ใช่ไหม” โชติยิ้ม


    “............” ยุทธ์ไม่ได้ตอบโต้เพียงแค่ขบฟันกรามแน่น ทำไมเขาถึงไม่ฉุกใจคิดว่าสุดท้ายมันก็คือตัวเขาเองที่ทำให้จูนต้องเสียใจ


              “แต่มึงไม่ต้องห่วงนะ “ โชติดึงหน้าของยุทธ์กลับมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะเบือนหน้าหนี
             “ ความจริงไอ้เคนมันให้ตั๋วไว้สองใบ อีกใบกูเลยเอาไปให้นิดเรียบร้อย ไอ้จูนมันไปที่สนามก็ต้องไปนั่งข้างๆนิด ฮ่ะๆ คงอึดอัดพิลึกนะที่ต้องไปเจอแฟนของคนที่ตัวเองชอบในสถานการณ์แบบนั้นน่ะ” พูดไปพลางก็หัวเราะออกมาอย่างนึกสนุก
    

          “มึงมันบ้า พวกกูไม่ใช่ตัวละครของมึงนะที่จะเขียนบทให้มันเป็นยังไงก็ได้น่ะ! “ ยุทธ์นึกอยากจะต่อยอีกฝ่ายเหลือเกิน แต่จากสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาทั้งหมดมันไม่ทำให้เขาเหลือเรี่ยวแรงใดๆ มันคงดีกว่านี้มากหากไม่ต้องมาได้ยินว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่มันเกิดขึ้นนั้นคือการจัดฉาก...โดยคนที่รู้จักตัวเขาดีมากที่สุดคนหนึ่ง
 

    “ทำไมมึงต้องทำแบบนี้กับกูด้วย โชติ” เสียงที่ยุทธ์ถามออกมานั้นแหบพร่า


   “กูก็แค่...” โชติเอ่ยเบาๆ ขยับถอยออกมาพร้อมมือทั้งสองข้างที่ประคองใบหน้าของอีกฝ่ายเอาไว้ ราวกับไม่อยากให้ยุทธ์พลาดไปสักวินาทีกับสิ่งที่เขากำลังจะบอกออกไป


    “อยากให้มึงเข้าใจว่า มันเจ็บขนาดไหนที่ไม่ว่ามึงจะพยายามรั้งเอาไว้ยังไง กับคนที่ไม่ได้รักเรา ยังไงเขาก็หาทางเดินไปจากเราได้อยู่ดี”


               “.....................” ยุทธ์ถึงกับพูดไม่ออก เขาอยากจะเปล่งเสียงอะไรออกไปบ้างแต่ก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากลำคอ


    “แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ...” ดวงตาเล็กของโชติจ้องมองกลับมาที่ดวงตากลมโตของยุทธ์ “ไอ้เคนมันไม่กล้าบอกเลิกแฟนมันแน่ๆ ไอ้สองคนนั้นไม่ได้สมหวังกันง่ายๆหรอก ยังมีเวลาให้จูนกลับมาหามึงอยู่เรื่อยๆแน่ล่ะ”
    


    ....มันก็คงจะดี....
    ...แต่ถ้าเป็นแบบนั้น...
    ...จูนจะต้องเจ็บอีกกี่ครั้ง....



    “ทำไมวะโชติ...แค่กูเจ็บมันก็น่าจะพอแล้วนี่ มึงจะให้น้องมันเจ็บเพื่อให้มันกลับมาหากูอีก...มึงจะทำแบบนั้นอีกทำไม” เพียงแค่คิดก็รู้สึกกลัวจนใจในอกสั่น นี่เขายังจะต้องทำให้จูนเจ็บอีกกี่ครั้ง
 


     “แล้วทำไมจะไม่ล่ะ”โชติถาม น่าแปลกที่ไม่ได้ดูอยากจะยั่วให้เขาโมโห แต่ในน้ำเสียงนั้นกลับอ่อนโยน “ในเมื่อมันเป็นทางเดียว ที่กูจะทำให้มึงมีความสุขได้โดยที่กูได้ทำให้มึงเข้าใจความรู้สึกของกูก่อน” ชายหนุ่มผมฟูพูดประโยคนั้นออกมาพร้อมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ในดวงตานั้นเหมือนจะมีน้ำตา ริมฝีปากของโชติที่เขาเห็นนั้นเบะเบ้พร้อมเสียงสั่นเครือที่แม้จะฟังไม่ได้ชัดนักเพราะเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายแต่ก็ได้ยินชัดเจน



    “เพราะกูรักมึง”



    หัวใจของยุทธ์บีบตัวจนเจ็บ ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เขาอาจจะทำให้จูนร้องไห้ ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เขาผิดหวัง แต่เป็นเพราะความเศร้า ความเจ็บปวด และเสียใจจากน้ำเสียงและถ้อยคำของคนตรงหน้าที่ส่งมาถึงเขาได้อย่างง่ายดายเพียงเพราะถ้อยคำแค่ไม่กี่คำ



    “โชติ...กู... “ มือทั้งสองข้างยื่นออกไปหมายจะจับมือของอีกฝ่าย แต่ยังนึกคำพูดต่อจากนี้ไม่ออก เขาไม่ได้จะบอกรัก มันคงเห็นแก่ตัวมากขึ้นไปอีกที่จะบอกว่า “ไม่เป็นไร” “กูก็รักมึง” ออกไปเพียงเพื่อจะปลอบให้อีกฝ่ายเจ็บน้อยลงได้ เพราะนี่คือทางเลือกที่เจ็บน้อยที่สุดสำหรับพวกเขาทั้งคู่แล้ว


    “กูไปล่ะ....” โชติยกมือขึ้นราวกับไม่อยากให้อีกฝ่ายจับ ร่างเล็กลุกขึ้นยืนสายตามองไปรอบๆห้องที่เละเทะไม่ต่างจากเพิ่งโดนพายุทอร์นาโดพัดกระหน่ำใส่


    “ทำแผลซะ แล้วก็บอกแม่มึงด้วยละกันว่า กูช่วยมึงเก็บไม่ได้แล้ว... อ้อ หนังเรียบร้อยแล้วกูส่งไปที่กองประกวดแล้วนะ เดี๋ยวกูจะนัดพวกมึงอีกที เพราะกูจะเอามาให้พวกในมหาลัยได้ดูด้วย เปิดโรงหนังเล็กๆกันในห้องชมรมเก็บเงินนิดหน่อย....อีกสัก สี่ห้าวันจะโทรมาหาอีกทีละกัน”โชติพูดถึงแผนการของตัวเองก่อนจะเดินออกจากห้องของยุทธ์ไป



    ....มึงไม่ต้องห่วงหรอกนะ....
    ...ไม่ว่ายังไงไอ้จูนก็จะกลับมาหามึงแน่ๆ...



.............................to be continued



ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
Chapter 45 เริ่มรัก



วันอาทิตย์



“ความจริงคุณทวีไม่จำเป็นจะต้องมาถึงนี่เลยนะครับ การแข่งก็ผ่านไปแล้วแถมไอ้ลูกชายของผมยังแพ้คะแนนอีกทำคุณทวีเสียชื่อเปล่าๆ “ เสียงของพ่อสุชาติดังขึ้นเมื่อประตูรถปิดลง เขามาที่สนามบินเพื่อรับสปอนเซอร์คนสำคัญที่ยื่นโอกาสให้กับค่ายของเขารวมถึงลูกชายของเขาด้วย


“ไม่เป็นไรเลยครับ นั่งเครื่องแค่เดี๋ยเดียวก็ถึงแล้ว ไม่ได้ลำบากอะไรเลย อีกอย่างลูกชายของคุณสุชาติก็ขึ้นไปต่อยให้แถมยังต่อยได้ดีมากเสียด้วย จะไม่ให้มาเยี่ยมให้กำลังใจหลานแล้วจะให้ผมทำอะไรได้ล่ะครับ” เจ้าของชื่อยิ้ม เจ้าของบริษัทผลิตเฟอร์นิเจอร์ส่งออกรายใหญ่คนนี้รีบมาทันทีที่จัดแจงตารางเวลาเสร็จ ทำให้สุชาติเห็นได้ถึงความจริงใจและความชื่นชอบในกีฬามวยไทยและความใส่ใจของอีกฝ่าย


“เคนเขาเป็นนักมวยที่เก่งนะครับ น่าส่งเสริม ยิ่งรูปร่างแบบนี้น่าจะให้ไปต่อยเมืองนอก”


“อ่ะ ครับ ตัวมันใหญ่แต่หลังๆมานี่ มัวแต่ทำกิจกรรมที่มหาลัยจนไม่ค่อยฟิตเท่าไร มันน่าเล่นงานนัก”


“เท่าที่ทราบไฟท์ครั้งนี้ก็เหมือนจะกะทันหันอยู่เหมือนกัน ขอแค่ถ้าเขามีเวลาซ้อมคงทำได้ดีกว่านี้ แต่เท่าที่เห็นจากในคลิปเมื่อวานผมว่าเขาใจสู้มากเลยนะครับ” สปอนเซอร์รายใหญ่เอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะน้อยๆ ในขณะที่มองตรงไปเบื้องหน้าภาพบ้านเมืองดูเจริญหูเจริญตากว่าครั้งสุดท้ายที่เขามาเยือนที่จังหวัดนี้อยู่มากมีห้างใหญ่ขึ้นมากมาย


“แต่ยังไงก็คงต้องให้คุณทวีช่วยเตือนเจ้าเคนมันหน่อยนะครับว่าอย่าเล่นให้มันมากนัก เพราะผมพูดอะไรไปมันก็คงจะไม่ฟังสัก
เท่าไร” แต่ถึงจะบ่นไปแบบนั้นสุชาติก็ภูมิใจในตัวของเคนไม่น้อยที่สู้ไม่มียอมแพ้แบบนั้น


“เขาเรียนที่มหาวิทยาลัยที่นี่ด้วยใช่ไหมครับ? “ อยู่ๆสปอนเซอร์ใหญ่ก็เอ่ยถามขึ้นมา


“อ้อ...ใช่ครับ มหาวิทยาลัยเขาก็อยู่ไม่ไกลจากถนนนี่สักเท่าไร เรียนพละนั่นล่ะครับ”


“เหรอครับ โลกกลมจังนะครับ เพราะลูกชายผมก็เรียนที่นี่เหมือนกัน นี่ก็ไม่ได้เจอกันมาตั้งนานแล้วด้วย ถ้าอยู่ๆผมโผล่ไปหาที่หอเขาคงจะโวยวายน่าดู” ทวีหัวเราะเบาๆด้วยท่าทางที่ดูอ่อนโยนเมื่อพูดถึงลูกชาย


   
หุ้นส่วนทั้งสองคนมาถึงที่โรงพยาบาลเพราะทวียืนกรานอยากจะมาเยี่ยมนักกีฬาที่เขาให้ความสนับสนุนอยู่ให้ได้ แม้สุชาติจะอยากห้ามเพราะเขาไม่แน่ใจว่า “ธุระ” ทั้งหลายของลูกชายนั้นจะเสร็จแล้วหรือยังยิ่งบรรยากาศบางอย่างที่เขาเห็นจากเด็กหนุ่มคนที่มาเฝ้านั้นก็กวนจิตใจเขาอยู่ไม่น้อย แต่ในเวลานี้สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือภาวนาให้สปอนเซอร์อย่างทวีไม่รู้สึกได้อย่างเหมือนที่เขารู้สึก เพราะมันคงไม่ดีนักหากนักกีฬาที่บริษัทใหญ่แบบนี้จะมาสนับสนุนนั้นมีข่าวอะไรแพร่งพรายออกไป



[/i].....อย่าให้มันน่าปวดหัวไปมากกว่านี้เลย....... [/i]

สุชาติภาวนาในใจก่อนเปิดบานประตูห้องพักผู้ป่วยแล้วเดินเข้าไปด้านใน โดยมีศักดิ์ยืนรออยู่ที่ด้านนอก


“กลับมาแล้ว....มีแขกมาเยี่ยมด้วย....”  เขาจงใจส่งเสียงดังหวังให้คนป่วยและเพื่อนรู้ตัว


“อ้าว...พ่อ มาเร็วจัง” คนป่วยที่ยังไม่ได้สติจนกระทั่งเมื่อเช้าตรู่ลุกขึ้นมานั่งดูทีวีได้หน้าตาเฉยในช่วงบ่ายของวัน สุชาติหันมองไปรอบห้องแล้วไม่มีวี่แววของเด็กหนุ่มผมทองคนนั้น


“....เพื่อนแกล่ะ”


“เห็นเขาเพลียๆ เลยบอกให้กลับไปแล้วน่ะ” เคนว่าพลางยิ้ม รอยยิ้มในแบบที่ไม่ค่อยมีให้เห็นมาสักพักใหญ่ยิ่งทำให้ผู้เป็นพ่อรู้สึกประหลาดใจว่าเด็กคนนั้นเป็นใครทำไมถึงได้ทำให้ลูกชายของเขาอารมณ์เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างสุดขั้วขนาดนี้ แต่ถึงจะมีคำถามก็ลืมไม่ได้ว่ามีแขกมาด้วยจึงได้รีบหันไปแนะนำ


“เอ้อ เคน...ไหว้คุณอาเขาซะ คุณทวีที่เมตตามาเป็นสปอนเซอร์ให้พวกเราในคราวนี้”  ว่าพลางหลบทางให้กับคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง


“สวัสดี....ครับ....” เคนยกมือขึ้นไหว้อีกฝ่าย เขาชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเงยหน้าขึ้นมาสบตากับแขกของพ่อ


“สวัสดีเคน เป็นไงมั่ง อาดูที่เราต่อยแล้วนะ เก่งมากจริงๆ” ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาใกล้ ทวีเป็นชายวัยกลางคนเชื้อสายจีนดวงตารีเรียว คิ้วคมเข้มจมูกโด่ง เส้นผมบางส่วนเป็นสีดอกเลาหากแต่ตกแต่งอย่างมีสไตล์ แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกคุ้นเคยอาจจะเป็นรอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมาให้อย่างเป็นมิตรนั้นก็เป็นได้


“อ่ะ....เอ่อ....ก็ยังมีเจ็บบ้างครับ แต่เดี๋ยวก็คงหายครับ ขอบคุณคุณอานะครับที่อุตส่าห์มาเยี่ยม” เคนยิ้มตอบ รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนไม่ถือตัวสักเท่าไรนักแม้จะได้ยินจากพ่อมาก่อนหน้านี้ว่าคุณทวีเป็นนักธุรกิจใหญ่ที่มีกิจการมูลค่ามหาศาล


“เออ...เห็นคุณสุชาติว่าเราเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยที่นี่ด้วย ลูกชายอาก็เรียนเหมือนกันนะ เขาชื่อ....”



....RRR !! RRR !!...
 


ไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นทั้งสามคนยืนมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเป็นทวีเองที่สะดุ้งขึ้น


“อ่ะ ขอโทษนะครับ...ขอผมออกไปรับโทรศัพท์สักครู่” สปอนเซอร์รายใหญ่เอ่ยก่อนจะยกมือป้องโทรศัพท์เดินออกไปด้านนอกทันที


“เคน.......”

“อะไรพ่อ” เคนยั งนึกติดใจใบหน้าของแขกของพ่ออยู่ไม่น้อยแต่ก็กันกลับไปหาพ่อของตัวเอง

“สรุป...แกกับไอ้เด็กนั่น มันยังไง” สุชาติหันมาถามลูกชาย สีหน้าเครียดอยู่ไม่น้อย

“..............” เคนนิ่ง ดวงตาคมสบตาผู้เป็นพ่อไม่ไหวติง ไม่มีท่าทีประหลาดใจ  ก่อนริมฝีปากนั่นจะเหยียดเป็นรอยยิ้มน้อยๆ


“เขาเป็นแฟนผมเอง”
 

“แฟน?  มึงจะมาอำอะไรกูเล่นอีก ไอ้เด็กนั่นมันเด็กผู้ชายนะ” สุชาติร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นคำที่ได้ยินจากปากของลูกของตัวเอง

“ก็ถ้าจะให้ใช้คำที่พ่อเข้าใจได้ละก็คงคำนี้ล่ะ ไม่มีคำอื่นแล้ว ก็คนนี้นี่ล่ะที่พ่อบอกให้ปล้ำ นี่ก็เลยเลิกกับนิดเพื่อที่จะมาหาคนนี้นี่ล่ะ” เคนตอบออกมาหน้าตาเฉย

“ปล้ำอะไรกูไม่เคย.....” คนเป็นพ่อตั้งใจจะเถียงว่าเขาไม่เคยออกไอเดียแผลงให้ลูกชายไปปล้ำผู้ชายแน่ แต่แล้วดวงตาก็ต้องเบิกกว้างเมื่อทันใดคำพูดที่เคยพูดกับอีกฝ่ายไว้เมื่อคืนวันสิ้นปีก็ดังขึ้นมาในหัว


 

             “ไม่ฟังก็ต้องทำให้รู้ ปล้ำแม่ง.....วิถีชายไทย ไม่เคยเห็นในละครรึไง ปล้ำซะ ถ้าเขารักเขาชอบเดี๋ยวก็ยอมเอง ผู้หญิงเขาต้องมีฟอร์มเว้ย เดี๋ยวโดนหาว่าง่าย”


 “ไอ้เคน....นี่มึงเอาเรื่องแบบนี้มาพูดจริงจังไม่ได้นะ” แม้ไม่อยากจะเชื่อแต่สุชาติก็ทำได้แค่เอ็ดลูกชายเบาๆเมื่อคิดว่าสปอนเซอร์รายใหญ่อยู่ที่ด้านนอกของห้อง

“เรื่องแบบนี้พ่อก็รู้ว่าผมไม่พูดเล่น ผมรักเขาจริงๆ ตอนแรกก็คิดอยู่นะว่าถ้าพ่อรู้จะเป็นยังไง แต่ไหนๆพ่อถามตรงๆผมก็ตอบตรงๆเหมือนกัน” เคนตอบมาตามตรง ตรงเสียจนสุชาติแทบจะอยากเบือนหน้าหนี

“........นี่มึงไม่ได้อำกูเล่นใช่ไหม” รู้สึกเหมือนเข่าอ่อนสุชาติทรุดตัวลงนั่งกับโซฟาที่อยู่เบื้องหลัง

“ไม่ ผมไม่ได้ล้อเล่น” ดวงตาคมของลูกชายที่สบตากลับมานั้นยิ่งย้ำให้รู้ว่าคำที่พูดออกมานั้นมันจริงเสียยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด

“แล้วมึงก็ไม่คิดจะปิดบังอะไรกูด้วยสินะ”

“เอายาไหมพ่อ....ดูสิก็ขนาดบอกตรงๆแล้วพ่อยังเป็นขนาดนี้ ถ้าผมปิดพ่อคงเข้าห้องไอซียูแน่ ” เคนถามด้วยความเป็นห่วงแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายโบกมือนั่นก็ทำให้เขาต้องเงียบเหมือนกัน

 
“ฟังกูนะไอ้เคน...กูมันก็ผู้ชายตัวคนเดียว กูรู้ว่าเลี้ยงมึงมาแบบทิ้งๆขว้างๆ จะมีลูกน้องมาช่วยเลี้ยงเด็กมันก็ทำได้แค่หยาบๆ มึงโตมาแบบนี้ก็ดีกว่าที่กูคิดไว้เยอะ แต่กูก็ยังอยากเห็นว่ามึงมีคนมาคอยดูแลเอาใจใส่มึงดีๆก็เท่านั้น....กูหมายถึงผู้หญิงน่ะนะ”

สุชาติเอ่ยออกมาอย่างอ่อนใจ ถึงจะคอยเฝ้าดูทุกก้าวของลูกชายอยู่ห่างๆมาโดยตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเป็นห่วงมากขนาดนี้ ดวงตาของผู้เป็นพ่อมองหน้าของลูกชายคนเดียวด้วยความเป็นห่วง นักมวยร่างโตแต่สุดท้ายสำหรับเขาแล้วเคนก็ยังเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆที่จับมือเขาเอาไว้แน่นในวันงานศพของภรรยาของเขาอยู่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน



 ชายหนุ่มตรงหน้าก้มลงมองที่มือที่อยู่บนหน้าตัก ราวกับกำลังนึกถึงอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมายาวเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างได้


“แต่พ่อ....คนที่จะคอยดูแล เอาใจใส่ ความอ่อนโยนพวกนั้นน่ะ...มันจำเป็นด้วยเหรอที่จะต้องเป็นผู้หญิง?” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงที่ดังพอที่เขาทั้งสองคนจะได้ยิน “ทั้งๆที่ผมคิดว่าผมเจอทั้งหมดนั้นในตัวของเขาแล้ว” เป็นอีกครั้งที่เคนยิ้มด้วยความภูมิใจในดวงตาคมนั้นเป็นประกาย “และผมก็อยากจะใส่ใจของผมทั้งหมดกับเขาเหมือนกัน แค่นี้มันก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่เหรอ พ่อ”


“...มะ...ไม่รู้ด้วยหรอกเว้ย อย่าพูดอะไรชวนเลี่ยนได้ไหมเนี่ย แล้ว...มึงจะยิ่มหาอะไรเนี่ย กู...ยังไม่ได้บอกนะเว้ยว่ากูยอมรับ” ถึงจะพูดออกมาแบบนั้นแต่คุณสุชาติเจ้าของค่ายอุดรพยัคฆ์ที่ใครต่อใครก็เกรงใจกลับตอบลูกชายได้ไม่เต็มปากแบบนั้นทำให้เคนยิ้มออกมาอย่างได้ใจ


"จูนเขาเป็นเด็กดีนะ”


“กูก็ไม่ได้เถียงนี่.....” ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อเสียงบานประตูดังขึ้นอีกครั้งทำให้สุชาติต้องเบาเสียงลงก่อนจะหันมาทำหน้าเครียดใส่ลูกชาย “กูกับมึงมีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะ ไอ้ตัวแสบ”


“ขอโทษนะครับ...พอดีว่าลูกชายโทรมา นี่แม่เขาคงโทรไปรายงานข่าวน่ะว่าผมมาที่นี่ เอ้อ เคนก็เรียนที่เดียวกับลูกอาด้วยนะ แต่คงจะเป็นรุ่นน้องล่ะมั้ง”


“อ่า...เหรอครับ” เคนรับคำพล่างยิ้มแห้งๆ


“ใช่ ลูกชายอาน่ะ เรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่ที่เดียวกับเราเลย  ชื่อจูนน่ะ”



.....................................
    


สองวันผ่านไป



   ‘พี่เคน...หายดีรึยังคะ อยากได้ทานอะไรรึเปล่านิดจะเอาไปให้’
    ‘จะออกจากโรงพยาบาลหรือยังคะ  ให้นิดไปอยู่เป็นเพื่อนไหม’
    ‘พี่เคน พุธนี้มีเรียนภาษาอังกฤษไม่ใช่เหรอคะ พี่เคนจะมาเรียนไหม หรือจะให้นิดไปเอาเลคเชอร์กับพี่ต้าร์ดี’



    เคนมองตัวอักษรบนหน้าจอโทรศัพท์นั้นอย่างอ่อนใจ แม้ไม่ได้โทรมาแต่ข้อความบนโทรศัพท์กลับมีมาถึงเขาทุกวันอาจจะบ่อยกว่าตอนที่เขายังเรียกเธอว่าแฟนด้วยซ้ำไป นิดกำลังคิดจะทำอะไรอยู่เขาเองก็ไม่อาจจะเข้าใจ เขารู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงแต่สำหรับตัวเองในตอนนี้แล้ว...เขาไม่ได้ต้องการให้อีกฝ่ายมาเป็นห่วงเป็นใยเขาอีกต่อไปแล้ว



   ...ขอโทษนะนิด ...แต่พี่ตอบกลับข้อความของนิดไม่ได้แล้ว ...


    ชายหนุ่มได้แต่คิดแบบนั้นถึงแม้จะสงสารแต่ก็คงทำได้เพียงแค่สงสาร เขาได้แต่เชื่อว่าเวลาจะทำให้นิดรู้สึกดีขึ้นเอง ร่างสูงเอนกายลงนอนกับเตียงแข็งๆในหอพักที่ไม่ได้กลับมานานเสียนาน แสงไฟด้านนอกสาดส่องเข้ามาในห้องที่มืดสลัว มีเพียงแค่หน้าจอมือถือที่ยังสว่างอยู่ในความมืด ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วเลื่อนไปบนหน้าชื่อของเด็กหนุ่มที่อยู่ในห้วงความคิดก็ปรากฏขึ้นมา ริมฝีปากบางเหยียดเป็นรอยยิ้มก่อนปลายนิ้วจะพิมพ์ข้อความส่งออกไป



…………………………………….



          ความคิดที่ว่าตื่นขึ้นมาในตอนเช้าแล้วจะนึกถึงใครก่อนตัวเองนั้นแทบไม่เคยมีในหัว แต่ในวันนี้กลับตื่นมาด้วยพร้อมถ้ออยคำที่ใครบางคนฝากไว้ในโทรศัพท์ตั้งแต่คืนที่ออกจากโรงพยาบาล



“พุธมีเรียนภาษาอังกฤษที่คณะแกอ่ะ เลิกบ่ายสามเหมือนกัน รอที่โรงอาหารนะ เดี๋ยวจะพาแว๊นส์กลับหอ”



        ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะอมยิ้มอยู่ได้นานสองนานกับถ้อยคำธรรมดาๆแบบนี้


“จูน…แกเป็นไรมากป่ะ”   เสียงปิ๊กดังเรียกสติให้ต่นจนเด็กหนุ่มนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองกำลังนั่งรอเรียนคาบสายอบู่กับเพื่อนๆที่ใต้ตึก

“เปล่านี่ ปกติดี” เด็กหนุ่มปฏิเสธแต่กลับซ่อนรอยยิ้มนั่นเอาไว้ไม่อยู่

“เหรอ…” ปิ๊กหรี่ตาลงเล็กน้อยพล่งลากเสียงยาว


….ไอ้ตี๋เอ้ย…
….เล่นยิ้มซะสาวน้อยเลยนะ…



คิดพลางเปิดกระดาษสมุดโน๊ตที่อยูในมือปลายปากกาขีดเขียนข้อความบางอย่างก่อนจะยื่นให้ “ไอ้ตี๋”ที่วันนี้ท่าจะอารมณ์ดีหนัก เซ็ทผมแต่งคิ้วกรีดตามาเสียหล่อ



….คบกันแล้วป่ะ…
….กับพี่คนนั้นน่ะ…



เด็กหนุ่มรับสมุดไปอ่าน พลางฉวยดินสอจากในมือปิ๊กมาเขียนคำตอบเป็นตัวอักษรภาษาญี่ปุ่น


“はい” (ใช่ ) 


เป็นคำตอบสั้นๆง่ายๆแบบที่ไม่ต้องอธิบายอะไรต่อมาก


“อ่ะฮ่า....ยินดีด้วยนะเพื่อน เพราะหน้าเบื่อโลกของแกนี่มันเกินจะทนจริงๆว่ะ....แพรไอ้จูนมัน..”ปิ๊กว่าพลางจะหันไปบอกแพร



….แคว่ก!!...



เสียงหน้ากระดาษขาดติดมือเด็กหนุ่มไปแทบจะในทันทีทำเอาเจ้าของสมุดถลึงตามองแทบไม่ทัน


“ไอ้จูนนน แกจะฉีกสมุดชั้นทำไมวะ”

“ทำลายหลักฐาน…เดี๋ยวแกปากโป้งไปบอกใคร” เด็กหนุ่มพูดหน้าตาเฉย

“อ๋อ...นี่ไม่ไว้ใจเรอะ…ได้...แม่จะป่าวประกาศมันตรงนี้ล่ะ เจ้าข้าเอ้ย ไอ้จูนนะมันได้ผ…..”

“เฮ้ยๆๆปิ๊ก” จูนล็อกคอเพื่อนเอาไว้แทบไม่ทัน

“อ่อก ปล่อยนะเว้ย”

“ไม่ปล่อย….” จูนหัวเราะแต่ก็ไม่ได้คลายมือที่รั้งคอเสื้อเพื่อนเอาไว้แต่อย่างใด

“ขอร้องนะปิ๊ก ยังไม่อยากให้คนรู้อ่ะ “จูนกระซิบเบาๆ

“….”    ปิ๊กนิ่งฟังก่อนจะเลิกดิ้นเพราะยัยแพรที่นั่งคุยจ้อกับเพื่อนอีกคนอยู่ก็เหมือนจะหันมาสนใจแล้ว

“มีอะไรแลกเปลี่ยนล่ะ”

“เนื้อย่างสองมื้อ กาแฟฟรีอีกสามวัน”  จูนยื่นข้อเสนอ

“ตกลง”



และสุดท้ายความลับก็ยังไม่แพร่งพรายเนื่องจากกความเห็นแก่กินของเพื่อนสาวสุดห้าวนั่นเอง



               เมื่อเลิกเรียนจูนเดินลงมาจากตึก เดินไปตามทางเดินที่มีหลังคาคลุม มองตรงไปด้านหน้าเป็นลานที่รวมของเหล่านักศึกษาผู้หิวโหย ร้านขายน้ำสองร้านกับซุ้มร้านกาแฟมีคนต่อคิวซื้ออยู่เรื่อยๆเช่นเดียวกับร้านขายลูกชิ้นทอดที่เปิดมานาน


        มองไปเห็นร่างสูงใหญ่ในชุดนักศึกษายืนถือแก้วน้ำรออยู่ ใบหน้าคมยังมีรอยฟกช้ำที่มองเห็นได้ชัดนั้นคงทำเอาคนที่เดินผ่านไปผ่านมานึกกลัวอยู่ไม่น้อย แต่สำหรับจูนแล้วในวินาทีแรกที่มองเห็นร่างสูงนั้นกลับทำให้รู้สึกว่าต้องหยุดยืนมองอยู่ห่างๆ น่าแปลกที่ภาพธรรมดาๆของผู้ชายคนนั้นกลับดูสวยงามอย่างยากที่จะอธิบาย



“โอ้ยๆ มีคนมารอรับด้วย...อิจฉาไปโลกหน้า”  เสียงปิ๊กเอ่ยแซวพร้อมกับไหล่อวบที่ดันจนจูนแทบเซ ร่างอวบอัดแน่นเสื้อนักศึกษาของเพื่อนสาวเดินไปปากหรือก็บ่นพลางมือก็ลากแขนแพรที่อยากจะรู้เรื่องด้วยใจแทบขาดไปอีกทาง



“ไปหาอะไรกินกันหลัง ม.ดีกว่าแพร ช่วงนี้พวกเราคงจะเป็นส่วนเกิน” เสียงแหบห้าวนั้นว่า จูนได้แต่ขอบใจเพื่อนในใจก่อนจะเดินไปหาคนที่คอยเขาอยู่


“เลิกเรียนนานแล้วเหรอ”  เด็กหนุ่มเดินเข้าไปสะกิดไหล่ร่างสูงที่ยืนดูดน้ำหวานจากแก้วที่ซื้อมา

“เปล่า พี่เพิ่งเลิกน่ะ” เคนสะดุ้งเล็กน้อยแต่พอเห็นว่าเป็นใครริมฝีปากนั้นก็หยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม แม้ใบหน้าจะยังดูบอบช้ำอยู่บ้างแต่รอยยิ้มที่มีให้นั้นสดใสอยู่ไม่น้อย  “หิวน้ำป่ะ กินก่อนดิ่เพิ่งซื้อ” ว่าพลางก็ยื่นแก้วน้ำให้กับอีกฝ่าย   



.... ความจริงก็น่าจะเลิกเรียนสักพักใหญ่แล้วไม่ใช่รึไง....



 จูนยิ้มเพราะเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายโกหกแก้วน้ำที่อยู่ในมือนั่นน้ำแข็งละลายไปมากกว่าครึ่งแล้ว   


“ขอบคุณครับ” พลางรับแก้วน้ำมาดื่ม “ว่าแต่…ที่ว่าจะไปแว๊นซ์นี่จะพาไปไหนอ่ะ”


“อืม…ยังไม่ได้คิดเลย ไว้เดินไปถึงรถก่อนค่อยว่ากัน เอากระเป๋ามานี่ เดี๋ยวช่วยถือ…” เคนว่าเมื่อออกเดินพานำอีกฝ่ายไปยังลานจอดรถที่อยู่ทางหน้าคณะ มือใหญ่เอื้อมมาจะฉวยกระเป๋าของเด็กหนุ่มมาถือแต่จูน
กลับยื้อกระเป๋าสะพายของตัวเองเอาไว้แน่น


“เฮ้ย…ไม่ต้อง…ผมถือเองได้”


“โห่ คนอุตส่าห์จะโชว์แมน”  เคนขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ใช่ว่าไม่เคยเห็นท่าทางแบบนี้ของอีกฝ่าย


“โชว์แมนเมินอะไร” จูนเบ้ปากก่อนชกเข้าที่อกของรุ่นพี่ร่างสูงเบาๆ


“โอ้ย..!!” ได้ผลเมื่อเคนร้องออกมาเสียงดัง รอยฟกช้ำที่หน้าตาก็ใช่ว่าจะหายดีและคงไม่ต้องพูดถึงรอยบนร่างกาย


“เห็นไหม…แค่นี้ยังร้องเสียงหลงเลย ผมตอนนี้น่ะแข็งแรงกว่าพี่อีกนะ กระเป๋านี่มันก็หนักนะ แต่พี่น่ะเป็นหมีควายบาดเจ็บก็อย่าซ่าให้มากสิ”  จูนเอ่ยพลางใช้เสียงเข้มดวงรีเรียวนั้นหรี่ลงเล็กน้อย ไม่ใช่ท่าทางที่จะใช้พูดกับผู้ชายตัวสูงเกือบร้อยเก้าสิบแบบนี้เลยสักนิด ช่วงขายาวก้าวไปเดินนำอีกฝ่ายออกไปสองสามก้าว



“คนเป็นห่วงเขานะเว้ย รู้ตัวไว้ด้วย”



เสียงนุ่มที่ดังขึ้นเบาๆนั้นทำให้เคนยิ้มกว้างออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ร่างสูงหัวเราะเบาๆก่อนจะก้าวตามไปจนทันมือใหญ่วางลงบนเส้นผมสีอ่อนของอีกฝ่ายพลางขยี้เบาๆ


"รู้แล้ว ขอบใจนะ”


ที่ด้านหน้าคณะมีรถจักรยานยนต์จอดเรียงรายเป็นแถวยาวแต่ถ้าหากให้เทียบกับในตอนเช้าก็คงจะนับได้ว่าบางตาไปมากพอสมควร นั่นยิ่งทำให้มอเตอร์ไซค์คันสวยของเคนดูเด่นอยู่ท่ามกลางลานจอดรถที่มีแต่รถมอเตอร์ไซค์คันเล็กๆที่เห็นคนซื้อใช้งานกันทั่วไป



“ว่าแต่จะพาไปไหนเนี่ย” จูนถามแล้วรับหมวกใบนั้นมาถือเอาไว้ 


“ไปที่ชอบๆดีไหม?”


“เฮ้ย...นี่จะพาไปแว๊นซ์หรือจะพาไปตายเนี่ย” จูนทำหน้าเหยเผลอชักเท้าก้าวถอยหลังเพราะรู้สึกไม่ไว้ใจ


 “พูดใหม่ก็ได้....” เคนว่าพลางขยับเข้ามาใกล้ เขามองซ้ายขวาก่อนจะเอื้อมมือไปจับปลายนิ้วของอีกฝ่ายเอาไว้หลวมๆ “จะพาไปทุกที่ที่แกชอบ....โอเคไหม”   จูนไม่ได้ตอบแต่ริมฝีปากกลับเม้นแน่นสองไหล่นั้นสั่นไหวด้วยพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้



“อะไรเล่า” เคนเองชักเขิน


“ก็มันเลี่ยนนี่นา” เด็กหนุ่มหัวเราะพลางยกมือขึ้นจับที่ข้างคอเหมือนทุกครั้งที่รู้สึกเขิน


“เลี่ยนแล้วชอบไหมล่ะ” เห็นอีกฝ่ายตอบกลับด้วยใบหน้าแดงๆนั่นยิ่งอยากจะแกล้งเข้าไปใหญ่ ร่างสูงขยับเข้าไปใกล้อีกนิด พลางหยิบหมวกกันน็อคสีชมพูหวานที่แขวนเอาไว้ขึ้นมา


“ใส่ให้....” 


“............” แต่จูนกลับมองหมวกใบนั้นนิ่ง



.....หมวกของพี่นิด....

 

“ติดใจเหรอ?” รุ่นพี่ร่างสูงถามด้วยเสียงทุ้มต่ำพลางมองหมวกสีสวยที่เขาเป็นคนซื้อให้นิดเอง


“ก็...นิดหน่อย” จูนโคลงศีรษะน้อยๆเหมือนไม่แน่ใจนักว่าควรจะพูดออกไปหรือไม่ “หมวกของพี่นิดนี่นา...คือ เอามาให้ผมใส่......จะเหม็นเอาหรือเปล่า” ในดวงตาคู่นั้นของเด็กหนุ่มอ่อนแสงลง เห็นได้ชัดว่าที่กำลังกังวลอยู่นั้นอาจไม่ใช่แค่เรื่องหมวก ทุกอย่างมันรวดเร็วจนแม้แต่ตัวเคนเองก็ลืมเรื่องนี้ไป



....เดี๋ยวคงต้องเอาของๆนิดไปคืน....
...แต่ตอนนี้.....
…อยากจะเริ่มต้นกับคนๆนี้...
...เริ่มให้ดีที่สุด....



“ชอบสีอะไรล่ะ”


“หะ?” คำถามที่อยู่ๆก็ดังขึ้นนั่นเล่นเอาจูนต้องเงยหน้าขึ้นมาสบตาของเคนอย่างช่วยไม่ได้ “อะไรนะ”


“ก็ถามว่าชอบสีอะไร “ เคนยิ้มเห็นฟันขาว


“เอ่อ....สี...เหลืองกับสีดำครับ”


“โอเค ได้ตามนั้น แต่ตอนนี้ยังไงก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อนนะ...” ได้ทีก็ทำตัวเป็นพี่ชายขึ้นมาเสียแบบนั้น มือแกร่งยกหมวกกันน็อคสีหวานขึ้นสวมให้กับอีกฝ่าย ปลายนิ้วไล่ลงมาช่วยขยับสายรัดใต้คางให้พอดีกับศีรษะของเด็กหนุ่ม


“ใกล้ ใกล้ ใกล้ไปแล้ว....” ใบหน้าคมที่ใกล้เข้ามานั้นทำให้จูนต้องร้องประท้วงออกมาเบาๆ ก่อนจะได้ยินเสียงเคาะเบาๆ เมื่อเคนยกมือขึ้นเคาะหมวกกันน็อคของเขาเมื่อล็อคสายรัดเข้าที่เรียบร้อย


 “บ้าน่ะ ใครจะมาทำอะไรตรงนี้ ” เคนหัวเราะในลำคอเหมือนสนุกกับกับการได้แกล้งคนตรงหน้า


“ไป ไปเลือกหมวกกัน” ว่าพลางก็ยื่นมือไปให้อีกฝ่าย


“หา ตอนนี้เลยเหรอ?” จูนถามพลางทำตาโต


“อืม...จะได้มีหมวกเป็นของตัวเองไง ไม่ดีเหรอ” ไม่พูดเปล่ากลับขยิบตาให้เสียอีกหนึ่งครั้งโดยที่เจ้าตัวคงไม่รู้หรอกว่า เด็กหนุ่มนั้นได้จับมือของเขาเอาไว้แล้วก้าวขึ้นไปซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ด้วยหัวใจที่เต้นถี่รัวขนาดไหน


.....จะหัวใจวายตายก่อนถึงที่หมายไหมเนี่ย...... [/]




...................to be continued

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
Chapter 46



   หมวกกันน็อคใบใหม่เอี่ยมสีเหลืองคาดดำถูกวางลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ จูนดึงเก้าอี้ออกมานั่งลง ปลายเท้าขยับทำให้เก้าอี้นั้นหมุนตาม เขาพยายามไม่ใส่ใจสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะแต่ก็เหมือนจะทำไม่ได้ เมื่อยังเห็นรอยริมฝีปากจางๆบนหน้าหมวกกันน็อคนั่นอยู่


   “หมวกราคาตั้งหลายพัน พี่ซื้อให้ผมทำไมเนี่ย”


    จูนจำได้ว่าเขาเอ่ยถามอีกฝ่ายออกไปแบบนั้น หลังจากที่เคนพาเขาไปซื้อหมวกกับร้านขายรถมอเตอร์ไซค์ร้านใหญ่ที่เคนเคยอุดหนุนซื้อมอเตอร์ไซค์คู่ใจ


    “แบบนี้น่ะดีแล้ว เท่ดีออก ”เคนเอ่ยมือหนึ่งก็ตบเบาๆลงบนหมวกกันน็อคที่จูนถอดออกวางไว้เมื่อจุดหมายปลายทางของ “ที่ชอบๆ” กลับกลายเป็นริมบึงขนาดใหญ่ที่ล้อมไปด้วยธรรมชาติกับบรรยากาศสบายๆยามเย็นในรั้วมหาวิทยาลัยนั่นเอง


    “ไอ้เรื่องเท่นี่ผมก็ไม่ได้เถียงนี่ ได้ทีละเอาใหญ่ ” หนุ่มรุ่นน้องว่าพลางเบ้ปาก “แต่......” ไม่พูดเปล่าก็หันกลับไปมองหมวกกันน็อคสีชมพูของนิดที่ยังแขวนอยู่กับแฮนด์มอเตอร์ไซค์ของเคน


    “กำลังเทียบกับหมวกของนิดอยู่รึไง” ถามเหมือนรู้เห็นความเป็นไปในใจ มือแกร่งของชายหนุ่มยื่นมาจับศีรษะของจูนโคลงซ้ายขวา


    “ก็....นิดหน่อย รูปร่างมันแตกต่างกันเยอะเลยนี่ ” เด็กหนุ่มตอบเพราะหมวกกันน็อคของนิดเป็นแบบครึ่งใบในขณะที่หมวกที่เคนเลือกให้เขานั้นกลับเป็นแบบเต็มใบที่ดูเทอะทะปิดรอบไปหมด เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะเบนสายตามองไปทางกลุ่มคนที่เดินอยู่ห่างออกไป


     “นึกว่าพี่อาจจะไม่อยากให้ใครเห็นหน้าผมเวลาซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปด้วยกัน”    

     คำพูดแผ่วเบาด้วยรู้ดีว่าแม้จะได้แสดงออกไปแล้วว่ารู้สึกอย่างไรกับอีกฝ่าย แต่คำพูดหรือท่าทีใดๆก็ไม่อาจอ้างสิทธิพิเศษให้กับตัวเองได้เพราะมันเป็นความรักที่ ไม่เหมือนใคร 


    “โธ่เอ้ย....นี่พี่คิดน้อยหรือแกคิดมากวะ” เสียงเคนดังขึ้นพร้อมกับมือแกร่งที่ฉวยเอาหมวกกันน็อคใบใหม่ขึ้นมา ก่อนร่างสูงจะผลันลุกขึ้นไปหยิบหมวกกันน็อคสีชมพูใบเก่านั้นขึ้นมา


    “เอ้า ดูซะ หมวกเนี่ย!” ไม่พูดเปล่า กระแทกหมวกทั้งสองใบเข้าหากันอย่างแรงจนมีเสียงคล้ายอะไรบางอย่างแตก

   “เฮ้ย พี่เล่นอะไร...” จูนสะดุ้งด้วยความตกใจ ร่างสูงไม่ได้ตอบแต่กลับยื่นหมวกกันน็อคสีชมพูมาให้ดู
 เห็นท่าทางยืนยันแบบนั้นก็ต้องรับเอาไว้ เขาพลิกดูเห็นพลาสติกที่ยึดหน้าหมวกที่ใช้บังลมนั้นแตกจนเห็นน็อตที่ยึดเอาไว้นั้นกำลังจะหลุด

     “เฮ้ย พี่เคน แตกเลย”

    “ก็เพราะมันไม่แข็งแรงไงล่ะ กระแทกแค่นี้ก็แตกแล้ว พี่ขี่มอเตอร์ไซค์นะจูน ทุกวันอาจไม่ได้ปลอดภัยขนาดนั้น ที่เขาว่าเนื้อหุ้มเหล็กไง พี่คงไม่ว่าถ้ามันเป็นตัวพี่คนเดียวแต่นี่แกมาด้วย แกเข้าใจไหมว่าทำไมถึงต้องเป็นหมวกที่มันแพงหน่อย”

    “พี่ห่วงผมเหรอ” แม้จะไม่ได้พูดแต่ก็คิดได้แบบนั้น เด็กหนุ่มถามกลับด้วยหัวใจพองโต

    “เออ “ เคนรับคำคล้ายไม่สบอารมณ์สักเท่าไรที่อีกฝ่ายไม่เข้าใจเจตนาของเขา “แต่จะอธิบายไว้ก่อนนะ หมวกของนิดน่ะ พี่เคยบังคับซื้อให้ก็แล้วแต่เขาไม่เอาบอกว่าทำผมเสียงทรงบ้างล่ะร้อนบ้างล่ะ ก็เลยต้องยอมเขา ที่เห็นซ้อนส่วนใหญ่ก็แค่ขี่ในมหาลัยไม่ได้ไปไหนไกล พี่ก็ขี่ไม่เร็ว เวลาจะออกไปข้างนอกนั่นล่ะก็เลยเอารถเขาไป”  ชายหนุ่มร่างสูงอธิบายในมือก็หมุนหมวกกันน็อคใบใหม่ของจูนไปมา


    “แล้วพี่ก็ห่วงพี่นิดด้วยสินะ” 


      “พี่ห่วงแฟนพี่”

      เคนตอบก่อนจะย่อเข่าลงมาแล้วนั่งขัดสมาธิตรงหน้าของเด็กหนุ่ม ดวงตาคมที่มองกลับมาเป็นประกายก่อนริมฝีปากได้รูปนั้นจะยิ้มกว้าง

     “หมายถึงแก....ถ้ายังจะคิดมากอีก” และแถมยังพูดดักคอคนคิดมากเอาไว้อีกทำเอาจูนหน้าร้อนผะผ่าวต้องหันไปมองอีกทาง

    
     ลมยามเย็นพัดมาชวนให้สดชื่น น่าแปลกที่ในตอนนี้หากมีสายตาของใครที่มาเดินเล่นกินลมชมวิวแถวนี้มองมาตัวของพวกเขาก็คงไม่ได้คิดจะใส่ใจ ปลายนิ้วเรียวของเด็กหนุ่มค่อยเอื้อมไปแตะมือของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า


    “ผม...อาจจะขี้หึงก็ได้ ถ้าพี่อยากรู้” เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาเบาๆ


    “เห.......” เคนยิ้มออกมาอย่างประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าจูนจะพูดถึงเรื่องของตัวเองก่อนแบบนี้...มันทำให้รู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย


    “ผม...อาจจะขี้อิจฉาอีกนิดหน่อย” ริมฝีปากสวยคู่นั้นยังคงเอ่ยคำพูดนั้นอย่างเก้อเขิน จูนยิ้มจนตารีที่เรียวอยู่แล้วยิ่งหรี่จนแทบจะมองไม่เห็นแม้แต่อายไลน์เนอร์ที่บรรจงวาดลงไปบนขอบตา เคนยิ้มตอบพลางยกมือขึ้นขยี้ผมของอีกฝ่ายเบาๆ เขาสบตามองอีกฝ่ายแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก


       “พี่ว่าพี่มีเรื่องจะบอก”

    “อะไรเหรอ?” จูนเอียงคอน้อยๆ

    “คือ...ไหนๆก็ตกลงจะคบกันแล้ว พี่ก็ไม่รู้หรอกนะว่ากับผู้ชายนี่ควรจะคบกันแบบไหน” ชายหนุ่มเอ่ยเบาๆแต่ปลายนิ้วกลับกระชับจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้มั่นซึ่งจูนเองก็จับมือแกร่งคู่นั้นตอบกลับมา

    “ผมก็เหมือนกัน....” ริมฝีปากได้รูปของเด็กหนุ่มคลี่เป็นรอยยิ้มน้อยๆบ่งบอกถึงความเขินอาย

    “ พี่คิดว่าถ้าเวลาที่เรามีเรื่องที่กวนใจกันก็อยากจะให้เราคุยกันได้ พี่แค่ไม่อยากให้มันเริ่มด้วยความไม่สบายใจ ไม่อยากให้แกคิดว่าพี่จะปิดบังเรื่องของแกนะ อันที่จริง............” เมื่อพูดมาจนถึงตรงนี้ ดวงตาคมเหลือบมองหน้าของอีกฝ่ายอย่างไม่มั่นใจนัก

    “มีอะไรครับ?” เด็กหนุ่มมองหน้าของอีกฝ่ายด้วยความฉงนอะไรกันที่จะทำให้เคนทำหน้าแบบนั้นได้ ปกติหรือออกจะมั่นใจไปเสียทุกอย่าง


    “พี่บอกพ่อไปแล้ว”


    “หา!?”  เด็กหนุ่มอุทานลั่นไม่พอมือที่จับอยู่กับมือของเคนก็บีบปลายนิ้วของอีกฝ่ายเข้าอย่างแรงจนคนที่ยังเจ็บอยู่ต้องร้องออกมา

    “โอะ...โอ้ย.....”

    “เอ้ย...ขอโทษพี่ผมตกใจ” เด็กหนุ่มว่าพลางปล่อยมือออก

    “แกนี่ก็....แรงเยอะใช้ได้เหมือนกันนะ” เคนสะบัดปลายนิ้วเบาๆให้หายชา

    “ก็....ผู้ชายนี่ “จูนอ้อมแอ้มพูดแต่ก็ยื่นมือไปแตะเบาๆเชิงขอโทษ “เดี๋ยวนะ อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่อง พี่หมายความว่ายังไงที่บอกว่า บอกพ่อไปแล้วน่ะ”

    “ก็บอกไปแล้ว..ว่าแกเป็นแฟน”

    “ผั่วะ” จูนตบไหล่อีกฝ่ายอย่างแรง 

    “ไปบอกแบบนั้นกับคุณลุงได้ยังไง เดี๋ยวคุณลุงช็อคเป็นลมพอดี”

    “ก็แค่หน้าซีดน่ะ ยังไม่ถึงกับเป็นลมหรอก” เคนหัวเราะออกมาเบาๆ แต่หันมาเจอหน้ามุ่ยๆของอีกฝ่ายก็ต้องหยุดก่อนจะยิ้มน้อยๆ “ก็พ่อถามนี่นา ก็ตอบตามตรง พี่ไม่อยากปิด หรือจะให้บอกล่ะว่าเป็นเมีย” ชายหนุ่มยิ้มท่าทียียวนจนจูนอดหมั่นไส้ไม่ได้ เด็กหนุ่มยกหมัดขึ้นขู่นักมวยร่างใหญ่ตรงหน้าไม่ได้กลัวเลยแม้แต่น้อย 

     “....อยากโดนมากกว่านี้ไหม ไอ้หมีควาย”

    “โอ้ย ดุแท้พ่อคุณ นี่ถ้ากูนอกใจสงสัยแม่งฆ่าถลกหนังหมีแน่เลย”  เคนทำท่ากลัวยกสองแขนขึ้นกอดตัวเองทำท่าเหมือนร่างกายใหญ่โตนั่นบอบบางนักหนา

    “หรือจะลอง?”

    ดูท่าจูนไม่ได้เล่นด้วยเลย เห็นแบบนั้นก็ต้องรีบส่ายหน้าเขาไม่คิดจะลองดีเพียงเพื่อจะให้อีกฝ่ายเดินจากเขาไปอีกเป็นแน่  แต่แล้วเคนก็ต้องประหลาดใจเมื่อเด็กหนุ่มตรงหน้าถอนหายใจยาวก่อนที่มือเรียวทั้งสองข้างจะยื่นไปจับสองแขนของเขาเอาไว้หลวมๆ ใบหน้ามนก้มหน้าลงเมื่อโน้มตัวลงมาพิงกับบ่าของเขา มีเสียงเบาๆที่ดังขึ้นมา


   “ผมฝากไว้กับพี่แล้วนะ ...ความรู้สึกของผมน่ะ” 


    “.........” ไม่มีคำตอบจากร่างสูง มีเพียงริมฝีปากที่คลี่ออกเป็นรอยยิ้มกว้าง มือแกร่งยกขึ้นลูบเส้นผมสีอ่อนนุ่มมือของอีกฝ่ายเบาๆ


    “ครับ....ถึงได้เป็นห่วงนี่ไง ซื้อหมวกกันน็อคให้นะ ก็ใส่ไว้ด้วยตอนพาเข้าบ้านเผื่อพ่อพี่เขกหัวจะได้ไม่แตกไง” พอถึงตรงนี้จูนถึงกับดึงตัวพรวดออกจากไหล่กว้างของอีกฝ่าย


    “นี่ไม่คิดจะห้ามเลยใช่ไหมเนี่ย”


    “บ้าน่า ใครจะยอมปล่อยให้ใครทำอะไรแกเล่า อีกอย่างถึงพ่อไม่ได้บอกว่ายอมรับแต่เขารู้แล้วว่าแกเป็นเด็กดี...ใครจะไม่รักเด็กดีกัน” เคนยิ้มก่อนจะลุกขึ้นยืน “ไปกลับกัน” ว่าแล้วก็ดึงมือของเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นมาด้วยกัน


    “ใส่หมวกซะเดี๋ยวพี่พาซี่งกลับหอ”


    เพียงช่วงเวลาไม่นานรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ๋พาชายหนุ่มทั้งสองคนกลับมายังหอพักของเด็กหนุ่ม ช่วงเวลาเย็นย่ำไร้เงาคนเหมือนทุกที จนบางครั้งก็อดสงสัยไม่ได้ว่าคนในหอนี้หายไปไหนกันหมด

    “ขอบคุณครับที่มาส่ง” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงดังอู้อี้จากในหมวกกันน็อคเมื่อก้าวลงจากด้านหลังมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ เคนถอดหมวกกันน็อคของตัวเองออกที่มือข้างนึงจะดึงแขนของเด็กหนุ่มเอาไว้

    “ไว้พรุ่งนี้ จะมารับไปส่งที่คณะนะ”

    “อืม....” เด็กหนุ่มรับคำพลางพยักหน้าลง ก่อนอุทานเบาๆเมื่ออีกฝ่ายใช้สองมือจังหมวกกันน็อคเอาไว้แล้วดึงให้เขาเข้าไปใกล้ “เฮ้ย...เล่นอะไร”

    ไม่มีเสียงตอบกลับมีเพียงแค่สัมผัสที่ไม่อาจรู้สึกได้จากริมฝีปากได้รูปของชายร่างสูงที่ประทับลงมาผ่านกระจกกันลมของหมวกกันน็อค ก่อนที่จะถอนริมผีปากออกไป

    “อ่ะ.......” ใบหน้าของจูนร้อนผ่าวเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะจูบเขาผ่านกระจกบางที่กั้นระหว่างพวกเขาทั้งสองคน

    “เอ้า มีอึ้งๆ” มือเคนหัวเราะเบาๆกับท่าทางของอีกฝ่าย แกร่งเคาะเบาๆบนหมวกกันน็อคของจูนหวังปลุกให้หนุ่มรุ่นน้องเลิกตะลึงกับการกระทำของเขา


    “อ่อย  ไว้ก่อน พรุ่งนี้จะมาทำจริง ไปล่ะ”


………………………………………………………………


    เสียงหัวเราะคิกคักดังให้ได้ยินจากในห้องเลคเชอร์ เมื่อมองเข้าไปก็เห็นกลุ่มเพื่อนสาวของตนเองนั่งจับกลุ่มยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันเพราะอะไรบางอย่างบนหน้าจอในมือถือ


    “สนุกอะไรกันแต่เช้า” นิดหัวเราะเบาๆเมื่อวางกระเป๋าใบน้อยกับหนังสือเรียนลงที่เก้าอี้แล้วเข้าไปร่วมวงสนทนากับเพื่อนๆ

    “อุ้ย ยัยนิด... มาพอดีเลย พี่เคนออกจากโรงพยาบาลแล้วทำไมไม่ไปดูแลแฟนหน่อยยะ”  เพื่อนในกลุ่มทักทำเอานิดสะดุ้ง แต่ก็ได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อน


    “ก็พี่เคนเขาบอกให้มาอ่านหนังสือเตรียมสอบย่อยนี่ไง เดี๋ยววันนี้ก็จะไปหานี่ไง”


    “เหรอ เนี่ยๆ ดูในเพจคนหล่อประจำมอนี่เขายังได้ข่าวมาเร็วกว่าเธออีกนะ ดูสิ”  ไม่พูดเปล่ายื่นโทรศัพท์มือถือให้นิดดูบนหน้าจอมีภาพของชายหนุ่มยืนคุยดูดน้ำหวานอยู่ที่โรงอาหารคณะมนุษยศาสตร์ เป็นภาพของเมื่อเย็นวานพร้อมคำบรรยายเสร็จสรรพ


     
‘ดูสิใครออกจากโรงพยาบาลแล้ว พี่เคนสุดหล่อ ถึงพี่ไม่ชนะบนสังเวียน แต่พี่ชนะใจน้องเสมอนะคะ’
[/i]


     และเมื่อเลื่อนนิ้วลงไปดูอีกภาพ เห็นเป็นภาพของเคนที่กำลังใส่หมวกกันน็อคให้กับจูน หมวกกันน็อคสีชมพูของเธอ


    
‘ โอ้ย สมาชิกชมรมการแสดงนี่อะไรกันคะ แอดไม่รู้จะเลือกใครแล้วค่ะ หนุ่มไทยมาดเข้ม กับ หนุ่ม(มนุษฯ) ญี่ปุ่นขาวตี๋ ....แต่ดูเล่นกันแบบนี้ มันก็น่ารักดีนะคะคู๊ณณ’
[/i]


     “นี่...รูปเมื่อวานเหรอ” นิดเอ่ยถามออกมาเบาๆ น้ำเสียงแหบพร่าพอเห็นภาพหมวกกันน็อคสีชมพูความรู้สึกชาคืบคลานมาจากปลายนิ้วยิ่งเมื่อนึกถึงว่าชายหนุ่มนักกีฬาคนนั้นเคยใส่หมวกใบนั้นให้เธอแบบนั้นเหมือนกัน


     “อื้ม ก็เห็นแอดมินเพจเขาว่างั้นนะ”


    “จะว่าไปชมรมนี้เขาก็สนิทกันดีเนอะ แสดงละครอะไรด้วยกันแล้วก็ยังเห็นอยู่ด้วยกันตลอด” เพื่อนคนนึงเอ่ยปากขึ้น


    “เอ๊ะ ใช่คนนี้ไหมที่เขาว่าพี่เคนเคยเล่นละครแล้วจูบปากกันบนเวทีน่ะ ดูไปดูมาก็จิ้นได้นะเนี่ย” ใครสักคนในกลุ่มเอ่ยขึ้นมาเรียกเสียงหัวเราะกันคิกคัก แต่กลับไม่ได้ชวนให้นิดหัวเราะตามไปด้วย เด็กสาวเบือนใบหน้าไปอีกทางทำให้ต่ายที่ทำตัวคล้ายเป็นผู้พิทักษ์มาโดยตลอดต้องลุกขึ้นกระแทกมือลงกับโต้ะดังปัง


    “นี่ จะเอาเรื่องพรรค์นั้นมาพูดอีกทำไมเนี่ย!! “ เป็นต่ายที่โวยขึ้นมาแทนเพื่อน


    “ต่ายเป็นไรมากป่ะเนี่ย แค่ล้อเล่นน่ะขำๆเอง ใครๆก็รู้ว่าพี่เคนเป็นแฟนนิด ไม่ได้จะจริงจังอะไรสักหน่อย”

    “ก็นิดน่ะ......” ต่ายอ้าปากจะเถียงเพื่อนแต่กลับต้องหยุดเมื่อนิดคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ บีบแน่นเสียจนต้องหันไปมอง “นิด?”

    “ใช่ต่าย...ก็แค่เรื่องขำๆน่ะ นิดไม่ได้ซีเรียสหรอกนะ” หญิงสาวว่าพลางยิ้มน้อยๆ แต่เพื่อนสนิทอย่างต่ายก็รู้ดีว่าดวงตากลมโตคู่สวยนั้น...ไม่ได้ยิ้มตามแต่อย่างใด




.................................................... to be con.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-07-2016 11:06:45 โดย goldfishpka »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
อย่างนิดจะยอมจบง่ายๆ ไหมขนาดบอกเลิกไปแล้วยังส่งข้อความมาหาอยู่เลย
ไหนจะพ่อจูนลูกชายคนเดียวรักกับผู้ชายด้วยกัน สงสัยจะกีดกันอาจถึงขนาดที่ว่ายกเลิกเป็นสปอนเซอร์ให้เลยนะนั่น

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ asarigb

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ทำไมรู้สึกว่านิดน่ากลัว จากที่คิดว่าเป็นสาวใสๆ คงไม่ใช่แล้วสินะ5555  :hao7:
น้องจูนกับพี่เคนนี่ก็หวานเชียว ได้ทีขายอ้อยตลอดดดด  :katai5:

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
Chapter 47 กวนใจ

     
       “เอ้า.... ยังไม่ถึงเวลาเข้าห้องเรียนก็เอาไปกินรองท้องกันนะ ป๋าเลี้ยง”


    เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับข้าวเหนียวหมูปิ้งชุดใหญ่หอมฉุยมาให้จูน เด็กหนุ่มรับมาด้วยท่าทีเขินๆในเมื่อเพื่อนสนิทอย่างปิ๊กก็ดันมาถึงคณะแต่เช้าทำให้หลบเลี่ยงสายตาที่มองมานั่นไม่ได้


    “ขอบ.....”


    “ขอบคุณค่าพี่เคน ป๋าจริงๆ ไม่ต้องห่วงนะ นั่งเรียนในห้องในคณะนี่เดี๋ยวปิ๊กเฝ้าให้ รับรองไอ้จูนไม่ได้มีโอกาสชายตาแลมองหนุ่มน้อยสาวใหญ่แถวไหนแน่นอนค่ะ” เจ้าตัวยังไม่ทันจะได้ขอบอกขอบใจ เพื่อนสาวอย่างปิ๊กก็ถลันเข้าไปคว้าถุงหมูปิ้งมาพร้อมยกมือไว้นอบน้อม


    “ไม่มองแน่นะ......” รุ่นพี่หนุ่มยิ้มกับคำพูดนั้นของเด็กสาวก่อนจะหันไปมองหน้าของจูน มือแกร่งยื่นไปจัดผมที่ไม่เป็นทรงเพราะหมวกกันน็อคของเด็กหนุ่มให้เข้าที่เข้าทาง


    “ต้องถามรึไง......” เขินหรือก็เขินอายก็อายที่ทำอะไรแบบนี้ต่อหน้าเพื่อนเด็กหนุ่มเดินตามทางเดินจะเข้าไปยังตึกเรียน 


    “พี่เลิกช้านะวันนี้ ไปเจอที่ยิมนะ กลับด้วยกัน” เคนตะโกนไล่หลังไป เห็นแต่มือเรียวของเด็กหนุ่มที่โบกตอบกลับมาเป็นเชิงว่าเข้าใจแล้ว ร่างสูงหัวเราะน้อยๆ แต่พอเห็นว่าปิ๊กกำลังจะเดินจากไปเคนจึงรีบเดินไปคว้าเอาไว้


    “นี่ ปิ๊ก... “


    “อุ่ย อะไรอ่ะพี่เคน” ถึงจะเป็นสาวห้าวแต่พอเจอมือแกร่งจู่ๆมาคว้าแขนเข้าแบบนี้ก็แอบอุทานออกมาได้เหมือนกัน


    “ขอโทษๆ....เอ่อ รู้เรื่องพี่กับจูนแล้วเหรอ” เคนเอ่ยถามเบาๆ ตาก็เหลือบมองดูว่าจูนยังเดินไปอยู่รึเปล่า
 เด็กสาวไม่ได้ตอบแต่พยักหน้าน้อยๆ


    “คือ...พี่ไม่ได้คิดจะปิดบังอะไรนะ ปิ๊ก เพียงแค่พวกพี่คงยังต้องการเวลาอีกสักนิด พี่ขอว่าอย่าเพิ่งบอกใครนะ”


    คำขอร้องนั้นทำให้ปิ๊กรู้สึกดีไม่น้อย อย่างน้อยตอนนี้เธอรู้ว่ากำลังได้รับความไว้วางใจจากทั้งสองคน ถึงจะไม่ได้รู้จักเคนมากแต่ก็พอจะได้ยินข่าวมาบ้างว่า “อดีตคนรัก”ของอีกฝ่ายเป็นใคร มันคงเป็นเรื่องยากถ้าอยู่ๆจะเปิดเผยออกไปให้ใครต่อใครรู้ คนที่น่าจะเจ็บที่สุดก็คงไม่พ้นคนตรงหน้ากับเพื่อนคนสำคัญของเธอนั่นเอง


    “ค่ะ...พี่ หนูเข้าใจดี ไม่ต้องห่วงนะ จูนเป็นเพื่อนหนู หนูไม่ทำให้เพื่อนลำบากแน่”  เพื่อนสนิทของจูนรับคำพร้อมกับยกมือตบอกเหมือนจะบอกให้เชื่อใจ เคนเห็นแบบนั้นก็ได้แค่ยิ้ม


    “ไปเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันกินข้าวนะ” ว่าพลางก็ชี้ไปที่ถุงหมูปิ้งกับข้าวเหนียวที่ซื้อมาฝาก เด็กสาวฉีกยิ้มกว้างก่อนจะถลกกระโปรงพลีสรีบวิ่งตามเพื่อนชายของเธอเข้าไปที่คณะ




    วันนี้ในช่วงเช้าไม่มีเรียน มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ขี่มาโดยหนุ่มนักกีฬาร่างสูงพาตัวเองกลับมาที่หอพักหวังจะนอนพักให้สบายสักหน่อย ด้วยร่างกายยังคงความปวดระบมเพราะอาการบาดเจ็บจากสังเวียน ถึงแม้จะทำทีเหมือนไม่มีอะไรแต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเองก็เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลมาได้แค่สองวัน



    “โอย.... ไม่น่าซ่าเลยกู”


 ชายหนุ่มโอดครวญเมื่อจอดรถมอเตอร์ไซค์เข้าในที่โรงจอดรถเก่าคร่ำครึของหอพัก ก่อนเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่ามีรถคันเล็กสีแดงที่ดูคุ้นตาของใครบางคนจอดรออยู่ที่ด้านหน้าตึก เขาเห็นร่างเล็กของหญิงสาวในชุดนักศึกษาค่อยก้าวลงมาราวกับว่ากำลังรอให้เขามาถึงอยู่อย่างไรอย่างนั้น


    “นิด.....”


    “พอดีจำได้ว่าวันนี้พี่เคนมีเรียนบ่าย....เลยซื้อข้าวเช้ามาฝากก่อนจะไปเรียน” เด็กสาวยิ้มพร้อมชูถุงโจ๊กในมือให้อีกฝ่ายดู


    “อ่ะ...เอ่อ ขอบใจนะนิด” เคนเอ่ย  ยังคงมึนงงนักกับการปรากฏตัวของคนตรงหน้า ดวงตาคมมองใบหน้าหวานชินตานั้นสิ่งที่ได้รับตอบกลับมามีเพียงรอยยิ้มหวานเช่นทุกที


    “หรือพี่เคนไม่ชอบกินโจ๊กแล้วคะ...เราออกไปกินอะไรกันข้างนอกก็ได้นะ” เด็กสาวว่าดวงตากลมนั้นปรายตามองไปยังมอเตอร์ไซค์ที่เพิ่งเข้ามาจอดในที่จอดรถ “เว้นเสียแต่ว่าพี่เคนออกไปกินอะไรมาแล้ว”


       “ป...เปล่า พี่ยังไม่ได้กิน” เคนส่ายหน้าเหมือนเพิ่งดึงสติตัวเองออกมาได้จากคำถามเดียวที่ถามย้ำๆในหัวในชั่วพริบตา


   ...นิด....มาทำไม....



    “ถ้าอย่างนั้นนิด.....” เด็กสาวเหลือบมองไปที่ห้องที่ชั้นสองของตึก เธอเคยมาที่นี่แต่ไม่เคยได้ขึ้นไปด้านบนสักครั้ง “เอาโจ๊กขึ้นไปใส่จานให้พี่ได้ไหม แล้วเรานั่งกินด้วยกัน” นิดเอ่ยถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มสดใสเหมือนทุกครั้งที่เคยเห็น แต่น่าแปลกที่กลับมีอะไรบางอย่างต่างออกไปในวิธีที่เธอมองกลับมา


    “นิด พี่ว่าอย่าเลย คือ...พี่ว่ามันไม่เหมาะ”


    “พี่เคน...จะทำอะไรนิดเหรอคะ” นิดถามกลับด้วยท่าทีซุกซน ทำเอาชายหนุ่มต้องยกสองมือขึ้นทันควัน


    “ไม่ ไม่ พี่ไม่ทำอะไรแน่ๆ “


    “นั่นสินะคะ” อดีตคนรักเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่ไม่ว่าจะเป็นชายหนุ่มคนใดก็คงปฏิเสธไม่ลง
    เคนเองก็เช่นกัน 


    ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ควร แต่สุดท้ายเคนก็เปิดประตูห้องให้อีกฝ่ายเดินเข้าไปด้านใน โชคยังดีที่เขาเพิ่งกลับมาที่ห้องเมื่อวันก่อนได้ศักดิ์มาช่วยเก็บข้าวเก็บของให้จึงดูสะอาดตาเรียบร้อยกว่าปกติอยู่หลายเท่าตัว



    “เรียบร้อยกว่าที่คิดอีก...”เสียงนิดหัวเราะก่อนจะหันมาถามว่าถ้วยชามอยู่ตรงไหน เคนก็ได้แต่ชี้ไปให้หญิงสาวจัดการ นี่มันมากยิ่งกว่าคำว่าอึดอัดจะบรรยายได้หมดชายหนุ่มแทบจะทึ้งหัวของตัวเองแต่เมื่อนิดหันกลับมาก็ต้องยิ้มน้อยเหมือนไม่ได้คิดอะไรเหมือนทุกที



    “ทานกันเถอะค่ะ เดี๋ยวเย็นนะ” นิดว่าพลางวางโจ๊กลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วเรียกให้อีกฝ่ายมานั่ง เคนจำใจนั่งลงตักโจ๊กเข้าปากไปคำโต


    “อร่อยไหมคะ”


       “อื้ม....อร่อย”เคนพยักหน้าตอบไปตามเรื่องทั้งๆที่เขาแทบไม่ได้รับรู้รสเสียด้วยซ้ำดวงตาคมเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างระแวงสงสัย


   ....มาทำไมกันนะ...



    “นิดก็แค่อยากมาดูว่าพี่เคนสบายดีแล้ว”เด็กสาวเอ่ยเหมือนรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังมีคำถามกวนใจ น่าแปลกทั้งๆที่ในเวลาแบบนี้อีกฝ่ายกลับรู้ใจเขาดีเหลือเกิน แต่ไม่ใช่ตลอดเวลาที่คบกันมา


    “พี่...โอเคแล้วขอบใจนิดมาก” เคนโกหกร่างกายเขายังเจ็บและต้องการการพักผ่อนมากโดยเฉพาะในตอนนี้


    “..........” เด็กสาวไม่ได้ตอบอะไรแต่กลับหันไปมองไปรอบๆเหมือนมองหาอะไรบางอย่าง


    “นิดหาอะไร? “


    “เปล่าค่ะก็แค่มองดู กำลังคิดว่าห้องพี่สะอาดจังเลยนะคะ มีคนมาทำความสะอาดให้เหรอคะ”


    “อื้ม”


        “คนนั้นของพี่เหรอคะ”


    “อ๋อ...ก็......เฮ้ย..... ไม่ ไม่ พี่ศักดิ์ต่างหาก ลูกน้องของพ่อ” เคนสะดุ้งเขาเกือบจะหลุดปากออกไปแล้ว ชายหนุ่มเบิกตามองอีกฝ่าย นิดกำลังใช้บรรยากาศที่เขาคุ้นเคยกับการถามคำตอบคำที่เขามักทำให้เป็นประโยชน์ “ก็พี่เพิ่งออกจากโรงพยาบาล จะเอาแรงที่ไหนมาเก็บทั้งหมดนี่ไหว”


    “อ้อ....เหรอคะ แหมอุตส่าห์จะหลอกถามสักหน่อย”


    “นิด........” ชายหนุ่มเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างหนักใจ เคนถอนหายใจแรงพลางส่ายหน้า “อย่าทำแบบนี้เลย”


     ใบหน้าสวยของคนตรงหน้ามองตรงมาพร้อมกับมือเรียวยื่นข้ามโต๊ะมาจับมือแกร่งของเคนเอาไว้ ปลายนิ้วที่แต้มสีชมพู
อ่อนดูสวยเหมือนคนสุขภาพดีนั้นเป็นประกายเล็กๆ


    “พี่เคนไม่รู้หรอกค่ะ ว่าแค่ไม่กี่วันที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันมันกวนใจนิดขนาดไหน”


   ....กวนใจ?....

    
    ทำไมถึงจะเลือกมาพูดเรื่องนี้เอาตอนนี้กันนะ เคนอดไม่ได้ที่จะคิด ในเมื่อหลายครั้งหลายคราวในตอนที่ยัง “คบกัน” ที่พวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันให้อิสระกันและกันจนหากเรียกอีกทีอาจจะเป็นการไม่ได้เอาใจใส่กันเสียด้วยซ้ำไป  คิ้วคมขมวดเข้ากันเสียจนจะเป็นปม ยามเช้าในวันนี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกสงบสุขเหมือนอย่างทุกวัน ตรงกันข้ามใจของเขากำลังเต้นไม่เป็นส่ำด้วยความรู้สึกอึดอัด เขาไม่เข้าใจสายตาของคนตรงหน้าเอาเสียเลยเพราะไม่เคยมีใครเคยย้อนกลับมาพูดกับเขาแบบนี้มาก่อน


    “นิด ถ้าเป็นเรื่องของที่นิดให้พี่มาล่ะก็พี่จะทยอยคืนให้...หมวกกันน็อคนั่นก็เหมือนกัน”


    “พี่เคนจะย้ายหอเหรอคะ”เด็กสาวถาม


    “เปล่า...พี่ไม่ได้จะย้ายไปไหน”  เคนรู้สึกได้ถึงปลายนิ้วบอบบางนั่นที่บีบลงมาบนมือของเขา


    “ถ้าอย่างนั้นก็ยังไม่ต้องหรอกค่ะ นิดไม่ได้จะรีบไปไหน”


    “เอ่อ.....นิด.....” ทั้งน้ำเสียง สายตาและคำพูดคำจาของนิดนั้นกำลังทำให้เขาสับสน เหมือนกับว่าอีกฝ่ายจะลืมเลือนไปแล้วว่าวันก่อนเขาเพิ่งจะเป็นคน “บอกเลิก” และอยากจะขอยุติความสัมพันธ์ทั้งหมดระหว่างพวกเขาทั้งสองคน 



   ....ต้องชัดเจน....
    ....ต้องไม่วอกแวก...




    “พี่ว่านิดกลับไปเถอะ ขอบคุณสำหรับโจ๊กนะ แต่คราวหน้าไม่ต้องแล้วก็ได้” ร่างสูงลุกขึ้นรวดเร็วพลางเดินไปที่ประตูแล้วเปิดประตูห้อง “กลับไปเถอะ วันนี้พี่ต้องพักผ่อนจริงๆ”


    “...............” ไม่มีคำตอบใดจากร่างเล็ก นิดเพียงแค่ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า ปลายผมยาวสะบัดไหวน้อยๆเมื่อเธอเยื้องย่าง ดวงตากลมโตเป็นประกายนั้นมองกลับมาพร้อมกับริมฝีปากได้รูปที่แย้มยิ้มเย็น



    “นิดเองก็ว่าจะกลับพอดีค่ะ บังเอิญที่นี่เป็นทางผ่านหอของต่าย เลยบอกให้ต่ายเดินมาที่นี่ จะได้รับต่ายไปด้วยกัน”


    “นิด? ที่พูดนั่นหมายความว่ายังไง” ด้วยสงสัยชายหนุ่มเผลอคว้าข้อมือเล็กของหญิงสาวบีบเสียแรง
 

    “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ นิดก็แค่...จะรับเพื่อนเข้าคณะก็เท่านั้น ก็แค่ทางผ่านนี่คะคงไม่มีอะไรเสียหาย”


หญิงสาวว่าพลางขืนมือออกจากอีกฝ่าย ร่างเล็กก้าวออกไปจากห้อง พอชะโงกหน้าออกไปมองทางระเบียงก็เห็นบุคคลที่เอ่ยถึงมายืนรออยู่แล้ว เธอโบกมือให้เพื่อนอย่างอารมณ์ดี....ราวกับเป็นคนละคนกับที่เพิ่งจะใช้น้ำเสียงประชดประชันกับเจ้าของห้องเมื่อครู่


    “พี่เคน...สวัสดีค่า”


    เสียงของต่ายดังขึ้นมาจากด้านล่าง เคนก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆพลางโบกมือทักทายตามมารยาท แต่ในใจของเขารู้ดีว่า ....เขาติดกับดักที่นิดวางเอาไว้เสียแล้ว



    นี่เขาลืมไปได้ยังไงกันว่านิดเป็นผู้หญิงแบบไหน แม้จะดูติดเพื่อนจนยอมทำอะไรตามเพื่อนไปได้ง่ายๆ อย่างในเรื่องของแฟชั่นการแต่งกายจนเหมือนไม่มีแนวทางอะไรเป็นของตัวเองนัก แต่นิดก็เป็นคนที่เมื่อได้ตัดสินใจอะไรแล้วเธอก็เป็นคนที่ไม่ยอมใครอยู่เหมือนกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เกี่ยวกับหน้าตาและสถานะของเธอที่มีต่อคนในกลุ่ม เขาไม่มั่นใจนักว่าเป็นเพราะบทบาทเชียร์ลีดเดอร์ที่เธอได้รับมาด้วยหรือเปล่ามันถึงทำให้เธอเป็นเช่นนี้ เคนปิดประตูลงเบื้องหลัง ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อนพลางยกมือขึ้นก่ายหน้าผากด้วยคิดหนักกับเรื่องกวนใจนี้



   ....นิดไม่ใช่ผู้หญิงที่จะยอมเสียหน้าเพราะเรื่องถูกผู้ชายทิ้งแน่....
    ....และมันจะแย่แค่ไหน ถ้ารู้ว่าเขาทิ้งเธอไปหาผู้ชายอีกคน....




to be continued....


@@@talk@@@
ทำไมรู้สึกว่า นิด น่ากลัว แต่งเองยังกลัวเอง  :katai1:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ว่าแล้วว่านิดไม่ยอมจบแน่ๆ :ling3: :ling3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
Chapter 48 แค่กอด




   ที่โรงยิมในยามเย็นได้ยินเสียงลูกบาสกระทบกับพื้น ร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มก้าวเข้าไปด้านใน มองเห็นชายหนุ่มรุ่นพี่ยังคงวิ่งทำหน้าที่อยู่ในสนาม เคนกวักมือเรียกเป็นเชิงให้เด็กหนุ่มเข้ามาร่วมด้วย


    “เฮ้ย ไอ้ต้าร์ ออกให้น้องมันมาเล่นหน่อยสิ”  เสียงทุ้มตะโกนลั่นสนาม ทำเอาเจ้าของชื่อถึงกับต้องหันมาถลึงตามองพลางเผลอยกนิ้วขึ้นชี้ตัวเอง


    “กูอ่ะนะ”


    “เออ มึงนั่นล่ะ ให้น้องมันเล่นหน่อย ไปๆ ออกไป” ว่าพลางก็ยกเท้าเตะก้นเพื่อนให้ออกไปนอกสนามราวกับเกะกะสายตานัก เคนยังคงกวักมือเรียกหลังจากที่เตะเพื่อนสนิทออกจากคอร์ท์ไปได้ จูนส่ายหน้า


    “ไม่เอาอ่ะ เสื้อก็ไม่มีเปลี่ยน วอร์มก็ไม่ได้วอร์ม...เล่นก็ไม่เก่งด้วย”


    “ไม่ต้องเลย มาเล่นด้วยกัน นะ นะ นะ นะ น้า.....”


    เสียงตะโกนแม้จะฟังดูห้าวแต่ถ้อยคำกลับออดอ้อนแปลกหูจนเพื่อนทั้งสนามหยุดเล่นแล้วหันมามองจูนเป็นตาเดียว คงจะอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาเป็นใครถึงทำให้เคนหนุ่มพละร่างใหญ่สุดห้าวหาญของใครต่อใครออดอ้อนจนถ้าลงไปนอนดิ้นกับพื้นได้ก็คงทำแบบนี้


    สุดท้ายก็ทนเสียงตะโกนโวยวายนั่นไม่ได้ จูนส่ายหน้าเบาๆพลางถอนหายใจยาว ถึงจะไม่ใช่คนที่ชอบออกกำลังกายนักแต่บาสเกตบอลก็เป็นอะไรที่พอจะใช้การได้ที่สุดในมวลหมู่กีฬาทั้งหลาย จูนวางกระเป๋าลงพลางดึงเสื้อนักศึกษาออกจากชายกางเกง นึกขอบใจตัวเองที่วันนี้เลือกใส่รองเท้าผ้าใบมา เด็กหนุ่มวิ่งลงไปสมทบกับทีมของเคนด้วยความเต็มใจ


    การได้อยู่ทีมเดียวกันทำให้อาการเก้อเขินหายไปได้หลังจากไม่นานนัก แต่กระนั้นพวกรุ่นพี่คนอื่นก็ดูจะเล่นกันจริงจังอยู่ไม่น้อยทำให้ไม่ค่อยได้จับลูกและต้องออกแรงวิ่งตามอยู่เรื่อย ฝ่ายทีมของเคนกับจูนถึงตอนหลังจะเปลี่ยนให้ต้าร์กลับมาเล่นตามเดิมแต่คะแนนก็ตามหลังมากจนสุดท้ายก็แพ้ไปตามคาด


    “โอย....เหนื่อย”  จูนหอบแฮ่กเมื่อจบเกม เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงกับพื้นสนามก่อนจะเห็นเงาของร่างสูงทาบทับ เคนยื่นคร่อมร่างของเขาอยู่ใบหน้าคมที่ยิ้มยียวน


    “โธ่หนูจูน จะเป็นลมไหม จะได้เรียกรถพยาบาลให้”


    “ยังมีหน้านะ เพราะพี่นั่นล่ะ อยู่ๆให้มาวิ่งเอาวิ่งเอาแบบนี้ไม่น็อคไปกลางสนามนั่นก็ดีแค่ไหนแล้ว”


    “โอ๋ๆ ครับๆ....งั้นเดี๋ยวพาไปหาไรกินนะ เอาให้ที่เบิร์นไปเมื่อกี้กลับมาอีกแปดเท่าเลย”


    “จะป๋าเลี้ยงอีกรึไง ไม่เอานะ หารสอง” จูนว่าพลางจับมือที่อีกฝ่ายยื่นมาลุกขึ้น


    “....โอเคครับ...หารก็หาร” เคนยิ้มน้อยๆกับคำพูดของอีกฝ่าย เขาประหลาดใจไม่น้อย เพราะไม่เคยมีใครคนไหนที่เขาคบด้วยไม่ชอบใจที่เขาจะเป็นฝ่ายเลี้ยงมาก่อน แม้แต่เพื่อนด้วยกันก็เถอะ


    “เฮ้ย ต้าร์กูกลับก่อนนะมึง” ว่าพลางก็หันไปลาเพื่อน


    “พี่ต้าร์หวัดดีครับ” จูนก็หันไปยกมือไหว้ก่อนวิ่งไปหยิบกระเป๋าที่วางไว้อีกทางแล้ววิ่งตามอีกฝ่ายออกไปที่ลานจอดรถด้านนอกโรงยิม แต่ก่อนจะได้เดินไปไหนไกลคือเสื้อนักศึกษาที่ยังเปียกก็ถูกคว้าหมับจากทางด้านหลัง


    “เฮ้ย.....” จูนอุทานลั่นด้วยความตกใจ แต่เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นหน้าของเคนที่ยืนขมวดคิ้วอยู่


    “อ้าว เป็นไรอ่ะ ดึงทำไมเนี่ย” จูนดึงมือของอีกฝ่ายออกพลางหันกลับมามองหน้าด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก


    “เอ้า ใส่ซะ”  เคนยื่นเสื้อวอร์มสีดำที่คุ้นตามาให้ ทำเอาเด็กหนุ่มต้องเลิกคิ้ว


    “ใส่? ทำไมอ่ะ ไม่เห็นหนาวสักหน่อย” จูนว่าพลางมองใบหน้าคมของอีกฝ่ายสลับกับเสื้อในมือนั่น


    “ก็.....อืม.....ว่าไงดีล่ะ” เคนดูลำบากใจก่อนจะโน้มตัวลงมากระซิบข้างหู


    “เสื้อมันเปียก เห็นหัวนมหมดละ” เคนพูดพลางใช้ปลายนิ้วเกี่ยวสาบกระดุมเสื้อที่เปียกจนโปร่งแสงแนบกับอกได้รูปของคนตรงหน้า ทั้งอกเอวได้สัดส่วนนั้นเห็นชัดเจนเสียจนคงตาบอดแน่หากไม่สังเกตเห็น


    “โอ้ยพี่อย่าพาขำดิ่ ผมผู้ชายนะจะมีใครเขามอง เดินไปเดี๋ยวก็แห้งเองล่ะน่า”  เด็กหนุ่มหน้าแดงขึ้นมาทันควันหากแต่ยังบ่ายเบี่ยง ว่าพลางก็โบกมืออย่างไม่ใส่ใจต่อหลังฐานที่อีกฝ่ายจงใจชี้ให้เห็นกันจะๆ


    “ไม่ต้องเลย ใส่ๆเข้าไปเถอะ...คนอื่นไม่มองแต่กูมองเว้ย....” เคนว่าพลางดึงแขนของอีกฝ่ายยังคับให้ใส่เสื้อนั่นจนได้


    “หะ? มอง?” จูนหันกลับมามองหน้าของเคนอย่างไม่เชื่อหูสักเท่าไร ...แต่เพราะทั้งคำพูดกับสีหน้าของอีกฝ่ายที่ดูจริงจังเสียเหลือเกินก็ทำเอาจากเดิมที่ไม่เคยคิดอะไรกลับต้องคิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้


    “เออสิวะ....” เคนกรอกตาเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้ามาขยี้ผมของจูนพลางก้มหน้าลงมาใกล้เสียจนหน้าผากจะชนกันดวงตาคมนั้นจ้องกลับมาอย่างมีความหมาย


     “มองแล้วมันก็จะอยากจับ เข้าใจป่ะ”


    “หื่นเอ้ย” ทันใดนั้นจูนก็โขกหัวเข้ามาใส่ แรงพอที่จะทำให้เจ็บสะเทือนเข้าไปในกะโหลกกันทั้งคู่   


       “โอย...ไปได้แล้ว หิวข้าว!” เด็กหนุ่มโวยวายพลางก้าวยาวๆออกไปทางที่จอดรถด้วยความเร็วนั้นทำให้เคนที่ยังยืนกุมหน้าผากของตัวเองอยู่ต้องหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้...ในเมื่ออีกฝ่ายดูจะยอมใส่เสื้อแต่โดยดีแล้วยังรูดซิปขึ้นจนถึงคอเสียด้วย


......................



     “นี่...ขอขึ้นไปบนห้องได้ไหม”


     เคนเอ่ยถามเมื่อมอเตอร์ไซค์คันใหญ่แล่นเข้ามาจอดในลานจอดรถใต้หอของเด็กหนุ่ม น่าแปลกที่มันก็เพิ่งจะสัปดาห์ที่แล้วนี่เองที่เขามาที่นี่เป็นครั้งสุดท้าย แต่เพราะอะไรหลายๆอย่างที่เข้ามามากมายในช่วงเวลาเพียงแค่ไม่กี่วันมันทำให้รู้สึกเหมือนยาวนานเป็นเดือน


     เจ้าของห้องดูประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ยิ้ม


    “ขอทำไมล่ะ ก็พี่บอกตอนซื้อไอติมมานี่ว่าจะเอามากินที่ห้องผม”


    “ก็........” เคนอ้ำอึ้ง จะให้พูดอย่างไรในเมื่อก่อนหน้านั้นอีกฝ่ายหนีเขาแทบตาย ความทรงจำนั้นมันยังคงอยู่ชัดเจน


     “มาเถอะครับ เดี๋ยวไอติมละลายจะอดกินนะ” จูนพูดพลางยื่นมือมารับถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้อไปไว้ในมือ ท่าทางแบบนั้นทำให้อดที่จะแหย่ไม่ได้


    “อ่อยรึเปล่า...ชวนขึ้นห้องแบบนี้”



    ผั่วะ!



    ทันใดถุงพลาสติกนั้นก็ลอยละลิ่วตามแรงฟาดจากเจ้าของห้อง ผมสีอ่อนของใครบางคนขยับไหวไปตามแรงเมื่อก้าวขาเดินฉับๆไม่ได้รอกันเลยแม้แต่น้อย ทำเอาเคนต้องรีบวิ่งตามอย่างช่วยไม่ได้
     

    “ไม่ได้มาตั้งนาน..” เคนเอ่ยออกมาเบาๆ สายตากวาดมองไปรอบๆห้อง ทุกอย่างยังดูเหมือนเดิมที่เคยเห็น โซฟาที่เขาเคยขอยืมนอนมาหลายต่อหลายครั้ง


    “นั่งก่อน เดี๋ยวผมเอาน้ำให้” เจ้าของห้องว่าพลาง เปิดแอร์ เปิดทีวี แล้วเดินไปจัดแจงหาน้ำท่ามาวางเอาไว้ให้


    “ขอบใจ...เอ้า ไอติม เดี๋ยวละลายนะ” เคนพูดพลางยื่นไอศกรีมถ้วยรสวนิลาให้กับอีกฝ่าย ส่วนตัวเขากินไอศกรีมถ้วยรสสตรอเบอร์รี่ตามความเคยชิน


    “......” จูนไม่ได้พูดอะไรหากรับไอศกรีมมานั่งแกะทานไปพลางตาดูทีวีไปพลางอยู่ข้างๆกับร่างสูง เขาเหลือบมองคนที่นั่งข้างๆเล็กน้อย


    “สรุปว่าชอบจริงๆใช่ไหม รสสตรอเบอร์รี่เนี่ย”  จูนถามพลางหันทั้งตัวเพื่อมามองหน้าของอีกฝ่าย สองขายกขึ้นขัดสมาธิในขณะที่อีกมือก็ยังถือไอศกรีมกินต่อ


    “อืม...คงงั้นล่ะ มันก็อร่อยดีนะ ทำไมเหรอ”


     “จำได้ว่า เคยบอกว่าพี่นิดก็ชอบกิน” จูนไม่ได้มองหน้าตายังจับจ้องไปที่โทรทัศน์ แต่รายการข่าวช่วงหัวค่ำดูไม่ได้มีเนื้อหาให้ชวนติดตามขนาดนั้น เคนจึงยิ้มกว้างอย่างได้ใจพร้อมร่างใหญ่ของรุ่นพี่ก็ขยับเข้ามาเบียดใกล้ๆ


    “หึงเหรอ?”


    “เปล่า” จูนตอบทันควันแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะทำหน้าง้ำงอไปเสียแล้ว “อ้าว ไหงทำหน้างั้น”


    “โธ่...ไม่ได้หึงหรอกเหรอ อุตส่าห์ดีใจ”เคนไม่วายยังทำหน้าบูด ไม่ได้เข้ากันเลยกับบุคลิกห้าวหาญที่เห็นบนเวทีมวยเมื่อวันก่อน ใบหน้าคมนั้นยังมีรอยช้ำให้เห็น ผมหนาที่ยาวลงมาปรกหน้าผากนั่นถ้าใช้นิ้วแหวกออกดูคงเห็นรอยเย็บที่หมอเย็บเอาไว้


    “ทำหน้าเหมือนเด็กไปได้ ผมไม่ได้รู้สึกหึงก็น่าจะดีแล้วนี่ครับ” จูนว่าพลางวางถ้วยไอศกรีมลงกับโต๊ะ มือเรียวยกขึ้นมาแตะที่ข้างแก้มที่ยังเป็นรอย “ยังเจ็บไหม?”


    “ถ้าได้จูบสักทีจะหายเลย” คนตรงหน้าทำท่ากะลิ้มกะเหลี่ย


    “เหอะ....” จูนหันหน้าไปอีกทางแต่สายตานั้นยังเหลือบมอง


    “ไม่ได้เหรอ?” ไม่พูดเปล่าขยับเข้ามาใกล้อีก มือแกร่งเอื้อมวางถ้วยไอศกรีมลงกับโต๊ะทั้งๆที่ปากยังอมช้อนพลาสติกเอาไว้อยู่เลย


    “ไม่ต้องเลย...ถอยไปเลย” จูนเองก็อยากจะขยับหนี แต่ดวงตาคมที่มองมาเหมือนจะวอนให้เขาอยู่นิ่งๆ “ยะ...อย่าทำหน้าจริงจังตอนนี้ดื่ เหม็นเหงื่อว่ะ...เหม็นปากด้วย”


    “เหม็นปากอะไร...สตรอเบอร์รี่ดีจะตาย” ไม่พูดเปล่าดึงช้อนพลาสติกออกจากปากแล้วยิ่งขยับตัวเข้ามาใกล้ สองแขนเท้าลงกับเบาะของโซฟาด้านหลังเหมือนจะกั้นไม่ให้รุ่นน้องคนนี้วิ่งหนีหายไปไหนอีก


    เคนยิ้มน้อยๆที่มุมปาก ดวงตาคมเป็นประกายจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างพิจารณา เพราะไปเล่นกีฬาด้วยกันมาเมื่อกี้ทั้งอายไลน์เนอร์ทั้งทรงผมที่บรรจงแต่งไว้เป็นอย่างดีนั้นดูไม่ออกเลยว่าเมื่อก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกจากห้องไปนั้นมันอยู่ในสภาพแบบไหน เสื้อนักศึกษายังถูกทับด้วยเสื้อวอร์มสีดำของเขาที่ดูจะตัวใหญ่กว่าไซส์ที่จูนใส่อยู่สักเบอร์หรือสอง แขนเสื้อที่คลุมปลายนิ้วลงมาเกินฝ่ามือนั้นดูเหมือนกับว่าอีกฝ่ายตัวเล็กกว่าจนน่าเอ็นดู  พลันร่างกายขยับตามใจใบหน้าคมโน้มต่ำลงมาหมายช่วงชิงและให้อีกฝ่ายลิ้มรสตรอเบอร์รี่ที่ว่าดีนักหนา



    “......ขอโทษ” เสียงนุ่มดังขึ้นพร้อมใบหน้าแดงก่ำที่ซบเข้ามาที่ไหล่ราวกับไม่อยากให้เห็นหน้า


    “.....พี่เร่งเราไปสินะ” เคนเอ่ยขึ้นเบาๆ หัวใจของเขายังเต้นระรัวแต่ก็พยายามไม่ให้ร่างกายตื่นเต้นไปมากกว่านี้ มือแกร่งยกขึ้นลูบผมของอีกฝ่ายเลื่อนไปโอบไหล่นั้นเอาไว้หลวมๆ


    “...ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาก็เท่านั้น...” เสียงของรุ่นน้องดังขึ้นเบาๆ แต่ถึงจะบอกว่ากลัวจูนก็ไม่ได้ละตัวห่างออกไปแต่อย่างใด ยังคงปล่อยให้เคนกอดเอาไว้แบบนั้น


    “เพราะเรื่องที่หัวหินน่ะเหรอ” เคนเอ่ยถามทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจ


    “อืม....” จูนตอบเสียงแผ่ว ในใจรู้สึกเจ็บ เขาไม่ได้รังเกียจอีกฝ่าย เพียงแค่อยู่ๆในเสี้ยววินาทีเมื่อครู่มันก็มีภาพเงาดำมืดของคนตรงหน้าทาบทับเข้ามาพรากเอาความหอมหวานของชั่วเวลานี้ไปจากใจ


    “โธ่...จูน” เคนถอนหายใจออกมา สองแขนโอบกอดอีกคนเอาไว้แน่น ถ้าเขายับยั้งสติตัวเองเอาไว้ได้บ้าง คงไม่สร้างความทุกข์ใจให้จูนแบบนี้ “พี่ขอโทษ”


    “......ล่ะก็ได้” เสียงอู้อี้ดังขึ้นจากในอ้อมแขน เคนเลิกคิ้วขึ้นพลางขยับตัวออกมา


    “อะไรนะ?”


    “ถ้าแค่กอดล่ะก็ได้....” จูนพูดทั้งๆที่ยังหน้าแดง ดวงตารีเรียวนั่นเบนไปอีกทาง ทำเอาคนได้ยินได้ฟังรู้สึกหัวใจจู่ๆก็พองโตขึ้นมา

 
   ....โอ้ย....
    ....ตบะจะแตกเอานะ....



    เคนได้แต่กัดฟันกรอดเมื่อบทจูนจะอ่อนหวานนั้นก็แสนจะหวานและอ่อนเสียราวกับจะละลายลงไปเพราะความร้อนจากมือของเขาเสียให้ได้ และอีกฝ่ายคงไม่รู้หรอกว่าเขากำลังอดกลั้นแค่ไหนที่จะไม่จับอีกคนกดลงไปกับโซฟาให้รู้แล้วรู้รอดไป มือแกร่งดึกอีกฝ่ายมากอดเอาไว้แน่นพลางโยกตัวไปมาเหมือนแหย่เด็ก


    “โอ๋เอ๋....ขอโทษนะที่ทำให้กลัว.....ขอโทษจริงๆ”


     “ไม่ใช่เด็กสักหน่อย” เสียงขุ่นๆดังขึ้นแทบจะในทันที พร้อมกับใบหน้าของเด็กหนุ่มที่เงยหน้าขึ้นมามอง ดวงตารีเรียวแบบเชื้อจีนมองค้อนพร้อมใบหน้าแดงก่ำ ยิ่งเห็นจมูกโด่งสวยนั่นบางทีก็นึกหมั่นไส้อยากจะงับสักที



  คิดได้แบบนั้นก็ใช้ฟันงับเบาๆบนจมูกของรุ่นน้องอย่างนึกหมั่นเขี้ยว คงพอจะทดแทนจูบที่อยากจะมอบให้ได้


    “โอ้ย เล่นอะไรแผลงๆ” เสียงจูนดังขึ้นพร้อมผละออกเล็กน้อย ยกมือขึ้นถูจมูกไปมา


    “ถือเสียว่าแทนจูบที่ยังไม่ได้ให้ก็แล้วกัน” เคนยิ้มยียวน


    “พี่ก็พูดเรื่องแบบนี้ได้หน้าตาเฉยเนอะ”


    “อ้าว จะด่าว่าหน้าด้าน? แน่นอนครับ ของแบบนี้ ด้านได้นะครับ” หนุ่มนักมวยหัวเราะ พลางหันกลับไปมองทีวี ยกมือข้างหนึ่งพาดพนักโซฟามาโอบไหล่ของอีกฝ่ายเอาไว้หลวมๆ


    “ก็เพิ่งมีแกนี่ล่ะ ที่ด้านแล้วยังไม่ได้เนี่ย” เคนไม่ได้หันมามองหน้าหากแต่พูดลอยๆ
    

    จูนหันไปมองหน้าคมของอีกฝ่ายด้วยไม่อยากจะเชื่อหูสักเท่าไรนัก เขาพอจะเข้าใจคำว่า ด้าน ที่อีกฝ่ายใช้ แต่ไม่คิดว่าจะด้านขนาดนี้จะพูดอะไรแบบนี้กับผู้ชายด้วยกัน แถมยังพูดด้วยท่าทางไม่ได้ยี่หร่ะอะไรแบบนี้ด้วยแล้ว


    “โอย....พี่เคน......บางเรื่องต่อให้พี่ไม่ต้องทำใจมากก็ให้ผมทำใจบ้างก็ได้นะครับ ถึงผมจะเป็นผู้ชายก็เถอะ ฟังแบบนี้ก็อายนะ” จูนแทบอยากจะทรุดลงไปกองกับพื้นห้อง
 

    “ขอโทษๆ” เคนตบไหล่ของเด็กหนุ่มเบาๆ


ก่อนจะชวนกันดูหนังกันอีกเรื่องแล้วเคนถึงขอตัวกลับไปนอนที่หอของตัวเองตามเดิม ถึงจะเคยมานอนค้างแล้วแต่ในคราวนี้เคนไม่กล้าที่จะขอนอนค้างที่หอของจูน ส่วนหนึ่งเพราะไม่อยากให้จูนรู้สึกว่าถูกเอาเวลาความเป็นส่วนตัวไป และอีกอย่าง คือเขาไม่มั่นใจจริงๆว่าจะทนไม่กอดอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยมือของตัวเองไว้ได้อีกครั้ง


..................................................................



         “นิดดดดด !!! ”  เสียงต่ายร้องลั่นโถงใต้ตึกเรียนทำเอาคนแถวนั้นหันมามองกันเป็นตาเดียว


        “เสียงดังน่าต่าย อายคนเขา” หญิงสาวตอบกลับ


         ดวงตากลมมองหน้าของเพื่อนสาวที่วิ่งหน้าตาตื่นมาก็นึกถึงเรื่องเมื่อวาน แผนการของเธอสำเร็จไปได้ด้วยดี ต่ายเชื่อเป็นตุเป็นตะหลังจากที่เห็นเธอเดินออกมาจากห้องของเคนในตอนเช้าของวันก่อน และเธอรู้ดี แม้ว่าต่ายจะเป็นเพื่อนที่เธอเรียกว่าสนิท แต่ยามใดที่เดินคล้อยหลังไปแล้วต่ายก็จะเป็นทรโข่งในการป่าวประกาศเรื่องราวต่างๆของเธอให้คนอื่นรู้เช่นกัน


        ดังนั้น ต่ายจึงเป็นคนเดียวที่เธอควรจะจัดการให้อยู่หมัด ข่าวที่ว่าเธอกับเคนเลิกกันแล้วนั้นจะต้องไม่มีทางที่จะได้แพร่งพรายออกไป เธอจะต้องเป็นคนที่คนอื่นจะต้องมองมาอย่างชื่นชม สนใจ หรือจะหมั่นไส้บ้างก็แล้วไปเพราะอย่างน้อยนั่นก็เป็นเรื่องที่เธอต้องการอยู่ตลอด


       “รู้หรือเปล่าว่าชมรมการแสดงจัดจะฉายหนังสั้นที่ข่าวว่าไปถ่ายกันที่หัวหินน่ะ”


     
        ...หนังสั้น....

 

         นิดเผลอขมวดคิ้ว เธอจำได้ว่าเคนเคยพูดให้ฟัง เธอจำเรื่องหัวหินได้ แต่เธอไม่เคยรู้เลยว่าบทบาทนั้นมันเป็นอย่างไร และแน่นอนว่าเธอไม่รู้เลยว่าชมรมจะฉายหนังที่จะส่งประกวดนั้นให้คนในมหาวิทยาลัยดูด้วย


         “อ้อ...อื้ม รู้สิ พี่เคนบอกแล้วล่ะ” นิดปั้นคำโกหกหน้าตายใส่เพื่อน

     
         “เหรอ ถ้าอย่างนั้นนิดก็ต้องมีตั๋วแล้วสินะ บอกพี่เคนให้จองที่ให้พวกเราด้วยนะ ที่นั่งจำกัดแค่ 50 คนนี่นา ตั๋วใบละ 80 บาท ต่ายจองให้เพื่อนเราด้วย 5 ใบนะฝากบอกแบบนี้” ต่ายผู้ร่าเริงว่าพลางกอดแขนเพื่อนอ้อน ผิดกับนิดที่ดูไม่ยินดีนักกับสิ่งที่ได้ยิน


 
          .... ตั๋ว 5 ใบ รวมของเราก็ 6 ...


              ....จะไปหามาได้ยังไง...


             ....ปกติแค่จะขอไปดูการแสดงยังแทบไม่ให้ไป...


             ....นี่เลิกกันแล้ว...





            เชียร์ลีดเดอร์ประจำคณะวิทยาการจัดการเผลอขบฟันลงกับริมฝีปาก ก่อนที่ทุกอย่างจะกระจ่างเมื่อเห็นใครบางคนเดินสะโหลสะเหลมาจากอีกด้านของทางเดิน ชายหนุ่มร่างเล็กเจ้าของผมฟูๆที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้หวีสักเท่าไร ภาพลักษณ์ของคนๆนี้เป็นที่เลื่องลือว่าช่างไม่เหมาะกับคณะที่เรียนพอๆกับเป็นที่เลื่องลือจากกิจกรรมชมรมที่เรียกความสนใจได้อยู่บ่อยครั้ง


             “โอ้ย ต่าย......พอดีเราปวดท้องน่ะ เดี๋ยวเรามานะ” อยู่ๆนิดก็ร้องออกมาก่อนจะผละจากเพื่อนสาว รีบก้าวยาวๆตรงไปลากแขนคนๆนั้นหลบเข้าไปที่มุมตึกทันที


             “โชติ”


             “อ่ะ...อ้าว มีอะไรเหรอ นิด” ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆยังมึนงงอยู่เพราะเมื่อคืนมัวแต่เช็คภาพความเรียบร้อยครั้งสุดท้ายของหนังอยู่จนดึกดื่น


            “คือ.... ได้ข่าวว่า....” หญิงสาวค่อยๆเปิดประเด็นพูด “เราได้ข่าวมาว่าชมรมของโชติจะให้ดูหนังที่ไปถ่ายกันมาที่หัวหิน พอดีกลุ่มเราคนเยอะไม่อยากกวนพี่เคนให้มาขอ เลยจะถามว่าโชติพอจะกันที่บัตรให้เราสัก 6 ใบได้ไหม” นิดเอ่ย ช้อนสายตามองชายหนุ่มต่างภาควิชาด้วยสายตาที่เธอรู้ดีว่าทำให้ใครต่อใครใจอ่อนมาแล้ว



             “....ได้สิ จะเอาเลยไหมล่ะ เราหยิบตั๋วใส่กระเป๋ามาเผื่อเดินขายเพื่อนพอดี” โชติยิ้ม




             ....ใช่ ทุกอย่างมันดูเข้าทางไปหมดเสียจนน่าขนลุกเลยทีเดียว....



to be con...

ออฟไลน์ asarigb

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
นิดเริ่มน่ากลัวแล้วนะคะ  :serius2: หวังว่าจะไม่ทำอะไรร้ายแรงนะ
นางดูพร้อมสู้เมื่อมีโอกาสมากๆ :z13:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
ลุ้นมากค่ะ
แตกหัก หน้าแตกกันจริงๆก็จะงานนี้ละมั้ง
หึหึ

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
CHAPTER 49  : ปล่อยมือ


         “พี่ยุทธ์ ในห้องประชุมนั่นฝีมือพี่อีกแล้วใช่ไหม”


          เสียงจูนดังขึ้นเมื่อเปิดประตูห้องชมรมเข้ามาพร้อมกับเสื้อผ้าที่จะให้สมาชิกชมรมใส่วันนี้ อาจะเป็นเพราะภาพที่เห็นในห้องนั่นที่ทำให้จูนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ฮัมเพลงไปพลางจัดเสื้อผ้าที่เตรียมมาไว้บนราว
    

          ตอนที่เปิดประตูห้องประชุมชั้นหนึ่งใต้ห้องชมรมเข้าไปก็พบว่ามีการตกแต่งสถานที่ให้ได้บรรยากาศที่เหมาะแก่การเอนกายลงดูหนังกันเป็นหมู่คณะ ที่แม้ไม่ได้เรียกว่ากว้างขวางนัก แต่หลังจากการจัดและตกแต่งด้วยผ้าสีขาวที่โยงขึ้นบนเพดานทำให้ทั้งห้องคล้ายเป็นกระโจมขนาดใหญ่ บนพื้นปูด้วยพรมนุ่ม พร้อมกับหมอนขนาดใหญ่บีนแบกใบโตที่วางไว้ด้านหน้า สลับกับแถวเก้าอี้ผ้าใบสีขาวสะอาดตาดูแล้วน่าทิ้งตัวลงนอนยิ่งได้บรรยากาศอบอุ่นจากหลอดไฟสีส้มเล็กๆที่บรรจงแต่งลงตามมุมนั้นมุมนี้ของห้องประชุมที่แปลงร่างเป็นกระโจมด้วยแล้วยิ่งทำให้คิดว่าคนที่ได้เข้ามาคงไม่อยากจะลุกจากไปไหน


        "อื้ม.... ทำแก้เซ็งน่ะ” เสียงยุทธ์ตอบกลับมาก่อนจะเดินมาดึงเสื้อที่จูนเพิ่งแขวนไว้บนราวออกมาทาบ เสื้อเชิ้ตผ้าลินินสีอ่อนกับกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลที่จับเข้าคู่กับเข็มขัดสีเข้มกว่า จูนยังคงมีสายตาที่เฉียบคมกับเสื้อผ้าที่จะจัดให้พวกเขาใส่เสมอ


    “น่าจะทำแก้เซ็งแบบนี้บ่อยๆนะ ...ผมชอบ” เด็กหนุ่มหันมายิ้มพลาง เดินไปเปิดตู้เขาหยิบหมวกออกมาสองสามใบ แต่พอหันกลับมาก็เห็นว่าชายหนุ่มร่างเล็กกำลังเปลี่ยนดึงเสื้อกล้ามที่ใส่อยู่ออกจากตัวอย่างชลุกขลั่กเพราะมืออีกข้างก็ยังถือเสื้อที่จะใส่เอาไว้อยู่อย่างนั้น


     “ทำอะไรของพี่....” จูนเดินไปคว้าเสื้อเชิ้ตเอาไว้ในมือ แล้วช่วยอีกคนดึงเสื้อกล้ามออกจากตัว


    “เดี๋ยวเสื้อก็ยับพอดี” คนที่เข้าไปช่วยอดที่จะดุไปพลางขำไปพลางไม่ได้  “ค่อยๆทำสิครับ”


    “งั้นก็ช่วยใส่หน่อยสิ” ยุทธ์ว่า พลางโยนเสื้อกล้ามของตัวเองทิ้งไปอีกทาง สองแขนกางออกต่อหน้าของเด็กหนุ่ม ดวงตากลมโตที่มองมาฉายแววรั้นเอาแต่ใจเหมือนทุกครั้ง


    “............” เห็นท่าทางแบบนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจ จูนสะบัดเสื้อในมือออกเล็กน้อยก่อนขยับเข้าไปเพื่อสวมเสื้อให้กับอีกฝ่าย “พี่ยุทธ์นี่ล่ะน้า...ไม่มีผมพี่จะทำยังไงเนี่ย”


    “ก็อยากมีนะ....” เสียงนุ่มพร้อมกับมือเรียวของร่างเล็กที่ยกขึ้นมายึดข้อมือของจูนเอาไว้มั่น ทำเอาสไตลลิสต์ประจำกองถึงกับชะงัก  จูนพยายามที่จะไม่คิดอะไรถึงแม้ระยะห่างเพียงไม่กี่เซนติเมตรนั้นจะทำให้นึกถึงเรื่องเมื่อวันก่อน ความรู้สึกของอีกฝ่ายยังคงเด่นชัด รู้สึกได้จากสายตาที่มองมาราวกับกำลังร้องขอ


      “ติดกระดุมเองนะ เดี๋ยวไปตามพี่โชติกับพี่เคนขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อก่อน”ว่าพลางร่างสูงโปร่งก็ละมือออกห่างก่อนจะเดินออกจากห้องชมรมไป ยุทธ์ได้แต่มองแผ่นหลังของเด็กหนุ่ม ในหัวยังคงมีภาพของจูนในตอนนั้นอยู่ ตอนที่เด็กหนุ่มผมทองคนนั้นบอกกับเขาว่า



   .... ผมอยู่กับพี่ไม่ได้....




     พลันร่างเล็กย่อตัวลงยกสองมือขึ้นปิดหน้า เขาคงเผลอแสดงท่าทีอะไรออกไปอีกแน่ ทั้งๆทึ่คิดแล้วว่าไม่อยากจะให้อีกฝ่ายลำบากใจไปมากกว่านี้...แต่มันทำไม่ได้แล้ว



   ...ความรู้สึกมันมาถึงขั้นนี้แล้ว...
         ...เขาถอยกลับไปไม่ได้...
    ...แต่ก็ไม่มีทางให้ไปต่อเช่นกัน....



..............................................


          ทันทีที่คนเริ่มทยอยมาถึงที่ด้านหน้าห้องประชุม ทั้งสี่หนุ่มก็ออกมายืนต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แน่นอนว่าเรียกเสียงฮือฮาได้ตั้งแต่หน้าประตูทางเข้า ด้วยเครื่องแต่งกายของทั้งสี่คนนั้นเป็นโทนสีขาวกับน้ำตาลดูสบายๆ  ยุทธ์ในเสื้อเชิ้ตผ้าลินินกับกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลอ่อนเน้นบุคลิกที่ดูขี้เล่น โชติเองก็มาในชุดคล้ายกันแต่สลับสีระหว่างท่อนบนที่เป็นสีน้ำตาลอ่อนกับกางเกงขาสั้นสีขาว จนมีเสียงใครสักคนแซวว่าแต่งตัวเป็นแฝดกับยุทธ์
         
          ในขณะที่เคนนั้นเป็นเสื้อยืดสีลายทางพอดีตัวกับกางเกงสีเขียวแบบทหารแบบห้าส่วนให้บรรยากาศอบอุ่นแต่ก็สนุกสนาน ส่วนจูนเองก็ใส่เสื้อยืดลายทางทับด้วยเชิ๊ตสีเหลืองอ่อนดูสบายตาโดยไม่ลืมจะใส่คอนแท็กเลนส์สีน้ำเงินสวยกับเซ็ทผมมาเป็นอย่างดี ทั้งสี่คนแต่งตัวกันเสียจนมีเสียงแซวมาว่าจะให้มาดูแฟชั่นโชว์หรืออย่างไร ทำเอาสไตลลิสต์ประจำชมรมยิ้มหน้าบาน     

    เพราะมีทั้งขนมและน้ำดื่มเตรียมไว้ให้ บรรยากาศภายในงานก่อนที่จะเริ่มจึงไม่ต่างจากงานปาร์ตี้ย่อมๆ ตัวสมาชิกของชมรมเองก็ดูจะตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยเพราะจนถึงตอนนี้ทั้งสี่คนก็ยังไม่ได้ดูหนังร่วมกันเลยถึงแม้ว่าหนังจะถูกส่งไปยังกองประกวดแล้วก็ตาม


    “ตื่นเต้นไหม?” อยู่เสียงทุ้มก็ดังขึ้นข้างหูเมื่อหันไปก็เห็นใบหน้าคมของเคนเอียงลงมากระซิบใกล้ๆ


    “นิดหน่อย...ไม่รู้คนอื่นจะขำไหม ผมแต่งตัวแบบนั้น อายจะตาย” จูนว่าพลางหัวเราะแต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงปลายนิ้วของคนข้างๆที่เลื่อนมาเกาะที่เอว ยังดีว่าพวกเขายืนพิงผนังห้องและไฟก็สลัวจึงไม่มีใครสังเกต


    “น่ารักจะตาย” เคนกระซิบเบาๆ


    “พี่.........” แต่ก่อนที่จะได้เถียงอะไร เมื่อมองข้ามไหล่ของอีกฝ่ายไปก็เห็นร่างเล็กคุ้นตาของใครบางคนเดินเข้ามา


    “พี่นิดมา....”


     สิ้นคำพูดนั้นของจูน เคนรีบหันกลับไปมองเป็นอย่างที่อีกฝ่ายว่า นิด “อดีต” แฟนสาวของเขาเดินเข้ามาพร้อมกับเพื่อนสาวทั้งกลุ่ม ท่าทีที่เหมือนจะมองหาใครบางคนนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอกำลังมองหาใครและเขาไม่อยากนึกเลยว่าจากเรื่องเมื่อเช้าวานซืน รอบนี้นิดจะจัดอะไรมาให้เขาอีกหรือเปล่า  มือแกร่งที่โอบเอวของเด็กหนุ่มไว้หลวมๆละออกจากเอวของเด็กหนุ่มเปลี่ยนมากุมมือของจูนเอาไว้แน่น


    “พี่เคน?” เจ้าของมือเรียวหันไปมองหน้าของคนรักด้วยความประหลาดใจ เป็นครั้งแรกที่เห็นเคนมีสีหน้าเครียดแบบนี้หลังจากไม่ได้เห็นมาหลายวัน


    “อย่าปล่อยมือนะ”


    “หะ?” คำถามที่รุ่นพี่นักกีฬาพูดออกมาทำเอาเด็กหนุ่มผมทองต้องเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ เขาเหลือบไปมองอีกทางนิดก็เหมือนจะสังเกตเห็นพวกเขาแล้ว จะไม่ให้เขาปล่อยมือได้อย่างไร 


    “ทำตามที่พี่บอกจะได้ไหม” เคนยังคงย้ำคำเดิม ซึ่งเป็นคำที่จูนไม่เข้าใจ หัวใจของเขาเต้นรัวทั้งจากท่าทีจริงจังของคนที่อยู่ตรงหน้าและจากที่กลุ่มของหญิงสาวร่างเล็กคนนั้นกำลังจะเดินมา


    “แต่.....” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงสั่น ตั้งแต่วันนั้นเขายังไม่กล้าเผชิญหน้ากับนิดตรงๆ ในใจนึกกลัวอีกฝ่ายจะรู้ความจริง และกลัวว่าทุกๆคนก็รู้ความจริงเช่นกัน


   .... พูดเหมือนทำได้ง่ายๆ ใครจะไปทำได้กัน....
    .... ความจริงบางเรื่อง ไม่ใช่ว่าใครก็ยอมรับกันได้ง่ายๆ...




    “อยู่นี่เองพี่เคน นิดมองหาแทบแย่”

หญิงสาวร่างเล็กเดินมาหยุดตรงหน้าพลางยิ้มหวานให้กับร่างสูง ดวงตากลมโตนั้นเหลือบมองจูนที่ยืนอยู่ข้างๆเล็กน้อยก่อนจะยิ้มให้

    “น้องจูนก็อยู่ด้วย ตื่นเต้นไหมคะ ทุกคนจะได้ดูหนังของชมรมแล้ว”หญิงสาวเอ่ยทักเช่นเดียวกับแขกทุกคนที่เข้ามา แต่ดวงตาคล้ายจะบอกให้เขาถอยออกไปผิดกับรอยยิ้มหวานที่อยู่บนใบหน้า ทำเอาจูนเผลอปล่อยมือออกจากมือแกร่งของเคนด้วยความตกใจ


    “ฮ่ะๆ...นิดหน่อยครับ” เด็กหนุ่มว่าเหลือบมองไปทางเคนชายร่างสูงเองก็ดูจะประหลาดใจกับการกระทำของเขาเช่นเดียวกัน เคนมองมาเหมือนไม่พอใจที่เขาไม่ทำตามที่เคนบอกแต่มันช่วยไม่ได้ ในเมื่ออยู่ๆก็มีคนเดินเข้ามารุมขนาดนี้


    “เนี่ย พวกเราต้องขอบคุณพี่เคนนะคะ นี่ถ้าไม่ได้พี่เคนเนี่ยคงไม่ได้มาดูแน่เลย บัตรรอบนี้นะหายากมาก....” เสียงเจื้อยแจ้วของต่ายดังขึ้นพาให้เพื่อนในกลุ่มต่างพยักหน้าเออออ


    “ใช่ค่ะ บัตรมีแค่ 50 ที่ นี่ถ้าพี่เคนไม่ให้นิดมาล่ะก็ยัยพวกนี้คงไม่ได้มาด้วยหรอก ขอบคุณนะคะ” ไม่พูดเปล่าแขนเรียวสอดคล้องเอาแขนของเคนมาครอบครองทั้งๆที่ใจก็รู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์ แต่เพราะมีภาพที่ต้องรักษาและอยากมาสอดส่องมองดูเสียหน่อยว่า เคนจะนัดแนะ “คนใหม่” ของเขาให้มาดูผลงานด้วยหรือเปล่าจึงจำใจต้องบากหน้าเข้าไปขอตั๋วมาจากโชติแบบนั้น


    “อ่ะ...เฮ้ยนิด ....” เคนพยายามจะดึงออกแต่ก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อปลายเล็บของหญิงสาวจิกลงมาบนเนื้อ
    

        “ขอบคุณนะคะ”
     
     
        “ครับ....ไม่เป็นไร” เคนจำต้องรับคำอย่างเสียไม่ได้เพราะท่าทีที่อีกฝ่ายย้ำความพร้อมๆกับเล็บที่จิกลงมา ชายหนุ่มหันไปมองจูนแต่เด็กหนุ่มร่างสูงกลับไม่อยู่ตรงนั้นเสียแล้ว


       ...อ้าว เฮ้ย....



    ยังไม่ทันจะได้ร้องหา ไฟรอบด้านก็ดับลงเหลือเพียงแค่ไฟประดับที่ทำให้พอเห็นผู้คนรอบๆที่ค่อยเดินไปหาที่นั่งเพราะนี่เป็นสัญญานว่าหนังสั้นประจำค่ำคืนกำลังจะเริ่ม เคนรีบฉวยโอกาสนั้นดึงมือออกจากการเกาะกุมของเด็กสาว


    “เดี๋ยวพี่ต้องไปสแตนด์บายนะ นิดพาเพื่อนไปหาที่นั่งเถอะ เดี๋ยวไม่ได้ดูหนัง” เคนเอ่ยอย่างรวดเร็วแล้วเดินจากไปโดยที่ไม่ได้มีท่าทีอยากจะเดินไปส่งเหมือนอย่างทุกที เคนรู้ว่าคงจะทำให้นิดหงุดหงิดอีกแน่


   ....แต่แฟนของเขาในตอนนี้ไม่ใช่นิด....
    ....เขาควรไปอยู่ข้างๆคนๆนั้นมากกว่า...



    “เอาล่ะครับ หวังว่าทุกคนคงจะพร้อมกันแล้วที่จะรับชมหนังสั้นของเขา “เรื่องของเราในฤดูร้อน” เป็นหนังสั้นเรื่องแรกของชมรมโดยมีผม โชติ รับหน้าที่เป็นผู้กำกับและเขียนบท” โชติเป็นคนออกมากล่าวทักทายทุกคน โดยมียุทธ์และจูนยืนอยู่ด้านหลัง เคนรีบเดินเข้าไปประกอบเด็กหนุ่มผมทองคนนั้นทันที


    “เดินมาไม่เรียกเลย” ร่างสูงกระซิบกระซาบ


    “ก็เห็นยุ่งๆ” จูนตอบกลับเสียงเรียบเฉย


    “โกรธเหรอ....”


    “....................” เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ยกมือขึ้นปรบเบาๆเมื่อโชติพูดเสร็จ เขาโบกมือให้กับคนดูเล็กน้อยก่อนจะเดินตามยุทธ์กับโชติไปนั่งที่เบาะนั่งที่เตรียมเอาไว้ เคนเองก็รีบตามไปนั่งข้างๆอย่างว่องไว แน่นอนว่านั่งกั้นระหว่างจูนกับยุทธ์อีกต่างหาก


    “เชี่ยเคนมึงอย่ามานั่งเบียดกูได้ไหม” ยุทธ์โวยวายขึ้นมาเบาๆ


    “เออน่า ขอกูนั่ง” เคนตอบกลับไม่ได้ยี่หร่ะอะไรนักผิดกับยุทธ์ที่ดูจะหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย ตอนนี้สิ่งที่อยากรู้คือท่าทีของเด็กหนุ่มผมทองที่นั่งอยู่ทางขวาตรงนี้ต่างหาก


    “พี่ไม่ได้ชวน....” เคนเอ่ยปากออกไปเบาๆ แต่กลับเจออีกฝ่ายหันมาจุปากใส่ พลางพยักเพยิดไปทางสกรีนที่กำลังจะเริ่มฉายหนัง ทุกคนในห้องเงียบเสียงลงเมื่อช็อตแรกของหนังเริ่มขึ้น


    การแสดงของชมรมการแสดงในครั้งนี้ เป็นการแสดงที่ต่างออกไปจากที่แฟนคลับของชมรมการแสดงเคยเห็น แม้จะมีเสียงขำขันในตอนแรกเพราะเครื่องแต่งกายของแต่ละคนและเรื่องราวที่สอดแทรกด้วยมุกตลกท่าทางกับบทสนทนาแกมจิกกัดชีวิตนักศึกษาในปัจจุบัน แต่สักพักคนดูก็คล้ายจะยิ่งเงียบงันไปกับเรื่องราวของความรักของ “ยุทธ์” และ “โชติ” ฉากอุบัติเหตุการจมน้ำที่ดูสมจริงสมจัง


    “...............” ผู้กำกับของเรื่องและหัวหน้าชมรมเบือนหน้าหนี แม้ไม่ได้ดูแต่การที่ต้องเห็นตัวเองประสบเหตุแบบนั้นมันก็สะเทือนใจอยู่ไม่น้อย โชติเผลอกุมมือเข้าหากันแน่นจนสองมือนั้นสั่น   แต่แล้วก็รู้สึกว่ามีมือของใครบางคนมาหยุดอาการสั่นเทานั้น เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วมองไปที่ด้านข้างก็เห็นว่าเป็นมือของยุทธ์เองที่กุมมือของเขาอยู่ท่ามกลางความมืด


    ....และมือนั่นก็สั่นอยู่เช่นกัน...


       ฉากย้อนอดีตความรักของ “จูน” กับ “เคน”ในเรื่อง เรียกเสียงหัวเราะคิกคักจากสาวๆได้ในตอนแรก ได้ยินเสียงแว่วมาว่า


    ...พี่เคนหล่อจัง....

    หรือไม่ก็

    ...นั่นจูนใช่ไหม....


    เด็กหนุ่มเจ้าของบทบาทดูจะประหม่าไม่น้อยกับการเห็นการแสดงของตัวเองบนหน้าจอ และยิ่งประหม่ามากขึ้นเมื่อบนหน้าจอแปรเปลี่ยนเป็นฉากเลิฟซีนที่ถ่ายกันในห้องนอนในบ้านพักของครอบครัวของยุทธ์ที่หัวหิน


    ใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาเป็นประกาย สีหน้าและเสียงที่เปล่งออกมานั้นดูไม่ใช่ตัวเขาเลย เป็นเหมือนคนอีกคน...คนอีกคนที่กำลังมีความรัก ไม่ต่างจากผู้ร่วมแสดงร่างสูง นึกขอบคุณทั้งยุทธ์และโชติที่ช่วยใส่เพลงประกอบทับลงไปเพราะไม่อย่างนั้นคงจะได้ยินทั้งเสียงลมหายใจกับเสียงหัวใจของพวกเขาด้วยก็เป็นได้ จูนได้แต่นั่งตัวแข็งด้วยความประหม่าเขาไม่กล้าหันไปมองใคร ไม่แม้แต่จะหันไปมองคนตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ในช่วงเวลาของฉากเลิฟซีนนั้น น่าแปลกทั้งๆที่เขาคาดหวังเสียงโห่ฮา หรือ เสียงร้องด้วยความขนพองสยองเกล้าจากคนดู แต่กลับไม่ได้ยินเสียงใดราวกับว่าทุกคนกำลังตกอยู่ในภวังค์กับภาพตรงหน้า


    ในขณะเดียวกันดวงตากลมโตของเชียร์ลีดเดอร์ประจำคณะวิทยาการจัดการก็กำลังมองภาพบนสกรีนด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนด้วยใจหนึ่งหรือก็รู้ดีว่าสิ่งที่กำลังเห็นอยู่ตรงหน้าคือการแสดงของเคนที่ถึงแม้ว่าฝ่ายชายจะไม่ค่อยยอมให้มาดูนักแต่จากที่คบกันมาก็พอจะรู้บ้างว่าในขณะที่แสดงเคนจะมีสีหน้าแบบใด แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกได้ถึงความจริงที่ฉายอยู่บนดวงตาคมคู่นั้น ทุกครั้งที่ “เคน” มอง “จูน” สายตาในแบบที่เธอไม่เคยเห็นและน้ำเสียงยามกระซิบกระซาบตามบทนั้นยิ่งทำให้ใจเกิดความรู้สึกขุ่นมัว



   ...ก็รู้ว่านี่มันการแสดงแต่จำเป็นจะต้องดูดดื่มขนาดนั้นเลยรึยังไง!!...



    ในใจร้อนรุ่มด้วยความรู้สึกในแบบที่ไม่ได้รู้สึกมานาน รู้ว่าไม่ควรจะหึงเพราะตัวเองไม่ได้อยู่ในสถานะแฟนอีกแล้ว แต่ในตอนที่อีกฝ่ายกำลังแสดงอยู่มันเป็นตอนที่เคนยังคบกับเธออยู่ไม่ใช่หรือยังไง นิดได้แต่คิดอย่างหงุดหงิดด้วยนึกหวงคนรักประกอบกับกลัวเหลือเกินว่าฉากที่เห็นวันนี้จะทำให้เพื่อนๆนำกลับมาล้อว่าเคน “คนรัก”ของเธอนั้นติดใจ “กระเทยจูน” มาตั้งแต่แสดงละครบนเวทีด้วยกันเมื่อครั้งก่อน นิดได้แต่ขบกรามแน่น ดวงตาสวยแบบสาวไทยเบนสายตาไปมองยังชายหนุ่มร่างสูงกับรุ่นน้องผมสีทองคนนั้น คนหนึ่งอมยิ้มน้อยๆในขณะที่อีกคนดูจะนั่งดูด้วยความประหม่า


    …พี่เคน...
       ...ที่บอกเลิกเพราะมีคนใหม่...
    ...แล้วไหนล่ะ คนไหนกัน...



    ไฟในห้องประชุมสว่างขึ้นอีกครั้ง พร้อมเสียงปรบมือของคนที่เข้ามาชมเรื่องราวความรักแรกพบของ “ยุทธ์” กับ “โชติ” ที่ดำเนินไปพร้อมๆกับความรักที่มีทั้งสมหวัง ผิดหวัง พลาดพลั้งแต่สุดท้ายก็กลับมาเข้าใจและรักกันได้เหมือนเดิมของตัวละคร “จูน” และ “เคน” มีเสียงโห่ร้องผิวปากแซวอยู่ไม่น้อย


    “โชติกับจูนสาวน้อยมาก การแสดงหรือเอาเรื่องจริงมาเล่น หะ!”


    “ก...การแสดงครับ การแสดง” จูนรีบตอบทันควันใบหน้านั้นแดงก่ำยิ่งเรียกเสียงหัวเราะจากคนดูมากขึ้นไปอีก


    “แล้วตอนที่ได้ด่า “ไอ้บ้า ไอ้งี่เง่า ไอ้ควาย นั่นก็การแสดงใช่ไหม” ยังมีอีกคนตะโกนถาม


    “อ้อ อันนั้นเรื่องจริงเลยครับ! “จูนตอบเรียกเสียงหัวเราะได้จากหลายๆคน เขาเดินคุยทักทายกับกลุ่มเพื่อนที่คอยติดตามผลงานของชมรมมาโดยตลอด แวะถ่ายรูปกับรุ่นน้องปี 1 ที่ต่อสู้แย่งชิงตั๋วเข้ามาดูจนได้อย่างเป็นกันเอง


     “แสดงเก่งนะคะ เล่นเหมือนมากซะถ้าพี่เป็นนิดคงหึงแย่เลย” อยู่ๆต่ายก็เดินเข้ามาใกล้พร้อมหัวเราะเสียงสูง แม้จะแต่งหน้าแต่งตาแต่สำหรับจูนผู้หญิงตรงหน้ากลับดูไม่น่ามองเท่ากับนิด อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ค่อยชอบโทนเสียงของอีกฝ่ายก็เป็นได้ เด็กหนุ่มก้าวเท้าถอยห่าง


    “ขอบคุณครับที่ชม” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบา


    “ใช่ จูนแสดงเก่งมากเลยล่ะ เล่นซะพี่เคลิ้ม” อยู่ๆเคนก็เดินเข้ามากอดคอของจูนจากทางด้านหลัง ท่าทางอารมณ์ดีนั่นทำให้เด็กหนุ่มยิ่งทำตัวไม่ถูก


    “อ่ะ...เฮ้ย พี่เคน เล่นอะไร หนัก อึดอัดด้วย”


    “โอ้ยๆ แบบนี้จะชวนจิ้นใช่ไหมคะพี่เคน” ต่ายยิ่งหัวเราะเสียงดังพาเพื่อนในกลุ่มคนอื่นๆขำตามไปด้วยยิ่งมีภาพจากแฟนเพจหนุ่มหล่อประจำมหาวิทยาลัยที่โพสต์ภาพทั่งคู่ให้ดูกันเมื่อคราวก่อนยิ่งปลุกกระแส “จิ้น” ให้เม้าท์กันสนุกปาก จะมีก็แต่นิดที่ดูจะไม่สนุกด้วยสักเท่าไรในทุกๆครั้ง


    “คู่จิ้นก็คงได้แค่จิ้นมั้งต่าย....” สาวร่างเล็กว่าพลางเดินเข้าไปยืนใกล้ๆกับต่าย ดวงตาคมสวยคู่นั่นมองหน้าของเคนนิ่งพร้อมริมฝีปากที่หยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม


    “โอ้ยตาย แก...ชั้นลืม ตัวจริงเขามาทวงแล้วนะ เมื่อวานก่อนก็ออกจะสวีทนี่ออกมาจากหอพี่เคนแต่เช้าเลยค่า” แน่นอนว่าความพูดมากเกินพอดีของต่ายมักจะมาได้ถูกที่ถูกเวลาเสมอ นิดทำทีเป็นเขินทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจ มือเรียวตีไหล่ของเพื่อนสาวไปหนึ่งที


    “ต่ายอ่ะ พูดอะไร อายเขา”
 

    แต่ดูเหมือน “เขา” ที่พูดถึงคงไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้สึกแบบเดียวกับที่จูนรู้สึกในตอนนี้ ดวงตาสีน้ำเงินด้วยคอนแทคเลนส์หันไปมองใบหน้าคมของหนุ่มรุ่นพี่ ถามหาความจริงด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความประหลาดใจแทบจะในทันที


    “เฮ้ย เรื่องมันไม่ได้เป็นแบบนั้นนะ เข้าใจผิดกันไปหมดแล้ว ” เคนยกมือไม้โบกปฏิเสธเป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างสูงโปร่งของใครบางคนผลุนผลันเดินออกมาวงสนทนาไปโดยไม่บอกกล่าว
 

       “อ้าวเฮ้ย จูน...จะไปไหนน่ะ!” มือแกร่งเอื้อมไปหมายจะคว้าแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว

    

      “อะไรกัน...คู่จิ้นไม่อยากฟังเสียแล้ว น้องเขาคงอยากให้พวกเราได้คุยกันมั้งคะพี่เคน เป็นไงล่ะแฟนฉัน แสดงเก่งจนนักแสดงร่วมยังเคลิ้มเลย” ไม่วายมือเรียวเอื้อมมากอดแขนของเคนเอาไว้ด้วยท่าทีออดอ้อนแถมยังคุยอวดสรรพคุณเหมือนทุกที ยิ่งทำให้เคนยิ่งกลุ้มใจเขาอยากจะเดินตามจูนไป แต่ก็ต้องมาเจอคำพูดกับท่าทีเดิมๆที่น่าเหนื่อยหน่ายของนิดอีกแล้ว

    
        “นิด....พอเถอะนะ พี่ขอ”

    
         “อะไรกันพี่เคนจะมาขออะไรกันตรงนี้คะ” แต่ก็ดูเหมือนกลุ่มสาวๆจะยิ่งได้ใจไม่มีใครยอมฟังคำพูดของเคน...เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา จนชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิดเขาทนมาโดยตลอดก็เพราะเห็นแก่หน้านิด แต่ตอนนี้นิดดูเหมือนจะไม่เห็นแก่เขาเลยแม้แต่น้อย การกระทำในตอนนี้ของนิดก็เพื่อตัวเองเท่านั้น
    

         “ทุกคน ฟังพี่ก่อน เรื่องมันไม่ใช่แบบนั้น” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างหนักแน่นนั้นทำเอาเสียงหัวเราะนั้นเงียบลงในทันที ดวงตาคมหันไปมองนิด เขาไม่พอใจทำไมเพียงแค่นี้นิดถึงไม่เห็น ร่างสูงสูดลมหายใจเข้าปอดไปเฮือกใหญ่ก่อนจะทอดถอนลมหายใจออกมาอย่างหนักอก


    “...วันนั้นนิดแค่เอาข้าวเช้าไปให้ มันไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น”


    สุดท้ายเคนเลือกที่จะไว้หน้าของนิด หากพูดอะไรออกไปตอนนี้เรื่องราวคงกลายเป็นใหญ่โตแล้วเขาก็ไม่อยากจะให้มันเป็นเช่นนั้น


    “และพี่ขอตัวก่อน มีธุระต้องไปทำ” เคนตัดบททิ้งอย่างไร้เยื่อใย ก่อนจะรีบก้าวเท้าออกไป เขารู้ว่าจูนไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วเขาต้องรีบไปตาม เด็กผมทองนั่นก็ไวแสนไวและก็คงจะโกรธเขามากด้วยเช่นกัน


    “พี่เคน จะไปไหนน่ะ นิดไปด้วย” แต่เสียงของหญิงสาวยังตามมาพร้อมกับมือเรียวที่ฉุดยื้อเอาไว้แต่ก็ตต้องชะงักเมื่อมือแกร่งที่เคยจับกันแน่น ในตอนนี้กลับดึงมือของเธอออก


    “กลับไปคุยกับเพื่อนเถอะ”  เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ บนใบหน้าคมแสดงสีหน้าชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ตามมา ในดวงตานั้นฉายแววกร้าวจนนิดต้องปล่อยมือออกจากวงแขนของอีกฝ่าย


    “เพราะตอนนี้ พี่ไม่มีอะไรจะคุยกับนิดแล้ว”


    “แล้วพี่เคนจะไปไหน จะกลับมาไหมคะ นิดไม่อยากกลับคนเดียว” เชียร์ลีดเดอร์สาวยังออดอ้อนด้วยท่าทีเดิมที่ในตอนนี้ใจของเธอเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่ามันจะยังมัดใจของคนตรงหน้าได้อีกหรือไม่



    “นิด บางเรื่องพี่ก็แค่ไม่อยากตอบเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่นิดจะรู้ พี่ก็มีเรื่องของผู้ชายให้ต้องไปตามเหมือนกัน”


    เสียงทุ้มตอบกลับด้วยใจความที่ทำให้เด็กสาวตรงหน้ารู้สึกเหมือนมีกระแทกอะไรเข้ามาที่หน้า แต่ก่อนที่เธอจะได้ต่อปากต่อคำอะไรต่ออดีตคนรักร่างใหญ่ก็เดินออกจากห้องประชุมไปเสียแล้ว



to be con....

@@@talk@@@

สวัสดีปีใหม่นะคะ ขอให้ทุกคน มีความสุขโชคดีตลอดปีค่ะ
ใครหงุดหงิดยัยนิด.........ใจเย็นๆนะคะ นิดเขาก็เป็นแบบนี้ล่ะค่ะ  :beat:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-01-2017 23:41:24 โดย goldfishpka »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ห่วงแต่รักษาหน้าแฟนเก่าแล้วคิดจะห่วงรักษาความรู้สึกของจูนบ้างไหมล่ะพี่เคน :m16: :m16: :m16: :m16:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด