@@@ talk @@@
อัพฉลองหยุดยาววันแม่ค่ะ
อย่าลืมบอกรักแม่นะคะ
Chapter 35 : รอยจูบ
วิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนไม่มีอะไรชวนให้มองนัก นอกไปจากไฟสีส้มที่ส่องให้แสงริมทางหลวง ก็คงมีเพียงท้ายรถบรรทุกที่ประดับประดาด้วยหลอดไฟหลากสีจนนึกว่าเป็นยานแม่จากต่างดาวที่ลงมาเยือนโลก ลงมาตามหามนุษย์เอาไปทดลองด้วยการลักพาตัวให้คนๆนั้นหายไปเงียบๆ โดยไม่ทิ้งความทรงจำใดๆไว้ให้กับคนที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง...อย่างน้อยจูนก็คิดว่ามันเป็นแบบนั้นตามที่เขาเคยดูในหนังไซไฟสักเรื่องจากกองดีวีดีในคลังเก็บหนังของโชติ แต่สิ่งนั้นกลับไม่เกิดขึ้นกับเขา...ความทรงจำทุกอย่างยังตราตรึง ตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งเมื่อตอนเย็น...
…ตอนที่เคนหนีไป...
จูนรู้ดีว่าหากใช้คำว่า “หนีไป” มันคงเป็นการกล่าวที่เกินจริง เคนยังคงอยู่ในห้องนอน ตอนที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมา ชายหนุ่มฟุบหลับอยู่ข้างๆเตียงของเขานั่นเอง ใบหน้าตอนนอนยังคงนอนหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนคนอมทุกข์อย่างทุกที แต่มันก็ไม่ใช่ภาพที่เขานึกอยากจะเห็นในเช้าของวันปีใหม่ อันที่จริงเขาทั้งโกรธ ทั้งอับอาย แต่ก็รู้ตัวเองว่าได้มีความสุขไปในเวลาเดียวกัน ...และนั่นมันทำให้เขายิ่งรู้สึกผิดกับสิ่งทีเกิดขึ้นมากขึ้นไปอีก
....และคงเป็นความรู้สึกของเขานั่นเองที่ทำให้เคน “หนีไป”....
...............................
อุณหภูมิในห้องที่ลดต่ำลงเพราะแอร์ที่เปิดเร่งไว้ทั้งคืนทำให้คนที่หลับสนิทไปตั้งแต่เมื่อคืนต้องขยับตัวดึงผ้าห่มมาคลุมกายอยู่หลายต่อหลายครั้งเสียจนทนไม่ไหวต้องเปิดตาตื่นขึ้นมาเพราะความหนาวจับใจ และภาพแรกที่เห็นก็ทำให้เด็กหนุ่มผมสีทองสะดุ้งเฮือก เมื่อลืมตาขึ้นมาเห็น คิ้วคม สันจมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากบนที่ดูเหมือนจะบางแต่ก็ได้รูปสวยรับกับริมฝีปากล่างประหนึ่งถูกสร้างสรรค์มาเป็นอย่างดีของใครบางคน รุ่นพี่ร่างสูงที่ในตอนนี้นอนเอาหน้าอิงซบกับฟูกยังคงนอนหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือคนอมทุกข์เช่นทุกที
“พี่เคน.....?!”
เด็กหนุ่มขยับตัวลุก แต่ก็ต้องร้องโอยออกมาเบาๆเพราะความรู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งไหล่ พลันความรู้สึกคลื่นเหียนก็วิ่งสวนขึ้นมาจากในกระเพาะ ถึงตอนแรกอยากจะลุกออกไปอย่างเงียบๆ แต่กลับทำไม่ได้จูนกระโจนพรวดไปยังห้องน้ำ แทบจะในทันที
อ่อก!!! …
ความแสบร้อนแล่นขึ้นมาที่ช่องอกจนรู้สึกแทบจะทนไม่ไหว แต่มันก็คงดีกว่ากล้ำกลืนลงไป จูนหอบหายใจน้อยๆเมื่อเอาทุกอย่างออกมาจากช่องท้องจนรู้สึกดีขึ้นมามาก ถึงได้สังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองไม่ใช่ชุดที่ใส่เมื่อคืน ประกอบกับมองไปรอบๆก็ยังคงเห็นภาพเดิมของห้องน้ำที่ชวนย้อนให้นึกถึงกิจกรรมทีเพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อคืน มันไม่ใช่เรื่องดีนักหากฉากพวกนั้นจะเป็นสิ่งแรกที่เขานึกถึงในเช้าวันปีใหม่
…. บ้าที่สุด...... เด็กหนุ่มหลับตาแน่น เขาไม่ได้อยากจะนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลยแม้แต่น้อย
"เป็นอะไรรึเปล่า........" เสียงของเคนดังขึ้นที่หน้าประตูพร้อมกับร่างสูงที่ก้าวเข้ามาด้านในห้องน้ำ ท่าทางเหมือนตกใจกับภาพที่เห็นอยู่ไม่น้อย
“.....................................”
จูนไม่ได้ตอบเพียงแค่เบือนหน้าไปอีกทางแล้วยันตัวเองลุกขึ้น เด็กหนุ่มกดชักโครกทิ้งแล้วเดินไปที่อ่างล้างปากลวกๆ ก่อนเอามือวักน้ำขึ้นล้างหน้า สองมือเท้าลงกับผิวหน้าเรียบเย็นของเค้าท์เตอร์ ดวงตากระพริบถี่ๆเมื่อใบหน้าเปียกชุ่มก่อนจะมองตรงเข้าไปยังกระจกซึ่งสะท้อนเงาของร่างสูงที่ยืนอยู่เบื้องหลัง
“ผมแค่อ้วก ไม่ได้เป็นอะไรหรอก....” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงแข็ง ก่อนจะหันไปหยิบยาสีฟันกับแปรงสีฟันทำท่าทีเหมือนไม่ได้สนใจอีกฝ่ายสักเท่าไรนัก
“พี่แค่....กลัวแกจะไม่สบาย”ชายร่างสูงเสียงอ่อนลงแทบจะในทันที ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้ พลางยกมือขึ้นจะแตะศรีษะของเด็กหนุ่ม
“อย่า....!!” ร่างสูงโปร่งของรุ่นน้องกลับสะดุ้งเฮือก มือเรียวปัดมือแกร่งของเคนออกเสียงดังเผียะ ความเจ็บปลาบแล่นลามจากปลายนิ้วเข้ามาจับที่หัวใจของนักมวยร่างสูงอย่างช่วยไม่ได้
“....................หยุดตรงนั้นเลย!” ในสายตาของเด็กหนุ่มที่มองกลับมานั้นเต็มไปด้วยความกลัวระคนกับความโกรธเกรี้ยวที่ไม่อาจสะกัดกลั้นเอาไว้ได้อีกต่อไป ร่างทั้งร่างเกิดสั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ จูนค่อยขยับยึดให้เค้าท์เตอร์อ่างล้างหน้านั้นเป็นหลักก่อนจะก้าวเท้าไปด้านข้างราวกับพยายามจะหาที่ปลอดภัยให้กับตัวเอง
“..........ออกไป....” เสียงแหบพร่าลอดผ่านไรฟัน จูนหันมองไปทางอื่นเขาไม่อยากแม้แต่จะเห็นหน้าของอีกฝ่ายในตอนนี้ และเคนเองก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้การสังเกตใดๆถึงจะเห็นได้.....ในเมื่อท่าทางของเด็กหนุ่มผมทองออกจะชัดเจนเสียขนาดนี้
“............กลัวพี่เหรอ” เคนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่าภาพของเด็กหนุ่มตรงหน้าทำให้หัวใจของเขาบีบตัวรุนแรงจนเจ็บเจ็บลึกเข้าไปข้างใน
“...ผมไม่ได้กลัวพี่...คนแบบพี่ทำให้ผมกลัวไม่ได้หรอก....ออกไปซะ” จูนตอบทั้งๆที่แทบจะไม่มีเสียงออกมาจากลำคอ
“เอ่อ....” เคนอยากจะพูดต่อแต่แววตานั้นยิ่งบอกให้รู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ได้อยากจะฟังไปมากกว่านี้
“งั้นพี่ไปรอข้างนอก.....ถ้ามีอะไรก็บอกนะ” ร่างสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาก่อนจะถอยกลับออกไปโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูห้องน้ำให้กับอีกฝ่าย...
“...เฮ้อ......” จูนถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อประตูบานนั้นปิดลงที่ไม่อยากจะมองหน้าเพราะเขาไม่อยากจะนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอีกแล้วมันต้องเป็นเพียงแค่ความทรงจำที่ไม่ควรจะถูกบันทึกเอาไว้ คิดแบบนั้นพลางตลบชายเสื้อยืดขึ้นด้วยหวังว่าจะอาบน้ำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นอีกสักหน่อย ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก
บนต้นแขนขาวนั้น มีรอยช้ำแทบจะเรียกได้ว่าเป็นรอยมือปรากฏอยู่ เช่นเดียวกับบนผิวเนื้อเนียนบนต้นคอที่มีรอยจูบเรื่อยมาจนถึงบนแผ่นอกที่มีร่องรอยเหลือทิ้งไว้ประปราย
“.........................”
ทีนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกปวดร้าวจนแทบจะยกแขนไม่ขึ้น...นี่เมื่อคืนมือของรุ่นพี่ร่างสูงคนนั้นบีบลงมาบนแขนของเขาด้วยความรู้สึกแบบไหนกัน ริมฝีปากคู่นั้นสัมผัสด้วยความรู้สึกแบบไหน
....จะเจ็บ...เหมือนกันไหม...………………………………………
เด็กหนุ่มใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำสักพักใหญ่ ก่อนจะเดินกลับออกมา ร่างสูงโปร่งคว้ากางเกงยีนส์สีเข้มพอดีตัวมาสวม พลางใช้ผ้าขนหนูเช็ดเส้นผมที่เปียกชื้นของตัวเอง
“อาบน้ำ เสร็จแล้วเหรอ....” คนที่นั่งอยู่ที่ปลายเตียงอย่างกระสับกระส่ายมาตลอดผุดลุกขึ้นทันที ทำเอาคนที่พิ่งจะอาบน้ำเสร็จถึงกับสะดุ้ง
“นี่พี่ยังนั่งอยู่อีกเหรอเนี่ย!...... “จูนรีบคว้าเอาเสื้อเชิ้ตที่เตรียมไว้มาสวมทับทันที
“ก็พี่เป็น...” ถึงจะอยากพูดต่อแต่เพราะมือที่ยกขึ้นของเด็กหนุ่มทำให้เขาต้องหยุด
“.............” จูนสูดลมหายใจเข้าลึก เด็กหนุ่มดึงผ้าขนหนูลงแล้วโยนไปอีกทาง ดวงตารีเรียวมองใบหน้าคมของคนตรงหน้าอย่างยากจะคาดเดาอารมณ์
“มองพี่แบบนั้นทำไม?” เคนเอ่ยถาม
“ผมอยากต่อยพี่....” จูนตอบด้วยเสียงแหบพร่า “แต่มันน่าเสียดายว่าพี่ต้องใช้หน้านั่นถ่ายหนังวันนี้...และผมรู้ว่าถ้าผมต่อย นักมวยอย่างพี่ก็จะหลบทัน....”
“ก็ต่อยสิ...เชื่อเถอะว่าพี่จะไม่หลบแม้แต่ก้าวเดียว” เคนตอบ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าตอนนี้คนตรงหน้ากำลังคิดอะไร ความกราดเกรี้ยวทั้งหลายมันปรากฏอยู่ในสองตานั้น มือแกร่งเอื้อมไปจับหมัดที่กำแน่นของอีกฝ่ายเอาไว้ เด็กหนุ่มสะบัดมือของอีกฝ่ายออกแทบจะในทันที
....ผั่วะ!!.... คนตัวใหญ่ถึงกับเซตามแรงที่เหวี่ยงมากับช่วงแขนนั้น รู้สึกมึนจนต้องถอยกลับไปนั่งลงกับเตียง ความชาแล่นไปทั้งหน้า แต่กระนั้นก็ยังพยายามที่จะยิ้มออกมา เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนหอบหายใจแรงคล้ายกำลังพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง ผิวแก้มของจูนแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด
“ดีขึ้นไหม?” แม้ไม่มั่นใจนักแต่ก็ยื่นมือออกไป จูนปัดมือของเคนออกไปอีกทาง
“ไม่! และรอยพวกนี้มันก็ไม่หายไปด้วย!” เด็กหนุ่มเปิดเสื้อให้อีกฝ่ายดูว่าเคนทำมันเป็นรอยมากขนาดไหน ร่องรอยบนผิวขาว รอยขนาดใกล้เคียงกับนิ้วมือของเคนบนกล้ามเนื้อของเด็กหนุ่มทำ ให้หัวใจของของคนที่ได้เห็นภาพนั้นไหววูบ
“จำไว้นะ..อย่ามาทำแบบนี้กับผมอีก ถ้าไม่ใช่บทก็อย่ามาจับ อย่ามาเข้าใกล้ผมอีก เราไม่ได้เป็นอะไรกัน นี่มันร่างกายของผมพี่ไม่มีสิทธิ์มาทำให้มันเป็นแบบนี้!!” จูนเอ่ยด้วยความโกรธ โกรธเสียจนเสียงที่เปล่งออกมานั่นสั่นพร่ารู้สึกเหมือนความไว้วางใจของเขาถูกทรยศ เขาทั้งโกรธและเสียใจ ความรู้สึกมันประดังประเดออกมาพร้อมกับถ้อยคำเหล่านั้น
“พี่ขอโทษ...”
“มันสายไปแล้วล่ะ...ทุกอย่างมันเกิดขึ้นและจบลงไปแล้ว วันนี้คือวันสุดท้ายของการถ่ายหนัง ผมก็หวังว่าทุกอย่างมันจะจบที่นี่ด้วย และพี่ไม่ต้องมารับมาส่งอะไรผมอีก ผมไม่อยากรู้สึกผิดทุกครั้งที่เห็นหน้าพี่” เด็กหนุ่มว่าพลางก้าวขาจะเดินออกไปจากห้องแต่มือแกร่งกลับฉวยมือของเด็กหนุ่มเอาไว้
“ช่วยทำกับผมเหมือนเป็นรุ่นน้องคนนึง.....เหมือนเดิม.....จะได้ไหม”
“ที่พี่ทำมันไม่ทำให้แกรู้สึกอะไรเลยใช่ไหม......” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาคล้ายคนหมดแรง
“.................” เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น ทำไมเขาจะไม่รู้สึก ร่างกายของเขาถูกกระตุ้นจนพลุ่งพล่าน เร่าร้อนจนไม่อาจจะควบคุมสิ่งใดเอาไว้ได้ มิหนำซ้ำยังทรยศใจเขาไปเรียกร้องการกระทำของอีกฝ่ายอย่างน่าอาย
“กะอีแค่นั้น ใครๆก็ทำให้ตัวเองได้หรอก....มันไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยสักนิด” หัวใจมีแรงบีบจนสะท้อนเจ็บไปทั่วอก แต่ก็พยายามสกัดกลั้นเอาไว้
“ระหว่างเรามันไม่เคยมีอะไรพิเศษเลยใช่ไหม....” เคนหลับตาแน่น เขาไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้นมองหน้าของอีกฝ่ายในตอนนี้เสียด้วยซ้ำ
....ปกติโดนเตะ โดนต่อยแค่ไหนก็ไม่เคยคิดจะมีน้ำตา...
....ทำไมเช้านี้ แค่คำพูดแค่นี้ถึงอยากจะร้องไห้วะ.... “ปล่อยผม...ได้เวลาที่พี่ต้องไปเตรียมตัว “แสดงบท” ของตัวเองแล้ว” จูนเอ่ยพลางดึงมือของตัวเองออกช้าๆ
“จูน.......” เคนยังเรียกชื่อของเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าราวกับคนที่หมดแล้วซึ่งเรี่ยวแรง
“...เห็นมีไอซ์แพ็คอยู่ในตู้เย็น ก็ประคบเอาเองละกัน” เด็กหนุ่มเอ่ยเบาๆแล้วเดินออกจากห้องไป...
อีกด้านหนึ่งของกำแพงห้อง ยุทธ์กับโชติจัดแสงจัดสภาพห้องให้เหมือนเดิมกับที่เมื่อวานจัดเอาไว้ ถึงทั้งสองคนจะยังอ่อนเพลียและไม่ได้มีอะไรให้พูดคุยกันมากนัก แต่เพราะเรื่องของการถ่ายทำนั้นเป็นอะไรที่ชักช้าไม่ได้อีกต่อไปจึงช่วยกันจัดการงานเสียจนเรียบร้อย
“หิวว่ะ....โชติ...มึงทำอะไรให้กูกินหน่อยสิ” ยุทธ์เอ่ยขึ้นมาหลังจัดไฟในห้องเสร็จ ทำเอาผู้กำกับประจำกองต้องหันกลับไปมองอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ใช่เรื่องกูไหม....ท้องก็ท้องมึง บ้านก็บ้านมึง ครัวก็ครัวมึง หิวก็ไปหาของยัดทานเอาเอง....ก็แล้วกัน” โชติตอบกลับอย่างเย็นชาพลางยกเก้าอี้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับฉากที่
“โธ่....คุณโชติครับ....นะครับ...ไข่ดาวฝีมือคุณโชติน่ะ อร๊อย อร่อยหาใครเปรียบได้........”ยุทธ์เป็นฝ่ายถลาเข้ามากอดที่ด้านหลังของโชติ เป็นกอดหลวมๆไม่เหมือนกับในยามค่ำคืนเมื่อหลายครั้งคราวก่อนหน้า ถึงจะยึดไว้เพียงชายเสื้อยืดแต่กลับทำให้รู้สึกอุ่นจนใบหน้าของโชติรู้สึกร้อนผะผ่าว....
“มันก็คงจะหาใครเปรียบได้อยู่หรอก นอกจากแม่มึงกับกูเนี่ย....เห็นมึงชมเรื่องกับข้าวอยู่แค่สองคน”
โชติไม่ได้หันกลับมองหน้าของอีกฝ่าย แต่ที่ริมฝีปากนั้นกลับมีรอยยิ้มจางๆ ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจแล้ว ว่าไม่มีหวัง แต่ถึงจะถูกปฏิเสธมาแล้ว แต่ความรู้สึกดีๆนั้นมันเปลี่ยนกันไม่ได้ ใช่ว่าเจอปฏิเสธเมื่อคืน วันรุ่งขึ้นจะคุยกันโดยไม่รู้สึกอะไร หรือล้มเลิกสิ่งที่คิดไว้มาตลอดไปเลยได้ในทันที ไม่มีอะไรง่ายดายขนาดนั้นเมื่อพูดถึงความรู้สึกของมนุษย์
“เออ จะว่าไปไข่เจียวฝีมือจูนก็อร่อยนะ”
“ผั่วะ!” ทันทีที่พูดจบประโยค เสียงอะไรบางอย่างก็กระแทกเข้ากับอกของยุทธ์อย่างแรง เมื่อมองดูถึงเห็นได้ว่าเป็นนิตยสารเล่มหนาเตอะ
“โอ้ย ห่าโชติ มึงตีกูทำไมวะ”
“ตีผีตะกละในตัวมึงไง....อยากกินไข่เจียวมึงก็ไปอ้อนให้จูนให้มันทำให้ไป....” คนตัวเล็กกว่าท่าทางหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย ในมือที่คว้านิตยสารได้ยังกำสันปกแน่น
“เอ้า...ก็กูอยากกินไข่ดาวนี่...ไม่ได้อยากกินไข่เจียว ถ้ากูอยากกินไข่เจียว กูคงไม่มาอ้อนมึงหหรอกนะ...นะ....โชติคนดี “
ไม่พูดเปล่าเดินตรงเข้าไปหาอีกฝ่าย ทั้งๆที่เห็นได้ชัดว่าโชติกำลังเงื้อนิตยสารขึ้น ข้อมือของผู้กำกับถูกกำเสียแน่น แล้วรวบเอวของโชติเข้ามาหา ดวงตากลมโตของยุทธ์สบตากับชายหนุ่มที่อยู่ในอ้อมแขนนิ่ง
“อ่ะ.....เอ่อ...........” โชติใบหน้าแดงก่ำ เมื่ออยู่ๆใบหน้าของอีกฝ่ายก็เข้ามาใกล้เสียขนาดนี้ ทั้งใบหน้าสวยได้รูป ดวงตากลมโต กับริมฝีปากที่โชติรู้ดีว่าจะได้รสบุหรี่แน่หากสัมผัส....เพียงแค่นั้นก็ทำให้ใจของเขาหยุดได้อย่างง่ายๆ
ยิ่งเมื่อยุทธ์ยิ้มน้อยๆที่มุมปาก....
“เร็วนะ....กูหิวแล้ว” สิ้นเสียงสั่งก็ปล่อยอีกฝ่ายออกจากอ้อมแขนไม่พอยังลูบหัวของโชติเบาๆ ก่อนจะเดินผิวปากจะออกจากห้องไป
“...หะ.........หะ......ห่ายุทธ์ มึงรู้ใช่ไหมว่ามึงใช้มุกนี้กับกูแล้วจะได้ผล!” โชติตะโกนตามหลังของชายหนุ่มว่าที่นักตกแต่งภายในคนนั้นไป ...อดนึกไม่ได้ว่าต่อไปถ้ายุทธ์ได้รับงานตามสายงานที่เขาได้มาจริง คนๆนี้จะใช้มุกไหนในการติดต่อธุรกิจกันแน่....
“กูรู้ทุกเรื่องทุกซอกของมึง เหมือนที่มึงรู้เรื่องของกูนั่นล่ะ....แถวนี้ไม่ได้มีโชติญานทิพย์คนเดียวนะครับ...ยุทธ์จิตสัมผัสก็ทำงานได้เหมือนกัน ...เร็ว เลิกเข่าอ่อนแล้วมาทอดไข่ให้กินด้วย ” ยุทธ์หันมายิ้มให้พร้อมยื่นมือให้โชติจับเอาไว้ โชติมองมือเรียวนั้นก่อนจะปัดไปอีกทาง
“กะอีกแค่ไข่ดาว ไม่ต้องมากลัวกูหนีเลยห่านี่....” โชติเอ่ยอย่างหัวเสีย ตอนนี้เขายังไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกทั้งเขินทั้งโกรธของตัวเองได้ ร่างเล็กกับผมพองฟูพาตัวเองเดินเบียดอีกฝ่ายออกจากประตูลงไปที่ห้องครัวด้านล่างทันที.....
…………………………………………….
มื้อเช้าดำเนินไปอย่างเงียบๆ มียุทธ์กับโชตินั่งด้านหนึ่งของโต้ะในขณะที่จูนและเคนนั่งข้างกันที่อีกด้าน เด็กหนุ่มทานอาหารอย่างสงบในขณะที่เคนที่มักจะพูดจาเสียงดังไปพลางแหย่จูนไปพลาง เช้านี้กลับค่อยๆเคี้ยวอย่างเรียบร้อยราวกับไม่อยากจะขยับกรามให้เจ็บปากมากนัก
“เคน............” โชติที่พยายามระงับอารมณ์มาสักพักใหญ่ถอนหายใจยาวพลางรวมช้อนส้อมเข้าด้วยกัน
“ถามจริงเหอะ มึงไปทำอะไรมาหน้าถึงได้แหกอย่างนั้นน่ะ!”
“เมา....ตกเตียง.....” เคนตอบพลางวางไอซ์แพคลงกับโต้ะดวงตาคมเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆเล็กน้อย
“ตกเตียง?....หน้าอย่างกับไปโดนใครต่อยมา...”
“เออน่า....รีบไปถ่ายกันดีกว่า จะได้เก็บของลาน้าพร แล้วจะได้รีบๆกลับมอ ให้สมใจคนแถวนี้สักที” ว่าพลางร่างสูงก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินเอาจานไปวางที่อ่างล้างจานอย่างกระแทกกระทั้น
.....โกรธสินะ.....
....เสียใจสินะ....
....ผมเองก็ไม่ได้ต่างจากพี่หรอก....
....พวกเรามันก็เห็นแก่ตัวพอๆกันนั่นล่ะ..... “จูน!!” “หะ!?” เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก และเมื่อหันไปปอีกครั้งก็พบว่าตัวเองนั่งอยู่ที่ม้านั่งหน้าร้านสะดวกซื้อในปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งข้างทางหลวงระหว่างการเดินทางกลับ ที่แวะพักเพราะเห็นว่าโชติอยากจะของีบสักพักในขณะที่ยุทธ์ก็อยากจะทำตัวให้สดชื่นขึ้นอีกสักนิดก่อนจะรับช่วงขับรถต่อ....
“อ่ะ พี่โชติ มีอะไรเหรอครับ....”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่เห็นแกเหม่อๆ....” โชติว่าพลางถอนหายใจ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตรงที่ว่างข้างๆเด็กหนุ่มรุ่นน้อง
“ฮ่ะๆ.....คงแค่ง่วงๆมั้งพี่ จะหลับก็ไม่หลับ สงสัยจะเหนื่อยเกินหลับแล้วล่ะ” เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ พลางยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ มองไปรอบๆได้กลิ่นน้ำมัน เห็นไฟสว่างวาบจากรถบรรทุกที่สัญจนในยามค่ำคืนสาดเข้ามาเมื่อเลี้ยวเข้าปั้ม ยุทธ์คงไปเดินสูบบุหรี่ที่ไหนสักที่....ทุกอย่างดูเชื่องช้าอย่างน่าประหลาดจนไม่น่าเชื่อว่าช่วงเวลาน่าอึดอัดเมื่อตอนถ่ายทำนั้นได้ผ่านไปราวกับความฝัน
“แต่วันนี้ก็ถ่ายได้ดีนะ ฉากของแกกับเคน....” โชติเอ่ยชม ทุกอย่างผ่านไปได้รวดเร็วจนไม่อยากจะเชื่อว่านี่เป็นคนสองคนเดียวกับที่เขาต้องสั่งเทคเป็นยี่สิบสามสิบเทคเมื่อเกือบสองเดือนก่อน
“พี่ว่าพวกแกก็ตั้งใจซ้อมกันดี ....ผลมันเลยออกมาเป็นแบบนี้ก็ต้องขอบใจแกจริงๆ ที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ให้ความคิดบ้าๆของพี่” โชติเอ่ย มือเล็กนั่นยกขึ้นตบไหล่ของเด็กหนุ่มเบาๆ
“ขอบคุณครับพี่ ...ถ้าพี่โชติชอบผมก็ดีใจ ผมอยากมีส่วนร่วมในงานของพี่นะ...พี่น่ะ ไอดอลของผมเลย” รุ่นน้องที่รับบทนำยิ้มกว้าง
“แกทุ่มเทกับการซ้อมก็ดีแล้ว...แต่พี่ไม่ได้อยากได้รอยช้ำจริงๆในฉากนะ”
“......... “ คำพูดที่ได้ยินทำให้เผลอทำกระป๋องกาแฟสำเร็จรูปตกลงกับพื้น แต่เด็กหนุ่มก็หาได้สนใจไม่ ดวงตารีเรียวนั้นเบิกโพลงก่อนจะหันไปมองหน้าของอีกฝ่าย
“พี่รู้? “
“ไอ้ตัวดี...” โชติถอนหายใจก่อนจะตบลงบนบ่าของรุ่นน้องเบาๆ
“จะดูถูกตาผู้กำกับไปหน่อยมั้งถ้าจะบอกว่า รอยพวกนั้นเป็นเมคอัพน่ะ....”
“ผม....ขอโทษ......” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงแหบพร่า ในตอนที่จะเข้าฉากถ่ายทำพอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองจะต้องเปลือยท่อนบนถึงได้รู้สึกตัวว่าตัวเขานั้นไม่ได้เหมาะแก่การถูกถ่ายทำเลยแม้แต่น้อย....จึงได้โกหกออกไปแบบนั้น
“ไอ้เคน.....มันเป็นคนทำใช่ไหม”
“...................” เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบ เพียงแต่เม้มริมฝีปากแน่นก่อนพยักหน้าลงอย่างจำใจ
“แล้วมันบังคับแกรึเปล่า” โชติหันมองซ้ายขวา ขยับเข้าไปใกล้แล้วถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นกว่าเดิม
จูนตั้งใจจะพยักหน้า แต่ความทรงจำของเขามันไม่ได้เป็นไปตามนั้น เด็กหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ
“แต่พวกผมไม่ได้มีอะไรกันมากไปกว่า.....แค่จับนะพี่” น้ำตาไหลลงมาจากดวงตาข้างหนึ่งอย่างห้ามเอาไว้ไม่ได้ เขาปฏิเสธความจริงที่น่าอายนี้ไม่ได้
“ขอโทษ....ผมไม่ได้ตั้งใจจะร้องไห้อีก” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงแหบพร่า แล้วยกหลังมือขึ้นปาดข้างแก้ม พยายามจะหยุดตัวเองอยู่ที่น้ำตาหยดเดียวนั้นให้ได้
“อย่าร้องสิวะ....สรุปนี่มันเกี่ยวกับเรื่องที่เคนมันลงจากรถไปตอนถึงนครปฐม รึเปล่า”รุ่นพี่ผมฟูดูมีท่าทีลำบากใจเล็กน้อยตอนที่พูดถึงบุคคลที่สาม
“ผม........คิดว่าคงใช่...” เด็กหนุ่มตอบเบาๆ เมื่อนึกถึงคำพูดของชายหนุ่มร่างสูงที่เอ่ยกับเขาตอนที่ขับรถตู้กันมาจนผ่านจังหวัดนครปฐม
‘พี่ไม่อยากเห็นแกนั่งทำหน้าลำบากใจไปตลอดทาง....’
‘แล้วเจอกันที่มหาลัยนะ.....ถ้าแกยังอยากจะเจอ.......’ ใจจริงของเขานั้นอยากจะห้าม อยากจะบอกออกไปว่า ‘ทางอีกตั้งไกล จะกลับยังไงคนเดียว’ อยากจะบอกออกไปว่า ‘กลับด้วยกันเถอะ’ แต่ปากของเขาก็หนักเหลือเกินเมื่อภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังย้อนกลับเข้ามาอยู่ในหัว เขาปล่อยให้แผ่นหลังกว้างของร่างสูงนั้นค่อยๆเดินห่างออกไปพร้อมกับกระเป๋าเป้ใบโต แผ่นหลังนั้นยังยืดตรงเหมือนทุกที เพียงแค่สิ่งที่ต่างออกไปคือบนใบหน้าคมนั้นยามที่บอกลาไม่ได้มีรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นให้เหมือนกับทุกครั้ง....แววตาที่เป็นประกายนั้นก็หายไปเช่นกัน
“ผม.....เป็นคนทำให้พี่เคนไปเอง.... ” เด็กหนุ่มเอ่ย ในอกรู้สึกอึดอัด อันที่จริงเขารู้สึกอึดอัดมาตลอดทางนับตั้งแต่เคนตัดสินใจจะลงจากรถไปมันอึดอัดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในทุกๆกิโลเมตรที่รถวิ่งผ่านและเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะทนต่อไปได้อีกแค่ไหนจนกว่าจะถึงมหาวิทยาลัย จูนเงยหน้าขึ้นพยายามมองขึ้นไปให้สูงที่สุดแม้ไม่รู้ว่าสายตาจะจับจ้องไปที่ใด แต่อย่างน้อยคงช่วยให้น้ำตาไม่ไหลลงมาได้อีก
“จูน....นี่แก...ชอบไอ้เคนมันเหรอ” โชติตัดสินใจถามออกไป เขารู้ดีถึงความรู้สึกของเคน ถึงเคนจะไม่เคยบอกเขามาตามตรงแต่ท่าทางที่แสดงออกอย่างชัดเจนโจ่งแจ้งนั้นไม่ใช่อะไรที่ต้องคาดเดาให้ยากนัก ตรงกันข้ามกับท่าทีของเด็กหนุ่มรุ่นน้อง ถึงจะรู้ว่าจูนชอบคนหน้าตาดี แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความรู้สึกทั่วไป คนเราชื่นชมความสวยงามบนร่างกายของคนอื่นได้เสมอๆ ไม่ใช่ท่าทางในแบบที่จูนกำลังเป็นอยู่ในตอนนี้ ที่ไม่ว่าจะมองอย่างไร มันก็ดูจะมีความหมายสำหรับตัวของเด็กหนุ่มผมทองคนนี้ไม่น้อยเลย
“ผม........ไม่........ผมไม่รู้” ปากอยากจะปฏิเสธ แต่ใจมันก็บีบแรงทุกครั้งที่คิดจะทำอย่างนั้น เด็กหนุ่มสูดลมหายใจแรง ร่างกายคล้ายจะสั่นเทิ้ม จนโชติต้องจับไหล่ทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มเอาไว้
“เฮ้ย....พอ ไม่รู้ ไม่อยากคิด ก็พอ....”
“ครับ........แต่พี่โชติ.......” เด็กหนุ่มหันไปมองหน้าของอีกฝ่ายด้วยดวงตาแดงก่ำ
“อะไร......”
“พี่ยุทธ์ไม่รู้เรื่องนี้ใช่ไหม....อย่าเพิ่งบอกพี่ยุทธ์นะ..มัน....น่าอาย”
“อื้ม...ไม่บอกหรอก....” โชติรับคำพลางยิ้ม “ไป เตรียมตัวออกเดินทางกัน ....แกนั่งไปกับไอ้ยุทธ์มันนะ พี่ขอนอนหน่อย”
“ครับ....” จูนเองก็ยิ้มตอบ ก่อนจะก้มลงเก็บแก้วที่ทำตกลงไปเมื่อครู่ ในใจรู้สึกโล่งขึ้นมาเล็กน้อย อาจจะเป็นเพราะอย่างน้อยเขาก็ได้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นออกมาบ้าง ถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจเอาไว้แต่แรกแต่มันก็อาจจะดีกว่าการเก็บทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้กับตัวเองแค่คนเดียว แม้บทสนทนาครั้งนี้อาจจะยังไม่มีคำตอบให้กับคำถามในใจของเขาก็ตาม
“ไป............” โชติว่าพลางดันไหล่ของรุ่นน้องเบาๆ เขามองร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มที่ค่อยๆเดินกลับไปที่รถ รู้ดีว่าเพิ่งจะโกหกคำโตกับเด็กหนุ่มรุ่นน้องไป แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อคำโกหกในคราแรกของอีกฝ่ายนั้นก็ไม่ได้แนบเนียนเท่าไรนักและยุทธ์ก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ไร้ประสบการณ์ทำไมคนอย่างยุทธ์จะดูไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ตัวเองกำลังรู้สึกดีๆด้วย
เขาจำแววตาของยุทธ์ที่มองไปยังผิวกายของจูนได้เป็นอย่างดี แววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความโกรธเกรี้ยวซึ่งสำหรับเขาแล้วมันน่าสนุกไม่น้อยกับการคาดเดาว่ายุทธ์จะทำอย่างไรต่อไป
....จะเลือกเป็นพี่ชายที่แสนดี.....
....หรือจะเลือกเปิดเผยตัวเองให้อีกฝ่ายรู้สักที.....
....ที่แน่ๆ งานนี้ไม่ง่ายเหมือนอย่างที่คิดหรอก.....to be continued......