รักไม่ใช่เล่น - Listen! This is not a joke -(Ch:54 ผ้าปูที่นอน 21/3/18 up!)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รักไม่ใช่เล่น - Listen! This is not a joke -(Ch:54 ผ้าปูที่นอน 21/3/18 up!)  (อ่าน 48042 ครั้ง)

ออฟไลน์ ~ณิมมานรฎี~

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1070
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-2

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
@@@ talk @@@
อัพฉลองหยุดยาววันแม่ค่ะ
อย่าลืมบอกรักแม่นะคะ

Chapter 35 : รอยจูบ


     วิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนไม่มีอะไรชวนให้มองนัก นอกไปจากไฟสีส้มที่ส่องให้แสงริมทางหลวง ก็คงมีเพียงท้ายรถบรรทุกที่ประดับประดาด้วยหลอดไฟหลากสีจนนึกว่าเป็นยานแม่จากต่างดาวที่ลงมาเยือนโลก ลงมาตามหามนุษย์เอาไปทดลองด้วยการลักพาตัวให้คนๆนั้นหายไปเงียบๆ โดยไม่ทิ้งความทรงจำใดๆไว้ให้กับคนที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง...อย่างน้อยจูนก็คิดว่ามันเป็นแบบนั้นตามที่เขาเคยดูในหนังไซไฟสักเรื่องจากกองดีวีดีในคลังเก็บหนังของโชติ แต่สิ่งนั้นกลับไม่เกิดขึ้นกับเขา...ความทรงจำทุกอย่างยังตราตรึง ตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งเมื่อตอนเย็น...


…ตอนที่เคนหนีไป...


        จูนรู้ดีว่าหากใช้คำว่า “หนีไป” มันคงเป็นการกล่าวที่เกินจริง เคนยังคงอยู่ในห้องนอน ตอนที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมา ชายหนุ่มฟุบหลับอยู่ข้างๆเตียงของเขานั่นเอง ใบหน้าตอนนอนยังคงนอนหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนคนอมทุกข์อย่างทุกที แต่มันก็ไม่ใช่ภาพที่เขานึกอยากจะเห็นในเช้าของวันปีใหม่ อันที่จริงเขาทั้งโกรธ ทั้งอับอาย แต่ก็รู้ตัวเองว่าได้มีความสุขไปในเวลาเดียวกัน ...และนั่นมันทำให้เขายิ่งรู้สึกผิดกับสิ่งทีเกิดขึ้นมากขึ้นไปอีก


    ....และคงเป็นความรู้สึกของเขานั่นเองที่ทำให้เคน “หนีไป”....


   
...............................



        อุณหภูมิในห้องที่ลดต่ำลงเพราะแอร์ที่เปิดเร่งไว้ทั้งคืนทำให้คนที่หลับสนิทไปตั้งแต่เมื่อคืนต้องขยับตัวดึงผ้าห่มมาคลุมกายอยู่หลายต่อหลายครั้งเสียจนทนไม่ไหวต้องเปิดตาตื่นขึ้นมาเพราะความหนาวจับใจ และภาพแรกที่เห็นก็ทำให้เด็กหนุ่มผมสีทองสะดุ้งเฮือก เมื่อลืมตาขึ้นมาเห็น คิ้วคม สันจมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากบนที่ดูเหมือนจะบางแต่ก็ได้รูปสวยรับกับริมฝีปากล่างประหนึ่งถูกสร้างสรรค์มาเป็นอย่างดีของใครบางคน รุ่นพี่ร่างสูงที่ในตอนนี้นอนเอาหน้าอิงซบกับฟูกยังคงนอนหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือคนอมทุกข์เช่นทุกที


         “พี่เคน.....?!”

        เด็กหนุ่มขยับตัวลุก แต่ก็ต้องร้องโอยออกมาเบาๆเพราะความรู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งไหล่ พลันความรู้สึกคลื่นเหียนก็วิ่งสวนขึ้นมาจากในกระเพาะ ถึงตอนแรกอยากจะลุกออกไปอย่างเงียบๆ แต่กลับทำไม่ได้จูนกระโจนพรวดไปยังห้องน้ำ แทบจะในทันที


         อ่อก!!! …


        ความแสบร้อนแล่นขึ้นมาที่ช่องอกจนรู้สึกแทบจะทนไม่ไหว แต่มันก็คงดีกว่ากล้ำกลืนลงไป จูนหอบหายใจน้อยๆเมื่อเอาทุกอย่างออกมาจากช่องท้องจนรู้สึกดีขึ้นมามาก ถึงได้สังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองไม่ใช่ชุดที่ใส่เมื่อคืน ประกอบกับมองไปรอบๆก็ยังคงเห็นภาพเดิมของห้องน้ำที่ชวนย้อนให้นึกถึงกิจกรรมทีเพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อคืน มันไม่ใช่เรื่องดีนักหากฉากพวกนั้นจะเป็นสิ่งแรกที่เขานึกถึงในเช้าวันปีใหม่
 

     …. บ้าที่สุด......


         เด็กหนุ่มหลับตาแน่น เขาไม่ได้อยากจะนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลยแม้แต่น้อย

     
      "เป็นอะไรรึเปล่า........" เสียงของเคนดังขึ้นที่หน้าประตูพร้อมกับร่างสูงที่ก้าวเข้ามาด้านในห้องน้ำ ท่าทางเหมือนตกใจกับภาพที่เห็นอยู่ไม่น้อย
 
      “.....................................”

       จูนไม่ได้ตอบเพียงแค่เบือนหน้าไปอีกทางแล้วยันตัวเองลุกขึ้น เด็กหนุ่มกดชักโครกทิ้งแล้วเดินไปที่อ่างล้างปากลวกๆ ก่อนเอามือวักน้ำขึ้นล้างหน้า สองมือเท้าลงกับผิวหน้าเรียบเย็นของเค้าท์เตอร์ ดวงตากระพริบถี่ๆเมื่อใบหน้าเปียกชุ่มก่อนจะมองตรงเข้าไปยังกระจกซึ่งสะท้อนเงาของร่างสูงที่ยืนอยู่เบื้องหลัง
       

     “ผมแค่อ้วก ไม่ได้เป็นอะไรหรอก....” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงแข็ง ก่อนจะหันไปหยิบยาสีฟันกับแปรงสีฟันทำท่าทีเหมือนไม่ได้สนใจอีกฝ่ายสักเท่าไรนัก
     
     “พี่แค่....กลัวแกจะไม่สบาย”ชายร่างสูงเสียงอ่อนลงแทบจะในทันที ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้ พลางยกมือขึ้นจะแตะศรีษะของเด็กหนุ่ม

         “อย่า....!!” ร่างสูงโปร่งของรุ่นน้องกลับสะดุ้งเฮือก มือเรียวปัดมือแกร่งของเคนออกเสียงดังเผียะ ความเจ็บปลาบแล่นลามจากปลายนิ้วเข้ามาจับที่หัวใจของนักมวยร่างสูงอย่างช่วยไม่ได้

         “....................หยุดตรงนั้นเลย!” ในสายตาของเด็กหนุ่มที่มองกลับมานั้นเต็มไปด้วยความกลัวระคนกับความโกรธเกรี้ยวที่ไม่อาจสะกัดกลั้นเอาไว้ได้อีกต่อไป ร่างทั้งร่างเกิดสั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ จูนค่อยขยับยึดให้เค้าท์เตอร์อ่างล้างหน้านั้นเป็นหลักก่อนจะก้าวเท้าไปด้านข้างราวกับพยายามจะหาที่ปลอดภัยให้กับตัวเอง
    
         “..........ออกไป....” เสียงแหบพร่าลอดผ่านไรฟัน จูนหันมองไปทางอื่นเขาไม่อยากแม้แต่จะเห็นหน้าของอีกฝ่ายในตอนนี้  และเคนเองก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้การสังเกตใดๆถึงจะเห็นได้.....ในเมื่อท่าทางของเด็กหนุ่มผมทองออกจะชัดเจนเสียขนาดนี้

         “............กลัวพี่เหรอ”  เคนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่าภาพของเด็กหนุ่มตรงหน้าทำให้หัวใจของเขาบีบตัวรุนแรงจนเจ็บเจ็บลึกเข้าไปข้างใน


         “...ผมไม่ได้กลัวพี่...คนแบบพี่ทำให้ผมกลัวไม่ได้หรอก....ออกไปซะ” จูนตอบทั้งๆที่แทบจะไม่มีเสียงออกมาจากลำคอ
    
     “เอ่อ....” เคนอยากจะพูดต่อแต่แววตานั้นยิ่งบอกให้รู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ได้อยากจะฟังไปมากกว่านี้

         “งั้นพี่ไปรอข้างนอก.....ถ้ามีอะไรก็บอกนะ” ร่างสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาก่อนจะถอยกลับออกไปโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูห้องน้ำให้กับอีกฝ่าย...
    


     “...เฮ้อ......” จูนถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อประตูบานนั้นปิดลงที่ไม่อยากจะมองหน้าเพราะเขาไม่อยากจะนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอีกแล้วมันต้องเป็นเพียงแค่ความทรงจำที่ไม่ควรจะถูกบันทึกเอาไว้ คิดแบบนั้นพลางตลบชายเสื้อยืดขึ้นด้วยหวังว่าจะอาบน้ำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นอีกสักหน่อย ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก

      บนต้นแขนขาวนั้น มีรอยช้ำแทบจะเรียกได้ว่าเป็นรอยมือปรากฏอยู่ เช่นเดียวกับบนผิวเนื้อเนียนบนต้นคอที่มีรอยจูบเรื่อยมาจนถึงบนแผ่นอกที่มีร่องรอยเหลือทิ้งไว้ประปราย

      “.........................”

         ทีนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกปวดร้าวจนแทบจะยกแขนไม่ขึ้น...นี่เมื่อคืนมือของรุ่นพี่ร่างสูงคนนั้นบีบลงมาบนแขนของเขาด้วยความรู้สึกแบบไหนกัน ริมฝีปากคู่นั้นสัมผัสด้วยความรู้สึกแบบไหน

 
         ....จะเจ็บ...เหมือนกันไหม...



………………………………………



         เด็กหนุ่มใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำสักพักใหญ่ ก่อนจะเดินกลับออกมา ร่างสูงโปร่งคว้ากางเกงยีนส์สีเข้มพอดีตัวมาสวม พลางใช้ผ้าขนหนูเช็ดเส้นผมที่เปียกชื้นของตัวเอง


         “อาบน้ำ เสร็จแล้วเหรอ....” คนที่นั่งอยู่ที่ปลายเตียงอย่างกระสับกระส่ายมาตลอดผุดลุกขึ้นทันที ทำเอาคนที่พิ่งจะอาบน้ำเสร็จถึงกับสะดุ้ง

         “นี่พี่ยังนั่งอยู่อีกเหรอเนี่ย!...... “จูนรีบคว้าเอาเสื้อเชิ้ตที่เตรียมไว้มาสวมทับทันที
    
     “ก็พี่เป็น...” ถึงจะอยากพูดต่อแต่เพราะมือที่ยกขึ้นของเด็กหนุ่มทำให้เขาต้องหยุด
    
     “.............” จูนสูดลมหายใจเข้าลึก เด็กหนุ่มดึงผ้าขนหนูลงแล้วโยนไปอีกทาง ดวงตารีเรียวมองใบหน้าคมของคนตรงหน้าอย่างยากจะคาดเดาอารมณ์
    
     “มองพี่แบบนั้นทำไม?” เคนเอ่ยถาม
    
     “ผมอยากต่อยพี่....” จูนตอบด้วยเสียงแหบพร่า “แต่มันน่าเสียดายว่าพี่ต้องใช้หน้านั่นถ่ายหนังวันนี้...และผมรู้ว่าถ้าผมต่อย นักมวยอย่างพี่ก็จะหลบทัน....”
 
        “ก็ต่อยสิ...เชื่อเถอะว่าพี่จะไม่หลบแม้แต่ก้าวเดียว” เคนตอบ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าตอนนี้คนตรงหน้ากำลังคิดอะไร ความกราดเกรี้ยวทั้งหลายมันปรากฏอยู่ในสองตานั้น มือแกร่งเอื้อมไปจับหมัดที่กำแน่นของอีกฝ่ายเอาไว้ เด็กหนุ่มสะบัดมือของอีกฝ่ายออกแทบจะในทันที


         ....ผั่วะ!!....

 
         คนตัวใหญ่ถึงกับเซตามแรงที่เหวี่ยงมากับช่วงแขนนั้น รู้สึกมึนจนต้องถอยกลับไปนั่งลงกับเตียง ความชาแล่นไปทั้งหน้า แต่กระนั้นก็ยังพยายามที่จะยิ้มออกมา เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนหอบหายใจแรงคล้ายกำลังพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง ผิวแก้มของจูนแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด
    
     “ดีขึ้นไหม?”  แม้ไม่มั่นใจนักแต่ก็ยื่นมือออกไป จูนปัดมือของเคนออกไปอีกทาง
    
     “ไม่! และรอยพวกนี้มันก็ไม่หายไปด้วย!” เด็กหนุ่มเปิดเสื้อให้อีกฝ่ายดูว่าเคนทำมันเป็นรอยมากขนาดไหน ร่องรอยบนผิวขาว รอยขนาดใกล้เคียงกับนิ้วมือของเคนบนกล้ามเนื้อของเด็กหนุ่มทำ ให้หัวใจของของคนที่ได้เห็นภาพนั้นไหววูบ
    
     “จำไว้นะ..อย่ามาทำแบบนี้กับผมอีก ถ้าไม่ใช่บทก็อย่ามาจับ อย่ามาเข้าใกล้ผมอีก เราไม่ได้เป็นอะไรกัน นี่มันร่างกายของผมพี่ไม่มีสิทธิ์มาทำให้มันเป็นแบบนี้!!” จูนเอ่ยด้วยความโกรธ โกรธเสียจนเสียงที่เปล่งออกมานั่นสั่นพร่ารู้สึกเหมือนความไว้วางใจของเขาถูกทรยศ เขาทั้งโกรธและเสียใจ ความรู้สึกมันประดังประเดออกมาพร้อมกับถ้อยคำเหล่านั้น
    
     “พี่ขอโทษ...”
    
     “มันสายไปแล้วล่ะ...ทุกอย่างมันเกิดขึ้นและจบลงไปแล้ว วันนี้คือวันสุดท้ายของการถ่ายหนัง ผมก็หวังว่าทุกอย่างมันจะจบที่นี่ด้วย และพี่ไม่ต้องมารับมาส่งอะไรผมอีก ผมไม่อยากรู้สึกผิดทุกครั้งที่เห็นหน้าพี่” เด็กหนุ่มว่าพลางก้าวขาจะเดินออกไปจากห้องแต่มือแกร่งกลับฉวยมือของเด็กหนุ่มเอาไว้
    
     “ช่วยทำกับผมเหมือนเป็นรุ่นน้องคนนึง.....เหมือนเดิม.....จะได้ไหม” 
 
        “ที่พี่ทำมันไม่ทำให้แกรู้สึกอะไรเลยใช่ไหม......”  น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาคล้ายคนหมดแรง
    
     “.................” เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น ทำไมเขาจะไม่รู้สึก ร่างกายของเขาถูกกระตุ้นจนพลุ่งพล่าน เร่าร้อนจนไม่อาจจะควบคุมสิ่งใดเอาไว้ได้ มิหนำซ้ำยังทรยศใจเขาไปเรียกร้องการกระทำของอีกฝ่ายอย่างน่าอาย
    
     “กะอีแค่นั้น ใครๆก็ทำให้ตัวเองได้หรอก....มันไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยสักนิด” หัวใจมีแรงบีบจนสะท้อนเจ็บไปทั่วอก แต่ก็พยายามสกัดกลั้นเอาไว้
    
     “ระหว่างเรามันไม่เคยมีอะไรพิเศษเลยใช่ไหม....”  เคนหลับตาแน่น เขาไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้นมองหน้าของอีกฝ่ายในตอนนี้เสียด้วยซ้ำ


             ....ปกติโดนเตะ โดนต่อยแค่ไหนก็ไม่เคยคิดจะมีน้ำตา...
     
           ....ทำไมเช้านี้ แค่คำพูดแค่นี้ถึงอยากจะร้องไห้วะ....




      “ปล่อยผม...ได้เวลาที่พี่ต้องไปเตรียมตัว “แสดงบท” ของตัวเองแล้ว” จูนเอ่ยพลางดึงมือของตัวเองออกช้าๆ
    
     “จูน.......” เคนยังเรียกชื่อของเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าราวกับคนที่หมดแล้วซึ่งเรี่ยวแรง

         “...เห็นมีไอซ์แพ็คอยู่ในตู้เย็น ก็ประคบเอาเองละกัน” เด็กหนุ่มเอ่ยเบาๆแล้วเดินออกจากห้องไป...

 

         อีกด้านหนึ่งของกำแพงห้อง ยุทธ์กับโชติจัดแสงจัดสภาพห้องให้เหมือนเดิมกับที่เมื่อวานจัดเอาไว้ ถึงทั้งสองคนจะยังอ่อนเพลียและไม่ได้มีอะไรให้พูดคุยกันมากนัก แต่เพราะเรื่องของการถ่ายทำนั้นเป็นอะไรที่ชักช้าไม่ได้อีกต่อไปจึงช่วยกันจัดการงานเสียจนเรียบร้อย
 
   
         “หิวว่ะ....โชติ...มึงทำอะไรให้กูกินหน่อยสิ”  ยุทธ์เอ่ยขึ้นมาหลังจัดไฟในห้องเสร็จ ทำเอาผู้กำกับประจำกองต้องหันกลับไปมองอย่างไม่สบอารมณ์นัก
    
     “ใช่เรื่องกูไหม....ท้องก็ท้องมึง บ้านก็บ้านมึง ครัวก็ครัวมึง หิวก็ไปหาของยัดทานเอาเอง....ก็แล้วกัน” โชติตอบกลับอย่างเย็นชาพลางยกเก้าอี้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับฉากที่
    
     “โธ่....คุณโชติครับ....นะครับ...ไข่ดาวฝีมือคุณโชติน่ะ อร๊อย อร่อยหาใครเปรียบได้........”ยุทธ์เป็นฝ่ายถลาเข้ามากอดที่ด้านหลังของโชติ เป็นกอดหลวมๆไม่เหมือนกับในยามค่ำคืนเมื่อหลายครั้งคราวก่อนหน้า ถึงจะยึดไว้เพียงชายเสื้อยืดแต่กลับทำให้รู้สึกอุ่นจนใบหน้าของโชติรู้สึกร้อนผะผ่าว....
   
     “มันก็คงจะหาใครเปรียบได้อยู่หรอก นอกจากแม่มึงกับกูเนี่ย....เห็นมึงชมเรื่องกับข้าวอยู่แค่สองคน”

      โชติไม่ได้หันกลับมองหน้าของอีกฝ่าย แต่ที่ริมฝีปากนั้นกลับมีรอยยิ้มจางๆ ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจแล้ว ว่าไม่มีหวัง แต่ถึงจะถูกปฏิเสธมาแล้ว แต่ความรู้สึกดีๆนั้นมันเปลี่ยนกันไม่ได้ ใช่ว่าเจอปฏิเสธเมื่อคืน วันรุ่งขึ้นจะคุยกันโดยไม่รู้สึกอะไร หรือล้มเลิกสิ่งที่คิดไว้มาตลอดไปเลยได้ในทันที ไม่มีอะไรง่ายดายขนาดนั้นเมื่อพูดถึงความรู้สึกของมนุษย์
    
     “เออ จะว่าไปไข่เจียวฝีมือจูนก็อร่อยนะ” 
    
     “ผั่วะ!” ทันทีที่พูดจบประโยค เสียงอะไรบางอย่างก็กระแทกเข้ากับอกของยุทธ์อย่างแรง เมื่อมองดูถึงเห็นได้ว่าเป็นนิตยสารเล่มหนาเตอะ
    
     “โอ้ย ห่าโชติ มึงตีกูทำไมวะ”
    
     “ตีผีตะกละในตัวมึงไง....อยากกินไข่เจียวมึงก็ไปอ้อนให้จูนให้มันทำให้ไป....” คนตัวเล็กกว่าท่าทางหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย ในมือที่คว้านิตยสารได้ยังกำสันปกแน่น
    
     “เอ้า...ก็กูอยากกินไข่ดาวนี่...ไม่ได้อยากกินไข่เจียว ถ้ากูอยากกินไข่เจียว กูคงไม่มาอ้อนมึงหหรอกนะ...นะ....โชติคนดี “
     ไม่พูดเปล่าเดินตรงเข้าไปหาอีกฝ่าย ทั้งๆที่เห็นได้ชัดว่าโชติกำลังเงื้อนิตยสารขึ้น ข้อมือของผู้กำกับถูกกำเสียแน่น แล้วรวบเอวของโชติเข้ามาหา ดวงตากลมโตของยุทธ์สบตากับชายหนุ่มที่อยู่ในอ้อมแขนนิ่ง
    
     “อ่ะ.....เอ่อ...........” โชติใบหน้าแดงก่ำ เมื่ออยู่ๆใบหน้าของอีกฝ่ายก็เข้ามาใกล้เสียขนาดนี้  ทั้งใบหน้าสวยได้รูป ดวงตากลมโต กับริมฝีปากที่โชติรู้ดีว่าจะได้รสบุหรี่แน่หากสัมผัส....เพียงแค่นั้นก็ทำให้ใจของเขาหยุดได้อย่างง่ายๆ
ยิ่งเมื่อยุทธ์ยิ้มน้อยๆที่มุมปาก....
    
     “เร็วนะ....กูหิวแล้ว” สิ้นเสียงสั่งก็ปล่อยอีกฝ่ายออกจากอ้อมแขนไม่พอยังลูบหัวของโชติเบาๆ ก่อนจะเดินผิวปากจะออกจากห้องไป
    
     “...หะ.........หะ......ห่ายุทธ์ มึงรู้ใช่ไหมว่ามึงใช้มุกนี้กับกูแล้วจะได้ผล!” โชติตะโกนตามหลังของชายหนุ่มว่าที่นักตกแต่งภายในคนนั้นไป ...อดนึกไม่ได้ว่าต่อไปถ้ายุทธ์ได้รับงานตามสายงานที่เขาได้มาจริง คนๆนี้จะใช้มุกไหนในการติดต่อธุรกิจกันแน่....
    
     “กูรู้ทุกเรื่องทุกซอกของมึง เหมือนที่มึงรู้เรื่องของกูนั่นล่ะ....แถวนี้ไม่ได้มีโชติญานทิพย์คนเดียวนะครับ...ยุทธ์จิตสัมผัสก็ทำงานได้เหมือนกัน ...เร็ว เลิกเข่าอ่อนแล้วมาทอดไข่ให้กินด้วย ” ยุทธ์หันมายิ้มให้พร้อมยื่นมือให้โชติจับเอาไว้ โชติมองมือเรียวนั้นก่อนจะปัดไปอีกทาง
    
     “กะอีกแค่ไข่ดาว ไม่ต้องมากลัวกูหนีเลยห่านี่....”  โชติเอ่ยอย่างหัวเสีย ตอนนี้เขายังไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกทั้งเขินทั้งโกรธของตัวเองได้ ร่างเล็กกับผมพองฟูพาตัวเองเดินเบียดอีกฝ่ายออกจากประตูลงไปที่ห้องครัวด้านล่างทันที.....


…………………………………………….


         มื้อเช้าดำเนินไปอย่างเงียบๆ มียุทธ์กับโชตินั่งด้านหนึ่งของโต้ะในขณะที่จูนและเคนนั่งข้างกันที่อีกด้าน เด็กหนุ่มทานอาหารอย่างสงบในขณะที่เคนที่มักจะพูดจาเสียงดังไปพลางแหย่จูนไปพลาง เช้านี้กลับค่อยๆเคี้ยวอย่างเรียบร้อยราวกับไม่อยากจะขยับกรามให้เจ็บปากมากนัก
    
     “เคน............” โชติที่พยายามระงับอารมณ์มาสักพักใหญ่ถอนหายใจยาวพลางรวมช้อนส้อมเข้าด้วยกัน
    
     “ถามจริงเหอะ มึงไปทำอะไรมาหน้าถึงได้แหกอย่างนั้นน่ะ!”
    
     “เมา....ตกเตียง.....” เคนตอบพลางวางไอซ์แพคลงกับโต้ะดวงตาคมเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆเล็กน้อย
    
     “ตกเตียง?....หน้าอย่างกับไปโดนใครต่อยมา...”
    
     “เออน่า....รีบไปถ่ายกันดีกว่า จะได้เก็บของลาน้าพร แล้วจะได้รีบๆกลับมอ ให้สมใจคนแถวนี้สักที” ว่าพลางร่างสูงก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินเอาจานไปวางที่อ่างล้างจานอย่างกระแทกกระทั้น


             .....โกรธสินะ.....
                 ....เสียใจสินะ....
                 ....ผมเองก็ไม่ได้ต่างจากพี่หรอก....
                 ....พวกเรามันก็เห็นแก่ตัวพอๆกันนั่นล่ะ.....




         “จูน!!”


         “หะ!?” เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก และเมื่อหันไปปอีกครั้งก็พบว่าตัวเองนั่งอยู่ที่ม้านั่งหน้าร้านสะดวกซื้อในปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งข้างทางหลวงระหว่างการเดินทางกลับ ที่แวะพักเพราะเห็นว่าโชติอยากจะของีบสักพักในขณะที่ยุทธ์ก็อยากจะทำตัวให้สดชื่นขึ้นอีกสักนิดก่อนจะรับช่วงขับรถต่อ....
    
         “อ่ะ พี่โชติ มีอะไรเหรอครับ....”
    
     “ไม่มีอะไรหรอก แค่เห็นแกเหม่อๆ....” โชติว่าพลางถอนหายใจ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตรงที่ว่างข้างๆเด็กหนุ่มรุ่นน้อง
    
     “ฮ่ะๆ.....คงแค่ง่วงๆมั้งพี่ จะหลับก็ไม่หลับ สงสัยจะเหนื่อยเกินหลับแล้วล่ะ” เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ พลางยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ มองไปรอบๆได้กลิ่นน้ำมัน เห็นไฟสว่างวาบจากรถบรรทุกที่สัญจนในยามค่ำคืนสาดเข้ามาเมื่อเลี้ยวเข้าปั้ม ยุทธ์คงไปเดินสูบบุหรี่ที่ไหนสักที่....ทุกอย่างดูเชื่องช้าอย่างน่าประหลาดจนไม่น่าเชื่อว่าช่วงเวลาน่าอึดอัดเมื่อตอนถ่ายทำนั้นได้ผ่านไปราวกับความฝัน

          “แต่วันนี้ก็ถ่ายได้ดีนะ ฉากของแกกับเคน....” โชติเอ่ยชม ทุกอย่างผ่านไปได้รวดเร็วจนไม่อยากจะเชื่อว่านี่เป็นคนสองคนเดียวกับที่เขาต้องสั่งเทคเป็นยี่สิบสามสิบเทคเมื่อเกือบสองเดือนก่อน
 
        “พี่ว่าพวกแกก็ตั้งใจซ้อมกันดี ....ผลมันเลยออกมาเป็นแบบนี้ก็ต้องขอบใจแกจริงๆ ที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ให้ความคิดบ้าๆของพี่” โชติเอ่ย มือเล็กนั่นยกขึ้นตบไหล่ของเด็กหนุ่มเบาๆ
 
        “ขอบคุณครับพี่ ...ถ้าพี่โชติชอบผมก็ดีใจ ผมอยากมีส่วนร่วมในงานของพี่นะ...พี่น่ะ ไอดอลของผมเลย” รุ่นน้องที่รับบทนำยิ้มกว้าง
    
      “แกทุ่มเทกับการซ้อมก็ดีแล้ว...แต่พี่ไม่ได้อยากได้รอยช้ำจริงๆในฉากนะ”
    
     “......... “   คำพูดที่ได้ยินทำให้เผลอทำกระป๋องกาแฟสำเร็จรูปตกลงกับพื้น  แต่เด็กหนุ่มก็หาได้สนใจไม่ ดวงตารีเรียวนั้นเบิกโพลงก่อนจะหันไปมองหน้าของอีกฝ่าย
    
     “พี่รู้? “
    
     “ไอ้ตัวดี...” โชติถอนหายใจก่อนจะตบลงบนบ่าของรุ่นน้องเบาๆ
    
     “จะดูถูกตาผู้กำกับไปหน่อยมั้งถ้าจะบอกว่า รอยพวกนั้นเป็นเมคอัพน่ะ....”
 
        “ผม....ขอโทษ......” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงแหบพร่า ในตอนที่จะเข้าฉากถ่ายทำพอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองจะต้องเปลือยท่อนบนถึงได้รู้สึกตัวว่าตัวเขานั้นไม่ได้เหมาะแก่การถูกถ่ายทำเลยแม้แต่น้อย....จึงได้โกหกออกไปแบบนั้น
    
     “ไอ้เคน.....มันเป็นคนทำใช่ไหม”
    
     “...................” เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบ เพียงแต่เม้มริมฝีปากแน่นก่อนพยักหน้าลงอย่างจำใจ
    
     “แล้วมันบังคับแกรึเปล่า” โชติหันมองซ้ายขวา ขยับเข้าไปใกล้แล้วถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นกว่าเดิม
    จูนตั้งใจจะพยักหน้า แต่ความทรงจำของเขามันไม่ได้เป็นไปตามนั้น เด็กหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ
     
     “แต่พวกผมไม่ได้มีอะไรกันมากไปกว่า.....แค่จับนะพี่” น้ำตาไหลลงมาจากดวงตาข้างหนึ่งอย่างห้ามเอาไว้ไม่ได้ เขาปฏิเสธความจริงที่น่าอายนี้ไม่ได้
    
     “ขอโทษ....ผมไม่ได้ตั้งใจจะร้องไห้อีก” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงแหบพร่า แล้วยกหลังมือขึ้นปาดข้างแก้ม พยายามจะหยุดตัวเองอยู่ที่น้ำตาหยดเดียวนั้นให้ได้
    
     “อย่าร้องสิวะ....สรุปนี่มันเกี่ยวกับเรื่องที่เคนมันลงจากรถไปตอนถึงนครปฐม รึเปล่า”รุ่นพี่ผมฟูดูมีท่าทีลำบากใจเล็กน้อยตอนที่พูดถึงบุคคลที่สาม
    
     “ผม........คิดว่าคงใช่...” เด็กหนุ่มตอบเบาๆ เมื่อนึกถึงคำพูดของชายหนุ่มร่างสูงที่เอ่ยกับเขาตอนที่ขับรถตู้กันมาจนผ่านจังหวัดนครปฐม


                ‘พี่ไม่อยากเห็นแกนั่งทำหน้าลำบากใจไปตลอดทาง....’
                    ‘แล้วเจอกันที่มหาลัยนะ.....ถ้าแกยังอยากจะเจอ.......’



        ใจจริงของเขานั้นอยากจะห้าม อยากจะบอกออกไปว่า ‘ทางอีกตั้งไกล จะกลับยังไงคนเดียว’ อยากจะบอกออกไปว่า ‘กลับด้วยกันเถอะ’ แต่ปากของเขาก็หนักเหลือเกินเมื่อภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังย้อนกลับเข้ามาอยู่ในหัว เขาปล่อยให้แผ่นหลังกว้างของร่างสูงนั้นค่อยๆเดินห่างออกไปพร้อมกับกระเป๋าเป้ใบโต แผ่นหลังนั้นยังยืดตรงเหมือนทุกที เพียงแค่สิ่งที่ต่างออกไปคือบนใบหน้าคมนั้นยามที่บอกลาไม่ได้มีรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นให้เหมือนกับทุกครั้ง....แววตาที่เป็นประกายนั้นก็หายไปเช่นกัน


         “ผม.....เป็นคนทำให้พี่เคนไปเอง.... ” เด็กหนุ่มเอ่ย ในอกรู้สึกอึดอัด อันที่จริงเขารู้สึกอึดอัดมาตลอดทางนับตั้งแต่เคนตัดสินใจจะลงจากรถไปมันอึดอัดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในทุกๆกิโลเมตรที่รถวิ่งผ่านและเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะทนต่อไปได้อีกแค่ไหนจนกว่าจะถึงมหาวิทยาลัย จูนเงยหน้าขึ้นพยายามมองขึ้นไปให้สูงที่สุดแม้ไม่รู้ว่าสายตาจะจับจ้องไปที่ใด แต่อย่างน้อยคงช่วยให้น้ำตาไม่ไหลลงมาได้อีก

     
         “จูน....นี่แก...ชอบไอ้เคนมันเหรอ”


         โชติตัดสินใจถามออกไป เขารู้ดีถึงความรู้สึกของเคน ถึงเคนจะไม่เคยบอกเขามาตามตรงแต่ท่าทางที่แสดงออกอย่างชัดเจนโจ่งแจ้งนั้นไม่ใช่อะไรที่ต้องคาดเดาให้ยากนัก  ตรงกันข้ามกับท่าทีของเด็กหนุ่มรุ่นน้อง ถึงจะรู้ว่าจูนชอบคนหน้าตาดี แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความรู้สึกทั่วไป คนเราชื่นชมความสวยงามบนร่างกายของคนอื่นได้เสมอๆ ไม่ใช่ท่าทางในแบบที่จูนกำลังเป็นอยู่ในตอนนี้ ที่ไม่ว่าจะมองอย่างไร มันก็ดูจะมีความหมายสำหรับตัวของเด็กหนุ่มผมทองคนนี้ไม่น้อยเลย
    

     “ผม........ไม่........ผมไม่รู้” ปากอยากจะปฏิเสธ แต่ใจมันก็บีบแรงทุกครั้งที่คิดจะทำอย่างนั้น เด็กหนุ่มสูดลมหายใจแรง ร่างกายคล้ายจะสั่นเทิ้ม จนโชติต้องจับไหล่ทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มเอาไว้
    
     “เฮ้ย....พอ ไม่รู้ ไม่อยากคิด ก็พอ....”
    
     “ครับ........แต่พี่โชติ.......” เด็กหนุ่มหันไปมองหน้าของอีกฝ่ายด้วยดวงตาแดงก่ำ
 
        “อะไร......”
    
     “พี่ยุทธ์ไม่รู้เรื่องนี้ใช่ไหม....อย่าเพิ่งบอกพี่ยุทธ์นะ..มัน....น่าอาย”
    
     “อื้ม...ไม่บอกหรอก....” โชติรับคำพลางยิ้ม “ไป เตรียมตัวออกเดินทางกัน ....แกนั่งไปกับไอ้ยุทธ์มันนะ พี่ขอนอนหน่อย”
    
     “ครับ....” จูนเองก็ยิ้มตอบ ก่อนจะก้มลงเก็บแก้วที่ทำตกลงไปเมื่อครู่ ในใจรู้สึกโล่งขึ้นมาเล็กน้อย อาจจะเป็นเพราะอย่างน้อยเขาก็ได้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นออกมาบ้าง ถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจเอาไว้แต่แรกแต่มันก็อาจจะดีกว่าการเก็บทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้กับตัวเองแค่คนเดียว แม้บทสนทนาครั้งนี้อาจจะยังไม่มีคำตอบให้กับคำถามในใจของเขาก็ตาม
    

     “ไป............” โชติว่าพลางดันไหล่ของรุ่นน้องเบาๆ เขามองร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มที่ค่อยๆเดินกลับไปที่รถ รู้ดีว่าเพิ่งจะโกหกคำโตกับเด็กหนุ่มรุ่นน้องไป แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อคำโกหกในคราแรกของอีกฝ่ายนั้นก็ไม่ได้แนบเนียนเท่าไรนักและยุทธ์ก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ไร้ประสบการณ์ทำไมคนอย่างยุทธ์จะดูไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ตัวเองกำลังรู้สึกดีๆด้วย
    
      เขาจำแววตาของยุทธ์ที่มองไปยังผิวกายของจูนได้เป็นอย่างดี แววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความโกรธเกรี้ยวซึ่งสำหรับเขาแล้วมันน่าสนุกไม่น้อยกับการคาดเดาว่ายุทธ์จะทำอย่างไรต่อไป


             ....จะเลือกเป็นพี่ชายที่แสนดี.....
                 ....หรือจะเลือกเปิดเผยตัวเองให้อีกฝ่ายรู้สักที.....
                 ....ที่แน่ๆ งานนี้ไม่ง่ายเหมือนอย่างที่คิดหรอก.....




to be continued......

asarigb

  • บุคคลทั่วไป
สัมผัสได้ถึงความ'มันส์'สุดๆ  :z2:
เหมือนพี่โชติเป็นผู้คุมเกมส์ รอดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง  :katai1:  :ling1:
แต่ว่านะ  :hao7: ไข่อ่ะ ไข่อ่ะ  :haun4:  :haun4: อยากกินไข่ดาวอ่ะ55555555555

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
@@@talk@@@
ก่อนอื่นขอโทษนักอ่านทุกคนที่คนเขียนหายตัวไปนาน
สองเดือนพอดีเลย ....ที่โพสต์ช้าคือ ไม่มีเวลาค่ะ
พอดีตอนนี้มาอบรมที่ต่างประเทศ งานยุ่งหัวปั่นมาก มีพล็อตแต่หา
ช่วงเขียนไม่ได้ วันนี้ฤกษ์ดีครบรอบสองเดือนเลยขอโพสต์หน่อยนะคะ


Chapter36 : เป็นห่วง?


          เช้าวันเปิดเรียนวันแรกหลังจากปีใหม่ บรรยากาศที่เคยเคร่งเครียดในช่วงสอบหายไป มีเพียงรอยยิ้มและเสียงทักทายของเพื่อนฝูงที่ไม่ได้พบเจอกันมาหลายวัน ห้องเรียนที่คุ้นเคยยังคงมีกลิ่นอายแห้งๆของฤดูหนาวในยามเช้า อุณหภูมิที่มหาวิทยาลัยนั้นต่างจากที่ชายทะเลอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ช่วยทำให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวของจูนดีขึ้นเลย เด็กหนุ่มผมทองที่เซ็ทผมมาเป็นอย่างดีโดยไม่ลืมที่จะกรีดเส้นอายไลน์เนอร์เน้นดวงตาให้ดูกลมโตเดินอาดๆเข้ามาในห้องเรียน และทันทีที่หย่อนก้นลงกับเก้าอี้ก็ถอนหายใจยาวท่าทางเหนื่อยอ่อนไม่ได้เข้ากับทรงผมหรือเสื้อกันหนาวสีสดที่คลุมกายอยู่แม้แต่น้อย


              “อะไรวะจูน ปีใหม่เจอหน้าเพื่อนนี่ถึงกับถอนหายใจเลยเหรอ” เสียงแหบห้าวของปิ๊กดังขึ้นพร้อมกับเสียงลากเก้าอี้เข้ามานั่งใกล้ๆ


              “เออ..... เจอหน้าแกเนี่ย....”
    

          “ต๊าย นั่นปากเหรอยะ อะไรเจอหน้าสวยๆของฉันแล้วแกก็ทอดถอนหายใจเพราะหาทางสวยสู้ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ” เด็กสาวยังจีบปากจีบคอไม่เข้ากับเสียงแหบห้าวนั้นเลยสักนิด
    
         
          “ครับๆ จะว่าไงก็ว่าไปเถอะ สวยไม่สู้แกหรอก” เห็นท่าทางของเพื่อนแบบนั้นทำให้อดที่จะยิ้มน้อยๆที่มุมปากไม่ได้
    

          “เห็นว่าปีใหม่ไปทะเลมา แล้วไหนล่ะ ของฝาก” ปิ๊กว่า คำพูดเพียงคำเดียวเท่านั้นก็ทำให้เพื่อนสาวอีกทั้งกลุ่มหันขวับมาด้วยสายตาแบบเดียวกันก่อนจะพูดกลับมาเป็นเสียงเดียวกัน
    

          “ไหนล่ะคะ ของฝาก.....” สาวๆ ลากเสียงยาวโดยมีแพรเป็นต้นเสียงราวกับเป็นลูกคู่กับปิ๊กอย่างไรอย่างนั้น
    

          “......ครับๆ นี่ครับสาวๆ เชิญตามสบาย” สุดท้ายแล้วก็ต้องยอมแพ้ต่อสายตาอ้อนวอน เขาเองก็คงจะทนแบกถุงขนมหวานห่อใหญ่ไว้ในกระเป๋าเป้ได้อีกไม่นาน เด็กหนุ่มดึงถุงขนมออกมายื่นให้กับเพื่อนๆ
    

          “แบ่งกันนะ...อย่าแย่งกันล่ะ”
    

          “ค่ะ แม่...................!!” สาวๆพร้อมใจกันหันมารับคำ ทำเอาจูนต้องยกเท้าขึ้นยันเก้าอี้ของแพรที่อยู่ข้างหน้าเล็กน้อย
    

          “ใครเป็นแม่ไม่ทราบ.....”
    

          “อะไร แค่นี้ก็โกรธด้วย ก็จูนอ่ะ ใจดี เอาใจใส่พวกเราแบบนี้ไม่ให้เรียกว่า แม่ ได้ไง เน้อ....ส่วนยัยปิ๊กน่ะ ทุกคนเขายกให้เป็นพ่อเลย ถ่อยไม่สมหญิงแบบนั้น.....อื้ม เป็นพ่อนั่นล่ะถูกแล้ว”
    

          “อ้อ แน่ล่ะ...” ปิ๊กแสร้งพูดด้วยเสียงทุ้มกว่าเดิมพลางกอดไหล่ของเพื่อนผู้ชายคนเดียวในกลุ่มเข้ามา
 

          “ มีพ่อ ก็ต้องมีแม่...จริงไหมเมียจ๋า....” เด็กสาวร่างท้วมหันไปหวังจะแหย่เพื่อนแต่ก็ต้องหยุดเมื่อสายตามองผ่านเส้นผมที่ปรกตรงต้นคอเข้าไปเห็นร่องรอยเป็นจ้ำบนผิวเนื้อของเด็กหนุ่ม
    

          “จูน....แกไปโดนอะไรกัดมาวะ......” ถึงในใจจะพอคาดเดาได้ก็ถามไปอ้อมๆ
    

          “อ่ะ....เอ้อ....เจอแมลงน่ะ ช่างมันเหอะ” จูนว่าพลางดึงคอเสื้อขึ้นเล็กน้อยแล้วขยับตัวถอยห่างจากเพื่อน “รีบๆไปนั่งที่ไป เดี๋ยวอาจารย์มาได้โดนด่ากันพอดี .....”


..........................................................

    
               เวลาพักเที่ยงผ่านมาถึงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เพื่อนๆหลายคนในเอกกำลังบ่นโอดโอยกับคะแนนสอบกลางภาคที่อาจารย์ประกาศแบบไม่ให้ทำใจ สิ่งที่จูนทำกลับตรงกันข้าม เด็กหนุ่มนั่งอยู่ที่ริมสุดของโต๊ะที่มีเพื่อนๆรายล้อม ช่วงขายาวนั่งไขว่ห้างเขย่าเบาๆ ปลายนิ้วที่เล่นอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือเลื่อนขึ้นลงราวกับไร้จุดหมาย ก่อนดวงตาสีน้ำเงินเพราะคอนแท็คเลนส์จะสะดุดกับชื่อของใครบางคนที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ


                       ....KEN_TKO…


              รูปประจำตัวที่เจ้าตัวเก็กหน้าเหี้ยมคู่กับนวมสีดำนั่นอาจดูน่ากลัวไม่น้อยสำหรับคนที่เพิ่งรู้จักกัน แต่สำหรับจูนแล้วรูปที่เห็นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกลัว...ตรงกันข้ามกลับทำให้รู้สึกหงุดหงิดคล้ายกับไปเห็นอะไรที่ไม่ควรจะเห็นเข้าให้จนต้องเบือนหน้าออกจากจอโทรศัพท์ด้วยความหงุดหงิด


              “เดี๋ยวไปซื้อข้าวก่อนนะ.... “ เด็กหนุ่มยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงแล้วลุกขึ้น พลางเดินไปยังร้านอาหาร ข้าวเมนูแกงเขียวหวาน กับไก่ทอดราดข้าวยังเป็นเมนูโปรดและสิ้นคิดเหมือนทุกที ร่างสูงโปร่งก้าวอาดๆหลบหลีกนักศึกษามากมายที่หลั่งไหลเข้ามาที่โรงอาหารประจำคณะในตอนเที่ยงตรงไปซื้อน้ำ แต่ในขณะที่กำลังจะควักเงินจ่ายค่าน้ำก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาสะกิดเข้าที่ข้างหลัง


              “สวัสดีปีใหม่จ้ะ จูน”


              เสียงหวานดังขึ้นและเมื่อหันกลับไปก็พบกับร่างเล็กในชุดนักศึกษาดูน่ารักที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผิวสีน้ำผึ้งสวยรับกับดวงตากลมโต ริมฝีปากอิ่มเคลือบสีอ่อนใสที่คลี่เป็นรอยยิ้มนั้นเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจาก
    
   
          “พี่นิด......สวัสดีครับ” จูนไม่รู้ว่าจะยิ้มให้กับอีกฝ่ายดีหรือไม่ จึงได้เอ่ยทักออกไปพร้อมกับเสียงหัวเราะแห้งๆ
    
   
          “กินข้าวเหรอ...”
    

          “อ่ะ ครับ” เด็กหนุ่มว่าพลางยกจานข้าวกับแก้วน้ำหลบออกมาจากหน้าร้าน “พี่นิดมีอะไรรึเปล่าครับ”
    

          “อ้อ ไม่มีหรอกค่ะ พอดีจะไปเรียนน่ะ เดินผ่านมาทางนี้ แล้วเห็นจูนเลยเข้ามาทัก “หญิงสาวตอบ เธอเดินผ่านมาทางโรงอาหารคณะของจูนเพราะมีเรียนที่คณะนี้พอดี แต่ก็ต้องสะดุดเข้ากับสีผมแปลกตากับร่างสูงของเด็กหนุ่มจึงอดที่จะเดินเข้ามาทักไม่ได้


              “เหรอครับ..... “ เด็กหนุ่มรับคำ ไม่ค่อยกล้าที่จะสบตากับอีกฝ่ายเท่าไรนัก หัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ นิดเป็นผู้หญิงที่สวย นั่นเป็นความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้  ตามปรกติเขาก็ชื่นชมคนที่มีบุคลิกหน้าตาดีอยู่แล้วจึงไม่แปลกที่หัวใจจะเต้นเช่นนี้ แต่ในวันนี้กลับต่างออกไปหัวใจของเขากำลังเต้นรัว...ด้วยความรู้สึกผิด ความผิดที่เขาไม่แน่ใจนักว่าตัวเองได้ก่อลงไปแล้วหรือยัง                                                                   
    

          “แล้วเป็นไงคะ ถ่ายหนังสนุกไหม...นี่ท่าจะแดดแรงนะ เหมือนจูนจะคล้ำกว่าคราวที่แล้วที่พี่เห็นอีก” นิดยิ้มน้อยๆ ท่าทางขี้เล่น

              “ก็...นิดหน่อยน่ะครับ” เด็กหนุ่มตอบพลางหัวเราะออกมาเบาๆ เขาคงยกมือขึ้นลูบคอด้วยความเขินเหมือนทุกทีหากสองมือไม่มีทั้งจานข้าวกับขวดน้ำอยู่ด้วย
    

        “แล้ว...พี่เคนเล่นดีไหมคะ”
    

        “................................................” ทันทีที่มีชื่อบุคคลที่สามดังขึ้นเด็กหนุ่มเผลอขยับถอยเล็กน้อย
       “อ่ะ....เอ่อ.....ก็ดีครับ สมบทบาท”
 

           “แล้วเมื่อไรจะได้ดูล่ะเนี่ย...ไม่เห็นพี่เคนบอกอะไรพี่บ้างเลย นี่เห็นจูนกลับมาแล้วพี่ยังแปลกใจเลยนะ เพราะเจ้าตัวก็ไม่เห็นโทรมาบอกว่ากลับมาแล้ว พี่นะโทรไปหาก็ไม่รู้เอามือถือไปวางที่ไหน ไม่เห็นรับเลย” หญิงสาวพูดพลางทำหน้ามุ่ย ก่อนดวงตากลมโตแวววับนั้นจะหันมามองทางจูนอีกรอบ

              “ถ้าจูนเจอตัวพี่เคนช่วยบอกให้โทรหาพี่ด้วยนะคะ บอกไปเลยว่าไม่งั้นพี่จะงอนจริงๆด้วย” ท้ายเสียงนั้นฟังดูจริงจังอยู่ใช่ย่อย

          สีหน้า น้ำเสียงและท่าทางของหญิงสาวยิ่งทำให้จูนรู้สึกเจ็บ ผู้หญิงตรงหน้าไม่ได้มารับรู้เรื่องราววุ่นวายของเขากับแฟนหนุ่มของเธอเลยแม้แต่น้อย และดูท่าทางจะไม่ได้นึกเอะใจเลยว่าหัวใจของคนที่เธอถามหานั้นอาจจะกำลังหลงทางอยู่ในความมืดท่ามกลางป่าที่ไหนสักแห่งที่เคนใช้คำเรียกว่า “รัก” ออกมาได้อย่างไม่รู้สึกผิดอยู่ก็เป็นได้
    

          “ครับ.......เดี๋ยวผมจะลองตามให้นะครับ” จูนรับคำ ในใจนึกประหลาดใจที่นิดยังติดต่อกับเคนไม่ได้ ผู้ชายคนนั้นได้ติดต่อใครบ้างหรือเปล่าหลังจากที่ลงรถไป  ถ้ากับแฟนทั้งคนยังไม่ติดต่ออะไรแบบนี้ ทั้งยุทธ์ โชติ จะรู้อะไรบ้างไหม หรือต้องไปถามกับเพื่อนที่คณะของเคน ในใจของจูนนั้นรู้สึกงุนงงกับข้อมูลใหม่อยู่ไม่น้อย ถึงจะรับปากนิดไปเช่นนั้นแต่ก็ยังตั้งข้อสงสัยกับตัวเอง....ว่าเขาจะทำได้อย่างที่พูดหรือไม่


          .......................................................................... 



              จากคำพูดที่เอ่ยออกไปด้วยความรู้สึกผิดเมื่อกลางวัน กลับกลายเป็นว่าทำให้เขาต้องมานั่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียงแบบนี้
    

             KEN_TKO

 

               ชื่อที่ใช้แทนตัวของใครบางคนปรากฏหลาอยู่บนหน้าจอที่ยิ่งเห็นก็ยิ่งชวนให้รู้สึกหงุดหงิดเพราะในใจนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย เคนไปอยู่ที่ไหนแล้วทำไมถึงยังไม่กลับมาเรียน นี่แค่วันแรกของการเปิดเทอมก็ดูท่าตัวแฟนสาวจะเป็นห่วงมากมายแล้วและถ้าหากยังไม่ยอมกลับมาสักที เขาไม่ต้องทนเห็นสายตาที่สดใสนั่นต้องขุ่นมัวไปอีกหลายวันอย่างนั้นหรือ ยิ่งนึกยิ่งมีคำถามยิ่งนึกโกรธคนที่ “หายไป” คนนั้นมากเข้าไปอีก
           
   
             “ไอ้หมีควายเอ้ย..... นึกจะไปก็ไปน่ะก็ไม่ได้คิดจะว่าอะไรหรอกนะ แต่ช่วยรับผิดชอบแฟนหน่อยสิวะ ปล่อยให้เขามาวิ่งถามหาแบบนี้ได้ยังไง”
    
           จูนพึมพำออกมาเบาๆก่อนที่ปลายนิ้วจะขยับกดลงบนแป้น พิมพ์ข้อความลงไป



              “อยู่ที่ไหน..... “
    
          “ทำไมไม่มาเรียน....”
    
         “เมื่อไรจะกลับ........ “
    

          ข้อความที่พิมพ์ลงไปติดๆกันนั้นราวกับจะดังออกมาจากหัวใจของตัวเขาเอง เด็กหนุ่มจ้องตัวหนังสือบนหน้าจอแล้วกัดริมฝีปากอย่างขัดใจ ก่อนจะหลับหูหลับตากดส่งข้อความนั้นออกไป แล้วเหวี่ยงโทรศัพท์มือถือไปอีกทาง พลางล้มตัวลงนอน มือเรียวคว้าตุ๊กตาขนนุ่มแถวนั้นเข้ามากอดเอาไว้ก่อนจะข่มตาลง  หวัง...ว่าจะนอนหลับลงให้ได้ในค่ำคืนที่มีแต่เมฆหมอกปกคลุมจิตใจแบบนี้

              แต่ตลอดทั้งคืนนั้นก็ผ่านไปโดยที่ไม่มีเสียงเตือนใดๆดังขึ้นบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายได้ตอบข้อความกลับมาแต่อย่างใด และมันยิ่งน่าหงุดหงิดมากขึ้นเมื่อมองดูหน้าจอของบทสนทนานั้นแล้วพบว่ามีใครบางคนได้อ่านข้อความนั้นแล้วเรียบร้อย
    เด็กหนุ่มได้แต่กัดฟันด้วยความไม่พอใจและไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ยอมตอบกลับข้อความของตัวเอง


              ....กะอีแค่พิมพ์ตอบนี่มันลำบากนักหรือไง....


              จูนคิด เขาก็แค่อยากจะได้คำตอบจากอีกฝ่ายเท่านั้น แม้ไม่ได้มาจากปากของอีกฝ่ายโดยตรงแต่อย่างน้อยการติดต่อสื่อสารแบบนี้ก็ยังดีกว่าไม่ได้มีการติดต่ออะไรเลย ปลายนิ้วเรียวจิ้มลงบนหน้าจอทำการก๊อปปี้ข้อความเหล่านั้นแล้วแปะลงไปบนช่องสำหรับกรอกข้อความอีกครั้งก่อนจะกดส่ง


            ข้อความเดิมๆถูกถามซ้ำแล้วซ้ำอีก วนไปวนมาตลอดทั้งอาทิตย์ เช่นเดียวกับคำถามจากปากของหญิงสาวร่างเล็กที่ถามเขาด้วยคำถามซ้ำๆ ด้วยสายตาและน้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็นกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ
    
 
              “...........เฮ้อ.........”


              เสียงถอนหายใจดังขึ้นพร้อมลมเย็นทีพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง เด็กหนุ่มเท้าคางกับกรอบหน้าต่าง ดวงตารีเรียวเหม่อมองออกไปยังด้านนอก ได้ยินเสียงรถราจากถนนด้านล่าง ในใจนึกไปถึงหลายครั้งหลายคราวในอดีตที่จะได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของใครบางคนแผดเสียงลั่นตั้งแต่ปากซอยเข้ามาจนถึงลานจอดรถด้านล่าง ลมหนาวที่พัดผ่านมากระทบผิวกาย ทำให้รู้สึกหนาวยะเยือกลึกเข้าไปจนถึงข้างใน


              “ทำไมชอบหาเรื่องให้ผมรู้สึกแบบนี้ได้ตลอด..........” เด็กหนุ่มพึมพำ ก่อนตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเบอร์โทรของคนที่ขาดการติดต่อไป แต่ปลายสายกลับไม่มีเสียงตอบรับ ไม่ว่าจะรอนานสักเท่าไรก็ไม่มีท่าทีว่าจะมีเสียงตอบรับ จนในท้ายที่สุดสัญญานนั้นก็ถูกตัดเป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งทีแสนจะคุ้นหู


             .....หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้.....


           ทันทีที่สิ้นเสียงนั้นจูนรีบกดตัดสายแทบจะในทันทีก่อนนจะถอนหายใจออกมายาวด้วยโล่งใจระคนไปกับความตื่นเต้นที่ไม่อาจห้ามตัวแองเอาไว้ได้ สิ่งที่ทำให้เขาหวาดหวั่นไม่ใช่การที่ไม่รู้เรื่องราวของอีกฝ่าย แต่สิ่งที่ทำให้ใจของเขาสั่นยิ่งกว่าสิ่งใดในตอนนี้ คือหากอีกฝ่ายรับสายขึ้นมาแล้วเขาควรจะทำอย่างไรมากกว่า โชคดีที่ในครั้งนี้ทางเลือกนั้นยังมาไม่ถึงความหนักใจจึงผ่อนเบางได้บ้าง
    

          ในทางกลับกันเด็กหนุ่มต้องคอยตอบคำถามของแฟนสาวของชายหนุ่มร่างสูงที่หากไม่ส่งข้อความมาถาม ก็โทรศัพท์มาหาแบบที่เรียกได้ว่าวันเว้นวัน และคำตอบที่เขาให้ได้ก็มีเพียงแค่อีกฝ่ายไม่ยอมรับสายเท่านั้น แต่เขาจะทำอะไรได้...มีอะไรที่เขาพอจะทำได้อย่างนั้นหรือ จูนได้แต่ถามตัวเองแบบนั้นและทุกครั้งก็จบลงที่เขากดเบอร์โทรศัพท์หมายเลขเดิมเพื่อไปรอฟังเสียงสัญญานก่อนตัดเข้าสู่ระบบรับฝากข้อความเท่านั้น

       
              “..............” เสียงสัญญานดังที่ข้างหูเหมือนทุกครั้ง เด็กหนุ่มถอนหายใจ คิดเพียงแค่ว่าอีกไม่นาน ทุกอย่างก็จะจบลงเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาที่ปลายสายไม่เคยตอบอะไรกลับมา


              “ฮัลโหล” 


              “อ่ะ........”
          เสียงทุ้มที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันนั้นทำให้คนที่เป็นฝ่ายกดโทรศัพท์โทรไปหาต้องอุทานออกมาเบาๆ
 ปลายสายคงไม่ได้รู้ได้เลยว่าคนที่โทรมานั้นกำลังรู้สึกอย่างไร จูนรู้สึกได้ว่ามือที่กำลังถือโทรศัพท์อยู่กำลังสั่น เพียงแค่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายดังอยู่ที่ข้างหู ในหัวพาลนึกไปถึงค่ำคืนนั้นที่อีกฝ่ายกระซิบลมร้อนที่ข้างหูของเขาอย่างยั่วเย้า 
    

          “ถ้าจะโทรมาเพื่อไม่พูดอะไรแบนี้ก็จะวางสายไปก็ได้นะ” ปลายสายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
    

             ....ไอ้หมีควายนี่ ยังจะมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกเหรอ?!.....

             พลันความคิดของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนจากความหวามไหวเป็นกร่นด่าอีกฝ่ายอยู่ในใจ


             “ทำไมไม่รับโทรศัพท์” เด็กหนุ่มก็เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงขุ่นจากการรอคอยมาหลายครั้งหลายคราแล้วอีกฝ่ายยังจะมาพูดกับเขาแบบนี้อีก
 
             “พี่ไม่ว่างรับ” ความเฉยชาในน้ำเสียงนั้นยังไม่เปลี่ยนไป จนเด็กหนุ่มต้องกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่

 
             ในช่วงเวลาที่ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา จูนเหมือนได้ยินเสียงผู้คนดังโหวกเหวกจากปลายสาย จนอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าตอนนี้เคนกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน
    
          “พี่คงกำลังยุ่ง ผมจะไม่ทำให้พี่เสียเวลานานนัก ไม่ว่าจะกำลังทำอะไรอยู่ก็เถอะ....แค่อยากจะบอกให้พี่รู้ไว้ว่า มีคนเป็นห่วง”   ท้ายเสียงของเด็กหนุ่มแหบพร่าเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังย้อนขึ้นมาตันอยู่ที่อก มันเป็นความโกรธ เป็นความสงสัย เป็นความกังวลที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่ทราบสาเหตุ หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นแรงเสียจนเผลอยกมือขึ้นถูเบาๆที่อกข้างซ้าย
 
   
           “เป็นห่วง?....ใครล่ะ” เสียงของรุ่นพี่ร่างใหญ่ที่ถามกลับมานั้นคล้ายจะหัวเราะอยู่เล็กๆที่ปลายสาย เสียงหัวเราะที่ยิ่งทำให้คนโทรไปหายิ่งรู้สึกสับสนว่าในตอนนี้อีกฝ่ายกำลังคุยกับเขาด้วยอารมณ์แบบไหนกันแน่
    

           “ยังจะถามได้อีกว่าใคร ก็แฟนพี่น่ะสิ รู้รึเปล่าว่าพี่นิดเขาเป็นห่วงพี่จะตาย นี่เที่ยวมาถามมาตามมาเช็คกับผมแทบจะทุกวันเลยนะ”

 
              “.....หึ...ที่แท้ก็แค่ทำตัวเป็นม้าเร็วรับใช้เจ้าหญิงมาส่งข่าวสินะ พี่นี่มันโง่จริงๆ” เคนแค่นเสียงหัวเราะเหยียดหยัน  “นี่ ขอทีเหอะ เลิกทำเป็นใจดีไปทั่วแบบนี้สักทีจะได้ไหม”
    

         “นี่พูดแบบนี้คิดจะหาเรื่องกันรึไง...” จูนขมวดคิ้วมุ่น มือเรียวเผลอกำโทรศัพท์แน่นเมื่อได้ยินน้ำเสียงเชิงตำหนิจากอีกฝ่ายแบบนั้น
    

          “แกขอนี่....ใช่ไหม...ขอให้พี่ทำกับแกเหมือนเป็นรุ่นน้องคนนึงเหมือนเดิม...” ที่ข้างหูของเด็กหนุ่มได้ยินเสียงทุ้มนั้นค่อยๆเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะ...อย่าเที่ยวโทรมาเหมือนมันไม่เคยมีอะไรเลยจะได้ไหม” 
    

         “นั่นมันเป็นผมต่างหากที่ควรจะต้องพูด! ใครกันที่ตัดสินใจเองเออเอง ทิ้งผู้หญิงให้เขารอ ให้เขาเป็นห่วงจนต้องมาตามเช้าตามค่ำกับผมทุกวันแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน!” เด็กหนุ่มตอบกลับด้วยอารมณ์เดือดดาล ความหนักอึ้งที่ทับถามลงมาตลอดสัปดาห์กว่าๆที่ผ่านมานั้นมันทำให้หัวใจของจูนอ่อนล้าไม่แพ้กัน
    

          “....พี่รู้ว่านิดเป็นห่วง” เคนเอ่ยขึ้นประโยคนั้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา 
             “แต่ที่พี่ไม่รู้...คือแกเป็นห่วงพี่บ้างรึเปล่า?”

 
              “................เอ่อ.............”
          จูนได้ยินเสียงของร่างสูงมันชัดเจนราวกับอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ห่างกันเลย และเพียงแค่คิดว่าอีกฝ่ายกำลังยืนอยู่ตรงหน้า ผู้ชายร่างสูงคนนั้นจะกำลังมองเขาด้วยสายตาแบบไหน ก็แทบจะทำให้ความรู้สึกที่อยู่ในใจนั้นมันเอ่อล้นออกมาอยู่แล้ว


             .....เป็นห่วงไหม.....
                ....ถึงจะมีคำตอบ....
                 ....แต่คิดว่ามันจะพูดออกไปได้ง่ายๆหรือยังไง....



                “เห็นไหม ถามไปแกก็ตอบไม่ได้ เลยไม่อยากจะรับโทรศัพท์ไง เพราะถ้ารับแล้วต้องรู้ความจริงแบบนี้ สู้ไม่รับแล้วให้พี่ค่อยๆเลิกเพ้อไปเองเสียยังจะดีกว่า อย่าลืมสิว่าพี่เพิ่งบอกรักแกไปนะ อย่าทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วพยายามทำตัวเป็นคนดีแบบนี้จะได้ไหม มันเจ็บเหมือนกันนะเว้ย.... แต่ยิ่งเห็นแกเป็นแบบนี้ มันก็ยิ่งยากที่จะทำตามที่แกขอ....เพราะยิ่งเห็นแกคิดถึงจิตใจของนิดแบบนี้ ยิ่งนึกอยากจะรัก อยากจะกอด อยากจะจูบแกมากขึ้นไปอีก” ถ้อยคำหวานเจือความเจ็บปวดทำให้เสียงของเคนแหบพร่า   

              “แล้วพี่จะให้ผมทำยังไง.....” เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก อีกฝ่ายยังคงส่งความรู้สึกมาถึงใจเขาราวกับคลื่นลมในทะเลที่สาดกระทบเข้าฝั่ง รุนแรงและทำให้ใจของเขาสั่นไหว
    
     
          “ถ้าไม่ได้รู้สึกอะไร ก็อย่าโทรมาอีก” น้ำเสียงของเคนที่เอ่ยกลับมานั้นเย็นเยียบ
    

          “แล้วพี่ทำอะไร อยู่ที่ไหน จะให้ผมไปเจอพี่นิดโดยที่ไม่มีข้อมูลอะไรแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ”
    

          “เรื่องของนิดพี่จะทำให้มันจบเอง ไม่รบกวนแกให้ลำบากใจหรือเสียเวลาอีกแล้ว ขอบใจมาก”
    

          “แล้วพี่จะกลับมาเมื่อไร” เด็กหนุ่มรีบถามกลับ รู้สึกหวั่นใจว่าถ้าการสนทนาครั้งนี้จบลงแล้วพวกเขาจะยังได้พูดคุยกันอีกไหม
    

             ....คิดจะหนีไปให้จนสุดเลยใช่ไหม....
    
             ....อย่าทำอะไรบ้าๆแบบนั้นนะ.....




              “เมื่อไรก็เมื่อนั้น.....”  เสียงทุ้มตอบกลับมาก่อนที่จะได้ยินเสียงสัญญานดังถี่ๆ จากปลายสาย

    
           สายขาดไปเสียแล้ว   ....


to be continued....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-11-2014 15:26:53 โดย goldfishpka »

asarigb

  • บุคคลทั่วไป
ไอ้หมีควายยยยยย  :katai1:
ตัดสายน้องทำไมวะ?  :katai5: ต้องการอะไรหะ?! ถ้าทำให้มันชัดเจนกว่านี้นะ
น้องจูนยอมนานแล้วเว้ย :m31: ของขึ้นกับอีพี่เคนจริงๆ  :ling1:

ออฟไลน์ shiawase

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
ยินดีต้อนรับบบบบบบบบบบบบ   :pig2:

ย้อนไปอ่านมานิดหน่อย  "อยากทอดไข่ดาวให้พี่ยุทธ์เลย" แอร้ย  :-[

น้องจูนคงจะลำบากใจล่ะนะ  ทั้งโดนแฟนคนอื่นขอให้ตามหาแฟน  แถมต้องทำไม่ห่วงไอ้หมีควายบ้าพลังงี่เง่าแบบนั้น

ไอ้หมีควาย  ไอ้หมีบ้า!!!!!  :angry2: :angry2:

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
@@@ Talk @@@

มาอัพกันส่งท้ายปี
ขอให้ปีใหม่ที่จะมาถึงนี้ นักอ่านทุกคน มีความสุขมากๆนะคะ


......................

Chapter 37 : เลิก? เจ็บ ?


     โต๊ะอาหารทำจากไม้เนื้อแข็งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใต้ชายคาอาคารที่เปิดโล่ง มองไปด้านหนึ่งเห็นกระสอบทรายสภาพเก่าที่ผ่านการใช้งานมานับปีแขวนอยู่เคียงข้างกับอุปกรณ์ฝึกซ้อมใหม่เอี่ยยมที่เพิ่งจะซื้อเข้ามาเปลี่ยนของเก่า มองไปอีกด้านไฟสปอร์ตไลท์ยังส่องลงกระทบลงบนผืนผ้าใบของเวทีมวย กลิ่นเหงื่อปนกลิ่นน้ำมันมวยยังคละคลุ้งเพราะการซ้อมของวันเพิ่งจะเสร็จสิ้นไปไม่นาน
     ใกล้ๆกันมีอาคารสองชั้นสภาพใหม่เอี่ยมตั้งอยู่ในเขตรั้วเดียวกัน สถานที่แห่งนี้เป็นที่รู้จักกันในนามค่ายมวยอุดรพยัคฆ์ และในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ถือเป็นขาขึ้นของค่ายมีนักมวยที่มีชื่อเสียงในระดับจังหวัดและในระดับภาคที่ขึ้นชกด้วยค่าตัวสูง  แต่กระนั้นเจ้าของค่ายก็ใช้จ่ายอย่างพอเพียงด้านหนึ่งยังคงมีอุปกรณ์เก่าที่ผ่านการใช้งานมาหลายต่อหลายปี ในขณะที่อีกด้านก็มีโรงยิมที่อุปกรณ์สำหรับฝึกฝนร่างกายของนักมวยก็เพิ่งจะสร้างเสร็จพร้อมสรรพกับอุปกรณ์ทันสมัยที่เจ้าของค่ายได้สรรหาเข้ามาให้ได้ใช้งาน ยิ่งหลังๆมานี่อาหารการกินแต่ละอย่างก็มักจะได้รับการดูแลจากนักโภชนาการที่เจ้าของค่ายว่าจ้างมาเป็นพิเศษ จึงยากนักที่จะได้ยินเสียงตะหลิวกระทบกับกระทะ พร้อมเสียงและกลิ่นอาหารดังให้ได้ยินมาจากครัวไทยที่อยู่ด้านหลังของบ้านหลังใหญ่ที่เป็นที่พักอาศัยของเจ้าของค่าย

    
          “โห ผมล่ะอิจฉาพี่เคนจริงๆเลย นาย...” เสียงศักดิ์ ชายวัยกลางคนร่างเล็กอดีตนักมวยประจำค่ายที่ในตอนนี้ผันตัวมาเป็นครูฝึกดังขึ้นขณะยื่นกาละมังใบใหญ่ไปรอรับผัดผักกระทะใหญ่จากคนที่ตัวเองเรียกว่า “นาย”
    
          “อิจฉา?...อิจฉาไอ้เคนทำไมวะศักดิ์” เสียงเข้มของชายสูงวัยร่างใหญ่อย่างสุชาติเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ พลางตักผัดผักร้อนๆใส่ลงไปในกาละมัง
 
   “ก็ร้อยวันพันปีนายไม่เค้ยยย...ไม่เคยลุกมาจับกระทะ ทำอะไรให้พวกผมกิน วันๆเห็นแต่นั่งส่องพระกับเล่นเฟซบุ๊คคุยกับสาวๆ นี่พี่เคนกลับมาบ้านอาทิตย์นี้ พวกผมได้กินผัดผักบุ้งเอย ผัดกะหล่ำเอย คะน้าเอย .....ผมเลยอิจฉ้า....อิจฉาพี่เคน” 

    “สรุป เพราะไอ้เคนมันกลับบ้าน ได้กินข้าวที่กูทำ มึงเลยอิจฉามันอย่างงั้นเหรอ” คุณสุชาติเจ้าของค่ายมวย อุดรพยัคฆ์หัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะยกด้ามตะหลิวขึ้นเคาะหัวของศักดิ์เบาๆเสียหนึ่งครั้ง

    “โอ้ย นาย เล่นอะไรเจ็บนะครับ”

    “ทำมาเป็นอิจฉาไอ้เคนมัน มึงคิดดูว่า ไอ้เคนมันเป็นใคร”

    “โอ้ยยย นายก็ถามได้ ก็ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของพ่อสุชาติไงครับ” ศักดิ์ตอบพลางก็ยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองเบาๆ

    “เออ ทีนี้รู้หรือยัง ไอ้เคนน่ะมันลูก พวกมึงน่ะเป็นอะไร”

    “ลูก...น้องครับ”

    “ดี ที่นี้เลิกพูดมากแล้วยกไอ้ผัดผักไปที่โต๊ะแล้วไปเรียกเด็กๆมากินด้วย” สุชาติสั่งทำทีคล้ายจะดุแต่ก็แอบอมยิ้มอยู่ในที

          เขาอารมณ์ดีแบบนี้มาหลายวันเพราะนอกจากเคน ลูกชายคนเดียวของเขาจะกลับบ้านหลังจากที่ไม่ได้กลับมานานแล้ว การกลับมาครั้งนี้ยังเป็นการตอบตกลงว่าจะขึ้นชกในไฟท์ใหญ่กลางเมืองที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ถึงแม้จะรู้ดีว่าเปอร์เซ็นต์ในการชนะอาจจะไม่ได้สูงเหมือนทุกครั้งเพราะคู่ต่อสู้เป็นชาวต่างชาติที่มีฝีมือและเจนเวทีแถมยังมีโอกาสเก็บตัวซ้อมในค่ายที่มาเลย์เซียมานานกว่า เมื่อเทียบกับเคนที่ช่วงนี้อาจจะไม่ได้ฟิตร่างกายมากนัก แต่ขอแค่เคนขึ้นชกอย่างน้อยชื่อของค่ายก็จะได้รับการโปรโมทในระดับชาติซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดีในเชิงธุรกิจต่อไป
    

          มื้อค่ำของที่ค่ายส่วนใหญ่จะทานร่วมกัน เมนูก็ผลัดเปลี่ยนไปแต่ละวันแต่ส่วนใหญ่จะคำนึงถึงความต้องการของร่างกายนักมวยเป็นอันดับแรก ว่าในช่วงนี้ต้องการอาหารแบบไหนเพื่อให้ร่างกายสร้างกล้ามเนื้อและมีพลังงานเพียงพอ โดยมากแล้วนักมวยในค่ายก็จะทานกันไปพูดคุยกันไป วันนี้เองก็เช่นเดียวกัน เว้นเสียแต่มีบางคนที่ดูจะไม่มีสมาธิมาตั้งแต่ช่วงบ่าย แม้แต่ในตอนซ้อมก็ดูไม่มีสมาธิพลาดจนโดนศักดิ์เอาเป้าซ้อมตีสวนกลับไปหลายครั้ง
         
   
      “พี่เคน...ทำไมไม่กินล่ะครับ นี่พ่อสุชาตบรรจงผัดให้พี่เคนเลยนะ” ศักดิ์หันไปแหย่ลูกชายเจ้าของค่ายที่ถึงแม้จะอายุน้อยกว่ารอบแต่ก็ยกให้เป็นลูกพี่เสมอมา  แต่ดูท่าว่าวันนี้ “ลูกพี่” ของเขาดูจะไม่มีอารมณ์จะเล่นด้วยสักเท่าไรนัก
 
   “อุ่ย.....พี่เคนอารมณ์ไม่ดีล่ะนาย...”

    “มันไม่อยากกินก็ช่างมัน เกิดมันหิวดึกๆก็ให้มันหากินเองละกัน อย่าไม่ตื๊อ “เห็นท่าทางแบบนั้นของลูกชายแม้จะไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก แต่ก็ไม่ได้คิดจะถามหาความอะไรต่อ หากเคนอยากจะพูด อีกสักพักก็คงจะมาพูดกับเขาเองเป็นแน่


 และไม่ได้ใช้เวลานานนักหลังจากมื้อค่ำ เมื่อนักมวยทุกคนกลับเข้าที่พักไปพักผ่อนแล้ว ร่างสูงใหญ่ของเคนเองก็ค่อยเดินลงมาจากชั้นบนของบ้าน มือหนึ่งยังใช้ผ้าขนหนูขยี้ลงบนผมที่เปียกชื้น เสื้อมกล้ามสีเข้มที่ใส่แนบลำตัวนั้นยิ่งเน้นให้เห็นรอยเขียวคล้ำบนเนื้อตัวให้เห็นชัดกว่าปกติ วันนี้เขาเจอศักดิ์เล่นแรงๆใส่เป็นการสั่งสอนมาสองสามดอก แต่ก็ไม่ได้คิดเอามาเป็นอารมณ์เพราะอย่างไรเสียแล้วศักดิ์ก็ได้ชื่อว่าเป็นครูของเขาเอง เคนเดินไปเปิดประตูตู้เย็นคว้าขวดน้ำมาได้ก็เดินอาดๆมาลากเก้าอี้ไปนั่งข้างๆเก้าอี้โซฟาที่สุชาติกำลังเอนหลังดูโทรทัศน์อยู่


    “นี่พ่อ......”

    “อะไร ถ้าเกิดจะหิวข้าวขึ้นมานี่ แกไปหากินเอาเองเลยนะกูคร้านจะทำให้แล้ว”

    “อ้าว นี่มีน้อยใจ? “ เคนหันไปมองหน้าของผู้เป็นพ่อก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ มือแกร่งยกขวดน้ำขึ้นดื่ม ดวงตาคมก้มลงมองขวดน้ำที่อยู่ในมือ ปลายนิ้วขยับเล็กน้อยหมุนขวดที่อยู่ในมือไปมาเบาๆ

    “.....................” เคนไม่ได้พูดอะไรต่อ ในใจของเขาพาลนึกถึงโทรศัพท์ที่เขารับสายเมื่อกลางวัน อีกฝ่ายคิดอย่างไรถึงได้โทรมา ทั้งๆที่เป็นคนบอกเองว่าให้เขาทำตัวเหมือนเดิม เขาเองก็คิดว่าหากถอยออกมาเสียก็จะได้ไม่ต้องไปทำอะไรให้จูนรู้สึกไม่ดีอีก สายตาของเด็กหนุ่มที่มองกลับมาในวันนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขาทำพลาดไปเสียแล้ว...ทุกอย่าง ทำไมถึงไม่รู้จักควบคุมตัวเองให้ดีกว่านี้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาควรจะเลือกทำในสิ่งที่จูนจะไม่เสียใจ และไม่มองเขาด้วยสายตาเหมือนเช่นในเช้าวันนั้น

    “มีอะไร หน้าอมทุกข์ แม่สาวนั่นทิ้งแกแล้วหรือไง” คำพูดของผู้เป็นพ่อนั้นเสียดแทงเข้ามาในอก

    “ที่พูดนี่แช่งเหรอ...” เคนเสมองไปอีกทางเขาไม่อยากให้พ่อรู้ว่าสิ่งที่พูดออกมานั้นมันตรงเสียยิ่งกว่าตรง

    “ก็เห็นทำหน้าจะเป็นจะตาย มีอะไรจะพูดไหมล่ะ ถ้าอยากพูดก็จะฟังให้ ขออย่างเดียวเวลาซ้อมอย่ามัวใจลอย นี่กูยังไม่อยากเห็นลูกตัวเองโดนฟาดหลับคาเวทีตั้งแต่ยังไม่ทันสิบวิแรก....อุตส่าห์ได้ขึ้นแล้วก็ช่วยอยู่ให้มันคุ้มหน่อย ไม่ใช่เอาเรื่องส่วนตัวมาเป็นอารมณ์”

    “หึ.......” เคนหัวเราะในลำคอ เป็นอย่างที่คาดการณ์สุดท้ายแล้วพ่อของเขาก็คงจะห่วงเพียงแค่เงินกับงานที่จะออกมาก็เท่านั้นจนอดสงสัยไม่ได้ว่าหากเขาชนะขึ้นมาพ่อสุชาติของใครๆนี่จะหน้าบานขนาดไหนกัน...แต่ก็ดูจะเป็นไปได้ยากในเมื่อเขาเพิ่งกลับบ้านมาซ้อมจริงจังได้แค่อาทิตย์กว่าๆเท่านั้น


    “งั้นขอถาม...ตรงนี้เลย พ่อเคยรักคนสองคนในเวลาเดียวกันไหม”

    “หะ....”คุณสุชาติเลิกคิ้วสูง ชายสูงวัยคิดจะขำในคราแรก แต่ดูจากท่าทางของลูกชายแล้วก็อดจะแปลกใจไม่ได้ เคนไม่เคยพูดถึงเรื่องแบบนี้ด้วยท่าทางจริงจังขนาดนี้มาก่อน ผู้เป็นพ่อถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะหันไปตอบ

    “ให้กูตอบตามตรง ก็ได้....เคยสิ ตอนนี้ก็ใช่”

    “หะ... ปูนนี้แล้วเนี่ยนะ” คราวนี้เป็นทีของเคนที่ต้องเลิกคิ้วสูงบ้าง

    “รุ่นนี้แล้วไงวะ กูยังแข็งแรง....”ผู้เป็นพ่อตบหน้าขาของตัวเองเบาๆ “อย่าว่าแต่ปี๊บ เตะต้นกล้วยขาดก็แล้วกัน”

    “ว่าแต่...แล้วพ่อมี “เพื่อน” ใหม่แล้วหรือไง” เคนเอ่ยถึงบุคคลที่สาม “เพื่อน” คือคำที่เขาใช้เรียกคนรักของพ่อ ตลอดเวลาตั้งแต่แม่ของเขาเสียชีวิตไป ผู้หญิงมากหน้าหลายตาเข้ามาติดพันกับพ่อของเขาบางคนก็เข้ามาช่วยดูแลกับข้าวกับปลางานบ้านงานเรือนให้ บางคนก็มาเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราวแล้วก็จากไป แต่เคนไม่เคยได้ยินพ่อของเขาพอใจใครถึงขนาดจะยกให้เป็น “แม่ใหม่” ของเขาเลยสักครั้ง

    “เพื่อนพ่อ ก็มีเรื่อยๆ.... “ สุชาตหัวเราะเบาๆ

    “แล้วที่ว่าสองคนในคราวเดียวนั่นมันอะไร...จับปลาสองมือ?”

    “เฮ่ย อย่ามาหาว่าพ่อมึงเป็นคนมักง่ายอย่างนั้น”

    คำพูดของผู้เป็นพ่อทำให้คนฟังถึงกับสะอึกเล็กน้อย เคนกระแอมไอเบาๆ ก่อนจะหันกลับมาถามพ่ออีกครั้ง


    “เอ้า ไม่มักง่ายก็ไม่มักง่าย แล้วยังไงล่ะ”

    “กูมีเพื่อนใหม่ก็จริง...แต่ไม่เคยคบใครทีละสองคนเว้ย” สุชาติว่าพลางหันไปมองรูปภาพของภรรยาที่จากไป แล้วของตนเองที่ยังคงตั้งอยู่ในบริเวณห้องนั่งเล่นตลอดมา

    “ที่กูรักอยู่ตลอดก็คือแม่ของมึง  กูไม่เคยมีใครทีละสองคน จำเอาไว้นะไอ้ลูกชาย กับผู้หญิงน่ะพอสถานะมันเปลี่ยนไปจากเดิมที่ไม่เคยเรียกร้องอะไรก็จะเรียกร้อง จะมากจะน้อยก็แล้วแต่คน หรือต่อให้ไม่เรียกร้องอะไร ลึกๆแล้วเขาก็อยากจะได้รับการดูแลเอาใจใส่ เป็นคนเดียวที่เราจะให้เขารู้สึกว่าสำคัญไปตลอด ถ้าคิดจะรักเขาก็ต้องให้ความสำคัญกับเขา แต่กับคนไหนถ้าถึงเวลาที่เรารู้สึกว่าเราไม่สามารถจะตอบสนองต่อความรู้สึกนั้นได้อีกต่อไป เราก็ต้องปล่อยเขาไป อย่าไปยื้อเพียงเพราะว่าเราสงสาร หรือเพราะกลัวว่าถ้าเขาไปแล้วเราจะไม่เหลือใคร ยิ่งเราไปยื้อ ไปเกรงใจเขา ทั้งๆที่ก็มีคนใหม่เข้ามา ก็เท่ากับเราเห็นแก่ตัว มักง่ายกับความรักที่เขาให้มา ให้มาแล้วก็ทิ้ง แบบนั้นมันใช้ไม่ได้ เข้าใจไหม”


    
   ...เห็นแก่ตัว.....


    คำพูดของจูนย้อนกลับเข้ามาในหัว ใช่แล้ว เขามันไม่มีอะไรดีพอให้ใครมารักได้เลย ไม่แม้แต่กับนิดที่เรียกได้ว่าเป็นแฟนคนปัจจุบัน เพราะกับนิดเองก็มีหลายต่อหลายครั้งที่เขาละเลยนิดไป ในขณะเดียวกัน ก็มีหลายต่อหลายครั้งที่เขาถูกละเลยเช่นกัน นั่นทำให้เกิดคำถามขึ้นในใจอยู่ตลอดเวลาเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับนิ ดแต่ตลอดเวลาที่คบกันก็ไม่เคยคิดหยิบขึ้นมาเป็นประเด็น จนอดสงสัยไม่ได้ว่าหากเขาปล่อยให้เวลามันผ่านเลยไปแบบนี้ทุกสิ่งทุกอย่างจะดีแล้วจริงๆอย่างนั้นหรือ เพียงแค่หลบมาให้พ้นมันไม่ได้แปลว่าทุกอย่างจะกลับเข้าที่เข้าทาง เขาคิดผิดไปเอง...


    “พ่อ......” เคนถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหน้าของพ่อของตัวเอง

    “ผม.....ขอกลับไปที่ มหาลัยสักสองสามวันจะได้ไหม”

    “กลับไปทำไม เสียเวลาซ้อม” สุชาติหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะคาดการณ์ลูกชายได้ไม่ผิดเพี้ยน

    “แค่จะไปเคลียร์เรื่องส่วนตัวออกจากงาน....แบบนั้นพ่อจะโอเคไหม” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาคมนั้นเป็นประกายในแบบที่ผู้เป็นพ่อไม่เคยเห็น มันไม่ใช่ประกายตาของความขี้เล่นเหมือนทุกครั้ง ไม่ใช่แววตาของความโกรธเกรี้ยวไม่พอใจ น่าแปลกเหลือเกินที่ในดวงตาคู่นั้นดูเศร้าสร้อยอย่างประหลาด

    “ที่นี่ไม่ใช่คุก มึงอยากจะไปมึงก็ไป แค่จำไว้อย่าง ว่าอย่าให้เสียงาน”

    “ครับ” เคนรับคำเบาๆ ในอกรู้สึกหนักอึ้งอย่างประหลาด กับสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจทำ และกับหน้าที่ที่ผู้เป็นพ่อบอกให้เขาทำ

    “ดี...ทีนี้ก็ไปนอนได้แล้ว แล้วพรุ่งนี้ถ้าจะไป ก็มาเอาจดหมายของพ่อไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาแกด้วย”

    “ครับ” เคนกรอกตาเล็กน้อย เพื่อให้ได้หนังสือขออนุญาตเข้าแข่งขันจากทางมหาลัย ทั้งๆที่ความจริงแล้วต้องใช้เวลาเดินเรื่องอีกนานโขพ่อของเขาก็ใช้วิธีเดิมๆ อย่างที่มักจะเคยทำ ถึงไม่ค่อยอยากจะยอมรับนักแต่เงิน ก็เป็นคำตอบของในบางเรื่อง ได้เป็นอย่างดี

    
....................................


    “หิวข้าวอ่ะ แม่จ๋า......” เสียงแหบของสาวห้าวอย่างปิ๊กดังขึ้เนพร้อมกับปลายนิ้วอวบกลมที่ค่อยคลืบคลานมาบีบไหล่จับแขนของจูนในปบบที่เรียกได้ว่าเกาะแกะจนคล้ายจะกลายเป็นปลาหมึก

    “ใครแม่...ไม่เอาน่าปิ๊ก ผู้หญิงอะไรมากอดกันอยู่ได้เนี่ย ปล่อยเว้ย  นมจะโดนหน้าอยู่แล้ว” จูนพยายามเบือนหน้าไปอีกทาง แต่ก็ไม่ได้ผลยิ่งได้ยินแบบนั้นผู้หญิงพิเรนทร์แบบปิ๊กยิ่งอยากแกล้งเข้าไปใหญ่ ยื่นอกอวบเข้าไปเสียจนจะชิด จนจูนต้องร้องขอความช่วยเหลือจากแพรที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ไม่ห่างออกไป

    “โอ้ย...แพรช่วยด้วยไอ้ปิ๊กมันหื่นใหญ่แล้ว”

    “ปิ๊ก ไม่เอาน่า หิวข้าวก็อย่ากินผู้ชายสิ...” แพรเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ละสายตาจากคอมพิวเตอร์ตรงหน้า

    “ก็รายงานไม่เสร็จสักทีนี่นา นี่จนบ่ายกว่าแล้วยังไม่ได้กินข้าวเลย พักกันสักแป๊บ ไปกินข้าวกันเถอะ “ ปิ๊กยังคงโอดครวญเพราะโชคยังดีที่ศูนย์อาหารกลางของมหาวิทยาลัยเปิดทำการตลอดทั้งวันทำให้ยังมีหวังในการหาของกินบ้าง

    “เดี๋ยวนะ...รายงานข่าวด่วนจากเฟสบุ๊ค” อยู่ๆแพรก็ร้องขึ้นมา ดวงตาใต้กรอบแว่นเป็นประกาย

     “ข่าวอะไร...” ปิ๊กกับจูนหันไปมองหน้าของเพื่อนพร้อมกัน

    “ดาราเกาหลีมาไทยอีกหรือไง” เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะรู้ดีว่าเพื่อนของตัวเองนั้นชอบนักร้องเกาหลีมากแค่ไหน

    “บ้า.... ข่าวใหญ่ประจำสัปดาห์ มีผู้พบเห็น พี่เคน พละ ที่นี่? เมื่อกี้เลย” ไม่พูดเปล่าแพรหันหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้เพื่อนดู

    “หะ?.....” จูนเป็นคนแรกที่อุทานขึ้นพร้อมกับเท้าแขนกับโต๊ะเอนตัวเข้าไปดูใกล้ๆ รูปที่ปรากฏบนหน้าจอนั้นชัดเจนเป็นรุ่นพี่ร่างสูงที่เขาตามหามาตลอดสองอาทิตย์กว่านี้แน่นอน

    “นี่ไปเอามาจากไหนเนี่ย”

    “จะที่ไหนกันล่ะ ก็เพจ หนุ่มหล่อประจำมอของเราไงล่ะ นี่มีอีกเยอะนะ จะพี่ตั้มวิศวะ พี่เอกแพทย์ พี่โจเกษตร มีพี่ยุทธ์ของแกด้วยนะบางวัน....” สาวแพรว่านัยน์ตาเป็นประกายชวนขนลุก จูนมองภาพแอบถ่ายที่ถูกแท็กต่อกันบนไทม์ไลน์จนอดสงสัยไม่ได้ว่าในหมู่สาวๆในมหาวิทยาลัยนี่เขาเห็นรุ่นพี่หน้าตาดีเปรียบเสมือนเป็นดาราให้ตามข่าวซุบซิบกันขนาดนี้เลยหรืออย่างไร


    “แล้ว...พี่เขาอยู่นี่เหรอ....” จูนพึมพำออกมาเบาๆ มืออีกข้างดึงเอาโทรศัพท์ของตัวเองออกมาเปิดหน้าจอดู ไม่ผิดเพี้ยนใครบางคนที่หายจากสังคมออนไลน์ไปนานกลับมาเช็คอินระบุตำแหน่งว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ศูนย์อาหารกลาง


   ....นึกจะไปก็ไป....
    ....จะมาก็มาไม่บอกกันแบบนี้มันหมายความว่ายังไง....



    ในหัวมีคำถาม แต่อีกด้านของหัวใจก็คล้ายกับจะมีคำตอบให้กับตัวเอง และคงหนีไม่พ้น ตัวเองอีกเช่นกัน

    “เดี๋ยวมานะ ...แพรพาปิ๊กไปหาข้าวกินทีนะ ....อย่าให้มันหลุดไปกินผู้ชายที่ไหนล่ะ” ไม่ลุกไปเปล่าฝากถ้อยคำเจ็บแสบกัดเพื่อนสาวตัวป่วนไว้อีกต่างหาก

    “อ้าว เฮ้ย...จูนนั่นจะไปไหนอ่ะ”

    “ไปตามหาหมีควายบางคน  มีเรื่องต้องเคลียร์” น้ำเสียงที่ดังขึ้นพร้อมกับแผ่นหลังได้รูปที่เดินจากไปนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์บางอย่างที่พลุ่งพล่านออกมาจากสาวนลึกของหัวใจ  ร่างสูงโปร่งสาวเท้าก้าวยาวๆ ไปมองหาผู้ชายตัวใหญ่ที่เพิ่งถูกจับภาพขึ้นสังคมออนไลน์ อย่างรวดเร็ว


....................................



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-09-2015 22:27:10 โดย goldfishpka »

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
[ต่อ]


    “พี่เคนน่ะ...จะกลับมาก็ไม่บอกนิด...” เด็กสาวตรงหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ

    “ขอโทษนะ ทุกอย่างมันกะทันหัน พี่ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน “ ทันทีที่กลับมาถึงคนแรกที่อยากจะพบแม้ในหัวจะเป็นเด็กหนุ่มคนนั้นแต่ก็เลือกที่จะโทรหานิดก่อน เพราะเขามีเรื่องที่จะต้องบอกกับเด็กสาวตรงหน้าโดยตรง 

    “นิดเป็นห่วง...” คำพูดซ้ำๆที่ไม่ได้เห็นจากหน้าจอโทรศัพท์ในตอนนี้กลับดังขึ้นตรงหน้า จากริมฝีปากอิ่มสีสวยของเด็กสาวใบหน้าคมได้รูป แม้จะเลิกเรียนแล้วแต่เด็กสาวตรงหน้ายังคงมีเครื่องสำอางค์บางๆบนใบหน้า สีแก้มนั้นแดงระเรื่อเมื่อเอ่ยคำนั้นออกมา

    “พี่รู้ว่าทำให้นิดเป็นห่วง “

    “ ก็เป็นห่วงนะสิ...”เด็กสาวเอ่ยก่อนวางมือเรียวลงบนมือของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม

    “พี่เคนไม่เห็นเคยทำแบบนี้ นี่พวกเพื่อนนิดเขาก็ถามนะว่า พี่หายไปไหน...นิดก็ไม่รู้จะตอบกับเพื่อนๆว่ายังไง น่าอายออกแฟนตัวเองแท้ๆกลับไม่รู้ว่าไปไหน” เด็กสาวเอ่ยในน้ำเสียงนั้นยังคงตัดพ้อ

    “พี่....ขอโทษ”ชายหนุ่มเอ่ยออกมาเบาๆ พร้อมแรงบีบลงบนมือเล็กของเด็กสาว

     “แต่ไหนๆพี่เคนก็กลับมาแล้ว เอาเป็นว่าวันนี้เราไปกินข้าวด้วยกันดีไหม...แล้วนี่นิดเตรียมของขวัญปีใหม่ไว้ให้พี่เคนด้วยนะ... เดี๋ยวไว้นิดกลับไปเอาที่หอ...”  นิดยิ้มออกมาน้อยๆ ร่างเล็กเท้าแขนกับโต๊ะแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ร่างสูง


 ท่าทางร่าเริงนั้นเป็นเหมือนทุกๆครั้งที่เด็กสาวจะพูดกับเคนอย่างกระตือรือล้น  ท่าทางดีใจของเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าทำให้รู้สึกเจ็บเข้าไปในอก เขาเอ็นดูท่าทางแบบนั้นของนิดมากแค่ไหนในใจของเขาเองก็รู้ดี แต่เมื่อในตอนนี้ในใจของเขามีใครคนอื่นเข้ามาแล้ว เขาควรจะจบความสัมพันธ์นี้ไปเสียที เพื่อที่คนตรงหน้าจะได้ไม่ต้องมาสิ้นเปลืองความหวังและรอยยิ้มกับคนแบบเขาอีก


    “นิด......” มือแกร่งอีกข้างยื่นออกไปวางทาบทับบนมือเล็กของเด็กสาว ผิวกายนุ่มเนียนกับข้อมือเล็กๆนั้นบอบบางเสียเหลือเกิน 

    “พี่ว่าเราควรจะห่างกันสักพัก” เสียงทุ้มนั้นดังขึ้นเบาๆ เคนรู้สึกได้ว่ามือของเขากำลังสั่นแต่ก็ไม่คิดที่จะยกมือออกจากการเกาะกุมนั้น เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าเลิกคิ้วขึ้นสูง ดวงตากลมโตนั้นกระพริบตาถี่ๆ สองสามครั้งคล้ายกำลังรู้สึกสับสนกับข้อความที่ได้ยิน

    “คะ?”

    “คือพี่...... “



   ....ผั่วะ.....



    แรงกระแทกจากด้านหลังทำเอาคนที่กำลังจะเอ่ยปากพูดหน้าแทบคว่ำลงกับโต๊ะ


    “เหี้ย.....อะไรวะ”

    “เหี้ยอะไรล่ะ เพื่อนมึง สาด ....แตะนิดแตะหน่อยทำเป็นร้อง หายหัวไปไหนมาวะ” เมื่อหันกลับไปดูก็พบกับต้าร์ที่ยืนยิ้มเห็นฟันขาวอยู่ด้านหลัง

    “เดทเหรอ สวัสดีครับนิด สบายดีนะ”

    “เอ่อ....ค่ะ” เด็กสาวรับคำอ้อมแอ้มดูเหมือนจะยังมึนงงกับทั้งคำพูดและการมาอย่างไม่ทันให้ตั้งตัวของเพื่อนสนิทของเคนคนนี้

     “มึงมีอะไร รีบๆพูดมาแล้วรีบๆไสหัวไปเลย ห่านี่” ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนขึ้นแทบจะในทันที อันที่จริงในตอนนี้เขาไมมีอารมณ์จะเล่นกับต้าร์สักเท่าไรนัก

    “.......ห่า......”ต้าร์มองหน้าของเพื่อนเห็นได้ชัดในแววตานั้นว่าไม่สบอารมณ์สักเท่าไร จึงหยิบใบปลิวออกมาจากกระเป๋าหลังในทันที

    “นี่...เห็นเขาแจกกันในเมือง Kings of Ring ชื่องานออะไรของมันเนี่ย มึงจะไปต่อยใช่ไหมป่ะ ที่หายหัวไปนี่พ่อมึงเอาไปซ้อมมาใช่ป่ะ” ต้าร์ยิงคำถามรัวเร็วในมือมีใบปลิวเกี่ยวกับการจัดการแข่งขันมวยไทยของรายการโทรทัศน์จากต่างประเทศที่จะมาจัดในตัวเมือง งานใหญ่ที่หาดูได้ยากแบบนี้แน่นอนที่ต้องมีการโปรโมทกันอย่างเอิกเกริก และถึงแม้จะไม่มีรูปของเคนอยู่บนใบปลิวแต่ชื่อนักมวย เคน อุดรพยัคฆ์ นั้นในหมู่นักกีฬามหาวิทยาลัยด้วยกันย่อมรู้กันดีอยู่แล้ว

    “อืม....ก็จะไปต่อย พรุ่งนี้ว่าจะเข้าคณะเอาจดหมายพ่อไปให้อาจารย์...ทำเรื่องของลาไปซ้อมสักพัก” เคนพยักเพยิดอย่างขอไปที ในใจนึกอย่างให้ต้าร์ไปจากตรงนี้เร็วๆ เขาไมได้อยากให้นิดได้ยินเรื่องนี้สักเท่าไรนัก

    “โห มึงนี่งานนี้ออกทีวีด้วยนะ ดังเทียบบัวขาวแน่อ่ะงานนี้”  ยังไม่วายที่ต้าร์จะยังกระเซ้า

    “ไอ้ต้าร์ เบาๆหน่อยสิวะ...” เคนคว้าไหล่ของต้าร์เอาไว้ แต่ก็คล้ายจะไม่ทันเสียแล้ว

    “แข่ง?...พี่เคนจะไปแข่งอะไรเหรอคะ” เสียงหวานของเด็กสาวดังขึ้นจากด้านหลัง

    “เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกนิด” ร่างสูงรีบหันกลับไปปฏิเสธ ผิดกับต้าร์ที่ยื่นหน้าเข้ามาจากทางด้านข้าง

    “ใช่แล้ว ไอ้เคนมันจะไปแข่งล่ะ ออกทีวีด้วยนะนิด”ต้าร์ยังดูท่าทางอารมณ์ดีโดยไม่ได้รู้อารมณ์หรือสถานการณ์ของเพื่อนที่กำลังเผชิญอยู่เลยแม้แต่น้อย

    “เหรอคะ?....” หญิงสาวเลิกคิ้วสูงด้วยท่าทางตื่นเต้น  “พี่เคนคะ นิดไปดูได้ใช่ไหม” เสียงหวานหันมาถามด้วยท่าทีออดอ้อน เหมือนอย่างทุกครั้งเวลาที่อยากจะได้อะไร หรือต้องการให้เขาพาไปที่ไหนด้วยกัน

    “เอ่อ....” เคนอ้ำอึ้งเขาจะตอบอย่างไรได้ มิหนำซ้ำต้าร์ยังมายืนลอยหน้าลอยตาไม่รู้เรื่องอะไรอยู่ด้วยแบบนี้ ร่างสูง หันกลับไปตบไหล่เพื่อนเบาๆ

    “ต้าร์ ขอบใจนะมึงที่ช่วยมาโฆษณางานให้ แต่กูขอ วันนี้มึงช่วยกลับไปก่อนได้ป่ะ” เคนขบฟันกรามแน่น เขา มือแกร่งที่วางอยู่บนไหล่ของเพื่อนเพิ่มแรงอีกเล็กน้อย ราวกับต้องการเน้นย้ำในคำที่พูดออกไป

    “........” ต้าร์สะอึกออกมาเล็กน้อย เขาทำได้แค่พยักหน้า ก่อนจะเค้นเสียงแหบออกมาจากลำคอ

    “แล้วพรุ่งนี้มึงเข้าคณะใช่ปะ”

    “อืม...ไว้เจอกันพรุ่งนี้” เคนตอบเรียบๆก่อนปล่อยมือออกจากไหล่ของเพื่อน ร่างสูงนั่งลงตรงหน้าของนิดอีกครั้ง
 ต้าร์ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่โบกมือให้เพื่อนเล็กน้อยก่อนจะเดินจากไป

         “ว่ายังไงคะ” เสียงของนิดดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มหวาน

         “พี่ว่า ...นิดอย่าไปดูเลย ” เคนยิ้มแห้งๆ ในใจของเขาเจ็บ

         “อะไรกันคะ พี่เคน...งานใหญ่แบบนี้ไม่ให้นิดไปได้ยังไง แหม...เขินเหรอ” นิดยังแหย่ ปลายนิ้วเขี่ยเล่นบนท่อนแขนแกร่งของแฟนหนุ่ม

         “ก็พี่ไม่ได้ซ้อมนี่นา...ถ้าพี่แพ้....”

         “พี่ไม่แพ้หรอก พี่เคนเก่งจะตาย นี่ถ้าเพื่อนของนิดรู้ต้องพากันกรี้ดแน่เลย นิดจะช่วนต่ายไปด้วย ชวนเพื่อนทำป้ายไฟไปเชียร์พี่เคนด้วยดีไหมคะ”

        “นิด...” เคนพยายามจะห้ามความคิดของเด็กสาวตรงหน้า แต่ดวงตากลมโตตรงหน้านั้นก็เป็นประกายเสียจนรู้สึกหน่วงข้างในอก

       “แต่งานนี้คงไม่ง่าย เขาต่อยกันแรง คงมีใครแตกกันบ้าง อาจจะน่ากลัวไปสำหรับนิดกับเพื่อน พี่ไม่ค่อยอยากให้นิดไปดูสักเท่าไร” เคนรู้สึกขำที่ตัวเองทำทีคล้ายจะขู่ให้เด็กสาวกลัวด้วยภาพของความรุนแรง...ที่อันที่จริงอาจจะไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น 

       “พี่เคนน่ะ...อย่าขู่สิคะ นิดไม่กลัวหรอกนะ” เด็กสาวว่า พลางยกนิ้วขึ้นต่อหน้าของอีกฝ่ายราวกับจะเตือน  “แหม เท่จริงๆเลยมีแฟนเป็นนักมวยออกทีวีด้วย “

 
        ถ้อยคำที่หญิงสาวที่กล่าวออกมาทำให้ในใจของเคนรู้สึกหนักอึ้ง สำหรับนิดแล้วบางครั้งเขากลายเป็นเพียงหัวข้อเพื่อพูดคุยสนทนากับเพื่อน เป็นเหมือนเครื่องประดับ และใช่สำหรับเขาเองในบางครั้งนิดก็อยู่ในสถานะที่ไม่ต่างกันสักเท่าไร เขาเป็นที่อิจฉาของใครต่อใครส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมีนิดอยู่ข้างๆ นิดเรียนได้พอใช้แต่เนื่องจากเป็นคนสวย อัธยาศัยดี มีความสามารถในการเข้ากับคนอื่น การได้รับเลือกให้เป็นเชียร์ลีดเดอร์ของคณะจึงเป็นเรื่องที่ไม่เหนือความคาดหมายนัก นั่นยิ่งทำให้ลึกๆแล้วก็อดจะภูมิใจไม่ได้ที่มีอีกฝ่ายเป็นคนรัก แต่ความสัมพันธ์แบบนั้นมันใช่ความสัมพันธ์ในแบบที่เขาต้องการแน่แล้วอย่างนั้นหรือ  มันเคยมีความรู้สึกในอกที่เรียกว่าความรักมาตั้งแต่เริ่มแรกหรือเปล่า แม้แต่เขาเองก็ยังไม่มั่นใจเหมือนกัน


        “พี่แค่...ไม่อยากให้นิดมาดูพี่แข่ง....อีกแล้ว” ชายหนุ่มร่างใหญ่ก้มหน้าลง ท้ายเสียงแผ่วเบาและแหบพร่า

         “คะ? “ เป็นอีกครั้งที่นิดเลิกคิ้วสูง

         “หลังจากนี้พี่คงจะกลับไปซ้อม อาจจะไม่สะดวกที่จะพานิดไปไหนกับเพื่อน พี่เลยคิดว่า เราน่าจะห่างกันบ้าง เพราะพี่เองก็ต้องการสมาธิในการซ้อม” เคนเอ่ยออกมา ดวงตาคมสบตาของหญิงสาวที่นั่งตรงหน้า

        “และพี่คิดว่า...พี่ที่เป็นแบบนี้ อาจจะไม่เหมาะที่จะมาดูแลนิดอีก ...พี่ว่าเราน่าจะ....” เคยค่อยๆเอ่ยช้าๆ แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องหยุด เมื่อมือเล็กเอื้อมมาแตะที่ข้างแก้มของเขาเบาๆ

       “นิดจะไปดูพี่เคนแข่งนะคะ....เอาเป็นว่าเดี๋ยวนิดกลับหอไปก่อน แล้วหกโมงพี่เคนไปรับนิดที่หอนะคะ ไปกินข้าวด้วยกัน” สาวสวยเชียร์ลีดเดอร์ประจำคณะยิ้มหวาน ก่อนเหลียวซ้ายหันขวา แล้วขยับตัวลุกจากโต๊ะที่นั่งขึ้นมาแตะริมฝีปากที่แก้มของเคนเบาๆ

       “อย่าลืมมารับนิดด้วยนะ” ไม่พูดเปล่าร่างเล็กคว้ากระเป๋าสะพายใบน้อยและหนังสือเรียนลุกออกจากโต๊ะที่นั่งอยู่ มือเรียวโบกน้อยๆ ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้ร่างสูงใหญ่นั่งนิ่งอยู่กับสัมผัสนุ่มนวลแผ่วผ่านที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ให้



        ...........นี่มันอะไรกันวะเนี่ย...........!



         อีกด้าน

        หลังจากหาข้าวทานเติมพลังงานให้ท้องกันเสร็จ แพรและนิดเดินหอบหิ้วขนมออกมาจากร้านสะดวกซื้อในศูนย์อาหาร เห็นร่างสูงโปร่งกับผมสีบลอนด์ทองสะดุดตาของใครบางคนยืนพิงบันไดของศูนย์อาหารอยู่ท่าทางคล้ายเหมือนคนไม่มีแรง

        “แพร...ดูคุณชายมันยืน....ทำมิวสิคอะไรอยู่ตรงนั้นวะ” ปิ๊กว่าพลางเอาป๊อกกี้ที่ถืออยู่ชี้ไปยังเป้าหมาย

        “นั่นสิ...หมั่นไส้จริง....ไปปิ๊ก ลุย” สองสาวสบตากันเหมือนรู้กันอยู่ในที ทั้งสองวิ่งตรงเข้าไปชนกับร่างที่ยืนอยู่แทบจะในทันที


        ....ย้าก....


เสียงร้องลั่นไม่ได้ทำให้คนที่ยืนอยู่สนใจสักเท่าไร และเมื่อหันมาก็ตั้งรับไม่ทันเสียแล้ว ทั้งสามคนล้มโครมลงตรงพื้นตรงนั้นนั่นเอง


        “โอ้ย...ไอ้จูน ไอ้บ้า ทำไมไม่รับวะ”  เสียงปิ๊กโวยวาย ขึ้นมาพลางยันตัวลุกขึ้นมานั่ง

        “โอย.....โลกหมุนไปหมดแล้ว” แพรเองก็โอดครวญขึ้นพร้อมลุกขึ้นมา ก่อนจะตั้งสตินึกขึ้นได้ว่าตัวเองใส่กระโปรงผ้าผลีสอยู่ก็รีบลุกมารวบกระโปรงให้เข้าที่เข้าทาง ผิดกับผู้เคราะห์ร้ายที่อยู่ด้านล่างสุด ไม่มีเสียงโอดโอย โวยวายเหมือนเช่นทุกครั้ง ร่างสุงโปร่งของเด็กหนุ่มค่อยๆยันตัวลุกขึ้น ยื่นมือมาฉุดมือของเพื่อนให้ลุกตาม ไม่มีคำต่อว่าใดๆ จูนปัดฝุ่นออกจากกางเกงเล็กน้อย

       “เฮ้ย จูน ไม่เป็นไรแน่นะ โกรธรึเปล่า เค้าขอโทษนะ รอบนี้เล่นแรงไปหน่อย”

       “อ่ะ...อืม...ไม่เป็นไร” จูนหันมายิ้มน้อยๆ สีหน้าที่เพื่อนๆเห็นนั้นดูเหนื่อยอ่อน

       “ไม่เป็นไรแน่นะ แล้วเมื่อกี้ไปตามหาพี่เคนมาเจอรึเปล่าล่ะ” แพรถามด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น

       “อืม ก็เจอ....เอาเป็นว่ากลับไปทำรายงานกันต่อเหอะ....” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงเรียบๆก่อนจะเดินนำเพื่อนๆกลับไปที่โต๊ะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ปิ๊กกับแพรหันมามองหน้ากันด้วยความฉงนก่อนจะรีบเดินไปดักหน้าเพื่อนร่างสูงของตัวเองเอาไว้อีกครั้ง

        “จูน...แกแน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร”

       “ก็ใช่น่ะสิ...ฮ่ะๆ...ถามทำไม” เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆกับท่าทางแปลกๆของเพื่อนทั้งสองคน

        “แน่ใจนะว่า ไม่ได้เจ็บแผลจนน้ำตาไหลเนี่ย...ไหนดูสิ...มีแผลตรงไหนรึเปล่า” แพรขมวดคิ้วแน่น พลางยื่นกระดาษทิชชู่ให้จูนซับน้ำตา ก่อนจะจับแขนเพื่อนมาดูรอบตัวว่ามีลอยถลอกตรงไหนหรือเปล่า

       “หะ?” จูนเลิกคิ้วสูง

       “เอ้า ไอ้นี่ เจ็บจนน้ำตาไหลยังไม่รู้ตัวอีก เอ้า เช็ดน้ำตาดีๆล่ะ เดี๋ยวอายไลน์เนอร์ไหลเป็นแพนด้าไม่รู้นะเอ้อ” ปิ้กว่าพลางยื่นทิชชู่มาให้อีกแผ่น ทำให้จูนต้องยกมือจับหน้าของตัวเองเบาๆ เขากำลังร้องไห้? เพราะเรื่องอะไร? ไม่ใช่เป็นเพราะเจ็บที่ล้ม


หรืออาจจะเป็นเพราะภาพที่เห็นเมื่อครู่นี้ก็เป็นได้


to be continued....



ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
@@@talk@@@
สวัสดีค่ะ หายไปนาน คิดว่าเรื่องจะโดนลบไหมน้อ ฮา
คนเขียนกลับมาเมืองไทยแล้วค่ะ อากาศร้อนจังน้อ
อาทิตย์ที่แล้วยังต่ำกว่าสิบองศาอยู่เลย  :hao5:
เอาล่ะ ไปอ่านกันต่อเลยค่า


Chapter 38: อิจฉาว้าวุ่น



             เสียงเพลงจากเครื่องเสียงที่เปิดคลอดังขึ้นในห้องนอน พร้อมกับร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มที่เดินออกมาจากห้องน้ำ เส้นผมยังเปียกชื้นเมื่อหยิบเสื้อยืดแขนสั้นมาใส่พร้อมกับกางเกงขาสั้นที่ใส่นอนเป็นประจำ เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียง สองหูได้ยินเสียงเพลงญี่ปุ่นที่ตัวเองเปิดทิ้งเอาไว้ จังหวะกลางๆไม่ได้เป็นเพลงที่เขาชอบที่สุด แต่ก็ดีกว่าไม่มีเสียงอะไรภายในห้องเลย น้ำอุ่นที่เพิ่งอาบอาจจะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมาได้บ้าง แต่ไม่ใช่กับหัวใจของเขาในตอนนี้ ภายในอกรู้สึกเหมือนมีบางอย่างขาดหาย แต่ในขณะเดียวกันก็ร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก แม้จะพยายามนึกถึงเนื้อหาของรายงานที่พรุ่งนี้จำต้องออกไปพูดหน้าชั้นแต่ก็นึกไม่ออก ในหัวยังคงมีแต่ภาพที่เห็นเมื่อตอนบ่าย,,,


             สองขาของเขาวิ่ง วิ่งขึ้นไปตามบันไดขั้นใหญ่ของโรงอาหารกลาง ขึ้นไปที่ชั้นสองที่ปกติจะเงียบกว่าด้านล่าง เห็นจากภาพที่เห็นในหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็พอจะเดาได้ว่าคนที่ต้องการจะพบนั้นอยู่ที่ไหน แม้จะไม่รู้ว่าหากได้พบหน้ากันแล้วจะพูดอะไร หรือจะทำหน้าอย่างไรดี แต่ความรู้สึกที่ต้องการจะเจอหน้านั้นมีมากเกินกว่าจะคิดทบทวนถึงสิ่งที่ต้องการจะบอก
 
             แต่ภาพที่เห็นตรงหน้ากลับทำให้เขาหยุดนิ่งอยู่ทันทีที่เห็นใบหน้าของใครบางคนที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งไม่ห่างออกไปจากบันได อยากจะวิ่งเข้าไปตบลงบนศีรษะของคนๆนั้นให้หน้าคว่ำลงไปกับโต๊ะ แต่ทันทีที่เห็นคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสองขาก็ต้องหยุดลง


                   .....พี่นิด.....


              ความทรงจำหลังจากนั้นหากจะเรียกได้ว่าเลือนลางก็คงไม่อาจกล่าวได้ ที่จำได้มีเพียงภาพของชายหญิงสองคนที่ดูจะพูดคุยกันอย่างสนุกสนานสมกับเป็นคู่รักที่ใครต่อใครพูดถึง แม้ระหว่างนั้นจะเห็นเพื่อนของเคนเดินเข้ามาคุยด้วย ทันทีที่ชายหนุ่มร่างสูงลุกขึ้นยืนคุยกับเพื่อน ช่วงขาของเขาขยับถอนหลังทันควัน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง ร่างสูงของเคนดูใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยผิวกายที่เคยเห็นก็ดูคล้ำขึ้น หากแต่ใบหน้าคมนั้นกลับดูเป็นกังวล สองคิ้วได้รูปนั่นขมวดเข้าหากันเหมือนกำลังไม่สบายใจ ทางไม่เหมือนคนกำลังพูดคุยกับเพื่อนหรือคนรักอยู่เลยแม้แต่น้อย


             ...ไปทำอะไรมากันแน่...
 


               แม้จะรู้สึกสงสัยแต่คงไม่มีอะไรหลงเหลือให้จดจำไปได้มากกว่าภาพสุดท้ายที่ได้เห็น หญิงสาวที่ค่อยบรรจงจูบลงบนข้างแก้มของชายหนุ่มคนนั้น 
   
           
          ในอก ณ เสี้ยววินาทีนั้นคล้ายมีสะเก็ดไฟปะทุขึ้นข้างใน หัวใจที่กลางอกนั้นเต้นรัว ลมหายใจคล้ายจะติดขัด ในขณะที่ใบหน้าและฝ่ามือก็ร้อนผ่าวในแบบที่แม้แต่ตัวเองก็อธิบายไม่ได้ เขาไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่เคยรู้สึกเจ็บร้อนในอกขนาดนี้ จนกระทั่งในตอนนี้ที่ในหัวกำลังนึกย้อนภาพทั้งหมดก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่ มือยกมือขึ้นขยำอกเสื้อที่ยับยู่ในมือ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนกับเตียง แม้ดวงตาจะปิดแน่น แต่ในสมองกลับยังมีภาพนั้นที่ลอยเด่นอยู่ในห้วงความคิด


   
....ทั้งๆที่คุยอยู่กับแฟนยังทำหน้าแบบนั้น...
    ....ถ้าเป็นเขาที่ไปยืนแทนที่นิดล่ะ อีกฝ่ายจะทำหน้าแบบไหนกัน....
    ....ถ้าเป็นตัวเองที่เข้าไปยืนตรงนั้นแล้วละก็...
[/I]


            แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งกับความคิดของตัวเอง...ริมฝีปากได้รูปขบเข้าหากันจนรู้สึกเจ็บ ความร้อนกลับมาเอ่อที่ดวงตาอีกครั้ง จูนยกมือขึ้นกระแทกกำปั้นลงบนอกของตัวเองอย่างแรง



              ...เจ็บไหม...ใช่แล้วเขาเจ็บ แต่มันไม่เจ็บเท่ากับการได้เข้าใจถึงความรู้สึกที่ตัวเองมีในตอนนี้ ...มันช่างเป็นความรู้สึกที่น่ารังเกียจ


   
...ความอิจฉา....
    [/B]


              แต่ทำอะไรไม่ได้เลย เขาทำอะไรเพื่อให้ความรู้สึกนี้หายไปไม่ได้เลย ยิ่งคิดยิ่งเห็นแต่ภาพของคนสองคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน ยิ่งคิด และยิ่งจินตนาการไปว่าหากเป็นตัวเองที่นั่งอยู่ตรงนั้น ก็ไม่อาจทำในสิ่งที่นิดทำกับอีกฝ่ายได้อยู่ดี เคนจะรู้บ้างไหมว่าทำไมเขาถึงปฏิเสธนักกับความรู้สึกที่อีกฝ่ายให้มา เพราะในท้ายที่สุดเขาก็เป็นในสิ่งที่อีกฝ่ายหวังจะให้เป็นไม่ได้อยู่ดี เขาไม่ใช่ผู้หญิงและที่สำคัญ...เขาไม่ใช่....


             ...คนที่มาก่อน....



     ......TTT !!! TTTT!!!.....


    พลันเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น  เด็กหนุ่มยกแขนขึ้นปาดความชื้นออกจากหางตา นึกเจ็บใจตัวเองอยู่ไม่น้อยที่ในช่วงนี้กลายเป็นมนุษย์เจ้าน้ำตา เพียงแค่ภาพหรือความรู้สึกที่มีต่อใครบางคนวิ่งผ่านเข้ามาในหัวใจก็ทำให้เขาเสียน้ำตาได้อย่างไม่ยากเย็น ทั้งที่ตามปรกติแล้วออกจะไม่เข้าใจเสียด้วยซ้ำเวลาที่เพื่อนในกลุ่มบางคนเสียน้ำตาให้กับความรู้สึกที่เรียกว่า “ความรัก”


           .... แล้วที่มีในตอนนี้..... มันคืออะไรกันแน่.......
          .....ไม่รู้สึกได้ถึงความสวยงาม.....เลยแม้แต่น้อย......



    “ครับ....” เด็กหนุ่มรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงที่พยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้เหมือนปกติให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

    “จูน.....แม่นะ”  เสียงจากปลายสายนั้นอ่อนโยนเหมือนอย่างทุกครั้งที่ได้ยิน 

    “แม่....? “

    “เห็นตั้งแต่ปีใหม่มาก็ไม่ได้โทรมาหาแม่เลย แม่เป็นห่วงเลยโทรหามา ...เรียนหนักเหรอ”

    “ไม่ครับ...ไม่ได้เรียนหนักเลย” แค่ได้ยินเสียงของแม่ก็ทำให้อยากจะร้องไห้ออกมาอีกรอบ ด้วยความรู้สึกโล่งใจอย่างช่วยไม่ได้ หัวใจที่รู้สึกเหน็บหนาวเมื่อครู่กลับรู้สึกอุ่นขึ้นมา


    “เหรอ ยังไงก็อย่างลืมดูแลตัวเองด้วยนะ ...”


    “แม่ครับ....” จูนจับโทรศัพท์มือถือแน่น “อาจจะช้าไปสักหน่อย แต่สวัสดีปีใหม่นะครับ คิดถึงแม่ที่สุดเลย”


    “ตายแล้ว นี่ขนาดคุยโทรศัพท์ยังจะอ้อนเหรอเนี่ย เด็กคนนี้นี่จริงๆเลย ....จ้า แม่ก็ขอให้จูนสุขภาพแข็งแรง คุณพระคุ้มครองนะลูก”


    “ขอบคุณครับแม่...เสียดายว่าปีใหม่ไม่ได้กลับบ้าน คิดถึงแม่ อยากกินไข่เจียวฝีมือแม่จังเลย” เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาน้อยๆ ในใจนึกถึงภาพของผู้เป็นแม่ที่ยิ้มให้เขาทุกครั้งเมื่อเขาเดินทางกลับไปถึงบ้าน แม้ไม่ได้เรียกร้องแต่สุดท้ายบนโต๊ะอาหารก็จะมีไข่เจียว อาหารง่ายๆแต่อร่อยเหลือล้ำมาวางให้ทานอยู่ทุกครั้ง


    “เอ้า อ้อนเข้าไป....คิดถึงนักก็ทำไมไม่นั่งเครื่องกลับมาบ้านล่ะ พ่อเขาก็ให้บัตรไว้แล้วนี่ ซื้อตั๋วนั่งมาสบายๆ” ผู้เป็นแม่ย้อนถาม


    “ไม่เอาอ่ะ....”จูนว่าพลางลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเตียง  “ไม่อยากนั่งเครื่องบินอ่ะ แค่นี้เอง ถ้าจะกลับเดี๋ยวผมนั่งรถทัวร์กลับก็ได้


    “จูน...อีกแล้ว นั่งรถทัวร์มันอันตรายออก นี่ไม่เห็นเหรอข่าวรถทัวร์ตกถนนกันตั้งเยอะ” เสียงคุณแม่ต่อว่ากลับมาด้วยความเป็นห่วงลูกชายเพียงคนเดียว


    “โธ่แม่ก็ไม่เห็นข่าวเหรอครับ เครื่องบินหายบ่อยจะตาย” ไม่วายหัวเราะเบาๆเมื่อได้กระเซ้าแหย่ผู้เป็นแม่


    “โอ้ย ลูกคนนี้นี่ นับวันยิ่งช่างเถียงนะ....นี่ถ้าแม่ใหญ่รู้ว่าจูนนั่งรถทัวร์กลับคงได้บ่นแม่อีกสามวันแปดวันแน่เลย” ชื่อของบุคคลที่สามที่ดังขึ้นในบนสนทนา ทำให้เสียงหัวเราะของเด็กหนุ่มเงียบลง “แม่ใหญ่” คือคนที่เขาให้ความเคารพไม่ต่างจากผู้เป็นแม่แท้ๆ แต่กับ “แม่ใหญ่” แล้วจูนไม่กล้าที่จะต่อล้อต่อเถียงเช่นนี้ เนื่องมาจากว่า “แม่ใหญ่” นั้นก็คือภรรยาของพ่อของเขา เป็นภรรยาที่แต่งงานถูกต้องตามกฏหมาย ในขณะที่แม่ของเขาเป็นเพียงภรรยานอกสมรสเท่านั้น

    
    “.................. “ เด็กหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง


    “แม่ครับ....”


    “จ้า อะไรคะ ....” เสียงผู้เป็นแม่ถามกลับอย่างอารมณ์ดี


    “แม่....เคยอิจฉาใครไหม”


    “เอ๋...อิจฉาเหรอ ไม่นะ นึกยังไงถึงจะมาถามกันแบบนี้ล่ะ” คำถามที่ถามกลับมานั้นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเจ็บขึ้นมานอกอีกครั้ง


    “แม้แต่กับ....แม่ใหญ่น่ะเหรอ แม่ไม่อิจฉาแม่ใหญ่บ้างเหรอ เพราะส่วนใหญ่พ่อก็ไปอยู่ที่บ้านโน้นกับแม่ใหญ่” เด็กหนุ่มเอ่ยถามขึ้นมา พ่อของเขามักจะมาใช้เวลาช่วงเสาร์อาทิตย์ที่บ้านของเขา ในขณะที่วันธรรมดานั้นจะอยู่ที่บ้านของแม่ใหญ่ ด้วยเหตุผลว่ามักจะพาลูกน้องกลับไปประชุมกันจนดึกดื่นเสมอ ที่บ้านใหญ่นั้นมีห้องหลายห้อง รวมไปจนถึงห้องประชุมขนาดใหญ่จึงสะดวกในการทำงานของผู้เป็นพ่อมากกว่า


    “จูน....แม่นึกว่าเราโตกันเกินกว่าจะเอาเรื่องนี้มาพูดกันแล้วนะเนี่ย” เสียงผู้เป็นแม่เข้มขึ้นมาเล็กน้อย


    “ผมรู้ครับ ผมเข้าใจพ่อกับแม่ดี แค่ตอนนี้ที่ไม่เข้าใจคือเรื่องนี้เท่านั้น เลยอยากถามแม่ตรงๆ “ เด็กหนุ่มได้ยินเสียงถอนหายใจของผู้เป็นแม่ผ่านมาตามสาย


    “ไม่นะ แม่ไม่เคยคิดอิจฉาแม่ใหญ่เลย”


    “ทำไมล่ะครับ...ถ้าแม่ได้จดทะเบียน ทุกอย่างอาจจะดีกว่านี้ สำหรับแม่” ท้ายเสียงนั้นอ่อนลง เขารู้ดีว่าตลอดเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาคนรอบข้างมองแม่ของเขาว่าอย่างไรบ้าง


     “เมียน้อย”

 คือคำที่ใครต่อใครต่างก็ใช้เรียกแม่ของเขาลับหลัง ถึงแม้ว่าพ่อจะกำชับกับพนักงานทุกคนที่อยู่ในบริษัทแล้วว่า แม่ของเขาก็มีสถานะเป็นภรรยาคนหนึ่งเช่นกัน แต่ก็ดูเหมือนว่าการมาทีหลังนั้นมีพลังหนักแน่นกว่าคำพูดของพ่อเขามากนัก

พ่อของเขามีความสัมพันธ์กับแม่หลังจากที่รู้ว่าภรรยาที่แต่งเข้าบ้านถูกต้องตามธรรมเนียมอย่างแม่ใหญ่ไม่สามารถมีทายาทสืบสกุลให้กับตระกูลนักธุรกิจใหญ่ได้ ทั้งความเครียดและความเมามายทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเปลี่ยนไป จากเดิมที่เป็นเลขานุการฝีมือดีที่ทำงานใกล้ชิดก็กลายเป็นภรรยาอีกคน ในขณะเดียวกันแม่ก็มีเขาขึ้นมาอีก แน่นอนว่าการยอมรับนั้นไม่ได้มาโดยง่าย แม่ใหญ่โกรธมากจนพ่อของเขาไม่สามารถพูดคุยอะไรกับแม่ใหญ่ได้หลายต่อหลายเดือน และมิหนำซ้ำยังมีทั้งโทรศัพท์จากครอบครัวทางฝั่งของแม่ใหญ่มาต่อว่าแม่ของเขาที่กำลังท้อง

            แต่ทั้งสามคนก็ปรับความเข้าใจกันได้เป็นอย่างดีในวันที่แม่ใหญ่ยอมมาตามคำเชิญของแม่ เพื่อมาดูทารกเกิดใหม่ แม่ใหญ่มักจะเล่าให้ฟังว่าในวินาทีที่อุ้มเขาเอาไว้ทุกอย่างก็เหมือนจะคลี่คลาย ผู้ใหญ่ทุกคนปรับความเข้าใจกันได้อย่างดี และผลสุดท้ายของเรื่องราวทั้งหมดคือมีเขาเป็นทายาทคนเดียวที่พ่อรับรองเป็นบุตรอย่างถูกต้องตามกฏหมาย และแม่ใหญ่ก็ยินดีที่จะเอ็นดูเขาในฐานะลูกคนหนึ่ง แม้จะน่าประหลาดแต่บางครั้งเรื่องของผลประโยชน์ของตระกูลก็มากเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจถึงเหตุผลของผู้ใหญ่พวกนี้



    “ก็นั่นล่ะ ไม่เคยนึกอิจฉาเลยสักครั้ง ”


    “แต่แม่ก็โดนว่ามาโดยตลอด...”


    “จูน...แม่ไม่ว่าหรอกนะกับเรื่องนั้นเพราะอย่างไรเสีย ความรู้สึกของแม่ที่มีต่อพ่อก็คือในตอนนั้นและในตอนนี้แม่รักพ่อของลูกจนพร้อมจะทำทุกอย่างให้พ่อของลูกได้ และรักมากพอที่จะไม่สนใจว่าใครจะพูดอะไร มากพอที่บางครั้งจะโยนเหตุผลที่สังคมตั้งทิ้งไปแล้วทำตามใจของตัวเอง และแม่ก็ไม่เคยคิดเสียใจเลยด้วย เพราะถ้าแม่มัวแต่นึกถึงคำพูดของคนอื่น และก็คิดถึงแต่ตัวเองว่าจะถูกนินทามากไปกว่านั้นไหม ถ้าแม่มัวแต่คิดแบบนั้นจนตัดสินใจทำอะไรผิดพลาดไปแล้วแม่จะได้มีจูนแบบนี้ไหม แล้วจะให้แม่ไปอิจฉาแม่ใหญ่ได้ยังไง แม่ต้องขอบคุณแม่ใหญ่มากกว่าที่ให้แม่ได้มีจูนแบบนี้ ”

 น้ำเสียงของแม่หนักแน่น แม่เป็นผู้หญิงที่อ่อนหวานแต่ในขณะเดียวกันจูนรู้ดีว่าแม่ของเขาก็เข้มแข็งมากพอที่จะต่อสู้กับสายตาของใครต่อใครและเลี้ยงเขามาแบบนี้


    
.....คิดถึงแต่ตัวเอง....อย่างนั้นเหรอ?.....
    



    อยู่ๆคำพูดของเคนก็ลอยเข้ามาในหัว เขาคิดถึงแต่ตัวเองอย่างนั้นหรือ... เขาวิ่งหนีจากสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามยื่นเข้ามาให้


    “จูน?.... ยังฟังแม่อยู่ไหม” เสียงเรียกให้เด็กหนุ่มตื่นจากภวังค์


    “ผมขอโทษครับ......” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงเบา “ผมไม่น่าตั้งคำถามโง่ๆแบบนั้น” ท้ายเสียงแหบพร่า คำพูดของผู้เป็นแม่ทำให้เขาอยากจะเข้มแข็งให้ได้แบบนี้บ้าง


    “จูน....ที่ถามแม่แบบนี้ มีใครทำให้ลูกของแม่รู้สึกไม่ดีเหรอ” คำถามนั้นถูกถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จูนหลับตาลงรู้ดีว่าหากอยู่ใกล้ๆกับแม่ตอนนี้มือเรียวที่ทำทุกอย่างเพื่อเขามาตลอดจะต้องกำลังลูบผมของเขาอย่างปลอบประโลมเป็นแน่


     “ผม.... แค่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้....ไม่ชอบเลย”


    “ถ้ามีอะไรก็บอกแม่ได้นะ...” เสียงผู้เป็นแม่เอ่ยด้วยความเป็นห่วง


    “จะพูดยังไงดี คือ...มีคนมาชอบผม แต่เขามีอีกคนอยู่ ผมว่ามันคงไม่เข้าท่าถ้าผมจะเข้าไปเป็นคนที่สาม แต่...อีกส่วนของผมก็คิดว่ามันอาจจะไม่เป็นอะไรก็ได้ ...ผมแค่กลัวว่าคนจะมองมาไม่ดีและตอนนี้ผม...ก็เริ่มไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดีแล้วเหมือนกัน”


    “อืม..... “ เสียงผู้เป็นแม่รับคำในลำคอเบาๆ


    “แล้วจูนชอบเขาหรือเปล่าล่ะ?”


    “ผ....ผม.....เอ่อ...ผมยัง...เอ่อ....” คำถามของผู้เป็นแม่ที่ถามกลับมาทำให้เด็กหนุ่มหาคำมาตอบไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีใบหน้าคมของ “อีกฝ่าย” ลอยเข้ามาในห้วงความคิด


     “คงเป็นไปไม่ได้หรอกครับแม่...มันคงไม่ดี”
 

    “แล้วที่ว่าไม่ดีน่ะ...ใครเป็นคนตัดสินอย่างนั้นเหรอ?”


    “อ่ะ...ที่ว่าไม่ดีคือคนอื่นเขาจะมองว่าไม่ดีต่างหาก” เด็กหนุ่มตอบกลับเสียงดังกว่าเมื่อครู่



   ....จะเป็นไปได้ยังไงกันในเมื่ออีกฝ่ายก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว แถมอีกฝ่ายยังเป็นผู้ชายอีกด้วย!....

     

  “บางที จูนอาจจะต้องลองตั้งสติคิดดูดีๆนะว่า จูนรู้สึกยังไงกับเขากันแน่ บางครั้งถ้ามัวแต่คิดเรื่องสายตาของคนอื่น มัวแต่คิดว่าคนอื่นจะมองยังไง แล้วตัวของเราใจของเรามันจะหายไปไหม ก็ต้องลองคิดดูให้ดีๆ มันคุ้มค่ากันไหมกับการที่เราจะทำร้ายจิตใจของตัวเองเพื่อรักษาความรู้สึกของคนอื่น ทั้งๆที่ในเรื่องบางเรื่องโดยเฉพาะเรื่องของความรักแล้วมันก็ออกจะเป็นเรื่องส่วนบุคคล ถ้ามันคุ้ม เหมือนเรื่องของแม่ พ่อ แล้วก็แม่ใหญ่ที่ได้มีจูนเป็นเด็กที่ดีแบบนี้ มันก็ถือเป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องที่สวยงามไม่ใช่หรือไง”


    “ผม........” เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าควรจะตอบบทสนทนานี้อย่างไร ในใจรู้สึกอบอุ่น แม้จะเป็นปมในหัวใจมาโดยตลอดว่าตัวเองเป็น “ลูกเมียน้อย” เขาหวาดกลัวมาโดยตลอดท่ามกลางสายตาของใครต่อใคร กลัวอยู่ลึกๆว่าสักวันพ่อที่บางทีก็แวะเวียนมาที่บ้านของเขาบ้างนั้นจะไม่ย้อนกลับมาอีก กลัวอยู่ลึกๆว่าหากแม่ใหญ่เกิดมีลูกได้ขึ้นมาเขาจะเป็นอย่างไร  เพราะเหตุนั้นจึงพยายามเป็นเด็กดีมาโดยตลอด เขาไม่เคยทำอะไรที่ออกนอกกฎที่อาจจะทำให้ผู้เป็นแม่ถูกต่อว่าได้เลยแม้แต่น้อย....ทั้งหมดเป็นเพราะความกลัว 

 
    แต่พอโตขึ้นมาแล้วถึงได้รู้ว่าพ่อ แม่ และแม่ใหญ่นั้นเอาใจใส่เขามากแค่ไหน เพียงเพื่อให้เขาเติบโตมาเป็นคนที่ดีและเพียบพร้อมเหมาะสมกับอนาคตที่ทั้งสามคนฝากเอาไว้ แต่ในขณะเดียวกันสำหรับเขาแล้ว แม้แต่ตอนนี้ในใจลึกๆแล้วความกลัวต่อการ “ทำผิด” นั้นก็อาจจะยังมีอิทธิพลอยู่มากก็เป็นได้


   ....ถ้ามันจะคุ้ม....
    ....แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลย....
    



    “มันอาจจะเป็นการตัดสินใจที่จูนไม่เคยชิน แม่เลี้ยงจูนมาแม่รู้ว่าจูนคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ แต่บางครั้งก็อย่างที่แม่บอก ถ้ามันคุ้มก็ต้องลองกันดูสักตั้ง แต่ถ้ามันไม่เป็นอย่างที่คิด ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องเสียใจอะไรกับมันอีก คนๆนั้นอาจไม่เหมาะกับลูกของแม่ก็เท่านั้น”


    ได้ฟังคำพูดของแม่แบบนั้นก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างประหลาด ถ้าตัดสินใจแล้วก็อย่าได้เสียใจ ถ้าจะผิดพลาดก็ขอให้ได้ทำให้ถึงที่สุด


    “ ครับแม่...ผมคิดว่าผมเข้าใจแล้ว มันอาจจะต้องใช้เวลาอีกหน่อย แต่ผมจะตัดสินใจให้ได้ จะไม่ปล่อยให้อะไรมันค้างคาไปมากกว่านี้”


“ดีแล้วลูก.... แม่รักลูกนะ” เสียงของผู้เป็นแม่ดังขึ้นอีกครั้ง ทั้งสองพูดคุยสอบถามกันเรื่องของที่บ้านกันอีกเล็กน้อยและลงท้ายด้วยว่าจูนอาจจะกลับไปที่บ้านเมื่อปิดเทอมภาคฤดูร้อนมาถึง 



...................................................


มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของเคนแล่นเข้ามาจอดที่ลานจอดรถของที่คณะเหมือนอย่างเคย การมาของชายหนุ่มทำให้มีเสียงฮือฮาอยู่ไม่น้อยในหมู่รุ่นพี่และรุ่นน้อง หลายคนรู้เรื่องที่เคนจะไปต่อยมวยในรายการโทรทัศน์แล้ว หลายเสียงชื่นชม หลายเสียงมาพร้อมกับสำเนียงของความอิจฉาในโอกาสที่ได้รับ เคนกรอกตาน้อยๆกับคำพูดพวกนั้น เขาไม่ได้สนใจอยู่แล้ว เป้าหมายของวันนี้ ไม่ได้อยู่ที่การมาใส่ใจคนรอบข้างเขาแค่ต้องมาส่ง “จดหมาย” ให้พ่อก็เท่านั้น


    
    “แล้วอาจารย์ว่าไง....” เสียงต้าร์ดังขึ้นพร้อมกับยื่นขวดน้ำมาให้เพื่อน


    “ก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่บอกว่าอย่าแพ้นะก็เท่านั้น” เคนถอนหายใจออกมาเบาๆ พลันนึกถึงคำพูดของนิดเมื่อวานนี้ ก็ต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ดวงตาคมของชายหนุ่มเหลือบมองหน้าของเพื่อนเล็กน้อย


    “ทำไมทุกคนอยากให้กูชนะแมทซ์ที่กูไม่พร้อมนักวะ” เคนรับขวดน้ำมายกขึ้นดื่ม คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น


    “ใครจะอยากให้มึงแพ้ล่ะวะ” ต้าร์ตอบกลับทันควัน “ดูแฟนมึงดิ่ ป่านนี้ไปทำป้ายเชียร์ขนาดเท่าฝาบ้านรอแล้วมั้ง”


    “.....เฮ้อ.....” คราวนี้เคนยิ่งถอนหายใจยาวด้วยไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี ท่าทางของนิดเมื่อวานนั้นยิ่งทำให้ความตั้งใจของเขาดูเป็นไปได้ยากในเมื่ออีกฝ่ายทำเหมือนกับว่าไม่ได้ยินสักคำที่เขาพูด   


    “กำลังใจเต็มเปี่ยมขนาดนี้ทำไมทำท่าเหมือนซังกะตายวะ” ต้าร์ว่า ก่อนจะหรี่ตาลงเล็กน้อย “...หรือยังไม่ได้กำลังใจจากคนที่อยากได้....”


    “.............. “เคนไม่ตอบชายหนุ่มร่างใหญ่เชิดหน้าขึ้นพลางสูดจมูกเบาๆ ดวงตาคมเสมองไปทางอื่น


    “เด็กนั่นล่ะ จูน? ชื่อนี้ใช่ป่ะ ที่ว่าอยากได้อยากได้เมื่อก่อนสิ้นปีน่ะ ไม่มาแล้วเหรอ”คำถามของต้าร์วิ่งเสียดเข้าไปในอก 


    “จะมาได้ไง...ก็เขาไล่ให้ไปไกลๆ ให้ทำตัวเหมือนรุ่นพี่รุ่นน้องกันเหมือนเดิมแล้ว” เสียงเคนตอบกลับมาเบาๆ ดวงตาคมหม่นแสงลงเมื่อนึกถึงคำพูดของเด็กหนุ่มที่ถูกกล่าวถึง


    “อ้าว...ไหงเป็นงั้น ตอนนั้นมาก็เห็นยังดีๆกันอยู่เลยนี่หว่า อ๋อ รู้ล่ะแม่งรู้ว่ามึงแค่จะเล่นๆกับเขาสินะ น้องมันเลยไหวตัว ไม่เอากับมึงด้วยเนี่ย”


    “ใครว่ากูเล่นๆวะ” โดยที่ไม่ทันได้ให้เพื่อนตั้งตัวมือแกร่งของเคนกระชากคอเสื้อของต้าร์ขึ้นอย่างแรง


    “อ้าว เฮ้ยๆ ไอ้เคน มึงใจเย็นๆดิ่วะ” ต้าร์รีบยกมือขึ้นห้ามเพื่อน เพื่อให้รู้ว่าเขาไม่ได้มีเจตนาอะไรอื่น “ที่พูดนี่เพราะกูไม่รู้นะเว้ยว่ามึงไปเจออะไรมา ....แต่ดูท่าคงจะหนัก มึงใจเย็นๆ ปล่อยกูแล้วแม่งแดกน้ำไปเลยนะมึง ถ้าไม่พอเดี๋ยวกูเลี้ยงอีกก็ได้ แต่คุณมึงช่วยปล่อยกูก่อนแล้วถ้ามึงอยากจะเล่าอะไรล่ะก็เดี๋ยวกูจะฟังให้”


     เคนสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะยกขวดน้ำขึ้นดื่มรวดเดียวหมดขวด ก่อนจะถอนหายใจออกมาคล้ายจะโล่งใจ แต่ก็หาใช่เช่นนั้นไม่


    “กูมันเลว กูรู้...ไปทำเหี้ยๆกับเขาไว้ สุดท้ายถ้าเขาจะปฏิแสธกลับมา ตอนแรกกูคิดว่าในใจกูก็คงจะพอรับได้ แต่เอาเข้าจริงก็ทำไม่ได้ เขาบอกให้ทำเหมือนเดิมเป็นพี่เป็นน้องกันเหมือนเดิม นี่ถึงขนาดว่ากูเลิกทุกอย่าง ไม่รับโทรศัพท์ ไม่ตอบข้อความ อย่างน้อยก็พยายามแล้วที่จะไม่สนใจ แต่...พอลองรับโทรศัพท์ไปครั้งเดียว ก็ไม่ไหวว่ะ แค่ได้ยินเสียงมัน
กูก็โคตร....โคตร....โคตรอยากเจอมันเลยตอนนี้ ไม่ต้องมาอวยพรให้กูต่อยชนะก็ได้ จะด่ากูก็ได้ แค่...ขอเจอหน้าก็พอใจแล้วตอนนี้ ไม่งั้นกูซ้อมไม่ได้แน่ “


    คำพูดที่พร่างพรูออกมาจากปากของเคนทำเอาต้าร์ถึงกับเลิกคิ้วสูง เขาเรียนกับอีกฝ่ายมาสามปีแถมยังเป็นเพื่อนร่วมหอกันตอนปีหนึ่ง  มีใครเคยผ่านเข้ามาในชีวิตของเคนบ้างก็พอจะรู้ บางครั้งเคนก็พูดคุยปรึกษาเขาบ้างเรื่องการไปซื้อของขวัญ เรื่องการง้อแฟน แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เคนจะพูดออกมาด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านมากขนาดนี้มากกว่า มันเหมือนกับว่าอีกฝ่ายกำลังจะลุกเป็นไฟแน่หากไม่ได้พบหน้าของใครบางคน


    “ก็.....แล้วทำไมไม่ไปเจอล่ะ”



    “พูดเหมือนเขาจะยอมเจอกูง่ายๆ” เคนหัวเราะขึ้นจมูก เสมองไปยังแนวต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปหวังจะให้สีเขียวของธรรมชาติช่วยทำให้ใจของเขาสงบลงได้บ้าง


    “คนอย่างมึง ใครห้ามอะไรแล้วเคยฟังด้วยเหรอ.... มึงก็บอกเองว่าจะด่ามึงก็ได้ ขอแค่ให้ได้เจอ มึงก็ไปสิ จะโดนเขาด่ามันก็ไม่ได้ทำให้มึงรู้สึกอะไรไปมากกว่านี้แล้วนี่” ต้าร์ไม่รู้จะแนะนำอะไรเพียงแค่บอกให้เพื่อนทำตามใจเท่านั้น รู้ดีว่าสำหรับนักกีฬาแล้วสมาธิในการซ้อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และเคนคงจะกลับไปซ้อมทั้งๆที่ยังเต็มไปด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านแบบนี้ได้แน่

    ดวงตาคมของเคนหันกลับมามองหน้าของเพื่อน เขามองหน้าของต้าร์นิ่งด้วยสายตาที่เหมือนจะกล่าวคำว่า “ขอบใจ” ออกมา มือแกร่งยกขึ้นวางบนไหล่ของเพื่อนแล้วตบเบาๆ


    “มึง...ไม่รังเกียจกูใช่ไหมที่เป็นแบบนี้”


    “มึงมีส่วนที่น่าเกลียดที่สุดคือชอบทำตัวหล่อเกินหน้าเกินตากู เท่านั้นก็พอแล้ว ...แต่ก็ดีนะ ถ้ามึงกับน้องนั่นได้กันไปเสีย กูก็จะได้มีคู่แข่งน้อยลงเวลาจะไปจีบสาว....ไหนๆพี่เคนก็เข้าป่าไปหาไม้พันธ์เดียวกันแล้ว” ต้าร์ไม่วายยังจะทำท่าทะเล้นทำเอาเคนต้องยกมือตบเข้ากลางหลังหัวจนหน้าแทบคว่ำ


    “เฮ้ย มึงเล่นห่าอะไรวะ”


    “เปล่า แค่อยากจะขอบใจเพื่อนอย่างมึงน่ะ ....เดี๋ยวกูไปล่ะ เวลาของกูมีน้อย” ร่างสูงว่าพลางลุก ท่าทางเหมือนสบายใจขึ้นมากแม้จะยังมองเห็นความหวั่นใจเล็กๆอยู่ในดวงตาคู่นั้นก็ตามที





CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
ต่อ


..........................................



           รายงานหน้าชั้นเรียนจบไปอย่างที่เรียกได้ว่าเข้าข่ายหายนะ จูนพูดผิดพูดถูกอย่างที่ไม่เคยเป็น เด็กหนุ่มขึ้นชื่อในเรื่องท่องจำอะไรแล้วไม่มีผิดเพี้ยนแต่ในขณะเดียวกันก็ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ที่ถ่ายทอดบทพูดได้อย่างไร้อารมณ์มากคนหนึ่ง แต่วันนี้ไม่เพียงแค่จูนจะจำบทพูดไม่ได้ ทั้งสีหน้าและท่าทางก็ดูเป็นกังวลจนคล้ายจะควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ น้ำเสียงนั้นสั่น และสั่นมากขึ้นเมื่อรู้ตัวว่าพูดผิด ลำดับของรายการงานเริ่มยุ่งเหยิงจนปิ๊กต้องเข้ามาช่วย สุดท้ายก็จบลงที่ร่างสูงโปร่งเดินคอตกกับไปนั่งประจำที่โดยที่มีปิ๊กกอดคอเพื่อนพลางตบไหล่นั้นเบาๆ


 
     “จูนเอ้ย....เป็นอะไรไปวะ ตั้งแต่เมื่อวานจนวันนี้แล้ว ท่าทางแปลกๆนะ นี่รายงานล่มไม่เป็นท่า” ปิ๊กว่าพลางยื่นลูกชื้นเอ็นไก่ให้


    “......นิดหน่อย.....”เด็กหนุ่มปฏิเสธที่จะรับน้ำใจจากเพื่อน ตอนนี้ความอยากอาหารของเขาไม่ใคร่จะทำการได้ดีนักคำพูดของแม่กับเหตุการณ์เมื่อวานทำให้เขาไม่มีสมาธิจะทำอะไรต่อสักเท่าไร ในหัวมีแต่คำถามที่ยังคงไร้คำตอบเวียนวนอยู่ตลอด


    “คงไม่นิดหน่อยล่ะมั้ง ตาเป็นแพนด้ามาเชียว สภาพแกมาแบบนี้นะ เป็นหนุ่มแว่น หัวเหอไม่ได้เซ็ทมาแบบนี้นะ ถ้าไม่ได้อ่านหนังสือมาก ก็คิดมาก นอนไม่พอ...” ปิ๊กร่ายยาว


    “..................................” เด็กหนุ่มก้มหน้าลง ทุกอย่างที่ปิ๊กพูดช่างแม่นยำ


    “โอ๋นะ...แค่นี้เซนเซย์เขาไม่หักคะแนนแกมากมายนักหรอก ก็ทำดีมาตลอดนี่” แพรว่าพลางเดินเข้ามากอด จูน
พยักหน้าลงเบาๆก่อนจะผละออกจากเพื่อนสาว


    “กลับหอไปนอนดีกว่า....ไม่ไหวแล้ววันนี้” เด็กหนุ่มถอนหายใจยาวพลางรวบข้าวของลงกระเป๋าสะพาย ร่างสูงบอกลาเพื่อนแล้วลุกเดินจากไป


    “เฮ้ย! จูน แล้วนี่เมิงไม่คิดจะกินข้าวกินปลาก่อนเหรอ” ปิ๊กร้องถามแต่ก็เห็นแค่มือเรียวที่โบกอยู่เหนือศรีษะ ดูท่าทางเพื่อนของเธอวันนี้จะแบตหมดของจริง


…………………………………………………………….


    ทางเดินกลับหอจากป้ายรถประจำทางดูห่างไกล เด็กหนุ่มขยับแว่นของตัวเองเล็กน้อย กระชับมือเข้ากับสายกระเป๋าสะพายมืออีกข้างมีถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้อที่มีแค่อาหารบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับเครื่องดื่มเกลือแร่อยู่อีกขวด สองขาก้าวเดินต่อแม้จะรู้สึกขาอ่อนแรงไปมากก็ตาม อยากจะไปให้ถึงเตียงนอนของตัวเองให้ได้เร็วที่สุด ยิ่งก้าวก็ยิ่งรู้สึกหนัก แต่ก็ยังต้องเดินต่อ จนในที่สุดก็เดินมาจนถึงทางเข้าหอพักของตัวเอง  จนในที่สุดก็เลี้ยวผ่านประตูรั้วของเขตหอพักเข้ามา เด็กหนุ่มยิ้มออกมาอย่างโล่งอก


    “ถึงสักที.......” จูนพูดกับตัวเองก่อนจะรีบเดินต่อเข้าไปยังด้านในตึกทางซ้ายมือเป็นห้องสำนักงานและเค้าท์นเตอร์ประชาสัมพันธ์ทางด้านขวาเป็นที่นั่งประจำของลุง รปภ. หน้าเข้ม  แต่ประตูกระจกด้านหน้ายังคงปืดสนิทหากไม่มีคีย์การ์ดก็ผ่านเข้าปได้ยาก เด็กหนุ่มล้วงกระเป๋าควานหาสิ่งจำเป็น


    “จูน.................”


เสียงทุ้มที่คุ้นหูของใครบางคนดังขึ้นทำให้ทั้งร่างของเจ้าของชื่อชะงักอดคิดไปไม่ได้ว่าตัวเองอาจจะง่วงนอนจนหูฝาดไปแล้วหรืออย่างไร เด็กหนุ่มสะบัดหน้าซ้ายขวาแรง ก่อนจะควานหาคีย์การ์ดในกระเป๋าต่อ



                   .....กุญแจอยู่ไหนะ แบบนี้มันแย่แล้ว....
                        ....หิวนอนจนหน้ามืดหูเฝื่อนขนาดนี้เนี่ย ...



    “จูน....”

 เสียงที่คิดไปว่าหูแว่วนั้นดังขึ้นอีกครั้งพร้อมเงาร่างของใครบางคนที่ปรากฏขึ้นจากด้านหลัง ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกโพลงก่อนที่ร่างกายของเขาจะหันไปตามเสียงเรียก



    “พี่เคน?.....”


    ชื่อของคนที่ยังคงติดอยู่ในห้วงความคิดดังออกมาจากปาก ใบหน้าคมได้รูปนั้นดูเหนื่อยอ่อนลงไปกว่าครั้งก่อนที่เห็น แต่กระนั้นในดวงตาสีเข้มคู่นั้นยังเป็นประกายเช่นเดียวกับรอยยิ้มจางๆที่อยู่บนใบหน้า ร่างสูงใหญ่สวมชุดนักศึกษาที่ดูคุ้นตา ชายเสื้อหลุดออกนอกกางเกงคล้ายกับทุกทีที่พบกัน แต่จูนรู้ดีว่าในตอนนี้ระหว่างพวกเขาสองคนนั้นมีอะไรบางอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว


    “ทำไมวันนี้เลิกเรียนเร็วจัง...” รุ่นพี่ร่างใหญ่เอ่ยถามพร้อมมือแกร่งยกขึ้นให้จูนเห็นในระดับสายตา หมายจะยกขึ้นสัมผัสเส้นผมสีอ่อนของเด็กหนุ่ม


   “พี่เคน....รับ!”



         ไวเท่าความคิดเด็กหนุ่มร้องขึ้นพร้อมโยนถุงพลาสติกในมือขึ้นไปลอยละลิ่วอยู่กลางอากาศ
    
        “หะ  เฮ้ย....” เคนเองก็ร้องลั่น พยายามจะรับทั้งถุงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและขวดน้ำเกลือแร่ที่กำลังจะตกลงมา ในขณะที่สองหูก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังแกร๊ก สายตาพลันเห็นร่างสูงโปร่งของใครบางคนแทรกกายผ่านช่องว่างระหว่างประตูเข้าไปด้านในเสียแล้ว
    

“จูน....!อ้าว  เฮ้ย จูน!!” มือแกร่งกระแทกเข้ากับกระจกหนาเห็นอีกฝ่ายยืนอยู่อีกด้านด้วยใบหน้าซีดเซียว ดวงตารีเรียวนั้นเบิกโพลงกว่าทุกครั้งเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คงไม่ต่างกับตัวเขาเองที่กำลังมึนงงกับทุกอย่างเช่นกัน


    “เปิดประตูก่อนสิ พี่มีเรื่องจะคุยด้วย” เคนร้องลั่นอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของกระจก


    “พี่ไม่ทำอะไรแกหรอก แค่ออกมาคุยกันก่อนได้ไหม” ร่างสูงเอ่ยอย่างร้อนรน เขาแค่อยากจะมาเจอหน้า อยากจะมาบอกอีกฝ่ายว่าเขากำลังจะไปต่อยแมทซ์สำคัญ และมันสำคัญกับเขามากแค่ไหนที่จะต้องเจอกับเด็กหนุ่มตรงหน้าก่อนที่จะไปทำงานใหญ่แบบนั้น


    จูนมองดูภาพของชายร่างใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงนั้น ท่าทางของเคนทั้งตกใจสิ้นหวัง สายตาที่มองมาคล้ายจะส่งข้อความอ้อนวอน แต่สิ่งที่เขาทำในตอนนี้มีเพียงแค่ส่ายหน้าช้าๆ และทันทีที่ประตูลิฟท์ตรงหน้าเปิดออกร่างสูงโปร่งก็ก้าวเข้าไปด้านใน ปล่อยให้คนที่มาพบต้องยืนอยู่ข้างนอกต่อไป


.................................................


    สองขาพาตัวเองวิ่งกลับมาถึงห้อง บานประตูกระแทกปิดลงที่เบื้องหลัง ร่างสูงโปร่งหอบหายใจแรง มือเผลอยกขึ้นขยำลงที่อกเสื้อเพราะกลัวว่าหัวใจที่เต้นแรงของตนนั้นจะหลุดออกมานอกอกเสียให้ได้



   ...มาทำไม...
    



    เด็กหนุ่มได้เพียงเอ่ยถามในใจ อีกฝ่ายจะมาหาเขาที่หอแล้วพูดแบบนั้นทำไม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เขาไม่พร้อมเช่นนี้ เขายังไม่พร้อมจะเจอหน้าของเคนตอนนี้ จูนรู้ดีว่าเขาเป็นคนไล่อีกฝ่ายไปเอง ทั้งๆที่ในใจของเขาอีกส่วนก็ยังอยากจะให้ความสัมพันธ์ของเคนกับตัวเองนั้นกลับมาพูดคุยกันได้เหมือนเดิม แต่กระนั้นในตอนที่เขาเห็นภาพของเคนกับนิดที่อยู่ด้วยกันด้วยท่าทีสนิทสนมใจของเขากลับร้อนรนไปด้วยความอิจฉาที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะรู้สึกร้อนรุ่มในอกได้มากถึงขนาดนี้ และมันยิ่งทำให้เขาไม่พร้อมที่จะไปเจอหน้าของเคนมากขึ้นไปอีก ไม่อยากได้ยินเสียง ไม่อยากมองหน้าหรือสบตา ด้วยกลัวว่าความรู้สึกบางอย่างที่อยู่ในอกนั้นจะทะลักทะล้นออกมาเป็นคำพูดอะไรบางอย่างที่เขาไม่อาจควบคุมได้อีกต่อ


    จูนพยายามปลอบหัวใจที่สั่นไหวของตัวเองให้สงบลง เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกก่อนเปิดประตูห้องนอนเข้าไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียง รู้สึกได้ถึงสัมผัสนุ่มของเตียงและระบบในร่างกายของตัวเองที่กำลังจะปิดตัวเองลง ขอเพียงแค่เขาได้พักก่อนในตอนนี้ หากตื่นมาอีกครั้งทุกอย่างอาจจะดีขึ้นก็เป็นได้



...............TO BE CONTINUED

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ asarigb

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
โหหหห อีกคนก็ตาม อีกคนก็หนี
บอกเลิกนิดเถอะพี่ จูนมันไม่กล้าพูดให้พี่เลิกกับพี่นิดหรอก T^T  :katai1:

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
@@@talk@@@

เข้าเทศกาลสงกรานต์แล้ว
คนอ่าน กลับบ้านกันหรือเปล่าคะ
ขอให้เดินทางกันปลอดภัยนะคะ ถึงบ้านแล้วอย่าลืมมาอ่านนิยายกันนะคะ

ขอให้มีความสุขกับเทศกาลค่ะ

ป.ล......ดูจากวันที่โพสต์ นิยายเรื่องนี้โพสต์เดือนละตอน ฮ่ะๆ)

.................................................................


Chapter 39:ตอบไม่ได้[/b]


เวลาผ่านไปเท่าไร เด็กหนุ่มไม่แน่ใจนัก แต่เมื่อต้องลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยเสียงโทรศัพท์ภายในห้องที่แผดลั่น เด็กหนุ่มรีบยันตัวลุกขึ้นมาคว้าโทรศัพท์ที่หัวเตียงคว้าหูโทรศัพท์ขึ้นกรอกเสียงตอบรับทันที


    “ครับ...” เสียงที่ตอบรับนั้นแหบพร่า เด็กหนุ่มพยายามสะบัดความง่วงงุนออกไปจากหัว


    “นี่ รปภ นะครับ” เสียงชายวันกลางคนติดสำเนียงท้องถิ่นดังขึ้น ทำให้จูนต้องเลิกคิ้วสูง  ความง่วงกว่าครึ่งคล้ายจะกระเด็นกระดอนออกไป แทนที่ด้วยสติและความประหลาดใจ


    “ครับ? มีอะไรรึเปล่าครับ”


    “คุณครับ คือลุงจะโทรมาขอให้คุณช่วยลงมาคุยกับคนที่เขามาหาคุณหน่อย เห็นเขานั่งมาตั้งแต่บ่าย นี่สองทุ่มกว่าแล้วยังไม่ลุกเลย พอถามก็บอกแต่ชื่อคุณกับเบอร์ห้อง จนพวกประชาสัมพันธ์ข้างล่างเขากลัวไม่กล้ากลับบ้านกันแล้วเพราะนึกว่าจะมาทวงหนี้ ยังไงช่วยลงมาดูหน่อยนะครับ ”

ปลายสายเป็นสำเนียงอีสานของคุณลุงที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำตึก ฟังจากน้ำเสียงของลุงแล้วก็คงจะนึกรำคาญใจอยู่ไม่น้อย


    “อย่างนั้นเหรอครับ...ครับ ถ้ายังไงเดี๋ยวผมจะรีบลงไปนะครับ ขอโทษคุณลุงกับพวกพี่ๆที่ประชาสัมพันธ์ด้วยนะครับที่ทำให้ลำบาก” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนที่คุณลุงพูดถึงนั้นเป็นใคร เด็กหนุ่มวางสายจากลุง รปภ และเมื่อมองไปด้านนอกนอกหน้าต่างก็เห็นว่าท้องฟ้าที่มองเห็นนั้นเปลี่ยนเป็นมืดสนิทไปเสียแล้ว 



   ....โห.... นี่เล่นหลับยันมืดเลยเหรอเนี่ย....



    จูนคิดก่อนจะยันตัวลุกขึ้นจากเตียง สะบัดหน้าแรงๆสองสามครั้งแล้วคว้ากุญแจห้องเดินลงไปด้านล่าง หวังที่จะให้เรื่องมัน “จบ “ ไปก่อนสำหรับวันนี้ เขาไม่อยากถูกสาวๆที่ห้องประชาสัมพันธ์ของหอพักเอาไปพูดจาต่อว่าเขาติดหนี้การพนันหรืออะไรแบบนั้น


    ประตูกระจกที่กั้นระหว่างด้านนอกกับภายในหอเปิดออก เด็กหนุ่มค่อยๆก้าวออกมาด้วยความระแวดระวัง เขาเหลียวซ้ายแลขวาแล้วแต่ก็มองไม่เห็นร่างสูงใหญ่ของใครบางคนตามทีได้รับรายงานแต่อย่างใด มีเพียงแค่ความมืดที่มองเห็นผ่านบานกระจกประตูห้องประชาสัมพันธ์และธุรการของหอก็เพียงเท่านั้น นี่คงจะหนีกลับชนิดที่เรียกได้ว่า”เผ่น”เป็นแน่  จูนถอนหายใจคล้ายจะโล่งอก ที่อย่างน้อยก็ไม่มีคนมาเป็นผู้เห็นเหตุการณ์มากนัก


    “มองหาคนตัวใหญ่ๆนั่นเหรอครับคุณ......” พลันสำเนียงอีสานของลุง รปภ ดังขึ้นจากด้านหลังทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก


    “โอ้ย ลุงครับ ตกใจหมด....อย่ามาเงียบๆสิครับ”


    “ลุงก็เดินมาปกตินี่ล่ะครับคุณ ว่าแต่นี่ยังไม่เจอกันเลยเหรอครับ”  คุณลุง รปภ. สำเนียงอีสานรูปร่างผอมท่าทางเหมือนไม่ค่อยมีแรงว่าพลางขยับหมวกแก๊ปใบเก่าให้เข้าที่เข้าทาง จูนได้กลิ่นบุหรี่คละคลุ้งจากร่างของอีกฝ่ายไม่ต้องเดาให้ยากก็พอรู้ว่าลุงเพิ่งจะไปพักสูบบุหรี่มาเป็นแน่


    “ยังเลยครับ.... อาจจะกลับไปแล้ว....”


    “โอ้ย....น่าจะยังไม่กลับหรอกครับ นี่คงกะจะรอจนกว่าคุณจะลงมาจ่ายหนี้นั่นล่ะมั้ง นี่ลุงยังเห็นมอเตอร์ไซค์เขาจอดอยู่ตรงโน้น....คนเก็บหนี้เดี๋ยวนี้เขารวยเนอะ ขับรถคันใหญ่ๆกันได้ นี่คงเก็บมานาน รถสวยขนาดนั้นคงไม่กล้าทิ้งไปไหนไกล” ว่าพลางปลายนิ้วผอมๆของลุง รปภ ก็ชี้ไปทางลานจอดรถที่อยู่อีกด้าน  ทำให้จูนพอเข้าใจได้ว่าถึงแม้เคนจะไม่กลัวร้อนกลัวหนาวแต่คงจะเป็นห่วงรถคันสวยของตัวเองแน่จึงได้เอาเข้ามาจอดด้านในแบบนี้ แต่ก็อดจะเอะใจกับคำพูดของลุงไม่ได้


    “แต่ลุงครับ  ผม..เอ่อ..ไม่ได้เป็นหนี้ใครนะครับ”


    “โอ้ยคุณ ไม่ต้องอายหรอกเดี๋ยวนี้แม้แต่พวกนักศึกษาก็เป็นหนี้กันเยอะไป นี่คงไปเล่นบอลที่ไหนมาล่ะสิ” ลุง รปภ ว่าพลางหัวเราะ    “ยังไงจะจ่ายเงินกันก็จ่ายกันดีๆนะคุณ ถ้าจะตีกันไปตีกันข้างนอกนะ ลุงแก่แล้วห้ามไม่ไหวหรอก ตัวใหญ่ขนาดนั้น...แต่ถ้าเห็นท่าไม่ดีก็เรียกตำรวจนะคุณ” ลุง รปภ ทึกทักไปเองเป็นตุเป็นตะ จนคนฟังทำได้แต่ยิ้มแห้งๆ
    

“ฮ่ะๆ....ขอบคุณครับคุณลุง เดี๋ยวผมไปบอกให้เขากลับไปก็แล้วกันนะครับ ให้คนแปลกหน้ามาป้วนเปี้ยน เดี๋ยวลุงจะเดือดร้อนเสียเปล่า”  เด็กหนุ่มก้มหัวให้อีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไปยังลานจอดรถ ที่จอดรถมอเตอร์ไซค์อยู่ห่างออกไปยิ่งทำให้เด็กหนุ่มต้องเดินไกลออกจากตัวตึกออกไปอีก


     มองดูรอบด้านก็ไม่เห็นจะมีร่างสูงของใครบางคนยืนอยู่แถวนั้น และไม่ต้องสอดส่ายสายตานานก็เห็นมอเตอร์ไซค์สีดำคันใหญ่คู่ใจของใครบางคนจอดนิ่งสนิทอยู่ตรงนั้น เด็กหนุ่มค่อยเดินตรงเข้าไปหาดวงตารีเรียวมองพาหนะตรงหน้านิ่ง ปลายนิ้วเรียวยื่นไปไล้สัมผัสพื้นผิวเรียบของเบาะหลังที่ที่เคยซ้อนอีกฝ่ายไปไหนต่อไหน  เหลือบมองดูที่แฮนด์มอเตอร์ไซค์มีเพียงหมวกกันน็อคสีดำของอีกฝ่าย ไม่มีหมวกกันน็อคสีหวานของใครห้อยติดมาด้วย


     “ก็คงแค่ไม่ได้เอามาด้วย....คงไม่มีทางที่จะทิ้งไปง่ายๆหรอก”


 เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเองเบาๆ ยิ่งมองมอเตอร์ไซค์คันสวยนั่นก็ยิ่งคิดในเรื่องที่ไม่น่าคิด และยิ่งจำแต่ภาพที่เคยเป็น มอเตอร์ไซค์หน้าตาละม้ายคล้ายรถของพวกทวงหนี้นอกระบบกับใบหน้าโหดๆที่ยิ่งเวลาอากาศร้อนหรือก็จะยิ่งขมวดคิ้วเสียจนน่ากลัว ตัวก็ใหญ่ผิดมนุษย์มนา ภาพทั้งหมดในหัวทำให้จูนหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนยกปลายเท้าเตะเบาที่ล้อรถมอเตอร์ไซค์
 

    “มอเตอร์ไซค์ก็น่ากลัว คนขับก็หน้าโหด แล้วยังจะมาทำตัวเหมือนคนเก็บหนี้อีก ...หมีควายเอ้ย มันลำบากชาวบ้านเขารู้ไหม”  เด็กหนุ่มยกเท้าขึ้นเตะล้อรถนั่นอีกรอบ ปากก็สบถออกมาเบาๆ


    “ไม่พอใจอะไรก็มาลงที่พี่สิ....อย่าไปลงที่รถ”

 เสียงทุ้มดังขึ้นที่ด้านหลังทำเอาคนที่กำลังยืนหัวเสียอยู่สะดุ้งเฮือก และเมื่อหันกลับมาก็เจอร่างสูงใหญ่ของเคนยืนอยู่ตรงหน้า เสื้อนักศึกษาที่เห็นใส่เมื่อตอนบ่ายถูกปลดกระดุมลงจนหมดเผยให้เห็นเสื้อกล้ามสีเข้มที่ใส่อยู่ด้านใน  ใบหน้าดูชื้นเหงื่อเล็กน้อยผิดกับอากาศด้านนอกอาคารที่ยังคงเย็นตามฤดูกาล


    “ผ....ผมไม่ต่อยพี่ให้เสียมืออีกหรอก....” จูนเอ่ยเบาๆ เขายังจำคราวก่อนที่เหวี่ยงหมัดใส่เคนไปเต็มแรงได้ดี  เด็กหนุ่มเสมองไปอีกทางเขายังจำได้ดีว่าวันนั้นมันเจ็บมากแค่ไหน


   ....ทั้งที่มือ...และที่ใจ...



    “โอเค...ได้ ไม่พูดแบบนั้นก็ได้” เคนยิ้ม ดวงตาคมมองใบหน้าของเด็กหนุ่ม ราวกับจะสำรวจ
 

    “แล้วคราวหลังก็อย่าเดินมาเงียบๆอีก เดี๋ยวคนก็ได้นึกว่าเป็นโจรมาขโมยรถหรอก”  เห็นสายตาแบบนั้นมองมจูนยิ่งรู้สึกร้อนขึ้นมาบนใบหน้า     


“พี่เดินมาเสียดังแล้ว มีเรานั่นล่ะตกใจไปเอง....กลัวทำไม นึกว่าพี่เป็นผีเหรอ” เคนยิ้มน้อยๆ แต่น่าแปลกที่ดูเศร้าอย่างบอกไม่ถูก


    “ไม่ใช่.... แต่ยังไงวันนี้พี่ทำให้คนอื่นกลัว มานั่งทำอะไรอยู่ได้ตั้งครึ่งค่อนวัน...จนชาวบ้านเขาจะหาว่าพี่เป็นพวกทวงหนี้แล้วผมไปติดหนี้พี่อยู่หลายแสนเนี่ย!” จูนพูดพร้อมใบหน้าที่กลายเป็นสีแดง มือเรียวยกขึ้นผลักไหล่ของอีกฝ่าย แต่ก็ดูว่าผลักไปก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายสะทกสะเทือนสักเท่าไร


    “ก็แค่อยากมาเจอหน้าแก...ก็เท่านั้นล่ะ” เคนว่า มือแกร่งยกขึ้นเล็กน้อยให้จูนเห็น เหมือนที่เคยสัญญากันไว้ว่าหากว่าอยากจะจับหัวของจูน เคนจะยกมือขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นก่อน      แต่สองขาของรุ่นน้องหนุ่มกลับก้าวถอยหลัง

     “อ่ะ....” จูนอุทานออกมาเบาๆกับการกระทำของตัวเอง เขาไม่ได้มีความคิดที่จะทำเช่นนั้นแต่ส่วนลึกข้างในใจกลับสั่งให้ร่างกายของเขาต่อต้าน


    “เอาเป็นว่าพี่มีธุระอะไรก็ว่ามา...” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงแผ่วในใจยังคงมีภาพของเคนและนิดที่เขาเห็นเมื่อวานติดอยู่ในหัว นั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาไม่อยากจะสบตากับอีกฝ่ายในตอนนี้ก็เป็นได้


“พี่แค่....”เคนชักมือกลับ..”พี่ก็แค่ไปซื้อ....นี่มา”ว่าพลางก็ยกกะป๋องโจ๊กจากร้านสะดวกซื้อขึ้นมา


    “หะ?” จูนเลิกคิ้วสูง


    “ก็....” เคนเกาศีรษะเบาๆ “ก็เห็นแกไม่ลงมาสักที พอดียังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เที่ยงด้วย เลยไปซื้อมากิน ...แล้วก็ซื้อมาฝากแกด้วย นี่กินอะไรหรือยัง...”ว่าพลางก็ยกอีกถุงที่ยังไม่ได้เปิดให้อีกฝ่ายดู “เมื่อบ่ายก็เห็นซื้อมาแต่มาม่ากับน้ำเกลือแร่ มันจะไปได้ประโยชน์อะไร...แถมยังขว้างทิ้งอีก” ท้ายเสียงยังไม่วายกระเซ้าแหย่คนตรงหน้า   


    “ก็ผมตกใจนี่! “ จูนโวยออกมาเบาๆ ในเมื่อสาเหตุที่ทำให้เขาตกใจก็คือคนที่กำลังยืนพูดอยู่ต่อหน้าเขาอยู่ในตอนนี้  “แล้วนี่พี่จะซื้อมาฝากผมทำไม....ผมน่ะ....ไม่....”


     .......โครก....... ทันใดท้องเจ้ากรรมก็ส่งเสียงโอดครวญออกมาราวกับฟ้าผ่า ทำเอาจูนที่กำลังจะปฏิเสธว่าไม่ได้รู้สึกหิวต้องกัดฟันแล้วเบือนหน้าหนีด้วยทั้งอายและเจ็บใจ


   ....ห่า จะมาร้องอะไรตอนนี้ ....


“หึ.... หิวก็ทำไมไม่บอกล่ะว่าหิว..... ” ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ  พลันสายตาก็หันไปเห็นว่าถุงพลาสติกที่ใส่โจ๊กร้อนๆนั่นกำลังลอยไปลอยมาอย่างเย้ายวนตรงหน้า และเมื่อหันไปก็เห็นหน้าของใครบางคนยืนอมยิ้มอยู่


    “นี่พี่กวนอยู่ใช่ป่ะ”


    “กวน? “ เคนเลิกคิ้วพลางทำเสียงสูง “ กวนตรงไหน ก็แค่จะถามว่าหิวไหม......” ว่าพลางก็มองหน้างอง้ำของอีกฝ่าย ริมฝีปากเผลอเหยียดเป็นรอยยิ้มในใจนึกไม่ถึงเลยว่าตัวเขาเองจะคิดถึงเสียงและท่าทางที่อีกฝ่ายต่อว่าเขาได้มากถึงเพียงนี้


    “.....................ก็หิว” สุดท้ายจูนก็ต้องตอบออกไปอย่างเสียไม่ได้ อันที่จริงเขาก็คิดว่าจะเดินไปหาอะไรมากินเหมือนกัน แต่ก็ไม่คิดว่ามื้อค่ำของเขาในวันนี้จะมีคนตระเตรียมให้เสียขนาดนี้


    “งั้น.....กินก่อนไหม แล้วค่อยคุยก็ได้ถ้า...แกอยาก”  ร่างสูงเอ่ย ก่อนเหลือบมองไปทางประตูทางเข้าหอ เห็นเงาร่างของลุง รปภ ก้มๆเงยๆ อยู่อีกด้าน ก่อนจะหันไปมองอีกด้าน“มีตรงไหนให้นั่งกินไหม เดี๋ยวจะเย็นซะก่อน”


    “ก็มีตรงนั้น.....”จูนตอบแล้วชี้ไปทางด้านหลัง เดินเลยออกไปมีลานที่มีโต๊ะม้าหินอ่อนให้นั่งพักผ่อนอยู่หลายตัว บางทีเย็นๆถ้าว่างเขาก็จะลงมานั่งเล่นแถวๆนี้เหมือนกัน


    ปกติจะมีสาวๆจากชั้นสองชั้นสามลงมานั่งเล่นนั่งคุยงานไปพลางรับลมไปพลางกับเพื่อนที่มุมนี้ของหอพัก แต่ในเวลาแบบนี้ ลานโต๊ะม้าหินมีเพียงแค่แสงจากโคมไฟและจากลานจอดรถเท่านั้นที่ให้ความสว่างแก่ผู้มาเยือน ทั้งสองคนเดินไปหย่อนกายลงนั่ง บรรยากาศรอบข้างมีเพียงเสียงของใบไม้ที่ไหวเบาๆ เพราะสายลมที่พัดผ่านมาในยามค่ำคืน


    “กินซะ เดี๋ยวจะเย็น” เคนว่าพลางใช้ปลายนิ้วดันถ้วยพลาสติกให้เลื่อนไปหยุดตรงหน้าของเด็กหนุ่ม กลิ่นหอมลอยขึ้นมาแตะจมูกจนจูนต้องกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่ ดวงตาเรียวเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆอีกครั้ง


    “แล้วพี่ไม่กินเหรอ....หิวนี่”


    “ให้แกกินก่อน ....” เคนยืนยันแล้วหยิบช้อนพลาสติกส่งให้


    “ก็ได้...” เด็กหนุ่มรับช้อนนั้นมาอย่างเสียไม่ได้ แต่ก็ตักโจ๊กเข้าปากไปเงียบๆ รสชาตคุ้นเคย บรรยากาศก็คุ้ยเคย เช่นเดียวกับร่างสูงที่นั่งอยู่ไม่ห่าง  เคนเองก็นั่งเท้าคางมองมายิ้มน้อยๆเหมือนอย่างที่เคยเห็นก่อนหน้า ท่าทางยียวนเมื่อครู่หายไปในตอนนี้มีเพียงแค่รอยยิ้มอย่างพึงใจที่ส่งมาให้เท่านั้น   


“พี่จะมานั่งดูผมกินแค่นี้น่ะเหรอ”  สุดท้ายด้วยเริ่มรู้สึกอึดอัดกับรอยยิ้มที่ปราศจากคำอธิบาย เด็กหนุ่มจึงเอ่ยถามออกไปเบาๆ


     “จะไม่กินหน่อยรึไง “ ว่าพลางก็ดันถ้วยโจ๊กเล็กๆนั่นให้อยู่ในระยะที่ทั้งสองคนจะตักได้อย่างไม่เลอะเทอะ


    “ขอบใจ....”ชายหนุ่มหยิบช้อนพลาสติกอีกคันออกมาจากในถุงพลาสติกแล้วตักโจ๊กขึ้นมาใส่ปากบ้าง อาจจะเพราะมัวแต่นั่งเฝ้าความว่างเปล่าและไม่ได้ทานอะไรมาตลอดบ่าย เคนถึงได้ส่งเสียงเบาๆในคอพร้อมกับโคลงหัวไปมา ท่าทางอร่อยไม่น้อย


    “........... “จูนมองท่าทางของเคน มันตลกและทำให้อดคิดย้อนไปไม่ได้  น่าแปลกที่มันก็ไม่ได้นานอะไรนัก แต่ในใจกลับรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปนานเสียเหลือเกิน


    “คิดถึงเหมือนกันแฮะ...”


    “หืม? อะไร” เคนเลิกคิ้ว


    “ก็ที่กินข้าวกันแบบนี้ไง.... พวกเราถ้าหิวปกติก็จะไปกินข้าวด้วยกัน.....”เด็กหนุ่มหยุดมองหน้าของอีกฝ่ายเล็กน้อย “สี่คนตลอดไม่ใช่รึไง”


    “อื้ม.....นั่นสินะ...คิดถึง.....ไอ้เตี้ยสองคนนั่นเนอะ” เคนเองก็ชะงักเล็กน้อยกับคำพูดของตัวเองเหมือนกัน


    “ใช่...ตั้งแต่กลับมาก็ยังไม่ได้เจอเลย รู้แค่ว่า พี่โชติกับพี่ยุทธ์ช่วยกันตัดต่ออยู่ ไม่รู้ไปถึงไหนแล้ว ยังไงก็ว่าจะโทรไปถามดูเหมือนกันว่ามีอะไรให้ช่วยไหม” ในดวงตาของเด็กหนุ่มอ่อนแสงลง เคนเห็นจูนยังคนโจ๊กเล่นอยู่อย่างนั้น


    “อีกแล้ว พูดแบบนี้แสดงว่าคิดถึงสองเตี้ยนั่นสินะ อะไรก็ขับรถกลับมาด้วยกันแท้ๆ”  เคนกระเซ้าแหย่เหมือนอย่างที่เคยทำทุกที


    “พี่ไม่รู้หรอก...ขากลับบรรยากาศมันแย่ขนาดไหน สองคนนั้นก็แทบจะไม่พูดกันแล้วผมเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไหนจะพี่มาลงรถที่กลางทางอีก ผมน่ะ....” คำพูดมันพร่างพรูออกมาราวกับเคนได้ไปถามเปิดประเด็นอะไรเข้าให้


    “แล้ว....พี่ล่ะ แกคิดถึงพี่บ้างป่ะ”


      “ ให้ตอบตามตรง? “ จูนเลิกคิ้วมองหน้าของอีกฝ่าย


    “อืม....ไม่งั้นจะถามเหรอ “ ชายหนุ่มร่างสูงเท้าคางกับโต๊ะรอคำตอบ ในขณะที่อีกฝ่ายเอนหลังไปพิงพนักด้านหลังของโต๊ะหิน


    “ก็.......มีบ้าง” จูนตอบแต่ก็ไม่ได้คิดที่จะหันไปมองหน้าของรุ่นพี่ มือเรียวของเด็กหนุ่มยกมือขึ้นลูบเบาๆที่ข้างลำคอ จูนรู้ดีว่าเขาโกหก เพราะมันตลอดเวลาเลยต่างหากที่เขาคิดถึงอีกฝ่ายไม่ว่าจะในรูปแบบไหน หรือด้วยความรู้สึกอย่างไรแต่ในหัวของเขาก็ยังมีเรื่องของอีกฝ่ายอยู่เต็มไปหมด


    “อันที่จริง... “เคนเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบระหว่างทั้งสองคน ชายหนุ่มยกสองแขนขึ้นเท้าคาง “วันนี้ขอแค่มาเห็นหน้าก็พอ ได้กินข้าวด้วยกันนี่ก็เกิดคาดแล้ว” เคนยิ้มกว้างจนเห็นฟันเรียงสวย ท่าทางของเคนดูดีใจมากอย่างปากว่าจริงๆ


    “พี่นี่ก็เพี้ยน.... มานั่งตักโจ๊กร่วมถ้วยกับผู้ชายดีตรงไหน ...” จูนหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย เด็กหนุ่มเขี่ยหมูบะช่อก้อนกลมที่เหลืออีกสองก้อนนั่นไปมา


    “ฮ่ะๆ นั่นสินะ....มีดีตรงไหนกัน “ ไหล่กว้างของร่างสูงขยับไหวน้อยตามแรงหัวเราะ ก่อนที่จะหยุดแล้วมองหน้าของเด็กหนุ่มนิ่ง 


“คงจะ....ดีตรงที่เป็นแกล่ะมั้ง....”


“พูดอะไร....” คำพูดที่เอ่ยออกมาได้อย่างง่ายดายนั้นทำให้เด็กหนุ่มยิ่งก้มหน้าลงไปอีก ทำให้เห็นได้ว่าใบหูบางนั้นแดงก่ำ


    “....  วันนี้แค่อยากมาบอกว่าอาทิตย์หน้าพี่จะแข่ง” เคนเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นได้ชัดว่ากำลังทำให้จูนลำบากใจ
 

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
[ต่อ]



“ผมรู้...พี่จะไปต่อยมวยเวทีใหญ่กลางเมือง...งานออกทีวีเมืองนอกด้วย” จูนพูดแต่ก็ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองหน้าของอีกฝ่ายอยู่ดี ในหัวพลันผุดภาพของคนตรงหน้ากับแฟนสาว ภาพที่หญิงร่างเล็กบรรจงจูบแฟนหนุ่มที่ข้างแก้มยังคงติดตา
     “แล้วก็คงมีคนไปเชียร์พี่กันเยอะแยะ” ท้ายเสียงนั้นฟังดูคล้ายมีความไม่พอใจแฝงอยู่


    “รู้แล้วเหรอ....” เคนถอนหายใจออกมาเบาๆ “แล้วแกว่าไงล่ะ อยากจะไปเชียร์พี่ไหม” ถึงจะถามออกไป แต่ในตอนนี้จูนก็ไม่ยอมแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาตอบ เด็กหนุ่มยังก้มหน้างุด


    “เชียร์ไปก็เท่านั้น ผมดูไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ “ เสียงพูดดังอยู่ในลำคอทำให้ยากที่จะได้ยิน จนเคนต้องโน้มตัวเข้าไปหา


    “ดูไม่รู้เรื่องก็ไม่เห็นจะเป็นไร จะไปหรือเปล่า.....พี่มีตั๋วนะ” พูดพลางร่างใหญ่ก็ดึงเอาซองเล็กๆออกมาจากในกระเป๋าหลังแล้วยื่นให้กับอีกฝ่าย


    “ตั๋ว? ......พี่จะเอามาให้ผมทำไม คนอื่นเขาอยากไปดูกันเยอะแยะ” เด็กหนุ่มถามพลางจะชักมือกลับแต่ก็ไม่ทันเมื่อมือใหญ่ของเคนนั้นคว้ามือของเขาเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที


    “คนอื่น?....หมายถึงนิดน่ะเหรอ” นักมวยหนุ่มมองหน้าของเด็กหนุ่มรุ่นน้องนิ่ง จูนในวันที่ไม่ได้แต้มอายไลน์เนอร์ลงบนขอบตานั้นดูไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่ได้แต่หลบสายตาอยู่แบบนั้น


    “.....ก็.....จะมีใครอีกล่ะ” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงแผ่ว ในใจรู้สึกเจ็บปาบภาพเมื่อวานแล่นเข้ามาในความทรงจำ


    “แต่นิดไม่ได้เป็นคนที่พี่อยากให้ไปอยู่ที่ข้างเวทีในครั้งนี้ ....คนที่พี่อยากให้ไปคือแกนะ”เคนบอกกับรุ่นน้องด้วยน้ำเสียงจริงจัง ปลายนิ้วที่เกาะกุมมือของเด็กหนุ่มอยู่นั้นออกแรงกระชับหวังจะให้อีกฝ่ายเข้าใจความรู้สึกที่มันอัดแน่นอยู่ในอกนี้สักที

    “พี่รู้ว่าแกไม่อยากให้พี่พูดแบบนี้ และแกก็อาจจะถามพี่ว่าพี่คิดอายตัวเองบ้างไหมที่มาพร่ำพูดเป็นคนบ้าแบบนี้ บอกตรงๆโคตรอายเลยว่ะ “ เคนเสมองไปทางอื่นเล็กน้อย ใบหน้าคมของหนุ่มนักกีฬาในตอนนี้กลับเปลี่ยนไปตามสีเลือดที่แล่นพล่านอยู่ใต้ผิวไล่ลามตั้งแต่ใบหูจนถึงลำคอ

 “แต่แกรู้ไหม พี่พยายามแล้ว พยายามไปให้ห่างที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ระยะทางหรืออะไรมันก็ทำให้พี่หลอกตัวเองไม่ได้ พี่รักแกว่ะ รักไปแล้วจริงๆ และเป็นเพราะความรู้สีกแบบนั้นล่ะที่ทำให้พี่ทำเรื่องแย่ๆกับแกไปแบบนั้น....พี่เสียใจ” น้ำเสียงทุ้มนั้นเอ่ยเบาๆแต่กลับทำให้คนฟังรู้สึกถึงความเจ็บปวดได้อย่างไม่ยากเย็น เด็กหนุ่มกำมือแน่นเมื่อคำพูดนั้นทำให้นึกถึงเรื่องที่หัวหินในคืนนั้น


    “อ่ะ..อืม.....คนเราก็คงมีเรื่องที่ทำให้เสียใจด้วยกันทั้งนั้น” สัมผัสที่อุ่นจนร้อนนั้นทำให้รู้สึกหัวใจของจูนกำลังสั่นไหวอีกครา   
 

 “พี่ทำอะไรไปหลายอย่าง ที่ฝืนใจแก....แต่จูน...พี่ทำลงไปเพราะพี่รู้สึกกับแกแบบนั้นจริงๆ  ฮ่ะ...พูดไปคงเหมือนแก้ตัวใช่ไหม” รุ่นพี่หนุ่มแค่นหัวเราะ “แล้วแกล่ะ คิดอะไรกับพี่บ้างไหม จะตอบรับหรือจะปฏิเสธมาก็ได้ ถ้าแกโกรธแกจะชี้หน้าด่าพี่ว่าชาติหมาแค่ไหนก็ได้ พี่ผิด พี่ยอมรับ แต่ที่ยังยอมรับไม่ได้คือแกยังไม่เคยมองหน้ากันตรงๆแล้วบอกเลยว่าแกรู้สึกยังไง “ดวงตาของนักมวยหนุ่มยังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของรุ่นน้องหนุ่มตรงหน้า แต่อีกฝ่ายยังคงก้มหน้างุด 
 

 “ถึงพี่จะพูดแบบนั้น....แต่ผมก็...ยังไม่พร้อมจะให้คำตอบอะไรพี่ในตอนนี้หรอกนะ....มันก็ยากสำหรับผมเหมือนกัน” เด็กหนุ่มหลับตาลง เขายังขำได้ถึงแรงกระแทกที่อีกฝ่ายจับเขากระแทกลงกับพื้นห้องน้ำ ความเจ็บร้าวบนท่อนแขน ความอับอายที่เพียงแค่นึกถึงมันก็ทำให้เขาปวดใจขึ้นมาได้ทุกครั้ง แตในขณะเดียวกันเขาก็ปฏิเสธความร้อนรุ่มในใจที่เห็นเคนยืนอยู่กับนิดไม่ได้ใช่กันนั่นยิ่งทำให้การให้คำตอบนั้นเป็นไปได้ยากยิ่ง เด็กหนุ่มขืนมือของตัวเองออกจากการเกาะกุม 
 

“ไม่จำเป็นจะต้องเป็นวันนี้ก็ได้ “เคนรู้สึกโหวงในใจเมื่อสัมผัสอุ่นจากมือของเด็กหนุ่มนั้นหลุดลอยออกไป
 

“วันนี้ก็แค่อยากจะมาเห็นหน้า...แล้วก็เอานี่มาให้ “ นักมวยที่ใกล้จะขึ้นชกยื่นซองให้กับอีกฝ่ายอีกครั้ง  “แถวหน้าเลย พี่ขอพ่อมา หวังว่าแกจะไปดูนะ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงเบา

“ผม...............” จูนรู้สึกแน่นที่อก เขาควรจะตอบกับอีกฝ่ายว่าอะไรดี คำถามนั้นวิ่งวนอยู่ในหัว คิ้วเรียวเผลอขมวดเข้าหากันแทบจะในทันที


“ โธ่ จูน...... “เคนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มือแกร่งเอื้อมไปสัมผัสเส้นผมสีอ่อนของอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนปลายนิ้วจะออกแรงบังคับน้อยๆให้อีกฝ่ายค่อยเงยหน้าขึ้นมามองหน้าของตัวเอง   “เอาเป็นว่า พี่จะรอก็แล้วกัน รอจนกว่าแกจะมา....” ดวงตาคมสบตากับอีกฝ่ายนิ่ง ดวงตารีเรียวของคนที่มีเชื้อจีนตรงหน้านั้นเป็นประกายไหววูบท่ามกลางความมืด
  “รอบนี้พี่อาจจะไม่ได้โชว์เท่เหมือนคราวก่อนนะ แต่ต่อให้โดนน็อคตายคาเวทีพี่ก็จะไม่ยอมลงจนกว่าแกจะมา จนกว่าแกจะมาให้คำตอบพี่ ไม่ว่าคำตอบนั้นจะเป็นอะไรพี่ก็จะรอฟัง” ในน้ำเสียงของเคนมีหนักแน่นราวกับจะยืนยันในคำพูด แต่เคนกลับเห็นมือบางเลื่อนซองกระดาษนั้นกลับคืนมาให้


 “ ผมไม่เอา....ทำไมต้องให้ผมไปเห็นอะไรแบบนั้นด้วย ”  เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า จูนเงยหน้าขึ้นมองหน้าของเคนในแววตานั้นยังเต็มไปด้วยคำถามและความไม่พอใจก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เขาไม่ค่อยได้ดูมวยหรือกีฬาอะไรแบบนั้นสักเท่าไรนัก แต่เพราะคำพูดของอีกฝ่ายก็ทำให้อดจินตนาการไปไม่ได้เลยว่าการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นในอาทิตย์หน้านั้นจะเป็นอย่างไร จะรุนแรงเท่าที่อีกฝ่ายว่าหรือเปล่า ในใจของเด็กหนุ่มนั้นอดหวาดหวั่นแทนไม่ได้ 


    “เพราะถ้าพี่จะแพ้ แกคือคนเดียวที่พี่อยากให้แกเห็นภาพนั้น แกเคยบอกไม่ใช่เหรอว่าถ้าอยู่กับแกพี่ก็ไม่ต้องห่วงอะไร ...ไม่ต้องแคร์สายตาใคร แกเป็นคนเดียวที่จะทำให้พี่ยิ้มได้ในวันนั้น ต่อให้แกจะมาเพื่อบอกว่าเกลียดพี่มากแค่ไหนก็ตาม ขอแค่แกมาไม่ว่าผลจะเป็นยังไงพี่ก็จะยอมรับมัน...พี่ขอแกแค่นี้จริงๆ”
ดวงตาคมยังมองหน้าของอีกฝ่ายนิ่ง เขารู้ได้ว่าจูนรู้สึกสับสน เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ปลายนิ้วเรียวนั่นสั่นไหว เคนรู้ว่าเขากำลังเรียกร้องมากเกินไปทำไมจะต้องให้คนๆนี้ไปที่นั่นด้วย ทำไมถึงอยากจะให้อีกฝ่ายเห็นเขาพ่ายแพ้ นั่นเป็นเพราะเขาความรู้สึกที่เขามีให้อีกฝ่ายมันมากขนาดนั้น เขายอมที่จะให้อีกฝ่ายเห็นความล้มเหลวของเขามากกว่า อยากให้จูนเห็นภาพที่น่าอายที่สุดของเขามากกว่าเห็นเขายิ้มกับชัยชนะ...แต่มันคงดีกว่าหากเขาจะได้ยิ้มกับคำตอบรับของอีกฝ่าย  ปลายนิ้วที่จับเส้นผมของอีกฝ่ายอยู่ค่อยเลื่อนลงมาที่ปลายคางมน



    “ถ้าพี่ทำให้แกยิ้มได้บ้างก็คงดี....” จูนได้ยินเสียงทุ้มดังที่ข้างหู ลมหายใจอุ่นจนร้อนนั้นสัมผัสแผ่วลงบนแก้ม ก่อนจะรู้สึกได้ว่าศีรษะของตัวเองถูกโน้มเอียงไปด้านหน้าเล็กน้อย ก่อนจะสัมผัสได้ถึงแรงกกดลงบนเส้นผม เคนจูบแผ่วผ่านลงบนเส้นผมของเขา แผ่วเบาหากแต่นานพอจะทำให้รู้สึกปวดร้าวเข้าไปข้างในอก


   ....ทำไมระหว่างพวกเรามันถึงมีแต่ความรู้สึกแบบนี้....
    ....เมื่อไร...มันจะดีกว่านี้.....


 

 “............” เคนขยับถอยออกมาอย่างอ้อยอิ่งราวกับไม่อยากห่างไปไหน ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก มือหนึ่งเก็บซองใส่ตั๋วเข้ากระเป๋า “เอาล่ะ...เดี๋ยวคงต้องกลับแล้ว ส่วนตั๋วนี่พี่จะเอาไปฝากไว้กับเจ้าโชติ ทำใจได้แล้วค่อยไปก็แล้วกัน พี่จะรอแกอยู่ที่เวที”   ร่างสูงว่าพลางขยับถอยออกมาก่อนจะลุกขึ้นยืน มือแกร่งหยิบเป้ขึ้นสะพายหลัง       “กินโจ๊กซะ แล้วขึ้นไปนอนเถอะ ดึกแล้ว ขอโทษนะ ที่ทำให้เดือดร้อน” รุ่นพี่ร่างสูงว่า มือแกร่งตบลงเบาๆ บนไหล่ของจูนก่อนจะก้าวออกไป

 
    “พี่เคน........” จูนตัดสินใจหันกลับไปมอง เขาเห็นเงาของร่างสูงหยุดยืนอยู่ไม่ห่างออกไป แผ่นหลังกว้างนั้นยืดตรงใบหน้าคมคงกำลังเงยหน้าขึ้นมองอะไรบางอย่าง


 “มีอะไรเหรอ.....” ร่างสูงหันกลับมามองพร้อมรอยยิ้ม


    “เอ่อ.........” จูนอึกอัก เขาเรียกอีกฝ่ายออกไปด้วยความรู้สึกแบบไหนกันแน่ ...เพียงแค่อยากจะเห็หน้าอีกฝ่ายอีกครั้งอย่างนั้นหรือ.... เด็กหนุ่มหันไปยกถุงที่ใส่ถ้วยโจ๊กที่ยังไม่ได้อุ่นขึ้น “ขอบคุณ ....ที่ซื้อมาฝาก”


    “ไม่เป็นไร....อย่าลืมพักผ่อนนะ “ เคนโบกมือน้อยๆ ก่อนจะเดินจากไป 
   


สายลมพัดผ่านมาอีกครั้งเด็กหนุ่มเห็นร่างสูงของอีกฝ่ายค่อยๆก้าวออกไป น่าแปลกที่น้ำหนักของฝ่ามือที่อยู่บนบ่านั้นยังคงอยู่ไม่ได้จากไปไหน  มันหนัก หนักจนอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะแบกรับความรู้สึกนี้เอาไว้ได้อีกนานแค่ไหน เขาจะต้องทำอย่างไรเขาถึงจะให้คำตอบกับอีกฝ่ายได้ เขาเองในตอนนี้ก็อยากจะมีคำตอบให้อีกฝ่ายมากเหลือเกิน ว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกอบอุ่นในใจแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเศร้าจนอยากจะร้องไห้ออกมา ทำไมถึงรู้สึกรุ่มร้อนในอกและหนาวเย็นจนแทบจะสั่นสะท้านทุกครั้งที่อีกฝ่ายอยู่ใกล้ เขาเองก็อยากจะมีคำตอบให้กับตัวเองเช่นกัน...


..................................................



    ห้องเรียนคณะวิทยาการจัดการ ในยามเช้ามักมีหอมกลิ่นน้ำหอมหรือโคโลญน์เจืออยู่ในอากาศจางๆ เมื่อสูดลมหายใจเข้าลึกบ้างอาจรู้สึกสดชื่นแต่หากใครแพ้น้ำหอมคงรู้สึกคล้ายวิงเวียน สำหรับโชติที่ยังไม่ได้นอนเนื่องจากมัวยุ่งอยู่กับการเช็คภาพต่างๆ ในไฟล์หนังที่ถ่ายมานั้นกลิ่นนั้นประกอบกับความเย็นของอากาศภายในห้องยิ่งทำให้รู้สึกง่วงเข้าไปใหญ่ อาจารย์ที่นั่งบรรยายอยู่ด้านหน้าดูจะไม่ได้สนใจยิ่งเป็นวิชาเรียนร่วมกันกับเอกอื่นด้วยแบบนี้ สายตาของชายแก่นั่นคงมองแต่เพียงหน้าอกของสาวๆที่นั่งอยู่ตรงหน้ากระมัง โชติเบ้ปากเล็กน้อยก่อนค่อยๆฟุบลงกับโต๊ะ


     ......เวลาตามกำหนดเหลืออีกไม่กี่วันแล้ว ส่วนที่ส่งไปให้ไอ้ยุทธ์มันช่วยทำเสร็จยังว้า.....



    คิดไปพลางดวงตาก็ใกล้จะปิด เสื้อแขนยาวที่ใส่ทับเสื้อนักศึกษามาคล้ายจะให้สัมผัสนุ่มเป็นพิเศษ


    “โชติ....นี่ โชติจ๊ะ..... โชติ.......” เสียงหวานของใครบางคนกระซิบประซาบเป็นชื่อของเขา พร้อมกับแรงกดเบาๆที่หัวไหล่ ชายหนุ่มร่างเล็กขมวดคิ้วมุ่นก่อนหันไปตามเสียงเรียก มองออกไปก็เห็นหญิงสาวผิวเข้มหน้าตาคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นที่ไหนนั่งถัดจากเขาออกไปอีกหนึ่งที่นั่ง


    “มี...อะไรเหรอ....” ชายหนุ่มพยายามจะนึกแต่ก็นึกไม่ออก “เอ่อ.....ใครนะ?”


    “ลืมเราแล้วเหรอ ได้ไง...ต่ายไง เพื่อนนิดแฟนพี่เคนไง” อีกฝ่ายคล้ายจะไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็ยังอุตส่าห์พยายามบอกให้เข้าใจว่าตนเองนั้นเป็นใคร


    “อ้อ.....แฟนของเคนเหรอ” เพราะสะลึมสะลือเลยเข้าใจว่าเป็นแบบนั้น “คล้ำลงเยอะเลยนะ ปีใหม่ไปอาบแดดมาเหรอ”


    “ไม่ใช่นิด .... เราเพื่อนนิด...เอ๊ะ ว่าเรารึเปล่าเนี่ย” อีกฝ่ายเกือบจะพูดเสียงดังขึ้นอีกถ้าไม่ได้เพื่อนอีกคนที่นั่งข้างๆกันปรามไว้ก่อน


    “อ่า...เพื่อนนิด แล้วไง มีอะไรเหรอ” โชติกรอกตานี่เขาต้องตื่นมารับฟังอะไรที่อาจจะน่าเบื่อกว่าวิชายามเช้าที่ชวนหลับนี่อีกหรืออย่างไรกัน


    “นิดฝากเรามาบอกว่า นิดอยากคุยกับเธอ เรื่องที่พวกเธอกับพี่เคนไปถ่ายหนังที่หัวหินน่ะ” หญิงสาวผิวเข้มว่า น้ำเสียงนั้นแม้กระซิบกระซาบยังได้ยินถึงความพยายามจีบปากจีบคอพูด พาลเอาโชติคิดไปนอกเรื่อง



   ....เจ็บคอไหมนั่น...



    “แล้วไงล่ะ... จะคุย ทำไม อยากคุยไม่ไปถามไอ้เคนมัน” โชติขมวดคิ้ว มือเสยขยี้ผมฟูของตัวเองเบาๆ คำถามที่ย้อมถามกลับมาทำเอาอีกฝ่ายทำหน้าไม่ถูกเหลือบมองไปทางเพื่อนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ


     “จะคุยได้ยังไง.... ก็พี่เคนกับนิดเพิ่งจะ..... อืม...เอ่อ....เอาเถอะ เที่ยงนี้เธอว่างไหม ไปด้วยกันหน่อยก็แล้วกัน” ผู้หญิงที่ชื่อต่ายสุดท้ายก็ไม่ยอมพูดเหตุผลจนจบ


    “อืม....ก็ว่าง” โชติรับคำเบาๆ ก่อนจะได้ยินเสียงกระแอมไอดังก้องมาจากทางด้านหน้า ดูท่าว่าอาจารย์ประจำวิชาจะสังเกตเห็นบทสนทนาของเขากับเพื่อนของนิดเข้าให้เสียแล้ว โชติจึงได้รีบหันไปบอกเพื่อนของนิดทันที

    “เอาเป็นว่าเลิกเรียนแล้วจะรออยู่หน้าคณะก็แล้วกัน”



............................................ to be continued

ออฟไลน์ asarigb

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
โธ่ น้องจูนของเจ้  :z3:
ทำไมหนูน่ารักสาวน้อยอย่างงี้  :katai2-1: ถ้าอิพี่เคนมันถามขนาดนี้ก็ตอบมันไปตรงๆเลย
นิดน่ะช่างหัวมัน! 5555555

ออฟไลน์ แฟนตาเซีย

  • หืมม...?
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
 
Chapter 40 : ปรารถนา

1/3


 
      ‘ พี่เคนเขา....บอกเลิกนิด’ 

    เสียงหวานของเชียร์ลีดเดอร์คนสวยของคณะที่เคยได้ยินเป็นประจำนั่นสั่นเครือ เธอยังรู้สึกคล้ายถูกของหนักตีเข้าที่ศีรษะเมื่อได้ยินคำที่เคนพูด แต่กระนั้นก็พยายามคิดไปเสียว่าตัวเองไม่ได้ยินคำนั้น เธอหอมแก้มของเคนเหมือนอย่างที่เคยทำเวลาลับตาใคร แม้จะมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่นิดกลับถึงหอพักได้อย่างน่าอัศจรรย์

    ช่วงค่ำคืนนั้นนิดออกไปทานข้าวกับแฟนหนุ่มในร้านอาหารบรรยากาศน่ารักในแบบที่เธอชอบ ทว่าบรรยากาศที่ระหว่างคนทั้งสองคนกลับมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป ไม่ว่าเธอจะพยายามทำให้เป็นปกติด้วยการชวนคุยเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เคนไม่อยู่อย่างเรื่องการอยู่เค้าท์ดาวน์ร่วมกันกับเพื่อนในผับขนาดใหญ่กลางเมือง แต่คำตอบที่ได้รับก็มีเพียงการรับคำเบาๆ  เคนไม่ได้ตื่นเต้นกับเรื่องสนุกในช่วงเค้าท์ดาวน์เหมือนที่เธอไปเจอมากับเพื่อนๆ ถึงแม้ว่าตัวของเคนจะอยู่ตรงหน้าพูดคุยกันจนคล้ายว่าทุกอย่างจะกลับเป็นปกติแต่ดูเหมือนหัวใจของชายหนุ่มร่างสูงกำลังลอยออกไปไกล จนเมื่อเธอเอ่ยถามถึงเรื่องที่ไปถ่ายหนังกันไกลถึงหัวหิน แววตาของอีกฝ่ายจึงได้ดูเปลี่ยนไป เป็นแววตาของคนที่เต็มไปด้วยความกังวลในแบบที่เคนไม่เคยเป็นมาก่อนเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ จนทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่หัวหิน

    ถึงจะไม่ได้ถามออกไปนิดก็ไม่ลืมที่จะจำข้อสงสัยนี้เอาไว้ ตลอดทางกลับหอที่เคนขับรถยนต์คคันเล็กสีแดงมาส่งเธอนั้นหญิงสาวร่างเล็กจากปกติที่เป็นคนพูดคุยได้เรื่อยๆตลอดทาง กลับนิ่งเงียบ และเมื่อถึงห้องสิ่งแรกที่ทำคือนั่งลงกับเตียงในใจคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านมาตลอดทั้งวัน คิดถึงความรู้สึกของตนเองที่ดีใจแค่ไหนเมื่อเคนโทรมาหา ตื่นเต้นแค่ไหนที่เดินไปตามทางเดินของศูนย์อาหารกลางแล้วเห็นร่างสูงของใครบางคนยืนอยู่หลังจากที่ไม่ได้พบหน้ากันมานานตั้งแต่ก่อนช่วงวันหยุดยาว

 แต่เมื่อได้พบกันคำพูดที่ได้รับกลับไม่เป็นตามที่คาด จนอดทำให้คิดไม่ได้ว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดไปตอนไหน เธอทำให้เคนไม่พอใจเรื่องที่บอกว่าอยากจะไปดูการแข่งขันอย่างนั้นหรือ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามันมีโอกาสมากที่ตนจะพูดอะไรที่ผิดพลาดไปเหมือนคราวก่อนที่ต่อว่าเพื่อนของเคนไปเพราะความหึงและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความหวาดหวั่นที่ไม่เคยรู้สึกมานานพลันจับที่หัวใจ 
เด็กสาวหยิบโทรศัพท์โทรหาต่าย บอกข้อความแรกที่ต้องการจะบอกออกไป ความจริงที่แม้จะแสร้งไม่ได้ยินแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเคนไม่ได้พูดมันออกมา


    "พี่เคนเขา...บอกเลิกนิด”
    
“อะไรนะนิด...เฮ้ย ทำไมล่ะ”

 เสียงของต่ายดังจากปลายสายฟังดูตกใจไม่น้อย เพราะเท่าทีเห็นเคนก็ดูจะเอาใจนิดมากขึ้นหลังจากที่คราวก่อนทะเลาะกันยังไปรับไปส่งไปซื้อของด้วยกัน แถมช่วงหยุดปีใหม่ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันเพราะเคนมีกิจกรรมของชมรมก็ยังโทรศัพท์คุยกกันอย่างดี เท่าที่ฟังจากนิดเคนก็ยังดูเป็นห่วงเป็นใยนิดดีอยู่ เพียงแค่ไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วยกันเท่านั้น


    “นิดก็ไม่รู้ พี่เคนกลับมาแล้วพี่เขาก็โทรหานิดให้ไปหาที่ศูนย์อาหาร พอไปถึงพี่เขาก็พูดเหมือนว่าเขาไม่มีเวลา พี่เขาจะไปแข่งรายการใหญ่ คงไม่มีเวลามาหานิดอีกแล้ว...ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าพี่เคนจะมีแข่ง มีซ้อมพอนิดบอก พี่เคนก็จะมาหาได้ตลอด พานิดไปกินข้าว ไปซื้อของ ไปเที่ยวด้วยกันได้ตลอด ทำไมอยู่ๆพี่เขามาพูดกับนิดแบบนั้น นิดไม่เข้าใจ”เด็กสาวตอบด้วยความสับสน


    “แล้วนิดถามพี่เขาหรือเปล่า” ต่ายถามกลับ


    “ไม่ได้ถาม...นิดกลัว เดี๋ยวพี่เขาตอบอะไรที่มันแย่กว่านี้ขึ้นมา นิดเลยทำเป็นไม่ได้ยิน นิดจะทำยังไงดีต่าย นิด...แย่เหรอ ไม่ดีเหรอ ทำไมพี่เขาถึงจะอยากเลิกกับนิดล่ะ” เชียร์ลีดเดอร์สาวคนสวยประจำคณะที่ปกติดูมั่นใจในตัวเองและดูเป็นผู้ใหญ่กว่าใครในกลุ่มตอนนี้กลับถามคำถามรัวเร็วราวกับว่าควบคุมสติของตัวเองเอาไว้ไม่ได้


    “ไม่จริง ยัยนิด ทำไมเธอถึงพูดแบบนั้น นิดทั้งสวยทั้งนิสัยดี แถมเป็นเชียร์ลีดเดอร์อีก  ไม่ดีนะนิด อย่าพูดแบบนั้น นิดไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” ต่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง


    “ถ้านิดไม่ได้ทำผิดแล้วพี่เขาจะอยากเลิกกับนิดเหรอ “ เสียงของนิดยังคงสั่นเครือ ช่วงขาเรียวนั่งชันเข่ากอดหมอน มีน้ำตาทิ้งตัวลงมาที่แก้มเนียน


    “หรือ...” พี่เขาจะมีคนอื่น ?”


    “นิด ไม่เอา อย่าพูดแบบนั้นไง แล้วไอ้เรื่องมีคนอื่นน่ะ พี่เคนเขาคงไม่ตาบอดหรอก เลือกคนอื่นแทนแกเนี่ยนะ” ต่ายยังคงพยายามปลอบให้เพื่อนมีสติผ่านมาตามสาย ยิ่งได้ยินเสียงอีกฝ่ายสะอื้นยิ่งรู้สึกแย่กับเรื่องที่เกิดขึ้น ทันใดในหัวก็ผุดนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้


    “งั้นเอางี้ไหม นิด....เราลองไปถามคนที่พอจะรู้เรื่องอะไรก่อนดีไหม อย่างพวกเพื่อนพี่เขาไง”ต่ายนำเสนอไอเดียขึ้นมา


    “เพื่อน?....คนไหนล่ะต่าย จะให้ไปถามน้องจูนอีก เราไม่อยากไปนะ อายน้อง...” น้ำเสียงของหญิงสาวยังคงสั่นเครือเธอรู้สึกว่ารบกวนจูนมาหลายครั้งหลายคราแล้วตลอดช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา เธอโทรไปเหมือนผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นห่วงแฟนหนุ่มของตัว แต่จะพูดอย่างไรได้ถ้าหากในคราวนี้โทรไปแล้วสถานการณ์กลับกลายเป็นว่าเธอคือคนที่กำลังจะถูกแฟนทิ้ง


    “ถามกระเทยจูนนั่นไม่ได้ ก็ไปถามโชติไง คราวก่อนก็คุยได้นี่”



...............................................................................



     “สรุปแล้วมีเรื่องอะไรเหรอ ถึงขนาดต้องพามาเลี้ยงกาแฟเนี่ย”


    โชติเอ่ยถามพลางยกแก้วกาแฟเย็นขึ้นดูดด้วยหลอดเสียงดัง ช่วงขานั่งไขว่ห้างท่ามกลางแอร์เย็นฉ่ำของร้านกาแฟร้านเล็กๆที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งของพื้นที่ของมหาวิทยาลัย ที่นั่งอยู่ตรงหน้าคือหญิงสาวสามคนที่บอกกับเขาว่า “ต้องการคุยด้วย”

    “ก็ไม่มีอะไรมากเหรอ พวกเราก็เห็นว่าโชติน่ะ พอจะสนิทกับพี่เคน แล้วก็เห็นว่าช่วงหลังๆนี่ก็ไปทำกิจกรรมชมรมด้วยกันบ่อยๆ”ต่ายยังคงพูดจีบปากจีบคอ เสียงสูงเล็กบาดเข้าแก้วหูอย่างบอกไมถูก

    “แล้ว?” โชติเลิกคิ้วถามท่าทางยียวนไม่ต่างจากตอนอยู่กับพวกยุทธ์เลยแม้แต่น้อย

    “เอ่อ....คือ...” นิดอ้อมแอ้ม ไม่มั่นใจว่าจะต้องถามอะไรออกไป “ต่าย...ไม่เอาดีกว่า นิดไม่ถามแล้ว”

    “ได้ยังไงนิด มาถึงแล้วต้องถามสิ ใช่ไหมเจน “ ต่ายที่ดูเป็นกระบอกเสียงของกลุ่มคว้ามือของนิดเอาไว้พลางหันไปหาความเห็นจากเจนเพื่อนอีกคนที่มาด้วยกัน ซึ่งเจนก็พยักหน้ารัวๆ

    “เอาเป็นว่าถามมาเหอะ ตอบได้ผมก็จะตอบ” โชติเริ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ถึงจะบอกว่าได้กาแฟช่วยไว้หน่อยแต่ความเหนื่อยก็ทำให้เขาง่วงพอดูอยู่เหมือนกัน

    “ก็แค่จะมาถามว่าพี่เคนเขาไปมีกิ๊กไว้ที่ไหนหรือเปล่า แล้วที่ไปหัวหินกันนั่นด้วย พวกเธอพาพี่เขาออกนอกลู่นอกทางหรือเปล่า”  คำพูดที่ต่ายเอ่ยออกมานั้นทำให้โชติต้องเลิกคิ้วพลางเงยหน้าขึ้นมองหน้าของอีกฝ่าย

    “ต่าย...ทำไมไปถามเพื่อนแบบนั้น” นิดหันมาท้วงกับถ้อยคำของเพื่อนที่ดูจะใจร้อนกว่าตัวเองหลายเท่า

    “แหม....ไม่น่าช่วยเลยเนอะ พูดกันแบบนี้....” ชายหนุ่มร่างเล็กว่าพลางยกกแก้วกาแฟขึ้นดูดอีกอึกใหญ่จนจะหมดแก้ว ส่งเสียงกวนประสาทอยู่ไม่น้อย

    “เอ๊ะ...นี่ว่าเราเหรอ เอาเป็นว่ารู้อะไรก็บอกมาสิ”

    “นั่นสินะ....”โชติเองก็ขมวดคิ้วกับคำกล่าวหานั้นเช่นกัน “นิด...ผมไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรของคุณกับไอ้เคนมันมากหรอกนะ และผมไม่รู้นะว่าทำไมเพื่อนคุณถึงเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรได้ขนาดนี้....แต่คงดีกว่าถ้าคุณจะคุยกับผมแค่สองคนในเรื่องที่คุณอยากจะรู้ ไม่ใช่เพียงเพราะเพื่อนคุณอยากจะรู้ ผมว่ามันไม่เข้าท่า...อย่าให้ผมว่ามากไปกว่านี้เลย”


     คำพูดของโชตินั้นทำให้ทั้งสามสาวถึงกับนิ่งเงียบ จนในที่สุดนิดเป็นคนขยับลุกขึ้นมาก่อน แม้จะรู้สึกแปลกที่จะต้องมาถามหาข้อมูลอะไรแบบนี้กับคนที่แทบจะไม่รู้จักกัน แต่มันคงดีกว่าไม่มีมูลอะไรเลยว่าทำไมเคนถึงได้พูดคำๆนั้นออกมา


    “งั้น...เราออกไปคุยกันข้างนอกสักแป๊บก็ได้” นิดว่า ก่อนจะเป็นคนเดินนำโชติออกไป

    “หึ... รอฟังข่าวทีหลังนะสาวๆ “ ไม่วายโชติยังยักคิ้วใส่ทั้งต่ายและเจนอย่างยียวนก่อนจะเดินตามนิดออกไปยังด้านนอก


    ที่ด้านนอกร้านแม้มีเก้าอี้นั่ง แต่ช่วงกลางวันไม่ค่อยมีใครมาใช้บริการที่ด้านนอกสักเท่าไร สองหนุ่มสาวนั่งลงคนละด้านของโต๊ะไม้เล็กๆ ในขณะที่ฝ่ายชายดูสบายๆ ฝ่ายหญิงกลับดูเกร็งอย่างเห็นได้ชัด  โชติพิจารณามองหน้าของหญิงสาว เขาได้พบกับนิดเพียงไม่กี่ครั้งตั้งแต่ได้ข่าวว่าเคนคบกับผู้หญิงคนนี้  นิดเป็นคนสวย ใบหน้าคมคายแบบสาวไทยแท้ๆ ใบหน้าเนียนมีเครื่องสำอางเจือสีระเรื่อ หากใครเป็นแฟนคงยากนักที่อยากจะนอกใจผู้หญิงสวยๆท่าทางเรียบร้อยแบบนี้ได้ แต่โชติเองก็รู้ดีว่าเคนแม้จะดูทำอะไรตามใจไปบ้างด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน แต่ลึกๆแล้วคงมีเหตุผลอยู่ที่จะไปมองคนอื่น...แม้จะแปลกไปสักหน่อยที่คนอื่นที่ว่าคือเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่ชื่อจูนคนนั้น


    “โชติ...เราขอโทษนะที่เพื่อนเราพูดไม่ดีเมื่อกี้...ต่ายก็แค่เป็นห่วงนิดเท่านั้น” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่ว

    “ไม่เป็นไรหรอก...คนเขารักเพื่อนนี่นะ ทำไงได้” โชติยิ้มน้อยๆ “ว่าแต่ มีอะไรกันหรือไง ถึงจะมาหาเราแบบนี้”

    “ก็...อืม...จะว่าไม่มีคงไม่ได้” หญิงสาวดูลำบากใจที่จะพูด “แค่สงสัยว่า ช่วงที่พี่เคนเขาไปกับโชตินี่เขาได้ เอ่อ...มีคนอื่นไปด้วยหรือเปล่า หรือว่า โชติเห็นเขาคุยโทรศัพท์ หรือคุยกับผู้หญิงคนอื่นบ้างหรือเปล่า” คิ้วเรียวของเด็กสาวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย นัยน์ตาอ่อนแสงลงราวกับหมดแล้วซึ่งความหวังใดๆ

    “นิด....คิดไว้อย่างเดียวเลยเหรอว่า เคนมันนอกใจ?”

    “อ่ะ เปล่านะ...นิดไม่ได้คิดแบบนั้น” เด็กสาวปฏิเสธทันควัน

    “แต่คำถามแรกที่นิดถามเรา คือ คิดว่าเคนมันมีคนอื่นหรือเปล่า.... ทำไมล่ะ”  โชติถาม เพราะมันออกจะแปลกไปหน่อยที่อยู่ๆก็จะมาถามกันแบบนี้ถ้าไม่มีมูลอะไรมาก่อน

    “เรา...คิดมากไปเหรอ...คิดมากไปใช่ไหม ความจริงมันอาจจะไม่ใช่แบบนั้นใช่ไหม” ทันใดสายตาของเด็กสาวกลับเป็นประกายขึ้นมา โชติรู้ได้ในทันทีว่าหากเขาพูดอะไรไปตอนนี้ คนตรงหน้าจะฟันธงว่าเคนเพียงแค่อ่อนล้ากับความสัมพันธ์นี้และคงพยายามจะไปยื้อให้เพื่อนงี่เง่าของเขากลับมาอยู่กับเธอต่อเป็นแน่ พลันในใจของโชติกลับมีคำถามว่าเขาควรจะทำอย่างไรต่อไป

    “อืม....จะว่านิดคิดมากหรือเปล่า เราไม่แน่ใจนะ ที่แน่ๆ ตอนนี้นิดอาจจะแค่สับสน เพราะไอ้เคนมันก็หายหน้าไป แต่เท่าที่เราเห็นคือเคนมันไม่ได้มี “ผู้หญิง” คนอื่นแน่ๆ ไม่ลองไปคุยกันดีๆล่ะ เคนมันอาจจะแค่ยุ่งๆ “โชติเอ่ยพลางยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มที่เขารู้ว่าจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกวางใจขึ้นมาได้บ้าง

     “ก็เพราะพี่เคนยุ่งนั่นล่ะ จะให้นิดไปหาพี่เขาที่ไหนล่ะ ...ไปซ้อมที่ไหนก็ไม่มีใครรู้”เด็กสาวถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยิ่งนึกถึงเดทที่น่าอึดอัดเมื่อคืนก่อนยิ่งทำให้รู้สึกแย่เข้าไปใหญ่

    “ก็ไปหาตอนแข่งเสร็จไง จะไปดูเขาแข่งไม่ใช่เหรอ” โชติถาม

    “ทำไมโชติรู้ล่ะ....” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสงสัย แต่ก็พบเพียงรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของโชติเท่านั้นที่เป็นคำตอบ

     “พอดีเรามีญานหยั่งรู้น่ะ.......” โชติตอบพร้อมกับรอยยิ้มกว้างเสียจนตาหยี



...............................................................



    ภายในห้องนอนที่ปูด้วยพื้นไม้แผ่นใหญ่ขัดเสียจนขึ้นเงา บนพื้นมีแบบร่างต่างๆวางกระจายอยู่ทั่ว ที่มุมห้องมีแบบของโปรเจ็คที่เอาไปส่งให้อาจารย์ไปเมื่อคราวก่อนวางอยู่ อีกด้านหนึ่งของห้องไฟหัวเตียงยังเปิดอยู่สาดให้เห็นเงาร่างของเจ้าของห้องสะท้อนให้เห็นจากกระจกบานใหญ่ที่ติดอยู่ที่ฝาตู้เสื้อผ้าที่สูงจนจรดเพดาน ตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทำงานออกแบบส่งอาจารย์ ตอนนี้กำลังถูกใช้งานในการตัดต่อหนังสั้นที่ทางชมรมจะใช้ส่งประกวดกัน ยุทธ์มีหน้าที่ในการตัดต่อและเพิ่มเติมในส่วนของเพลงประกอบและนั่นคือสิ่งที่เขากำลังทำในตอนนี้


    “เฮ้อ.......” ยุทธ์พ่นลมหายใจยาว ควันสีเทาหม่นลอยคละคลุ้งก่อนขยี้บุหรี่ลงกับที่เขี่ยบุหรี่ที่กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยมาตลอดคืน ดวงตากลมโตจับจ้องไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์ภาพที่ในตอนถ่ายทำไม่ได้จดจ่อด้วยมากนักในตอนนี้กลับปรากฏอยู่ตรงหน้าแต่เขาไม่อาจละสายตาจากภาพบนจอได้ ชายหนุ่มขยับหูฟังอันใหญ่ให้กระชับกับใบหู ปลายนิ้วเลื่อนไปบนเม้าส์เร่งเสียงในคลิปให้ดังขึ้นอีก

    
    “รักจูนไหม....” 


    เสียงนุ่มเอ่ยแผ่วเบาพร้อมสายตาหวานดูเย้ายวน ทั้งริมฝีปากสวยที่บรรจงเขียนสีลงไปนั้นก็เป็นประกาย แม้ไม่อยากเชื่อแต่ใจของยุทธ์ในตอนนี้กลับเต้นเร่าไม่เป็นจังหวะ ยิ่งเมื่อริมฝีปากนั้นประทับลงบนฝ่ามือกร้านของผู้ชายร่างสูงคนนั้น เขายิ่งนึกอยากกระโดดเข้าไปแทนที่ ริมฝีปากของคนสองคนที่ประทับเข้าหากันครั้งแล้วครั้วเล่า เสียงของผิวเนื้อบางที่สัมผัสกันนั้นดังชัดถนัดยิ่งเมื่อมีหูฟังครอบ กระตุ้นเร้าให้ความเร่าร้อนในกายลุกโชน  ยิ่งเมื่อหลับตาลงสองหูยิ่งได้ยินเสียงนุ่มของใครบางคนที่ครางเครือเบาๆในลำคอ น่าเสียดายนักที่เขาจะต้องเป็นคนใส่ดนตรีเพื่อกลบทับเสียงเหล่านั้นออกไป

ชายหนุ่มสูดลมหายใจแรงผ่านริมฝีปากร้อน แผ่นอกที่ขยับขึ้นลงแรงเมื่อปลายนิ้วละจากเมาส์คอมพิวเตอร์และค่อยเลื่อนลงไปสู่เบื้องล่าง ดวงตาเป็นประกายวาววับเมื่อเหลือบมองภาพเย้ายวนของใครบางคนในหน้าจอ ริมฝีปากอิ่มของนักแสดงคนนั้น ความฉ่ำชื้นที่อยู่ตรงหน้าดูเชื้อเชิญให้เข้าใกล้ ผิวกายขาวหากแต่มีกล้ามเนื้อพองามนั้นหากสัมผัสคงไม่ได้นุ่มมือนักแต่นั่นแลคือสิ่งที่เขาใฝ่หามาโดยตลอด ในอกนึกอิจฉาผู้ชายร่างสูงคนนั้นที่ได้แตะต้องผิวกายนั่นในแบบที่เขาได้แต่ฝัน พลันปลายนิ้วขยับแผ่วเบาหากแต่เรียกเหงื่อกาฬให้แตกซ่าน ชายหนุ่มไม่อาจละสายตาไปจากภาพตรงหน้าได้ ยิ่งได้ยินเสียงนุ่มที่ครางเครือเบาๆอยู่เต็มสองหูยิ่งทำให้ร่างกายของเขาไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป มือเรียวเร่งขยับไล้ลงไปที่เบื้องล่างตามความต้องการของตน ความต้องการที่จะปลดเปลื้องทุกอารมณ์ความรู้สึกเร่าร้อนที่กำลังแผ่ซ่านไปทั่วร่าง
    

    “อึ่ก......” ชายหนุ่มพยายามสกัดกลั้นเสียงของตัวเองไม่ให้ดังไปมากกว่านั้นในขณะที่ร่างทั้งร่างกำลังสั่นเทิ้ม ใต้เปลือกตาที่ปิดสนิทกบัยเห็นภาพของเด็กหนุ่มรุ่นน้องเปลือยเปล่าอย่างเย้ายวนเอนกายราบกับเตียงนุ่ม....อยู่ใต้ร่างของเขา

     “อ่ะ...จูน!! “ด้วยเผลอไผลฝ่ามือยิ่งเร่งเร้าจนความสุขล้นเอ่อออกมา ยุทธ์หอบหายใจแรงเมื่อรู้สึกตัวตื่นจากภวังค์ดวงตากลมยังฉ่ำเยิ้มคล้ายคนละเมอ ชื่อของเด็กหนุ่มคนนั้นยังดังก้องอยู่ในหู เมื่อเหลือบมองไปยังหน้าจอเห็นสายตาของนักแสดงสบตาซึ่งกันและกันด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกรัก หากแต่การกระทำที่เร่าร้อนในจอนั้นจะเทียบได้กับความเร่าร้อนที่เขาเก็บงำเอาไว้หรือไม่ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น “พระเอก” ประจำชมรมก้มลงมองร่องรอยของความเร่าร้อนที่ยังคงเหลือเป็นหลักฐานบนฝ่ามือ


    ....สกปรกจริง....


“ เต็มอิ่มหรือยังล่ะ ....ไอ้หื่นกาม”

    ทันใดเสียงของโชติก็ดังขึ้น ทำเอาเจ้าของห้องที่นั่งอยู่ถึงกับสะดุ้งโหยง รีบดึงกางเกงขึ้นมาปิดความน่าอายของตนเอาไว้ทันที


    “ไอ้...ไอ้ห่าโชติมึงเข้ามาได้ยังไง” ยุทธ์โวยลั่น ใบหน้าชื้นเหงื่อนั่นยิ่งแดงก่ำ หากเป็นเพราะความโมโหเสียมากกว่ายิ่งเมื่อสอดส่ายสายตาหาก็ไม่มีกล่องทิชชู่อยู่ใกล้มือ


    “ป๊ามึงว่าจะออกไปที่ปั๊ม ตอนกูมาถึง ป๊ามึงเลยเปิดประตูให้กูเข้ามา บอกว่ามึงอยู่บนห้อง.....ตลกนะเข้ามาก็เจอของดีเลย” โชติยิ้มน้อยๆ สองขาค่อยเข้ามาพร้อมกับคว้ากล่องกระดาษทิชชู่ที่วางอยู่อีกด้านหนึ่งของเตียงติดมือมาด้วย “เอ้า.....ทำความสะอาดซะ” ว่าพลางก็โยนกล่องทิชชู่ให้กับอีกฝ่ายที่รีบรับไปอย่างเสียไม่ได้


    “ห่ามึง.........” ยุทธ์พึมพำเบาๆ สองมือจัดการทำความสะอาดตัวเอง เมื่อตั้งสติได้เขาก็ไม่ได้รู้สึกอายเพราะสายตาของอีกฝ่ายแต่อย่างใด ก่อนจะเดินไปคว้ากางเกงตัวใหม่มาจากในตู้แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ไม่นานก็กลับออกมา ก็เห็นว่าห้องที่เปิดแอร์ไว้เสียจนเย็นเฉียบนั้นถูกเปิดหน้าต่างหมดทุกด้าน และชายหัวฟูร่างเล็กคนนั้นกำลังยืนถือสเปรย์ปรับอากาศอยู่พลางเดินฉีดไปรอบๆห้อง


    “มึงทำไรเนี่ย” ยุทธ์ขมวดคิ้วมุ่นก่อนเดินเข้าไปคว้าขวดน้ำยาปรับอากาศมาจากอีกฝ่าย


    “ดับกลิ่นกามมึงอ่ะดิ่” โชติหันมายิ้มยียวน


    “กวนประสาทอีก เดี๋ยวพ่อปล้ำซะเลยนี่...” 


    “หะ...พูดแบบนี้ แรงมึงดีนักนะ กูไม่ได้มาเพราะอยากหรอก....เห็นแล้วหมดอารมณ์ ปวดใจว่ะ ....โอ้ว จูน ...
จูนของพี่....” โชติยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน


     “ไอ้โชติ......” ยุทธ์กัดฟันกรอด แต่เห็นทีว่าโชติจะยังไม่หยุดง่ายๆ


       “เป็นยังไงล่ะ ภาพสวยเสียงคมชัด การแสดงชั้นเยี่ยม ...จนตอนกูนั่งดูนี่ยังคิดเลยนะว่ามันคงไม่ได้แค่แสดงหรอก คงกะเอากันจริงจังเลย”


    “ไอ้ห่าโชติ มึงหุบปากเลยนะ” ยุทธ์ตวาดพร้อมปรี่เข้าไปหาโชติมือคว้าคอเสื้อของอีกฝ่ายเหวี่ยงเข้ากระแทกกับกำแพงที่อยู่ด้านหลังทันที “อย่าพูดถึงจูนแบบนั้น น้องมันไม่ทำอะไรแบบนั้นแน่”


    “มึงแน่ใจ?” โชติเลิกคิ้วยียวน มือหนึ่งพยายามดันมือของยุทธ์เอาไว้หวังจะผ่อนแรงยึดนั้นลงบ้าง “มึงแน่ใจเหรอ? เปิดไปดูฉากถัดไปหรือยังล่ะ ไอ้”เมคอัพ” ที่อยู่เต็มตัวมันน่ะ เห็นแบบนั้นมึงยังแน่ใจได้เหรอ? ...” โชติเอ่ยถึงร่องรอยที่จูนไม่สามารถปกปิดได้ในเช้าวันปีใหม่วันนั้น เขารู้ดีว่ารุ่นน้องคนนั้นอาจไม่ต้องการให้เป็นเช่นนี้ แต่ทำอย่างไรได้ ปากของเขามันคอยหาเรื่องอยู่เสมอ


    “มึงแน่ใจเหรอว่ามันสองคนไม่ได้มีอะไรกันเลย แน่ใจเหรอว่า มึงจะเป็นคนชนะในครั้งนี้”


     “มึงหมายความว่ายังไง “ ในครานี้เป็นฝ่ายของยุทธ์ที่ต้องขมวดคิ้วที่ปลายนิ้วผ่อนแรงลงจนโชติสามารถดึงตัวเองออกจากการเกาะกุมของเขาไปได้


    “เพื่อนแกน่ะ มันตัดสินใจแน่แล้วว่าจะเลิกกับผู้หญิงนั่นมาหาไอ้จูน มันรอแค่ให้ไอ้จูนไปตอบ....วันที่มันขึ้นชก” โชติผลักยุทธ์ให้ถอยออกห่างก่อนจะเดินไปนั่งที่ปลายเตียงของเพื่อน ก้มลงใต้เตียงมองหาการ์ตูนที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายอ่านเสร็จก็มักจะโยนไว้แถวนั้น


    “แล้วมึงไปเสือกรู้มาได้ยังไง” ยุทธ์ยืนกอดอกมองหน้าของอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง


    “ก็มีญาณรู้....” ตอบพลางเปิดหนังสือการ์ตูนอ่าน


    “มึงรู้ว่ากูเบื่อเวลามึงใช้ญาณรู้ของมึงผิดที่ผิดทาง จะบอกดีๆหรือให้กูเตะมึงออกไป” ยุทธ์พูดพลางปัดหนังสือการ์ตูนที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายจนลอยละลิ่วไปอีกทาง แต่แล้วก็เห็นสายตาของโชติที่มองกลับมา เป็นแววตาแบบอีกฝ่ายที่มองมาอย่างตัดพ้อ ทำให้ต้องเบนสายตาหนี


    “....ไอ้เคนมันเอาตั๋วมาฝากกูไว้ บอกวาถ้าไอ้จูนมาถามหาก็ให้มันเอาไปด้วย....”


    “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกู...” ยุทธ์ยังคงไม่เข้าใจ


    “ตอนแรกก็กะแค่ว่าจะมาดูว่ามึงเสร็จงานแล้วหรือยัง.....” โชติยิ้มพลางดึงซองกระดาษออกมาจากกระเป๋ากางเกง “แต่ดูท่าว่าคงยังจะไม่เสร็จง่ายๆ แล้วไอ้วันที่ไอ้เคนมันจะแข่งก็ตรงกับวันที่กูไม่ว่างเสียด้วย ...เลยรวบยอดสองเรื่องเลย มึงคงต้องทำตัวเป็นพี่ชายทีดีแล้วเอาตั๋วนี่ไปให้จูนมันแล้วล่ะ” ว่าพลางโชติก็ยื่นซองที่ถืออยู่นั้นให้กับอีกฝ่าย


    “เรื่องของไอ้เคนมัน ทำไมกูจะต้องไปช่วยมันด้วย“ ยุทธ์ปัดซองนั่นจนตกลงที่พื้น ในใจนึกหงุดหงิดที่อีกฝ่ายอยู่ๆก็เข้ามาทำเป็นรู้ดีเรื่องความรู้สึกของเขาที่มีต่อจูน


    “เชื่อกูสิ....กูก็แค่อยากจะช่วย”


    “เชื่อมึง กูก็ควายแล้ว....มึงกลับไปเลยไป”


    “ได้... แต่ตั๋วนี่กูใส่ไว้ในกระเป๋ามึงละกัน” โชติยักไหล่น้อยๆ ก่อนจะเอาของฝากจากเคนไปยัดใส่ไว้ในกระเป๋าสะพายใบที่ยุทธ์ใช้เป็นประจำสายตาเหลือบมองไปยังเจ้าของห้องเห็นเพียงใบหน้าที่ยังขมวดคิ้วมุ่นอยู่เช่นเดิม



       ....กูก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าเวลามึงต้องใช้ตั๋วเนี่ย....
    ....มึงจะทำหน้ายังไง....


     ไม่มีคำบอกลา ยุทธ์ได้ยินเสียงบานประตูปิดลงที่ด้านหลัง ไม่นานก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์แล่นออกไปจากบริเวณหน้าบ้าน พ่อของเขาออกไปที่ปั๊มและคงยังไม่กลับง่ายๆในคืนนี้  ร่างเล็กเดินอาดไปปิดหน้าต่างที่โชติเปิดทิ้งเอาไว้พลางถอนหายใจ


    “มึงจะเล่นอะไรกับกูอีก โชติ”

........................................................................ มีต่อ (2/2)



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-05-2015 09:35:29 โดย goldfishpka »

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
2/3

เวลาผ่านไปไวเกินกว่าที่หนุ่มผมสีทองประจำเอกญี่ปุ่นจะตั้งตัวได้ทัน และเมื่อรู้สึกตัวอีกทีการสอบย่อยประจำวันศุกร์ก็ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว มือเรียวยื่นกระดาษคำตอบที่มั่นใจไม่ถึงครึ่งให้กับเพื่อนที่อยู่ด้านหน้า ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย


    “เป็นอะไรน่ะจูน เป็นถอนหายใจ เฮ้อๆ มาทั้งอาทิตย์แล้ว....” เสียงแพรหันมาถามเมื่อส่งกระดาษคำตอบไปที่หน้าห้อง

    “เหนื่อยมั้ง” เด็กหนุ่มยิ้มกลบเกลื่อนพลางหยิบหนังสือขึ้นมาเตรียมเรียนในบทถัดไป

    “จะเหนื่อยนี่ยังต้องมี “มั้ง” อีกเหรอ” เด็กสาวตรงหน้าเอียงคอถาม ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ “เอางี้ไหม คืนนี้ไปเที่ยวกัน “

    “เที่ยวไหนล่ะ “จูนเลิกคิ้ว เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามีอารมณ์อยากเที่ยวเหมือนอย่างที่อีกฝ่ายพูดหรือเปล่า

    “ไหน ไหน ใครพูดอะไร เที่ยว? ปิ๊กไปด้วย” ทันที่ที่จบคำว่าเที่ยวร่างอวบพร้อมเสียงแหบห้าวก็แทบจะกระโจนเข้ามากลางวง ทำเอาจูนต้องหรี่ตามอง

    “ทันทีเลยนะ”

    “แน่นอน....เรื่องเที่ยวปิ๊กไม่พลาดอยู่แล้ว” สาวห้าวทุบอกอย่างภูมิใจ ทำเอาทั้งจูนและแพรต้องส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความเหนื่อยหน่าย

    “ผู้หญิงอะไร......”

    “อะไร ทำไมยะ ....” ปิ๊กโวยวายทีเล่นทีจริง

    “เอ้า ตรงนั้นน่ะ จะเรียนหรือไม่เรียนเนี่ย”  แต่ก่อนที่ปิ๊กจะได้ต่อล้อต่อเถียงอะไรต่อก็ได้ยินเสียงอาจารย์ดังอยู่ที่หน้าชั้นทำให้ต้องรีบกลับไปนั่งที่อย่างเสียไม่ได้ 


    “เรียนเสร็จค่อยว่ากัน”


...................................................................




    สรุปแล้วในตอนค่ำเด็กหนุ่มก็ถูกเพื่อนตัวดีกึ่งออดอ้อนกึ่งบังคับให้ออกไปเที่ยวด้วยกันจนได้ โดยที่ปิ๊กเป็นคนอาสาซิ่งมอเตอร์ไซค์คันกระจ้อยมารับผู้ชายคนเดียวของกลุ่มจนถึงที่หอ จูนเดินลงมาจากด้านบน เปิดประตูออกมาด้วยท่าทีซังกระตาย ร่างสูงโปร่งนั้นพยักหหน้าทักทายกับลุง รปภ เล็กน้อย ก่อนจะค่อยเดินออกมา


    “นี่...จัดว่าหล่อมาก สำหรับคนที่ทำหน้าเซ็งมาตลอดสัปดาห์นะ”

 
ปิ๊กอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชมกลั้วเสียงหัวเราะน้อยๆ เมื่อเห็นว่าเพื่อนร่างสูงสวมเสื้อคลุมแขนยาวมีฮู๊ดพิมพ์ลายดอกไม้สีแดงสดบนเนื้อผ้าสีดำแบบคลับคล้ายกับที่เคยเห็นศิลปินคนใดคนหนึ่งที่จูนชอบใส่ถ่ายแบบ ไหนยังจะกางเกงยีนส์สีสวยเข้ากับรองเท้าผ้าใบทรงสูงตามแบบที่กำลังนิยมกันในหมู่ดารา เส้นผมสีอ่อนก็ถูกจัดแต่งเต็มที่เช่นเดียวกับอายไลน์เนอร์ที่หากขาดไปคงดูไม่ใช่จูนที่เคยเห็นในทุกวัน

    
    “ก็.....เอาเสื้อผ้ามาข่มไว้ก่อนไง”  เด็กหนุ่มยิ้มน้อยๆเป็นรอยยิ้มที่ดูไม่เข้ากับเสื้อผ้าและสีผมที่ฉูดฉาดนั่นเลยแม้แต่น้อย ปิ๊กเห็นแบบนั้นก็ต้องถอนหายใจ หญิงสาวกอดอกอวบของตัวเองพลางขมวดคิ้วมองหน้าของจูนอย่างพินิจพิเคราะห์

    “แกเป็นอะไรอ่ะ ถามจริง....คิดมากเรื่องอะไร เรียน? หรือ รัก? “

    “ท...ทำไมถามแบบนั้นล่ะ ไม่เป็นอะไรจริงๆ” จูนยังคงยิ้ม แต่มือกลับอยู่ไม่สุขจับปลายซิปเสื้อแขนยาวเลื่อนขึ้นๆลงๆอยู่แบบนั้น

    “ไม่จริงอ่ะ....มันแปลก ...ทำหน้าเหมือนคนกลุ้ม บางทีก็ซังกะตาย มีเกย์มาจีบแกรึไง” คำถามของปิ๊กไม่ต่างจากค้อนขนาดใหญ่ที่กระแทกลงกลางอกของเด็กหนุ่มเข้ามาเสียเต็มแรง ท่าทางเหมือนคนจุกจนพูดอะไรไม่ออกแบบนั้นทำให้ปิ๊กยิ่งรุกถามหนัก

    “ใครจีบ...พี่เคนเหรอ?”

    “พ...เพี้ยนรึเปล่า ปิ๊ก พี่เคนเป็นเกย์ที่ไหน แล้วกูก็ไม่ได้เป็นด้วย” เด็กหนุ่มเบือนหน้าไปอีกทางด้วยเผลอซ่อนความรู้สึกบนใบหน้าของตัวเองทั้งที่รู้ว่าตอนนี้ก็มืดค่ำแล้วอีกฝ่ายคงไม่เห็นหรอกว่าหน้าของเขากำลังแดงขนาดไหน

    “ไอ้จูน...กูเพื่อนมึงนะ มึงเป็นอะไรทำไมกูจะไม่สังเกตเห็น  เพียงแต่ที่กูไม่ถามไม่พูดเนี่ย เพราะรอมึงเล่า แต่นี่มึงเล่นหุบปากเงียบแบบนี้ ไม่เล่าซักทีคราวนี้ก็คงต้องขอถามตามตรงล่ะ พี่เคนมาจีบมึงใช่ป่ะ”

    “...........................”จูนไม่ได้ตอบหากแต่พยักหน้าลงเบาๆ

    “นั่นไงล่ะ กูว่าแล้ว! “ ปิ๊กตบมือเข้ามากันไม่ต่างอะไรกับคนเพิ่งตอบคำทายปัญหาแล้วชนะเกม

    “รู้มาได้ยังไง......” เสียงของเด็กหนุ่มถามกลับเบาๆ

     “ก็สงสัยตั้งแต่ตอนก่อนมิดเทอมตั้งแต่ห็นมาเทียวส่งน้ำส่งขนมแล้วก็ดันไปเห็นพี่เขาก้มผูกเชือกรองเท้าให้แกอีก สนิทกันขนาดไหน กูว่าแบบนั้นก็เยอะไปไง...เลยสงสัยอยู่ ว่าแต่แก...ไม่ได้โดนพี่เขาบังคับขู่เข็ญแบบนั้นใช่ไหม”
 ท้ายเสียงแหบๆของสาวห้าวนั้นแสดงความเป็นห่วงเพื่อนอยู่ไม่น้อย เพื่อนของเธอคนนี้ไม่ค่อยเห็นว่าจะสู้ใครสักเท่าไรนัก ยิ่งอีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่คนนั้นด้วย เห็นเคนที่ถึงแม้ปกติจะดูร่าเริงอารมณ์ดี แต่ใครจะไปรู้ได้ว่าโดยจริงๆแล้วเป็นคนอย่างไร ยิ่งเป็นนักกีฬาตัวสูงใหญ่แบบนั้นด้วยแล้วการใช้กำลังหรือรูปร่างเข้าขู่ดูไม่ใช่เรื่องยากเย็น


    “ป่ะ...เปล่า....ไม่มี พี่เขาไม่ได้บังคับอะไร...อย่างน้อยก็ไม่ได้ใช้กำลัง”ท้ายเสียงนั้นแหบแห้งเมื่อนึกถึงเรื่องคราวก่อน

    “จริงนะ....”ปิ๊กยังคงถามต่อ

    “อ่ะ อืม....” จูนไม่ได้ตอบไปตามความจริงทั้งหมดแต่ก็เพื่อความสบายใจของเพื่อนและน้ำใจที่มีให้กัน เขาก็ควรจะเล่าในส่วนที่พอจะเล่าได้ “แต่คงถึงเวลาที่ต้องตอบแล้วล่ะ ว่าจะเอายังไง ปล่อยให้มันค้างคาอยู่แบบนี้ก็คงไม่ดีกันไปหมด พี่เขาก็มีแฟนอยู่แล้ว คงต้องตอบเสียทีมันคงหมดเวลาที่จะหนีแล้วก็ปิดปากเงียบแล้ว มันอึดอัดนะปิ๊กที่เป็นแบบนี้ แค่มองหน้าก็รู้สึกเย่แล้ว”

 จูนพูดออกมายาวด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า สำหรับตัวเขาเองแล้วนี่ก็คงจะถึงขีดสุดแล้วเช่นเดียวกัน นี่ถ้าหากเขาไม่คุมสติให้มั่น เขาคงร้องออกมาแล้วหลายต่อหลายครั้งต่อความรู้สึกปวดหนึบในใจที่ไม่อาจจะอธิบายได้แบบนี้

    “ตอบ? แกหมายความว่าไง”

    “เขาก็ถามมาว่ากูจะเอายังไง จะตอบความรู้สึกเขาว่ายังไง ...นัดว่าให้ไปบอกพรุ่งนี้” เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาเป็นรอบที่เท่าไรของวัน

    “พรุ่งนี้? เวรแล้ว...แล้วนี่แกได้คำตอบหรือยัง”

    “............................” จูนไม่ได้ตอบหากแต่ส่ายหน้าเบาๆ ไม่ว่าคำตอบของเขาจะเป็นอย่างไร ทุกอย่างมันก็จะต้องเปลี่ยนไปอยู่ดี ทุกคนจะได้รับผลกระทบกันไปหมดและเขาไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น

    “โธ่ ไอ้จูนเอ้ย.....” ปิ๊กไม่รู้จะปลอบเพื่อนอย่างไร ทำได้เพียงแค่เดินไปยืนอยู่ข้างๆมืออวบตบลงบนไหล่ของคนตัวสูงกว่าแรงๆ

“เอางี้ เดี๋ยววันนี้เจ้เลี้ยง ไปกินให้สบายใจ พรุ่งนี้ จะตอบยังไง ก็ เอาสิ่งที่แกตื่นขึ้นมาแล้วคิดว่าควรจะพูดที่สุดนั่นล่ะ ผลจะเป็นไง ก็ช่างมันเถอะน่า เลิกคิดให้กลุ้มอกไปสักคืนนะ”

    เด็กหนุ่มหันมามองหน้าของเพื่อนริมฝีปากสวยนั่นคลี่เป็นรอยยิ้ม คำพูดของปิ๊กทำให้เขาพอรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง เขามัวแต่กลุ้มเรื่องของตัวเองจนคนรอบข้างเป็นห่วงขนาดนี้ได้ยังไงกัน มือเรียวยกขึ้นขยี้ผมของเพื่อนสาวเบาๆ


   “เลี้ยงแน่นะ”
    “แน่นอน....ไปกันดีกว่า ป่านนี้ยัยแพรนั่งชะเง้อคอยจนคอยืดไปแล้วมั้ง”


........................................


    เสียงจังหวะดนตรีดังมาให้ได้ยินเมื่อเอารถเข้ามาจอดในที่จอดรถ แต่ที่ดังกว่าในตอนนี้กลับเป็นเสียงหัวเราะของจูนเสียมากกว่าที่เมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวห้าวเสียงแหบสุดที่รักของตัวเองพามาที่ไหนก็ต้องหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้


    “ปิ๊ก....จะเลี้ยงทีนี่มาร้านพี่ยุทธ์เหรอ?”

    “ก็เออน่ะสิ จะให้ไปไหนได้ล่ะ ร้านนี่ล่ะมีแววได้ส่วนลดสุดละ”

    “ให้มันน้อยๆหน่อย คนเป็นเจ้าของร้านไม่ใช่พี่เขาสักหน่อยอีกอย่าง วันนี้จะมาทำงานหรือเปล่าก็ไม่รู้”

    “ไม่รู้ล่ะ ยัยแพรมันเข้าไปจองโต้ะละ ไปเลยๆ”


    จูนเคยมาที่นี่บ้าง เขาชอบการตกแต่งของที่ร้านนี้ เพียงดูก็รู้ว่าคนตกแต่งก็คงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากรุ่นพี่รุ่นน้องในคณะเดียวกับกับยุทธ์เป็นแน่ บรรยากาศออกแนวย้อนยุคแต่ก็มีความโมเดิร์น เท่ แต่ก็ยังมีมุมน่ารักแฝงไว้กับพวกของประดับให้ลูกค้าผู้หญิงมาถ่ายรูปกันบ้าง ด้านในของร้านแบ่งออกไปสามส่วนใหญ่ๆ เมื่อเดินเข้าไปด้านในเห็นเวทีขนาดพอเหมาะที่จะรองรับวงดนตรี และห้องขนาดใหญ่พอจะจุคนได้สักห้าสิบหกสิบคน มีโต๊ะตัวเล็กๆและเก้าอี้วางเรียง ให้พอมีพื้นที่ในการยืนหรือแม้แต่เต้นไปตามจังหวะ แต่ละโต๊ะมีแก้วใส่เทียนเล็กๆตั้งอยู่สร้างบรรยากาศ อีกด้านเป็นเค้าท์นเตอร์บาร์ยาวสำหรับคนที่อยากจะดื่มเงียบๆ ในขณะที่ด้านนอกของร้านก็มีโต๊ะเล็กๆตั้งอยู่ใต้ซุ้มไม้ระแนงคลุมด้วยไม้ไทยที่ให้ดอกสีขาวหอมเย็น


    “คนเยอะเหมือนกันแฮะ .... “  จูนพึมพำออกมาเบาๆเพราะตั้งแต่เดินเข้ามาก็เห็นว่าโต๊ะด้านนอกก็เต็มแล้ว และตรงหน้าเค้าท์นเตอร์ก็ดูจะมีคนเดินผ่านไปมาขวั่กไขว่ ยังไม่ต้องพูดถึงด้านในห้องใหญ่ที่ทำเอามองหาแพรแทบไม่เจอ

    “นั่นไงยัยแพร เห็นนางมาเงียบๆนี่กินไปเท่าไรแล้วคนเดียวเนี่ย....” ปิ๊กพูดยาวตั้งแต่เดินเข้าห้องจนไปกระแทกมือลงที่โต๊ะตรงหน้าของสาวแพรที่นั่งอมยิ้มอยู่พร้อมกับแก้วเครื่องดื่มในมือ

    “นิด...หน่อย....” หญิงสาวตอบพลางยกมืกทักทายจูน “ต๊าย.....หล่อมาเชียวเพื่อนฉัน มามะมานั่งข้างป๋ามามะ” แพรว่าพลางหัวเราะแล้วขยับที่ให้จูนได้นั่งลงข้างๆ

    “จะกินอะไรสั่งเลยนะ ปิ๊กเลี้ยง”

    “อื้ม ....แน่นอนอยู่แล้ว”  เด็กหนุ่มยิ้มก่อนจะหันไปยักคิ้วให้กับปิ๊กที่ดูจะหน้าซีดกว่าเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด เด็กหนุ่มหยิบเมนูขึ้นมาเปิดดู อาหารในแต่ละประเภทก่อนจะตัดสินใจ มือหนึ่งยกเรียกพนักงาน

    “โทษนะครับ สั่งอาหารหน่อย”

    “ครับ? รับอะไรดีครับ ....” พนักงานของร้านหันกลับมาพร้อมกับมือที่ดึงเอากระดาษจดออเดอร์ออกมาจากกระเป๋าผ้ากันเปื้อนที่คาดเอวอยู่ทันที

    “อ้าว...พี่ยุทธ์?”  ทันทีที่เห็นหน้าจูนก็อุทานออกมาอย่างช่วยไม่ได้

    “อ้าว จูน มาทำอะไรเนี่ย” เช่นเดียวกับชายหนุ่มร่างเล็กที่ถามกลับพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า

     “มากับพวกหนูเองล่ะค่า....แหมตอนแรกก็นึกว่าจะไม่เจอพี่ซะแล้ว....”เสียงสาวแพรว่าพร้อมยิ้มหวาน

    “เอาเป็นว่าพวกเรามาถูกวันก็แล้วกัน” พนักงานเสริฟประจำร้านโปรยยิ้มให้ทั้งสองสาว ทำเอาปิ๊กถึงจะเป็นสาวห้าวๆก็ยังเขินอายม้วนกระแทกหมัดลงกับไหล่ของจูนแก้เขิน

    “ว่าแต่จะเอาอะไรล่ะพี่จะไปบอกเขาให้ .... “โชติหันมายิ้ม ให้กับจูนก่อนต้องเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าวันนี้เด็กหนุ่มแต่งตัวมาเต็มที่แค่ไหน “จะไปเดทที่ไหนต่อเหรอ จูน” พูดพลางก็ยกมือขึ้นเขี่ยเส้นผมที่อีกฝ่ายจัดทรงมาจนหล่อ

    “ก็....ก็ไม่ได้จะไปไหน ก็แค่มาเที่ยวกับเพื่อน” เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ

    “เหรอ....” ยุทธ์ถาม สังเกตเห็นได้ในท่าทีที่ดูร่าเริงผิดจากระดับปกติของอีกฝ่าย แต่เพราะเห็นว่ายังมีเพื่อนอีกสองคนของจูนนั่งอยู่ด้วยเลยไม่คิดจะถามอะไร “ว่าแต่สั่งอะไร หรือจะให้พี่สั่งให้...” ไม่พูดเล่านั่งลงตรงเบาะที่นั่งข้างๆของจูนก่อนชะโงกหน้าเข้ามาดูเมนูเสียใกล้

    “ เอาเบียร์...สองครับ...แล้วก็ อืม...หมูมะนาว เนื้อแดดเดียวทอด เอ่อ...เอ่อ...”

    “เฮ้ย จูน ไม่สั่งข้าวเปล่า ข้าวต้ม ข้าวผัดด้วยเลยล่ะ มากินเหล้าเนี่ย” ปิ๊กประชด เพราะรู้ว่าอย่างไรเสียก็เป็นตัวเองที่จะต้องเสียสตางค์ในวันนี้

    “ให้สั่งเหรอ” จูนเลิกคิ้ว

    “ประชดย่ะ”

    “ฮ่ะๆ อย่าเพิ่งตีกันในร้านพี่ก็แล้วกัน เอาเป็นว่าเดี๋ยวรอเมนูพิเศษนะ จะเอามาให้ ...เบียร์นะ ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มก็....”ชายหนุ่มหยุดก่อนจะหันมาขยี้ผมของจูนเบาๆ “ให้จูนไปสั่งกับพี่ที่เค้าท์เตอร์ก็แล้วกัน”

 จูนเหลือบมองหน้าของยุทธ์เล็กน้อย ใบหน้าสวยได้รูปนั่นมีรอยยิ้มสวยเหมือนทุกครั้ง ผู้ชายตรงหน้าแม้จะร่างเล็กแต่ก็ดูทะมัดทะแมงในเสื้อยืดของทางร้านกับผ้ากันเปื้อนผืนสั้นที่คาดเอวอยู่เท่านั้น ถึงอย่างนั้นก็ยังดูดีอยู่ไม่น้อย สมแล้วกับที่อีกฝ่ายเป็น “พระเอก” ของชมรม ยุทธ์เป็นมนุษย์ที่ต่อให้ใส่แค่กางเกงยีนส์เก่าๆขาดๆเหมือนอย่างที่ใส่ตอนี้ก็ยังดูดี


    “ครับ ถ้ายังไงจะเดินไปสั่งอีกครับ”  เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้างให้กับรุ่นพี่

    “จริงค่ะพี่ยุทธ์ คืนนี้ไม่เมาพวกหนูม่าย...กลับ” เสียงแพรให้คำมั่นไม่วายโบกมือให้อีกต่างหาก

……………………………..



    ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไป เสียงเพลงก็ยิ่งกระตุ้นเร้า พนักงานเสริฟขวัญใจสาวๆอย่างยุทธ์ต้องวิ่งหนักหน่อยเมื่อถึงคืนวันศุกร์เพราะมักจะถูกเรียกให้เข้าไปรับออเดอร์ หรือ ต้องแวะคุยตามโต๊ะต่างๆเป็นประจำ แต่ในคืนนี้สายตาของชายหนุ่มกลับคอยสอดส่องมองไปยังโต๊ะๆหนึ่งอยู่เสมอ  และพอได้เห็นว่าคนที่เขากำลังนึกเป็นห่วงอยู่ยังทรงตัวนั่งอยู่บนเก้าอี้และขยับยักย้ายไปตามจังหวะเพลงที่เปิดอยู่ได้ก็พอโล่งใจขึ้นมาบ้าง ชายหนุ่มก้าวเท้ายาวๆกลับไปประจำการที่เค้าท์เตอร์ทางด้านหน้า คอยชงเครื่องดื่มสลับกับการเดิมออกไปเสริฟ พยายามจะไม่รู้สึกเป็นห่วงรุ่นน้องคนนั้นให้มากจนเกินไปนัก ยังไงจูนก็เป็นเด็กผู้ชาย คงไม่มีปัญหาอะไรมากนอกเสียจากว่าจะดื่มมากเกินไปจนตัวแดงเหมือนทุกครั้ง


    “พี่ยุทธ์ๆ......มานี่หน่อยได้ไหมคะ” อยู่ๆก็มีเสียงคนเรียก และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเด็กสาวตาเล็กหน้าตาคลับคล้ายกับเพื่อนของจูนที่ชื่อว่าแพร

    “ว่าไงครับ....” ยุทธ์ยิ้มหวาน ดวงตากลมของพระเอกประจำชมรมเป็นประกายเหมือนอย่างที่เคยแสดงต่อหน้ากล้อง “จะเอาอะไรอีกรึเปล่า เดี๋ยวพี่จัดให้”

    “มากับหนูแป๊บนึง....นะพี่....มาๆ” ไม่พูดเปล่ามือเล็กของหญิงสาวก็คว้าข้อมือของเขาพลางออกแรงดึง จนยุทธ์ต้องขอเวลานอกเพื่อไปวิ่งอ้อมเค้าท์เตอร์ออกมา ไม่เช่นนั้นเขาคงได้ฝึกทักษะกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางกลางร้านเป็นแน่

    “มีอะไรครับน้อง...เบาๆหน่อยก็ได้...” ยุทธ์ร้องออกมาเมื่อถูกลากให้เดินตามมาจนถึงโต๊ะที่แพรกับเพื่อนรวมไปจนถึงรุ่นน้องในชมรมของเขานั่งอยู่ อันที่จริงจะเรียกว่านั่งก็ไม่เชิงในเมื่อหญิงสาวตัวอวบๆคนนั้นฟุบหน้านิ่งลงไปกับโต๊ะ ในขณะที่รุ่นน้องตัวดีก็นอนเอนลงกับไปเบาะด้านหลัง ช่วงขายาวเหยียดเหมือนคนไม่มีเรี่ยวแรง


    “อะโห........กินกันขนาดไหนทำไมเละงี้ล่ะครับ”

    “กินอะไรพี่ เบียร์แค่คนละสองขวด ก็ดับดิ้นปลิ้นไม่เหลือซากแล้วเนี่ย” แพรเกาหัวแกรก

    “อ้าว...แล้วน้องล่ะ กินไปเท่าไร ทำไมไม่เป็นไรเลยเนี่ย” ยุทธ์หันไปมองด้วยความสงสัย เมื่อคนตรงหน้ายังดูหน้าตาสดชื่นแถมพูดรู้เรื่องดีอีกต่างหาก

     “หนูเหรอ....กินไปสี่ขวดอ่ะค่ะ ...”เด็กสาวตอบอย่างง่ายดาย แต่ใบหน้ายังดูเหมือนคนกังวลหนัก

    “หะ...สี่ โอ้ว กินเก่งจังเนอะ ผู้หญิงตัวนิดเดียว”ยุทธ์แทบยกมือตบชมเชย

    “ไม่ใช่เบียร์นะพี่ ชาเขียวน่ะ พอดีอยากส่งชิงโชคกับเขาบ้าง”

    “............................” ไม่มีคำตอบจากยุทธ์มีเพียงเสียฝ่ามือที่ตบลงบนหน้าผากของตัวเองดังเผียะ
 “โอเค....ชาเขียว....เอ้า จะให้พี่ช่วยอะไรว่ามา” ชายหนุ่มว่าเท้าเอวมองสภาพของรุ่นน้องอย่างคิดหนัก

    “คืองี้ค่ะพี่ หนูอ่ะ เอามอเตอร์ไซค์มา คงแบกกลับได้คนเดียวอย่างยัยปิ๊กเนี่ย พอจะหอบไหวอยู่ค่ะ นี่ก็พอตบๆรู้เรื่องอยู่ แต่จูนเนี่ยหนูแบกมันกลับไม่ไหวแน่เลย....” เด็กสาวว่าส่งสายตามองอย่างเว้าวอนแบบที่ไม่ต้องพูดอะไรต่อก็พอจะเข้าใจได้

    “โอเค ให้พี่เก็บไอ้จูนกลับสินะ” ชายหนุ่มร่างเล็กถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่ก็อดนึกขำแก๊งค์เพื่อนสามคนนี่ไม่ได้ ริมฝีปากคลี่ยิ้มออกมาน้อยๆ ก่อนจะชี้นิ้วให้แพรช่วยจัดการสะกิดปิ๊กให้ลุกในขณะที่ตัวเองก็หิ้วปีกจูนขึ้นมา

    “โอย หนักแฮะ...เอาเป็นว่า เราพาเพื่อนเรากลับเถอะส่วนจูนเดี๋ยวพี่พาไปนอนในรถก่อน แล้วจะกลับมาเคลียร์บินให้ เอาเป็นว่าพี่เลี้ยง...พากันกลับดีๆก็แล้วกันนะ” ยุทธ์เอ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม ทำเอาสาวแพรเผลอยิ้มตามไปด้วย

    “ขอบคุณค่ะพี่ยุทธ์ ไม่ต้องห่วงนะคะ จะพายัยปิ๊กกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยค่ะ ส่วนไอ้จูน หนูฝากพี่ด้วยนะคะ”เด็กสาวก้มให้อีกฝ่ายนิดหน่อยก่อนจะกึ่งลากกึ่งพยุงเพื่อนของตัวเองออกไป ยุทธ์มองส่งทั้งสองคนออกไปก่อนจะค่อยพาเด็กหนุ่มผมทองที่ดูจะไม่มีสติแล้วเดินออกจากร้านตามไป



     เสียงเพลงดังอยู่เบื้องหลังเมื่อประคองจูนมาจนถึงรถยนต์สีขาวที่จอดอยู่ในที่จอดรถ เจ้าของรถเปิดประตูอย่างทุลักทุเลก่อนจะประคองให้รุ่นน้องนั่งลงที่เบาะข้างคนขับ และเพราะน้ำหนักที่ทิ้งลงไปทำให้ตัวเองก็เซตามลงไปด้วยแต่ยังดีที่ยันตัวเองเอาไว้ได้ทัน ใบหน้าของเด็กหนุ่มนั้นใกล้จนสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิจากร่างของอีกฝ่าย ทันใดก็ต้องรีบก้าวถอยออกมาด้วยกลัวอีกฝ่ายจะรู้ตัว ก่อนค่อยๆปิดประตูรถ วิ่งกลับเข้าร้านไปจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายแล้ววิ่งกลับออกมา ขึ้นรถก่อนจะขับออกไป โล่งอกที่จูนดูเหมือนจะยังงัวเงียไม่รู้เรื่องสักเท่าไรนัก


    “คอก็อ่อนยังจะกินเข้าไปซะขนาดนั้น”  สารถีจำเป็นบ่นพึมพำเมื่อขับรถกลับมาที่บ้าน สายตาก็เหลือบมองคนที่นั่งเอนตัวพิงกับกระจกรถมาตลอดทาง มือเรียวเอื้อมไปเขย่าไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ

    
    “จูน...เฮ้ย...จูน ตื่นอยู่ป่ะ”

    “อืม....เอามาอีกแก้วสิ ปิ๊ก” ไม่พูดเปล่ายกมือขึ้นสั่งเหล้าเพิ่ม

    “ไอ้ขี้เมา....กูบอกให้ตื่น....”  ยุทธ์ตบเบาๆ เพื่อปลุกอีกฝ่าย เมื่อกดรีโมทเปิดประตูรั้วหน้าบ้าน

    “หะ? หืม?....พี่ยุทธ์” จูนสลึมสลือลืมตาตื่นพร้อมเรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยเสียงแหบพร่า “ปิ๊กล่ะ?”

    “กลับไปกะแพรแล้ว แล้วก็ฝากแกมากับพี่เนี่ย วันนี้นอนบ้านพี่ละกัน...นั่งเฉยๆก่อน เดี๋ยวจอดลงจะลงไปช่วยพยุง ล้มหัวแตกขึ้นมาทำไง “ยุทธ์อธิบายยาว

 ได้ยินแค่เสียงอืออารับคำในรับคอ ชายหนุ่มรีบจอดรถเข้าในที่จอดรถของบ้าน ไฟที่ชั้นล่างดับสนิท เขาคิดว่าพ่อกับแม่ของเขาคงจะขึ้นห้องนอนกันหมดแล้วเป็นแน่ในเวลาเช่นนี้ เจ้าของบ้านรีบวิ่งไปเปิดประตูรถแล้วพยุงจูนที่มึนหนักขึ้นไปด้านบน แม้ทุกลักทุเลอยู่ใช่ย่อยแต่ในที่สุดก็เปิดประตูห้องเข้ามาจนได้ ยุทธ์ค่อยๆจับให้จูนนั่งลงบนเตียงอย่างเบามือ





..........................................................มีต่อใน 3/3


ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
3/3

    “จูน....ไหวรึเปล่า?” ว่าพลางก็ก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อดูสีหน้าของเด็กหนุ่มตรงหน้า ใบหน้าขาวแบบเชื้อจีนนั่นแดงก่ำยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ปกติแล้วจูนเป็นคนไม่ดื่มมาก อย่างมากก็แค่แก้วสองแก้วก็จะพอแล้วแต่นี่เล่นดื่มลงไปเป็นขวดแบบนี้ก็น่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย 


    “แล้ว...สรุปใครจ่ายอ่ะ” ไม่วายคนเมายังถามเรื่องไม่เป็นเรื่อง

    “พี่นี่ล่ะจ่าย...เฮ้ย...” ยุทธ์อุทานขึ้นมาเมื่ออีกฝ่ายโถมตัวเข้ามาหา

    “ขอบคุณคร้าบบบบ.....พี่ยุทธ์ใจดีจัง...”เสียงเด็กหนุ่มร่าเริงเกินปกติดังให้ได้ยินอยู่ข้างหูเมื่อจูนโถมเข้ามากอดทั้งตัว 

     “เออๆ รู้แล้ว...รู้แล้ว....”ยุทธ์รับคำพลางหัวเราะแห้งๆแล้วเบือนหน้าไปอีกทางอาจเป็นเพราะเพิ่งจะจินตนาการถึงอีกฝ่ายไปเมื่อไม่กี่วันก่อนแล้วอยู่ๆอีกฝ่ายก็มานั่งเมาอยู่ในห้องของเขาแบบนี้ก็ทำให้ทำใจไม่ตื่นเต้นกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้ลำบากอยู่ไม่น้อย สองมือของโชติดันไหล่ของเด็กหนุ่มเอาไว้ พยายามจับให้นั่งให้ตรง

    “นึกยังไงถึงกินไปซะขนาดนี้เนี่ย.....เมาเป็นหมาละ”

    “ใครเมา ผมไม่เมา ....เอาเบียร์มาอีก” ทันทีที่พูดจบจูนก็เริ่มโวยวายด้วยใบหน้าแดงก่ำ

   “ก็บอกอยู่ว่าเมาเป็นหมาแล้ว จะกินอะไรอีกไอ้ตัวดี ....จะล้างหน้าล้างตาไหม” สุดท้ายยุทธ์ก็ต้องนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าของอีกฝ่าย มือเรียวจับใบหน้าร้อนผ่าวของรุ่นน้องเบาๆ
 
   “ไม่เอา...จะกินเหล้า กินให้ลืม กินให้ลืมไปก่อน ผมไม่อยากคิดอะไรแล้ว” เด็กหนุ่มที่ดูอารมณ์ดีมาตลอดทั้งคืนในตอนนี้กลับดูเจ้าอารมณ์และโยเยเหมือนเด็กๆ จูนขมวดคิ้วมุ่นแววตาที่สดใสตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความกังวลเสียจนยุทธ์ต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง



    ....ทำไมต้องเป็นกูทุกทีที่ต้องเห็นมันทำหน้าแบบนี้วะ...


 
    “เหล้าน่ะมี......”ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนลุกเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า ก้มลงเปิดด้านในของลิ้นชักที่เขาซุกเหล้าฝรั่งอย่างดีเอาไว้ขวดหนึ่งมันพร่องไปไม่น้อยเพราะเขาเองก็ค่อยๆกินมาหลายต่อหลายหน ในห้องมีแก้วน้ำอยู่สองใบ เจ้าของห้องจัดแจงรินใส่ไม่มากไม่น้อยไปกว่าข้อนิ้วก่อนจะเดินมายื่นให้กับอีกฝ่ายในขณะที่มืออีกข้างก็ถือแก้วสำหรับตัวเอง


    “อยากกินก็กินไป....จนกว่าแกจะพอใจพี่จะกินเป็นเพื่อนแกเอง โอเคไหม” ดวงตาเรียวของเด็กหนุ่มที่เงยหน้าขึ้นมามองแฝงความฉงนเล็กน้อย ริมปากได้รูปนั้นเม้มแน่นก่อนจะค่อยคลายเป็นรอยยิ้มจางๆ จูนรับแก้วมาจากอีกฝ่ายค่อยยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปากจิบแอลกอฮอลล์ลงไป รู้สึกได้ถึงความรร้อนแผ่ซ่านไปทั่วลำคอ แต่ด้วยไม่เคยชินกับดีกรีของเหล้า จูนสำลักออกมาเบาๆ

    “แค่ก....โอย....แรงจัง” ว่าพลางก็ไอออกมาเบาๆ ผิวหน้าขาวนั้นแดงก่ำไปหมด แต่กระนั้นคนที่เมาอยู่ก่อนแล้วก็ยังจะพยายามยิ้มให้อีกฝ่าย

    “แรงสิ จะได้เมา ไหนๆก็อยากเมาไม่ใช่รึไง”ยุทธ์ยิ้ม ก่อนจะนั่งลงข้างๆอีกฝ่ายที่ปลายเตียง พางยกแก้วขึ้นชนแก้วกับอีกฝ่าย
“เอ้า  ชน.... กินซะ อยากเมาก็เมาเสียให้พอ”


    คำพูดของอีกฝ่ายที่ส่งมาพร้อมกับรอยยิ้มบวกกับฤทธิ์ของแอกอฮอลล์ที่มีอยู่ก่อนหน้าทำให้จูนยิ้มออกมาได้กว้างกว่าเดิม


    “ครับ....” ว่าแล้วก็ยกแก้วขึ้นดิ่มอีกอึกและดื่มต่อไปอีก แต่จูนก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เด็กหนุ่มนั่งดื่มไปเงียบๆ จนเมื่อหมดก็มียุทธ์เดินมาเติมเครื่องดื่มในแก้วให้โดยที่ไม่ได้พูดอะไร  ดวงตาเรียวของจูนค่อยกวาดมองสำรวจไปทั่วห้องอยู่นานสองนาน

    “พี่ยุทธ์.....” น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นยานคางฟังดูประหลาดหู

    “หืม.........” ยุทธ์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาปล่อยให้จูนนั่งดื่มไปเงียบๆอย่างนั้นในขณะที่ตัวเองลุกมานั่งที่หน้าคอมพิวเตอร์จุดบุหรี่สูบอยู่พักใหญ่

    “พี่ว่าความรักนี่มันเป็นยังไงกัน” เสียงของจูนเอ่ยถาม เมื่อยุทธ์หันกลับไปมองเห็นเพียงแผ่นหลังและไหล่ได้รูปที่งองุ้มลงอย่างเห็นได้ชัด

     “ความรักเหรอ....เป็นเรื่องที่ถ้าหากสมหวังบ้าง ก็คงดีล่ะมั้ง” ยุทธ์ตอบกลั้วเสียงหัวเราะน้อยๆ มืออีกข้างยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ

    “อย่าง....พี่ยุทธ์น่ะนะ....ไม่สมหวัง....”  จูนค่อยๆพูดออกมาทีละคำๆ ราวกับว่ามันช่างยากเย็นนักที่จะเรียบเรียงออกมาให้ได้สักประโยคหนึ่ง แก้วเปล่าที่ปลายนิ้วค่อยถูกปล่อยลงกับพื้นไม้ เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าแก้วจะกลิ้งขลุกไปอีกทางหรือไม่ ร่างสูงโปร่งค่อยเอนตัวลงเหยียดยาวกับเตียงนุ่มที่อยู่ด้านหลัง

     “ทั้งหล่อ...บ้านก็รวย....แถมยังใจดีเลี้ยงเหล้าน้องแบบนี้....” จูนบิดตัวเล็กๆเพื่อหันมามองคนที่นั่งอยู่ไม่ห่างออกไป “น่าแปลกที่พี่ยังไม่มีแฟนสักที”

    “อยากน่ะ ก็อยากหรอก แต่ยังไม่เจอคนที่ถูกใจมากๆน่ะสิ” ยุทธ์หัวเราะออกมาเบาๆ “แล้วแกล่ะ....มีรึยัง?” ดวงตากลมที่สบกลับมานั้นเป็นประกาย

    “ผม....เหรอ......”เด็กหนุ่มพลิกตัวกลับมานอนคว่ำ มือก็คว้าหมอนมากอดเอาไว้ซบใบหน้ามนลงไปจนยุทธ์มองเห็นหน้าของอีกฝ่ายเพียงแค่ครึ่ง “ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรัก มันเป็นยังไง..... มัน...ออกจะน่ากลัว” ดวงตารีเรียวนั้นหรี่ลงเล็กน้อย

    “กลัว? ความรักเนี่ยนะ” เจ้าของห้องขยี้บุหรี่ลงกับที่เขี่ยบุหรี่ เขาโน้มตัวลงมาด้านหน้าเล็กน้อยด้วยอยากจะฟังที่อีกฝายพูดให้ได้ชัดที่สุด

“แต่ก่อนไม่เคยมีเรื่องแบบนี้ แต่พอมีเข้ามา ...ผมคิดว่ามันทำให้ผมอ่อนแอ” เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

    “ที่ว่ามี....ใช่....เคนไหม” ยุทธ์ตัดสินใจถามออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบหากแต่ในใจของเขารู้สึกหวาดหวั่นแม้จะรู้ดีในคำตอบ ดวงตากลมนั้นจับจ้องใบหน้าของอีกฝ่ายนิ่ง

    “ฮ่ะๆ....แม้แต่พี่ก็รู้เหรอเนี่ย” เด็กหนุ่มแค่นเสียงหัวเราะออกมาใบหน้านั้นแดงก่ำ ปลายนิ้วเผลอขยำลงบนหมอนนิ่มบิดเนื้อผ้าเสียจนข้อนิ้วแดงไปหมด “ปิ๊กก็ถามผมแบบนั้น....คนอย่างผมนี่คงไม่มีความลับสินะ” เสียงของจูนดังอู้อี้อยู่เพราะหมอนที่กอดเอาไว้

    “ไอ้เคนมัน........ทำอะไรแกรึเปล่า” ยุทธ์ถอนหายใจออกมาเบาๆ วางแก้วเหล้าลงกับโต๊ะก่อนลุกเดินไปยืนอยู่ที่ข้างเตียง เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ากำลังถามออกไปด้วยน้ำเสียงแบบไหน เพราะเพียงแค่ได้ยินชื่อของคนที่สามอย่างเคนมันก็ทำให้เขาหายใจหายคอไม่คล่องเสียแล้ว

    “......................”จูนไม่ได้ตอบ หากส่ายหน้าเบาๆ “แต่..เขาทำให้ผมสับสน คิดอะไรไม่ออก ไม่เป็นตัวของตัวเอง...มันเหมือนผมกำลังจะเปลี่ยนไป.....” จูนพลิกตัวขึ้นนอนหงาย ดวงตาจับจ้องที่เพดาน แสงสีขาวที่สะท้อนกับพื้นผิวสีขาวของเพดานยิ่งชวนให้รู้สึกแสบตาอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกได้ถึงความร้อนชื้นของน้ำตาที่ค่อยก่อตัวขึ้นที่ขอบตาบนบังภาพที่กำลังเห็นอยู่เบื้องหน้า เด็กหนุ่มรีบยกมือขึ้นปิดหน้าเขาไม่อยากจะร้องไห้ต่อหน้าใครอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับยุทธ์


     “มันน่ากลัวนะพี่ยุทธ์ การที่อยู่ๆก็มีคนมาทำให้เราเปลี่ยนไป ผมกลัว...กลัวว่าใครต่อใครจะมองเราไม่ดี  กลัวเกินกว่าที่จะพูดความจริง....กลัวที่จะทำตามความรู้สึกของตัวเอง” เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจยาว ภายใต้ฝ่ามือของตัวเองในตอนนี้เด็กหนุ่มจมงลงสู่ความมืดและมึนงงราวกับว่าโลกกำลังหมุนไปในทิศทางที่เขาไม่อาจควบคุมตัวเองไว้ได้อีก ในหัวของจูนยิ่งสับสน เขาคิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว


    “ผม กลัวไปหมด กลัวจนไม่กล้าทำอะไร จนทำร้ายจิตใจคนอื่นกี่รอบแล้วก็ไม่รู้.... “ เด็กหนุ่มสะอื้นออกมาเบาๆ “ผมไม่ได้อยากเป็นแบบนี้เลย...ผมมันแย่จริงๆ” จูนรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่ทำให้เตียงยุบยวบลงมาพร้อมสัมผัสไล้เล่นเบาๆที่เรือนผม


    “แกไม่ได้แย่หรอก เป็นคนอื่นมากกว่าที่ทำให้แกเป็นแบบนี้ แกก็แค่.....เป็นเด็กดีแล้วก็ใจดีเกินไปก็เท่านั้น” เสียงของยุทธ์ดังขึ้นอย่างอ่อนโยนเช่นเดียวกับปลายนิ้วที่แทรกผ่านเส้นผมทำให้คนที่นอนอยู่รู้สึกดีอย่างประหลาด


    “ถ้ามันอึดอัดนัก....อยากจะโวยวาย ร้องไห้ หรืออะไรก็ตามก็ทำออกมาเสียงให้พอ...” ยุทธ์เอ่ยมือข้างหนึ่งรั้งมือของจูนที่ปิดหน้าของตัวเองออกราวกับจะบอกให้อีกฝ่ายลืมตาขึ้นมาสบตาของเขา และเด็กหนุ่มก็ทำตามเช่นนั้น ยุทธ์จ้องมองกลับมาด้วยดวงตากลมโตฉายแววอ่อนโยนหากแต่ดูเศร้าสร้อยกว่าทุกครั้งที่เคยเห็น


    “ถ้าจะร้องไห้ ก็มาร้องกับพี่ ต่อให้แกไม่อยากให้ใครเห็นตัวเองในสภาพแบบนี้ ก็ขอให้นึกถึงพี่เข้าใจไหม” ชายหนุ่มเอ่ย มือเรียวขยับเลื่อนมาสัมผัสข้างแก้มที่ร้อนผะผ่าวด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์ที่เขาเป็นคนรินใส่ให้อีกฝ่ายไปเอง
“แล้วก็จำไว้...ที่มันทำให้แกเป็นไปได้ถึงขนาดนี้น่ะ...มันเรียกว่าความรัก” หัวใจในอกบีบตัวแรงเสียจนเจ็บ ยุทธ์ไม่ได้อยากจะเอ่ยคำนั้นออกไป แต่ก็ทนปล่อยให้คนตรงหน้าสับสนต่อไปไม่ได้ เขาทนดูไม่ได้     


    “พี่ยุทธ์........” จูนเรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยริมฝีปากที่สั่นระริก ความรู้สึกหนักอึ้งในอกมาตลอดทั้งสัปดาห์นั้นทับถมลงมาจนเขาแทบจะหายใจไม่ได้ เด็กหนุ่มรั้งมือเรียวของอีกฝ่ายขึ้นมาปิดหน้าของตนเองแทนที่ ริมฝีปากบางเบ้เบะไม่ต่างจากเด็กเล็กๆ
    หยดน้ำตาค่อยทิ้งตัวลงมาจากหางตาเม็ดแล้วเม็ดเล่า จนแม้ยุทธ์ที่ถึงแม้จะมองไม่เห็นใบหน้าทั้งหมดก็รู้สึกได้จากความเปียกชื้นที่อยู่ใต้ฝ่ามือ


    “ตัวเองรู้สึกยังไงก็คงรู้แล้วสินะ.... แค่ไม่กล้าที่จะพูดออกไปก็เท่านั้น” เจ้าของห้องเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เขาอยากจะปลอบอีกฝ่าย อยากจะบอกว่าอย่าร้องไห้ในเมื่อโลกใบนี้ยังมีเขาอยู่อีกทั้งคน แต่มันก็ไม่ใช่คำที่จะกล่าวออกมาได้ง่ายๆ โดยเฉพาะในสถานการณ์เช่นนี้



    ........ในเมื่อคนที่จูนรัก....ไม่ใช่เขา........


    ไม่มีคำตอบจากเด็กหนุ่ม มีเพียงแค่น้ำตา และเสียงในลำคอที่เหมือนว่ากำลังพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้เสียงนั้นเล็ดลอดออกไปมากกว่านี้ มันเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดของทั้งผู้มาเยือนและผู้ที่คอยเฝ้าดู ยุทธ์เพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้นให้อีกฝ่ายยืมมือของเขาเป็นที่ซับน้ำตา เวลาผ่านไปนานเท่าไร รุ่นพี่หนุ่มเองก็ไม่อาจรับรู้ได้ กลิ่นบุหรี่ในห้องเจือจางลงไปมาก ในขณะเดียวกันคนที่นอนอยู่บนเตียงนั้นก็เริ่มหายใจเป็นจังหวะอย่างผ่อนคลาย ต่างจากเมื่อครู่ มือหนึ่งของจูนยังไม่ละจากมือของเขาในขณะที่มืออีกข้างวางพาดบนอกที่ขยับขึ้นลงเบาๆ ....เด็กหนุ่มผล็อยหลับไปอาจจะทั้งฤทธิ์เหล้าและเบียร์ที่ประเคนดื่มเข้าไปทั้งที่คออ่อนมากก็เป็นได้


    แต่หากจะพูดให้ถูกมันเป็นเขาเองเสียมากกว่าที่เป็นคนประเคนเหล้าให้อีกฝ่ายดื่ม ทันทีที่เครื่องดื่มพร่องเขาก็บรรจงเติมให้โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว แก้วแล้วแก้วเล่า ดวงตากลมนั้นเหลือบมองไปยังขวดเหล้าเปล่าที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ เขาดื่มไปไม่ถึงครึ่งของที่เคยเหลืออยู่ในขวดนั่นเสียด้วยซ้ำ


    ร่างของจูนนอนเหยียดอยู่บนเตียงอย่างไม่รู้สึกตัว ใบหน้าแดงก่ำนั้นมีรอยน้ำตาทิ้งอยู่ที่ข้างแก้ม ที่ดวงตายังดูฉ่ำชื้นเช่นเดียวกับริมฝีปากสวยแดงระเรื่อ มือที่เคยจับมือของยุทธ์เอาไว้เหมือนกับเด็กเล็กๆในตอนนี้ วางทาบลงบนอกนิ่งไม่ไหวติง



    “จูน?...... จูน?......” ยุทธ์ลองเรียกชื่อของรุ่นน้องแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกตัว



    “เฮ้อ...........” เจ้าของห้องถอนหายใจออกมายาว มือเรียวยกขึ้นขยี้ผมของตัวเองเบาๆด้วยรู้สึกหงุดหงิด เขาอดจะถามตัวเองไม่ได้ว่าทำไมต้องเป็นเขาทุกที ที่ต้องเห็นอีกฝ่ายเสียใจ ทำไมต้องเป็นเขาทุกทีที่อยู่กับอีกฝ่ายตอนที่ท้อแท้ ทำไมต้องเป็นเขาที่คอยปลอบให้คนตรงหน้าหยุด ทำไมต้องเป็นเขาทุกทีที่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการซับน้ำตา


    “ทำไมกันจูน.......” ยุทธ์ขยับตัวขึ้น เท้าสองมือล้อมกรอบคนที่ไม่ได้สติเอาไว้เบื้องล่าง ดวงตากลมนั้นเต็มไปด้วยคำถาม



    “ทำไม...ถึงเป็นพี่ไม่ได้” เสียงนั้นแหบพร่าราวกับว่าถูกเค้นออกมาจากซอกมุมที่ลึกที่สุดของหัวใจ



     ยุทธ์โน้มตัวลงมาค่อยประทับริมฝีปากสั่นระริกลงที่เหนือคิ้วของเด็กหนุ่ม บรรจงจูบลงไปด้วยกลัวอีกฝ่ายจะรู้สึกตัว แต่แล้วในใจยิ่งรู้สึกเจ็บ เจ็บเพราะความปรารถนาท่วมท้น เจ็นเพราะรู้สึกคล้ายกำลังทำผิดอาจเอื้อมแตะในสิ่งที่ควรจะทำได้เพียงแค่มอง แต่....ร่างกายของเขากลับไม่อยากหยุดปลายจมูกสวยค่อยแตะลากไล้ลงมาที่ข้างแก้มสูดลมหายใจเอากลิ่นกายและอุณหภูมิที่ร้อนผ่าวของจูนเข้าไปเต็มปอด ยุทธ์ไม่แน่ใจนักว่าที่สูดเข้าปอดไปนั้นเป็นกลิ่นของแอลกอฮอล์หรือเพราะกลิ่นของอีกฝ่ายกันแน่ที่ทำให้เขาอยากจะจมดิ่งลงสู่ความเมามายที่อยู่เบื้องหน้า ชายหนุ่มยกขาขยับขึ้นเพื่อคร่อมร่างทั้งร่างนั้นเอาไว้ ใขณะที่ปลายจมูกยังไม่ละหนีไปไหนยังคงอ้อยอิ่งอยู่ที่ซอกคอขาวของจูน ยิ่งเมื่อสูดได้กลิ่นโคโลณญ์จางๆจางร่างนั้นยิ่งทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำ ด้วยเผลอไผลริมฝีปากบางลากไล้ลงบนผิวเนื้อเนียนของเด็กหนุ่ม ปรือตาขึ้นเล็กน้อยเพราะกลัวเล็กๆว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกตัว หากแต่เด็กหนุ่มยังคงพริ้มตาหลับสนิท ในใจของยุทธ์แทบตะโกนกู่ร้องออกมาด้วยความยินดี ชายหนุ่มละริมฝีปากจากผิวที่ซอกคอขึ้นมาหาสัมผัสนุ่มที่เคยได้แต่เฝ้าจินตนาการถึงในส่วนลึกของจิตใจ


    ริมฝีปากนุ่มของเด็กหนุ่มยังคงฉ่ำชื้น ให้สัมผัสยวนใจเหลือเกินเมื่อเขาเม้มริมปากลงลองลิ้มรสบ้าง


    “อืม.....” ยุทธ์เผลอครางออกมาเบาๆเมื่อสัมผัสกับความนุ่มนวลนั้น และคงดีกว่าหากได้ยินเสียงครางเครือจากอีกฝ่ายบ้าง ชายหนุ่มบรรจงแตะริมฝีปากลงกับริมฝีปากของเด็กหนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับไม่รู้จักพอ ในขณะที่มือหนึ่งก็ละมาค่อยๆรูปซิปเสื้อคลุมลายฉุดฉาดทีอีกฝ่ายใส่อยู่ลง แล้วแทรกมือเข้าสัมผัสด้านในของเสื้อกล้ามตัวในอย่างกระหาย ยุทธ์ค่อยๆดึงชายเสื้อกล้ามที่อีกฝ่ายใส่อยู่ขึ้น ก่อนยืดตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองร่างที่อยู่ตรงหน้าให้เต็มตา
    

    ภายใต้แสงไฟสีขาวซีดภายในห้องคือร่างที่ไม่รู้สึกตัวของจูนกับสภาพกึ่งเปลือยเผยให้เห็นแผ่นอกได้รูป ผิวขาวแบบเชื้อจีนนั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อชวนให้สัมผัส ยุทธ์รู้สึกได้ว่าริมฝีปากและลำคอของหัวเองนั้นแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่ ปลายลิ้นเลียเบาๆที่ริมฝีปากของตนเองแล้วก้มลงชิมผิวกายเนียนของคนตรงหน้าอีกฝ่าย และอีกครั้ง แม้ไม่ได้ฝากร่องรอยใดๆเอาไว้แตในใจเขากลับรู้สึกเต็มอิ่มเมื่อความปรารถนาได้รับการเติมเต็ม ยุทธ์บรรจงจูบลงบนอกซ้าย แล้วเอียงหูแนบลงไปกับแผ่นอกของเด็กหนุ่มที่ไม่แม้แต่จะรู้สึกตัว เขาได้ยินเสียงหัวใจของจูนที่เต้นสม่ำเสมอ ชายหนุ่มหลับตาลงฟังเสียงแห่งชีวิตนั้น นึกฝันไปว่าคงดีเพียงใดหากได้ครอบครองหัวใจดวงนี้เอาไว้ได้บ้าง
 

    ……มึงแน่ใจเหรอว่ามันสองคนไม่ได้มีอะไรกันเลย แน่ใจเหรอว่า มึงจะเป็นคนชนะในครั้งนี้.....



    พลันคำพูดของโชติก็ดังลอยเข้ามาในหัว คำพูดนั้นเหมือนเรียกให้ตัวเขาตื่นจากภวังค์ ชายหนุ่มร่างเล็กลุกพรวดขึ้นจากเตียงแทบจะในทันที หัวใจของเขายังเต้นไม่เป็นจังหวะ ลมหายใจของเขายังติดขัด และเมื่อหันกลับมาอีกที ก็ยังคงเห็นร่างของเด็กหนุ่มนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง เสื้อนอกหลุดลุ่ยจนแทบจะหลุดออกจากตัวในขณะที่เสื้อยืดตัวในก็รั้งขึ้นสูงจนเห็นแผ่นอกและหน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อสวยพองาม


    “อ่ะ...............................” เป็นตัวเขาเองที่ในตอนนี้กลับพูดอะไรไม่ออก ยุทธ์กุลีกุจอ จัดเสื้อผ้าของอีกฝ่ายให้เข้าที่เข้าทางที่สุดเท่าที่จะทำได้และสุดท้ายไม่ลืมที่จะค่อยๆดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างของเด็กหนุ่มเอาไว้ สองขาของยุทธ์ก้าวมานั่งที่โต๊ะอย่างอ่อนแรง อดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเองเพิ่งจะทำอะไรลงไป เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะทำเรื่องสุ่มเสี่ยงต่อการเปิดเผยตัวตนเช่นนั้น หรือนี่มันคือสัญญารว่าในท้ายที่สุดแล้วตัวเขาเองก็คงไม่อาจทานแรงปรารถนาในใจได้เหมือนกัน


    “น่าสมเพชตัวเองชะมัด......” ยุทธ์หัวเราะขึ้นจมูก เขาเพิ่งทำอะไรลงไปอย่างนั้นหรือ เขาเพิ่งจะมอมเหล้ารุ่นน้องของตัวเองจนอีกฝ่ายไม่ได้สติอยู่คาเตียงเช่นในตอนนี้ และหากไม่ได้ยินเสียยงหลอกหลอนของโชติ เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองจะทำเช่นนั้นต่อไปจนถึงเมื่อไร และจะหยุดได้หรือไม่ 


   “แม่งเอ้ย.....” ชายหนุ่มสบถออกมาอย่างหัวเสีย ก่อนจะหันไปมองและพบว่าจูนยังไม่ได้สติ....



    ......พักเถอะจูน....
    .....นอกนซะ......
    ......จะนอนข้ามวันไปเลยก็ได้.....
    .....แล้วก็ลืม.....
    .....ลืมไปซะว่า มีใครรอแกอยู่ในวันพรุ่งนี้.....
    .....ลืมมันซะ...ลืมมันไปให้หมดเลยยิ่งดี......


............................................to be continued

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ shiawase

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
ห่างหายการตอบไปนาน  ขอโทษคนเขียนด้วยค่ะ  //โค้งโป๊กๆๆ

ก่อนอื่นใด...ยัยต่าย  หล่อนเป็นใครมาจากไหนเรียกน้องจูนว่า "กะเทยจูน"  อยากตายหรอ!!!  :angry2: :fire:

สงสารพี่โชติ  โกรธพี่ยุทธ์ตอนตัดต่อ  //เกิดมาเป็นพี่โชติที่ต้องรับรู้ทุกอย่างของทุกคน แถมคนที่ตัวเองรักก็เห็นเป็นทางผ่าน
พี่โชติของน้องงงงงงง  ไม่ร้องนะๆๆๆ   :กอด1:

ส่วนอิพี่ยุทธ์  จะโกรธเต็มที่ก็ทำไม่ลง  ก็เค้าใจว่าอยากได้น้องแต่ตัวเองก็ไม่เปิดปากหรือทำอะไรนี่หว่า
แล้วดูน้องดิ๊  ขนาดไอ้คนที่แสดงออกแจ่มแจ้งขนาดนั้นน้องยังสับสนแล้วสับสนอีก  อ่านเกมส์ของใครก็ไม่ออก
โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย  ถ้าแกแสดงออกมากกว่านี้ก็จะเชียร์แกนะอีพี่ยุทธ์  //หงุดหงิด :z3: :z3:

น้องจูน  มาป่านนี้แล้วก็ตกลงคบๆพี่เคนไปเหอะ  สายตา คำพูด อะไรหลายๆอย่างจากคนอื่น มันบั่นทอนจิตใจก็จริง
แต่ถ้ามีอีหมีควายพี่เคนที่ไม่แคร์โลกอยู่ด้วย  มันอาจจะดีจริงจริงก็ได้นะเว้ย!!

นี่เมนท์อะไรไป  ไม่เข้าใจตัวเอง  อย่าถือสาคนอ่านที่โคตรอินเลยนะคะ   :-[ :กอด1:

ปล. จริงๆอยากเชียร์ยุทธ์จูน  แต่สงสารพี่โชติ  :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ แฟนตาเซีย

  • หืมม...?
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
Chapter 41: แพ้ ยกที่ 1
(1/2)


แสงส่องเข้ามาทางหน้าต่างทำให้คนที่นอนอยู่บนเตียงรู้สึกตัว แต่เพราะเปลือกตาหนักอึ้งทำให้ไม่อยากจะลืมขึ้นสักเท่าไร มือเรียวยกขึ้นบังแสงที่สาดเข้ามาเล็กน้อย

 
    ....ที่ไหนเนี่ย...


    พอคิดจะนึกทวนความทรงจำสุดท้ายจากเมื่อคืนก็รู้สึกปวดสะเทือนเหมือนโดนค้อนเคาะไปทั่วทั้งกะโหลก เท่าที่จำได้คือเขาไปกินเหล้ากับปิ๊กหลังจากนั้นทุกอย่างก็ดูจะเลือนรางเสียเหลือเกิน ไปด้านหนึงเห็นโต๊ะทำงานที่ดูไม่คุ้นตา เพดานห้องสีขาวซีดและที่ปลายเตียงเห็นโมเดลจำลองวางอยู่นั่นพอทำให้นึกขึ้นมาได้ว่าหลังจากนั้นเขาก็กลับมาพร้อมกับยุทธ์แต่จำเวลา หรือหัวข้อสนทนาหลังจากนั้นไม่ได้มากนัก รู้เพียงแค่ว่าคงจะดื่มไปเยอะเอาเรื่อง



    “โอย.....” เด็กหนุ่มโอดครวญพลางยกแขนขึ้นจะกุมขมับของตนเองแต่แขนอีกข้างกลับขยับไม่ได้ ความรู้สึกนั้นหนักคล้ายโดนอะไรทับจนเมื่อหันไปมองก็พบใบหน้าของเจ้าของห้องนอนฟุบอยู่กับแขนของเขา


    “พี่ยุทธ์?....” เด็กหนุ่มผงกหัวขึ้นมามองสภาพของตัวเองและอีกฝ่ายเล็กน้อย


พระเอกร่างเล็กประจำชมรมนอนพาดทั้งแขนและขาอยู่บนตัวของเขา ใช้แขนของเขาแทบจะต่างหมอน มิหนำซ้ำยังดูท่าว่าจะหลับสนิทจนทำให้คิดว่าคงไม่ได้ลุกขึ้นจากเตียงนี่โดยง่าย เด็กหนุ่มจำใจเอนศีรษะลงนอนกับหมอนอีกครั้ง ปลายนิ้วข้างที่ยุทธ์นอนทับแม้จะรู้สึกชาไปบ้างแต่ก็ยังพอขยับได้ เด็กหนุ่มไล้ปลายนิ้วกับเส้นผมของอีกฝ่ายเบาๆ เส้นผมสีอ่อนนุ่มมือที่ชอบลูบเล่นทุกครั้งทำให้รู้สึกดีอยู่ไม่น้อย

    
    “พี่ยุทธ์.....มานอนแบบนี้แม่พี่เปิดประตูมาเจอจะทำยังไงเนี่ย....” เด็กหนุ่มว่าพลางหัวเราะออกมาเบาๆ นึกขำเสียงตัวเองที่แหบพร่าเสียเหลือเกิน รู้สึกคอแห้งหิวน้ำอย่างบอกไม่ถูก


    “ก็บอกไปสิว่าได้กันแล้ว...แกก็ต้องรับผิดชอบแต่งงานเข้าบ้านพี่มาเป็นสะใภ้ที่บ้าน” เสียงของยุทธ์ดังขึ้นพร้อมกับอ้อมแขนที่กระชับเข้าหาจนแน่น


    “มานอนซบผมขนาดนี้ยังจะให้ผมเป็นสะใภ้อีกเหรอ....” เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ ปลายนิ้วยังไล้เล่นบนผมของอีกฝ่าย


    “ตำแหน่งนี้ล่ะเหมาะสุดแล้ว” จูนได้ยินอีกฝ่ายดังขึ้นพร้อมกับร่างของเจ้าของห้องที่ขยับพลิกตัวขึ้นมาอยู่เหนือร่างของตัวเอง เส้นผมสีอ่อนของยุทธ์เป็นประกายกับแสงแดดที่สาดส่องเข้ามา ชายหนุ่มตรงหน้าดูอิดโรยแต่กระนั้นก็ยังดูดี เสื้อยืดสีอ่อนที่อีกฝ่ายใส่นั้นสะท้อนกับแดดจนดวงตาที่ยังพร่าจากการเพิ่งตื่นนอนยิ่งพร่ามัวเข้าไปใหญ่


    “ฮ่ะๆ ไม่เอาน่าพี่ยุทธ์....” ด้วยยังรู้สึกมึนงงอยู่มากจนจูนหมดความพยายามจะขยับออกจากพื้นที่ใต้การควบคุมของอีกฝ่าย


    “เอาน่า...เมื่อวานก็มากวนจนดึก วันนี้ไถ่โทษด้วยการอยู่กับพี่ทั้งวันเลยก็แล้วกัน” ไม่พูดเปล่ายุทธ์ชิงก้มลงมาขโมยหอมแก้มอีกฝ่ายเสียฟอดใหญ่


    “พี่ยุทธ์!” ถึงจะอยากขยับหนีแต่ก็ทำไม่ได้และถึงจะอยากโวยวายแต่ก็ไม่สามารถจะต่อว่าอะไรอีกฝ่ายได้เช่นกัน ยิ่งเห็นดวงตากลมเป็นประกายที่มองกลับมาแบบนั้นก็ยิ่งพูดอะไรไม่ออกเข้าไปใหญ่


    “นี่ แค่มัดจำไว้ก่อนนะ ... ไป...ลุกไปอาบน้ำ เสื้ออยู่ในตู้เสื้อผ้า เดี๋ยวลงไปกินข้าวกัน วันนี้แม่พี่น่าจะอยู่บ้านคงทำอะไรแก้แฮงค์ให้แกกินได้แน่ล่ะ”



........................................................




      อีกด้าน



    ยามเช้าในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่กลางเมืองดูวังเวงมากกว่าที่คิดเอาไว้ในตอนแรก เมื่อเคนเปิดประตูลงจากรถเอสยูวีคันใหญ่ของพ่อสุชาติ ชายหนุ่มร่างสูงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่สัมผัสได้ถึงช่วงเวลาแห่งความเป็นจริงในเช้าของวันแข่งขัน ก่อนหน้านี้เคยแต่ใช้เวลากว่าสิบสองสัปดาห์เพื่อที่จะฟิตซ้อมร่างกายให้ได้ก่อนขึ้นชกแต่ในครั้งนี้เขามีเวลาเพียงแค่แทบไม่ถึงครึ่งหนึ่งของที่เคย มันน่าหวาดหวั่น แต่เมื่อมาถึงวันนี้ได้ก็แต่ต้องเดินหน้าเพียงเท่านั้น


    “เป็นไรพี่เคน มาถอนหายใจเฮ้อๆ แบบนี้ มันจะไม่ดีเอานา” ศักดิ์เดินมาตบไหล่หนาของเคนดังอึกจนเจ้าตัวสะดุ้ง เมื่อปรับสายตาก้มลงเล็กน้อยก็เห็นชายร่างเล็กยืนยิ้มจนเห็นฝันขาว


    “ไม่มีไรหรอก พี่ศักดิ์ผมโอเค แค่มันตื่นเต้นน่ะ นานๆจะได้ต่อยเวทีใหญ่ๆ ถึงจะไม่ใช่คู่เด่นอะไร แต่ก็ตื่นเต้นอยู่ดี ผมไม่เคยต่อยกับฝรั่งด้วยสิ”


    “ไม่เป็นไรน่าพี่เคน พี่เคนเองก็ตัวสูง ขาก็ยาว ไอ้ฝรั่งพวกนี้มันใช้เข่าใช้ขาไม่เป็นเท่าไร มันลุยเข้ามานะพี่ก็ยันหน้าแม่งเลย ยันมันออกไปก่อนค่อยตัดกลางมันอีกที...ถ้าไม่พอให้สองทีเลยเอา” ศักดิ์ยังคงพยายามที่จะให้กำลังใจ แม้ลึกๆแล้วนักมวยและพี่เลี้ยงที่เจนเวทีอย่างเขาจะรู้ดีว่ากับการเตรียมตัวเพียงเท่านี้โอกาสเป็นไปได้ที่จะชนะน็อคจะลดไปกว่าครึ่งแล้วก็ตาม


    “ก็หวังว่างั้นนะพี่... “ เคนหัวเราะออกมาเบาๆ พลางดึงเสื้อวอร์มที่ผูกเอวอยู่ขึ้นมาใส่ เสื้อวอร์มสีดำตัวที่เขาชอบใส่เป็นประจำ เสื้อตัวเดียวกันกับที่เคยห่มให้จูนบนรถตอนเดินทางไปที่หัวหิน ตัวเดียวกับที่อีกฝ่ายหยิบไปใส่และปฏิเสธที่จะถอดมันออก มันเป็นเสื้อที่ทำให้เขารู้สึกเล็กๆในใจว่าพอจะมีความหวัง วันนี้ก็เช่นกันเขาเองก็อยากจะมีความหวังให้อีกฝ่ายมาตามที่ได้เอ่ยไปก่อนหน้านั้น



    ....อยากให้แกมานะจูน...
    ....มาเถอะ ไม่ว่าผลมันจะเป็นยังไงก็ตาม...



    “เคน! มึงจะยืนอ้อยอิ่งอะไรอีก ตามกูมาเร็วๆ เดี๋ยวจะพาไปไหว้ผู้ใหญ่ที่เขาช่วยเรางานนี้” เสียงนายสุชาติดังแทบจะลั่นลานจอดรถดึงสติของเคนให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนรูดซิปเสื้อวอร์ม ขึ้นปิดมิดถึงคอ มือแกร่งคว้ากระเป๋าอุปกรณ์สะพายขึ้นหลังแล้วเดินตามพ่อของเขาเข้าไปด้านใน

   
..........................................


    “น้ำส้มคั้นฝีมืออาเป็นยังไงบ้าง จูน พอกินได้ไหมลูก” เสียงของกรองแก้วแม่ของยุทธ์เอ่ยขึ้น กรองแก้วเป็นหญิงเชื้อสายจีนร่างเล็ก ผมหยักศกตัดสั้นดูกระฉับกระเฉง หญิงวัยกลางคนยิ้ใหวานพลางนั่งลงตรงหัวโต๊ะทานข้าวขนาดใหญ่ที่ดูไม่สมนักกับการที่ที่บ้านนี้มีสมาชิกเพียงสามคนกับคนงานในบ้านอีกหนึ่ง


    “อร่อยครับคุณอา ขอบคุณคุณอามากเลยนะครับ แล้วก็ต้องขอโทษคุณอาด้วยที่ผมมารบกวนเช้าวันเสาร์แบบนี้” เด็กหนุ่มหัวเราะแห้งๆ เพราะอีกฝ่ายดูจะตกใจไม่น้อยตอนเห็นเขากับยุทธ์เดินลงมากินข้าวพร้อมกัน


    “พูดอะไรแบบนั้นอีกแล้ว คนกันเองแท้ๆ” กรองแก้วหัวเราะน้อยๆ “แล้วเมื่อคืนนอนสบายไหม นี่ตายุทธ์ไปแกล้งอะไรหรือเปล่าถึงขั้นกลับหอกลับห้องกันไม่ไหวเนี่ย”


    “เปล่าครับ....พี่ยุทธ์ไม่ได้ทำอะไรเลย ผม...ดื่มไม่ระวังตัวเองมากกว่า เลยต้องเดือดร้อนพี่เขาด้วย”จูนตอบพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า รสชาติของน้ำส้มหวานอมเปรี้ยวนีทำให้รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นเยอะ


    “อ่ะ...คราวหน้าคราวหลังก็ดื่มแบบตั้งสติหน่อยละกัน เพื่อนเราก็มีแต่ผู้หญิงเขาแบกกลับไม่ไหวหรอกนะเว้ย” ยุทธ์ทำทีเป็นตบบ่าของอีกฝ่ายกลบเกลื่อน ความรู้สึกเจ็บสะท้อนในอกกับคำที่จูนพูดว่า เขาไม่ได้ทำอะไรจูนเลย



    ....นั่นเป็นเพราะแกเมาไม่รู้เรื่องต่างหาก.....



      “ครับพี่...ขอโทษครับ” จูนรับคำเบาๆก่อนจะสะดุ้ง เมื่ออยู่ๆก็มีข้าวต้มร้อนๆ วางเสริฟลงมาเมื่อหันไปมองก็เห็นหน้าสาวใช้ชาวพม่าที่ทาหน้าเสียขาวไปหมดยืนยื้มอยู่ไม่ห่าง “อุ่ย....” เด็กหนุ่มอุทานออกมาเบาๆ


    “อ้าว ทำไมไปยื่นหน้าเสียใกล้ล่ะ น้องเขาตกใจหมดแล้วนั่น แล้วข้าวต้มนะแม่คุณ จะวางก็ระวังหน่อยสิ อย่าลืมไปยกของยุทธ์มาด้วยนะ” เสียงคุณกรองแก้วเอ็ดสาวใช้ อีกฝ่ายก็ได้แต่พยักหน้าไม่มั่นใจนักว่าจับใจความครบถ้วนดีหรือเปล่าแต่ก็รีบเดินกลับเข้าไปที่ครัวหลังบ้านทันที


    “อย่าตกใจนะ จูน ยัยนี่ก็แบบนี้ ชอบจริงเพื่อนของยุทธ์แต่ละคนเนี่ย”


    “ฮ่ะๆ ไม่เป็นไรหรอกครับ นี่ข้าวต้มคุณอาทำเองเหรอครับ”


    “ใช่แล้ว ฝีมือแม่พี่ทำเองล่ะ...กินเลยสิเดี๋ยวจะเย็น...”ยุทธ์เอ่ยอย่างภูมิใจก่อนจะหันไปมองหน้าของผู้เป็นแม่
.”ว่าแต่วันนี้แม่ไม่ไปไหนเหรอ”


    “นี่เดี๋ยวจะไปตลาดแล้วก็ว่าจะไปทำผมสักหน่อย”


    “ถ้าทำผมนี่ไม่หน่อยล่ะมั้งแม่ ไปทีก็นานเลย...”ยุทธ์หัวเราะ


    “เออน่า....ว่าแต่จูนล่ะลูก วันนี้ไม่ไปไหนเหรอ” คำถามนั้นตรงเข้ามาที่ใจ เด็กหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาว่าสายมากแล้ว สายพอที่ห้างสรรพสินค้ากลางเมืองจะเปิดทำการและใครบางคนคงไปเตรียมตัวอยู่แล้วและอาจจะกำลังรอคอยเขาอยู่หรือเปล่านั้นก็ไม่อาจคาดเดาได้


    “เอ่อ....ผม ...” เด็กหนุ่มไม่แน่ใจนักว่าจะตอบกรองแก้วว่าอย่างไร  มือข้างที่ไม่ได้ถือช้อนอยู่นั่นก็ขยับไปมาท่าทางดูสับสน


    “ไม่ไปไหนหรอกแม่ วันนี้มันสัญญาแล้วว่าจะเล่นเกมกับผมทั้งวัน....ไถ่โทษที่เมาไม่รู้เรื่องเมื่อวาน” เสียงของยุทธ์เอ่ยขึ้นแทบจะในทันทีชายหนุ่มร่างเล็กสรุปเองเสร็จสรรพก่อนตักข้าวต้มเข้าปากเหมือนไม่ได้รับรู้ของสายตาของเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่มองกลับมาอย่างไม่อยากจะเชื่อหู


    “ผมไปสัญญากับพี่ตอนไหนนี่?”


    “เมื่อคืน”


    “ตอนไหนไม่เห็นจะจำได้เลย” แม้จะรู้สึกอายกรองแก้วที่นั่งอยู่หัวโต๊ะอยู่ไม่น้อยแต่เขาก็จำได้เพียงแค่ลางๆจากความรู้สึกบนใบหน้าเท่านั้น มือเย็นๆของยุทธ์ที่วางลงมาบนใบหน้าของเขา


    “จะจำได้ไง เมาเป็นหมา รีบๆกินเลยเร็วๆ อยากเล่นเกมส์แล้ว”  ยุทธ์หัวเราะออกมาเบาๆ พลางเหลือบมองนาฬิกา



    ..........นี่ต้องถ่วงเวลาไปอีกกี่ชั่วโมงกัน........



    ชายหนุ่มคิด รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง สำหรับตัวของเขาเองนั้นความรู้สึกกดดันไม่ต่างกันกับคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ตอนนี้มันคงขึ้นอยู่ว่าใครจะเป็นคน ยอม “แพ้ใจ” ของตัวเองก่อนก็เท่านั้น

            มื้อสายจบลงพร้อมกับกรองแก้วที่หิ้วกระเป๋าใบสวยออกไปทำผมพร้อมทั้งจูงมือสาวใช้ชาวพม่าให้ติดสอยห้อยตามไปร้านทำผมด้วยกันโดยมีเด็กหนุ่มทั้งสองคนยืนส่งที่หน้าบ้าน ประตูรั้วหน้าบ้านค่อยเลื่อนปิดเมื่อรถสีบลอนด์เงินคันเก่งของ


“คุณนายปั๊มน้ำมัน” แล่นออกไปนอกบ้าน


    
    “เอาไง....” ยุทธ์หันมามองหน้าของจูนเมื่อประตูอัตโนมัติหน้าบ้านปิดลง


    “พี่...จะเล่นเกมส์ไม่ใช่เหรอ....ว่าไงก็ว่าตามกันสิ” จูนยิ้ม หากแต่ดวงตารีเรียวของเด็กหนุ่มไม่ได้ยิ้มตามไปด้วยเลย


    “เอางั้นนะ เดี๋ยวแกไปเปิดทีวีข้างล่างรอเลย พี่ขึ้นไปเอาเกมส์ลงมาต่อก่อน จอข้างล่างคงเล่นสนุกกว่า...”


    “ครับ....อ้อ...พี่ยทธ์” เด็ฏหนุ่มเรียกอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมมือที่ยื่นมาคว้าแขน


    “อะไร?”


    “บ้านพี่มีเครื่องอบผ้าใช่ป่ะ ยืมใช้หน่อยได้ไหม ผมจะซักเสื้อ เหม็นแต่กลิ่นเหล้ากินบุหรี่เมื่อวาน...จะได้คืนเสื้อพีด้วย...เอามาให้ผมใส่นี่ผ้าได้ยืดหมด” ไม่วายกล่าวติดตลก ถึงเสื้อของยุทธ์โดยปกติแล้วจะเป็นเสื้อไซส์เล็กกว่าที่จูนจะใส่ แต่ตัวที่เขาเลือกให้เป็นเสื้อสำหรับใส่เล่นบาสที่ปกติก็เลือกไซส์ใหญ่กว่าตัวอยู่เสมออยูแล้ว


    “ทำไม เขินรึไง ใส่เสื้อโชว์กล้ามเนี่ย...” ยุทธ์อดไม่ได้ที่จะแหย่พลางใช้นิ้วเขี่ยไหล่ขาวๆของอีกฝ่ายเบาๆ


     “....ฮ่ะๆ เล่นอะไรอีกแล้ว...ใครจะไปเขินพี่ยุทธ์กันล่ะ น่ารักขนาดนี้” เด็กหนุ่มยิ้มร่า สองมือแนบลงบนแก้มของเจ้าของบ้านแล้วดึงซ้ายขวาเบาๆด้วยหมั่นไส้


    “ถ้าน่ารัก...แล้วทำไมไม่รักเลยล่ะ นี่ไง แต่งเข้าบ้านพอดี” เหมือนอีกฝ่ายก็ช่างเปิดโอกาส ร่างเล็กฉวยจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้เบาๆ ไหนๆจูนก็ชอบพูดแบบนี้อยู่เรื่อย ตัวเขาจะหยอกกลับสักนิดคงไม่เป็นอะไร
 

“เป็นอะไรพี่ยุทธ์... กลัวผมเบี้ยวไม่เล่นเกมด้วยหรือไง” เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ


    “ไม่ได้กลัวแกเบี้ยวเรื่องเกม ...พี่กลัวเจ้าสาวของพี่จะเบี้ยวต่างหาก” ยุทธ์หันมายิ้มให้เสียจนเห็นฟันแทบทุกซี่ ท่าทางแบบนั้นทำให้จูนอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้


    “เอาจริงเหรอเนี่ย...ครับๆ ไม่เบี้ยวหรอก วันนี้ผมจะอยู่เล่นเกมกับพี่เอง” ไม่พูดเปล่ายกมือข้างที่ว่างจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายขึ้นมาตบข้างแก้มของยุทธ์เบาๆ


     “ไม่งอแงนะครับ เด็กดีๆ” แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อยุทธ์เอียงหน้ามาทางด้านข้างเล็กน้อยจนริมฝีปากสัมผัสกับฝ่ามือของเด็กหนุ่ม ดวงตากลมที่มองกลับมาเป็นประกายที่เด็กหนุ่มไม่เข้าใจในความหมาย


    “ได้....จะเป็นเด็กดีก็ได้ถ้าแกยอมทำตามที่พี่พูดทุกอย่างนะ” 


    “....ค...ครับ” แม้ไม่เข้าใจความหมายคำว่า “ทุกอย่าง” นั้นหมายถึงอะไรแต่เด็กหนุ่มก็พยักหน้ารับคำน้อยๆ


    “ดีมาก” ยุทธ์ยิ้มกว้างพลางขยี้ผมของเด็กหนุ่มเสียจนยุ่งไปหมด “เดี่ยวพี่ไปเอาเกมลงมาละกัน แกไปเปิดทีวีในห้องนั่งเล่นโน่นไป” รุ่นพี่ร่างเล็กว่าพลางดันไหล่ของอีกฝ่ายให้เดินเข้าไปในบ้าน



 ความรู้สึกอิ่มเอมทำให้รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างล่องลอยอยู่ในท้อง ยุทธ์กึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน หยิบเกมสายไฟและอุปกรณ์จำเป็นอีกสองสามอย่างลงมา เมื่อลงมาถึงห้องรับแขกที่ตั้งโทรทัศน์หน้าจอใหญ่โตพร้อมสรรพด้วยเครื่องเสียงด้วยทั้งเขาและพ่อต่างก็ชอบดูหนังฟังเพลงด้วยกันทั้งคู่จึงทุ่มทุนกันไม่อั้นในการทำให้ห้องรับแขกกลายเป็นโรงหนังขนาดย่อมในบางวัน  เห็นร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มยืนอยู่ที่หน้าทีวี ได้ยินเสียงบ่นอย่างหงุดหงิดเบาๆที่ดูจะหาทางเปิดช่องสัญญาณให้พร้อมต่อเข้ากลับเครื่องเกมไม่ได้ เห็นท่าทางก้มๆเงยๆ จะหาที่กดอยู่อย่างหัวเสียแบบนั้นจากทีแรกที่คิดจะยืนดูให้เพลินตาไปก่อนก็อดไม่ได้ที่จะต้องเข้าไปช่วย



 “อะไรจะโลว์เทคขนาดนั้น จูน...”ยุทธ์ส่ายหน้าเบาๆก่อนวางเกมลงบนโต๊ะ เดินไปจะคว้ารีโมทมาเปลี่ยนช่องสัญญาณ
 

   “ให้ผมทำเองน่า....” แต่เด็กหนุ่มยังดื้อยื้อยุดรีโมททีวีเอาไว้เช่นนั้น



ทันใดภาพบนหน้าจอทีวีก็เปลี่ยนไป เสียงโฆษณาของช่องโทรทัศน์ดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงดนตรีประกอบเร้าใจ



    “King of Rings!!...รายการการต่อสู้ศิลปะป้องกันตัวรายการใหญ่จากมาเลเซียที่ยกขบวนนักสู้กันมาหมด ทั้งมาเลย์เซีย ฝรั่งเศส อเมริกา และไทย จะมาประลองความแข็งแกร่งของร่างกายและจิตใจ กันในวันนี้ ถ่ายทอดให้ชมกันสดๆจากฮอลล์XXX ห้างสรรพสินค้า XXXX เวลา 15:00 น. เป็นต้นไป แฟนๆกีฬาห้ามพลาด!!”


     ยุทธ์ไม่รู้สึกถึงแรงยื้อยุดเหมือนทุกอย่างหยุดนิ่งลง ณ ช่วงเวลาเสี้ยววินาทีนั้น ช่วงวินาทีเดียวกับที่เขาเห็นดวงตารีเรียวของอีกฝ่ายหม่นแสงแต่กระนั้นก็ฝืนยิ้มออกมาอีกครั้ง จูนไม่ต่อล้อต่อเถียงเพียงแค่ปล่อยมือจากรีโมทและนั่งลงตรงหน้าโซฟา จัดเครื่องเกมทำทีเป็นเลือกสิ่งที่อยากจะเล่นขึ้นมา ภาพนั้นทำให้ยุทธ์ต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ


    

(อ่านต่อ 2/2 )





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-09-2015 22:28:43 โดย goldfishpka »

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
แพ้ ยกที่ 1 (2/2 )






    “เป็นอะไร?” แม้แต่ตัวเขาเองก็คงไม่รู้หรอกว่าน้ำเสียงที่เอ่ยถามออกไปนั้นเป็นอย่างไร   


    “ไม่มีอะไรนี่ครับ....เราจะเล่นอะไรกันดีล่ะพี่....” เด็กหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “อันนี้ดีไหม ท่าจะมันนะ” จูนเลือกเกมขึ้นมาเล่นหนึ่งแผ่น เป็นเกมที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของหารพวกเขาต้องทำภารกิจเพื่อที่จะให้ผ่านไปได้ในแต่ละฉาก เสียงประกอบฉากนั้นดังกระหึ่มจากลำโพงทั้งสองด้าน ทั้งสองคนเล่นกันอย่างสนุก แต่สำหรับคนที่นั่งข้างๆยุทธ์ก็ไม่ได้เรียกว่าสนุกจนลืมเวลา ในเมื่อยุทธ์ยังเห็นว่าเด็กหนุ่มยังเหลือบมองนาฬิกาที่อยู่ที่ข้างฝาเป็นพักๆ
 

 “เบื่อแล้ว...” อยู่ๆยุทธ์ก็โยนคอนโทรลเลอร์ที่ใช้บังคับเกมลงข้างตัว


    “อ่ะ...อ้าว ไหงเบื่อซะแล้วล่ะ....” จูนเอ่ยถามกลั้วเสียงหัวเราะกับท่าทางเหมือนเด็กของอีกฝ่ายที่กึ่งนั่งกึ่งนอนเหยียดขากับพื้นโดยมีโซฟาเป็นหลักพิง


    “พักยกก่อน ...เดี๋ยวมานะ ไปฉี่” พูดเสร็จร่างเล็กขยับตัวคล่องแคล่ว ปีนกระโดดข้ามโซฟาไปแทนการเดิน


    “งั้น... เดี๋ยวผมไปดูผ้าด้วย....” เด็กหนุ่มว่าพลางเดินตามอีกฝ่ายไปที่หลังบ้าน


    “อืม... ไปถูกนะ” ยุทธ์หันมาถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจะเดินไปที่หลังบ้าน


    “พี่ให้ผมมาบ้านพี่กี่รอบแล้ว แค่นี้เอง..... “ เด็กหนุ่มยิ้ม “ถ้าผ้าเสร็จแล้วจะได้เปลี่ยนเลยไง”


    “อืม....” ยุทธ์รับคำเบาๆพลางเดินไปอีกทาง...           
 

คำพูดที่ว่าจะหายไปเพียงครู่หนึ่งก็ไม่ได้เป็นไปตามว่า ยุทธ์เดินเลยไปถึงห้องครัว ถึงไม่ได้ถามว่าอีกฝ่ายหิวหรือเปล่า แต่ก็เปิดตู้หยิบเอาป๊อบคอร์นสำเร็จรูปไปใส่ไมโครเวฟเพียงไม่กี่นาทีก็ส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ชายหนุ่มร่างเล็กเดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่นอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับเครื่องดื่มอีกสองแก้ว แต่แล้วก็ต้องหยุดเมื่อเห็นใครบางคนนั่งเหม่อมองไปยังนาฬิกาที่อยู่ที่ข้างฝา


    เด็กหนุ่มผมสีอ่อนนั่งเหม่อมองอยู่บนโซฟากว้าง เสื้อผ้าก็ยังใส่ชุดเดิมที่เขาให้ยืมแสดงว่าเสื้ออาจจะยังอบไม่เสร็จ สองแขนวางลงข้างตัวเหมือนไม่มีเรี่ยวแรงแล้วที่จะยกขึ้นมา ดวงตาที่ไม่ได้ใส่คอนแทคเลนส์เหมือนทุกทีดูทรมานอย่างบอกไม่ถูกยิ่งเห็นริมฝีปากได้รูปนั่นถูกเม้มจนแดงยิ่งทำให้ใจของเจ้าของบ้านยิ่งรู้สึกเจ็บ และก็ดูเหมือนว่าจูนจะไม่ได้ทันสังเกตการมาถึงของเขาเสียด้วยซ้ำ


    “...จูน.... “ ยุทธ์ลองเอ่ยเรียก แต่อีกฝ่ายก็ไม่แม้แต่จะหัน ยุทธ์ค่อยวางถาดที่เขาถือมาลงกับโต๊ะ


    “จูน... “ เขาลองอีกครั้งแต่ก็มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ตอบกลับมา


    “จูน!!” ในคราวนี้เขาก้าวเข้าไปดึงไหล่ของอีกฝ่ายให้หันมาอย่างแรง



    “....พี่ยุทธ์....” ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกกว้างด้วยความตกใจ โทรศัพท์มือถือในมือหล่นลงกับพื้นยุทธ์มองตามไปเห็นได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังดูหน้าโปรไฟล์บนสังคมออนไลน์ของคนที่ไม่อยู่ตรงนี้ ที่นี่ กับพวกเขา


    ....เคน.....


    “อยากไปหามันเหรอ...” ยุทธ์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังจะ “แพ้” แพ้ให้กับหัวใจของตัวเองที่ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะพยายามปฏิเสธสักกี่ครั้งแต่ในท้ายที่สุดอารมณ์ความรู้สึกที่เรียกว่า ความรัก นั้นก็ดูจะชนะทุกอย่างแม้แต่กำแพงหนาในใจของจูนเอง

 
    “อ่ะ...คือผม.... ไม่.....” เด็กหนุ่มอึกอัก อยากจะปฏิเสธแต่ใจก็ทำไม่ได้ ทั้งมือของอีกฝ่ายบนไหล่ก็ยึดไว้จนรู้สึกเจ็บ


    “พี่ถามว่าแกอยากไปหามันใช่ไหม” น้ำเสียงที่ดังออกมานั้นคล้ายจะอ้อนวอนเสียงมากกว่าเป็นการเค้นหาความจริง



    ....อย่าตอบว่า “ใช่” ....



    “...................” เด็กหนุ่มเม้มปากลงเล็กน้อย ก่อนดวงตารีเรียวสีเข้มนั้นจะสบกลับมา


    “ถ้าผมตอบว่าใช่.....แล้วพี่จะให้ตั๋วผมหรือเปล่า?”ในน้ำเสียงนั้นสั่นไหวหากแต่ฟังดูจริงจังไม่น้อย 


     “ ตั๋ว?.....ตั๋วอะไร? “ ยุทธ์ขมวดคิ้วเขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายพูดถึงอะไร


    “ตั๋วที่จะไปดูพี่เคนไง ถ้าไม่มีตั๋วก็เข้าไปข้างในไม่ได้” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นเบาๆ พลางก้มลงเก็บมือถือของตัวเองขึ้นมา
    ภาพที่ถูกอัพโหลดขึ้นบนสังคมออนไลน์ คือภาพถ่ายขาวดำของห้องที่ดูคล้ายกับห้องพักสำหรับนักกีฬา ด้านล่างมีข้อความสั้นๆเขียนเอาไว้ว่า


     ...รออยู่.....



    จูนต้องยอมรับว่าเขาไม่เคยมองอีกฝ่ายในฐานะนักกีฬามาก่อน เคนก็คือเคน คือรุ่นพี่บ้าๆคนหนึ่ง แต่น่าแปลกเหลือเกินที่ภาพๆหนึ่งกับคำๆหนึ่งกำลังบอกเขาว่าอีกฝ่ายคงกำลังรู้สึกประหม่าและตื่นเต้นมันอดทำให้คิดไม่ได้ว่า ตอนนี้จะมีใครไปอยู่ข้างๆอีกฝ่ายแล้วหรือยังความคิดนั้นทำให้ยิ่งรู้สึกพะว้าพะวัง 



    ...แล้ว นี่เรากำลังทำอะไรอยู่...
    ...นั่งอยู่ที่นี่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น? ...
     ...นั่งอยู่ที่นี่ เหมือนระหว่างเรามันไม่เคยเกิดอะไรขึ้น...
    ...ทั้งๆจริงๆแล้ว มันเจ็บมากขึ้นในทุกๆนาที...



      “ผมรู้ว่าพี่มีตั๋ว...พี่....โชติบอกผมแล้ว เมื่อกี้พี่เขาส่งข้อความมาถามว่าผมได้ตั๋วแล้วรึยัง” เด็กหนุ่มเอ่ยเบาๆ ดวงตารีเรียวหันกลับมาสบตากับเจ้าของบ้านอีกครั้ง


    “......................”

 ไม่มีเสียงตอบจากยุทธ์ ชายหนุ่มทำได้แค่เพียงสูดลมหายใจเข้าลึก คราวนี้เขานึกออกแล้วว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร และการกระทำเมื่อวันก่อนของยุทธ์นั้นทำไปเพื่ออะไร หัวใจของยุทธ์กำลังเต้นแรงด้วยอารมณ์ที่คละเคล้าผสมผสานกันไปมาระหว่างความเจ็บปวดและความโกรธแต่ที่แน่ๆทั้งสองความรู้สึกกำลังทำให้ในอกของเขารู้ชาไปทั่ว หัวของเขาตื้อจนคิดอะไรแทบไม่ออกรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อบนใบหน้าที่กระตุกเบาๆด้วยอารมณ์ที่กำลังจะสะกดกลั้นเอาไว้ไม่ได้

 

    .....ไอ้โชติ.....มึงเล่นกันแบบนี้เลยใช่ไหม.....



      “พี่จำได้แล้ว...เรื่องตั๋ว ใช่ ไอ้โชติมันเอามาให้พี่เอง...อยากได้เหรอ” น้ำเสียงที่หลุดออกจากริมฝีปากไปนั้นฟังดูไม่เหมือนตัวเองสักเท่าไร ดวงตากลมโตหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อมองหน้าของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า

    จูนไม่ได้ตอบแต่พยักหน้าลงเบาๆ


    “ตามมาสิ ตั๋วอยู่บนห้อง” ชายร่างเล็กยิ้มเย็นก่อนจะค่อยเดินนำอีกฝ่ายขึ้นไปยังชั้นบนของบ้าน ยุทธ์พาจูนเดินกลับเข้าไปข้างในห้องนอน กระเป๋าของเขายังคงวางอยู่ที่เดิม แน่นอนว่าตั๋วใบนั้นก็อยู่ที่เดิมด้วยเช่นกัน เขาหยิบมันขึ้นมาให้อีกฝ่ายดู เห็นได้ชัดในสายตาว่าจูนกำลังมองมายังตั๋วใบนี้ด้วยความหวัง


    “ขอบคุณครับพี่ยุทธ์....” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นเบาพลางยื่นมือมา หากแต่กลับเป็นยุทธ์เองที่ชักมือกลับ


    “พี่ยุทธ์?”  จูนมองหน้าของอีกฝ่ายด้วยความฉงน


     “ทำตามที่พี่พูดก่อนสิ....แล้วพี่จะให้”


    “พี่ยุทธ์....ผม....ผม....ผมไม่ได้จะเล่นๆนะ” เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยท่าทางร้อนใจ พลางเหลือบมองเวลาที่นาฬิกา “นี่มันก็จะบ่ายสองแล้ว....” 


    ยิ่งเห็นแบบนั้นแล้วใจของยุทธ์ยิ่งเจ็บ อีกฝ่ายกำลังจะผิดสัญญา แล้วจะให้เขาควรรู้สึกอย่างไรแค่คิดแบบนั้นก็ทำให้ริมฝีปากเผลอหยักยิ้ม มือเรียวชูตั๋วในมือขึ้น



     “...............จูบพี่สิ แล้วพี่จะให้ตั๋วแก...แล้วแกค่อยไป”



     “พี่ยุทธ์?....” เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าของบ้านทำให้จูนต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ ใจนึงก็คิดว่าคงจะหูฝาดแต่อีกใจก็รู้ดีว่าเขาได้ยินคำๆนั้นอย่างชัดเจน


      “พี่พูดอะไร?......อ่ะ...เฮ้ย.....” แต่ก่อนจะได้ตั้งตัวอะไรร่างเล็กกว่าก็เดินเข้ามาผลักเขาให้ถอยไปติดกับกำแพงห้องด้านหลังพลางเท้าแขนกั้นราวกับยังไม่อยากให้เขาเดินหลบไปไหน ดวงตากลมโตที่มองมาสะท้อนแววตาที่ไม่คุ้นเคย
 

   “วันนี้จะทำตามที่พี่พูดทุกอย่างไม่ใช่เหรอ จูบพี่สิ....แล้วพี่จะให้แกไป”
    

    “พี่พูดอะไร....ถอยออกไปก่อน มันแปลกๆนะแบบนี้” พาลอดนึกไม่ได้ว่าวันนี้ยุทธ์ผีเข้าหรืออะไรขึ้นมาถึงได้มาพูดมาทำแบบนี้กับเขา


    “ทำไมล่ะ ทีกับไอ้เคนยังจูบได้ เหมือนตอนถ่ายหนังนั่นไง ทำไมกับพี่แกจะจูบไม่ได้” น้ำเสียงที่ถามกลับมานั้นทั้งตัดพ้อและคาดคั้นเอาคำตอบ 


    “.......................” จูนพูดอะไรไม่ออก มันเหมือนคำพูดของเขาได้หายไปด้วยความตกใจ น้ำเสียงกับท่าทางของอีกฝ่ายนั้นไม่เหมือนที่คุ้นเคยปกติแล้วยุทธ์มักจะยิ้มและพูดกับเขาอย่างอ่อนโยน ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะใช้อารมณ์กับเขาแบบนี้สักครั้ง
 

 “แต่นั่นมันเป็นบท ผมเล่นไปตามบท....เพราะนั่นเป็นจูนในเรื่อง.....แล้ว “จูน” ก็.............” เด็กหนุ่มหยุดกับคำพูดของตัวเอง เมื่อนึกย้อนกลับไปในตอนนั้นที่เขาสัมผัสเคนได้โดยไม่ขัดเขิน สัมผัสไปด้วยอารมณ์ รู้สึกเพลิดเพลินไปกับทุกความนุ่มนวล และรู้สึกอิ่มเอมไปกับทุกถ้อยคำที่อีกฝ่ายปกระซิบบอก .


    “แล้วจูนก็รักเคนมาก? จะบอกอย่างนั้นใช่ไหม? ” ยุทธ์หัวเราะขึ้นจมูกเบาๆ มือของรุ่นพี่ร่างเล็กเปลี่ยนมายึดไหล่ของเด็กหนุ่ม กดลงจนสองไหล่นั้นติดกับผนังห้อง โถมน้ำหนักลงบนตัวของจูนจนอีกฝ่ายต้องเม้มปากด้วยความรู้สึกเจ็บ


     “แล้วทำไม “จูน” ไม่หันมามองยุทธ์บ้างล่ะ ถ้าเป็นยุทธ์ที่คอยช่วยจูนเสมอ เป็นยุทธ์ที่จะไม่ทำให้จูนร้องไห้ แล้ว ”จูน” จะรัก “ยุทธ์” บ้างไหม”


     ยุทธ์ไม่ได้ล้อเล่น ตรงกันข้ามกลับจริงจังกับสิ่งที่พูดออกมามากกว่าครั้งไหนๆ จูนแทบไม่อยากจะเชื่อหูกับสิ่งที่ได้ยิน อีกฝ่ายมองเขาแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไร รู้สึกแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไร คงมีคำถามมากมายที่อยากจะถามออกไปในตอนนี้ แต่....มันอาจจะสายไปแล้วหรือเปล่าในตอนนี้ หัวใจบีบตัวจนเจ็บ ถ้าอีกฝ่ายรู้สึกแบบนั้นกับเขาจริงอีกฝ่ายก็คงเจ็บ แต่เขาก็ไม่อยากให้คนที่รอเขาอยู่ต้องเจ็บเหมือนกัน 



    “ขอตั๋วให้ผมเถอะพี่ยุทธ์...”  เด็กหนุ่มเหลือบมองตั๋วที่ยังอยู่ในมือของอีกฝ่าย ห่างจากใบหน้าของเขาไปอีกไม่กี่นิ้ว



    “ผมต้องไป..... ”
    



    ......................................................................



     การชั่งน้ำหนักเตรียมขึ้นชกนั้นไม่มีปัญหาอะไรสำหรับเคนเป็นไปตามเกณฑ์แบบสบายๆเพราะคุมน้ำหนักอย่างเคร่งครัดมาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ที่สำคัญเขาได้เห็นคู่ต่อสู้แล้ว เป็นฝรั่งตัวสูงใหญ่พอๆกันจากอเมริกาที่น่าขันคือทั้งๆที่ตาสีน้ำข้าวแบบนั้นกลับพูดภาษาไทยเสียคลองปร๋อจนอดสงสัยไม่ได้ว่านี่แค่มาเรียนมวยในไทยหรือได้เมียเป็นหญิงไทยกันแน่ แถมหลังจากนั้นยังต้องถ่ายรูปต่อหน้าสื่อมวลชนทั้งหลายเสร็จ คนที่ดูมีความสุขมากเห็นจะเป็นพ่อของเขาที่ยิ้มเสียแก้มปริและดันตัวเองเข้าไปออกทุกกล้องที่มี อีกไม่นานก็จะขึ้นชกและมีอยู่แค่ไม่กี่เรื่องที่ยังเป็นห่วง


    “ไปพี่เคน...เดี๋ยวพี่นวดให้ เดี๋ยวจะขึ้นชกแล้ว มานวดก่อน” เสียงศักดิ์ดังขึ้นจากด้านหลัง


    “นี่พี่ศักดิ์....มือถือผมล่ะ”


    “มือถือก็อยู่กับพี่ไง ...”ศักดิ์ว่าพลางโชว์กระเป๋าสะพายให้อีกฝ่ายดู


    “รู้แล้ว แต่ผมจะให้พี่ดูอะไร....ขอมือถือผมก่อน” ชายหนุ่มว่า ถึงจะเห็นว่าอีกฝ่ายท่าทางลำบากใจแต่ก็ยังยืนยันมือแกร่งนั่นยื่นออกไปเพื่อขอโทรศัพท์ ได้ยินศักดิ์บ่นพึมพ่ำก่อนจะยื่นโทรศัพท์ให้อย่างเสียไม่ได้


     “นี่...พี่ศักดิ์ ผมให้พี่ดูหน้าคนนี้ไว้นะ ...”ชายหนุ่มว่าพลางเลื่อนภาพในหน้าจอโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายได้ดู


    “อะไรอ่ะ พี่เคน ...รูปสาวเหรอ” แต่ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าภาพบนหน้าจอนั้นเป็นเด็กหนุ่มผมสีทอง ที่จ้องกลับมายังกล้องด้วยสายตาเหมือนจะไม่สบอารมณ์สักเท่าไรนัก


    “ตี๋นี่ใครเนี่ย... เดี๋ยวนี้พี่เคนชอบนักร้องเกาหลีด้วยเหรอ”


     “ไม่ใช่นักร้อง... แต่สำคัญมาก ผมอยากให้พี่จำหน้าเขาไว้นะ....ถ้าพี่เห็นเขามานั่งตรงแถวข้างหน้าตรงที่นั่ง A38 A39 ถ้าเห็น...พี่ทำยังไงก็ได้ พาเขามาที่ข้างเวทีด้วยนะ”


     “หะ? อะไรนะพี่ เดี๋ยวนะ ไอ้ตั๋วสองใบนี้ที่พ่อสุชาติเขาว่าหายไป...นี่พี่ขโมยของพ่อไปเหรอ”


     “ไม่เอาน่าพี่ศักดิ์... เรื่องแค่นี้ พี่ไม่พูดพี่ไม่รู้พี่ไม่ผิด โอเค ?”  เคนหรี่ตามองหน้าของอีกฝ่ายจนศักดิ์ต้องพยักหน้ารับคำ


    “โอเคๆ พี่ศักดิ์ไม่พูด แค่จำหน้าไอ้หนูนี่ไว้ก็โอเคใช่ไหม” ชายร่างเล็กกว่าขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางหันกลับไปมองหน้าของเด็กหนุ่มในโทรศัพท์อีกครั้ง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ว่าแต่พี่มีอะไรเหรอ? ไอ้หนุ่มเนี่ย .... “
 

   “เขาชื่อจูน...เอาเป็นว่าถ้าพี่เห็นเขาไปพาเขามาให้ได้ก็พอ”   หนุ่มนักมวยว่าพลางก้มลงมองภาพบนหน้าจอมือถือในใจตอนนี้ได้แต่ภาวนา เขาต้องเก็บมือถือนี่ไปให้พ้นตาได้แล้ว เขาฝากความหวังที่เหลือไว้กับศักดิ์และที่ตัวของเด็กหนุ่มคนนั้นแล้ว ต่อจากวินาทีนี้ เขาจะคิดเพียงแค่เรื่องที่กำลังจะเกิดบนเวทีนั่นเท่านั้น



    ...พี่ไม่ขออะไรอื่น....
    ....ขอแค่แกมาก็พอ จูน....



..................................................to be con

ออฟไลน์ asarigb

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
กรี๊ดดดดด
พี่ยุทธ์แรงค่าาา รุกแรงมากค่ะ ไปให้ทันนะคะน้องจูน :ling1:
พี่ยุทธ์กล้าขอจูบน้องแบบนี้ได้ไง มันเก็บไว้ให้พี่เคนคนเดียวเว้ยยยยย

ออฟไลน์ ขนมโก๋

  • เป็ดหัวเน่า
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-0
เจองานหนักแล้วจูนเอ๊ย

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
### talk ###
ขอโทษที่หายไปนานค่ะ
ตอนนี้ แต่งยากมาก ยอมรับว่าไม่รู้จริง
เพียงแค่ชอบเท่านั้น ผิดพลาดประการใดขออภัย
ตอนนี้อัพแค่ 40% ของตอนก่อนนะคะ


 
Chapter 42 : แพ้ ยกที่ 2  up 40% 



ผู้คนมากมายแห่แหนมารวมตัวกันเพื่อเกมการแข่งขันใหญ่ที่นานๆจะมีจัดขึ้นเสียที ยิ่งมีข่าวว่าจะถ่ายทอดไปยังโทรทัศน์ทั่วประเทศและแถมไปยังต่างประเทศด้วยแบบนี้หลายคนก็ไม่พลาดที่จะมาสัมผัสบรรยากาศกัน ถึงแม้จะมีการประกาศเรื่องราคาตั๋วแล้วว่าเป็นตั๋วที่ไม่จัดว่าถูกออกไปก็ตาม


    เด็กหนุ่มผมทองยืนกระหืดกระหอบอยู่ที่หน้าฮอลล์ที่ใช้จัดการแข่ง เขาวิ่งมาตั้งแต่ลงจากรถประจำทาง หัวใจของเขาเต้นรัวและหายใจไม่เป็นจังหวะ ทุกอย่างเร่งเร้ามากขึ้นเมื่อเห็นบรรยากาศโดยรอบ เด็กหนุ่มค่อยๆดึงกระดาษใบน้อยออกมาจากกระเป๋า ดวงตารีเรียวมองไปเห็นแล้วว่ามีการตรวจตั๋วซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่าตั๋วใบนี้จะใช้การได้หรือไม่ แต่ถ้ามันเป็นตั๋วที่มาจากเคน เขาก็คงต้องลองเสี่ยงดูสักครั้งเพราะไม่อย่างนั้นเขาอาจจจะต้องรู้สึกเสียใจไปตลอดเป็นแน่ 


   ....พี่จะไม่ลงจากเวที จนกว่าแกจะมา...


    คำมั่นที่เคนเอ่ยเอาไว้ยิ่งทำให้หวาดหวั่น เขารู้ว่าเคนบ้าดีเดือดแค่ไหนเมื่อพูดถึงเรื่องของการวัดใจเพราะชายหนุ่มเที่ยวรับคำท้าวัดใจคนนั้นคนนี้ไปทั่วมหาลัยทั้งเรื่องกีฬา เรื่องไร้สาระ  แต่เขาไม่คิดว่าจะต้องมาเป็นการวัดใจที่อาจจะต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดของอีกฝ่ายแบบนี้ ...มันไม่ใช่เกมที่น่าเล่นเอาเสียเลย



    “กราบสวัสดีพ่อแม่พี่น้อง...ตอนนี้เรากำลังนับถอยหลังเข้าสู่เวลาที่ทุกท่านรอคอยนะคครับ กำหนดการในวันนี้ของเรา คู่แรกจะเป็นการชกมวยไทย น้ำหนัก 73 กิโลกรัม ระหว่างนักชกจากไทยของเราครับ เคน อุดรพยัคฆ์  จากค่ายมวยอุดรพยัคฆ์ กับ ดีมิทรี ฟาลคอน ไอ้เหยี่ยวพิฆาตจากอเมริกา คู่แรกนีก็ดูท่าจะสนุกแล้วครับเพราะเป็นมวยใหญ่กันทั้งคู่ อีกสักครู่เตรียมชมกันได้เลยครับท่านผู้ชม....” 



    เสียงประกาศจากโฆษกดังขึ้นเรียกเสียงเฮจากคนด้านในได้ไม่น้อย ยิ่งทำให้คนที่เพิ่งมาถึงต้องสูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจก้าวเข้าไปถามพนักงานที่ยืนตรวจดูตั๋วอยู่ที่ด้านหน้า



    “พี่...ผมได้ตั๋วนี่มา....มันนั่งกันตรงไหนเหรอ” จูนว่าพลางส่งกระดาษให้กับอีกฝ่าย


    “อะโห...ตั๋ววีไอพี...น้องไปเอามาจากไหนนี่ พ่อให้มาเรอะ” คนตรวจตั๋วว่าไม่ลืมที่จะอ่านตรวจสอบตั๋วอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ


    “ฮ่ะๆ แนวๆนั้นน่ะ พ่อเขาเข้าไปแล้ว พอดีผมมาช้า “ จูนหัวเราะแห้งพลางทำทีเล่นไปตามบทที่อีกฝ่ายพูดออกมา พนักงานบอก
ทางให้เด็กหนุ่มเสร็จสรรพก่อนจะปล่อยให้อีกฝ่ายเดินเข้าไปด้านใน



    ทันใดไฟในฮอลล์ก็หรี่แสงลงเรียกเสียงโห่ร้องจากผู้ชมที่มาเฝ้ารอการแข่งขันอยู่ ทำเอาเด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาจนถึงแถวที่นั่งต้องหยุดนิ่ง สองขาไม่กล้าขยับต่อหัวใจในอกเต้นระรัวเข้ากับจังหวะของอินโทรเพลงที่ดังขึ้นและไฟสปอร์ตไลท์ที่สว่างวาบขึ้นที่ด้านบนของเวที



   “ขอต้อนรับเข้าสู่การแข่งขัน King of Rings สนับสนุนโดย บริษัท XXX คู่แรกเป็นการชกกันระหว่างนักมวยไทยของเรากับนักมวยจากประเทศอเมริกา ในพิกัด 73 กิโลกรัม เราไปพบกับนักชกคนแรกของเรากันเลยครับ กับนักมวยจากดินแดนแห่งเสรีภาพ ไอ้เหยี่ยวพิฆาตจากอเมริกา....ดีมิทรี ฟาลคอนนนน!!!!! “


เสียงผู้ประกาศร่างสูงที่เคยเป็นนักร้องออกผลงานที่ผันตัวมาสนใจในวงการหมัดมวยดังขึ้นเรียกเสียงเฮจากผู้คนได้ไม่น้อย ก่อนที่สปอร์ตไลท์บนเวทีจะดับลงแล้ว ฉายแสงสว่างวาบขึ้นอีกครั้งที่สุดปลายทางเดินที่อยู่ห่างออกไป เมื่อปรับสายตาจนชินแล้วจึงเห็นนักมวยร่างสูงกว่าร้อยแปดสิบค่อยย่างเดินออกมาอย่างสง่าผ่าเผย ท่าทางยกมือไหว้รอบทิศพร้อมกับรอยยิ้มอย่างมั่นใจของฝรั่งตาน้ำข้าวนั่นเรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย ไหนเลยจะรอยสักที่ฝากเอาไว้เต็มแผ่นหลังล้วนแล้วแต่เป็นลายสักยันต์กันภัยแบบไทยด้วยกันทั้งนั้นเพียงแค่ดูก็พอรู้ได้ว่า เจ้าเหยี่ยวพิฆาตคนนี้คงคร่ำหวอดในวงการหมัดมวยเมืองไทยมาไม่น้อย



   ....กับฝรั่งตัวใหญ่แบบนั้นเนี่ยนะ....


    จูนกลืนน้ำลายลงคอ เด็กหนุ่มยังคงยืนนิ่งมือหนึ่งเผลอเอื้อมไปจับพนักเก้าอี้ของคนที่นั่งอยู่ เมื่อรู้สึกตัวเขาจึงก้มลงไปหมายจะขอโทษแล้วขอทางเข้าไปนั่งด้านใน


    “ขอโทษคร....ครับ........” ท้ายเสียงขาดหายเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นที่นั่งที่ยังว่างอยู่ของตัวเอง แต่เขาคงไม่ตกใจขนาดนี้หากแสงที่สาดมาไม่ไปกระทบลงตรงพื้นที่ตรงนั้น ทำให้เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นมาใครที่นั่งอยู่ข้างๆที่นั่งที่ควรจะเป็นที่นั่งของเขาที่นั่งที่ A39 ณ ที่นั้นมีหญิงสาวร่างเล็กเจ้าของผมดำสลวยนั่งอยู่ ใบหน้าดูคมคายประกอบกับผิวสีน้ำผึ้งและดวงตากลมโตยิ่งทำให้เธอดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้นในเสื้อแขนกุดสีเหลืองอ่อนท่ามกลางรอบข้างที่มีแต่ชายสูงวัยใส่ชุดสูทมานั่งเป็นเกียรติอยู่ในงานแบบนี้


    “พี่.....นิด.......” เด็กหนุ่มอุทานออกมาเบาๆ นิดมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ? เขาอดที่จะถามตัวเองไม่ได้ และคำถามนั้นยิ่งทำให้เขาไม่กล้าขยับไปไหนจนทำให้คนที่นั่งอยู่ด้านหลังส่งเสียงออกมา


    “เฮ้ย ไอ้หนู จะไปนั่งก็นั่งสิวะ ยืนบังอยู่ได้จะดูมวยเว้ย” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาทำให้จูนต้องรีบค้อมตัวลง แต่ก็ไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปนั่งเขายังเก้ๆกังๆด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรดีในหัวดูเหมือนจะขาวโพลน


    “ไอ้หนู! มานี่กับพี่หน่อย” พลันเสียงแหบๆก็ดังขึ้นพร้อมกับมือผอมเกร็งแต่มีแรงบีบมหาศาลก็กระชับเข้าที่ข้อแขน เด็กหนุ่มสะดุ้งพลันหันไปมอง


    “อะ...อะไรครับ.....” หันไปเห็นชายหน้าตาเป็นคนอีสานผิวคล้ำร่างผอมเล็กยืนยิ้มอยู่หากแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากแขนของเขา


    “พี่...อะไรครับพี่  ผม...ไม่รู้จักพี่นะ” เด็กหนุ่มพยายามจะดึงของอีกฝ่ายออกด้วยความตกใจ พลางนึกไปว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือยืนบังจนอีกฝ่ายรำคาญหรือเปล่า


    “เออน่า ไม่ต้องรู้จักพี่ก็ได้ แต่ถ้าพี่ไม่พาแกไปตอนนี้นะ พี่เคนแม่งแหกอกพี่ตายคามุมแน่....เอ้านี่ ป้าย
สต๊าฟของค่ายคล้องไว้แล้วมานี่ พี่เคนจะขึ้นเวทีแล้วพ่อสุชาติไม่เห็นพี่ล่ะก็ได้กระทืบพี่ตายคาตีนแน่”

ไม่พูดพล่ามอธิบายอะไรให้มากความชายร่างเล็กกึ่งลากกึ่งจูงให้เขาเดินผ่านเก้าอี้แถวหน้าระดับวีไอพีทั้งหลายเข้าไปจนถึงรั้วกั้นขอบเวที ชายร่างเล็กจับขอบรั้วกระโดดผ่านไปอย่างง่ายดาย


    “มาเร็ว ไอ้หนู โดดมาเวลามีไม่เยอะนะเว้ย”


    “อ่ะ...ครับ......” เพราะอีกฝ่ายเร่งรัดเสียแบบนั้นทำให้จูนต้องจำใจกระโดดตามไปอย่างช่วยไม่ได้ ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไรแต่ชื่อของเคนที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงก็ทำให้เขาจำเป็นต้องเดินตามอีกฝ่ายมาทั้งๆทที่ยังมึนงง เด็กหนุ่มถูกพามายืนหลบที่ด้านหลังมุมตรงข้ามกับที่นักมวยชาวอเมริกันคนนั้นยืนอยู่ รอบข้างมีทั้งช่างภาพและคนอื่นๆอีกมากมายจูนหันซ้ายขวาเลิกลั่กด้วยทำอะไรไม่ถูก


    “โอ้โห...ผมแกนี่เด่นเป็นบ้าเลยว่ะ” ชายร่างเล็กคนนั้นว่าพลางดึงเอาหมวกแก๊ปที่เสียบไว้ที่กระเป๋ากางเกงขึ้นมายื่นให้ “เอ้า ใส่ไว้ จะได้เนียนๆ เผื่อพ่อสุชาติมาจะได้ไม่เอะใจอะไรมาก”


    “ครับ....แล้วผม...เอ่อ....พี่ ทำไม” จูนยังเรียบเรียงคำออกมาได้ไม่เป็นประโยค อีกฝ่ายก็โบกมือเชิงว่าให้เขาเงียบไว้ก่อน


    “ชู่ว...เงียบก่อน เดี๋ยวพี่เคนจะออกมาแล้ว ยืนนิ่งๆ ก้มหน้าไว้แล้วก็นี่ถังน้ำแข็ง...ถือไว้ก็แล้วกัน” อีกฝ่ายพูดง่ายๆเมื่อโฆษกร่างสูงก้าวขึ้นไปบนเวทีอีกครั้ง


      “และนักมวยคนต่อไป...แม้นี่จะเป็นการมาชกเวที King of Rings ครั้งแรกของเขา แต่แฟนมวยสาวๆก็อาจจะได้ขวัญใจคนใหม่กลับไป นักมวยหนุ่มหน้าหยกลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณสุชาติ จากค่ายอุดรพยัคฆ์ เป็นเจ้าของแชมป์มวยไทยสมัครเล่นระดับภาค และเป็นเจ้าของเหรีญทองแดงมวยไทยในกีฬามหาวิทยาลัยแห่งชาติ  “เคน อุดรพยัคฆ์!!!!!!” 



    สิ้นเสียงประกาศพร้อมกับไฟที่สุดปลายทางเดินที่สว่างวาบขึ้นทำให้เด็กหนุ่มต้องหันไปมองตามเช่นเดียวกับสายตาทุกคู่ที่จับจ้องไปพร้อมๆกัน  ภาพกราฟฟิคบนจอด้านหลังสว่างวาบเป็นลวดลายฉูดฉาด ภาพใบหน้าของชายหนุ่มที่คุ้นเคยหากแต่มีสีหน้าดุดันจริงจังดูแปลกตาทำให้เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ร่างสูงใหญ่ของเคนยืนอยู่ที่นั่น คิ้วคมขมวดมุ่นเข้าหากันเล็กน้อยรูปร่างสูงใหญ่ไม่แพ้ฝรั่งคู่ต่อสู้กับใบหน้าคมคายที่กล้องจับภาพฉายขึ้นบนมอนิเตอร์ขนาดใหญ่นั้นเรียกเสียงกรี้ดจากคนดูสาวน้อยสาวใหญ่ได้ไม่น้อย


      ........พี่เคน.........


    จูนอยากจะตะโกนเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกไปแต่ก็ทำไม่ได้ นักข่าวที่ยืนอยู่ในตอนนี้กรูเข้าไปพยายามถ่ายภาพให้ได้มากที่สุดจนเด็กหนุ่มแทบถุกผลักกระเด็นออกมาอยู่ที่แนวหลัง พลางเห็นชายร่างเล็กคนเมื่อครู่กระโจนขึ้นไปบนเวทีลดเชือกให้เคนก้าวเข้าไปด้านในทำให้รู้ว่าเกมการแข่งขันกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า จูนเห็นร่างสูงในชุดเสื้อคลุมสีน้ำเงินของเคนยกมือขึ้นพนมก้มลงไหว้ติดกับเชือกเส้นบนก่อนเดินลอดเชือกเข้าไปด้านในเวทีแล้วยกมือไหว้รอบสี่ทิศก่อนจะเดินกลับเข้ามาที่มุมเวทีตรงหน้าของจูนพอดี


    “พี่ศักดิ์ที่ผมให้พี่ทำล่ะ.....” เคนสบตาพี่เลี้ยงนิ่งเมื่อเดินกลับเข้ามาที่มุมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเครียด พลางปลดเสื้อคลุมสีน้ำเงินออกจากตัว เผยให้เห็นร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อมันปลาบไปด้วยน้ำมันมวยที่ศักดิ์ชโลมให้ก่อนที่จะขึ้นบนเวทีส่สวนหนึ่งเพื่อคลายกล้ามเนื้อ อีกส่วนนั้นเพื่อให้สามารถดิ้นหลุดจากการจับของคู่ต่อสู้ได้ง่ายดายยิ่งขึ้น


    “ตั้งสมาธิกับตอนนี้ดีกว่าพี่เคน...”ศักดิ์ไม่ได้ตอบเขาแค่อยากให้อีกฝ่ายทำตามที่เขาพูดเท่านั้น


    “............................” เคนนิ่งงัน เขามองไม่เห็นเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ที่ด้านล่างของเวทีเพราะจูนถูกดันออกไปเพราะนักข่าวที่แทรกเข้ามาถ่ายรูปที่ด้านข้างเวที


     “ไปไหว้ครูซะ เดี๋ยวพ่อจะขึ้นมาถอดมงคลให้ ตั้งสมาธินะพี่เคนอย่าวอกแวก” ร่างสูงพยักหน้าเบาๆ ในจังหวะเดียวกับที่เสียงปี่มวยดังขึ้นศักดิ์ก็ก้าวถอยลงมา ปล่อยให้เคนได้ทำการไหว้ครูไปตามธรรมเนียมของการชกมวยไทย


    เสียงปี่มวยดังขึ้นพร้อมจังหวะของกลองเรียกความฮึกเหิมให้กับนักมวยทั้งสองฝ่าย ทางฝรั่งตาน้ำข้าวนั้นแม้จะไม่ได้เติบโตที่เมืองไทยแต่ก็ดูจะเข้าใจธรรมเนียมดีไม่น้อย เดินใช้นวมรูดเชือกไปรอบๆเวที เคนเหลือบมองท่าทางของคู่ต่อสู้ไปพลางบริกรรมคาถาที่ได้รับการถ่ายทอดมาลงที่แต่ละมุมของเวทีด้วยใจที่นิ่งสงบ เมื่อเดินมาจนครบรอบก็เดินไปนั่งคุกเข่าก้มลงกราบพื้นเวที 3ครั้ง ในใจรำลึกถึงคุณบิดามารดาที่ให้กำเนิด คุณของครูที่เคยสั่งสอนวิชามวยมาให้ก่อนยืดแขนออกไปด้านหน้ากอบพระแม่ธรณีแล้วยกมือขึ้นพนมถวายบังคม แล้วขยับเข่าขวาขึ้นตามจังหวะของดนตรีขึ้นสอดสร้อยโยกตัวไปข้างหน้าสลับกับการโล้ตัวกลับมาด้านหลัง ทั้ง 4 ทิศ ลุกขึ้นสอดสร้อยยกเท้าทรงตัวด้วยขาเดียวพลางค่อยขยับก้าวไปในทิศทางทั้งสี่

ดวงตาคมกวาดมองไปรอบๆ ในหมู่ผู้คนที่ยืนอยู่รายล้อม เขาเห็นคู่ต่อสู้ เขาเห็นพี่เลี้ยงอย่างศักดิ์ เห็นพ่อสุชาติของเขายืนอยู่ที่มุมของตนเอง....และเขาเห็น นิด นั่งอยู่ในที่นั่งไม่ห่างออกไปจากขอบเวทีเท่าไรนัก จังหวะก้าวทันใดชะงักงัน ในใจพาลนึกตั้งคำถามขึ้นมาว่าทำไมเขาถึงเห็นแค่นิด แล้วคนที่เขาอยากให้มาคนนั้นหายไปไหนกัน แต่เคนยังพยายามครองสติหันมารำท่าตัดไม้ข่มนามตรงหน้าของคู่ต่อสู้อย่างดิมิทรี ฝ่าเท้ากระแทกลงไปบนผืนผ้าใบ 3 ครั้งเพื่อข่มขวัญดวงตาคมที่มองไปนั้นเป็นประกายเอาจริง ตรงกันข้ามกับนักมวยจากต่างแดนที่ส่งรอยยิ้มท้าทายกลับมา เคนขยับถอยกลับมาที่กลางเวทีก่อนยกมือไหว้คนดูทั้งสี่ทิศแล้วเดินกลับเข้าไปที่มุมของตัวเอง


   “พี่เคน!!!!”


สองหูได้ยินเสียงหวานของใครบางคนตะโกนเรียกชื่อของเขาสุดเสียง ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นเสียงของนิดที่ตะโกนลั่น หากเขาก็ได้หันกลับไปมองไม่


    “ขโมยตั๋วพ่อไปให้แฟน? สองใบ....กำลังใจก็น่าจะดีทำไมไปตัดไม้ข่มเขาเสียล่ะ พระรามแผลงศรที่เคยเห็นหายไปไหน” เสียงผู้เป็นพ่อที่เอ่ยเย้าแหย่ไม่ได้ทำให้เคนยิ้มเหมือนทุกที


    “หน้าเครียดๆของแกมันดูไม่ได้ว่ะ ไปสอยฝรั่งให้พ่อดูหน่อยไป” คุณสุชาติหัวเราะเบาๆก่อนพนมมือขึ้น แล้วหลับตาลง เคนเองก็เช่นกันทั้งสองบริกรรมคาถาให้แคล้วคลาดปลอดภัยแล้วถอดมงคลออกจากศีรษะของนักมวยในตอนนี้เคนพร้อมที่จะสู้แล้ว คุณสุชาติเห็นท่าทีของลูกชายก็ยิ้มน้อยๆก่อนจะเดินลงมาจากเวที



    “ไอ้ศักดิ์...” แต่แล้วสีหน้าท่าทางของเจ้าของค่ายผู้ใจดีก็เปลี่ยนไปทันทีที่เท้าแตะถึงพื้น


    “ค ครับพ่อ” เหมือนรู้ตัวศักดิ์สะดุ้งเฮือกพลางขานรับเสียงแผ่ว


    “ทีมงานกูมีเพิ่มมาตั้งแต่เมื่อไร “ ท่อนแขนใหญ่รั้งคอศักดิ์เข้ามาจนชิด ดวงตาคมของผู้สูงวัยมองไปยังเด็กหนุ่มที่ใส่เสื้อลายฉูดฉาดยืนเก้ๆกังๆถือถังน้ำแข็งอยู่ไม่ห่างออกไป


    “อันนี้ศักดิ์ไม่รู้นะ พี่เคนเขาสั่งมา...พ่ออย่าว่าศักดิ์เลย ผมทำตามหน้าทีนะ”


    “มึงนี่ก็แสนรู้อีกแล้วนะ....เอาเป็นว่าอย่าให้ไอ้หนูนี่มาเกะกะจนลูกชายข้าแพ้ก็แล้วกัน” คำสุดท้ายนั้นดังพอที่จูนจะได้ยิน เด็กหนุ่มได้แต่ยกมือไหว้น้อยๆ ด้วยไม่รู้จะทำอย่างไร



    พลันเสียงระฆังก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากทุกสายตาให้หันกลับไปสู่การต่อสู้บนเวที นักมวยทั้งสองยกการ์ดขึ้นสลับกับปล่อยหมัดเบาๆหยั่งเชิงกันและกัน เคนดูนิ่งแตกต่างจากปรกติที่เคยเห็นก่อนฉวยจังหวะยกขาขึ้นฟาดเข้าที่ข้อพับของอีกฝ่าย แต่ก็ถูกฝั่งดีมิทรีสวนกลับในลักษณะเดียวกัน เคนใช้จังหวะขยับหลบออกมาได้ทันทำให้อีกฝ่ายฟาดอากาศไปเสียหนึ่งครั้ง ชายหนุ่มยักยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นหน้าตาเหลอหลาของอีกฝ่าย และนั่นทำให้นักมวยฝรั่งตาน้ำข้าวอารมณ์ขุ่นขึ้นมาใช่ย่อย กลับหลังยกขาขึ้นฟาดหวังจะให้โดนส่วนบน แต่เคนก็ยังขยับหลบได้ เพราะรู้ว่าตัวเองไม่ได้ฟิตมากขนาดนั้นจึงเลี่ยงที่จะทำการปะทะตรงๆ เขาหวังว่าอีกฝ่ายจะเป็นพวกขี้โมโห ถ้ายั่วจนสติหลุดแล้วคงเข้าทาง 


    แต่ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่อีกฝ่ายกลับเดินเข้าหาชกเข้าที่กลางลำตัว ยังดีที่เคนยังกันไว้ได้ชายหนุ่มขยับถอยเปิดช่องว่างให้เตะตัดล่างแต่อีกฝ่ายไม่สะทกสะท้านยังเดินหน้าเข้ามาหาไม่ปล่อยให้เคนได้ใช้วิธีการเดิม รัวหมัดใส่ทั้งซ้ายและขวาโดยเฉพาะอย่างยิ่งหมัดขวาที่ส่งมาหลอกแล้วสับศอกซ้ายใส่ เคนพยายามแล้วที่จะหลบแต่เพราะระยะประชิดทำให้ถูกฟาดศอกเข้าไปเต็มๆที่เหนือตาร่างสูงเซ แต่ก็พยายามผละออกมาตั้งหลักยันอีกฝ่ายออกไป ดวงตาคมสบตาของดิมิทรีในใจคิดว่าอาจประเมินอีกฝ่ายต่ำไป หัวใจของเขาเต้นระรัว เสียงสูดหายใจดังฟืดฟาดราวกับว่าอากาศที่มีอยู่นั้นมันยังไม่เพียงพอ สองขาขยับพาเขาหลบอาวุธของอีกฝ่ายจนหลังถอยติดเข้าเชือกพอเด้งออกมาได้ก็ถูกดิมิทรีล็อคคอเข้าตีเข่าซ้ำๆทั้งๆที่เขาติดเชือก จนกรรมการต้องเข้ามาแยกออกไป


    
    “...เหี้ย..ให้กูตั้งหลักบ้างสิโว้ย!... “


     เคนสบถออกมาพลางยกแข้งขึ้นฟาดเข้ากลางลำตัวของฝ่ายตรงข้ามเมื่อถอยออกมาจนได้ระยะของตัวเอง แต่ดีมิทรีก็ดูเหมือนจะไม่ยอมแพ้ยกทั้งหมัดทั้งแข้งสวนกลับ จนเคนต้องตัดสินใจยกเท้ายันอีกฝ่ายออกไปอีกครั้ง แล้วกระโจนโยนเข่าเข้าไปแต่ดิมิทรีก็ยกแข้งกับแขนกันเอาไว้ได้ เกมการแข่งขันเริ่มเห็นแววว่าอีกฝ่ายจะรุกเข้ามาออกแม่ไม้ใส่ได้ดีมากกว่าจนแม้แต่พี่เลี้ยงที่เฝ้ามองดูอยู่ข้างล่างอย่างศักดิ์ยังจุปากอย่างขัดใจ


    “พี่เคน!! กันไว้ๆ แล้วเตะพี่ เตะเลย!!” ศักดิ์ตะโกนขึ้นไปด้วยเสียงดังจนจูนที่ยืนอยู่ข้างๆต้องสะดุ้ง เด็กหนุ่มไม่แน่ใจนักว่าตัวเองมาทำอะไรอยุ่ที่นี่รอบกายมีแต่เสียงร้อตะโกนดูวุ่นวายไปหมด แต่ที่ดูจะดังเด่นชัดในหูคือเสียงของเนื้อและกระดูกของนักมวยที่กระแทกลงบนร่างกายของคู่ต่อสู้ ประกอบกับภาพตรงหน้ายิ่งทำให้รู้สึกปั่นป่วนไปหมดแต่กระนั้นก็ละสายตาจากรุ่นพี่ที่กำลังต่อสู้อยู่บนเวทีไม่ได้ รอบนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนที่เขาไปดูเคนสอบ แววตาของร่างสูงแตกต่างจากที่เคยเห็น...มันมีความหวาดหวั่นฉายอยู่



    “พี่......” เด็กหนุ่มอ้าปากขึ้นหมายจะเรียกชื่อของคนที่อยู่บนเวที


    “พี่เคน!!!” พลันได้ยินเสียงหวานตะโกนมาจากอีกฟากฝั่ง ทำให้จูนต้องรีบปิดปากของตัวเอง เขาได้ยินชัดว่าเป็นเสียงของนิด หญิงสาวคนนั้นตั้งใจตะโกนเชียร์คนรักอย่างเต็มที่ แน่นอน...ในเมื่อทั้งสองเป็นคนรักกันการที่จะแสดงออกนั้นมันไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าอย่างนั้นตัวเขาเองล่ะ...เป็นใคร เป็นอะไรกันและเขามายืนอยู่ที่นี่ทำไม?


    “เฮ้ย!!!” เสียงศักดิ์ร้องลั่นทำให้เด็กหนุ่มหันกลับมาดูเกมการแข่งขันอีกครั้ง และภาพที่เห็นคือร่างสูงที่เคยยืนยืดอกอย่างสง่าผ่าเผยของใครบางคนทรุดลงตรงหน้า ภาพที่เห็นไม่ต่างจากภาพที่ค่อยเคลื่อนไปอย่างช้าๆเมื่อใบหน้าคมเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเลือดไหลหยดลงมาจากหน้าผาก ผืนผ้าใบตรงนั้นถูกย้อมด้วยสีแดงเข้มแทบจะในทันที


    “อะ...อะไรน่ะพี่ เมื่อกี้อะไร” จูนหันไปถามศักดิ์ทันที เพียงแค่พริบตาเดียวทำไมเคนถึงลงไปนั่งกองได้แบบนั้น



    “แตกแล้วครับ!!! เคนอุดรพยัคฆ์ โดนศอกของดีมิทรีเข้าไป แตกแล้วครับท่านผู้ชม!!”



เสียงนักพากย์ที่ข้างเวทีร้องออกมาเรียกเสียงเฮจากคนรอบข้างได้ไม่น้อย บ้างก็ได้ยินเสียงร้องโอยแทนคนที่ดูท่าจะเจ็บ



    “ศอกแหลมชิบหาย ไอ้ฝรั่งบ้านี่ แม่งใครจะคิดว่ามันจะตีศอกดีขนาดนี้ ...”


    “ทำไมไม่เรียกหมออ่ะ....”  ทั้งๆที่เห็นว่านักมวยหน้าผากแตกเสียขนาดนั้นแต่ก็ไม่มีเสียงใครจะห้ามปรามตรงกันข้ามคนที่มาเชียร์รอบข้างกลับมีแต่เสียงเฮ เสียงปี่มวยยิ่งเร่งจังหวะเร้าให้นักมวยทั้งสองต่างเดินหน้าเข้าปะทะทั้งหมัดทั้งเข่าแลกกันพัลวันไปหมด


    “ยังไม่เรียกหรอก แค่นี้เอง”

ศักดิ์พิจารณาแล้วเขารู้ว่าตอนนี้เลือดยังไม่เป็นอุปสรรคต่อการชก จึงปล่อยให้ทีมแพทย์เตรียมพร้อมอยู่ก่อนการแข่งขันครั้งนี้เวลาในแต่ละยกจะสั้นกว่าปกติที่เคยต่อยกันมาก่อน มันทำให้เกมส์การแข่งขันเร้าใจมากขึ้น เพราะในแต่ละครั้งในการปะทะกันไม่ว่าจะมุ่งหวังเพียงแค่โชว์แม่ไม้เพื่อเรียกคะแนน หรือ หมายกระทำให้อีกฝ่ายได้รับความเสียหายทุกอย่างก็ล้วนแต่เกิดขึ้นด้วยความรุนแรงดุดันมากกว่าเดิม แน่นอนนั่นหมายความว่าอันตรายก็เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน 


    “.........”

จูนได้แต่เม้มปากแน่น เขาไม่เข้าใจเกมนี้ ทั้งๆที่เคนกำลังเจ็บแท้ๆ ทำไมทุกคนถึงทำเหมือนกับว่าเคนยังไหวได้ แค่เขาเห็นแค่นี้เขาก็แทบจะทนไม่ได้เสียแล้วด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มหันกลับไปมองการแข่งขันต่อ ใบหน้าของเคนชื้นเหงื่อและเลือดจากหน้าผากนั่นยังคงไหลไม่หยุด แต่เมื่อหันไปมองคู่ต่อสู้ก็ดูจะหมดแรงไปไม่น้อยเหมือนกัน ในตอนนั้นเองที่เคนยกขาวาดขึ้นใส่เป้าใหญ่คือลำตัวของคู่ต่อสู้เสียงเนื้อกระแทกกับกระดูกแข้งดังลั่นเวที คู่ต่อสู้เซไปทางหนึ่งเคนตั้งใจจะเข้าไปซ้ำต่อด้วยการจับมาตีเข่าแต่ระฆังหมดยกที่หนึ่งก็ดังขึ้นช่วยต่อชีวิตของดีมิทรีเอาไว้


    หากเป็นปกติเคนคงเดินชูหมัดกลับเข้ามุมมาด้วยความมั่นในชัยชนะเป็นแน่ แต่ในตอนนี้เขาที่มีแผลแตกกับออกอาวุธได้ไม่ดีเท่าไรนั้นอย่าหาว่าแต่มั่นใจในเรื่องการให้คะแนนของกรรมการเลย การจะประคองตัวเองให้พ้นจากอาการมึนงงนี่ก็นับได้ว่ายากอยู่เหมือนกัน ในตอนนั้นเองที่ศักดิ์ในขึ้นไปทำหน้าที่พี่เลี้ยงบนเวที เขาจับหน้าของเคนขึ้นมาดูอาการแผลที่แตกนั้นลึกใช่ย่อยเป็นคนธรรมดาทั่วไปแผลเท่านี้ก็น่าจะทำให้เลือดออกพอสมควรอยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายเป็นนักกีฬาที่ฝึกมาเป็นอย่างดียิ่งในสถานการณ์การแข่งแบบนี้ด้วยแล้วเลือดยิ่งสูบฉีดมากกว่าปกติ ของเหลวสีแดงข้นนี่จึงได้ทะลักทะล้นออกมามายขนาดนี้ เห็นดังนั้นก็โบกมือขอให้แพทย์สนามเข้ามาดูอาการ


    จูนได้แต่ยืนมองภาพตรงหน้านิ่ง เคนค่อยพยักหน้าตอบคำถามของหมอคงเป็นการเช็คเรื่องประสาทสัมผัส ในขณะที่หมอทำแผลไปศักดิ์ก็คอยให้น้ำและให้คำแนะนำในการชกไป ในขณะที่มีทีมงานอีกคนเข้าไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวบีบนวดให้กับเคนตลอดเวลา จูนได้แต่ยืนมองเขาไม่แม้แต่จะกล้าเอ่ยปากเรียกอีกฝ่าย ไม่กล้าที่จะบอกออกไปว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่แล้วด้วยซ้ำด้วยกลัวว่าจะยิ่งไปทำลายสมาธิของอีกฝ่ายเข้าไปใหญ่



    ....ผมไม่ได้อยากมาเห็นว่าพี่จะชนะหรือเปล่า....
    ....ผมแค่อยากให้พี่ทำให้ดีที่สุดของพี่ก็เท่านั้น....
    ....ต่อให้พี่จะแพ้หรือชนะ....
    ....ผมก็รู้แล้วว่าคำตอบของผมคืออะไร.....




to be con..... soon

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ goldfishpka

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-0
    • twitterของp.k.a
จะกลับมาต่อให้"จบตอนที่42" ภายในวันเสาร์นี้ค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด