“ฟอหกกอดอ เอกอาสอวอ”
นั่นคือประโยคแรกที่เขาพูดกับผม ผมจำได้ไม่มีวันลืม
วันนั้นทุกคนกลับบ้านกันหมดแล้ว เหลือแต่เขาที่ทำรีรออยู่คนเดียว ผมรู้... เขารอที่จะได้อยู่เพียงลำพังกับผม
“ฟอหอกอดอ เอกอาสอวอ ลองดูสิ ฝึกไม่ยากหรอก แป๊บเดียว” เขาขยับเข้ามาประชิดเสียจนผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสของลมหายใจ
ผมรู้ดีว่าทุกคนที่ใช้แป้นพิมพ์ภาษาไทยในการพิมพ์ ย่อมหัดพิมพ์สัมผัสโดยเริ่มต้นที่บท “ฟอหอกอดอ และเอกอาสอวอ”
แต่วันนั้นผมต้องยอมรับว่าผมแสร้งทำเป็นชายผู้ไร้เดียงสาที่สุดในประเทศ และลืมทุกตำแหน่งของตัวอักษรบนแป้นพิมพ์
“คืออะไรครับ ฟอหอกอดอ?” ผมขมวดคิ้วถาม
และนั่นก็คือประโยคแรกที่ผมพูดกับเขา
หลายเดือนถัดมาผมเริ่มที่จะพิมพ์ได้เร็วขึ้น และเร็วขึ้นเมื่อมือของเราสองคนสอดประสานกันอยู่บนแป้นพิมพ์ เขาเป็นครูที่ดีทีเดียว
บทเรียนของเราเป็นไปอย่างสม่ำเสมอทุกค่ำคืนในความมืดของบริษัท
แม้ผมจะเกลียดการทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ และต้องสละเวลาซึ่งทำให้ชั่วโมงในการพักผ่อนน้อยลง แต่ก็พอใจไม่น้อยที่ทุกครั้งเขาจะพาผมไปส่งถึงที่พักด้วยคาเยนน์สีดำคันนั้น มันเลื่อมระยิบระยับเมื่อทะยานไปบนถนนอันโล่งของยามค่ำคืน ผมรู้สึกเหมือนนกที่โบยบินอยู่ท่ามกลางความวิจิตรตระการตาของแสงไฟบนท้องถนน มือของผมคลอเคลียอยู่บนใบหน้าราวกับรูปปั้นของเขา เราฝึกพิมพ์กันบนรถบ้างเป็นบางครั้ง
เขาชอบทำอะไรเซอร์ไพร์สอยู่เสมอ เหมือนเด็กที่ชอบเล่นซนตลอดเวลา ครั้งหนึ่งเขาซื้อตั๋วเครื่องบินให้ผมไปพบที่ภูเก็ต เราแอบเจอกันหลังงานสัมมนาของเขาจบลง และใช้เวลาตลอดทั้งคืนอยู่บนชายหาดส่วนตัว เราสองคนกับหมู่ดาวระยิบระยับ เขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นคนพิเศษอยู่ตลอดเวลา ตัวเลขในสมุดบัญชีของผมพิเศษดังที่ผมกะเอาไว้ไม่มีผิดเพี้ยน ผมแทบระเบิดหัวเราะด้วยความสมใจ เมื่อคิดถึงอะไรต่อมิอะไรที่จะมาอยู่ในครอบครองของผม ณ อนาคตข้างหน้า
“ผมรักคุณ” เป็นเพียงคำสามคำที่ช่างง่ายดาย
และเมื่อมันง่ายที่จะพูดก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะไม่พูด เขาดูพออกพอใจไม่น้อยที่มีสิทธิ์ครอบครองร่างกายของผม
และคิดเลยเถิดไปถึงหัวใจที่เขาจะไม่มีวันได้เป็นเจ้าของ
ผมไม่มีอะไรจะเสีย มีแต่จะได้ และพยายามกอบโกยเอาให้มากที่สุดเท่าที่สามารถจะทำ แม้บางครั้งสิ่งที่ทำนั้นจะเสี่ยง แต่มันก็มีน้ำหนักน้อยกว่าผลลัพธ์เสมอ
...
เมื่อโอกาสมาถึงผมก็ไม่รอช้า ผมยืนอยู่บนพื้นหินอ่อนที่เย็นยะเยือกเหมือนหัวใจของผมที่เยือกเย็น แต่ร่างกายของผมร้อนผ่าวเนื่องจากชุดสีดำหลายชั้นที่อำพรางไปหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า คืนนี้มีเพียงแสงเรือง ๆ ของพระจันทร์ที่ว้าเหว่อยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสีลึกลับ บ้านของเขาเงียบเชียบเมื่อทั้งครอบครัวยกโขยงไปเที่ยวพักร้อนที่เกาะแห่งหนึ่งทางใต้ กุญแจบ้านของเขาผมแอบเอามาปั้มไว้อย่างง่ายดายเมื่อครั้งหนึ่งที่เขานอนหลับไม่ได้สติจากฤทธิ์ยานอนหลับ
ผมเดินย่างเท้าไปในบ้านหลังมหึมาเหมือนงูที่ค่อย ๆ เลื้อยหาเหยื่อ ตาผมเหลือบดูสิ่งของมีค่าชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ที่ไม่อาจประเมินราคาอย่างพอใจ อีกไม่นานนักหรอกที่มันจะมาอยู่ในครอบครองของผม...นึกแล้วผมก็ยิ้มขึ้นมาอย่างชอบใจ
ชายฉกรรจ์ห้าคนมาถึงตรงเวลาที่เรานัดกันไว้ ผมยืนกอดอกมองดูสิ่งละอันพันละน้อยที่ถูกลำเลียงออกไปจากบ้านอย่างเงียบกริบ เขาจะทำหน้าอย่างไรหนอ เมื่อกลับบ้านมาเห็นคฤหาสน์หลังโตนั้นว่างเปล่าโล่งโจ้ง เขาคงหาซื้อใหม่ได้ไม่ยากเย็นนัก ของแค่นี้เมื่อเทียบกับเงินทองของเขาที่มีมากมายก็นับว่ากระจอก ยัยเมียแก่ของเขาสิ มันคงจะโกรธน่าดูที่เครื่องเพชรถูกยกไปทั้งตู้เซฟ ของทั้งหมดนั่นจะทำให้ผมสบายไปเกือบทั้งชาติก็ว่าได้ ผมจะรอสักพักก่อนจะย้ายไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ไหนสักแห่ง อาจจะเป็นที่เมืองนอกก็ได้ ก็ผมรวยแล้วนี่ เมื่อมีเงินสักอย่างก็มีความสุข เงินจะซื้ออะไร ๆ ที่ผมต้องการได้แน่นอน
เสียงปืนลั่นดังมาจากหน้าบ้าน ทำใจผมหล่นไปอยู่แทบตาตุ่ม เขาบังเอิญกลับมาเสียพอดี ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ผมเห็นเขายืนอยู่กลางสนาม ปืนในมือส่องแสงสีเงินสะท้อนวะวับแข่งกับพระจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟ้า
เสียงปืนดังขึ้นอีกสองสามครั้ง ผมเห็นสี่คนนอนกองอยู่ที่พื้น เขายิงปืนแม่นอย่างเหลือเชื่อ ผมสบถคำสาปแช่งอย่างเหลืออด แต่ไอ้โจรกิ๊กก๊อกนั่นก็มีดีอยู่เหมือนกันไม่เสียที มันคว้าปืนออกมายิงสวนกับเขาอย่างน่าหวาดเสียว
ในที่สุดของการรอคอย กระสุนพุ่งเข้าเจาะกะโหลกเขาตายคาที่ ผมเดินกำมีดทำครัวเล่มยาวลงมาจากบ้านอย่างใจเย็น ขอบคุณในความโง่ของไอ้โจรเวรนั่น มีดปักลงไปที่หลังของมันลึกพอที่ผมมั่นใจว่ามันจะไม่ลุกขึ้นมาพูดอะไรได้อีก ผมหลบออกมาได้ทันท่วงทีก่อนที่ตำรวจมาถึง ด้วยหัวใจที่สงบนิ่งราวกับน้ำไหลเอื่อยเฉื่อย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น...
...
แผนการณ์ที่พังป่นปี้ทำให้ผมรู้สึกเหนื่อย หมดอารมณ์ และหงุดหงิด แต่ผมรู้ดีว่าผมจะไม่มีวันหยุดจนกว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ
เสื้อผ้า ถุงมือ หมวกคลุมหน้า บัตรประชาชนปลอม เอกสารและสำเนาต่าง ๆ ทุกอย่างมลายหายไปในกองไฟ วิทยุประกาศข่าวการเสียชีวิตของนักธุรกิจไฮโซตระกูลดังถูกขโมยยกเค้า ผู้ร้ายทั้งหมดเสียชีวิตขณะต่อสู้
ผมยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ของคอนโดมิเนียมหรูใจกลางย่านธุรกิจ กำลังผูกเนคไทเส้นใหม่ที่ซื้อมาด้วยราคาแพงอย่างไม่น่าเชื่อ พร้อมกับฟังข่าวจากวิทยุด้วยความรื่นเริงใจ
บริษัทใหม่แห่งนี้ใหญ่โตและเป็นที่รู้จักกว้างขวางในสังคม ผมใช้วิธีเดิม ๆ ในการปลอมเอกสาร และเนรมิตให้ตัวเองกลายเป็นบุคคลที่เลิศประเสริฐ พร้อมกับมีความสามารถอย่างหาตัวจับได้ยากในสายตาของฝ่ายบุคคลอันจู้จี้จุกจิก ดังนั้นไม่กี่วันนักหรอกที่ผมต้องคอยให้เสียงโทรศัพท์ดัง
“แต๊ก...แต๊ก...แต๊ก...”
เสียงเคาะแป้นพิมพ์อย่างสม่ำเสมอดังไปทั่วออฟฟิศที่เกือบจะไร้ผู้คน ด้วยเลยเวลาเลิกงานไปมากโข ผมรอเวลาที่จะมาถึงอย่างตั้งใจ ปล่อยให้นิ้วสัมผัสกับแป้นพิมพ์ไปเป็นจังหวะ
“ฟอหอกอดอ เอกอาสอวอ”
เสียงของใครสักคนดังขึ้นข้าง ๆ ผมหันไปมอง ชายคนนั้นโผล่มาจากฉากกั้นโต๊ะทำงาน สูทอิตาเลี่ยนของเขาส่งกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ นาฬิกาโรเล็กซ์ฝังเพชรวิบวับไปมาเมื่อเขาขยับมือ
ผมยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะขยับปากพูดว่า
“ฟอหอกอดอ เอกอาสอวอ...มันคืออะไรเหรอครับ?”