ผ่านช่วงเทศกาลไหว้ขนมบัวลอยมาแล้วเกือบ 9 วัน ถ้านับกันจริงๆวันนี้คือวันขึ้นปีใหม่ในแบบคนปัจจุบัน..ไม่ซิ คนอนาคตต่างหาก
คืนที่เงียบเหงาและเหน็บหนาว ตอนนี้ยามจื่อ หรือประมาณ 23.00 น. วันนี้คนในสมัยผมคงกำลังเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ นึกย้อนดูตัวเอง.. ทุกปีจะกลับไปที่ฮ่องกง เพื่อฉลองปีใหม่ที่นั่น ถ้าปีไหนพ่อแม่ไม่ว่าง ก็คงยังนั่งอยู่ตามคลับบาร์ กินเลี้ยงกับเพื่อนๆ ไม่ก็..โรงพยาบาล เพื่อเหตุฉุกเฉินจะได้มีแพทย์เพียงพอ..
ตอนนี้ล่ะ..พ่อแม่จะเป็นยังไง ทุกคนจะตามหาผมมั้ย ทุกสิ่งมันไม่เหมือนทุกปีที่ผ่านมา ถ้าพรุ่งนี้ของสมัยผม คือวันที่ 1 มกรา 2014 วันพรุ่งนี้ของสมัยนี้ ผมมีสิ่งที่ต้องทำมากกว่าการไปเข้าเวร ปาร์ตี้ หรืออะไรก็ตามที่ทำๆมาทุกๆปี
มองไปเห็นตะเกียงยังไม่ดับ ผมหลับตาอธิฐานในใจขอให้ได้กลับบ้านเร็วๆด้วยเถอะ เพี้ยง! พร้อมกับเป่าดับตะเกียง
“ Happy new year 2014”
.
.
วันนี้เป็นอีกวันที่ต้องถูกบังคับให้แต่งหน้าทำผมด้วยชุดหนาๆ เยอะๆ เหมือนวันแรกที่เข้า ซ้ำร้าย บนหัวยังมีเครื่องประดับมากมายที่ได้ประทานมาจาก พระสนมเฉิงผิน ตระกูลเดียวกันกับเหล่าเฝอเย๋ ที่ผมอาศัยอยู่ด้วย
โชคดีที่อากาศเป็นใจ ไม่อบอ้าวไม่อย่างนั้นผมอาจะกลายเป็นไก่อบก็เป็นได้
“ ทูลฝ่าบาท องค์หญิงตัวหลัว อิงอิง ขอเข้าเฝ้า พ่ะยะคะ”
กงกงหน้าตำหนักเฉียนชิงขาน ผมได้ยินเสียงของฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ดังมาเป็นเชิงอนุญาต ใจผมเต้นรัวเลยก็ว่าได้ ก่อนหน้านี้เคยพบพระพักตร์ช่วงเทศกาลไหว้ขนมบัวลอยที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระองค์อย่างใกล้ชิด
ความประหม่าก็บังเกิดขึ้นในทันที..
หลังจากนั้นเป็นอย่างไร ไม่อยากจะบรรยาย เพราะเฉียนหลงเองก็มีราชกิจเยอะแยะมากมาย เพียงเรียกให้เฝ้าดูหน้าดูตา พระราชทานเงิน กับสร้อยมุกให้ 1 เส้น แล้วผมก็กลับ
ไม่มีบทพูดใดๆเลยก็จริง แต่ความรู้สึกนั้น ไม่เป็นผมไม่รู้หรอก..
คนที่กุมชีวิตของคนทั้งแผ่นดิน อำนาจล้นฟ้ามหาศาล ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ไม่กลัวให้มันรู้ไปซิครับ!
วันนี้วันที่เท่าไร ศกเท่าไร ไม่ได้นับ ไม่อยากนับ เพราะผมมีชีวิตอยู่โดยไม่ได้โฟกัสเรื่องของเวลาอีกแล้ว .. เพราะไม่ว่าจะนับอย่างไร ผมก็คงนับไม่ถึงปัจจุบันของผมสักที
พี่ใหญ่บอกว่าวันนี้อากาศดีจึงชวนมาขี่ม้า ส่วนตัวแล้วผมขี่ม้าเป็น แต่ไม่ได้เก่งกาจอะไรถ้าเทียบกับชาวแมนจู ที่เป็นชนชาติซึ่งได้แผ่นดินมาบนหลังม้า
นั่นแหละ สถานะของผมคือได้แค่ให้ม้ามันวิ่งเหยาะๆไป.. ใครจะแซงก็แซงไปเถอะ ยิ่งพวกลูกท่านหลานเธอ ในปักกิ่ง ต่างมาขี่ม้าเล่นที่นี้ทั้งนั้น ที่นี่มันที่ไหนกันแน่ว่ะ?
“เบื่อซะแล้วหรือน้องสาม” หันกลับไปมองเจอกับพี่ใหญ่ที่ควบม้ามาตีขนาบข้างม้าของผม..
“ เบื่อซิ เบื่อๆๆ ข้าขี่ม้าไม่เก่งเหมือนพี่นี่ ม้าวิ่งเร็วเกินไปข้าก็กล้าจะบังคับไม่เป็น..”
ผมได้แค่บอกปลงๆกับชีวิตให้พี่ใหญ่ฟัง พี่ใหญ่ได้แต่ขำแล้ว บอกให้ผมไปพัก เอาเถอะผมไม่ได้เกิดมาให้ สมัยม้ารุ่งเรืองนี่น่า ลองมาแข่งรถกับผมมั้ยล่ะ? รับรองชนะขาด..หึหึ
“เหนื่อยแล้วหรือองค์หญิง”
ผู้ชายรูปร่างสูง สวมชุดสีขาวสง่า อยู่บนหลังม้าตัวสีดำขลับ..แต่ชุดที่เขาใส่ไม่ได้บ่งบอกฐานะอะไร ทำเอาผมเริ่มไม่แน่ใจว่าเขาคุยกับใคร ผมหรือ?
“ที่นี่ยังมีองค์หญิงองค์อื่นอีกหรือไม่?”
“งั้น เจ้าคุยกับข้าหรือ?”
“ย่อมเป็นท่าน..” ใบหน้าที่ดูดี ออกไปทางหล่อเหลาเอาการสำหรับคนยุคนี้ แต่ไม่ถือว่าหล่อมากมาย ยิ้มตอบรับผมมา ทำเอาผมต้องมองเขาเสียใหม่ ออร่าความเฟรนด์ลี่ และความใจดีทำให้เขาดูหล่อขึ้นมาให้สายตา(ผู้ชาย)อย่างผม
“เจ้าคือ?”
“เรียกข้าว่า ฉีเฮ่า....”
เมื่อพระเอก...ปรากฎ
เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อให้ค่ะ ขอโทษที่วันศุกร์หายไป พอดีเครียดเรื่องที่โรงเรียนมากเลยค่ะ เพราะการเปลี่ยนห้องใหม่ ตัวภัสเองอยู่วิทย์-คณิต ก็นะ ลำบากอยู่เเล้ว เเถมอยู่ห้องคิงด้วยค่ะ
บรรยายกาศในห้องช่างอึมครึม...งานนี้เยอะจนจะไม่มีเวลา 5555
เเต่ก็ต้องทนค่ะเพื่อความฝันน้อยๆของภัสจะได้เป็นจริง 55555555
ป.ล. ขอบอกไว้เลยว่า นิยายหมดสต็อกที่เขียน 5 วันที่หายไปก็ไปเขียนมาค่ะ ได้มาอีกล็อตใหญ่ๆล็อตหนึ่ง เเต่กันปัญหาจะหมดสต็อกเเล้วค้างกระทู้นี้ไว้นาน ขออัพทีละ.. 50 % นะคะ
ฝันดีค่ะ วันนี้เพลียจริง
ขอคลานไปนอนพรุ่งนี้มีเรียนเช้ามาก !
บาย....ภัส