สวัสดีเจ้าค่ะ
ตอนที่2 :เปลี่ยนตัว
ค่ำคืนที่ผ่านไปอย่างช้าๆ.. อากาศของปักกิ่งเวลานี้ช่างน่ากลัว ผมนอนกระสับกระส่ายทั้งคืน พลิกตัวไปมาอย่างไม่สบายกาย ส่วนหนึ่งย่อมมาจากเสื้อผ้าสตรีที่ไม่เคยใส่ อึดอัดอย่างมาก พลิกไปพลิกมา ...จนสาวใช้ที่อยู่ห้องข้างนอกแอบย่องเข้ามา..
“ องค์หญิง..ทรงเป็นอะไรไปเพคะ” คนสนิทของอิงอิงที่ชื่อเสี่ยวหลันเข้ามาประคองผมให้นั่ง..
ถ้าเสี่ยวหลันไม่พูด ผมคงลืมไปแล้วว่าตอนนี้ ผมคือ อิงอิง ไม่ใช่ อิงเฮ่า...ไม่ใช่คุณหมอหย่งอี้ศัลยแพทย์หัวใจอันดับต้นๆ..
ตอนนี้บทบาทใหม่ที่ได้รับในเมืองต้องห้ามแห่งนี้ คือ องค์หญิงตัวหลัว พระธิดาของตัวหลัวจุ้นหวังที่ประสูติจากพระชายาเอกองค์หญิงเหอซั่วกงจวู่ ที่ชื่อว่า ‘มู่หรง อิงอิง’
“ องค์หญิงยามจื่อแล้วนะ บ่าวว่าทรงพักผ่อนก่อนเถอะ ” เสี่ยวหลันยื่นน้ำให้ผมจิบเล็กน้อย ก่อนจะจับตัวผมเอนนอนลงบนเตียง ห่มผ้าห่มให้ดิบดี..
เพิ่งจะเที่ยงคืนเองงั้นเหรอ..กลางคืนช่างยาวนานเหลือเกิน ได้แต่มองไปยังหน้าต่างทางทิศตะวันออกอยู่อย่างนั้น หวังเพียงแค่เเสงแรกของวันใหม่จะมาช่วยละลายความเหน็บหนาวที่ก่อตัวในใจของผมได้….
.
.
ทุกวันแม้ผมจะเป็นอิงอิงแต่ก็มีความสุขดี แต่งชุดกี่เพ้าบางเบา ส่วนทรงผมก็แค่ปักปิ่นมุกอันหนึ่งไว้อย่างเรียบๆเหมือนชาวฮั่นทั่วไป...แต่วันนี้เพิ่งเข้าใจความทรมานของคุณหนูตระกูลผู้ดีทั้งหลาย ต้องตื่นขึ้นมาล้างหน้าแต่เช้า.. จากนั้นก็แต่งหน้า แต่งตัวทำผม บลาๆๆๆ
เหมือนอย่างตอนนี้.. หนังหัวแทบโดนเสี่ยวหลันถลก หวีไปซ้ายที ขวาที หัวจะหลุดติดมือเธอไปอยู่แล้ว จนได้ทรงผมแบบสาวแมนจูที่เกล้าสูงๆ แต่ยังไม่ได้ประดับประดาอะไรเพราะต้องรอหลังแต่งตัวเสร็จ
ในสมัยนี้ยังไม่ได้มีหมวกส่งสูงๆแบบซูสีไทเฮา ที่เป็นหมวกผ้าไหมอัดแข็ง แต่อาศัยที่ชาวแมนจูไม่เคยตัดผมเว้นแต่ญาติเสีย เลยได้ผมทรงสูงประหลาดคล้ายกับทรงปีกไม้กวาดมาแทน
“องค์หญิงทำผมเสร็จแล้วเพคะ จะทรงให้แต่งตัวให้เลยมั้ย?”
เสี่ยวหลันยื่นกระจกมาให้ผมส่อง พร้อมกับสอบถาม ผมต้องรีบร้องห้าม ไม่เช่นนั้นเธอตั้งรู้แน่ว่าผมไม่ใช่อิงอิง
“ไม่ๆๆๆ วันนี้เอ่อ..คือข้า..เอ่อ.”
อ้ำอึ้งอยู่นานสองนานเพราะทุกวันผมจะสวมเสื้อผ้าเอง แต่วันนี้ต้องแต่งกายพิธี สุดท้ายล่าเหมยก็มาเคาะประตูพร้อมกับชุดสาวแมนจูในมือของเธอ
“อ่า…ใช่.วันนี้จะให้ล่าเหมยแต่งตัวให้ เสี่ยวหลัน เจ้าออกไปก่อน”
เสี่ยวหลันมีสีหน้าแปลกไปแต่จะพูดอะไร นอกจากคำนับผมแล้วออกไปรอข้างนอก.. เฮ้อ โล่งอก คิดว่าความลับจะแตกเสียแล้ว หันไปมองอีกทีเห็นล่าเหมยกำลังกลั้นหัวเราะอยู่ เธอจังโดนผมเอ็ดไปทีหนึ่งก่อนที่จะเดินมาแต่งตัวให้ผม
“ นี่คือ?”
“ชุดชั้นในเพคะ”
“ แล้วนี้คือ ผ้ารัดอกเพคะ”
“ แต่ข้าไม่มีหน้าอก”
“ก็ต้องรัดเพคะ”
เพิ่งตระหนักว่า การเกิดเป็นสตรีแมนจูไม่ใช่เรื่องที่ใครๆก็เป็นได้..! เสื้อผ้ามากมายที่กองอยู่ ต่างมีวี่แววว่าจะมาอยู่บนตัวผมทั้งหมด แม้ตอนนี้ยังเป็นช่วงอากาศหนาวอยู่ แต่ร่างกายของผมไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นสตรีแมนจู หน้าตรงที่รอรองรับเครื่องประดับหนักอึ้งบนหัว ขาตรงที่ต้องคอยกะจังหวะการเดินบนรองเท้ากระถาง..
“ แล้วที่เพิ่งใส่คือเสื้อกับกางเกงใช่หรือไม่?”
“ใช่เพคะ ส่วนนี่คือผ้าพันเอวใช้บังขอบกางเกง”
ใกล้แล้ว...หย่งอี้ เตือนตัวเองให้อดทนอีกหน่อย ไม่นาน ไม่นาน.
“อ่อ..เสร็จแล้วใช่มั้ย ข้าใส่เสื้อตัวยาวได้แล้วใช่มั้ย?”
“ยังก่อนเพคะ ยังมี ท่านต้องสวมเสื้อลายพื้นสีฟ้าตัวนี้ก่อน แล้วก็กระโปรงจีบรอบเอวอีก2รอบ จึงจะสวมชุดตัวยาวได้”
พระเจ้า..นี่มันแฟชั่นสยองขวัญหรือยังไงกัน .. แต่ก็นึกขอบคุณพระเจ้า ถ้าผมย้อนไปเป็นผู้หญิงสมัยอื่นอาจจะต้องรัดเท้าด้วยก็ได้..นี่สินะที่เรียกว่า แฟชั่นสยองของจริง!
พอล่าเหมยสวมชุดกี่เพ้าตัวยาวสีขาวปักลายดอกมู่หลันให้ผมเสร็จ..ตัวผมก็ทรุดไปกองที่เก้าอี้ทันที.. ร้อนเเละเหนื่อย มาก! ล่าเหมยหัวเราะคิกคักกับท่าทางของผม แน่สิ! ผมไม่ได้เกิดมาต้องรัดตัวเป็นขนมบะจ่างแบบพวกเธอนี่ อากาศช่วงเช้าหนาวจัด แต่พอใส่ชุดนี้เท่านั้น อุ่นจนร้อน!
“ อย่ารีบนั่งเพคะ ยังมีเสื้อกั๊กกับผ้าพันคออีก.. ”
เอ่อ....ผมไม่เคยใส่เสื้อผ้าหนาขนาดนี้มาก่อน ขออนุญาติเป็นลม!
จนแล้วจนรอดล่าเหมยจับผมใส่ชุดทั้งหมด 7 ชั้น! ผมได้แต่หน้ามุ่ยอยู่บนเก้าอี้ มีล่าเหมยคอยแต่งหน้า และประดับเครื่องประดับบนผมให้อีก..แต่วิบากกรรมยังไม่จบ เมื่อผมโดน เจาะหู! เจ็บเป็นบ้า แถมต้องใส่ต่างหูหยกอันใหญ่อลังการอีก
“ เสร็จเล้วเจ้าค่ะ นี่กระจก”
ล่าเหมยส่งกระจกมาให้ผม ผมรับมาส่องดูหน้าตัวเองแล้วแทบกรีดร้อง นี่ใช่ผมเหรอ? เด็กสาวอายุ17 บนหัวมีเครื่องประดับทอง พลอยหลากสี หยก รวมถึงปิ่นไข่มุกห้อยระย้าตรงปลายเชื่อมกับพู่สีฟ้า..
ใบหน้าเป็นเป็นเคล้าเดิมของผมอยู่บ้าง แต่ถูกเติมแต่งด้วยเครื่องสำอาง จนแทบจะกลายเป็น อิงอิงตัวจริง 90 % ไปแล้ว เรื่องน้ำเสียง แค่ดัดนิดหน่อย รูปร่างก็มีเสื้อผ้ามากมายคอยช่วย ยิ่งกว่านั้นลูกกระเดือกก็ยังโดนปิดมิดด้วยผ้าพันคอแบบชนชั้นสูง
ล่าเหมยบอกว่า เพราะสตรีชั้นสูงแมนจูใส่เสื้อหลายชั้น คอเสื้อมักจะโผล่ให้เห็นเป็นสิ่งไม่น่าดูเท่าไร ต้องปิดบังไว้ แต่ถ้าเป็นชุดในวันธรรมดาไม่จำเป็นก็ได้
“นี่คือรองเท้ากระถาง แต่องค์ชายรองสูงมากอยู่แล้วจึงต้องการส้นที่เตี้ยลง หลายวันนี้ข้าให้ช่างทำรองเท้าตัดให้ใหม่ สิบคู่เพคะ”
ล่าเหมยว่าจบก็ช่วยใส่รองเท้าให้ เรื่องรองเท้าชาวแมนจูก็สำคัญได้ยินว่าเป็นความคิดของคังซีฮ่องเต้ ที่ต้องการชาวแมนจูเลิกเอาอย่างราชวงศ์ก่อนที่มีการรัดเท้า โดยคิดให้รองเท้ามีความสวยงามสูงสง่า แต่พระองค์จะรู้มั้ยว่า มันเดินง่ายกว่าการรัดเท้าแค่นิดเดียวเท่านั้น เฮ้อ...
“ ทูลองค์หญิง หม่อมฉันหม่อมฉันเสี่ยวหลัน ตอนนี้รถม้าพร้อมแล้ว”
เสี่ยวหลันอยู่ด้านนอกตะโกนเข้ามาให้ผมได้ยิน.. เธอคือคนที่รู้ว่า อิงอิงหายตัวไปก็จริง แต่กลับเชื่อว่าวันนั้น ผมกับพี่ใหญ่ตามไปที่ท่าเรือทันแล้วพานางกลับมา..
คิดถึงสีหน้าตอนนั้น เธอเป็นห่วงอิงอิงมาก เพราะพี่ใหญ่บอกว่าให้ผมแสร้งทำเป็นอิงอิงไปก่อน..
เหตุการณ์เมื่อสามวันก่อนผมจำได้ดี... พอผมทรุดไป พี่ใหญ่ก็เข้ามาจากนั้น ก็บอกทุกคนว่า ‘อิงอิงคงไปไม่ไกล ข้าจะรีบตามไป’ แล้วพี่ใหญ่ก็พาผมออกนอกตำหนัก...หลังจากนั้น ที่ๆเราไปไม่ใช่ท่าเรือ แต่เป็นธารน้ำเล็กๆ เราพี่น้องลงจากม้า พี่ใหญ่ผูกม้าไว้ใกล้ๆทุ่งหญ้า
ผมได้แต่งงในการกระทำ... พี่ใหญ่เดินไปเรื่อยๆตามความยาวของธารน้ำนั่นแล้วทรุดตัวลงบนโขดหินก้อนหนึ่ง ซึ่งผมก็ทำตาม
‘เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าพี่คิดอย่างไร’
ตอนนั้นได้แต่งอึ้งไป...ขัดราชโองการ มีโทษ หลอกลวงฮ่องเต้ก็มีโทษ
‘พี่รู้มันอาจจะเป็นการเห็นแก่ตัว แต่สามเดือนนี้ที่เจ้าไปอยู่ในวังนั้น ฝ่าบาทยังไม่ได้กำหนดวันสมรสรวมถึงผู้ที่จะเป็นเจ้าบ่าว..
‘ ระหว่างนี้เจ้ายังปลอดภัย..เอาล่าเหมยติดตามเจ้าเข้าวังไปด้วย เพียงเจ้าไม่ให้ใครรู้ว่าเป็นชาย พี่อยู่ข้างนอกจะตามหาอิงอิงกลับมาให้ทันวันสมรส พี่เชื่อว่านางไม่ได้ไปฝั่งเศส เพราะคนรักของนางอยู่ที่เขตทางใต้ พี่จะไปตามนางที่นั่น
‘อย่าเกรงกลัว แม้เจ้าจะถูกจับได้ ฮ่องเต้ก็จะประหารเจ้าไม่ได้ เพราะพี่ได้รับพระราชทานป้ายทองอภัยโทษ สามารถช่วยชีวิตคนได้ สามครั้ง...หากความแตกไป พี่ก็จะช่วยเจ้า กับน้องรอง และล่าเหมย แต่หากว่าขัดราชโองการต้องโทษถึงเก้าชั่วโคตร มีป้ายทองเท่าไรก็ไม่สามารถช่วยชีวิตเราทั้งหมดได้... เพราะต่อให้พี่มีสิบหัว ก็เกรงจะไม่พอให้ลงอาญา
‘เจ้าเข้าวังเถอะ..พี่จะหาทางติดต่อน้องรองให้ช่วยดูแลเจ้าอีกทางหนึ่ง..ไม่ต้องกลัวอันใด ’
นึกถึงคำพูดของพี่ใหญ่นับว่าเป็นคนดีทีเดียว ใจผมกลัวว่าผมจะตายเปล่าหรือไม่? อย่างน้อยมีหลักประกันก็ดี
รถม้าคันใหญ่ตกแต่งสวยงาม จอดนิ่งอยู่หน้าตำหนัก สาวใช้บ่าวไพร่ ล้วนคุกเข่าน้อมส่งผม...ไม่ซิ องค์หญิงอิงอิงต่างหาก
“น้อมส่งพี่หญิง ขอให้เดินทางสู่พระราชวังต้องห้ามอย่างปลอดภัย”
คำอวยพรของเสียนเวย เสียนไฉ น้องสาว น้องชาย ต่างมารดา ที่ดูจะดีใจเพราะการไปครั้งนี้อิงอิงจะเเต่งงาน คงคิดซิว่า ต่อไปน่าจะเป็นตาของพวกเขาบ้าง...
“อิงอิงทูลลาแม่เล็ก วันหน้าอิงอิงจะกลับมาเยี่ยม”
เเม่เล็กยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน คงเป็นเธอที่เลี้ยงอิงอิงมาตั้งเเต่เล็ก เพราะเเม่ของเราเสียไป..ประกอบกับที่มีลูกอยู่ในวัยใกล้กัน ตัวผมถูกเลี้ยงโดยองค์หญิงกุ้ยเจินพี่สาวของเเม่เพราะความที่เป็นผู้ชายย่อมโดนให้ความสำคัญ
มองดูหน้าเเม่เล็กที่เริ่มเเก่ชรา เธอคงจะรักอิงอิงมากเเต่อิงอิงช่างไม่คิดถึงเลยว่าหากได้รับโทษ9ชั่วโคตร ชีวิตของเเม่เล็กที่รักเธอ จะอยู่อย่างไร... ผมจึงน้อมตัวไปกอดเเม่เล็ก ก่อนจะจับมือที่พี่ใหญ่ยื่นมารับจากบนรถม้า..
หึ....ด่านต่อไป คือพระราชวังต้องห้าม...ที่ๆผมไม่สมควรจะอยู่
ไม่สมควรจริงๆ