ตอนที่ 6
ห้องนอนของกัปตันระเกะระกะไปด้วยเสื้อผ้าที่ใส่แล้วทั้งบนเตียง บนพื้น และบนเก้าอี้ เขาโกยพวกมันขึ้นและโยนมันลงไปกองที่มุมห้อง
“เอ่ออ... ห้องรกหน่อยนะ”
“ไม่เป็นไร บัสไม่ถือหรอกน่า”
เขาเดินเข้ามาดึงตัวของผมเข้าไปกอดและจูบผมอย่างดูดดื่ม ผมรู้สึกถึงไอ้น้องชายของเขาที่ค่อยๆ แข็งตัวขึ้นและถูเข้ากับต้นขาของผมอย่างชัดเจน หัวใจของผมเต้นแรงและสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงที่ไอ้บัสน้อยจนมันขยายตัวขึ้นจนสุดภายในเวลาแค่ไม่กี่วินาที
มือของเราป่ายไปบนร่างกายของกันและกันอย่างโหยหา และลมหายใจที่หนักหน่วงของเราก็สอดประสานจนเป็นจังหวะเดียวกัน หลังจากที่เราจูบกันอย่างยาวนาน ในที่สุดเขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออก
“บัสไม่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยนแบบนี้ก็คงต้องนอนแก้ผ้าซะแล้วล่ะมั้ง” เขายิ้มกว้าง
“อย่างกับเป็นเรื่องแปลกนักนี่” ผมจุ๊บลงบนต้นคอของเขา “อยู่เฉยๆ นะ บัสอยากเป็นคนถอดเสื้อให้พี่ตันมานานแล้ว”
ผมจัดการปลดกระดุมเสื้อเชิ๊ตของเขาออก เผยให้เห็นถึงกล้ามอกที่เป็นลูกและกล้ามท้องที่เป็นลอน นี่ถ้าเขาไม่อยากเป็นโค้ชสอนกีฬาหรือยูโดแล้วล่ะก็ ผมว่าเขาสอบผ่านการเป็นนายแบบได้อย่างสบายๆ เลย
ผมคุกเข่าลง จัดการปลดตะขอกางเกงยีนส์และรูดซิปลง กางเกงในสีขาวของเขาถูกไอ้น้องชายที่แข็งเกร็งดันออกมาจนตุง ผมที่ทนรอไม่ไหวรีบดึงกางเกงในลงพร้อมกับกางเกงยีนส์ทีเดียวเพื่อปลดปล่อยให้มันเป็นอิสระ ผมจำไม่ได้เลยว่าน้องชายของเขามันใหญ่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“โห แม่งโตขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย” ผมพูดพลางหัวเราะเบาๆ
“ตันว่าไม่ใช่ตันคนเดียวหรอก” เขายิ้มอย่างมีเลศนัย
“ก็ไม่รู้สิ” ผมกำไอ้ท่อนลำที่แข็งชี้อยู่ตรงหน้าแล้วเริ่มขยับข้อมือเบาๆ “น่าอิจฉาบรรดาสาวๆ ที่เคยโดนพี่ชายของบัสเอาจริงๆ เลยเว้ย”
“ไม่ต้องไปอิจฉาพวกนั้นหรอก เพราะหลังจากนี้มันจะเป็นของบัสคนเดียวแล้ว”
ผมยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะตวัดลิ้นลงที่ปลายหัวเห็ดของเขา ทำเอาเขาสะดุ้งเฮือก จากนั้นผมก็ค่อยๆ ใช้ลิ้นเลียไล่ไปตามความยาวของมันพร้อมกับสาวมือเบาๆ ไปด้วย
“ซี้ดดด..ด...ส์ เสียวว่ะ บัส แม่งงง..ง...!!” เขาครางเบาๆ
ผมตั้งใจจะแหย่เขาให้นานที่สุด จึงใช้ลิ้นตวัดไปตามท่อนเอ็นของเขาบ้าง เลียที่ถุงไข่แฝดทั้งสองข้างของเขาบ้าง สลับกับการเลียบริเวณซอกขาของเขาบ้าง ทำเอาเขาขาสั่นจนแทบยืนไม่อยู่ทีเดียว
“ทนไม่ไหวแล้วเว้ย! มานี่เลย ไอ้ตัวเล็ก!” เขาก้มลงช้อนตัวผมขึ้นจากพื้นและเหวี่ยงผมลงไปบนเตียง ถึงเขาจะพูดแบบนั้น แต่ด้วยส่วนสูง 177 เซนติเมตรและน้ำหนักกว่า 80 กิโลกรัม ผมว่าผมก็ไม่ได้ตัวเล็กขนาดนั้นนะ
เขาที่คร่อมร่างกายของผมเอาไว้ ซุกและไซร้ต้นคอของผมพร้อมกับเลิกชายเสื้อของผมขึ้น ผมช่วยเขาถอดเสื้อยืดออกด้วยตัวเองในขณะที่เขากำลังง่วนอยู่กับกางเกงยีนส์ของผม และเมื่อเขาจัดการปลมกระดุมทุกเม็ดออกหมดแล้ว เขาก็จัดการดึงมันและกางเกงในลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่มของผมพร้อมกันทีเดียวทันที
“เราเองก็โตขึ้นเยอะเหมือนกันนี่ ไปทำอะไรมาถึงได้มีหุ่นแบบนี้”
“ก็ออกกำลังกาย เข้ายิม วิ่ง แค่นั้นแหละ เวลาเครียดๆ เหงาๆ ไม่มีอะไรทำ บัสก็ทำแบบนั้นจนติดเป็นนิสัยน่ะ”
“ตันชอบนะ...” เขาจุ๊บลงบนหน้าท้องของผมเบาๆ จากนั้นก็เลื่อนมือมาจับไอ้น้องชายของผมให้ตั้งขึ้น “ครั้งล่าสุดที่เห็นยังเพิ่งมีขนขึ้นหรอมแหร็มอยู่เลย” เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ
“แล้วชอบแบบไหนมากกว่าล่ะ” ผมถาม
“แบบไหนก็ชอบทั้งนั้นแหละ ก็เป็นของคนรักนี่หว่า” เมื่อพูดจบ เขาก็ครอบริมฝีปากลงบนไอ้น้องชายของผมทันที
ผมแอ่นอกขึ้นพลางร้องครางออกมาด้วยความเสียว ความจริงที่ว่าคนที่กำลังทำแบบนี้ให้ผมอยู่คือพี่ชายคนที่ผมรักมานานแล้วก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกมีความสุขมากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ เขาพยายามอมไอ้น้องชายของผมเข้าไปทั้งลำ ก่อนที่จะถอนปากออก จับมันตั้งขึ้น แล้วค่อยๆ ใช้ลิ้นเลียไล่ตั้งแต่โคนขึ้นไปจนถึงปลายยอด แล้วเลื่อนกลับลงมาเลียที่ถุงไข่ทั้งสองข้างของผม ผมถึงกับต้องจิกหมอกเอาไว้ด้วยความเสียวซ่าน
“พ... พอแล้ว พี่ตัน พอก่อน...” ผมบอกให้เขาหยุด
“ทำไมล่ะ”
“มาให้บัสทำบ้าง” ผมพลิกตัวจนเราสองคนอยู่ในท่าหกเก้า จากนั้นก็จับไอ้น้องชายของเขาเข้าปาก
“อื้อออ!!” เขาที่กำลังผมให้ผมอยู่ร้องครางอยู่ในลำคอ
เราสองคนใช้ปากให้กันและกันในท่านั้นอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งผมรู้สึกว่าเขาเริ่มใกล้ถึงจุดสุดยอดมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ผมจึงใช้ปากครอบไว้แค่บริเวณส่วนหัวและใช้มือชักให้เขาแทน และอีกไม่กี่วินาทีถัดมา เขาก็ร้องเตือนผมว่าเขาจะแตกแล้ว แต่ผมไม่หยุด จนเมื่อสิ้นเสียงของเขา ไอ้น้องชายตัวเขื่องของเขาก็ฉีดน้ำรักเข้าสู่ปากและคอของผม ผมพยายามกลืนมันลงไปให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ปริมาณของมันก็มหาศาลจนผมไม่สามารถกลืนมันได้หมด
ร่างกายของกัปตันกระตุกอีกหลายที แต่มือของเขาก็ยังคงทำหน้าที่ชักให้ผมไปด้วย จนสุดท้ายผมก็หลั่งออกมาโดยไม่ทันได้ร้องเตือนเขา ทำให้น้ำรักของผมพุ่งขึ้นไปโดนหน้าเขาเต็มๆ แต่เขากลับไม่มีท่าทีรังเกียจเลยแม้แต่น้อย ที่จริงผมว่าเขาดูเหมือนจะชอบด้วยซ้ำ เพราะเขาใช้นิ้วปาดน้ำที่เลอะบริเวณแก้มออกและเลียทำความสะอาดมันจนเกลี้ยง
หลังจากที่เราสองคนต่างก็หลั่งออกมาและพักหอบหายใจจนหายเหนื่อยแล้ว เขาก็ดึงตัวผมขึ้นไปนอนข้างๆ เขาดีๆ
“ขอโทษทีว่ะ ตันไม่ได้เอาน้ำออกมานานแล้ว เลยแตกไวไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรหรอก เรายังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกหลายวัน” ผมหอมแก้มเขา “ครั้งหน้าพี่ตันเอาบัสมั้ย”
“ได้เหรอ” เขาถามด้วยดวงตาเป็นประกาย
“แหงดิ มันไม่ใช่ครั้งแรกของบัสหรอก ไม่ต้องห่วง”
เขานอนนิ่งไปครู่หนึ่ง “แล้ว... บัสอยากเอาตันปะ”
ผมตาโต “เฮ้ย จะดีเหรอ! พี่ตันเคยโดนเอามาก่อนรึเปล่า”
“ไม่เคย ก็บอกแล้วไงว่าตันเคยแค่ใช้มือกับใช้ปากกับเพื่อนเฉยๆ แต่ไม่เคยเอาผู้ชายมาก่อนเลย เพราะงั้นเรื่องโดนเอายิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่”
“แล้วพี่ตันแน่ใจเหรอว่าอยากให้บัสเอาพี่ตันจริงๆ น่ะ”
เขาพยักหน้า “ตันอยากให้บัสเป็นคนแรกที่เอาตันว่ะ ตันอยากลองกับบัส”
“ถ้างั้นบัสจะปฏิเสธได้ยังไงล่ะเนี่ย” ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ แค่ผมคิดว่าผมจะได้เอาพี่ชายของผมเป็นครั้งแรกก็เริ่มทำให้น้องชายของผมมันแข็งขึ้นอีกครั้งแล้ว
เขาที่เหมือนจะรู้ตัวว่าผมเริ่มกลับมาแข็งสู้อีกครั้งเลื่อนมือลงไปกำมันเอาไว้แล้วบีบเบาๆ “อะไรวะ ยังแข็งได้อีกเหรอ”
“ไม่ต้องมาทำยิ้ม ของตัวเองก็เหมือนกันนั่นแหละ” ผมรูดไอ้น้องชายของเขาที่แข็งเป็นลำขึ้นลงเบาๆ “แต่เก็บแรงไว้พรุ่งนี้ดีกว่ามั้ง”
“โอเคๆ “ เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ พลางเอื้อมมือไปหยิบทิชชู่ที่หัวเตียงมาเช็ดคราบน้ำของผมที่เลอะอยู่บนตัวของเขาออก “เสียดาย น่าจะแตกใส่ปาก จะได้กินซะให้หมด”
ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ “เคยรึไง”
“ถ้าแค่นั้นน่ะเคย แต่ไม่บ่อยหรอก”
“อะไรวะ เคยไปกินน้ำของคนอื่น แต่กลับไม่เคยกินของน้องชายตัวเอง”
“ก็ตอนนั้นมันไม่กล้านี่หว่า แต่ตอนนี้อยากมากกกกก!” เขายิ้มกว้าง
“ฮ่าๆ เอาไว้พรุ่งนี้แล้วกันงั้น ห้ามให้เหลือสักหยดนะเว้ย”
“โอเค แต่ดูเหมือนว่าพรุ่งนี้เรามีอะไรต้องทำกันหลายอย่างเลยนะ จำได้หมดมั้ยเนี่ย”
“อยากจะขีดฆ่ารายการไหนออกไปก่อนมั่งมั้ยล่ะ” ผมถาม
“ไม่มีทาง” เขาลูบหัวผมเบาๆ “ถ้างั้นคืนนี้นอนกันก่อนแล้วกันนะ ตันดูออกว่าบัสคงเหนื่อยแล้ว อีกอย่างพรุ่งนี้รับรองได้ว่าเราสองคนคงจะโดนกวนตั้งแต่เช้าแน่นอน”
“เออ นั่นดิ! แล้วถ้าเกิดไอ้ตัวเล็กเปิดประตูห้องเข้ามาเห็นพอกับลุงนอนแก้ผ้าบนเตียงเดียวกันแบบนี้จะเป็นอะไรมั้ยเนี่ย”
“ไม่เป็นไรหรอก มันเคยเห็นตันนอนแก้ผ้าไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว และตันก็เคยนอนแก้ผ้ากับมันบ่อยไป”
“โอเค... ฮะ.. ฮ้าววว...” ผมอ้าปากหาววอด “ถ้างั้นก็ฝันดีนะครับ พี่ตันน...”
“ฝันดีครับ แอร์บัส”
เราสองคนจุ๊บปากกันเบาๆ อีกครั้งก่อนที่ผมจะผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของเขาอย่างรวดเร็ว
เช้าวันถัดมา ผมตื่นขึ้นเพราะรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังถูกใครจ้องมองดูอยู่ เมื่อผมลืมตาขึ้นก็เห็นจัมโบ้กำลังยืนเกาะขอบเตียงมองหน้าผมอยู่พอดี แสงแดดอ่อนๆ ที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาทำให้ผมเห็นดวงตากลมโตของเขาเป็นกระกาย ใบหน้าของเขาดูไร้เดียงสาและบริสุทธิ์เช่นเคย
“ว่าไงครับ จัมโบ้ ตื่นแล้วเหรอครับ” ผมกระซิบเบาๆ ไม่อยากปลุกพ่อของเขาที่นอนกอดผมอยู่ทางด้านหลังให้ตื่นขึ้น
“จัมโบ้ขอนอนกับอาบั๊ดแล้วก็ปะป๊าด้วยคนได้มั้ยคับ”
“ได้สิครับ คนเก่ง ขึ้นมาเลย”
เมื่อเขาปีนขึ้นมาบนเตียงแล้วเห็นว่าพ่อของเขากำลังนอนกอดผมอยู่ เขาก็หยุดนิ่งและคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตอนแรกผมคิดว่าเขาคงจะอยากนอนคั่นกลางระหว่างเราสองคนหรือนอนกอดพ่อของเขา แต่แล้วเขาก็ต้องทำให้ผมแปลกใจเมื่อเขาล้มตัวลงนอนตรงหน้าของผม ผมยกแขนขึ้นกอดเขาเอาไว้ เขาจึงตะแคงตัวเป็นหันหลังให้ผม ผมจุ๊บลงบนกระหม่อมของเขาเบาๆ แล้วจึงหลับลงไปอีกครั้ง
ผมก็ไม่รู้ว่าผมหลับไปอีกนานเท่าไหร่ แต่สิ่งถัดมาที่ทำให้ผมรู้สึกตัวคือมือของกัปตันที่ลูบไล้อยู่บนหน้าท้องของผมและริมฝีปากของเขาที่จุ๊บลงบนต้นคอของผมเบาๆ เขาเลื่อนมือขึ้นลงอย่างช้าๆ จนกระทั่งไปสะดุดเข้ากับร่างกายของจัมโบ้ที่ผมกำลังนอนกอดอยู่ เขาจึงยกแขนออกแล้วผงกหัวขึ้นดู
“เฮ้ย ลูกมานอนที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” เขากระซิบถามผม
“สักพักแล้วล่ะ ตอนพระอาทิตย์เพิ่งขึ้นน่ะ เค้าบอกเค้าอยากขอนอนด้วยคน แล้วก็เลยปีนขึ้นมานอนท่านี้นี่แหละ”
“แต่ปกติมันจะต้องปลุกตันนะ ทำไมหนนี้มันไม่ปลุกวะ”
“จะไปรู้เหรอ เด็กมันคงอยากนอนมากกว่าล่ะมั้ง”
กัปตันเงยหน้าขึ้นมองดูนาฬิกาบนผนังห้อง “แต่ยังไงตอนนี้คงต้องปลุกมันได้แล้วล่ะ อีกเดี๋ยวรถจะมารับแล้ว”
“ลูกต้องไปเนอร์สเซอรี่ทุกวันเลยเหรอ พี่ตัน อย่างวันนี้มันจำเป็นด้วยเหรอวะ ในเมื่อเราสองคนก็อยู่บ้านแบบนี้น่ะ”
“ถ้าไม่ใช่เสาร์อาทิตย์ ตันก็อยากจะให้ลูกไปเจอเด็กวัยเดียวกันทุกวันว่ะ อยากทำกิจวัตรของมันให้เป็นปกติ ยิ่งแม่มันไม่อยู่แบบนี้ด้วยแล้วตันยิ่งไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไรในช่วงนี้ ถึงตอนนี้มันจะยังเด็กและไม่ถามอะไรมากมายก็เถอะ”
“โอเค งั้นพี่ตันจัดการเรื่องลูกไปแล้วกัน เดี๋ยวบัสไปชงกาแฟและจัดการเรื่องอาหารเช้าให้” ผมลุกออกจากเตียงและเดินไปใส่กางเกงที่กองอยู่บนพื้น
“ยังไม่อยากให้รีบแต่งตัวเลย...” กัปตันเปรยขึ้นเบาๆ
ผมหัวเราะ “อย่ามาทะลึ่งตอนนี้ เดี๋ยวลูกชายตัวเองก็ได้ยินหรอก”
“ลูกของเราต่างหาก”
ผมมองหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าให้เขาเบาๆ แล้วเดินออกจากห้องไป ผมเดินลงไปยังห้องครัวและใช้เวลาในการหาของต่างๆ อยู่ครู่หนึ่ง แต่อีกไม่นานถัดมาผมก็ชงกาแฟได้สองถ้วยและจัดการปิ้งขนมปังกับไข่ดาวเป็นอาหารเช้าให้สำหรับเจ้าตัวเล็ก หลังจากที่ผมวางจานและถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะกินข้าวเสร็จแล้ว กัปตันก็เดินอุ้มจัมโบ้ลงมาจากชั้นสองพอดี
“โอ้โห ดูสิครับ คนเก่ง อาบัสทำไข่ดาวให้หนูด้วยนะ ขอบคุณอาบัสซิครับ”
“ขอบคุณคับอาบัด” จัมโบ้พนมมือขึ้นและผงกหัวเบาๆ
“ไม่เป็นไรครับ ตัวเล็ก” ผมยิ้มและลูบหัวเขาเบาๆ “ให้อาบัสป้อนมั้ยครับ”
“ไม่เป็นไรคับ จัมโบ้กินเองได้! จัมโบ้เก่ง!” เขาชูแขนทั้งสองข้างขึ้น
ผมปล่อยให้เขาพ่อลูกนั่งกันอยู่ตามลำพังในขณะที่ตัวเองไปล้างหน้าแปรงฟัน และเมื่อลงมาที่ชั้นล่างอีกครั้ง ผมก็เห็นว่ากัปตันกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ท่าทางซีเรียส ผมจึงอุ้มเจ้าตัวเล็กที่กินข้าวเสร็จแล้วมานั่งดูทีวีในห้องนั่งเล่นแทน หลังจากนั้นไม่นานกัปตันที่คุยธุระเสร็จแล้วก็เดินตามเข้ามาในห้องนั่งเล่น พร้อมกับที่เสียงแตรรถที่ดังขึ้นหน้าบ้านพอดี จัมโบ้กระโดดลงจากโซฟาและเดินตรงไปยังหน้าระเบียงบ้านพร้อมกับพ่อของเขา พี่ชายของผมนั่งยองๆ และหอมแก้มลูกชายเบาๆ ผมเห็นจัมโบ้กระซิบอะไรบางอย่างที่หูของเขา ก่อนที่กัปตันจะหันมากวักมือเรียกให้ผมเดินเข้าไปหาทั้งคู่
“จัมโบ้บอกว่าอยากให้อาบัสมาบอกลาก่อนไปเรียนด้วยน่ะ”
ผมนั่งยองๆ ลงตรงหน้าของเขา “โอเคครับ คนเก่ง ไปเล่นให้สนุกแล้วเดี๋ยวเจอกันตอนเย็นนะครับ”
จัมโบ้ทำให้ผมตกใจด้วยการชะโงกหน้าเข้ามาจุ๊บปากผมเบาๆ ก่อนที่จะหันแก้มให้ผม ผมจึงหอมแก้มเขากลับ แล้วจากนั้นเขาก็วิ่งออกจากบ้านไป เราสองคนยืนมองจนกระทั่งรถตู้เคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตา
“พี่ตันโชคดีมากนะที่มีลูกน่ารักแบบนี้น่ะ”
“นั่นน่ะสิ...” เขายิ้ม “ตันดีใจนะที่บัสเองก็ชอบจัมโบ้น่ะ”
“ชอบเหรอ ล้อเล่นรึเปล่า บัสรักมันเลยแหละ!”
เขาฉีกยิ้มกว้าง “ตันเองก็อยากมีคนช่วยดูแลลูกเหมือนกันนะเว้ย”
“บัสว่าเราคงต้องคุยเรื่องนี้กันอย่างจริงจังได้แล้วล่ะมั้ง” ผมเดินนำเขาไปที่โซฟา
“เรื่องอะไร”
“เรื่องของเรานี่แหละ”
เขานั่งลงข้างๆ ผม “ที่พูดแบบนี้นี่แปลว่ามีความคิดอะไรเอาไว้อยู่แล้วใช่มั้ย”
ผมพยักหน้า “บัสรักพี่ตันครับ อันนี้มันของตายอยู่แล้ว บัสดีใจที่ในที่สุดเราก็คุยกันและเข้าใจตรงกันสักที แต่มันไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นนอกจากเราสองคนจะเข้าใจนะ”
“แล้วทำไมคนอื่นต้องมารับรู้และเข้าใจด้วย” เขานิ่วหน้า ท่าทางไม่ค่อยพอใจ “เอาเถอะ ก่อนที่เราจะคุยกันเรื่องพวกนั้น ตันขอเล่าให้ฟังก่อนว่าเมื่อกี้ตันได้รับโทรศัพท์จากบริษัทประกัน มันโทรมาคอนเฟิร์มเรื่องจำนวนเงินที่ตันจะได้รับว่ะ”
“เงินเหรอ” ผมเลิกคิ้วขึ้น
“ใช่ ค่าสินไหมทดแทนจากกรณีอุบัติเหตุน่ะ ออยกับตันเคยทำประกันไว้หลายตัว เพื่อที่ว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้น อีกฝ่ายจะได้ดูแลจัมโบ้ได้ แต่ถ้าพูดให้ถูกก็คือตันนี่แหละที่เป็นคนคอยชำระเบี้ยประกันทุกตัวทุกเดือนๆ นอกจากนั้นก่อนนี้ก็ยังมีเรื่องบ้านหลังนี้และที่ดินที่ยังไงๆ ก็เป็นของตันอยู่แล้ว ตันสามารถจะทำอะไรกับมันก็ได้ แล้วยังประกันรถยนต์ที่เพิ่งซื้อคันนั้นอีก ถ้าให้รวมตัวเลขทั้งหมดแล้วล่ะก็...” เขาล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นเศษกระดาษแผ่นหนึ่งให้ผมดู “ทั้งหมดก็ประมาณนี้น่ะ”
“เฮ้ยยย!! เยอะเหมือนกันนะเนี่ย!”
“แล้วถ้าเราขายบ้านหลังนี้อีกก็คงได้อย่างต่ำสัก 2 ล้านล่ะมั้ง ยังใหม่อยู่เลย แถมตบแต่งเสร็จมีครบหมดทุกอย่าง จะขายทีก็ขายให้หมดทั้งเฟอร์นิเจอร์ ทีวี ตู้เย็น เตียงนอน... ช่างแม่ง!”
ผมมองหน้าเขา “เดี๋ยวก่อนนะ แล้วที่พี่ตันพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเนี่ย คือ...”
เขาจับมือผม “ตันไม่อยากอยู่บ้านหลังนี้แล้วว่ะ บัส มันมีแต่ความทรงจำไม่ดีๆ ตันอยากจะทิ้งทุกอย่างแล้วไปเริ่มต้นใหม่ ที่ไหนก็ได้ เราอยู่กันสามคน ใช้ชีวิตของเราไม่ต้องสนใจใคร”
“แล้วพ่อกับแม่ล่ะ”
เขานิ่วหน้า “อะไร เราโตขนาดนี้แล้วนะเว้ย เค้าไม่มาสนใจหรอกว่าเราจะไปอยู่ไหนอะไรยังไงกันน่ะ และอีกอย่าง พี่ชายกับน้องชายอยู่บ้านเดียวกันมันแปลกตรงไหน ยิ่งพี่ชายมีลูกแล้วอีกต่างหาก ไม่มีใครมันจะมาคิดอะไรแบบที่บัสกังวลหรอก”
ที่เขาพูดมันก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นนั่นก็ยังไม่ใช่ปัญหาทั้งหมดที่เราต้องคิด “เดี๋ยวก่อน พี่ตัน จริงๆ บัสก็คิดถึงเรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วน่ะนะ ถ้าสมมติว่าบัสอยากให้พี่ตันย้ายไปอยู่กับบัสที่ออสเตรเลีย พี่ตันจะว่ายังไง”
“ตันก็คิดๆ แบบนั้นอยู่เหมือนกัน แต่ตันอยากให้บัสเป็นฝ่ายพูดขึ้นเองมากกว่า” เขายิ้ม แต่ผมดูออกว่าเขายังคงรู้สึกไม่มั่นใจกับความคิดนี้เท่าไหร่นัก
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก พี่ตัน เรื่องของเรื่องคือบัสยังติดสัญญาทำงานกับที่บริษัทอีกหนึ่งปี แต่บัสมีสัญชาติของที่นั่นเพราะทำงานกับบริษัทของที่นั่นมาสองปีแล้ว แถมอยู่มาก็ตั้งหกปี เพราะงั้นการขอเป็นผู้อยู่อาศัยถาวรมันไม่ใช่เรื่องยากหรอก และพี่ตันกับจัมโบ้ก็ไปอยู่ที่นั่นได้ในฐานะญาติของบัส ในช่วงหนึ่งปีหลังจากที่บัสกลับไปหนนี้ เราต่างก็คงต้องใช้เวลาเตรียมตัวอะไรหลายๆ อย่าง แต่เชื่อบัสเหอะว่าไม่น่ามีปัญหาหรอก และจัมโบ้เองก็ยังเด็ก ถ้าหากเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ช่วงนี้และไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น โตขึ้นก็พูดได้คล่องทั้งภาษาไทยและอังกฤษแน่ๆ”
“แล้วตันล่ะ ตันจะไปทำอะไรที่นั่น”
ผมยิ้มและวางมือลงบนแก้มของเขาเบาๆ “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ บัสไม่ปล่อยให้พี่ชายที่รักของบัสอดตายหรือไม่มีงานทำหรอกน่า อายุเรายังน้อย หนทางเรายังมีให้เลือกอีกมาก ถ้าพี่ตันกังวลเรื่องภาษาอังกฤษ ก็เริ่มปรับพื้นฐานใหม่ซะตั้งแต่ตอนนี้เลย แล้วไปลงเรียนปริญญาโทที่นั่นสักใบก็ได้ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เริ่มต้นชีวิตใหม่ให้มันดีกว่าเดิมแบบสุดๆ ไปเลยไง ไม่ดีเหรอ”
“ตันไม่ได้หัวดีเหมือนบัสนะเว้ย”
“บัสรู้ว่าพี่ชายบัสไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอก ตอนมัธยมตัวเองก็ใช่ว่าจะเกรดห่วยแตกอะไร และพี่ตันเองก็พอพูดภาษาอังกฤษได้อยู่แล้วด้วยไม่ใช่เหรอ เพราะงั้นอย่ากังวลเลย บัสรู้ว่าพี่ตันทำได้น่า”
เขามองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาและชะโงกหน้าเข้ามาจูบลงบนริมฝีปากของผมเบาๆ
“แล้วจัมโบ้ล่ะ” เขาพูดขึ้น
“จับโบ้ทำไม”
“มันจะคิดยังไง เวลามันโตขึ้นแล้วรู้ว่าพ่อกับอามันเป็นคนรักกันน่ะ”
“นั่นแหละคือสิ่งที่บัสกำลังคิดอยู่พอดี!” ผมหัวเราะเบาๆ “แต่ถามจริงๆ พี่ตันกังวลเรื่องนั้นจริงๆ รึเปล่า”
เขาพยักหน้า “ก็ประมาณนึงนะ แต่ถึงยังไงตันว่ามันก็คงง่ายกว่าการอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่ของมัน และแม่ของมันทำอะไรเอาไว้บ้างเยอะว่ะ ตันคิดว่าคงจะค่อยๆ อธิบายให้มันฟังไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะโตมั้ง ดีกว่าให้มันเปิดประตูมาเห็นตอนเราสองคนมีอะไรกันเยอะ อีกอย่างถ้าหากว่าเป็นบัสล่ะก็ ตันเชื่อว่าบัสคงมีวิธีในการพูดและสอนลูกแน่ๆ”
“อย่าแน่ใจนักเลย บัสบอกแล้วนะว่าบัสไม่เคยใกล้ชิดกับเด็กมาก่อนเลยน่ะ”
“แต่บัสรักจัมโบ้ไม่ใช่เหรอ แค่นั้นก็พอแล้ว”
“เราต่างก็รักจัมโบ้มากด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ” ผมพูด “หวังว่าความรักของเราจะทำให้มันโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดีและเข้าใจสิ่งที่เรามีให้แก่กันนะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก มันต้องเข้าใจแน่นอน... เผลอๆ มันอาจจะโตขึ้นมาชอบผู้ชายก็ได้ ใครจะไปรู้”
ผมหัวเราะ “เฮ้ย! พี่ตันอยากให้ลูกโตมาเป็นเกย์เหรอ”
“เปล่าเลย เราสองคนต่างก็ผ่านช่วงเวลายากลำบากตอนนั้นมาด้วยกันทั้งคู่ ตันไม่อยากให้ลูกเป็นเกย์หรือเจอเรื่องแบบเดียวกันหรอก แต่ตันอยากให้มันเลือกในสิ่งที่มันอยากจะเป็นด้วยตัวเอง ตันแค่กำลังบอกว่าทั้งพ่อและอาของมันต่างก็เป็นเกย์ด้วยกันทั้งคู่แบบนี้ ถ้ายีนในสายเลือดของเรามันแรงจริง ใครจะไปรู้ว่าอีก 10 รึ 15 ปีหลังจากนี้ ผลจะออกมาเป็นยังไง จริงมั้ยล่ะ”
“แต่ไม่ว่ามันจะเป็นชายแท้รึเป็นเกย์ เราจะต้องเลี้ยงดูให้มันโตขึ้นเป็นคนดีและเป็นที่รักของทุกคนเหมือนพ่อของมันให้ได้ จริงมั้ย”
“และมันจะต้องฉลาดหัวดีเหมือนอาของมันด้วย” เขายิ้มกว้างก่อนจะชะโงกหน้าเข้ามาจูบผมอีกครั้ง
อีกหนึ่งปีถัดมา ผมก็ย้ายออกจากอพาร์ทเมนท์ที่เคยอยู่และไปซื้อบ้านหลังเล็กๆ อยู่แถวชานเมือง ที่จริงมันก็ไม่ได้ไกลจากบ้านเก่าของผมเท่าไหร่นัก แต่ที่ผมตัดสินใจย้ายออกก็เพราะผมมีสมาชิกในครอบครัวเพิ่มขึ้นอีกสองคนแล้ว กัปตันใช้เวลาเรียนภาษา เรียนหนังสือรื้อฟื้นความรู้เก่าๆ และปรับตัวอยู่สองปี ก่อนที่จะสมัครเรียนปริญญาโทในสาขาที่เขาสนใจพร้อมทั้งทำงานเป็นผู้ช่วยครูสอนยูโดที่ยิมในมหาวิทยาลัยไปด้วย ส่วนผมก็ได้เซ็นสัญญากลายเป็นพนักงานประจำของบริษัท และได้เลื่อนขั้นพร้อมกับเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย จัมโบ้โตมาเป็นเด็กที่ร่าเริงและเป็นที่รักของทุกๆ คน เขามีโครงหน้าละม้ายคล้ายกับพ่อของเขาเมื่อตอนเด็กยิ่งกว่าที่ผมเคยคิดเอาไว้เสียอีก แถมยังเล่นกีฬาเก่งและมีแววเป็นนักกีฬาตามรอยพ่อของเขาอีกด้วย ส่วนเรื่องที่ว่าเขาโตมาแล้วชอบผู้หญิงหรือผู้ชายนั้น... ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราคงยังไม่จำเป็นต้องพูดถึงกันตรงนี้
จบ