Hour# 31 -Melt-
ผมสไลด์หน้าจอมือถือดูภาพที่ถ่ายวันนี้แล้วก็หลุดขำออกมาเป็นรอบที่สิบแปด หน้าของพี่รหัสผม พี่พัดที่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกำลังนั่งอยู่บนเสลี่ยงของเฮียแฟพร้อมกับพวงมาลัยดาวเรืองที่อัดเต็มคอพี่พัดจนถึงปลายคาง งานนี้มีคนหามกิตติมศักดิ์ซึ่งก็คือบรรดาสายรหัสของผมเองครับ งานนี้เรียกได้ว่าพี่พัดเกิดอย่างแรง ทุกคนหันมามองและยกกล้องขึ้นถ่ายอย่างล้นหลาม แห่ประจานกันไปได้รอบลานน้ำพุพี่พัดก็ตะโกนอ้อนวอนให้เฮียแฟปล่อยพี่แกลงครับ เฮียแฟแกตั้งท่าจะไม่ยอมแต่สุดท้ายก็ต้องใจอ่อนเมื่อพี่พัดแกลุกยืนถอดพวงมาลัยทำท่าจะกระโดดลงมาเอง พวกเรายืนถ่ายรูปสายรหัสกันซักพักเฮียแฟก็ชิ่งหนีกลับไปก่อนเมื่อเด็กๆสายรหัสแบมือตาแป๋วขอค่าแรงในการแบกเสลี่ยงโดยมีคูปองเป็นตัวตั้งตัวตี สุดท้ายเฮียแฟไม่จ่ายใครละครับที่ซวย ก็เจ้าของงานรับปริญญาวันนี้ไงครับ พวงมาลัยแบงค์พันที่ลุงละมุน ลุงรหัสผมเองแกเอามาให้ตอนเช้าก็ต้องถูกเด็ดออกจากพวงด้วยน้ำตาคลอๆของพี่พัด ผมยืนถ่ายรูปเฮฮากับบรรดาสายรหัสและรุ่นพี่ในคณะซักพักก็เห็นพี่เฟิร์สยืนหัวเราะอยู่กับกลุ่มเพื่อนพี่เขาไม่ไกลเลยปล่อยพี่เขาไปก่อนจะวิ่งไปกระโดดขี่หลังฟากัสที่ยืนฉีกยิ้มถ่ายรูปกับดาวถาปัตสุดสวย รุ่นพี่ที่ขึ้นชื่อเรื่องมือเท้าหนักยิ่งหนัก ฟากัสเสียหลักเล็กน้อยเพราะผมพุ่งตัวไปอย่างแรง ดีว่าไอ้ภูมิมันช่วยค้ำเอาไว้ไม่งั้นได้ขายหน้าต่อหน้าฝูงชนแน่ๆ
พวกผมโบกมือลาพี่พัดและพี่คนอื่นๆก่อนจะเดินไปหาวาหลักจากนัดแนะกันว่าเจ้าตัวอยู่ไหน พอเดินไปถึงก็ได้แต่เบะปากอย่างเซ็งๆเมื่อเห็นหญิงสาวสองคนกำลังควงแขนวาคนละข้างเอียงคอซบลงตรงไหล่วาอย่างน่าหมั้นไส้
"เอาแล้วเว้ยมึง ไม่ทันไรวามันมีชู้ซะละ พิจารณาตัวเองซะนะน้องเอว่าทำตัวยังไงวาถึงได้มีชู้"
"ปากหรอว่ะครับ ฟากัส" ผมหันไปจ้องฟากัสด้วยสายตาที่คิดว่าดูน่ากลัวที่สุดแต่เจ้าตัวก็ยักไหล่ใส่แบบไม่สนใจเสียงด่าของผม พี่เฟิร์สหัวเราะเล็กๆเอามือจับหัวผมโยกไปมา
"หรือว่ามึงไม่เด็ดพอวะ ให้กูสอนมั้ยมึง เห็นอย่างงี้แต่บางทีกูก็ต้องนั่งดูหนังวายเป็นเพื่อนพรีมนะ"
"แล้วไง ติดใจอยากลองมีแฟนเป็นผู้ชายบ้างหรือไงครับ"
"ถ้ากูคิดจริง มึงก็ไม่ได้อยู่ในลิสก็หรอกไอ้คนขับรถ"
"โว้ย พวกมึงจะจีบกันก็ไปจีบกันไกลๆ กูรำคาญ"
"อ้าวไอ้เหม่งนี้พาล หวงก็ไปลากวาออกมาซิวะ"
"ลากได้ไงละ ขืนเข้าไปก็โดนเปรี้ยวมันแซวตาย" ใช่ครับ ผู้หญิงสองคนที่ควงวาอยู่นั้นไม่ใช่ใครที่ไหนเลยเพื่อนผมเอง มากันแทบจะครบ ขาดแต่คุณเหนือที่เดินทางออกนอกประเทศไปเรียบร้อยแล้ว ผมโบกมือให้กล้าที่หันมาเห็นผมพอดีก่อนจะทำหน้าเหวอเมื่อเปรี้ยววิ่งเข้ามามาผมอย่างไว ไม่ซิต้องบอกว่ามาหาพี่ชายคนรองของผมมากกว่า
"พี่เฟิร์ส สวัสดีคะ"
"เพื่อนมึงยืนหัวโด่อยู่นี้ ทักกันหน่อยมั้ย"
"หวัดดีเอ ฟากัส ภูมิ พี่เฟิร์สไม่อยู่เปรี้ยวละคิดถึง อยู่ที่ออฟฟิตก็ไม่มีแรงบันดาลใจในการทำงาน"
"เวอร์ไปละ" เปรี้ยวง้างมือขึ้นราวกับจะชกแขนผมจนต้องรีบหนีไปหาวาที่เดินมายืนข้างๆก่อนจะโดนเจ้าตัวดึงคอไปเอียงซบไหล่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเอาแขนมาพาดคอแทน ให้ตายซิไม่ชอบให้วาทำแบบนี้ในบางครั้งเลย ถ้าจะถามว่าทำไม ก็ถ้านี้มันทำให้ผมดูเตี้ยมาจนไหล่เป็นที่ว่างแขนให้ไอ้คนข้างๆพอดีนะซิ
"เวอร์ที่ไหน เนี้ยพอคิดไอเดียไม่ออกมองไปที่โต๊ะอันว่างเปล่าก็ยิ่งตัน” เปรี้ยวเกาะแขนพี่เฟิร์สทำตาหวานใส่ คิดว่าอ้อนแบบนี้แล้วพี่คนรองผมจะใจดีใส่หรือไง
“เลยหาเรื่องอู้งานหนีมากรุงเทพสินะ”
“อูยยย แรงทำร้ายจิตใจ อู้ที่ไหนเขาเรียกว่าลงมาแสดงความยินดีให้กับเพื่อนรักต่างหาก เนอะวาเนอะ” เปรี้ยวยิ้มใส่พี่เฟิร์สทันทีที่โดนพี่เขาจิกกัดเบาๆด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้า ผมว่าเปรี้ยวมันต้องอยู่สายมาโซแน่ๆเลยครับ โดนพี่เขาจิกกัดขนาดนี้ ใจดีใส่หรือก็เปล่า ยังจะยิ้มหน้าระรื่นมีความสุขอีก
“แล้วนี้จะไปไหนกันต่อมั้ย ไปกินข้าวด้วยกันเปล่า” ผมหันไปถามเปรี้ยวซึ่งได้คำตอบเป็นอาการเงียบและกรอกตาไปมาอย่างน่าสงสัย อยู่กันมาตั้งหลายปีทำไมจะไม่รู้ว่าไอ้อาการแบบนี้มันมีอะไรชัวร์ๆ
“ไม่เป็นไรดีกว่าจ๊ะเอ พอดีว่าเปรี้ยวเขามีนัดแล้วอีกที่นะ” แก้วจับมือเปรี้ยวตอบผมด้วยน้ำเสียงติดขำก่อนจะยิ้มหวานมองหน้าเปรี้ยวที่ทำหน้าไม่ถูกอยู่ข้างๆ ผมหันไปหากล้าที่กระตุกยิ้มมุมปากเป็นคำตอบจนผมอดยิ้มยียวนใส่เปรี้ยวไม่ได้ ได้อาการแบบนี้ไม่พ้นเรื่องความรัก โธ่ๆ
“ฮืม นัดอะไร ยังไง” ผมเดินไปหาเปรี้ยวที่หันหน้าหนีก่อนจะโอบไหล่เพื่อนตัวดีที่ตอนนี้ดูท่าจะหลุดฟร์อมไปเยอะอยู่
“เออ กูมีนัดกับผู้ชาย พอใจมั้ย อย่ามาทำหน้าตาสอดรู้สอดเห็นใส่แบบนี้นะน้องเอ น่าเกลียด”
“เอาเว้ย สงสัยคนนี้เอาจริง ทำมันอายจนด่ากูได้ขนาดนี้เนี้ย”
“จริงจังมาก” ผมหันไปแทคมือกับกล้าที่ตอบมาได้โดนใจ
“แล้วแก้วกับกล้าละ ไม่ได้ไปกับเปรี้ยวไม่ใช่หรอ”
“ไปด้วยกันนี้แหละ เปรี้ยวแม่งป็อดไม่กล้ากินผู้ชายคนเดียว”
“กินผู้ชายบ้านมึงดิ่กล้า พูดให้เต็มประโยค กินข้าวกับผู้ชายพอ แหมะเห็นแบบนี้กูก็รักนวลสงวนตัวนะ”
“สงวนมากรีบลงมาจากเชียงใหม่มาหาถึงกรุงเทพ”
“เอ๊ะ ก็มางานวาต่างหาก อันนั้นมันผลพลอยได้เว้ย วุ้ยไม่คุยกับพวกแกละ ไปแล้วนะวา ยินดีด้วยอีกครั้ง พี่เฟิร์สเปรี้ยวไปก่อนนะค่ะ แล้วเจอกันที่ทำงานคะ บายทุกคน” โบกมือลาพร้อมโดนก้มหน้าก้มตาออกไปทันทีไม่ทันให้ผมได้แซว แหมะ ที่ตอนผมละทั้งแซวทั้งด่าทั้งเสือก ทีตอนมันผมยังไม่ทันได้เสือก อืม อัพเดทชีวิตเพื่อนเจ้าตัวก็หนีไปซะละ ได้ไงวะ
“เปรี้ยวแม่งซึน เอาจริงๆกว่ามันจะมาถึงจุดนี้ได้ มันยัดเยียดความเป็นเกย์ให้ว่าที่แฟนมันตั้งหลายครั้ง ถ้าไม่ติดว่าเปรี้ยวมันเพื่อนกูนะ กูเสี้ยมให้คนที่มาจีบมันจับปล้ำมันไปนานไร แม่งเอ๊ะอะๆ จับคู่ให้กูตลอด” ผมตาโตจากคำบอกเล่าของกล้า นี้เปรี้ยวมันอาจหาญไปไกลถึงขั้นนี้เลยหรอ แต่เอาจริงๆที่ผมกับวาลงเอยกันได้ก็เพราะโดนเปรี้ยวบิ้วหรือเปล่าวะ ถ้าอย่างนั้นก็สงสารผู้ชายคนนั้นไม่น้อย คงโดนเปรี้ยวปั่นหัวจนสับสนแน่ๆ
“แล้วตกลงมึงได้กันยัง”
“ไอ้นี้ก็อีกคน วา ว่างๆสั่งสอนมันบ้างนะสติชักไม่ค่อยดี ถ้ากูได้กับไอ้นั้น มันจะยังมาชวนเปรี้ยวกินข้าวอยู่นี้มั้ยละ”
“ฮ่าๆๆ ก็เกือบเคลิ้มแล้วไม่ใช่หรอ เรื่องมันยาวมากเอ เดี๋ยวไว้แก้วโทรมาเม้าให้ฟังนะ ไปก่อนนะจ๊ะวายินดีด้วย พี่เฟิร์สสวัสดีค่ะ” แก้วตัดบทเมื่อมือถือส่งสัญญานมาว่าเปรี้ยวโทรตามแล้วก่อนจะเดินออกไปพร้อมกล้า ทิ้งให้ผมยืนงงๆกับเรื่องที่ตัวเองพลาดไป
“ยืนทำหน้างงอะไรน้องเอ”
“พี่เฟิร์สรู้จักคนที่มาจีบเปรี้ยวมั้ย”
“รู้ซิ เป็นลูกค้าที่ออฟฟิต เห็นว่าจะมาเปิดธุรกิจย่อยที่เชียงใหม่ เลยจ้างเปรี้ยวออกแบบ Art Work ให้”
“แล้วอะไร ยังไงเนี้ย” นี้ผมพลาดเรื่องสำคัญขนาดนี้ได้ยังไงอ่ะ ทำไมผมไม่รู้ ถ้ารู้ผมจะได้ล้อและแซวเปรี้ยวมัน นี้ไม่ได้แค้นเรื่องที่มันเคยแซวผมเลยจริงๆนะ
“พอเลย เลิกทำหน้าอยากรู้อยากเห็นได้แล้ว ไปกินข้าวกันเหอะ วาหิวแล้ว”
“ก็เออยากรู้อ่ะ”
“ชอบจริงยุ่งเรื่องชาวบ้านเนี้ย” วาถอดชุดครุยออกมาถือไว้ก่อนจะจับมือผมเดินจูงออกไปยังลานจอดรถเมื่อเห็นผมยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
“ยุ่งเรื่องชาวบ้านที่ไหน เขาเรียกอัพเดทข่าวสารต่างหาก เนอะพี่เฟิร์สเนอะ” หันไปหาแนวร่วมจากพี่ชายคนรองที่ทำเพียงแค่ส่ายหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใส่ แบบนี้ทุกที เข้าข้างวามากว่าน้องนะ
“ไว้ไปอัพเดทวันหลัง วันนี้วันของวานะ วาต้องสำคัญที่สุดซิ” ผมหันไปมองคนข้างๆที่ทำตัวเป็นเด็กเรียกร้องอะไรแปลกๆ ก่อนจะเห็นดวงตาคู่คมนั้นก้มมองมาอยู่ก่อนแล้วเลยได้แต่งับปากหันหน้าออกไปมองบรรยากาศรอบข้างแทน อดที่จะบ่นออกมาเบาๆไม่ได้เมื่อนึกถึงสายตาเมื่อกี้ที่มันช่างออดอ้อนเกินความจำเป็น
“ก็สำคัญอยู่ทุกวัน ทำมาเรียกร้อง”
“บ่นอะไรครับ” ยังจะมาพูดเสียงหวานใส่อีก รู้นะว่าได้ยิน บางทีวาโยแม่งก็ทำตัว ปากหวาน กวนตีนตาใส จะด่าว่าโตมายังไงก็ไม่ได้เพราะก็โตมาด้วยกัน
“เปล่า...พี่เฟิร์สโทรหาหม่าม๊าให้หน่อยว่าอยู่ไหนแล้ว” ก็ไม่ได้อยากจะเปลี่ยนเรื่องหรอกนะ แต่ไอ้สายตากรุ่มกริ่มนี้มันพาเอาไปไม่ถูกจริงๆ
กว่าจะถึงบ้านก็ปาไปสี่ทุ่ม หลังจากที่บอกลาคนที่บ้านที่กลับโรงแรมกันไปก็ต้องเจอกับรถติดบนถนนอีก หันไปเห็นวาหาวอยู่หลายรอบก็เข้าใจปนเห็นใจว่าเจ้าตัวคงจะเหนื่อย ตื่นตั้งแต่เช้าวิ่งวุ่นถ่ายรูปและซ้อมรับปริญญาทั้งวัน อากาศนี้ไม่ต้องพูดถึงว่าร้อนแค่ไหนยิ่งใส่ชุดครุยด้วยแล้ว นี้ไม่อยากจะคิดถึงวันจริงว่าจะวุ่นวายขนาดไหน ผมไขกุญแจเปิดประตูเข้ามาในห้องของวาโดยมีเจ้าของห้องเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาตรงหน้าก่อนจะหลับตาพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
“วาไปอาบน้ำไป จะได้นอนสบายๆ” ผมยืนกอดอกมองวาที่นอนชันขาบนโซฟาพร้อมกับเอาแขนพาดกับหน้าผากเอาไว้
“ขอพักแป๊บ ไม่อยากลุกเลย เอไปอาบก่อนก็ได้” วางึมงำตอบในลำคอ ดูท่าจะไม่อยากลุกจริงๆนะเนี้ย เดี๋ยวอาบเสร็จค่อยมาตามอีกรอบละกัน
ผมเข้าไปอาบน้ำประมาณสิบนาทีออกมาก็เจอวานอนผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอเรียบร้อยแล้ว ผมได้แต่มองและส่ายหน้า ครั้นจะปลุกก็ทำไม่ลงแต่ถ้าจะให้นอนแบบนี้ก็กลัวตื่นมาจะปวดคอเปล่าๆ คิดไปคิดมาก็เดินกลับเข้าไปในห้องน้ำและออกมาพร้อมผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นหมาดๆออกมาก่อนจะนั่งลงตรงพื้นที่เล็กๆบนโซฟาข้างตัววา
วาครางพลางขยับตัวเล็กน้อยเมื่อผมวางผ้าอุ่นลงบนใบหน้า ค่อยๆซับเบาๆไปตามหน้าผากไล่ถึงลำคอของคนตัวสูง มองเปลือกตาที่ซ่อนดวงตาคมดุของวาเอาไว้ ดวงตาที่ผมอยากให้มันสะท้อนภาพของผมเพียงคนเดียว เหมือนการกระทำเท่าทันความคิดที่รู้สึกตัวอีกที ผมก็ก้มลงไปจูบเปลือกตาของวาซะแล้ว ก่อนจะสะดุ้งอยากตกใจเมื่อดวงตาคู่นั้นลืมขึ้นมาจ้องผมด้วยระยะที่ใกล้จนอดใจสั่นไม่ได้ ก่อนจะถูกวงแขนแกร่งกอดรั้งไว้จนผมแทบจะจมลงไปในอ้อมกอดของคนตรงหน้า
ความเงียบโรยตัวอยู่นานจมผมเริ่มทำตัวไม่ถูก พยายามจะดันตัวเองขึ้นแต่ก็โดนแรงจากคนด้านล่างรั้งเอาไว้และบังคับให้นอนอยู่เช่นนั้นด้วยแรงกดอุ่นนุ่มตรงหน้าผาก
“อ้อนอะไรเนี้ย ตั้งแต่เย็นแล้ว”
“มีความสุข”
“หืม”
“มีความสุขที่ได้เป็นครอบครัวเดียวกับเอ” ผมนิ่งไปกับคำพูดของวาก่อนจะระบายยิ้มบนใบหน้า ยันตัวเองขึ้นจากอกวา จ้องมองดวงตาวาววับตรงหน้าที่เจื่อประกายความสุขอย่างที่เจ้าตัวพูดจริงๆ
“งั้นก็ต้องมีความสุขทุกวัน ไม่ใช่แค่วันนี้ เพราะวาเป็นครอบครัวเดียวกับเออยู่แล้ว” ผมก้มลงกดหน้าผากตัวเองลงกับหน้าผากวา ถูไปมาราวกับแมวที่กำลังออดอ้อนเจ้านายตัวเอง ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆของวาแล้วอดหมั้นไส้ไม่ได้ ชอบใจละซิผมทำตัวแบบนี้ใส่ ของดีนานๆมีครั้งนะจะบอกให้
“ไป ลุกไปอาบน้ำได้แล้ว เหนื่อยไม่ใช่หรอ จะได้ไปนอน”
“ยังไม่อยากลุกเลย”
“ลุกครับวาโย ตัวเหม็นมายังไม่ได้บอกใช่ป่ะ แล้วไงนี้กูอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนแล้วนะแต่คืออะไรเนี้ย สกปรกตามมึงอีกรอบ ถ้าวันหลังอยากทำโมเม้นสวีทแบบเลอะๆ ช่วยบอกล่วงหน้าจะได้ไม่ยังไม่อาบน้ำ” ผมบ่นพลางก้มลงดมชุดนอนตัวเองที่นอนนี้มีกลิ่นเหงื่อของวาปนอยู่ด้วย ยู้จมูกอย่างขัดใจเมื่อเจ้าตัวต้นเรื่องทำเพียงแค่ลุกขึ้นนั่งและยิ้มกระริ่มกระเหรี่ยใส่
“เลอะที่ไหน ไม่เห็นเลอะเลย”
“จะไม่เลอะได้ไง ก็ดู....วาโยครับ สายตาแบบนั้นหมายความว่าไงครับ ผมคิดตามนะครับ” คิ้วกระตุกอย่างหงุดหงิด ทำไมวันนี้วามันดูทำตัวหน้าหมั้นไส้แบบนี้ก็ไม่รู้ ไหนจะประโยคชวนคิดลึกกับรอยยิ้มตรงมุมปากนั้นอีก
“ฮาๆ คิดตามแล้วยอมทำตามด้วยมั้ยละครับ” โว้ย วันนี้มึงพูดครับกับกูกี่รอบแล้ว ขนลุก ผมยิ่เป็นประเภทแพ้ได้คำพูดเพราะๆแบบนี้อยู่ด้วย ติดมาจากที่บ้านเพราะพี่ๆกับหม่าม๊าจะพูดเพราะๆกับผมจนผมรู้สึกเหมือนโดนเอาใจตลอดเวลา
“ไม่เอาครับ เหนื่อยครับ เมื่อเช้าตื่นเช้าครับ อยากนอน อื้อออออ!!!!”
“ชื่นใจ” วาถอยหน้าตัวเองออกหลังจากขโมยจูบผมไปโดยไม่ให้ทันตั้งตัว สัมผัสหนักหน่วงตรงริมฝีปากที่กดเข้ามาแรงๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นละเลียดชิมตามริมฝีปาก สอดลึกเข้าไปด้านในที่อดเคลิ้มตามไม่ได้ ไม่ว่ายังไงก็แพ้ทางคนๆนี้จริงๆซินะเอรัณ
“วาโย” ผมช้อนตามองวาที่ลุกยืนขึ้นเพื่อที่จะเดินไปห้องน้ำ กัดปากตัวเองเบาๆอย่างช่างใจในคำพูดที่กำลังจะพูดออกไป
“ฮื้ม”
“เดี๋ยวไปอาบเป็นเพื่อน”
“หึ มาซิครับ”
To be con
