บทที่ 9
ร้านดอกไม้ “ไม่มีห้องว่างแล้วหรอครับ?”
“ไม่มีแล้วนะคะ ห้องเต็มหมดแล้วค่ะ” เสียงพนักงานตรงเคาน์เตอร์ของคอนโดหรูตอบกลับมา ทำเอาผมใจหายวูบ ผู้ชายข้างๆเองก็คงคิดหนักไม่แพ้กัน เพราะเห็นเขาเอาแต่ตีสีหน้าบูดบึ้งและลอบถอนหายใจอยู่บ่อยครั้ง
“งั้นขอเปลี่ยนเป็นเตียงคู่ได้ไหมครับ?”
ฌาณยื่นบัตรเครดิตออกไปพร้อมเอ่ยปากถามเสียงจริงจัง พนักงานสาวหันไปกดคอมพิวเตอร์พักหนึ่ง ก็เผยยิ้มออกมา
“ต้องรอประมาณ 4-5 วันนะคะ แล้วก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม..”
ผมเดินลากขาออกจากจากเคาน์เตอร์ ปล่อยให้ฌาณเป็นคนจัดการเรื่องเตียงเพียงลำพัง นี่คงเป็นทางเดียวที่ดีที่สุดในตอนนี้ หลังจากที่เราสองคนตัดสินใจใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ต่อ แทนที่จะรีบจรลีกลับบ้านใครบ้านมัน เหตุก็เพราะเสียดายไอ้อายุขัยตั้ง 5 ปีที่เสียไปนั่นแหละ!
แต่จะว่าไป ต้องรอตั้ง 4-5 วัน ผมว่ามันก็นานอยู่นะ สำหรับการต้องอยู่ในโลกวิปริตแปรปรวนที่ผมกับฌาณดันกลายมาเป็นคนรักกันแบบนี้ ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
ไม่นานนัก ฌาณก็เดินกลับมาบอกว่ายังไงก็ต้องรอ 4-5 วันจริงๆสำหรับเตียงคู่ ผมที่ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วจึงได้แต่พยักหน้าเข้าใจ ก่อนที่เราจะอพยพขึ้นไปนั่งแหมะกันอยู่บนห้องอีกครั้ง พร้อมความเงียบและอึดอัดที่กระจายตัวอยู่ทั่วบริเวณ
ห้องทั้งห้องถูกผมและฌาณช่วยกันค้นหาความผิดปกติที่เกิดขึ้น ว่าอะไรถึงทำให้เราต้องมาอยู่ใต้เพดานเดียวกันแบบนี้ได้ ทั้งๆที่แค่มองหน้ากันก็แทบจะสำรอกตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่รู้สึกยิ่งค้นยิ่งเจอสิ่งต่างๆที่ทำให้อยากเอาหัวโขกกำแพงตายๆไปเสียเดี๋ยวนั้น ไม่ว่าจะภาพคู่มากมาย ดอกไม้วาเลนไทน์ (ที่แห้งกรอบไปแล้ว) ของขวัญเทศกาลต่างๆ รวมไปถึงจดหมายและการ์ดเป็นร้อยใบเห็นจะได้ ส่วนข้อความบนนั้นผมไม่นึกอยากจะอ่าน เพราะมันคงไม่น่าพิสมัยนักที่ต้องนั่งอ่านข้อความรักที่ส่งถึงผู้ชายด้วยกันแบบนี้ :S
“เฮ้ออ/เฮ้ออ”
ผมกับฌาณเก็บของที่รื้อออกมาทั้งหมดกลับเข้าที่ พลางมองหน้ากันแบบเซ็งๆ เสียงถอนหายใจยาวของเราทั้งคู่ยังดังขึ้นระงมตลอดวันนั้น
ท้องไส้ผมเริ่มปั่นป่วนขึ้นมาอีกครั้งยามที่พระอาทิตย์เริ่มเคลื่อนตัวหายลับไป มันคงจะไม่เป็นอะไรเลยถ้าผมต้องนอนข้างผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง แต่ไอ้คำว่า
‘คนรัก’ และรูปคู่ภายในห้องมันกลับทำให้ผมหายใจไม่ทั่วท้องเอาเสียเลย ผิดกับคนข้างๆที่หลับไปได้สักพักแล้ว โดยมีหมอนข้างหนึ่งใบกั้นกลางเราไว้พอเป็นพิธี
เวลาผ่านไปนานพอตัว กว่าที่ผมจะยอมกลั้นใจหลับตาลงบนเตียงคุณภาพดี อย่างที่ชีวิตนี้ผมไม่มีวันหาได้ ความอบอุ่นของมวลอากาศภายในห้องราวกับเพลงกล่อมเด็กซึ่งคอยประโลมให้ผมคล้อยหลับไปได้ในที่สุด ท่ามกลางเสียงกรนเป็นหมีจากผู้ชายข้างๆ
.
.
คืนนั้นมันไม่ควรมีอะไรแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าอากาศเย็นยะเยือกจากที่ไหนไม่ทราบพัดเข้ามากระทบกายเนื้อของผมจนสั่นระริก ถึงกับต้องกระชับผ้าห่มผืนใหญ่ไว้แน่นแบบไม่เกรงใจคนข้างๆกันเลยทีเดียว แต่ดูเหมือนว่าผ้าห่มผืนเดียวจะไม่สามารถต้านความหนาวเย็นประหลาดนี้ได้ ผมเลยตัดสินใจลุกขึ้นไปหยุดอยู่ตรงหน้าแผงควบคุมของเครื่องปรับอากาศ สองคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความง่วงจัด ดวงตากลมโตของผมถูกหรี่ลงเพื่อมองตัวเลขบนหน้าจอให้ชัดเจน
17 °cไอ้ห่า! มึงเป็นหมีขั้วโลกหรอครับ!!ผมรีบตวัดสายตาตำหนิกลับไปให้ไอ้หมีที่นอนสบายอยู่บนเตียง ความง่วงเมื่อครู่หายไปโดยพลัน ถามจริง หมอนี่มีมารยาทหรือความเกรงใจบ้างหรือเปล่า มีที่ไหนไหม ที่จะทำตัวเลวกับโลกด้วยการปรับแอร์ซะเย็นเฉียบขนาดนี้ ทั้งๆที่มีคนแปลกหน้ามานอนด้วยเนี่ย มันคงไม่ได้แกล้งให้ผมหนาวตายหรอกใช่มะ!?
ถึงจะโมโหแต่ก็ไม่อยากมีปัญหา ผมเลยได้แต่หันกลับมากดปรับอุณภูมิให้เป็น 25 องศาตามเดิม ก่อนจะลากขากลับไปนอนบนเตียงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สักพักต่อมาอากาศภายในห้องก็อุ่นขึ้นจนผมสามารถหลับตาสนิทได้..........ได้ไม่ทันไร ไอ้เวรข้างๆก็ลุกขึ้นไปกดปรับอุณภูมิรัวๆอีกครั้ง เสียงถี่ดังทำเอาผมใจหาย นี่มึงไม่เห็นแก่กู ก็เห็นแก่เครื่องปรับอากาศบ้าง ถามมันยังว่ามันทำงานไหวไหม??
ผมรอจนฌาณเดินกลับมานอนบนเตียงอีกครั้ง ก่อนจะเป็นฝ่ายลุกขึ้นไปกดปรับแอร์ให้กลับมาอุ่นเหมือนเดิม... เราสองคนเริ่มเปิดสงครามขึ้น และเป็นอย่างนั้นลากยาวจนถึงเช้าของอีกวัน ขอบตาดำคล้ำปรากฏชัดเจนในเวลาต่อมา ทั้งผมและเขาต่างจ้องหน้าเหมือนอยากจะฆ่ากันให้ตายระหว่างทานอาหารเช้าแบบกล้ำกลืนฝืนทนเต็มที ทำให้บรรยากาศตอนนี้ยิ่งแย่ลงไปอีก
“นายสองคนต้องไปทำงานที่ร้าน Florem ร้านดอกไม้ที่ช่วยกันสร้างขึ้นมา ในเวลา 8 นาฬิกาด้วยนะ”
“หะ?” ผมตั้งคำถามผ่านทางสายตาทันทีที่ยัยเด็ก CD พูดจบ ทำให้ JM ต้องลอยเข้ามาใกล้และอธิบายเพิ่มเติมเสียยาวเยียด
“เงินส่วนใหญ่ของพวกนายได้มาจากมรดกของครอบครัวที่ร่ำรวยอยู่แล้ว แต่พวกนายเองก็ไม่ได้กินๆนอนๆ ร่วมกันเปิดร้านดอกไม้เล็กๆอยู่ไม่ไกล ชื่อร้าน Florem มีพนักงานที่ไว้ใจได้ 2 คน ซึ่งจะเป็นคนดูแลหาซื้อดอกไม้จากตลาดและเข้ามาเปิดร้านตั้งแต่เช้ามืด ส่วนเวลาเข้าร้านของพวกนายปกติคือ 8 โมงเช้าไง”
“อย่าลืมสิว่า
ห้ามทำชีวิตตัวเองพัง”
ไอ้เด็กผีทั้งสองคนลอยไปลอยมา และเอาแต่ขู่คำเดิมๆ จนผมชักรำคาญจึงลุกออกจากห้องทันที โดยไม่คิดจะหันกลับไปมองผู้ชายอีกคนด้วยซ้ำ CD รีบลอยตามผมมาและทำหน้าที่นำทางไปที่ร้านดอกไม้บ้าๆนั่น เมื่อไปถึงผมก็พบว่า พนักงานที่ไว้ใจได้ 2 คนนั้นเป็นผู้หญิงหน้าตาดีทีเดียว คนหนึ่งดูโตหน่อย ผมยาวสลวยถูกรวบเป็นหางม้า หน้าตาใจดี ส่วนอีกคนถ้าไม่เด็กกว่าก็คงอายุพอกัน เป็นสาวน้อยหน้าหวาน ผมสีคาราเมลยาวประบ่าถูกดัดปลายให้เป็นทรงสวย ทั้งคู่กำลังจัดวางดอกไม้มากมายเข้าแจกันทรงต่างๆ แต่ก็ต้องหยุดกระทันหัน เพื่อต้อนรับผมซึ่งเดินเข้ามาด้วยท่าทีเก้ๆกังๆ
ร้านเล็กๆถูกประดับและตกแต่งสไตล์วินเทจ ดูเรียบหรูคุณหนูคาวาอี้พิกล ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองในโลกนี้จะแบ๊วหวานขนาดนี้เลยนะ รับไม่ได้นิดๆแฮะ นี่ผมเป็นสาวน้อยในซีรีย์เกาหลีหรือไงครับสาดดดดด
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณปลาย”
อือหือออ ขึ้นคุณกันเลยทีเดียว ผมใหญ่มาจากไหนไม่ทราบหรอ แต่โดนเรียกแบบนี้ก็รู้สึกดีปนเขินแปลกๆแฮะ
“อะ อรุณสวัสดิ์ครับ”
ผมก้มหัวลงน้อยๆก่อนจะพาตัวเองไปหลบอยู่หลังเคาน์เตอร์สีขาวแถวนั้น พร้อมกับคำถามล้านแปดที่พุ่งเข้ามาในหัว... นี่ผมเข้ามาทำไม มาแล้วจะทำอะไร ปกติต้องทำอะไร ดอกไม้ห่าอะไรนี่ผมก็ไม่รู้จัก มีดอกแปลกๆด้วยไงล่ะดอก แล้วคุณพนักงานสองคนนี้ชื่ออะไรล่ะ ถ้าต้องเรียกจะทำยังไง อะไร ทำไม ใคร ที่ไหน อย่างไร ว๊ากกกกกกก!!
กรุ๊ง.. กริ๊งง ..
เสียงกระดิ่งสีเงินพวงยาวที่ถูกแขวนติดกับมือจับประตูดังขึ้นพอดีกับที่สติของผมกำลังกระเจิง ผู้ชายร่างสูงซึ่งกำลังแบกขี้ไว้บนหน้าก้าวเท้าเข้ามาในร้านอย่างเก้ๆกังๆไม่ต่างกับผมเมื่อครู่
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณฌาณ”
“...”
“ทำไมไม่มาพร้อมกันล่ะคะ?” ผู้หญิงหางม้าถามขึ้นเมื่อฌาณไม่พูดอะไร แต่คำถามนี้ยิ่งทำให้เขานิ่งเฉยไปกว่าตอนแรกเสียอีก แถมยังอพยพมายืนข้างผมแล้วด้วย อ๊าก! เข้ามาทำไมวะ ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเล้ยยย
“สงสารจริงๆ จะบอกให้ก็ได้ ยัยหางม้านั่นชื่อทิพย์นะ ส่วนยัยเด็กนั่นชื่อน้ำตาล”
CD ที่ลอยอยู่ข้างๆผมมาตลอดถอนหายใจแบบหน้าหมั่นไส้ที่สุด ก่อนจะยอมบอกใบ้การใช้ชีวิตให้เล็กน้อย เอ้อ ก็ยังดีที่ช่วยอะไรได้บ้าง ไม่ใช่เอาแต่ลอยหน้าลอยตาเป็นเด็กบ้าไปวันๆ! เฮ้ยนี่ผมชักอารมณ์เสียไม่มีเหตุผลแล้วแหละ.. ก็เพราะไอ้ผู้ชายข้างๆนี่ไง ทำผมหงุดหงิดเพราะไม่ได้นอนทั้งคืน!
ไม่นะ.. คำพูดผมกำกวมมากไปละ ผมหมายถึงว่าไม่ได้นอนเพราะต้องลุกมาไฟท์กันกับการปรับแอร์ทั้งคืนนั่นแหละ สาบานได้ว่าถ้าผมเป็นแอร์เครื่องนั้น ผมจะระเบิดตัวเองให้พังๆไปเลย จบ!!
“ช่อดอกไม้ของคุณวุฒิ คุณปลายจะเป็นคนจัดเองใช่ไหมคะ?” พนักงานที่ชื่อทิพย์ยิงคำถามต่อไปหลังจากไม่ได้รับการตอบรับจากคำถามก่อนหน้า แต่คำถามนี้ทำพวกเราเงิบได้มากกว่าเดิมเสียอีก
“เอ่อ.. อะไรเหรอครับ?” ผมตีหน้าเซ่อและตัดสินใจส่งคำถามกลับไปแบบโง่ๆ ทำเอาพนักงานทั้งสองหันมองหน้ากันแบบงงๆ
“ก็ดอกไม้ที่คุณวุฒิสั่งไว้ คุณปลายบอกว่าจะเป็นคนจัดเองไม่ใช่เหรอคะ?”
“จัดดอกไม้เหรอครับ?”
“ค่ะ ก็คุณปลายเซียนสุดในหมู่พวกเราแล้วนี่เนอะ”
เซียน? คุณกล้าพูดคำนั้นออกมาได้ยังไงครับ? มองหน้าผมก่อนขอร้อง คิดว่าหน้าอย่างนี้จัดดอกไม้เป็นไหม!? ก็บอกแล้วว่าผมไม่ใช่สาวน้อยขนาดนั้น ฮือออ!!
“ดอกไม้เนื่องในโอกาสอะไรนะ?” ขณะที่ผมกำลังมึนตึบ เสียงทุ้มของผู้ชายข้างๆก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากทุกคน ก่อนที่น้ำตาลจะเป็นฝ่ายเปิดปากส่งเสียงใสๆออกมาบ้าง อุ่ย น่ารักอะ~
“ครบรอบวันแต่งงานไงคะ จำไม่ได้หรอ”
“งั้นผมทำให้เอง พอดีหมอนี่ไม่สบายน่ะ”
“หะ?” ผมตวัดสายตาไปทางฌาณทันทีที่เขาพูดจบ ผมเนี่ยนะไม่สบาย ไม่สบายอะไร ถ้าไม่สบายใจที่ต้องมาอยู่ใกล้ๆเขาก็อาจจะถูก แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่าเขาจะจัดดอกไม้เองต่างหาก ดูหน้าตาอย่างผมยังทำไม่ได้ คิดว่าไอ้หน้าเย็นชาแบบนี้จะทำได้มะให้ทาย
“อ่า..ค่ะ”
ทิพย์กับน้ำตาลตอบรับแบบงุนงง ก่อนจะเลื่อนวัตถุดิบ อุปกรณ์ต่างๆมากองอยู่ตรงโต๊ะตัวหนึ่ง ฌาณจึงเดินออกไปพ้นเคาน์เตอร์นี้และตรงเข้าไปหยิบกุหลาบสีแดงในแจกันขึ้นมาพิจารณาอย่างคนรู้ดี โอ้ยยคุณฌาณ จะไปทำดอกไม้เขาพังไหมล่ะนั่น เดี๋ยวทำไปทำมาชีวิตเราก็พังกันหมดพอดี!
“เอาอัลสโตรมีเรียมาแซมด้วยดีไหม?”
“อืมม นั่นสิ”
“สีชมพู ตูมๆหน่อยนะ”
“ค่ะ”
น้ำตาลรับคำสั่งจากฌาณก่อนจะวิ่งไปอีกฟากหนึ่งของร้านและคัดดอกไม้ช่อหนึ่งออกมา ดอกไม้กึ่งตูมกึ่งบานสีชมพูลายน้ำตาลช่อเล็กๆถูกยกออกมาวางไว้บนโต๊ะตัวเดิม ก่อนที่ฌาณจะเริ่มหยิบดอกกุหลาบสีแดงกับสีโอรสขึ้นมาจัดบนมือหนึ่งสลับไปมาอย่างชำนาญพิกล
คนตัวสูงมองช่อดอกไม้ที่เริ่มขึ้นรูปในมือตัวเอง พลางหยิบอัลสโตรมีเรียสีชมพู เบญจมาศสีเขียว ไฮเปอร์ริคั่มลูกแดงๆ กับใบพุดขึ้นแซมอย่างสวยงาม
ผมได้แต่มองภาพการทำงานตรงหน้าอย่างทึ่งๆ ไม่นานนักช่อดอกไม้ในมือของฌาณก็ขึ้นรูป เป็นบูเกต์ทรงกลมดูดีแบบไม่น่าเชื่อ ทิพย์ยื่นกรรไกรและเลื่อนสก็อตเทปเข้าไปใกล้ ฌาณรับมาโดยไม่พูดอะไรและเริ่มตัดแต่งก้านออกไป ก่อนจะดึงสก็อตเทปยาวขึ้นพันรอบก้านดอกไม้ในมือ ตามมาด้วยกระดาษสีเขียวอ่อนจากมือของน้ำตาลที่ถูกส่งไปให้ฌาณจับเข้าช่อ
ผู้ชายหน้าโหดที่ยืนจัดดอกไม้เป็นคุณนายญี่ปุ่นอยู่นั้นปิดท้ายผลงานของตัวเองด้วยริบบิ้นสีแดงสด พลางยื่นบูเกต์ที่เสร็จสมบูรณ์ไปให้ทิพย์ถือไว้ ท่ามกลางความยินดีและแอบตกใจของสองสาว ฌาณก็ไม่ลืมที่จะหันมายักคิ้วให้ผมเหมือนจงใจจะเย้ยกัน ห่าาาา ไอ้ชายใจแหววเอ๊ย แค่จัดดอกไม้เป็นนิดๆหน่อยๆอย่าคิดทำกร่างนะว้อย!!
ไม่นานนักคุณวุฒิอะไรนั่นก็มารับดอกไม้ไปด้วยหน้าตาตื่นเต้นเป็นพิเศษ และตามมาด้วยกลุ่มสาวๆที่เข้ามาชื่นชมดอกไม้นานาชนิด ก่อนที่ความเงียบจะพากันกรูเข้ามาอาศัยอยู่ในตัวร้านเป็นเวลานาน ทำให้ฌาณต้องอพยพมาช่วยสองพนักงานตัดแต่งก้านดอกไม้ต่างๆอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ซึ่งมีผมนั่งทำหน้าปั้นปึ่งอย่างคนอารมณ์เสียอยู่ ชิ นายฌาณทำตัวเป็นตุ๊ดในร่างหมีได้ดีทีเดียวนะ
ผมเลิกสนใจภาพการทำงานตรงหน้าและเริ่มก้มหน้าก้มตาไล่ดูรายชื่อลูกค้าในสมุดเล่มหนึ่ง ปล่อยให้เวลาและความเงียบดำเนินต่อไปอย่างช้าๆ นานเท่าไรไม่รู้ที่ผมเอาแต่หลุดหายเข้าไปในโลกของรายชื่อและเบอร์โทรศัพท์ กว่าจะรู้สึกตัวก็เป็นตอนที่มีดอกกุหลาบแดงดอกหนึ่งยื่นมาทิ่มหน้านั่นแหละ
“อะ..อะไร?”
ผมมองดอกไม้ในมือฌาณสลับกับใบหน้าเรียบเฉยของเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ดอกไม้นั้นจะถูกยัดเยียดมาไว้ในมือของผม ตามมาด้วยกุหลาบแดงกองโตอีกกองที่ถูกนำมาวางไว้บนเคาน์เตอร์
“ว่างมากก็ช่วยเอาหนามออก.. แต่กรรไกรมันมีไม่พอนะ”
ฌาณชูกรรไกรอันเล็กที่ไว้ตัดแต่งกิ่งขึ้น พลางหันไปมองกรรไกรอีกสองเล่มที่อยู่ในมือของทิพย์และน้ำตาล แต่มีเหรอที่ผมจะต้องไปง้อมัน ผมยื่นปากอย่างเด็กเอาแต่ใจพร้อมทั้งปัดมือของฌาณออกห่าง
“ไม่ต้องอะ ผมไม่ใช้ก็ได้”
“แน่ใจ?”
“ครับ!”
“ก็ดี”
ฌาณยักไหล่แบบไม่ใส่ใจ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่ตามเดิม เราทั้งสี่คนนั่งสนใจดอกไม้ในมือต่อไปเป็นเวลานานพอตัว เสียงกรรไกรดังขึ้นระงมทั่วทั้งร้าน ในขณะที่ผมต้องใช้มือสดๆหักหนามกุหลาบออกอย่างลำบากลำบน กว่าจะเสร็จสิ้น ทั้งมือก็เต็มไปด้วยแผลเล็กแผลน้อยหมดแล้ว แต่มันก็ไม่ได้กระทบอะไรผมนักหรอก แสบนิดๆไม่ได้เดือดร้อนอะไร ยังไงก็ผู้ชายอะนะ หึหึ
ตกเย็นวันนั้น ผมกับฌาณถูก CDกับJM บังคับให้โอบไหล่กันออกจากร้านเพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยไปมากกว่านี้ จนเมื่อพ้นสายตาจากพนักงานทั้งสอง เราก็แทบจะถีบกันออกไปทีเดียว ฌาณขอตัวแวะไปซื้อของในมินิมาร์ทล่างคอนโด ผมเลยได้ทีรีบขึ้นห้องก่อนเพราะไม่อยากเดินข้างมันนานๆอยู่แล้ว
ทันทีที่ประตูห้องเปิดออก ผมก็รีบพุ่งขึ้นไปบนเตียงนิ่มๆนั้น และคว้าหมอนข้างเข้ามากอดอย่างคนเหนื่อยอ่อน ความเจ็บยิกๆที่ปลายนิ้วยังคงมีอยู่ แต่ผมก็ปล่อยให้มันเป็นไปแบบนั้น นานจนผู้อยู่อาศัยอีกคนกลับเข้ามาพร้อมขนมปังกับกล่องอะไรบางอย่างในมือ
“ลุกๆ”
ฌาณส่งเสียงพลางดึงแขนผมให้ลุกนั่ง คิ้วสองข้างของผมขมวดมุ่นอย่างหงุดหงิด สายตาจับจ้องไปที่ขนมปังที่เขียนคำว่า
‘ไส้ถั่วแดง’ เอาไว้หราซึ่งกำลังถูกโยนลงมาบนตักของผมอย่างไม่ใยดี ตามมาด้วยกล่องแปลกๆนั่นซึ่งตอนนี้รู้แล้วว่ามันคือชุดพลาสเตอร์ยานั่นเอง
“เฮ้ย!” ผมแวดขึ้นทันทีที่ฌาณคว้ามือของผมเข้าไปเกาะกุมไว้อย่างถือวิสาสะ แม้อยากจะชักมือกลับแต่ก็ไม่ได้มีแรงมากเท่าไอ้บ้าตรงหน้านี้
“อยู่นิ่งๆดิ๊”
“โอ้ย!” คราวนี้กลับเป็นเสียงร้องเพราะเจ็บแทน เมื่อฌาณจงใจบีบมือผมแน่นขึ้น พลางใช้มืออีกข้างตบหัวผมดังป๊าบ กล่องพลาสเตอร์ถูกแกะออกพร้อมแผ่นยาลายลูกเจี๊ยบสีเหลืองอ๋อย
“น่ารำคาญจริง ต้องมาดูแลเด็กอย่างนาย”
“เอ้า แล้วใครใช้ให้คุณมาดูแลผมไม่ทราบ โอ๊ะ!”
ผมร้องขึ้นมาอีกเมื่อฌาณพันพลาสเตอร์รอบนิ้วชี้และกดแผลลงแรงๆ แต่ไม่ทันจะได้โต้ตอบต่อ สุ้มเสียงทั้งหมดก็พลันถูกดูดกลืนหายไป เมื่อรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นประหลาดซึ่งถูกส่งผ่านมาทางมือใหญ่นี้
พาสเตอร์สีฟ้าลายน้องหมีถูกแกะออกมาพันรอบนิ้วโป้งของผมอย่างเบามือ ความเย็นชาที่เคยสัมผัสมาตลอด บัดนี้ไม่มีอยู่แล้ว น่าแปลกที่พลาสเตอร์ยาลายปัญญาอ่อน สามารถทำให้ความเจ็บที่ปลายนิ้วหายไปได้อย่างรวดเร็ว...
เราสองคนผละออกจากกันทันทีที่ฌาณทำแผลให้เสร็จสิ้น เขาลุกไปเก็บพาสเตอร์นั้นในลิ้นชักใบหนึ่ง ขณะที่ผมรีบพาตัวเองให้ออกห่าง พลางแกะซองขนมปังบนตักออกเพื่อเลื่อนความสนใจ ไส้ถั่วแดงเละๆถูกแบะออกในปาก หวานเลี่ยนจนชวนอ้วก
หนึ่งวันที่ผ่านมา ผมไม่เห็นว่าจะมีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม นอกเสียจาก
อุณภูมิภายในห้องที่อุ่นขึ้นจนผมอุ่นใจ ว่าอย่างน้อยคืนนี้ผมก็จะได้นอนหลับสักที...
--------------------------------------------------
อย่าเพิ่งงงกันนะคะ
ลองคิดดูดีๆ น่าจะพอเดาได้ไม่ยาก
แต่ถ้ายังงงอยู่ ก็ต้องลองติดตามต่อไปดูก่อนค่ะ