พิมพ์หน้านี้ - The missing piece : by「aonair」

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: mooaiir ที่ 31-03-2013 21:17:48

หัวข้อ: The missing piece : by「aonair」
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 31-03-2013 21:17:48
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

---------------------------------------------

มาพร้อมกับเรื่องใหม่ สดๆร้อนๆค่า เรื่องนี้ก็แอบอิงแฟนตาซีอีกแล้ว 555
แต่ไม่มากนะ เราว่า ส่วนใหญ่จะเป็นชีวิตปกติของพระนายค่ะ น่ารักๆน่า ลองติดตามกันดูก่อนเน้อ
ถ้ายังไงก็ขอฝากเรื่องใหม่นี้ ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะค้า =D
หัวข้อ: Re: รอวันพบเจอ ◎ รอเธอพบกัน #บทที่ 1 : ตั๋วเดินทาง (31/03/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 31-03-2013 23:04:44
บทที่ 1
ตั๋วเดินทาง


 

… ไม่ใช่เธอคนเดียวที่รอฉัน แต่ฉันก็ร.....

เสียงเรียกเข้าถูกตัดไปทันทีที่ผมคว้าโทรศัพท์มือถือบนหัวเตียงขึ้นมากดรับสาย โดยไม่ทันได้มองว่าใครเป็นคนโทรมา เสียงงัวเงียเมื่อแรกของผมถูกปรับให้อยู่ในโทนปกติทันทีที่รู้ว่าใครคือคนจากปลายสาย

(ปลาย มาที่ร้านด่วนเลยได้ไหม?)

เสียงของพี่พืช เจ้าของร้านขนมปังแห่งเดียวในย่านนี้ฟังดูรีบร้อนผิดปกติ ได้ยินเสียงจอแจของบรรยากาศภายในร้านแว่วเข้ามา ท่าทางวุ่นวายน่าดู

“มีอะไรเหรอครับ?” ผมยิงคำถามกลับพลางยันตัวเองให้ลุกขึ้นจากที่นอนเก่าๆ สายตาหรี่ขึ้นช้าๆพอให้ชินกับแสงสว่างซึ่งลอดผ่านขอบหน้าต่างเข้ามา

(ไอ้เกียร์มันป่วยกระทันหัน แล้วออเดอร์เยอะมากเลย)

พี่พืชดูเร่งเร้ายิ่งกว่าเก่า ดูเหมือนตั้งใจจะขอร้องแกมบังคับเสียมากกว่า ถึงยังไงผมก็เป็นลูกจ้างของพี่เขานี่ ถึงจะถูกเรียกให้เข้างานเมื่อไร มันก็ต้องไปอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ มีทางเลือกที่ไหนกัน ลองผมตอบกลับไปว่า ไม่ได้ครับ พี่โทรมารบกวนการนอนของผมมาก ชีวิตผมคงได้บรรลัยภายในสามวันเจ็ดวันนี้อย่างแน่นอน

“ครับๆ ผมจะรีบเข้าไป” ผมรีบรับคำเมื่อได้ยินเสียงลูกค้าตะโกนด่าเข้ามาถึงในโทรศัพท์ จนพี่พืชต้องกดตัดสายไปตั้งแต่คำว่าครับแรก

ผมวางโทรศัพท์มือถือไว้ที่เดิม พลางทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง กลิ้งไปกลิ้งมาสักสองสามรอบพอเป็นพิธี ก่อนจะใช้พลังทั้งหมดในกายดันร่างตัวเองให้ลุกขึ้น เก็บที่นอนให้พอดูได้ ไม่ต้องดีมาก เดี๋ยวคืนนี้ก็เละอีกอยู่แล้ว

ไม่นานนัก ผมก็จัดการเดินผ่านสายน้ำจากฝักบัวที่จะพังแหล่มิพังแหล่ ตรงมาหยุดอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าเก่าคร่ำครึ เลือกเอาชุดที่สบายที่สุด หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ผมไม่มีชุดให้เลือกมากนักหรอก หลับตาหยิบได้ตัวไหนก็เอาๆออกมาสวมไปอย่างนั้นแหละ

ประมาณ 10 นาทีต่อมา ผมในชุดเสื้อยืดสีชมพูกับกางเกงยีนส์ขาดๆก็ปั่นจักรยานมาจอดเทียบหน้าร้านขนมปังขนาดใหญ่ ซึ่งมีคนอัดแน่นแทบจะล้นออกมาจากกระจกใส จนผมไม่แน่ใจว่า..พี่พืชเขามีโครงการแจกสินค้าฟรีหรือเปล่า

สายตาแห่งความหวังของเพื่อนพนักงานภายในร้านพุ่งตรงมาที่ผมทันทีที่พวกมันมองเห็น ผมเลยต้องรีบกวาดขาลงจากจักรยานที่รัก และรี่เข้าไปทักทายเจ้าของร้านหน้ามันเยิ้ม

“เอาไปส่งที่ TIS” ขนมปังนับสิบกล่องภายในถุงพลาสติกใสถูกส่งมาให้ผมทันที ก่อนที่เราจะได้พูดคำว่า สวัสดี กันด้วยซ้ำ

“ครับ?”

ผมรับมาและตีสีหน้าเหรอหรา จนพี่พืชต้องตวัดสายตาน่ากลัวกลับมาเหมือนต้องการตำหนิ ผมไม่รอช้ารีบผงกหัวรับคำสั่ง และวิ่งกลับออกมาด้านนอกอย่างไวเพราะไม่ต้องการแย่งอากาศหายใจกับคนด้านในอีกแล้ว

TIS คือบริษัทผู้ให้บริการระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่อันดับหนึ่งของประเทศไทย สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ทำให้ต้องกลายมาเป็นลูกค้าขาประจำของร้านขนมปังแห่งนี้ไปด้วย โดยเฉพาะลูกชายท่านประธานบริษัท ที่ชอบโดดงานมาป้วนเปี้ยนที่นี่ตลอดตลอด จนบางทีก็น่ารำคาญจนอยากด่าแรงๆสักทีเหมือนกัน แต่เพื่อความปลอดภัยของร่างกายและทรัพย์สิน ผมจึงเลือกที่จะเงียบปากไว้ทุกครั้งที่เราต้องเจอกัน

จักรยานบุโรทั่งของผมไม่สามารถไปถึงจุดหมายได้ไวเท่าที่ใจพี่พืชต้องการ แต่หลังจากผ่านอากาศร้อนบรรลัยของประเทศนี้มาได้สักพัก ผมก็พาตัวเองมาหยุดอยู่ใต้อาคารขนาดสูงลิบ ติดป้ายโฆษณาแผ่นใหญ่พอจะคลุมถนนทั้งเส้นได้ทีเดียว พี่ยามส่งยิ้มให้ผมเพื่อเป็นการทักทาย เพราะผมมาที่นี่บ่อยจนหลับตาเดินได้ แต่อย่าดีกว่า เดี๋ยวคนจะหมั่นไส้ว่าเทพเกิน ฮ่าๆ

“ขนมปังมาส่งครับ”

ผมโพล่งออกมาทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก เรียกความสนใจได้จากสายตาทุกคู่ในแผนก พวกพี่สาวไปจนถึงป้าๆต่างออกอาการวี๊ดว๊ายกระตู้วู้เมื่อเห็นหน้าหล่อๆของผม บอกได้คำเดียวว่าผมเกิดมาเพื่อฆ่าแกงส้มชัดๆ... สวัสดีครับ ผมแกงเขียวหวานครับ =D

“น้องปลาย วันนี้ทำงานด้วยเหรอ?”

พี่สาวผมดัดลอนซึ่งผมไม่เคยจำชื่อได้ทักขึ้นเป็นคนแรก ก่อนที่คนอื่นๆจะผละออกจากงานบนโต๊ะเข้ามารุมล้อมผมอย่างกับแมลงวัน..... อ่าว แรงไปเหรอ ขอโทษครับ เข้ามาล้อมผมเหมือนเวลาเจอดาราก็ไม่ปาน

“วันนี้ลูกค้าเยอะ เลยมาช่วยครับ” ผมรีบยื่นถุงในมือไปให้ใครสักคน เพราะไม่อยากจะอยู่อย่างนี้นานๆ แม้ว่าเครื่องปรับอากาศในนี้จะดีแค่ไหนก็ตาม

“น่ารักจัง”

คุณป้าผมซอยสั้นสีสันแสบตาขยับเข้ามาใกล้และถือวิสาสะเข้าหยิกแก้มผมอย่างเอ็นดู แต่ถ้าป้าเอ็นดูผมด้วยการทำร้ายแก้มขาวๆของผมจนเป็นรอยนิ้วแบบนี้ผมว่าผมขอผ่านนะครับ!

และก่อนที่ผมจะเปลืองตัวให้กับพนักงานเพศหญิงของบริษัท TIS ไปมากกว่านี้ ก็มีมือใหญ่ของใครสักคนเข้ามาล็อคคอผมไว้จากด้านหลัง ก่อนที่ใบหน้าเรียวแสนคุ้นเคยจะโผล่เข้ามาอยู่ในระยะประชิด ผมเกร็งตัวมองตรงไปแต่ข้างหน้าทันที เพราะรู้ดีว่าคนข้างหลังกำลังส่งสายตาแบบไหนมาให้... ก็ต้องเป็นสายตาแบบพวกลูกค้าโรคจิตตามบาร์เกย์ที่หวังจะทำมิดีมิร้ายเด็กชายอย่างผมอยู่แล้วน่ะสิ! เอ่อะ ผมแค่อุปมาอุปไมยนะ…

“นี่ปลายของผมคนเดียวนะ” ตอนไหน!? ตั้งแต่เมื่อไรครับ!? ผมอยากจะโวยวายออกมาแทบบ้าตาย แม้จะไม่ได้หันไปมองแต่ก็รู้ดีว่าผู้พูดกำลังกระหยิ้มยิ้มย่องอย่างจงใจแกล้งกัน

“คุณรัฐ ช่วยจ่ายเงินค่าขนมปังมาด้วยครับ”

ท้ายที่สุดผมก็ต้องเป็นฝ่ายดึงตัวเองออกมาจากการเกาะกุม และหันหน้าไปเผชิญกับชายร่างสูงโปร่ง ใบหน้าเคลือบรอยยิ้มกรุ้มกริ่มตลอดเวลา ยิ่งกับแววตาเจ้าเล่ห์คู่นั้น ยิ่งมองยิ่งเกลียดขี้หน้าครับบอกตรงๆ แต่ก็แสดงออกไม่ได้ เพราะนี่แหละลูกค้าขาประจำของร้านขนมปังพี่พืช คุณรัฐฐา ลูกชายคนเดียวของท่านประธานแห่ง TIS

“เย็นชาตลอดเลย” คุณรัฐว่า แต่ก็ยอมควักกระเป๋าสตางค์ออกมายื่นแบงค์พันให้ ตามตรรกะคนรวยแล้ว ผมขอเดาว่าเขาจะไม่รับเงินทอน ถ้าเดาผิดนี่อนุญาตให้หันไปถีบหน้าคนใกล้ๆตัวได้เลยครับ

“รับมาหนึ่งพันบาทนะครับ” ผมเก็บเงินลงกระเป๋าตัวเอง ตั้งท่าจะเดินกลับไปที่ลิฟต์ แต่มือใหญ่ของคุณรัฐก็ตามมาคว้าแขนผมไว้ได้ก่อน พร้อมขึ้นเสียงสูง

“เงินทอนล่ะครับ?”

“นี่ครับ” ผมรีบควักแบงค์ร้อยสองใบจ่ายคืนไป ก่อนจะสะบัดแขนออกมาและพุ่งตัวเข้าไปในลิฟต์ทันทีที่มีพนักงานกำลังใช้งานพอดี

ระหว่างที่ลิฟต์กำลังเลื่อนลง ผมก็มีโอกาสพิจารณาเงาตัวเองที่สะท้อนกลับมาจากประตูอะลูมิเนียม หลายๆครั้งก็นึกเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะส่วนสูงที่ไม่ได้พัฒนาขึ้นจากตอนอยู่มัธยมเลย ผิวขาวๆซึ่งไม่น่าจะเหมาะกับเด็กที่ใช้ชีวิตลำบากแบบนี้ ตากลมโตแบบตัวการ์ตูน รับกับปากสีชมพูธรรมชาติ ที่ผมดูยังไงก็น่ารักเกินชายนะ เอาจริงๆ ผมจีบตัวเองได้ไหมเนี่ย?? ถุยยย! ผมหลอกเล่นนะ ผมล่ะเกลียดตัวเองจะตายห่าอยู่แล้วที่มีร่างกายอย่างกับเด็กประถม พอดูเผินๆเลยนึกว่าเด็กผู้หญิงซะงั้น ถ้าไม่กลัวสักหน่อย ผมจะต่อยปากแม่งทุกคนที่พูดอย่างนั้นให้ดู! อ่าว.. ผมเพิ่งพูดไปหนิ อันนี้ไม่นับละกันครับ (‘ ‘  ; )

ผมก้มหัวให้พี่ยามหน้าอาคารแห่งนี้ ก่อนจะรีบเลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆที่ผมจอดจักรยานเอาไว้ แต่แปลกแฮะ พอผมไปถึงกลับเจอผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนรออยู่แล้ว ใบหน้าขาวเหลือง กับดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองตรงมาที่ผมเขม็ง แต่ก็ไม่ได้ดูน่ากลัวแต่อย่างใด เพียงแค่ตกใจก็เท่านั้น จะว่าไปคุ้นๆหน้า เหมือนจะเคยเห็นมาอุดหนุนขนมปังที่ร้านอยู่เหมือนกัน ก็คงไม่พ้นเป็นคนในละแวกนี้ แต่ที่น่าสงสัยก็คือทำไมถึงต้องมายืนจ้องผมเหมือนจะกลืนกินกันซะขนาดนี้ด้วย!?

“เอ่อ...” ผมส่งเสียงออกไปเล็กน้อยพอหยั่งเชิง

“เรารู้จักกันไหม?”

คนตรงหน้ากระชากเสียงจนผมเผลอสะดุ้ง แต่ก็ทำได้เพียงส่งยิ้มแห้งๆกลับไป และส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน ดูเหมือนเขาจะมีท่าทีผิดหวังปนอยู่ในแววตาคู่นั้นไม่มากก็น้อย ก่อนจะพยักหน้าเหมือนเข้าใจ และหันหลังเดินกลับไปยังทางออกอีกฟากของซอยเล็กๆแห่งนี้ ประหลาดคนจัง นี่คงไม่ได้กำลังหาคนค้ำประกันให้อยู่หรอกนะ เหอะๆ ดูเหมือนว่าดีแล้วที่ผมปฏิเสธไปแบบนั้น

ผมกำลังจะเลื่อนจักรยานออกจากที่แคบ และคงได้ขึ้นขี่ไปแล้วถ้าสายตาเจ้ากรรมไม่เหลือบไปเห็นสร้อยข้อมือสีเงิน ที่กำลังล้อเล่นกับแสงอาทิตย์ที่สาดเข้ามา ผมก้มลงเก็บขึ้นมาดูให้ชัดเจน ก็เห็นตัวอักษร CP สลักเอาไว้ ข้างๆจี้รูปดอกไม้บาน ช่างดูแปลกตาแต่ทว่าสวยงาม

CP อะไร? ไก่?

ไม่รอช้า ผมรีบวิ่งตามหลังไกลๆของผู้ชายคนเมื่อครู่ ซึ่งกำลังเลี้ยวออกจากซอยไป ในมือกำสร้อยข้อมือนั้นไว้แน่น ไม่รู้ทำไมต้องรีบขนาดนี้ เพราะกลัวคลาดสายตาจากเจ้าของสร้อย หรือเพราะรู้สึกว่าสิ่งนี้มันสำคัญมากสำหรับคนคนนั้น... ผมไม่รู้เลย ว่าในตอนนั้นตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ที่รู้ๆ คือขาของผมมันไปไวกว่าความคิดมากนัก

ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่เจอผู้ชายคนนั้นแล้ว ทั้งๆที่เพิ่งเดินพ้นจากซอยนี้มาไม่ถึงห้าวินาที กลับคลาดกันไปเสียอย่างนั้น... มันอาจจะไม่แปลกก็ได้ถ้าอีกฟากหนึ่งของถนนเต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่ แต่เพราะที่นี่แทบไม่มีใครเดินอยู่เลยต่างหาก...!?

“สวัสดีจ้า!”

“เฮ้ยย!” ผมสะดุ้งสุดตัว เมื่อมีมือเล็กๆเข้ามาเกาะไหล่ พอหันกลับไปก็พบเด็กผู้หญิงตัวเล็กหน้าตาประหลาด มือสองข้างยกขึ้นปิดปากเพื่อกลั้นเสียงร้องอย่างสุดชีวิต เมื่อมองลงมาแล้วเห็นว่าเธอกำลัง ลอยตัว อยู่ !!

“ผ...ผี!?” ผมเอ่ยออกไปอย่างยากลำบาก เนื้อตัวสั่นจนแทบยืนไม่ไหวถึงกับต้องอาศัยพิงกำแพงในซอยแคบๆนั้น สายตายังคงจับจ้องไปที่สิ่งมีชีวิต(?)เบื้องหน้าที่เอาแต่ยิ้มหน้าสลอน

“ฉันไม่ใช่ผี! ฉันเป็นเซลล์..” ยัยเด็กนี่ตอบกลับมาเสียงดังฟังชัด จนผมต้องรีบหันซ้ายขวาเผื่อว่าจะมีใครได้ยิน แต่กลับไม่มีคนนึกสนใจเราเลยแม้สักนิด

“อะไรนะ? จะยกดัมเบล?” ผมแสร้งทำโง่ถามกลับไปอย่างกล้าๆกลัวๆ ทำเอายัยนี่ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความงุนงง

“ไม่ได้จะยกดัมเบล ฉันบอกว่าฉันเป็นเซลล์”

“เธอบอกว่าเธอวิ่งเร็วเรอะ?”

“ฉันไม่ได้วิ่งเร็ว แต่ว่าฉันเป็นลูคีเมล...ว๊ากก ไอ้บ้า! ฉันเป็นเซลล์ย่ะ!”

มีการตบมุกแบบนี้ ดูท่าทางไม่ใช่คน(?)ไม่ดี แต่ถึงยังไงก็น่ากลัวอยู่ดี ก็เล่นโผล่ออกมาทั้งที่ลอยไปลอยมาแบบนี้นี่นะ แค่ผมไม่หัวใจวายช็อคตายไปตั้งแต่เมื่อกี้ก็นับว่าอึดเต็มทนแล้ว!

“ฉันเป็นเซลล์ขายทริป ว่าแต่นาย..อยากลองไปที่โลกใบอื่นดูไหมล่ะ?

ยัยนั่นหาจังหวะพูดขึ้นมาหน้าเป็น ไม่ได้สนใจเลยว่าผมมีท่าทีงงแตกขนาดไหน และดูเหมือนผมจะอึ้งไปนานพอตัว จนเจ้าตัวประหลาดตรงหน้าต้องร่ายต่อไป

“นายรู้ไหมว่า ที่นี่คือหนึ่งใน 50 Copy Worlds”

“...”

ผมว่าผมเข้าใจคำว่า งงเป็นไก่ตาแตก ก็นาทีนี้นี่แหละครับ

“Copy Worlds ก็มีหลักคล้ายๆ ทฤษฎีโลกคู่ขนานนั่นแหละ แปลว่า.. ยังมีตัวนายอีก 49 คน กำลังดำเนินชีวิตในบทบาทที่แตกต่างกันออกไป อยู่ในโลกอีก 49 ใบที่เหลือยังไงล่ะ”

“เอิ่ม...”

ผมทิ้งท้ายแค่นั้นก่อนจะบังคับร่างกายให้หันหนีจากยัยเด็กบ้านี่ และรีบสาวเท้ากลับไปที่จักรยานทันที แต่ทำไมเดินมาเนิ่นนานไม่ถึงสักที แต่ทำไมมองดูเส้นทางเหมือนยาวออกไป... ว๊ากก! ไอ้เด็กบ้านั่นมันกำลังรั้งตัวผมไว้ด้วยมือข้างเดียว บ้าชิบ! นี่มันเป็นลูกสาวเดอะฮัคสินะ ผมเข้าใจละ! แม่งเอ๊ย ผมเล่นผิดคนแล้วว่ะ...

“อย่ามองจากมุมมองของนายสิ! ถ้ามองจากมุมมองด้านมิติ ก็จะเห็นว่าโลกใบนี้เป็นแค่หนึ่งในกลุ่มดาวเคราะห์โลกจำนวนมากมาย ที่ซ้อนทับกันอยู่ หรือที่เราเรียกว่า The conglomeration of many earths ยังไงล่ะ”

ผมหันกลับไปมองหน้าบ๊องแบ๊วของยัยเด็กประหลาดอย่างชั่งใจ แววตาของเราประสานกันทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความจริงใจบางอย่างในคำพูดของเธอ เวลาผ่านไปนานพอตัวจนเธอเริ่มคลายแรงที่มือออก ผมก้มหน้าลงเหมือนคนยอมจำนน แต่หารู้ไม่ว่าภายใต้เส้นผมที่ปรกหน้าอยู่ตอนนี้ รอยยิ้มแห่งโอกาสกำลังผุดขึ้นมาอย่างช้าๆ

“เฮ้ย! ซาลาแมนเดอร์บินได้!”

ผมชี้นิ้วที่เป็นอิสระไปบนท้องฟ้าเบื้องหลังหน้าตาตื่น จนยัยนั่นเผลอเหลือบตากลับไปมองครู่หนึ่ง ผมจึงคว้าโอกาสนี้สะบัดแขนให้หลุดออกจากการเกาะกุม รวบรวมกำลังทั้งหมดไปที่แรงวิ่ง และวาดขาขึ้นคร่อมจักรยานคันเก่าอย่างรวดเร็ว

ผมปั่นจักรยานหนีไอ้เด็กบ้านั่นอย่างไม่คิดชีวิตจนมาหยุดลงตรงหน้าร้านขนมปังจนได้ คนยังแน่นไม่ต่างจากขาไปเท่าไรนัก แต่ก็ยังโล่งพอให้ผมแทรกตัวเข้าไปคืนเงินทอนพี่พืชได้ ก่อนจะละล่ำละลักขอตัวลาแต่เพียงเท่านี้ เมื่อผมเริ่มเห็นภาพหลอนของยัยเด็กคนเมื่อกี้กำลังเอาหน้าติดกระจกใสและมองตรงมาทางผมด้วยสีหน้าเคืองขุ่น

“ลานะครับ”

ผมก้มหัวรัวๆและก้าวขาออกมาจากร้านอย่างไว จงใจไม่หันไปมองเงาตะคุ่มๆแถวหน้าประตู และรีบพาตัวเองขึ้นขี่จักรยานแสนรัก ปั่นมาราธอนไปจนถึงห้องเช่าโทรมๆด้วยความเร็วผิดปกติ บางทีถ้าต้องหนีไอ้เด็กนั่นมากๆ ผมอาจลองไปสมัครแข่งชิงแชมป์นักปั่นแห่งประเทศ

ขาหนักอึ้งของผมถูกลากเข้ามายังห้องนอนขนาดเท่ารูมดจนได้ ผมรีบพาตัวเองไปนั่งพักหายใจหายคอที่โซฟาขาดๆตรงกลางห้อง สายตาจับจ้องไปที่หน้าจอโทรทัศน์เครื่องจิ๋ว แต่ก็ต้องสะดุ้งจนตัวขด เมื่อจู่ๆก็มีหัวกลมดิ๊กของเด็กหญิงประหลาดนั่นโผล่ออกมายิ้มพริ้มพรายแบบไม่สนใจโลก และไม่สนใจว่าผมกำลังจะหัวใจวายตายด้วย!

“ฉันขายทริปให้นายไปค้นพบชีวิตใหม่ๆในโลกใบอื่นๆ ราคาถูกแสนถูก.. ตั๋วเที่ยวเดียวก็แค่ 5 ปี จากอายุขัยเท่านั้น”

ถึงผมจะไม่ได้เชื่อสิ่งที่ยัยนี่พูด แต่ถ้ามันเป็นจริง ไอ้ที่ว่า 5 ปี จากอายุขัยนี่มันก็ออกจะมากเกินไปไหม! รีดไถ่ขนาดนี้ไม่เอามีดมาจี้คอให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลยล่ะ แถมเป็นตั๋วเที่ยวเดียว แปลว่าเดินทางครั้งนึงต้องเสีย 10 ปีงั้นเรอะ มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่จะยอมตกหลุมพลางสิ้นคิดนี่ เชื่อผมไหม?

“โลกที่นายอยู่นี้คือโลกหมายเลข 23 สมมตินายจะไปที่โลกหมายเลข 5 ตัวนายในโลกหมายเลข 5 ก็จะถูกทำให้หลับอยู่ในห้วงมิติ จนกว่านายจะกลับมาที่โลก 23 นั่นแหละ และจะกลับมาโผล่ที่จุดจุดเดิมกับตอนไปพอดีเป๊ะ.. ย้ำว่าจุดเดิมพอดีเป๊ะ”

“เอิ่ม...” ผมมองยัยเด็กนั่นกลับด้วยสีหน้าอึนๆมึนๆ บ่งบอกให้เห็นว่าผมไม่ได้รู้สึกสนใจในสิ่งที่เธอพูดมาเลยสักนิด พูดให้ถูกก็คือ ผมไม่เชื่อเธอ แม้ว่าเธอจะลอยได้ก็ตาม จบปะ

“เป็นไง กระบวนการเรียบง่ายไม่เสียหาย สนใจขึ้นบ้างไหม?” ไม่จบเว้ย! ไอ้เด็กนี่มีความพยายามชิบหายบอกตรงๆ สมแล้วที่เรียกตัวเองว่า เซลล์ ตื้อขนาดนี้หวังค่าคอมฯหรอครับ!!

“ไม่อะ”

ผมยอมปริปากพูดดีๆกับเธอบ้าง... อ่าว ไม่ดีหรอครับ? แต่ก็นั่นล่ะ ผมพูดได้แค่นั้นจริงๆ ถึงแม้ในใจผมอยากจะตะโกนออกไปว่า ไอ้ห่า มึงเป็นตัวอะไรวะ ตามกูอยู่ได้ กูกลัวเยี่ยวเล็ดแล้วเนี่ย มึงไปเหอะ กูไหว้!! ก็ตามที.....

“...”

เงียบครับ เธอเงียบไปนาน นานจนผมเริ่มปวดขี้ตงิดๆ แต่ก็ไม่กล้าไป กลัวเธอตามไปดู ผมคงขี้ไม่ออกจริงๆ แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ขี้ครับ ประเด็นคือเธอทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ซึ่งผมทนมองไม่ได้ เห็นแล้วอยากถีบ... หลอกครับ เห็นแล้วสงสาร เพราะเหมือนเห็นภาพตัวเองซ้อนทับกัน ก็ผมมันเด็กกำพร้านี่ครับ ชีวิตลำบากแต่เล็ก ตอนเด็กๆนี่ทำตัวขี้แยได้ทุกวัน เห็นอย่างนี้ก็รู้สึกไม่ดีเลย...

ในขณะที่ผมกำลังคิดไม่ตกว่าควรจะปลอบเธอในฐานะอะไร หรือยังไงดี เธอกลับเป็นฝ่ายชิงพูดขึ้นก่อน และเป็นคำพูดที่ทำเอาผมสะอึก กลายเป็นผมเองที่ต้องสะกดกลั้นความรู้สึกสับสนอย่างรุนแรงภายในหัวสมอง

 

“อาจมีอยู่... โลกที่พ่อกับแม่ของนายยังไม่ตาย”

ผมกลอกตาไปทางโน้นทีทางนี้ที ไม่ถึงนาทีก็มองทิวทัศน์ในห้องจนครบ (คือห้องมันเล็กจริงๆครับ) ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าเธอซึ่งไม่มีรอยยิ้มใดๆหลงเหลืออยู่ กลับเป็นใบหน้าของคนที่ดูจริงจังจนอดเชื่อใจไม่ได้.. ผมนิ่งไปหลายนาที ดวงตากลมโตของเด็กผู้หญิงตรงหน้าแทบไม่ได้กระพริบเลย น่าแปลกที่ผมเองก็มีท่าทีไม่ต่างกัน ดวงตาค้างเติ่งอยู่อย่างนั้นจนรู้สึกแสบไม่หมด หัวสมองทำงานอย่างหนักจนเริ่มปวดขมับขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“ฮู่ว.. . . .”

ผมสูดหายใจลึกและปล่อยออกมาทางปากเบาๆ แต่ยืดยาว...

 

 

 

 

“ขอตั๋วหนึ่งใบให้ที”

และแล้ว ผมก็กลายเป็นไอ้บ้า ที่หลงกลเธอ...


-------------------------------------

 :hao7: :hao7: :hao7:

เริ่มเรื่องเนิบไปใช่ไหม T______T
แต่อนาคตอาจสนุกก็ได้นะ ลองอ่านดูเถอะ
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 2 : พบกันอีกครั้ง (01/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 01-04-2013 18:38:13
บทที่ 2
พบกันอีกครั้ง


 

ผมถูกแรงกระชากบางอย่างพาให้หลุดไปอยู่ในความเวิ้งว้างเพียงชั่ววินาที ก่อนที่หัวจะหมุนจนแทบสำรอกอาหารของเมื่อวานออกมา ร่างกายเคว้งไปหมดในสภาพไร้แรงดึงดูด ความรู้สึกที่เหมือนมีแมลงตัวนั้น ตัวนี้ มีเยอะมากมายกำลังไต่ไปตามผนังกระเพาะอาหารเล่นเอาอึดอัดมวนท้อง จนต้องขมวดคิ้วเครียดตลอดระยะเวลาที่แสนยาวนาน (ในความคิดผมอะนะ)

เศษซากขนมปังที่กินเข้าไปแทบจะหลุดออกมาพ้นคอหอยอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่ว่ามีแรงดึงมหาศาลจากสักมุมหนึ่งของโลกมารั้งตัวผมไว้ก่อน วินาทีต่อมา..เท้าของผมก็แตะถึงพื้นอีกครั้งทั้งๆที่ไม่รู้ตัวสักนิด ประสาทสัมผัสทั้งห้าค่อยๆถูกไขลานให้เริ่มกระบวนการของมันตามปกติ เสียงจอแจรอบตัวดังขึ้นจนน่ารำคาญ

เปลือกตาหนังอึ้งถูกปรือขึ้นด้วยความพยายามที่เหลือ ก่อนที่ผมจะสะอึกก้อนอะไรบางอย่างด้วยความตกใจกับภาพตรงหน้า.. ผู้คนมากมายเดินให้ทั่วบริเวณไปหมด ความรู้สึกจากเครื่องปรับอากาศสัมผัสแขนทั้งสองข้างจนขนลุกชัน ถึงจะเคยมาแค่ครั้งเดียวในชีวิตก็ตาม แต่ผมจำมันได้ดี สถานที่ที่ผมกำลังยืนเอ๋ออยู่นี่ คือสนามบินสุวรรณภูมิไม่ผิดเพี้ยน ยิ่งไปกว่านั้นเสื้อผ้าที่ผมใส่มาในตอนแรกกลับเปลี่ยนไปเสียเฉยๆ เกิดรอยแผลจางๆขึ้นที่ปลายนิ้วชี้อย่างไม่ทราบสาเหตุ รวมทั้งความปวดเมื่อยตามตัวนี่อีก

“ปลาย!”

เสียงของผู้หญิงวัยกลางคนดังขึ้นจากด้านหลังทำเอาผมสะดุ้ง เกือบลืมไปว่านี่ไม่ใช่โลกที่ผมสมควรจะอยู่ แล้วนั่นคือเสียงของใครล่ะ ที่โลกใบนี้ผมรู้จักผู้หญิงที่ไหนด้วยเหรอ..

ผมค่อยๆหันกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียง รอยยิ้มอบอุ่นวาดอยู่บนใบหน้าของผู้หญิงคนนั้น ข้างๆมีผู้ชายตัวสูงวัยพอดีกัน ทั้งสองคนเริ่มมีผมหงอกบ้างประปราย บวกกับร่างกายที่ดูไม่แข็งแรงสมบูรณ์นัก ถึงอย่างนั้น..ก็ไม่ได้ทำให้ภาพตรงหน้าดูงดงามน้อยลงไปเลย

ถ้าประสาทสัมผัสของผมไม่ได้เพี้ยนไป น้ำอุ่นๆกำลังรื้นขึ้นมาที่ขอบตาทั้งสองข้างไม่ผิดแน่ มือสองข้างกำหมัดแน่นเพื่อระบายความรู้สึกท่วมท้นในจิตใจตอนนี้ ผมเผลอกัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดซิบ ไม่รู้ว่าสิ่งที่รู้สึกอยู่ในตอนนี้ คืออะไรกันแน่

ไม่ผิดใช่ไหมครับ ทั้งคู่ตรงหน้าผมตอนนี้.. คือพ่อกับแม่ที่น่าจะตายไปแล้วใช่ไหมครับ?

หัวใจของผมถูกบีบรัดด้วยภาพของคนทั้งคู่ ไม่รู้ว่าดีใจมากเกินไปที่ได้เห็นหน้าพวกเขาอีกครั้ง ทั้งๆที่ไม่สมควรจะมีโอกาสนั้นอีกแล้ว หรือว่ากำลังเจ็บปวดอย่างลึกซึ้ง ที่โดนตอกย้ำให้รู้ว่า พ่อกับแม่ยังมีชีวิตอยู่ ในโลกที่ผมไม่รู้จักกันแน่...

“ยืนเหม่ออะไรอยู่ พี่เขาจะมาแล้วนะ”

เสียงของพ่อดังขึ้น ช่วยดึงผมออกจากภวังค์เมื่อครู่ เสียงที่ไม่ได้ยินมานานมาก มากจนแทบจะลืมไปเสียสนิทแล้ว กลับดังขึ้นต่อหน้าต่อตา ราวกับฝันที่กลายเป็นจริงขึ้นมาอย่างนั้นแหละ

“ค..ครับ” ผมอ้ำอึ้งตอบกลับไป พลางปาดน้ำตาที่คลอระหว่างเบ้าออกอย่างลวกๆ ก่อนจะเดินตามคู่สามีภรรยาตรงหน้าไปตามทางที่เต็มไปคนผู้คน

“เป็นไง?”

“เฮ้ย!”

ผมโพล่งออกมาจนคนแถวนั้นหันมามองเป็นตาเดียว เลยได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆกลับไปด้วยความอาย เมื่อยัยเด็กบ้าที่ลากผมมาจนถึงโลกใบใหม่ ที่ผมคงต้องยอมรับเสียทีว่ามันมีจริง ดันโผล่ออกมากลางอากาศแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงใดๆ

“ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ฉันคือเซลล์ทริป ชื่อ CD และนี่ก็คือโลกหมายเลข 27 ที่นายซื้อมา ยินดีด้วยนะ เป็นโลกที่ยังมีพ่อกับแม่อยู่จริงๆด้วย”

ผมไม่รู้จะตอบอะไร ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาเดินตามพ่อกับแม่ที่ว่าไปเรื่อยๆ เพราะกลัวจะคลาดกัน แต่หูก็ยังเปิดฟังสิ่งที่ยัยเด็ก CD ซึ่งกำลังลอยอยู่ข้างๆพูดออกมาเรื่อย

“ไม่ว่านายจะไปที่โลกใบไหน นายก็ต้องเล่นไปตามบทบาทของตัวเองในโลกแห่งนั้น เป็นระบบ ‘การเข้าแทนที่’ น่ะ นายจะต้องแบกรับตัวตนของนายในโลกแต่ละใบเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหน้าผม ร่องรอยในอดีต หรือความรู้สึกทุกอย่าง ตามข้อมูลดูเหมือนวันก่อนตัวนายในโลกนี้จะไปช่วยสร้างบ้านให้เด็กในชนบท จนได้รับแผลที่นิ้วนั่นมา รวมทั้งความปวดเมื่อยด้วย ทุกอย่างก็มีประมาณนี้แหละ อ้อ.. แต่ต้องระวังหน่อยล่ะ ถ้าเกิดทำชีวิตตัวเองพังขึ้นมา ได้จบไม่สวยแน่”

แหม พูดซะดูน่ากลัวเชียว แล้วใครมันจะไปบ้าอยากทำชีวิตตัวเองพังล่ะครับ ถึงแม้จะไม่ใช่ตัวเองเสียทีเดียวก็เถอะ

“แล้วนี่ผมกำลังทำอะไรอยู่?” ผมขยับปากอุบอิบเพื่อส่งเสียงถาม แม้จะเบามากแต่ก็แน่ใจว่าเธอได้ยิน

“เมื่อกี้พ่อนายก็บอกไปแล้วนี่ หลังจากนี้ก็เล่นละครชีวิตตัวเองต่อไปเองแล้วกัน”

ไอ้เด็กบ้าพูดทิ้งท้ายเหมือนจงใจจะเล่นเกมใบ้คำ ก่อนจะหายตัวแว๊บไปกับตา ทำเอาผมสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็พยายามอย่างมากที่จะควบคุมไม่ให้มีเสียงอุทานหลุดลอดออกมา

เมื่อกี้พ่อบอกแล้วงั้นเหรอ? ว่าแต่เมื่อกี้พ่อบอกว่า ‘ยืนเหม่ออะไรอยู่ พี่เขาจะมาแล้วนะ’ สินะ อืมม... เหม่ออะไร.. พี่เขา จะ.. มา...

เฮ้ย!!!

ผมอุทานในใจซะเสียงดังจนขวัญหนีไปเอง หลังจากประมวลคำพูดเมื่อครู่ออก พ่อพูดว่าพี่ใช่ไหม นี่ผมมีพี่ด้วยเหรอ!? บ้าไปแล้ว ที่โลกใบนี้ผมมีพี่ ถึงจะไม่ได้อยากหรือไม่อยาก แต่มันก็อดตื่นเต้นไม่ได้ที่จะได้รู้ว่าใครคือพี่คนนั้น ไม่เคยมีความคิดว่าจะมีพี่น้องแบบนี้มาก่อนเลยแฮะ

“ทางนี้ๆ” เสียงของแม่ตะโกนขึ้นเรียกให้ผมกลับมาสนใจภาพตรงหน้าอีกครั้ง หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น พอดีกับที่พ่อและแม่กำลังเดินเข้าไปลากใครบางคนตรงเข้ามา

ภาพผู้ชายร่างสูงโปร่ง ผมซอยสั้นสีดำขลับถูกเซตให้เป็นทรงไม่แพ้พวกนายแบบตามปกนิตยสาร ร่างกายกำยำสมส่วนแบบที่ชายหนุ่มพึงจะมีถูกแสดงออกมาผ่านเนื้อผ้าดูดีมีราคา แขนสองข้างพาดไปกับรถเข็นของสนามบินซึ่งบรรจุกระเป๋าเดินทางหลายใบไว้ ดวงตาทั้งคู่ถูกซ่อนอยู่เบื้องหลังแว่นกันแดดสีชาซึ่งขัดอยู่เหนือสันจมูกโด่งได้รูปนั่น

ผมเอียงคอมองผู้ชายตรงหน้าด้วยจิตสงสัย คุ้นเคยมากเกินไป นี่คือสิ่งแรกที่แล่นปราดเข้ามาในหัวสมอง ภายในวินาทีแรกที่พบกัน ลักษณะเส้นผมแบบนี้ โครงหน้าแบบนี้ ร่างกายแบบนี้ สีผิวและส่วนสูงแบบนี้ แทบไม่ต้องเดาเลยว่าใคร แต่ที่ประหลาดใจก็คือ ทำไมคนคนนั้นถึงกลายมาเป็นพี่ชายของผมในโลกใบนี้ได้!?

“เป็นไงบ้างเรา?” คนที่ดูเหมือนจะเป็นพี่ชายของผมถอดแว่นกันแดดออก เผยให้เห็นดวงตาสีนิลใส รอยยิ้มกรุ้มกริ่มแบบที่นึกเกลียดนักปรากฏให้เห็นอีกครั้งราวกับภาพหลอน

คุณรัฐ... คุณคือพี่ชายของผมจริงๆเหรอครับ ??

ผมเพียงแต่ส่งยิ้มประหลาดออกไปเพราะยังทำตัวไม่ถูก คุณรัฐเลยหัวเราะออกมาในท่าทีเป๋อเหลอของผม ก่อนจะเอื้อมมือมาขยี้ผมของผมเล่นอย่างอารมณ์ดี นี่กะจะไม่ให้ผมหลุดพ้นบ่วงของผู้ชายคนนี้เลยหรือไงครับ อย่าบอกนะว่าต้องเจอกันแบบนี้ในโลกทุกๆใบ ผมว่าแบบนั้นมันต้องมีอะไรผิดพลาด!

เราสี่คนพ่อแม่ลูกครอบครัวสุขสันต์ นั่งรถแวนคันหรูกลับบ้าน แต่บ้านก็ไม่ได้ใหญ่เว่อร์วี่ว่าอะไรมากมายนะครับ แต่ถ้าเทียบกับห้องเช่าเก่าๆของผมแล้ว อันนี้ก็น่าจะเทียบเคียงสวรรค์บนดินได้สบายๆ

ที่แรกที่ผมตรงดิ่งเข้าไปคือห้องนอนตัวเอง และถือเป็นความโชคดีเหลือล้นที่มีป้ายกำกับไว้หน้าประตูว่าห้องไหนเป็นห้องไหน ทำให้ผมไม่ต้องทำตัวน่าสงสัยด้วยการลืมทิศทางในบ้านตัวเอง ผมจัดแจงค้นคว้าข้อมูลของตัวผมในโลกใบนี้ให้ได้มากที่สุด จากพวกข้าวของเครื่องใช้และทุกสิ่งอย่างที่หลงเหลืออยู่

เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่า จนผมพอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาได้บ้างว่า ผมคือเด็กนักเรียนปี 3 แห่งมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง ซึ่งก็ทำเอาผมนั่งปิติไปหลายนาทีอยู่ ก็ในโลกที่แท้ของผม ผมไม่มีโอกาสได้เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยนี่ครับ

ต่อมาก็คือ.. คุณรัฐ แกเป็นลูกพี่ลูกน้องของผมครับ ไม่ใช่พี่แท้ๆ แต่ก็สนิทกันมาก อาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกันและเติบโตขึ้นมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก (พอดีค้นเจออัลบัมรูป) ปัจจุบันเป็นอาจารย์ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในต่างประเทศ แต่กลับมาประเทศไทยทุกๆปิดเทอม และแน่นอนว่าเป็นช่วงปิดเทอมของนักศึกษาอย่างผมเช่นกัน แอบเสียดายนิดๆนะที่ไม่ได้เข้าไปนั่งเรียนอย่างที่เคยวาดฝันไว้ แต่แค่รู้ว่าได้เรียน ผมก็สุขสุดๆแล้วครับ

ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมจึงรีบลนลานเก็บของที่รื้อของมาทั้งหมดยัดใส่ตู้ใบหนึ่ง ก่อนจะเดินออกไปแง้มประตูออกเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเป็นคุณรัฐก็แทบจะปิดประตูหนีตามสัญชาตญาณ แต่ก็ไม่ทันได้ทำแบบนั้น เมื่อคนตัวสูงเป็นฝ่ายดันประตูเปิดออกและแทรกตัวเข้ามาภายในห้องอย่างถือวิสาสะเอง

“ไปกันเลยไหม?”

“หะ?”

ผมตีหน้าเซ่อส่งเสียงกลับไป ทำเอาคุณรัฐเลิกคิ้วสูงเหมือนประหลาดใจ งงอะ ไปไหนเหรอ หรือผมเคยไปพูดคุยตกลงอะไรกันไว้ก่อนหน้านี้? แม้จะอยากตะโกนถามยัยเด็ก CD แต่ในเวลาที่ต้องการตัวแบบนี้ ยัยนั่นกลับหายหัว ไม่เห็นแม้แต่ปลายเส้นผม

“ก็ปลายให้พี่ติดต่อรุ่นน้อง ให้ฝากปลายเข้าทำงานพิเศษไง”

อุบ๊ะ! งานพิเศษ อันนี้น่าสนใจครับ ถือว่าเดินทางมาไม่เสียเปล่า คือผมเป็นโรคจิตอ่อนๆ ชอบทำงาน อาจจะเพราะติดนิสัยที่ต้องทำงานเลี้ยงตัวเองมาตั้งแต่เด็กๆนั่นแหละ เอ๊ยแต่ถ้าให้ทำงานในบริษัทใหญ่ๆผมก็คงไม่ไหวนะ รู้สึกว่าผมจะเรียนคณะพาณิชย์ฯซะด้วย อันนี้งงเต๊กเลยครับ ไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเองจะเข้าคณะแบบนี้ได้ มันสมควรได้รับการจารึกอย่างยิ่ง

“แล้วคุ..เอ่อ พี่รัฐไม่พักก่อนหรอครับ?” เป็นไงล่ะ ทำตัวเป็นน้องที่ดีมะ เล่นสมบทบาทนะเนี่ย น่าจะได้รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม

“ไม่เป็นไร วันนี้มันเข้ามาเตรียมร้านพอดี ไปช่วยมันหน่อย”

มันที่พูดถึงนี่เดาว่าไม่ใช่วัตถุดิบทำเลย์หรือเทสโต้แต่อย่างใด ก็คงจะเป็นรุ่นน้องที่พี่รัฐฝากผมให้เข้าทำงานด้วย แต่ประเด็นมันอยู่ที่คำว่า ‘ร้าน’ ครับ แบบนี้ผมค่อยโล่งอก ที่รู้ว่าไม่ใช่งานยิ่งใหญ่อะไร ไม่งั้นผมคงได้ทำชีวิตตัวเองพังอย่างที่ยัย CD เคยเตือนแน่ๆ

“อ่า ครับ”

สุดท้ายผมก็พยักหน้าตกลง และยอมให้คุณรัฐเข้ามาดันตัวออกไปจนถึงลานจอดรถหน้าบ้าน เราใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 10 นาที ก็มาถึงร้านเล็กๆที่ตกแต่งอย่างน่ารัก ท่าทางจะดึงดูดคนได้มากอยู่ เพราะเด่นหราออกมาจากร้านรอบข้างมากนัก

ป้ายหน้าร้านเขียนว่า Snow Farm พร้อมแขวนตุ๊กตาขนมผิงเอาไว้ข้างๆ ให้อารมณ์ฤดูหนาวใช้ได้ พี่รัฐ (สรรพนามเริ่มเปลี่ยน ฮ่าๆ) เปิดประตูเข้าไปด้วยท่าทางสนิทสนม เสียงกระดิ่งที่แขวนอยู่ด้านบนดังขึ้น เรียกความสนใจจากผู้ชายที่กำลังผุดลุกผุดนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ไม้ได้เป็นอย่างดี

คนที่คาดว่าจะเป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ และรุ่นน้องของพี่รัฐ โผล่หน้าออกมาให้เห็น สายตานิ่งเฉยที่มองพี่รัฐแปรเปลี่ยนเป็นความตกใจเมื่อหันมาเห็นหน้าผม ส่วนผมเองก็กำลังเบิกตาโพลงมองเขากลับเช่นกัน...

“เป็นไงวะ เปิดร้านวันแรก เงียบเป็นป่าช้าเลยนะมึง จะรอดไหมเนี่ย? ฮ่าๆ” พี่รัฐเดินเข้าไปกอดคอรุ่นน้องตัวเองซึ่งมีท่าทีรังเกียจน้อยๆ พลางแซวติดตลก

“เอ่อ... ก็ดีครับ”

“เออ นี่ปลาย น้องชายกู ที่บอกจะมาช่วยงานมึงอะ ฝากดูแลด้วยนะ” พี่รัฐผละตัวออกมาจากรุ่นน้องคนนั้นแล้วตรงมากระซิบกับผมต่อ “เดี๋ยวตอนเย็นค่อยมารับนะ ต้องไปจัดการเรื่องเอกสารนิดหน่อย”

ไม่ทันที่ผมจะตอบอะไรกลับไป พี่รัฐก็ชิงเดินออกไปจากร้านเรียบร้อยแล้ว และดูเหมือนว่าเขาจะพรากเอามวลเสียงทั้งหมดไปด้วย เมื่อความเงียบเริ่มตรงเข้าปกคลุมทั่วร้านเล็กๆแห่งนี้ พร้อมนำพาบรรยากาศชวนอึดอัดให้เข้าแทนที่

“เอ่อ...”

ผมส่งสายตามองผู้ชายตรงหน้า ที่ยังคงเอาแต่จ้องหน้าผมอย่างอึ้งๆ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่สวยแทบไม่กระพริบเลยด้วยซ้ำ เส้นผมสุขภาพดีสีดำสนิทถูกซอยระต้นคอและเซตไว้ยุ่งๆ ใบหน้าเรียวขยับเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น เรื่อยๆ เรื่อยๆ.. กว่าที่จะรู้ตัว ผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ก็เข้ามาสวมกอดผมเอาไว้เสียแล้ว

“เฮ้ยย!” ผมร้องเสียงหลงและพยายามดันตัวเขาให้ออกไป แต่ดูเหมือนจะยิ่งทำให้คนคนนี้ยิ่งกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น พร้อมโน้มตัวลงมา เกยคางมนลงกับไหล่เล็กๆของผม

“ปลาย ปลาย..”

เสียงทุ้มที่เคยได้ยินชัดเจนมาแล้วครั้งหนึ่งดังขึ้นด้วยความรู้สึกโหยหา ผมเผลอปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆเมื่อเขาเปล่งเสียงออกมา เพราะมันเป็นเสียงที่ดูเหมือนว่า เขากำลังเจ็บปวดเหลือเกิน...

“นายคือปลายที่ฉันรู้จักใช่ไหม!?”

เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน... เจ้าของร้าน Snow Farm... รุ่นน้องของรัฐฐา...ลูกค้าร้านขนมปัง...กับผู้ชายเจ้าของสร้อยข้อมือ CP ทั้งหมดนั่นคือคนเดียวกัน และก็กำลังยืนอยู่ต่อหน้าผม ถามคำถามเดียวกันกับที่เคยถามไปแล้ว ทั้งๆที่อยู่ในโลกคนละใบ แต่ผู้ชายคนนี้ก็ยังจะพูดแบบนั้นอีกงั้นเหรอ??

ผมคิดว่าปลายในโลกนี้ อาจจะรู้จักกับคนคนนี้ก็ได้ แต่ถ้าย้อนกลับไปทบทวนคำพูดแนะนำตัวจากพี่รัฐ ก็พอจะเดาได้ว่ามันไม่ใช่ และอีกอย่าง.. คำถามของเขาก็ฟังดูประหลาดเกินไป ผมจึงได้แต่ยิ้มแหยๆ และส่ายหน้าไปตามท้องเรื่อง

“ขอโทษครับ แต่ผมไม่รู้จักคุณ”

สายตาเจ็บปวดแบบสุดซึ้งปรากฏขึ้นบนใบหน้าขาวเหลืองนั้นอีกครั้งทันทีที่เขาผละตัวออกไป กล่องความเงียบถูกไขลานอีกครั้ง เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าที่เคย และอึดอัดกว่าทุกที เราสองคนยืนจ้องหน้ากันและกันด้วยสายตาที่ต่างไม่เข้าใจ ผมไม่เข้าใจว่าเขาเป็นใคร ทำไมถึงคิดว่าเราจะรู้จักกัน ทำไมถึงถามคำถามนั้นซ้ำอีกครั้งในโลกอีกใบ ส่วนเขา..ก็ดูเหมือนไม่เข้าใจเช่นกัน ว่าทำไมผมจึงไม่ใช่ปลายที่เขารู้จัก หรือว่าปลายที่รู้จักเขา ก่อนที่ผู้ชายตรงหน้าจะหันหลังกลับเข้าไปหลังร้าน มือของผมกลับคว้าแขนเขาไว้เร็วกว่าความคิดเสียอีก ผมอึกอักอยู่สักพักเมื่อเขาหันกลับมามองด้วยสายตาประหลาดใจ ภายในดวงตาคู่นั้นแฝงเร้นไปด้วยความหวังอย่างบาง แต่สิ่งที่ผมอยากจะพูดคงไม่ได้ทำให้เขาพอใจนัก เพราะผมแค่อยากจะเสี่ยง ในสิ่งที่กำลังสงสัยเท่านั้น...

“คุณ...”

“...”

“ไม่ใช่คนในโลกใบนี้ใช่ไหม?”

“รู้ได้ยังไง!?” เขาโพล่งขึ้นเสียงดังจนผมเผลอตกใจ แต่ก็พยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด

“เพราะผมเพิ่งได้เจอคุณ ในโลกหมายเลข 23”

คนตรงหน้าตากระตุกด้วยความตกใจ ก่อนจะตรงเข้ามาเขย่าตัวผมอย่างเอาเป็นเอาตาย ความเจ็บปวดจากแรงบีบที่แขนสองข้างทำเอาผมถึงกับตีสีหน้าเหยเก เสียงตะคอกดังอยู่ใกล้ๆ กระดูกค้อน ทั่ง โกลนสั่นไหวไปตามความดังที่ได้ยิน

“นายจะตามฉันมาทำไม!?”

“ผะ..ผม”

ผมไม่สามารถพูดได้จบประโยค เพราะความรู้สึกกลัวซึ่งแล่นเข้ามาจุกอกเอาไว้ ดวงตาหลุบต่ำลงอย่างช่วยไม่ได้ เพราะไม่อาจทนสบตาดุร้ายของคนตรงหน้าที่กำลังเดือดดาลขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

“กลับไป!!”

ร่างของผมถูกเหวี่ยงจนไหล่ไปกระแทกกระจกใสเสียงดัง รอยแดงปรากฏขึ้นแทบจะทันทีเพราะผมเป็นพวกผิวขาวมากจนแทบจะเรียกว่าตัวซีดจัด สายตาตวัดขึ้นมองคนที่ผลักผมออกมาด้วยความขุ่นเครียด ถึงผมจะไม่เข้าใจเรื่องบ้าๆในตอนนี้ทั้งหมด แต่ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะมีสิทธิ์มาทำแบบนี้ได้!

“นี่มันเรื่องบ้าอะไร!!?” ผมตะคอกเสียงกลับไป และดูเหมือนจะได้ผลอยู่บ้าง เมื่อผู้ชายใจร้อนคนนี้เริ่มสงบลงเล็กน้อย ก่อนจะหันไปหาเรื่องกับพวกโต๊ะเก้าอี้ในร้านแทนอย่างหงุดหงิด

ผมย้ายตัวเองมานั่งหลบอยู่ที่มุมหนึ่งของร้าน ซึ่งก็ไม่ได้กว้างนัก จึงทำให้เราสองคนยังคงอยู่ในระยะที่มองเห็นกันและกันชัดเจน เขาเองก็ได้แต่นั่งก้มหน้า มือกุมขมับอยู่นานพอตัว นานมากจนผมเกือบเผลอหลับไปกับบรรยากาศช่วงบ่ายแบบนี้ แต่ผมก็ไม่มีโอกาสได้ทำแบบนั้น เมื่อคุณเจ้าของร้านเริ่มเปิดปากพูดอะไรบางอย่าง

“ถ้านายเดินทางได้ ก็แปลว่าปลายกำลังรอฉันอยู่ที่ไหนสักแห่งอย่างที่คิด”

ขอโทษนะ ถ้าผมฟังไม่ผิดไป เหมือนจะได้ยินหมอนี่เรียกชื่อของผมออกมา แต่ก็เหมือนกับว่าไม่ได้หมายถึงผมอย่างนั้นแหละ

“ผมไม่เข้าใจ” สุดท้ายผมก็ทำเป็นใจดีสู้เสือ เอ่ยปากออกไปบ้าง อย่างน้อยก็ให้เขาได้รู้ว่า ผมไม่ได้รู้เรื่องห่าเหวอะไรกับเขาเลยนะ และผมก็ไม่น่าจะผิดอะไรด้วย

“ฉันกำลังตามหาตัวนายคนหนึ่ง เป็นนายที่เคยใช้ชีวิตกับฉันในโลกหมายเลข 18 มาก่อน”

อ่าวแม่ง ยากเลย.. ผมพยายามประมวลผลอย่างไวที่สุด แม้จะยังงงๆแต่ก็แสร้งพยักหน้ารับรู้ออกไป ทำให้เขาเริ่มร่ายต่อ สีหน้าท่าทางดูใจเย็นขึ้นโข

“เราสองคนคลาดกัน และฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นคนของโลกไหนกันแน่ ฉันถึงต้องตามหาไปเรื่อยๆ แต่เมื่อนายเดินทางมาที่โลก 27 นี้ ก็แปลว่านายในโลกนี้ไม่ได้อยู่ที่นี่ และบางที.. นั่นอาจเป็นปลายที่ฉันกำลังตามหาอยู่ก็ได้ เข้าใจหรือยัง?”

ผมหยุดนิ่งสักพัก ก่อนจะพยักหน้ารัวๆ ดูเหมือนผู้ชายคนนี้ต้องลำบากมาก ก็คงไม่แปลกถ้าจะโกรธผมถึงขนาดนั้น แต่จะว่าไปก็แปลกแหละ.. แปลกที่เขากำลังตามหาผม ที่ไม่ใช่ผมไงล่ะ

“แล้วทำไมไม่ถามเซลล์ของคุณล่ะ ว่าคนที่คุณตามหาเขาเป็นคนของโลกไหน?” ผมเลือกคำถามที่ดูฉลาดและสมเหตุสมผลที่สุด แต่สิ่งที่ได้กลับมาดันเป็นเสียงแหลมสูงของเด็กผู้หญิง

“ไม่ได้!”

วินาทีต่อมา ก็มีเด็กผู้หญิงหน้าตาประหลาดพอๆกับยัย CD โผล่ออกมาจากช่องว่างของอากาศ ผมบ๊อบสีม่วงดูโดดเด่นจนแอบน่ากลัว ว่าไม่ทันไร ยัย CD ก็ตามออกมาติดๆ พร้อมส่งยิ้มหน้าเป็นมาให้เหมือนเคย ไม่ได้ดูสถานการณ์ตอนนี้เอาซะเลย ยัยเบ๊อะ!

“พวกเรามีกฎเหล็ก 3 ข้อ คือห้ามเปิดเผยข้อมูลของลูกค้าเด็ดขาด ห้ามยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจของลูกค้าถ้าไม่จำเป็น และห้ามแทรกแซงการทำงานของเซลล์คนอื่นๆ” ยัยเด็กบ๊อบจีบปากจีบคอว่าเหมือนคนที่ยืนอยู่เหนือกว่า ผมเลยได้แต่ยักไหล่ไปทีเป็นสัญญาณรับรู้

ใบหน้าของชายหนุ่มตรงข้ามกับผมยิ่งดูแย่ลงเมื่อถูกตอกย้ำด้วยกฎบ้าๆสามข้อนั่น จะว่าน่าเห็นใจ หรือน่าสงสารก็ไม่ผิด ทั้งๆที่ผมก็นั่งเอ๋อ แล้วเขาก็นั่งตีสีหน้าขึงตึง แต่ดูเหมือนไอ้เด็กสองคนที่เอาแต่ลอยไปลอยมาจะไม่ได้สนใจสักนิด กลับตรงเข้าทักทายกันเสียงดังเหมือนพวกเด็กโรงเรียนสตรีไม่มีผิด

“CD เป็นยังไงบ้าง?”

“ก็ดีๆ AA เป็นไง? อยู่กับผู้ชายคนนั้นเหนื่อยหน่อยนะ” ผมแอบจับสังเกตบางอย่างได้จากบทสนทนาเลื่อนลอยของเด็ก CD และ AA เมื่อ CD พูดเหมือนว่าเธอเคยรู้จักกับผู้ชายในความดูแลของ AA คนนี้อย่างนั้นแหละ

“กลับไป..”

คนคนนั้นพูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยคำคำเดิม ดึงความสนใจจากยัยเด็กเซลล์ทั้งคู่ให้หันไปมอง AA ลอยตัวเข้าไปใกล้เขาและกระซิบอะไรบางอย่าง ทั้งสองคนถกเถียงกันไปมาผ่านทางสายตาที่ผมไม่อาจเข้าใจ ก่อนที่จะจบลงด้วยเสียงถอนหายใจยาวเยียด ในที่สุดผู้ชายคนนั้นก็ได้ฤกษ์ลุกออกจากที่นั่ง และเดินตรงมาหยุดตรงหน้าผม สายตานิ่งเฉยติดจะเย็นชาเหยียดมองลงมาพลางตัดสินเสียงเด็ดขาด

“ฉันให้เวลานายไม่เกิน 7 วัน เล่นให้พอใจ เสร็จแล้วก็รีบกลับไปซะ”

อะไร!? สรุปไอ้บ้านี่มันเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมากำหนดชีวิตผม!!

----------------------------------

 :katai5: :katai5: :katai5:

คิดว่าตอนต่อไป น่าจะได้เห็นความน่ารักของพระนายมากขึ้นแล้วน้า

 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 2 : พบกันอีกครั้ง (01/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 01-04-2013 19:45:20
ไล่กลับเฉย ตาคนนี้มาว่าหนูปลายได้ไงย่ะ สู้ๆค่ะ คนเขียนเราติดตามแน่นอน ชอบอ่ะเรื่องนี้ :mew1:
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 2 : พบกันอีกครั้ง (01/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 01-04-2013 20:02:42
เนื้อเรื่องน่ารักจังเลยยย
ชอบตอนตบมุกอะ ฮาดี "ผมจีบตัวเองได้ไหม?"
แล้วปลายจะทำไงต่อไปนี่ นายคนนั้นเป็นใคร
โปรดติดตาม ตอน... ต่อ... ไป...
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 2 : พบกันอีกครั้ง (01/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 01-04-2013 23:04:34
ไล่กลับเฉย ตาคนนี้มาว่าหนูปลายได้ไงย่ะ สู้ๆค่ะ คนเขียนเราติดตามแน่นอน ชอบอ่ะเรื่องนี้ :mew1:

เนื้อเรื่องน่ารักจังเลยยย
ชอบตอนตบมุกอะ ฮาดี "ผมจีบตัวเองได้ไหม?"
แล้วปลายจะทำไงต่อไปนี่ นายคนนั้นเป็นใคร
โปรดติดตาม ตอน... ต่อ... ไป...

ขอบคุณมากๆเลยค่ะ ขอบคุณมากจริงๆอะ
ตอนแรกหวั่นใจมาก ทำไมลงนิยายแล้วไม่มีเสียงตอบรับเลย
มาด่าก็ยังดี แต่นี่เงียบหาย เหมือนไม่มีใครมองเห็น 555
ตอนนี้มีกำลังใจขึ้นอีกหน่อยแล้ว จะพยายามแต่งให้ดีที่สุดในทุกๆตอนนะคะ
ฝากติดตามกันต่อไปด้วยค่า ><

 :hao5:
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 3 : ความอบอุ่น (02/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 02-04-2013 15:47:14
บทที่ 3
ความอบอุ่น


 

ผมปรือตาตื่นขึ้นในห้องที่ไม่คุ้นเคย แต่มันก็คือห้องของผมเองครับ ผมในโลกใบใหม่ที่ได้มาเยือน.. ตอนแรกผมคิดว่าผมคงได้สนุกกับมัน ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุการณ์หลังจากที่ได้เจอผู้ชายแปลกๆคนนั้น สรุปว่าเขาชื่อ ฌาณ เป็นคนจากโลกใบอื่นเช่นกัน กำลังตามหาตัวผมที่เขารู้จัก และไม่ใช่รู้จักธรรมดานะ.. แต่มีความสัมพันธ์ในเชิงคนรักต่อกัน แม่เจ้าเอ๊ย!!

อันนี้ผมได้ยินแล้วผมเงิบไปหลายนาทีอยู่ รู้สึกเสียวสันหลังปลาบขึ้นมาเฉยๆ ก็ใครมันจะไปคิดว่าผู้ชายคนนั้นจะมีรสนิยมแบบนี้ได้ แต่ที่ยิ่งกว่าก็คือ ตัวผมคนนั้น... ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ถึงได้หลงไปชอบผู้ชายด้วยกัน แถมซ้ำร้ายดันเป็นหมอนั่นอีกต่างหาก คิดแล้วปวดหัว ท้องไส้ปั่นป่วนคล้ายจะอาเจียน แค่นึกภาพตัวเองที่เป็นคนรักของนายฌาณอะไรนั่น ก็สยองพองเกล้าแล้วครับ!

ผมกลิ้งไปมาบนเตียงขนาดใหญ่ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ก่อนจะหยุดถอนหายใจยาว แทบจะเอาตีนขึ้นมาก่ายหน้าผากอยู่แล้ว เพราะวันนี้ผมต้องไปทำงานจริงจังที่ร้านน้ำแข็งใส Snow Farm และผมไม่มั่นใจเลย ว่าผมจะยังปลอดภัยกลับบ้าน...

เพลง คนเบื้องหลัง และ แทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจ ถูกลบออกไปจากโทรศัพท์มือถือของผม (ในโลกนี้) ด้วยความกลัวและหวาดหวั่นบางอย่าง เหอๆ

เวลาผ่านไปนานกว่าที่ผมจะพาตัวเองลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวได้ และก็เป็นพี่รัฐที่ไปส่งผมถึงหน้าร้านเหมือนเดิม ที่นั่น ฌาณกำลังเดินออกมาตั้งป้าย OPEN พอดี ทำให้ทั้งสองคนได้มีโอกาสทักทายกันเล็กน้อย แม้จะดูเหมือนว่ามีแค่พี่รัฐคนเดียวที่ร่าเริงก็เถอะ

ผมฉีกซองขนมปังไส้ถั่วแดงทิ้งลงถังขยะหน้าร้าน และรีบแทรกตัวเข้าไปพอดีกับจังหวะที่ฌาณกำลังจะปิดประตู คนตัวใหญ่มองหน้าผมนิ่งๆ จนผมทนไม่ได้ เป็นฝ่ายหลบสายตามาเอง แนวสันหลังกระตุกวูบเหมือนมีใครมาลูบก็ไม่ปาน โอ้ย น่ากลัววุ้ย!

“นี่พี่ทิพย์ เป็นพนักงานประจำของร้าน พี่ทิพย์ นี่ปลาย เด็กฝึกงาน” ฌาณแนะนำผมกับพี่ผู้หญิงหน้าตาใจดีคนหนึ่งซึ่งหลบอยู่หลังเคาน์เตอร์ห้วนๆ ก่อนจะชี้นิ้วเป็นสัญญาณให้ผมเข้าไปเรียนรู้งานกับเธอคนนั้น

“สวัสดีครับ” ผมก้มหัวให้พี่ทิพย์เล็กน้อยตอนที่ผลักแผ่นไม้เล็กๆเข้าไปยืนหลังเคาน์เตอร์อีกคน เธอยิ้มกลับมา

“สวัสดีจ้า”

เราทักทายและพูดคุยกันพอสมควร ก่อนที่เสียงกระดิ่งที่ประตูหน้าร้านจะดังขึ้นเรียกความสนใจ แต่ที่ไหนได้ ก็แค่คุณเจ้าของร้านแกเดินออกไปเพราะคงรำคาญเสียงเรานั่นแหละ ผมเดาว่าเขาไม่ได้มีจิตใจอยากจะดูแลร้านน้ำแข็งใสนี้สักนิด เพราะในหัวก็คงคิดถึงแต่เรื่องของผม... อย่าทำหน้างั้นสิ ผมหมายถึงผมอีกคนหนึ่งต่างหาก

พี่ทิพย์สอนให้ผมใช้เครื่องปั่นน้ำแข็งไฟฟ้า ที่ดูดีมีราคา มีหน้ามีตา และไฮโซโก้เก๋เป็นที่สุด น้ำแข็งที่ออกมาละเอียดจนเทียบได้กับเม็ดทราย ดูฟูฟ่องประหลาดตาดี ถึงจะไม่เคยเห็นของจริง แต่ว่าไอ้เจ้าน้ำแข็งในถ้วยตอนนี้ดูคลับคล้ายคลับคลาเกล็ดหิมะก็ไม่ปาน แล้วยังพัฒนาไปอีกขั้น ด้วยการปั่นออกมาในรสชาติต่างๆได้เลยอย่างง่ายดาย

ผมลองแหย่นิ้วลงไปจิ้มน้ำแข็งที่พูนออกมา แค่สัมผัสแรกผมก็รู้ว่านี่แหละใช่เลย ใช่เลย โดนใจฉันเลย.. มันหยุบหยับนุ่มนิ่มน่ารักพิกล แค่ปลายนิ้วสัมผัส ผิวน้ำแข็งละเอียดอ่อนก็ยวบลงทันทีอย่างง่ายดาย ความเย็นชื้นพาให้เคลิบเคลิ้ม พอจะมีกำลังใจสู้กับแดดอ่อนๆในเวลาเช้าอย่างนี้

พี่ทิพย์คงเห็นผมเหม่อลอยและหลุดเข้าไปในโลกจินตนาการนานเกินไป ถึงได้เอื้อมมือมาสะกิดน้อยๆ พลางจกน้ำแข็งในถ้วยเข้าปากหน้าตาเฉย ผมที่เห็นอย่างนั้นก็เลยหยิบน้ำแข็งพองๆในถ้วยใส่ปากบ้าง ลิ้นอุ่นสัมผัสความเย็นจนขนลุกชันโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนที่มันจะละลายกลายเป็นของเหลวไหลลงคอไป

ในขณะที่พี่ทิพย์กำลังง่วนอยู่กับการเทบรรดา Topping ใส่ถาด ผมก็เริ่มไอเดียบรรเจิด นั่งหยิบน้ำแข็งฟูๆที่ถูกปั่นออกมา เอามาปั้นให้เป็นรูปนั้นรูปนี้ตามแต่ไอเดียจะนำพา น้องแมวตัวจิ๋วถูกวางไว้บนมุมหนึ่งของเคาน์เตอร์ ตามมาด้วยเจ้าหนูนา ดอกไม้ หัวใจ ดวงดาว ไปจนถึง ไซบีเรียน ฮัสกี้... หลอกครับ ใครจะไปปั้นน้ำแข็งก้อนกะปิ๊ดนึงให้เป็นน้องหมาพันธ์สวยขนาดนั้นได้!

พี่ทิพย์หันมามองและหัวเราะในท่าทีเหมือนเด็กของผม สักพักก็จะคอยเอาผ้าแห้งมาเช็ดน้องๆหนูๆที่ละลายกลายเป็นน้ำเลอะเทอะเต็มไปหมด ผ่านไปครู่เดียวผมก็เริ่มเบื่อ เพราะไม่เห็นวี่แววลูกค้าคนใดเลย อาจจะเพราะว่ามันยังเช้าอยู่มากล่ะมั้ง หรือเพราะเจ้าของร้านที่เอาแต่ปั้นหน้าบอกบุญไม่รับอยู่นอกประตูโน้นก็ไม่ทราบสิ

ผมขออนุญาตพี่ทิพย์กดเกล็ดหิมะออกมาอีกถ้วย ก่อนจะใช้นิ้วจับๆเป็นก้อนกลมและปาใส่ไอ้ตุ๊กตาแมวกวักหน้าโง่ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ผมเล่นอย่างนั้นอยู่พักใหญ่ สลับกับการหาผ้าแห้งมาเช็ดทำความสะอาด ดูเป็นกิจกรรมที่ไร้สาระและไร้ประโยชน์อย่างสุดซึ้ง แต่ช่วยไม่ได้ ในเมื่อมันทั้งว่างและเบื่อจริงจัง

แต่ดูเหมือนเทพเจ้าแห่งแมวจะพิโรธ ถึงได้ส่งหายนะขนาดย่อม ซึ่งผมแทบไม่อยากจะเห็นหน้าให้ก้าวขาเข้ามาในร้าน พอดีกับที่ผมตัดสินใจปาน้ำแข็งปั้นก้อนใหญ่ที่สุดในมือออกไป น้ำแข็งที่ว่าดันพลาดเป้าหมาย ลอยไปหยุดโผละเอากลางจมูกโด่งเป็นสันของคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาแทน วินาทีนั้นเอง ที่ผมมองเห็นภาพนรกฉายอยู่เหนือหัววูบวาบๆ

พี่ทิพย์ดูจะตกใจไม่แพ้กันกับภาพตรงหน้า แต่ก็คงไม่เท่าผมที่ตัวกลายเป็นหินไปแล้วจากอาการช็อค น้ำลายก้อนใหญ่ถูกกลืนลงคออย่างยากลำบาก สายตาค้างเติ่งอยู่กับความเวิ้งว้างในหัว กว่าที่จะรู้ตัว มือใหญ่ของฌาณก็ตรงเข้ามาดึงตัวผมให้ลุกขึ้น และลากเข้ามาที่หลังร้านเรียบร้อยแล้ว

ผมถูกจับตัวให้หันไปเผชิญหน้ากัน ก่อนที่ฌาณจะกดไหล่ผมให้นั่งลงตรงเก้าอี้ตัวหนึ่ง เขาลากเก้าอี้อีกตัวมาไว้ตรงหน้าผม แต่กลับเดินตรงไปยังอ่างล้างจาน

“ฉันให้นายมาทำงาน ไม่ได้ให้มาเล่น”

ทันทีที่ฌาณเริ่มบ่น ผมก็รีบหลุบสายตาลงมองมือตัวเองทันที ให้อารมณ์เหมือนตอนที่โดนพี่พืชบ่นไม่ผิดเพี้ยน น่ากลัวระคนน่าเบื่อ แต่ผมก็ยอมนั่งฟังเจ้าของร้านจำเป็นผู้นี้ร่ายยาวยิ่งกว่าพี่พืชสิบเท่า นานมากพอจนมือที่เปียกของผมเริ่มแห้งและเหนียวหน่อยๆ แต่รอยแดงกลับยิ่งปรากฏชัดเจนบนฝ่ามือขาวๆ โดยเฉพาะตามปลายนิ้วที่เอาแต่เล่นน้ำแข็งจนเริ่มแสบชา

บึ้ก

คนตัวสูงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม พลางมอบบทลงโทษด้วยการเขกหัวแรงๆหนึ่งที จนผมต้องรีบเงยหน้าขึ้นมองอย่างเอาเรื่อง มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบหัวป้อยๆ ขณะที่มืออีกข้างต้องลนลานรับเอาผ้าผืนหนึ่งซึ่งถูกโยนลงมาบนตักเอาไว้

ฌาณทิ้งตัวลงนั่งตรงหน้าผม ก่อนจะขยับเก้าอี้เข้ามาจนหัวเข่าของเราแทบจะติดกัน สายตาเหนื่อยหน่ายปรากฏให้เห็น เมื่อผมมีท่าทีเหรอหรากับไอ้ผ้าที่ถูกส่งมาให้ จนในที่สุดฌาณก็เป็นฝ่ายดึงผ้าในมือผมกลับไป พร้อมทั้งกระชากข้อมือข้างหนึ่งของผมไปด้วย ย้ำว่าแม่งกระชาก..จนตัวผมลอยไปติดอกกว้างตรงหน้า... อุบ๊ะ หลอกครับ ไม่ใช่นิยายหวานแหววขนาดนั้น! แค่เซนิดหน่อยจนเกือบตกเก้าอี้เฉยๆ!

“เล่นเป็นเด็กไปได้”

สิ้นเสียงดุของฌาณ เขาก็นำผ้าที่ชุบน้ำอุ่นนั่นซับลงบนฝ่ามือและตามนิ้วทั้งห้าของผมอย่างคนรู้งาน ความอบอุ่นถูกส่งผ่านเข้ามาหวังจะลบล้างอาการชาจากน้ำแข็ง เข่าสองข้างของผมเกร็งขึ้นตามสัญชาตญาณ ใบหน้าเหวอรับสัมผัสที่ชวนคลื่นไส้ชอบกลนี้

ความเงียบทำหน้าที่ของมันได้ดีเหมือนเดิม และตอนนี้ความเงียบก็กำลังจะฆ่าผมช้าๆ ด้วยว่าบรรยากาศภายในห้องทึบๆหลังร้านตอนนี้ มันเต็มไปด้วยความรู้สึกอึดอัด ทั้งตัวของผมเกร็งไปหมด แม้อยากจะชักมือกลับแต่ก็ไม่ง่ายเลย เมื่อคนตัวใหญ่กว่าดันบีบข้อมือผมไว้แน่นเหมือนจงใจไม่ให้ขัดขืน

ผมไม่มั่นใจแล้วว่า ความรู้สึกอบอุ่นประหลาดที่กำลังได้รับ มันมาจากผ้าชุบน้ำ หรือมือใหญ่ของคนตรงหน้ากันแน่?

แต่ที่แน่ๆ... ผมไม่คิดพิศวาสมันเลย!! คือถ้าไอ้คนที่ดูแลมือของผมอยู่ตอนนี้เป็นสาวน้อยน่ารักกับเสื้อผ้าน้อยชิ้น ผมคงเปรมมาก แต่กับผู้ชายคนนี้ ผมขอผ่านเลยไป โดยที่ไม่รู้ตัวจะดีกว่านะ!

แต่ถึงในใจผมจะกรีดร้องโหยหวนให้ตายยังไง ผมก็ทำได้แค่นั่งหน้าตึงและเกร็งนิ้วสุดชีวิต เพราะถ้าไม่ทำอย่างนี้ ผมก็จะอยากชักนิ้วกลับอยู่ตลอดเวลาด้วยแววรังเกียจเต็มทน ยังไงผมก็ต้องทนสินะ เพื่อที่จะไม่ทำให้ชีวิตของตัวเองในโลกนี้มันพัง ผมถึงต้องอดทนไว้ ฮึก.. แต่ขอสาบานต่อหน้าผ้าเปียกเลยว่า ครั้งหน้าผมจะไม่ปล่อยให้ฌาณเข้าประชิดตัวผมแบบนี้อีกแล้ว เพราะผมยึดหลักคำสอนที่ว่า ‘เสียทองเท่ากะปูดไม่ยอมเสียตูดให้ใคร’ แมวข้างบ้านได้กล่าวไว้...

“ไปทำงานได้ละ”

หลังจากที่ฌาณปฐมพยาบาลมือทั้งสองข้างของผมที่ไปเล่นซนจนได้เรื่องเสร็จเรียบร้อย เขาก็ลุกขึ้นโยนผ้าผืนนั้นลงไปในอ่างอย่างไร้เยื่อใย ก่อนจะหันมาสั่งเสียงแข็ง ผมเลยได้แต่ก้มหัวขอบคุณแบบเบลอๆ และกลับออกไปที่หน้าเคาน์เตอร์ เพื่อพบว่าตอนนี้เริ่มมีลูกค้าเข้ามาจับจองที่นั่งบ้างแล้ว

“มาครับ ผมช่วย” ผมรีบตรงเข้าไปดึงใบสั่งของลูกค้าขึ้นมาอ่าน ก่อนจะหยิบถ้วยหนึ่งใบไปรองน้ำแข็ง พอดีกับที่พี่ทิพย์หันมาถามไถ่เรื่องเมื่อครู่

“ฌาณว่าอะไรบ้าง?”

ผมใช้สองมือประคองข้างถ้วยไว้ ก่อนที่น้ำแข็งใสปุยนุ่นจะค่อยๆฟูขึ้นมาจากเครื่องมือสุดทันสมัย ไอเย็นฟุ้งออกมาและเริ่มจับไปตามแนวฝ่ามือ ทั้งๆที่น้ำแข็งมันเย็นขนาดนี้ แต่มือผมมันก็ยังอุ่นอยู่เลย..

“เปล่าครับ ไม่ได้ว่าอะไร”

ผมได้แต่ตอบสั้นๆ ก่อนจะคว้าเอาช้อนคันใหญ่ตักมะม่วงชิ้นเล็กใส่ลงไปบนถ้วยในมือ ตามด้วยนมมะลิหอมหวานครบสูตร พี่ทิพย์ที่ยังคงง่วนอยู่กับออเดอร์อื่นๆแทบไม่มีเวลาหันไปมองทางอื่น ผมเลยตัดสินใจจะเดินออกไปด้วยตัวเอง แต่ก่อนที่จะได้ทำตามที่คิด น้ำแข็งใสในมือก็ถูกใครบางคนคว้าเอาไปเสียแล้ว

ผมมองตามมือปริศนาขึ้นไปสบเข้ากับดวงตาคู่สวย ซึ่งกำลังมองผมด้วยท่าทีหน่ายใจ ฌาณยกน้ำแข็งใสแก้วนั้นไปเสิร์ฟลูกค้าผู้หญิงที่เอาแต่มองตามหลังเขาไม่วางตาจนน่าหมั่นไส้ แหวะ ทำเป็นเอาหน้า หล่อตายยย :P

เราสามคนช่วยกันจัดการขบวนลูกค้าในวันแรกอย่างขะมักเขม้นแข็งขัน แม้ว่าผมจะถูกเจ้านายหาเรื่องด่าทุกห้านาทีก็ตาม สุดท้ายเราก็ผ่านจุดนั้นมาได้ และดำเนินมาถึงเวลาปิดร้านเสียที พี่ทิพย์แทบจะล้มลงไปกองกับพื้นเพราะความเหนื่อย คงเพราะการตลาดของฌาณที่เคยร่อนใบปลิวโปรโมทร้านไปทั่วสารทิศตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ก่อน (ก่อนที่เราจะมาที่นี่) นั่นแหละ ถึงทำให้จำนวนลูกค้าเนืองแน่นได้ขนาดนี้

“เฮ้ออ!” ผมถอนหายใจแรงๆ และสะบัดมือไปมาคลายความปวดเมื่อย ดูเหมือนวันนี้ผมจะเกร็งมือถือถ้วยแก้วไปไม่รู้กี่ใบต่อกี่ใบแล้ว

พี่ทิพย์ถอดผ้ากันเปื้อนออกและเดินหายเข้าไปหลังร้าน ไม่กี่นาทีก็กลับออกมาพร้อมกระเป๋าสะพายใบหนึ่ง เธอล่ำลาผมและฌาณพอเป็นพิธี ก่อนจะเดินออกไปจากร้าน ทิ้งให้ทั่วบริเวณกลายสภาพเป็นป่าช้าอีกครั้ง ผมยืนทอดสายตาออกไปยังกระจกใสที่หน้าประตู นิ่งเสียจนคิดว่าตัวเองถูกสาปให้กลายเป็นรูปปั้น ก็คนมันไม่อยากหันหน้าไปเจอเจ้านายสุดเฮี้ยบคนนั้นนี่ เชื่อเลย เดี๋ยวก็หาเรื่องมาติผมอีกจนได้

เสียงส้นรองเท้าจากอีกคนดังขึ้นใกล้ๆ เป็นสัญญาณถึงอันตรายที่กำลังกล้ำกรายเข้ามา ผมว่าถ้าผมยังยืนเป็นหุ่นอยู่แบบนี้ อีกสักสามวินาทีจะต้องโดนนายฌาณเขกหัวเข้าให้แน่ๆ...

3....

2...

1..

 

“ทำได้ดีมาก”

มือใหญ่ข้างเดียวกันกับที่เกาะกุมข้อมือผมไว้เมื่อช่วงเช้า เอื้อมเข้ามายีหัวผมเล่นอย่างนึกสนุก แต่ละสัมผัสช่างดูยาวนาน เหมือนมีใครแกล้งหยุดเวลาไว้ให้มันเคลื่อนที่ไปอย่างเชื่องช้า ยิ่งเสริมให้ทุกความอบอุ่นถูกส่งผ่านเข้ามาอย่างชัดเจน..

วินาทีต่อมา ผมก็รีบกระโดดหนีสุดตัว พลางจ้องมองคนตรงหน้าเขม็ง ดวงตาเบิกกว้างอย่างตกใจ พร้อมปล่อยคำพูดที่ไม่น่าให้อภัยออกไปพร้อมๆกันด้วย

“เฮ้ย! ผมไม่ใช่คนรักของคุณนะ”

เสียงเข็มนาฬิกาหยุดลงที่ 21 นาฬิกา 18 นาที... หลังจากสิ้นสุดคำพูดนั้น ผมก็ไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาเดินหน้าอีกต่อไป ผู้ชายตรงหน้าดูจะตกใจกว่าผมสักสิบล้านเท่า เมื่อดวงตาที่เคยเรียบเฉยตลอดเวลาจนดูน่ากลัว กลับเบิกขึ้นเหมือนคนเพิ่งโดนไฟช็อต แต่ผมคิดว่าคำพูดเมื่อครู่ ทำร้ายเขาได้มากกว่าแค่ไฟช็อตซะอีก...

เราสองคนต่างมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่ตกใจไม่แพ้กัน เวลาภายในร้านราวกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ จนเสียงบีบแตรจากรถคันหรูดังขึ้นด้านนอก เรียกให้ผมหันไปสนใจและพบว่า ได้เวลาพี่รัฐมารับกลับบ้านแล้ว ผมจึงไม่รอช้ารีบวิ่งผ่านหน้าที่ยังค้างท่าเดิมของฌาณเข้าไปหลังร้าน และคว้ากระเป๋าเป้ใบเล็กมาไว้ในมือ เตรียมพร้อมออกไปจากที่ตรงนี้อย่างว่องไว

เสียงกระดิ่งที่ประตูดังก้องผิดปกติในเวลาอย่างนี้.. ผมปั้นหน้ายิ้มเมื่อเห็นพี่รัฐกำลังส่งยิ้มตาหยีมาให้ เพราะไม่ต้องการได้ยินคำถามที่อาจพรั่งพรูออกมา มีเพียงแค่แวบเดียวจริงๆที่ผมหันหน้ากลับไปมองคนในร้าน และพบว่าเขากำลังมองผมกลับมาเช่นกัน ถึงต้องรีบหันหน้าหนีและรี่เข้าไปนั่งแหมะในรถทันที

ผมไม่รู้ว่าผมทำอะไรผิด ผมแค่พูดในสิ่งที่เป็นความจริง.. ความจริงที่ว่า ผมไม่ใช่ปลายที่เขารู้จักหรือรู้จักเขาด้วยซ้ำ และผมก็ไม่คิดว่าผมควรขอโทษกับคำพูดที่พูดออกไปนั่นด้วย แต่ตอนนี้ผมกลับถูกความรู้สึกผิดรุมทำร้าย ใบหน้าที่ไม่เหมือนเดิมของผู้ชายคนนั้นยังฝังติดตาไม่หาย

 

ผมนึกอยากจะเห็นใบหน้าเรียบเฉยจนดูน่ากลัว แทนที่จะเป็นใบหน้าเจ็บปวดแบบนั้น...

------------------------------------

คอมเม้นให้กำลังใจกันหน่อยนะค้า ตอนนี้ท้อละเกิน TwT
แต่ก็จะพยายามพัฒนางานเขียนใ้ห้ดีขึ้นค่ะ
ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านด้วยนะคะ

วันนี้ไปงานหนังสือมา หมดเงินไปเยอะเลย ฮืออ~
น้องพนักงานบูธ NED ตรงโซนการ์ตูนหล่อมากๆ 555
น่ารัก ขาว ตี๋ แต่ตาไม่ตี่ ยิ้มทีละลาย ต้องแวะไปดูกันให้ได้นะ ฮาาา xD
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 2 : พบกันอีกครั้ง (01/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 02-04-2013 16:16:30
โหย ไล่ปลายกลับไปเฉยเลย
แต่ถ้าสมมติว่าคุณตัวซี (ดูจากชื่อย่อใน ซีพี)ไม่เจอปลายเลยล่ะจะเป็นยังไง  :katai1:
ติดตามต่อไปละกัน >< มาต่อเร็วๆนะคะ
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 3 : ความอบอุ่น (02/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 02-04-2013 16:27:57
โอ๊ะเพิ่งเห็นว่ามาต่อ ><
พระเอกของเราชื่อฌานนิเอง ( ฮาคอมเม้นต์ตัวเอง คุณตัวซี )
ถ้าสองคนนี้รักกันเร็วๆก็น่าจะดีเนอะ (กดดันคนเขียน 55 ล้อเล่นฮ๊าฟฟ)
รอตอนต่อไปค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 3 : ความอบอุ่น (02/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 02-04-2013 17:37:20
อิปล๊ายยยย !! :serius2:

ทำร้ายจิตใจเฮียแกเห็นๆเลย แกรู้อยู่นี่ว่าเขาเป็นแฟนแก :ruready  (ถึงจะเป็นคนละคนก็เหอะ)

รออยู่นะครับ เอาเป็ดไปกอดเล่นเลย :m4:
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 4 : ขนมปัง (03/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 03-04-2013 20:54:46
บทที่ 4
ขนมปัง


 

“ปลาย นี่ของปลายหรือเปล่า?”

แม่โผล่หน้าออกมาจากหลังบ้าน และยื่นวัตถุบางอย่างในมือมาให้ ผมมองตามลงไปก็เห็นสร้อยคอมือเงินพร้อมจี้รูปดอกไม้ จึงรีบคว้ามาไว้แทบจะทันที

“ครับ ของผมเองครับ”

ผมก้มหัวขอบคุณแม่ ก่อนจะเดินออกไปขึ้นรถที่พี่รัฐจอดรอไว้อยู่แล้ว ไม่นานผมก็มาหยุดลงตรงหน้าร้าน Snow Farm ซึ่งมองเห็นพี่ทิพย์กำลังจัดโต๊ะอยู่ภายใน ไร้วี่แววของบุคคลไม่พึงประสงค์

“พี่ทิพย์ สวัสดีครับ”

ผมฉีกซองขนมปังไส้ถั่วแดงออก พร้อมกับผลักประตูกระจกเข้าไป เสียงกระดิ่งดังขึ้นทำให้พี่ทิพย์หันกลับมามอง รวมทั้งผู้ชายร่างสูงที่เพิ่งโผล่หัวออกมาจากหลังเคาน์เตอร์นั่นด้วย อ้อ ไปหลบอยู่ตรงนั้นเอง นึกว่าจะโชคดีไม่เจอกันแล้วซะอีก

“สวัสดีจ้า ปลายกินขนมปังไส้ถั่วแดงอีกแล้ว ชอบเหรอ?” ผมขำ ยกอาหารเช้าในมือขึ้นมองอย่างพิจารณา ไส้ถั่วแดงเละๆล้นออกมาเล็กน้อยเมื่อออกแรงบีบก้อนขนมปัง

“เปล่าครับ แต่แม่ซื้อมา”

“อ๋อ บ้านพี่มีไส้เมล่อนเยอะเลย ชอบไหม เดี๋ยวเอามาให้” พี่ทิพย์ยกเก้าอี้ตัวสุดท้ายลงจนผมไม่ทันได้ช่วย ก่อนจะหันมาถามหน้าตายิ้มแย้ม แต่ผมคงต้องเสียมารยาทปฏิเสธทันควัน

“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ค่อยชอบ ผมชอบไส้ครีม”

“ง่า ไม่เห็นอร่อยเลย”

พี่ทิพย์เบะปาก และยืนเถียงกับผมเรื่องไส้ขนมปังต่ออีกสักพัก จนเจ้านายจอมโหดต้องโผล่หน้าออกมาจากเคาน์เตอร์ไม้ และคว้าเอาอาหารในมือผมไปถือไว้หน้าตาเฉย สายตาตำหนิถูกส่งมาทางเราทั้งคู่ จนพี่ทิพย์ต้องแอบจรลีหนีไปหลังร้าน ทิ้งให้ผมผจญมหัตภัยร้ายอยู่เพียงผู้เดียว พี่ทิ๊พพพพย์! อย่าเผยธาตุแท้ตอนนี้สิครับ มาช่วยผมก๊อนนน!!

“เฮ้ย!” ผมร้องเมื่อฌาณกัดขนมปังของผมในมือของเขากินอย่างเสียมารยาท และหันหลังเดินกลับไปยืนจุดเดิม

ไม่ทันที่ผมจะได้ออกปากว่าหรือขยับตัวใดๆ อะไรบางอย่างก็ถูกโยนจากมือของฌาณตรงมาทางนี้ ผมจึงต้องแปลงร่างเป็นผู้รักษาประตู กระโดดคว้าเอาวัตถุนุ่มนิ่มนั้นไว้ได้

ซองขนมปังแบนๆ เพราะถูกผมตะปบอย่างแรงจนอากาศหนีออกมาภายนอก กำลังนอนจุมปุกอยู่บนฝ่ามือ เนื้อขนมปังสีน้ำตาลเนียนแบบที่ผมชอบ ปรากฏชื่อยี่ห้อดัง ด้านล่างมีตัวอักษรสีขาวขอบเหลืองระบุไว้ชัดเจน

 

ไส้ครีม

 

ผมนิ่งไปสักพัก ก่อนจะเหลือบตามองไอ้บ้าที่โยนขนมปังชิ้นนี้มาให้ ฌาณกำลังมองผมอยู่เช่นกัน แต่ด้วยสายตากวนตีนเป็นแม่นมั่นนักเลอเอ๋ย แถมยังยกขนมปังชิ้นสุดท้ายในมือขึ้นมาและโยนเข้าปากให้ดูเหมือนต้องการท้าทายอีกต่างหาก โอ้ย นี่มันเป็นเด็กปัญญาอ่อนหรือไงวะ คิดว่าทำแบบนั้นแล้วจะได้อะไรขึ้นมาเรอะ ยั่วโมโหผมไม่ได้หรอกนะแบบนี้ สงสัยหมอนั่นจะไม่ได้ยินที่ผมคุยกับพี่ทิพย์เมื่อครู่ ก็เลยตั้งใจจะแกล้งล่ะสิ ผิดถนัดเลย ผมดีใจเสียอีกที่ได้กินขนมปังแบบที่ชอบ พลาดแล้วนะคุณฌาณ แบร่ :P

ผมรีบฉีกซองขนมปังออก และกัดเนื้อนุ่มๆสอดไส้ครีมรสหวานอย่างที่โปรดปราน พยายามทำสีหน้าสุขล้นเพื่อยั่วโมโหคนตรงเคาน์เตอร์กลับ แต่หมอนั่นกลับไม่รู้สึกหงุดหงิดอะไร เพียงแต่ก้มหน้าลงไปหัวเราะเป็นบ้าอยู่คนเดียวแทน โด๋ยยย ไม่แน่จริงนี่หว่า อ่อน!

เป็นอันว่าศึกแกล้งแย่งขนมปังครั้งนี้ ผมเป็นฝ่ายชนะครับ เฮ้~

เราสามคนนั่งกร่อยไปกร่อยมาอยู่นาน และผมเดาว่ามันจะเป็นแบบนี้ทุกเช้า เพราะเช้าๆคงไม่มีใครวิ่งโร่มากินน้ำแข็งใสหรอกใช่ไหม อย่างน้อยก็ต้องสายๆ ไปจนถึงพักเที่ยง และชุกชุมเอาตอนเย็นนั่นแหละ ตอนนี้พวกเราสามศรีเลยได้แต่นั่งแกว่งเท้าไปมาเหมือนพวกตกงานก็ไม่ปาน

ความอ้างว้างของร้าน Snow Farm ดำเนินต่อเนื่องอย่างยาวนาน นานมากจนพี่ทิพย์ทนไม่ไหวขอตัวไปหาอะไรกินที่มินิมาร์ทใกล้ๆ ปล่อยให้ผมอยู่สองต่อสองกับไอ้จอมมารนี่อีกแล้วนะ พี่ไม่รู้หรอกว่าผมต้องระวังหลังตัวเองมากแค่ไหนเวลาอยู่กับหมอนี่

มันดูเป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดเหลือเกิน ที่ต้องนั่งข้างๆเจ้านายจอมหาเรื่องโดยที่ไร้บทสนทนาและกิจกรรมใดๆ เอ่อ...แต่ผมก็ไม่ได้อยากทำกิจกรรมอะไรร่วมกับนายคนนี้เลยนะครับ โปรดอย่าเข้าใจผมผิด~

ในที่สุดเสียงเตือนข้อความเข้าจากมือถือของผมก็ดังขึ้น ทำให้ผมได้ขยับตัวบ้าง หลังนั่งแข็งมานาน ตอนที่ล้วงมือเข้าไปหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกง ก็ทำให้ผมนึกอะไรบางอย่างออก เมื่อสิ่งที่ติดออกมาด้วยก็คือสร้อยข้อมืออันนั้นนั่นเอง

“เอ้า ของคุณ ทำหล่นไว้” มือซ้ายผมกดมือถือ จงใจไม่หันไปมองหน้าคนข้างๆ ส่วนมือขวาก็ยื่นสร้อยข้อมือสีเงินวาวไปให้

มือใหญ่รีบคว้าของในมือผมไปทันที แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเขากำลังตีสีหน้าแบบไหนอยู่ แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้เอ่ยปากหาเรื่องอะไรก็ดีแล้ว ถึงจะหงุดหงิดอยู่หน่อยๆที่ไม่ได้ยินคำว่าขอบคุณสักคำก็เถอะ

“เหนื่อยไหมอะ?” ปากของผมไปไวกว่าความคิดอีกครั้ง ถามออกไปทั้งๆที่สายตายังคงจับจ้องที่หน้าจอโทรศัพท์ว่างเปล่าเหมือนเดิม

“อะไร?”

“เหนื่อยไหม ที่ต้องตามหาปลายคนนั้น”

ผมพูดออกไปไม่ค่อยเต็มปากนัก เพราะมันออกจะแปลกๆอยู่ที่ต้องพูดถึงตัวเอง ที่ไม่ใช่ตัวเองแบบนี้ แต่ที่ดูจะแปลกกว่าผมหลายเท่าเห็นจะเป็นคนข้างๆที่แหละ แค่โดนคำถามจี้ใจนิดหน่อย ทำเป็นซึม เงียบหายไปอีกและ แบบนี้ผมก็ยิ่งรู้สึกผิดที่ถามออกไปน่ะสิ นี่คงไม่ได้จงใจแกล้งให้ผมรู้สึกไม่ดีหรอกใช่ไหม :(

“เหนื่อยดิ”

นั่นคือคำตอบเดียวที่หลุดออกมาจากปากของฌาณ ก่อนที่บรรยากาศรอบตัวสองเราจะกลับมาเงียบเหงาเป็นเป่าสากอีกครั้ง ผมเลื่อนมือถือไปมา นับเวลาที่พี่ทิพย์จะกลับร้าน แต่ก็ไร้วี่แวว เลยต้องจำใจหาเรื่องขึ้นมาคุยอีกจนได้ แล้วก็ดูท่าว่าเป็นคำถามที่โหดร้ายขึ้นเรื่อยๆ จนผมเองยังอยากจะตัดปากตัวเองทิ้งเสียเดี๋ยวนี้

“รู้ได้ไง ว่าเขายังรออยู่?”

“...”

“...”

“ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆคือ ฉันยังรอ.. รอวันที่จะหาเขาเจอ

ฌาณพูดขึ้นหลังเงียบไปนาน ผมแอบเห็นจากปลายตาว่าเขากำลังโน้มหน้าลงมาจ้องผมอยู่ เลยยิ่งอึดอัดเข้าไปอีกเท่าตัว ไอ้บ้าๆๆๆ ผมไม่ใช่ปลายคนนั้นสักหน่อย เลิกจ้องด้วยสายตาแปลกๆแบบนั้น แล้วไปกินขี้ซ้า ฟ๊าคคคค!!

…ไม่ใช่เธอคนเดียวที่รอฉัน แต่ฉันก็รอเธอเหมือนกัน ไม่ใ.....

ทั้งผมและฌาณต่างสะดุ้งจนผละออกห่างจากกันเมื่อโทรศัพท์ในมือดังขึ้น แน่นอนว่าตอนแรกที่มามันไม่ได้ตั้งเป็นเพลงนี้หรอก แต่ผมค้นเจอพอดี ก็เลยเปลี่ยนใหม่ซะเลย ฮ่าๆ ก็ผมชอบของผมอ่ะ

ผมรับโทรศัพท์และลุกออกไปคุยที่นอกร้าน จริงๆมันไม่มีอะไรหรอก แค่พี่รัฐโทรมาเรื่อยเปื่อย แต่ผมแค่อยากลองดูว่าจะมีใครสนใจการขยับตัวครั้งนี้ของผมไหม แล้วก็มีครับ เพราะฌาณมองตามผมตลอดตั้งแต่ก้าวเท้าลงจากเก้าอี้จนถึงตอนนี้ แหนะ กำลังคิดคำพูดมาจิกมากัดผมอีกสิ!

“ครับ” ผมเลิกสนใจสายตาเพ่งเล็งจากในร้าน และเลือกที่จะฆ่าตัวตายด้วยการหันหน้าสู้แดดยามใกล้สายเช่นนี้ อย่างน้อยพลังทำลายล้างก็ไม่ได้รุนแรงเท่าตอนบ่ายอะนะ ผมก็เลยยังไม่ตาย และยืนคุยโทรศัพท์กับพี่ชายได้ต่อ

(บอกมันว่า มีปลาหมึกผัดไข่ที่มันชอบด้วย)

“อ่า ได้ครับ”

พี่รัฐตัดสายไปเหมือนกำลังรีบร้อน ผมก็เลยเก็บมือถือเข้ากระเป๋าและเดินไปนั่งหน้าตายบนเก้าอี้ตัวเดิม ฌาณส่งสายตามาเหมือนจะคาดคั้นเอาอะไรบางอย่าง จนผมเริ่มไม่แน่ใจว่าเขาสามารถอ่านใจคนออกหรือเปล่า

“พี่รัฐบอกให้คุณไปกินข้าวเย็นที่บ้านวันนี้ แม่ทำปลาหมึกผัดไข่ของโปรดคุณไว้ด้วย”

ฌาณเลิกคิ้วสูงเหมือนได้ยินคำพูดประหลาด อะไรอีกอะ ทำไมต้องทำหน้าแปลกใจขนาดนั้น ผมไม่ได้บอกว่ารักสักหน่อย... อุ่ย ผมไม่บอกให้เสียปากหรอกครับคำนี้ แค่คิดก็จะอ้วกแล้ว

“ฉันไม่ได้ชอบกินสักหน่อย” อ่าว ก็เกือบจะลืมไปว่าเราไม่ใช่คนของที่นี่ สงสัยว่าฌาณในโลกนี้จะชอบกินนะ แต่ฌาณตรงหน้าผมนี่ดันไม่ชอบซะงั้น

“เอ่อ แต่ก็ไปไปเหอะ” ผมว่าแบบขอไปที ฌาณก็พยักหน้าแบบขอไปทีเหมือนกัน

“ว่าแต่ เสียงเรียกเข้าเมื่อกี้ เป็นของปลายในโลกนี้เหรอ?”

เขาถามขึ้นด้วยสายตามีความหวังอีกครั้ง ประกายตาสั่นไหวเหมือนเด็กที่เพิ่งค้นพบของเล่นที่หายไป สงสัยว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับปลายที่เขาตามหาอยู่อีกล่ะสิ ไม่รู้ในหัวคิดเรื่องอื่นบ้างไหม นอกจากผมคนนั้น

“เปล่าอะ ผมตั้งใหม่เอง ทำไมหรอ?”

ความหวังในดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยหาบวับไปแทบจะทันที สายตาหลุบลงครู่หนึ่งเหมือนคนผิดหวังเสียเต็มประดา หากเทียบเป็นเด็กที่พบของเล่น ก็คงจะเป็นช่วงเวลาที่ค้นพบว่าของเล่นชิ้นนั้นแท้จริงเป็นของคนอื่น ประมาณนั้นแหละ

“ไม่มีอะไร”

บางครั้งเขาก็ดูเยือกเย็นจนน่ากลัว แต่บางครั้งก็ดูออกง่ายจนน่าใจหายเช่นกัน เพราะคำว่า ‘ไม่มีอะไร’ จากปากเขาในตอนนี้ มันดู ‘มีอะไร’ เอาเสียมากๆเลยน่ะสิ แล้วนี่ผมก็เป็นคนผิดอีกแล้วใช่มะ ที่ไปตัดความหวังของฌาณทิ้งแบบนี้ ดูเหมือนเราไม่น่าเจอกันว่าไหม เพราะยิ่งเวลาผ่านไป ผมก็ยิ่งทำร้ายผู้ชายคนนี้...

“รู้ไหมว่า ไม่ใช่โลกทุกใบจะมีเพลงนี้” คราวนี้กลับเป็นฌาณเองที่เริ่มต้นบทสนทนาระหว่างเรา

“ยังไง?”

“โลกของฉัน กับโลกหมายเลข 18 ไม่มีเพลงนี้เกิดขึ้นมาหรอก”

“เฮ้ย! จริงปะเนี่ย? น่าเสียดายมากอะ เพลงนี้ผมชอบมากเลยนะ”

ท่าทางว่าผมจะออกอาการตกใจ และใส่อินเนอร์ในคำพูดมากไปหน่อย คนตัวสูงเลยถึงกับขมวดคิ้วทั้งๆที่อมยิ้มอยู่ แต่ผมไม่สนใจท่าทีของฌาณหรอก เพราะผมชอบเพลงนี้มากจริง ก็เลยตัดสินใจทิ้งมาดต่างๆไว้เบื้องหลัง และเผลอร้องเพลงนี้ออกมาตามความเคยชินซะเลย

“ไม่ใช่เธอคนเดียวที่รอฉัน แต่ฉันก็รอเธอเหมือนกัน.. ไม่ใช่ตรงนั้นที่เดียวที่เงียบงัน ตรงนี้ก็เหงาจับใจ~”

“...”

“ฉันคิดถึงคืนวันเก่าๆ ที่เรามองตา ที่เราชิดใกล้...”

ผมร้องไปก็จ้องหน้าคนเดียวในร้านที่ต้องมาทนฟังเสียงห่วยๆของผมไปด้วย สายตาเรียบเฉยของฌาณที่กำลังมองมาเหมือนแฝงความรู้สึกลึกซึ้งบางอย่าง แต่ผมก็ไม่สามารถจะแปลมันออกได้ รอยยิ้มในตอนแรกหายไปกลายเป็นสีหน้าที่ดูเศร้าหมองลงจนน่าใจหาย

“ไม่ใช่เธอคนเดียวที่เหงาใจ~”

ผมยังคงขับร้องต่อไป เหมือนมีอะไรบางอย่างดังก้องในส่วนลึกของโสตปราสาท ว่ายังไม่ให้หยุดตอนนี้ มือใหญ่ของฌาณเอื้อมเข้ามาใกล้ทุกทีๆ และร่างกายของผมมันก็หยุดนิ่งราวกับต้องมนตร์

ประโยคสุดท้ายของเพลงถูกขับขานออกมา ด้วยเสียงของเราสองคนที่ดังขึ้นประสานกันท่ามกลางความเงียบภายในร้าน ปลายนิ้วเย็นเฉียบของคนตรงหน้าแตะลงที่แก้มของผมแผ่วเบา พลันให้จิตใจกระตุกวูบไปชั่ววินาทีหนึ่ง ความรู้สึกโหยหาบางอย่างแล่นปราดเข้ามาทั่วร่าง อย่างที่ผมไม่เข้าใจเลย...



“ใจฉันก็คิดถึงเธอเหมือนกัน...”

----------------------------------------

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นมากเลยค่ะ
จริงๆคิดว่า แค่คนเดียวมาอ่านก็ยังดี ><'
จะพยายามแต่งต่อไปนะคะ ฝากติดตามกันด้วย
คิดว่าน่าจะได้เห็นมุมน่ารักของพระ-นายมากขึ้นนะ ;D
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 4 : ขนมปัง (03/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 03-04-2013 21:06:00
อุ้ย แอบหวานเบาๆ :-[
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 4 : ขนมปัง (03/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 03-04-2013 21:28:15
ชอบตอนนี้อ่ะแต่แอบสงสารฌานเบาๆ
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 4 : ขนมปัง (03/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Kaame ที่ 03-04-2013 21:53:46
น่าสงสารฌาณถ้าทางจะรักปลายคนนั้นมาก
แอบหวานเบา ๆ มารักกับปลายคนนี้ก็ได้นา 5555555

สู้ ๆ น้าคนเขียน :D



หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 4 : ขนมปัง (03/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 04-04-2013 17:25:15
 :pig4:
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 5 : อากาศหนาว (04/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 04-04-2013 18:55:06
บทที่ 5
อากาศหนาว


 

“กลับมาแล้วค่า!”

เสียงแหลมของพี่ทิพย์ดังขึ้นพร้อมกับเสียงกระดิ่งตรงประตู ทำเอาเราสองคนเด้งตัวออกจากกันไวยิ่งกว่าแสง แก้มที่ถูกสัมผัสของผมร้อนวาบขึ้นมาเล็กน้อย จนต้องขอตัวหนีไปหลังร้านเพื่อล้างเอาความรู้สึกแปลกๆออกไป นิ้วของผมแตะลงตรงจุดเดียวกันกับที่ฌาณเพิ่งสัมผัส ก่อนจะรีบส่ายหัวแรงๆเพื่อไล่ความคิดบ้าๆในหัว

ผมบอกได้เลยว่าตลอดทั้งวันนั้น เราสองคนแทบไมได้คุยหรือมองหน้ากันอีก ทุกอย่างดูเปลี่ยนไปจนพี่ทิพย์สังเกตได้ แต่สิ่งที่ผมตอบกลับไปก็มีเพียงแค่ คำว่า ‘ไม่มีอะไร’ เท่านั้น และผมเองก็คงเป็นเหมือนฌาณวันนี้ ที่ดูออกง่ายเหลือเกิน ก็ในเมื่อคำว่า ‘ไม่มีอะไร’ ของผม แท้จริงแล้วมัน ‘มีอะไร’ บางอย่างซ่อนอยู่น่ะสิ

ความซวยอันแสนอึดอัดไม่จบลงง่ายๆ เมื่อเราปิดร้านเรียบร้อย และผมต้องทนนั่งกัดฟันตลอดทางเมื่อนึกขึ้นได้ว่า ฌาณกำลังขับรถอีกคันไปลงที่บ้านหลังเดียวกัน พ่อกับแม่ดูจะดีอกดีใจเป็นพิเศษที่ได้เจอรุ่นน้องของพี่รัฐ หรือเจ้านายของผมคนนี้

และบนโต๊ะอาหารก็ดูจะสร้างความอึดอัดให้กับพวกเรามากขึ้นอีกเป็นสิบล้านเท่า เมื่อผมกับฌาณจับพลัดจับผลูต้องมานั่งข้างกัน แถมโดนพ่อกับแม่ซักไซ้เรื่องประวัติมากมายจนฌาณเกือบหลุดอยู่หลายรอบ ก็แหม เขาไม่ใช่ฌาณตัวจริงของโลกนี้นี่ครับ

“เอ้า กินเยอะๆ”

พี่รัฐเลื่อนจานปลาหมึดผัดไข่เค็มมาจ่อตรงหน้าฌาณซึ่งเอาแต่ตีสีหน้าเรียบเฉย ผมเห็นเขาตักกินแบบขอไปที เหมือนไม่ได้ใส่ใจในรสชาติของมันเท่าไร แต่เรื่องก็ดันเกิด เมื่อคนไม่ใส่ใจโลกอย่างฌาณนึกอยากจะตัก ยำปลาดุกฟูที่อยู่จานถัดไป แต่พี่รัฐกลับคว้าเอาไว้ได้ก่อน

“รู้น่าว่าแกไม่ชอบปลาดุกฟู อันนี้ทำไว้ให้ปลายมัน”

“หะ?”

ผมเผลออุทานออกมาเล็กน้อย พลางตีสีหน้างุนงง จังหวะเดียวกับที่พี่รัฐวางจานปลาดูกฟูลงตรงหน้า และเลื่อนน้ำยำกับพวกมะม่วงซอยมาให้ ไม่นะไม่ ผมต่างหากที่ไม่ชอบยำปลาดูกฟู เพราะตอนเด็กๆเคยกัดถูกส่วนแข็งๆจนฟันโยก หลังจากนั้นก็เกลียดมาตลอดเลย

ฌาณกับผมต่างเหลือบสายตามองกันเหมือนคนรู้ทัน ก่อนที่เราทั้งคู่จะหันกลับไปมองจานกับข้าวตรงหน้าด้วยสายตากระอักกระอ่วนแปลกๆ ผมเป็นคนแรกที่เอื้อมมือไปตักยำปลาดุกฟูมาไว้เต็มช้อน น้ำลายอึกใหญ่ถูกกลืนลงคออย่างยากลำบาก ก่อนที่วิญญาณนักแสดงบรอดเวย์จะลงมาสิงสถิตภายในตัว ณ วินาทีนั้นเอง

“อะไรกัน เจ้านายไม่ชอบปลาดูกฟูหรอครับ อร่อยออกนะ ลองชิมหน่อยดีกว่า” ปากพูดออกไปพลางเลื่อนกับข้าวบนช้อนไปวางลงบนจานข้าวของคนข้างๆ ท่ามกลางสายตาประหลาดใจระคนสงสัยจากทั่วโต๊ะ แม้แต่ฌาณเองก็ยังมองผมด้วยสายตางุนงง

“วันนี้ผมว่าจะกินปลาหมึกแทนอะนะ”

ผมยังคงเล่นละครบ้าๆนี่ต่อไป และเอื้อมมือไปตักปลาหมึกผัดไข่เค็มมาไว้ทั่วจานตัวเอง ก่อนที่จะปล่อยให้อาหารเย็นวันนี้ดำเนินต่อไปด้วยความผิดแปลกจากที่เคย ถือว่าโชคดีอยู่มากเหลือเกินที่ไม่มีใครแย้งอะไรขึ้นมา

อากาศที่ไม่แน่นอนของประเทศไทยสำแดงฤทธิ์อีกครั้ง เมื่อจู่ๆท้องฟ้าก็กลั่นแกล้งกันด้วยการโปรยเม็ดฝนไปทั่วบริเวณ และทำท่าว่าจะตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จนพ่อต้องพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่เป็นอะไรบางอย่างที่ผมไม่อยากให้พ่อพูดเลย ให้ตายเถอะ

“ฝนตกหนักแล้ว คืนนี้ฌาณก็ค้างที่นี่เลยสิ”

“ม.. ไม่เป็นไรครับ” คนถูกชวนวางช้อนส้อมในมือลง และรีบโบกมือปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตาย ดูน่าขำอยู่เหมือนกัน

“อย่าเลยมันอันตราย” แม่เป็นอีกคนที่ช่วยเสริมคำพูดของพ่อขึ้น แต่ก็ต้องตามมาด้วยข้อขัดแย้งจากพี่รัฐ ซึ่งทำให้ผมและฌาณต่างรู้สึกขอบคุณ “แต่เราไม่มีห้องว่างแล้วนี่ ห้องผมก็เป็นเตียงเล็ก”

ผมว่าผมต้องขอบคุณหลายอย่างครับ ทั้งพี่รัฐที่ยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูด ขอบคุณครอบครัวผมที่ไม่ใช่พวกฟุ่มเฟือยจึงสร้างห้องนอนแค่พอดีคน และต้องวนกลับไปขอบคุณพี่รัฐอีกครั้ง ที่ไม่ค่อยได้กลับบ้านที่ไทย ก็เลยเลือกซื้อเตียงเดี่ยวขนาดคนเดียวมาไว้ที่ห้องแทน สรุปก็คือ ขอบคุณพี่รัฐครับ...

ผมอยากจะพูดแบบนั้นต่ออีกสักหน่อยหรอกนะ ถ้าหากว่าแม่ไม่ได้แย้งขึ้นมาด้วยคำพูดอันโหดร้าย เสียงฟ้าร้องดังขึ้นแทบจะพอดีกัน ยิ่งตอกย้ำให้ผมช็อคมากขึ้นไปอีก และผมเดาว่าคนข้างๆก็คงจะสตั๊นไปไม่ต่างกัน

“ก็นอนกับปลายไง เตียงใหญ่ออก”

โนวววววววววว!!!!!

ในหัวผมเริ่มมีแผนแปลกๆผุดขึ้นมาเต็มไปหมด บางทีผมน่าจะเอาขวานไปจามเตียงให้มันหักท่อนจนนอนไม่ได้ หรือจะเปิดเผยกับครอบครัวดีว่า ที่จริงแล้วหนูเป็นลูกผู้หญิงปลอมตัวมา ให้หนูนอนกับผู้ชายสองคนคงไม่เหมาะมังคะ ฮว๊ากกกก ผมจะไม่อะไรเลยนะถ้าเกิดไม่เคยมีปมที่ว่า คุณฌาณเขาเป็นพวกชายรักชาย แถมยังมีคนรักหน้าตาแบบผมเป๊ะอีกต่างหาก ฮืออ ประตูหลังของผม จบสิ้นกันแล้วไหมล่ะ!!

ผมรีบตวัดสายตาไปขอความช่วยเหลือจากคนโดนชวน ซึ่งเมื่อกี้เพิ่งตั้งใจปฏิเสธไป แต่ทำไมตอนนี้ถึงมีสีหน้าเปลี่ยนไปล่ะ ฌาณมองผมกลับด้วยสายตาส่อแววเจ้าเล่ห์อย่างที่ผมนึกเกลียด ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่ดึงวิญญาณของผมออกจากร่างได้เลยทีเดียว

“ครับ งั้นขอรบกวนด้วยนะครับ”

ทำไมถึงตอบรับง่ายๆแบบนี้ซะแล้วล่ะครับ!!?

 

ภายในห้องนอนอันกว้างขวาง บัดนี้กลับดูแคบลงถนัดตาเมื่อมีไอ้บ้าอีกคนมานั่งหน้าสลอน เล่นเกมอยู่บนโต๊ะทำงานแบบไม่มีความเกรงใจ ตอนแรกไอ้ผมก็ว่าจะรอให้คุณฌาณเขาหลับก่อน เพื่อความปลอดภัยและอุ่นใจในหลายๆความหมาย แต่เห็นทีจะไม่ไหว เพราะตอนนี้ก็ปาไปตี 1 กว่าแล้ว ไอ้ตัวเกลียดปลาหมึกนี่ก็ยังนั่งทำตาแป๋ว ผิดกับผมที่เอียงซ้ายทีขวาที จะหลับมิแหล่มิหลับแหล่อยู่แล้ว ก็เลยได้แต่ทำใจสวดมนต์อ้อนวอนสิ่งศักด์สิทธิ์จากทั่วทุกสารทิศให้มาสถิต ณ ที่แห่งนี้ ก่อนจะลากตัวเองขึ้นเตียง และดึงผ้าห่มคลุมโปง

เวลาผ่านไปคิดว่านานพอตัว จนผมเผลอตื่นขึ้นมาอีกทีกลางดึกด้วยว่าอากาศภายในห้องที่แปลกไป.. ทำไมมันหนาวผิดปกติ และไม่ใช่หนาวธรรมดา แต่เป็น หนาวชิบหายวายวอด

ยิ่งกับผมที่ค่อนข้างไม่ถูกกับอากาศเย็นอยู่แล้ว (แต่ก็ไม่ได้รักแดดเมืองไทยเท่าไรหรอกนะ) ก็ยิ่งรู้สึกหนาวเป็นเท่าตัว ในที่สุดก็ทนนอนคดตัวต่อไปไม่ไหว ต้องลากร่างหนักอึ้งเพราะความง่วงของตัวเองไปหยุดอยู่ที่หน้าจอแสดงผลของเครื่องปรับอากาศ ทันทีที่ตัวเลขปรากฏขึ้นสู่สายตา ผมก็ต้องตกใจจนเกือบร้องออกมา

18 °c

ห่า! พ่อเป็นเอสกิโมหรอวะ! ผมตวัดสายตาไปที่อีกคนบนเตียงซึ่งกำลังนอนแผ่หราอย่างสบายใจทันที ไม่มีใครอื่นที่จะลุกมาปรับแอร์แบบไม่เกรงใจค่าไฟเจ้าของบ้านแบบนี้ นอกจากไอ้บ้าฌาณอีกแล้วล่ะ

แต่คิดไปคิดมา ผมก็ไม่อยากหาเรื่องให้ต้องมานั่งไฟท์กันเอาตอนเวลาแบบนี้ ก็เลยจบลงด้วยการทำใจเย็น หันไปกดปรับแอร์ให้กลับมาอยู่ที่เลข 25 ตามเดิม

ผมกลับมานอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่มที่ต้องแย่งเอากับคนข้างๆ โดยมีหมอนข้างใบหนึ่งกั้นเราสองคนไว้ ก็ได้แต่รอเวลาที่อุณหภูมิภายในห้องจะค่อยๆสูงขึ้น แต่ก่อนที่จะได้เป็นแบบนั้น ความรู้สึกยวบยาบก็เกิดขึ้นบนเตียงแห่งนี้ ฟูกหนายุบตัวลงเล็กน้อย พอให้รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนลุกออกไป

เสียงปรับอุณหภูมิจากแผงดังขึ้นถี่ๆ จนผมอดใจหายไม่ได้ ไอ้เวรนี่ไม่เคยเรียนสมบัติผู้ดีหรือไงวะ? เล่นปรับแอร์บ้านคนอื่นซะหนาวจนจะเทียบขั้วโลกได้อยู่และ แน่จริงวางเงินค่าไฟไว้ให้ด้วยสิโว้ย!

ฌาณเดินกลับมาและทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง แอบได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอเล็กน้อย โหย ยังจะมีหน้ามาหงุดหงิดอีกนะ ผมล่ะอยากเอาขวานมาจามหัวมันให้รู้แล้วรู้รอด!!

ในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายกระชากผ้าห่มบนตัวออก และตั้งท่าจะลุกไปหยิบขวาน.. ไม่ใช่และ ก็แค่จะลุกไปปรับแอร์ใหม่อีกครั้ง แต่ก่อนที่จะได้ทำแบบนั้น คนตัวใหญ่ก็ลุกตามขึ้นมาคว้าข้อมือของผมไว้จากทางด้านหลัง จนผมเผลอร้องออกมาเสียงหลง

“เฮ้ยยย!”

ร่างทั้งร่างของผมถูกกระชากจนกลิ้งไปชนเข้ากับอกกว้างของเจ้าของมือใหญ่นั้น เพิ่งสังเกตว่าหมอนข้างที่กั้นระหว่างเราถูกเนรเทศลงไปกองกับพื้นเรียบร้อยแล้ว

“อะไรเนี่ย!?” ผมร้องและเริ่มดิ้นอยู่ในวงแขนแกร่งอย่างเอาเป็นเอาตาย นี่แหละที่ผมกลัวมาตลอด โฮฮฮฮ เอกราชของผมกำลังจะถูกรุนรานครับ ใครก็ได้ช่วยผมที๊!

“อยู่นิ่งๆดิ๊”

ฌาณส่งเสียงดุ พอดีกับที่เสียงเปิดประตูจากห้องใกล้ๆดังแว่วเข้ามา ผมเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากทนกัดปากตัวเองให้เงียบเข้าไว้ แต่สายตาก็ยังคงเงยขึ้นมองคนตัวสูงอย่าเอาเรื่อง ผิดกลับเขาที่เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนกำลังสนุกเต็มทีพลางกระชับอ้อมกอดเข้ามาอีก

“ปล่อยผม”

ผมตั้งใจจะตะคอกออกไปดังๆมากกว่า แต่ก็ต้องฝืนพูดออกไปเยี่ยงเสียงกระซิบ พร้อมทั้งออกแรงดิ้นพราดๆเป็นปลาขาดน้ำอีกครั้งหวังจะหลุดออกจากพันธนาการแน่นหนานี้ ไอ้นี่แรงคนหรือแรงควายครับผมไม่แน่ใจ ทำไมถึงไม่สะทกสะท้านอะไรเลยล่ะ นี่ผมต้องตกเป็นของผู้ชายคนนี้จริงๆหรอ ไม่นะ ผมไม่พร้อมมม T-T

“ปลาย..”

เสียงทุ้มดังขึ้นชัดเจนกว่าทุกคำที่เคยได้ยินจากปากคนคนนี้ ทำเอาผมนิ่งเงียบไปราวกับถูกมนตร์สะกด เมื่อไม่เห็นว่าผมจะต่อสู้อีก ฌาณจึงรั้งตัวผมเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น มือข้างหนึ่งกดหัวผมให้ชิดกับแผงอกตรงหน้าจนจมูกผมย่น ส่วนอีกข้างก็วาดมาโอบรอบเอวพลางรั้งตัวผมไว้แน่น เราสองคนนอนแนบสนิทชิดใกล้ มากจนแทบไม่เหลือช่องว่างให้หายใจกันเลยทีเดียว

เสียงประตูจากห้องใกล้ๆปิดตัวลงพอให้ได้ยินเพียงแผ่วเบา กลับกลายเป็นเสียงเครื่องปรับอากาศซึ่งกำลังทำงานอย่างหนักดังขึ้นแทนที่ เวลาผ่านไปเพียงครู่เดียว ก่อนที่ผมจะรู้สึกได้ถึงอีกหนึ่งเสียงดังแทรกขึ้นมา จากช้าๆจนเพิ่มจังหวะขึ้นในท้ายที่สุด... เสียงหัวใจที่กำลังร่ำร้อง เหมือนต้องการจะกระแทกตัวออกมาจากอกเบื้องหน้า มันดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆในโสตปราสาท.. ฌาณขยับตัวเล็กน้อยพอให้ผมได้หายใจหายคอกับเขาบ้าง ก่อนจะโน้มหน้าที่ยังคงหลับตาพริ้มลงต่ำ ผมที่เมื่อยเต็มทนยอมก้มหน้าลงเงียบๆ รับฟังสิ่งที่กำลังจะออกมาจากปากของคนที่กอดผมอยู่นี้

“ฉันกอดนายอย่างนี้ จะได้ไม่หนาว”

อือหือออ ไม่หนาวพ่องง!! แค่ปล่อยให้ผมไปปรับแอร์ก็จบปะ!?

ผมส่งเสียงไม่พอใจอยู่ในลำคอ จนคนตัวสูงหัวเราะออกมาน้อยๆ ผมเลยได้ด่าฌาณอยู่ในใจต่ออีกหลายชุด กว่าที่ความง่วงจะเริ่มจู่โจมอีกครั้ง ผมพยายามเงยหน้าขึ้นและลอบมองคนชิดใกล้ (ในเวลานี้) เป็นครั้งสุดท้ายของคืน ก่อนจะเห็นรอยยิ้มเล็กๆระบายอยู่ที่มุมปากของเขา เห็นแล้วน่าหมั่นไส้ชอบกล จนผมทนมองต่อไม่ได้ ต้องรีบพาตัวเองเข้าสู่ห้วงนิทราโดยไวที่สุด

ทุกคนครับ อากาศหนาว มันน่ากลัวจริงๆครับ..

 

เพราะมันทำให้ผมไม่ยอมขัดขืนอะไรเลย...

------------------------------------

ถ้าอากาศประเทศไทยหนาวแบบนี้บ้างก็ดีเนอะ
ตอนนี้ร้อนจนจะแห้งตายแล้วค่ะ TT
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 5 : อากาศหนาว (04/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 04-04-2013 20:01:32
ปลายแก้สถานการณ์ได้ดีมากลูก55
อากาศร้อนมากกก >.<
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 5 : อากาศหนาว (04/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 04-04-2013 20:08:22
โถ โถ โถว์~
โทษอากาศซะงั้น ความจริงก็แอบหวั่นไหวชิมิล่า~
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 6 : เหมือนกัน (07/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 07-04-2013 18:57:52
บทที่ 6
เหมือนกัน


 

...ไม่ใช่เธอคนเดียวที่รอฉัน แต่ฉันก็รอเธอเหมือนกัน ไม่ใช่ตรงนั้นที่เดียวที่เงียบงัน ตรงนี้ก็....

เสียงมือถือของผมดังขึ้นจนต้องฝืนปรือตาตื่นด้วยความง่วง คนตัวสูงที่โอบตัวผมไว้ตลอดคืนก็คงได้ยินเหมือนกัน ถึงได้ฤกษ์ขยับตัวเสียที

“หื้ออ..”

ฌาณครางอยู่ในลำคอแบบไม่สบอารมณ์นัก ก่อนจะยกตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองหาที่มาของเสียงรบกวน ผมจึงใช้โอกาสนี้ผละออกมาจากการเกาะกุมตลอดหลายชั่วโมง ทำให้ฌาณรู้สึกตัวและหันกลับมามองผมด้วยสายตางงๆ

อะ..ไอ้บ้านี่ ดูทำหน้าเหมือนจำไม่ได้ว่าเมื่อคืนทำอะไรไว้งั้นแหละ น่าถีบชิบ เอะ..แต่เมื่อคืนมันไม่ได้มีอะไรเกินเลยเกิดขึ้นนะครับ! ผมยังปลอดภัยดี แต่ตอนนี้เมื่อยตัวไปหมดละ อาจจะต้องลงคอร์สนวดสักหน่อยคงดีไม่น้อย

“รับดิ” ฌาณฟาดแขนลงกับไหล่ผมจนเซ ก่อนจะปัดมือไล่ให้ผมลุกไปรับโทรศัพท์เดี๋ยวนี้ แต่ที่ผมยอมลุกไปนี่ไม่ใช่เพราะผมเชื่อฟังมันนะ ผมแค่รำคาญเหมือนกัน!

“ฮัลโหล”

(ปลาย อยู่ไหนแล้ว!?)

เสียงพี่ทิพย์ดังขึ้นมาจากปลายสาย ทำเอาผมสะดุ้ง ดวงตาเบิกโพล่งด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลนลานคว้านาฬิกาตั้งโต๊ะขึ้นมาดู เพื่อจะพบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบ 9 นาฬิกาเข้าไปแล้ว

“กะ..กำลังไปครับ!” ผมตอบเสียงดังและตัดสายไปทันที ก่อนจะหันมาเอาเรื่องกับไอ้บ้าที่ยังนั่งเกาหัวไม่รู้ร้อนรู้หนาวบนเตียง

“สายแล้ว ทำไมไม่ปลุก!?”

“ก็นึกว่านายจะปลุก”

ฌาณพูดขึ้นหน้าตาเฉย แถมยังอ้าปากหาวหวอด และทำท่าเหมือนจะล้มตัวลงนอนต่อ ผมเลยรีบตรงไปกดปิดแอร์ที่หนาวจัดจนไอเย็นเกาะตัวทั่วกระจกหน้าต่าง ก่อนจะดอดขึ้นเตียงไปดึงแขนใหญ่ๆของฌาณไว้พลางตีสีหน้าตำหนิ

“ตื่น แล้วไปทำงาน!”

“อืออ”

ฌาณพยายามสะบัดแขนให้หลุดออก แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน เราเลยได้เล่นเกมชักเย่อกันในเช้านี้ไปโดยปริยาย จนเมื่อดำเนินมาถึงจุดจุดหนึ่ง ฌาณก็เป็นฝ่ายยอมลุกขึ้นจากเตียงและดึงมือกลับ ก่อนจะ... หันมาตีหัวผมดังป้าบใหญ่ๆ แต่แรงตบไม่ได้ทำให้ผมนึกเกลียดไอ้บ้านี่เท่ากับสิ่งที่เขาพูดออกมาหรอกครับ

“ทำตัวอย่างกะเมีย”

ผมค้างเติ่งอยู่อย่างนั้นเหมือนเพิ่งโดนสาบเป็นหิน สายตาจ้องตรงไปที่เบื้องหลังของฌาณซึ่งกำลังเดินออกไปจากห้องหน้าตาเฉ๊ยยย.. โว้ยยย!!! ยอมให้นอนกอดคืนเดียวทำกร่างหรอวะ โอ้ย! ผมเกลียดมันๆๆๆ

เราสองคนจัดแจงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า (ฌาณใส่ชุดพี่รัฐ) และรีบวิ่งลงมาที่ชั้นล่าง ให้อารมณ์เหมือนเด็กมัธยมที่กำลังจะไปไม่ทันเข้าแถวเคารพธงชาติ ก่อนจะได้ความจากแม่ว่า พี่รัฐต้องออกไปทำธุระตั้งแต่เช้ามืด ก็เลยไม่ทันได้ปลุก แล้วแม่เองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าร้านเปิดกี่โมง ถึงอย่างนั้นพวกผมก็ไม่สิทธิ์จะไปว่าอะไร

ฌาณก้มหัวล่ำลาแม่และดึงข้อมือผมออกจากบ้าน ก่อนที่ผมจะทันได้หยิบขนมปังบนโต๊ะเหมือนทุกเช้า ก็เลยมีการโวยวายเกิดขึ้นเล็กน้อย เสียงหัวเราะของแม่ดังขึ้นมาไกลๆ จนเมื่อเราทั้งสองคนย้ายตัวเองมานั่งอยู่ในรถเก๋งสีดำวาว มวลเสียงทั้งหมดก็มลายหายไปอีกครั้ง พร้อมความอึดอัดประหลาดเข้าแทนที่เช่นทุกที

เจ้าของรถเหยียบคันเร่งแบบไม่กลัวตาย หรือจงใจแกล้งผมกันแน่ก็ไม่ทราบ รู้แค่ว่าตลอดทางผมนั่งไม่ติดเบาะเลย เอาแต่ผวาว่าจะไปชนใคร หรือถูกใครชนอยู่ทุกวินาที จนฌาณหยุดรถลงตรงหน้ามินิมาร์ทแห่งหนึ่ง ผมถึงมีโอกาสได้หายใจหายคอบ้าง

คนตัวสูงหายไปเพียงไม่นาน ก็กลับออกมาพร้อมขนมปังสองซองและนมอีกสองกล่อง ขนมปังไส้ครีมกับนมสตรอเบอรี่ถูกโยนมาให้ ในขณะที่ฌาณเริ่มออกรถอีกครั้งพร้อมฉีกซองขนมปังไส้เมล่อนในมือตัวเองไปด้วย

ขนมปังไส้ครีมในมือผมยังคงถูกวางอยู่อย่างนั้น นี่อย่าบอกนะว่าไอ้บ้าฌาณยังคิดจะแกล้งผมด้วยการให้กินขนมปังไส้ครีมอยู่อีก โง่หรือโง่อะ ผมชอบไส้นี้มากต่างหากเล่า แกล้งไม่สำเร็จอีกแล้วนะครับแหม่ แต่ประเด็นของวันนี้น่าจะอยู่ที่นมจืดบนตักของหมอนั่นมากกว่า

“ทำไมต้องนมสตรอเบอรี่?” ผมถามพลางส่งสายตาให้คนข้างๆเห็นความแตกต่างระหว่าง นมของผมและนมของเขา แต่ฌาณกลับทำแค่ยักไหล่แบบน่าหมั่นไส้และเอ่ยวาจาน่าถีบออกมาอีกครั้ง

“ก็ดูเหมาะกับนายดี”

เหมาะกับผีคุณยายมึงสิครับ!! ถึงผมจะตัวเล็ก ผิวขาว ตาโต ปากแดง แต่ก็ไม่ได้ดูน่ารักคาวาอี้ขนาดให้ดื่มนมสตรอเบอรี่สีชมพูนี่หรอกนะ... อะไรนะ? ผมพูดจาขัดแย้งกันงั้นเรอะ

เราขับรถกันต่ออีกแค่พักเดียวก็ถึงหน้าร้าน ที่เริ่มมีลูกค้าบ้างแล้ว ผมเลยรีบโยนขนมปังชิ้นสุดท้ายเข้าปากและดูดนมกล่องเล็กๆทีเดียวจนหมด ก่อนจะรี่เข้าไปช่วยดูแลงานในร้านทันที ส่วนพี่ทิพย์เมื่อเห็นหน้าผมกับฌาณก็ออกอาการดีใจเป็นอย่างมาก แอบเห็นคำถามปนอยู่ในแววตาของพี่ทิพย์วูบหนึ่งเมื่อรู้ว่าเราสองคนนั่งรถมาด้วยกันในวันที่เข้างานสายแบบนี้ แต่พี่แกก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา ซึ่งนับว่าดีแล้ว

ผมรีบตรงเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ ขณะที่พี่ทิพย์กำลังรับออเดอร์จากโต๊ะผู้หญิงกลุ่มใหญ่ ฌาณเดินตามผมเข้ามาติดๆ ก็เลยคิดว่าจะยอมให้หมอนี่มาเป็นลูกมือสักวันแล้วกัน (ได้ข่าวว่านี่เจ้าของร้าน)

“เอาถ้วยมาดิ๊”

ผมส่งเสียงบอกคนข้างๆ ส่วนตัวเองก็เริ่มเช็คเครื่องปั่นน้ำแข็ง มือข้างหนึ่งยื่นออกไปรอรับถ้วย ทั้งๆที่สายตาไม่ได้ละออกจากอุปกรณ์ตรงหน้า ก็เลยไม่ทันได้เห็นว่าไอ้เจ้าของร้านปัญญาอ่อน มันเดินไปหยิบถ้วยแก้วมาวางครอบหัวผมหน้าตาเฉย

ไอ้ห่าาาา!! คุณมึงครับ เล่นอะร๊ายยย!!?

ผมเหลือบตามองคนข้างหลัง ที่กำลังโน้มตัวเข้ามาใกล้ด้วยสายตาตำหนิ ไม่สามารถขยับตัวได้มากนักเพราะกลัวแก้วจะตกแตก แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลย นอกจากยืนหัวเราะน้อยๆ ดูมีความสุขละเกินที่ได้เห็นผมอารมณ์เสียเนี่ย เหอะ! บทจะนิ่งจะเย็นชา ก็ทำเราเกร็งแทบบ้า แต่บทจะปัญญาอ่อน ก็น่ารำคาญสุดๆ ผู้ชายคนนี้มันยังไง!?

“อะแฮ่ม”

เสียงกระแอมไอดังขึ้นต่อหน้า พี่ทิพย์เดินเอาใบสั่งของลูกค้ามาเสียบไว้ จ้องมองเราสองคนด้วยสายตาเคืองๆ ถ้าด่าได้ก็คงด่าไปแล้ว ก่อนที่พี่แกจะเดินกลับไปต้อนรับลูกค้าสองรายที่เพิ่งก้าวเท้าเข้ามา ยิ่งทำเอาบรรยากาศภายในร้านวุ่นวายขึ้นอีก

“เอาออกปายยย~” ผมว่าเสียงยานคาง แอบได้ยินเสียงหัวเราะหลุดออกมาอีกหน่อย ก่อนที่ฌาณจะยอมยกแก้วออกไป ผมเลยรีบชี้นิ้วไล่ให้ไปล้างแก้วหลังร้าน

คนตัวสูงเบะปากอย่างไม่สบอารมณ์ ในมือถือถ้วยแก้วไว้แน่น ก่อนจะหาเรื่องให้ผมหัวใจวายเล่นๆอีกครั้งด้วยการโยนถ้วยในมือขึ้นกลางอากาศ พี่ทิพย์ที่หันมาเห็นเหตุการณ์พอดีส่งเสียงกรี๊ดออกมาซะดัง จนสายตาของคนทั้งร้านจับจ้องมาที่เรากันหมด

ฌาณรับถ้วยไว้ได้อย่างสวยงาม เล่นเอาพี่ทิพย์ถอนหายใจดังเฮือกใหญ่ ผมขยับเข้าไปตีแขนของคนตรงหน้าอย่างแรงแบบไม่เกรงกลัวอีกต่อไป พลางจะเปิดปากด่า แต่ไม่ทันได้ทำตามที่หวัง ฌาณก็ก้มตัวลง มือใหญ่จับถ้วยน้ำแข็งใสครอบปากผมไว้ไวๆ และกดริมฝีปากตามเข้ามา

ดวงตาของผมเบิกโพลงด้วยความตกใจแทบสิ้นสติ ใบหน้าของฌาณอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เซนฯเท่านั้น ผมเหล่ตามองภาพเบื้องหน้าด้วยหัวใจที่เต้นโครมคราม มีแค่เพียงก้นถ้วยใบนี้ที่กั้นริมฝีปากของเราเอาไว้ กว่าที่ผมจะรู้ตัวว่าควรทำอะไร ก็เป็นตอนที่กลุ่มเด็กผู้หญิงในร้านออกปากวี๊ดว๊ายขึ้นมาดังลั่น

คนตัวสูงผละออกไป และยอมเอาถ้วยในมือออกไปจากปากและจมูกของผมได้ซะที รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แบบที่ผมไม่ชอบเลยปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขา พร้อมๆกับถ้วยน้ำแข็งใสที่ถูกชูขึ้นอย่างจงใจหาเรื่อง พอฌาณสะใจดีแล้วที่ได้แกล้งผมจนหัวหมุน ถึงยอมเดินหัวเราะร่ากลับเข้าไปหลังร้านโดยดี ทิ้งให้ผมยืนหน้าขึ้นสีอยู่อย่างนั้น

เพราะโกรธไง.. เพราะโกรธที่โดนแกล้ง

หน้ามันก็เลยแดงอย่างนี้...

 

จำได้ว่าผมใช้เวลาทำสมาธิอยู่นานมากๆ กว่าจะพาตัวเองให้กลับมาทำงานได้อย่างปกติ จนในที่สุดเราก็ฝ่าจุดที่ยากที่สุดของวันมาได้เหมือนทุกที พี่ทิพย์ยังคงง่วนอยู่กับการตัก Topping ใส่ถ้วยที่วางเรียงรายรอเสิร์ฟออเดอร์ล็อตสุดท้ายของวัน

ผมเดินเข้าไปแตะไหล่ให้กำลังใจพี่ทิพย์เบาๆ แต่กลับโดนสายตาดุๆตวัดกลับมา ดูเหมือนพี่ทิพย์จะยังไม่หายโกรธง่ายๆ กับการที่ผมและเจ้านายเล่นบ้าอะไรกันเมื่อตอนสาย ทำเอาในร้านวุ่นวายไปหมด และก็เป็นพี่ทิพย์นี่แหละที่คอยรับหน้า อธิบายและดูแลลูกค้าอย่างดี ผมก็รู้สึกผิดนะ แต่อย่าโทษผมคนเดียวสิครับ ทางที่ดีพี่ไปวีนใส่หน้าคุณเจ้าของร้านที่เอาแต่นั่งจิบชาคนนั้นจะดีกว่า เล่นอะไรไม่ดูเวลา ไม่สิ.. ไม่ว่าตอนไหนก็ห้าม นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาเล่นกับผู้ชายอีกคนเลยนะ ให้ตาย ผมเสียวสันหลังขึ้นมาอีกละไง TwT

ถ้วยน้ำแข็งใส่ที่เต็มไปด้วยผลไม้นานาชนิดถูกส่งมาไว้ในมือผม เป็นอันรู้กันว่าผมควรจะทำตัวเป็นเด็กเสิร์ฟบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ยืนหลบอยู่หลังเคาน์เตอร์ แต่แหมไอ้งานเสิร์ฟมันสบายอยู่แล้ว แค่ยกถ้วยไปวางบนโต๊ะ ง่ายยิ่งกว่าแคะขี้มูกอีก

ผมยักไหล่ขึ้นเล็กน้อยอย่างมั่นใจ ก่อนจะรับถ้วยในมือมา และเดินตรงไปยังโต๊ะของคู่รักคู่หนึ่ง เด็กผู้หญิงคนนั้นน่ารักเกินกว่าจะมานั่งข้างผู้ชายหน้าแบบนี้นะผมว่า ถ้าไม่รังเกียจผมอาจจะย้ายไปนั่งแทนที่ให้ ฮุฮุ

“ทำไมไม่ฟังกันบ้างอะ?” เสียงน้องผู้หญิงดังขึ้นตั้งแต่ผมยังไม่ได้เดินเข้าไปใกล้ ดูเหมือนทะเลาะอะไรกันอยู่ หน้าตาคร่ำเครียดทั้งสองฝ่าย ผมล่ะกลัวน้องเขาราดน้ำแข็งใสใส่อีกคนจริงๆ

“มาแล้วคร้าบ~”

ผมพยายามปั้นหน้ายิ้มร่าเริงผิดปกติ หวังจะช่วยให้บรรยากาศรอบโต๊ะตัวนี้สดใสขึ้นมาได้บ้าง แต่ดูเหมือนน้องทั้งสองจะไม่ฟังหรือรับรู้การมีตัวตนของผมเลยอะ เพราะเขาก็ยังคงเถียงอะไรบางอย่างกันต่อไป ผมเลยได้แต่ทำใจ โน้มตัวลงวางถ้วยแก้วบนโต๊ะใสอย่างระวัง... ย้ำว่าระวัง แล้ว...นะ..

แต่มันก็ยังเกิดครับ ไอ้เรื่องซวยๆเนี่ยะ!! เมื่อน้องผู้หญิงเกิดองค์ลงขึ้นมา และปัดป่ายแขนขาวๆนั้นไปทั่ว จนพลั้งมาโดนถ้วยน้ำแข็งใสที่ยังหลุดไม่พ้นมือผมด้วยซ้ำ แล้วไงอะ! ความซวยมันไม่ค่อยเข้าใครหรอก แต่มาเข้าผมตลอดนี่แหละ!!

เพล้งง!

ผมก้มลงมองสภาพถ้วยแก้วที่แตกกระจายอยู่บนพื้น น้ำหวานสีสดหกเลอะเต็มบริเวณ รวมทั้งเสื้อผ้ากางเกงของผมด้วย คุณน้องจำเลยกรีดร้องเสียงดังด้วยความตกใจ ที่ผมว่าไม่น่าจะออกอาการขนาดนี้ เพราะคนที่ต้องตกใจจริงๆคือผมมากกว่าไหม?

“ข..ขอโทษค่ะๆ” น้องตรงหน้าก้มหัวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ และผมก็ต้องยอมยกโทษให้เธอก่อนที่จะก้มจนหัวติดพื้นซะก่อน

พี่ทิพย์รีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาพร้อมไม้กวาดกับที่โกยผงในมือ ผมที่พยายามจะคว้าอุปกรณ์ในมือแกมาช่วย ก็ไม่ทันได้ทำตัวเป็นพนักงานสุภาพบุรุษซะ เมื่อพี่ทิพย์เอาแต่โบกมือไล่ให้ผมออกห่างจากที่เกิดเหตุ และยังบอกว่ามีเสื้ออยู่ในล็อคเกอร์หลังร้าน ให้ผมไปเปลี่ยนก่อนที่มดจะขึ้นตัว นั่นจึงทำให้ผมต้องเดินคอตกกลับเข้าไปหลังร้านอย่างคนสิ้นหวังแล้ว ในใจคิดแต่เพียงว่าพี่ทิพย์คงเกลียดผมน่าดู ที่เอาแต่ทำเรื่องวุ่นวายตลอดวัน

ประตูล็อคเกอร์ถูกเปิดออก พร้อมกับเสื้อยืดเก่าๆตัวหนึ่งที่ถูกผมคว้ามา ผมถอนหายใจอีกครั้งอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะลงมือถอดเสื้อเหนียวๆบนตัวออกไป แต่ก่อนจะได้สวมเสื้อตัวใหม่ลงแทนที่ ประตูหลังร้านก็เปิดขึ้นเรียกความสนใจไปเสียก่อน

ร่างสูงโปร่งของฌาณปรากฏให้เห็น ผมเลยต้องรีบหันกลับไปเผชิญหน้ากับเขาโดยไว ไม่ต้องการหันหลังให้ผู้ชายคนนี้นานๆ เพราะรู้สึกเหมือนจะไม่ปลอดภัยในหลายๆความหมาย แต่ผมว่าผมพลาดแล้วแหละ เมื่อคนตัวสูงตรงดิ่งเข้ามาและคว้าเอวผมไว้ด้วยสองมือ หลังผมถูกกดชิดประตูล็อกเกอร์ยิ่งขึ้น พร้อมทั้งลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารดใกล้เข้ามา

“เหวยๆๆ!” ผมร้องเสียงดังพลางใช้สองแขนดันไหล่คนตรงหน้าไว้ แต่เชื่อเถอะว่าหมอนี้เป็นควายกลับชาติมาเกิด ถึงได้แรงเยอะจนทำเอาแขนผมงอหมด

“จะทำอะไรรรร!!?” เสียงตะคอกของผมถูกเปล่งออกมาดังลั่นอย่างไม่กลัวว่าคนด้านนอกจะได้ยิน ตอนนี้ผมกลัวถูกรุกล้ำเขตแดนต้องห้ามมากกว่า!!

“เหมือนปลายเลย”

นั่นคือสิ่งที่ฌาณพูดขึ้นเป็นอย่างแรกหลังจากตรงเข้าจู่โจม ผมไม่ได้คิดว่าเข้าตั้งใจเดินเข้ามาหลังร้านเพื่อทำอะไรแบบนี้ แต่เพราะว่าเขาเข้ามาเห็นผมในสภาพนี้ถึงได้กลายเป็นแบบนี้มากกว่า ผมไม่อยากจะเดาอะไรที่มันดูน่ากลัวนัก แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าบางทีหมอนี่อาจจะเกิดอารมณ์ขึ้นมาตอนเห็นหุ่นขี้ก้างของผมก็ได้ ฮือออ พ่อครับแม่ครับ ผมขอโทษ ผมคงเป็นเจ้าบ่าวให้ใครไม่ได้แล้ว T____T

“เหมือนมากเกินไป ทุกอย่าง ทุกสัดส่วน ทุกความรู้สึก..” ฌาณยังคงเพ้อถึงคนรักของเขาต่อไป โดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่าผมกำลังมีสีหน้าหวาดกลัวขนาดไหน แต่ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมร่างกายถึงเลิกคิดที่จะต่อต้านไปเสียเฉยๆ

เพราะความอ่อนแอที่วูบไหวอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลคู่นี้เหรอ? อาจจะเป็นไปได้.. หรือว่าเพราะความเจ็บปวดในน้ำเสียงที่เปล่งออกมานี้อย่างนั้นเหรอ? ก็อาจจะใช่อีกเหมือนกัน..

ฌาณเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้อีกนิด ก่อนจะเปลี่ยนมาซบหัวลงกับไหล่บางของผมเนิ่นนานโดยปราศจากคำพูดจาใดๆ และผมก็เป็นฝ่ายยอมให้เขายืนอยู่แบบนั้นโดยที่ไม่อาจต่อว่าอะไรเอง เวลาภายในห้องนี้เหมือนจะผ่านไปช้ากว่าที่ไหนๆ ไม่มีวี่แววว่าพี่ทิพย์จะโผล่เข้ามาตามพวกเราออกไป ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงจอแจจากลูกค้าด้านนอก

ไม่รู้สึกถึงอะไรเลย นอกจากแรงกดทับบนบ่า สัมผัสบางเบารอบเอว และเสียงหายใจของเราทั้งคู่...

“เหมือนปลายจริงๆ..”

 

ผมหลุบตาลงมองแผ่นหลังที่สั่นไหวของคนตรงหน้า เขาพูดคำนั้นออกมาโดยที่ไม่มองผมเลย ไม่ได้มองผมเลย ว่าที่ยืนอยู่ตรงนี้.. ก็คือปลายเหมือนกัน...

--------------------------------------

ช่วงนี้อาจจะหายหน้าหน่อยนะคะ เพราะเจอโปรเจกใหญ่ 2 งานแหน่ะ
มีสอบมีอะไรด้วย สงกรานต์ก็ขอพักหน่อย แต่อย่าเพิ่งลืมกันนะึคะ
จะกลับมาต่อแน่นอน อย่าทิ้งหนูนะ 55


 :hao5: :hao4:
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 6 : เหมือนกัน (07/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: ๛ナーリバス๛ ที่ 07-04-2013 19:44:47
เก่งจัง....

เรื่องบรรยายเยอะอ่ะ ใส่ใจรายละเอียด แต่ละตอนก็ย้าวยาว

 แล้วก็เป็นแนวแฟนตาซีแบบข้ามยุค เลยเหมือนจะอ่านยาก แต่โดยรวมเราชอบนะ

แรกๆมาก็ มองว่าน่าจะดราม่า  มีความู้สึกว่ามันต้องมาแน่ๆ ตอนนี้มันก็เริ่มจะมาแล้ว...



ทีแรกคิดว่า พระเอกคือพี่รัฐซะอีกเเต่คาดว่าคงเป็นฌาณ( ชื่อพิมพ์ยากแฮะ ) มันเลยเจ็บแป๊บๆ

ในเมื่อ คนที่เขารอ ไม่ใช่ปลายคนนี้แต่เป็นปลายคนอื่น แต่ช่วงที่ได้อยู่ด้วยกันกลับทำให้ปลายคนนี้หวั่นไหวไปซะแล้ว อ่านตอนจบแบบว่า หน่วง ปวดใจ สงสารปลาย  :mew6: :mew6:


ไม่ว่ายังไงปลายก็คงต้องกลับโลกเดิม โดยที่ไม่รู้ว่าจะอยู่อาทิตย์นึงตามสั่งหรือเปล่า เพราะปลายเองที่อยู่ที่นอกจากสบาย ก็คงเพราะเป็นโลกที่มีพ่อแม่ด้วย

ถ้าฌาณ เกิดเปลี่ยนใจมารักปลายคนนี้แทนคนเก่า แล้ววันนึงปลายคนนั้นกลับบมา โอย งานงอก แต่ถ้าปลายยอมตัดใจ แล้วตามหาฌาณในโลกตัวเอง แล้วมันจะเป็นยังไงต่อ มันก็ดราม่าไม่สิ้นสุด แอร๋ยๆๆ  :hao5: :hao5: :hao5:

เดาทำไม รออ่านดีกว่า  :m29:

เอาเป็นว่า รออ่านนะคะ หายไปนานๆ ไม่เป็นไรแต่อย่าลืมมาต่อด้วยล่ะ จะรอ :mew2: :mew2:



....................

ปล. ฉันเป็นลูคีเมล .....ทำให้นึกถึง คุณทนความเย็นได้แค่ไหนเลย....
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 6 : เหมือนกัน (07/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 07-04-2013 21:28:13
^
^
ใช่ป่ะ แต่มันฮาจริงๆนะฉากนั้น

ตอนที่ฌาน เพ้อถึงปลาย มันให้โมเมนต์แบบเจ็บปวดอ่ะ คือมันเหมือนแก้วลายเดียวกัน แต่ไม่ใช่ใบเดียวกัน ถึงจะเหมือนกันยังไงก็ไม่ใช่อันเดียวกัน โอ๊ยย เครียดแทน
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 7 : เขากับเรา (15/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 15-04-2013 18:50:15
บทที่ 7
เขากับเรา


 

ผมแทบเอาตีนขึ้นก่ายหน้าผากอีกครั้งในค่ำคืนนี้ เพดานห้องโล่งๆไม่ได้มีอะไรน่าสนใจสักนิด แต่ผมก็จับจ้องมันอยู่เป็นเวลานานมากแล้ว นานพอที่จะให้ไอ้เด็กแสบ CD นั่งเคลียร์มาริโอ้ไปได้หลายด่าน ในขณะที่เสียงเกมดังรบกวนอย่างต่อเนื่อง ภายในหัวของผมกลับได้ยินเพียงเสียงบางเสียง

‘เหมือนปลายจริงๆ..’

เสียงของผู้ชายที่เอาแต่ถามคำถามแปลกๆทุกครั้งที่เราเจอกัน ผู้ชายที่สวมกอดผมด้วยความหวัง ผลักผมชนกระจกจนระบม จับมือที่เย็นเฉียบของผมไว้ด้วยความอบอุ่น ลูบหัวของผมอย่างเอ็นดูเมื่อทำหน้าที่ได้ดี โยนขนมปังไส้ครีมมาให้โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมชอบมัน ร้องเพลงประสานกันอย่างไม่รู้ตัว นอนกอดผมไว้แน่นจนเผลอลืมไปว่าอากาศในคืนนั้นมันหนาวขนาดไหน แกล้งจูบผ่านถ้วยน้ำแข็งใส และจบด้วยการซบลงที่ไหล่ผมเนิ่นนาน..

ผู้ชายคนนั้นที่ผมควรจะกลัว เพราะเป็นผู้ชายที่ไม่ต้องการให้ผมอยู่ที่นี่ และเป็นผู้ชายที่ชอบผู้ชายด้วยกัน ถึงอย่างนั้น ผมกลับเป็นฝ่ายสับสนแทบบ้าเสียเอง

ว่าบางที... ผมก็คงจะชอบผู้ชายเหมือนกัน?

.

.

โนวววววว!!

ผมรีบสะบัดหัวไล่ความคิดประหลาดออกไป พอดีกับที่วิญญาณเด็กสาวโผล่หน้าออกมาจากกำแพงทำเอาสะดุ้งโหยง แต่เมื่อมองอีกทีก็พบว่าเป็นยัย AA เซลล์ประจำตัวของฌาณนั่นเอง คงจะมาเม้ามอยอะไรกันอีกล่ะสิ ยัยสองตัวนี้หลายๆครั้งก็ชอบโผล่มาคุยกันให้ผมรำคาญเล่นอยู่บ่อยๆอะนะ

“ว่าไง?” CD ละสายตาจากเกมในมือขึ้นมองเพื่อนร่วมงาน ส่วน AA กลับมีสีหน้าคร่ำเคร่งผิดปกติ

“ไม่รู้เป็นอะไร ฌาณไม่สดใสเลย”

“แล้วหมอนั่นเคยสดใสตอนไหนไม่ทราบ” ผมแอบพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของ CD ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นพอให้เห็นหน้าเด็กทั้งสองชัดๆ หวังว่าจะมีส่วนร่วมในการสนทนาครั้งนี้บ้าง

“ฉันสงสารฌาณ ฉันพยายามลอบถามรุ่นพี่ที่ทราบเหตุการณ์ตอนหมอนั่นคลาดกับปลาย แต่ไม่มีใครให้ข้อมูลฉันเลย”

“รู้ไปแล้วจะได้อะไร เราไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งกับลูกค้าอยู่แล้ว ถ้าเธอช่วยเหลือฌาณ เธอก็ต้องถูกปลด” ผมมองเห็นความวูบไหวแปลกๆในดวงตาของ CD แม้ว่าคำพูดของเธอจะดูเรียบเฉยอย่างคนรู้สถานการณ์ดี แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงความอึดอัดก้อนโตในคำพูดเหล่านั้น

“เธอรู้ไม่ใช่เหรอ ว่าปลายที่ฌาณกำลังตามหา อยู่ที่ไหน”

“...”

AA เหมือนจะไม่ได้สนใจคำเตือนของ CD เท่าไร กลับยิ่งรุกไล่ยิงคำถามแบบ Critical Hit ไปให้ จนทำเอาเด็กแสบที่เคยน่ารำคาญ หงอยลงไปพร้อมนำพาความเงียบเข้ามาปกคลุมทั่วบริเวณห้อง เวลาทิ้งช่วงไปนานพอตัว กว่าที่เธอจะยอมเอ่ยปากอีกครั้ง

“รู้... แต่บอกไม่ได้”

“โหยย อย่างงี้อีกและ เบื่อเธอ!”

“ขอโทษ”

“เออช่างเหอะ เผลอๆฌาณจะเลิกตามหาปลายคนนั้นแล้วมั้ง” คราวนี้ไม่ใช่แค่ CD ที่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ แต่ผมเองก็เงี่ยหูรอฟังเต็มที่เช่นกัน

“ทำไมล่ะ?”

“ก็ดูเหมือนเขาจะหวั่นไหวกับปลายคนนี้เข้าแล้วน่ะสิ”

นิ้วเล็กๆของ AA ชี้ตรงมาทางผมซึ่งกำลังนั่งเอ๋ออยู่บนที่นอน สายตาหยอกล้อของ AA ไม่ได้ดูประหลาดและน่าสนใจ มากเท่ากับสายตาตกใจของ CD เลย ตกใจอะไร? ตกใจทำไม?

คนที่ต้องตกใจคือผมนี่ !!

จะบ้าหรือไง อยู่ๆก็มาบอกว่าหมอนั่นหวั่นไหวกับผมเนี่ยนะ มะ..ไม่ใช่แล้ว มั่วหรือเปล่า อะไรอะ อยู่ๆก็มาพูดแบบนี้ ไอ้เรื่องหวั่นไหวอะไรนี่ ถ้าไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ห้ามพูดนะเฟ้ย! อ๊ากกก แล้วทำไมผมต้องตื่นเต้นด้วยละว้อยย!!?

“ฉันว่าเพราะเขาเริ่มหวั่นไหวกับนายนั่นแหละ ถึงทำให้ซึมไป คงจะกำลังรู้สึกผิดต่อปลายอีกคนน่ะสิ” AA ยังคงจ้องหน้าผม และวิเคราะห์ตัวฌาณแกมแซวตัวผมต่อไป

“เหรอ.. งั้นก็บอกให้เขาเลิกตามหาซะเลยสิ” CD กลับมาปั้นหน้าเป็นปกติอีกครั้ง แถมยังส่งยิ้มแปลกๆออกมาอีก ผิดกับ AA ที่เริ่มหัวเราะแห้งๆ โดยแฝงเอาความผิดหวังซ่อนไว้

“เธอก็บอกฉันเอง ว่าเราเข้าไปยุ่งกับลูกค้าไม่ได้”

“อ..อือ เรายุ่งไม่ได้..”

ผมกล้าพูดเลยว่า หลายวันที่ผ่านมา ตั้งแต่วินาทีแรกจนถึงวินาทีนี้ที่ผมได้เจอและรู้จักไอ้เด็กบ้า CD มา เธอไม่เคยตีสีหน้าที่ดูเสียใจลึกๆแบบนี้ออกมาเลย มันไม่ใช่สีหน้าที่เศร้าหมอง แต่แววตาของเธอก็ไม่ได้ยิ้มเหมือนเคย และในน้ำเสียงที่เปล่งออกมา ผมก็จับความรู้สึกผิดและความสับสนได้อย่างชัดเจน

“งั้นฉันกลับไปหาฌาณ..ก่อนนะ”

ดูเหมือน AA เองก็จับความผิดปกติของ CD ได้เช่นกัน ถึงได้พูดเป็นเชิงรั้งๆออกมา เธอทิ้งท้ายยานคาง และขยับตัวเชื่องช้าอย่างจงใจ จนในที่สุด CD ก็ยอมเปิดปากอีกครั้ง พร้อมเงื่อนงำชิ้นสำคัญ ที่ทั้ง AA และผม ต้องเอากลับมาคิดต่อกันอีกยกใหญ่

“ฉันคิดว่า..ที่หมอนั่นหวั่นไหวไม่ใช่เพราะว่าอยู่ไกลจากคนรัก แต่เพราะรู้สึกว่าได้อยู่ใกล้คนที่รักต่างหาก

 

วันนี้งานที่ร้านก็ยังดำเนินไปเหมือนปกติของมัน พี่ทิพย์หายเคืองผมแล้วกับความวุ่นวายเมื่อวาน แต่กลับเป็นห่วงแทน.. เป็นห่วงที่ผมกับฌาณไม่ยอมมองหน้ากันเลย

แต่ความจริงก็คือ ผมพยายามแล้วที่จะทำตัวให้เป็นปกติ ยกเว้นแต่เขานั่นแหละที่ไม่เหมือนปกติ ถ้าผมอยู่หน้าร้าน เขาจะอยู่หลังร้าน ถ้าผมเดินเข้าหลังร้าน เขาจะเดินออกมาหน้าร้าน เป็นอย่างนี้ไปมาจนผมชักจะรำคาญ สุดท้ายก็จบลงตรงที่.. ฌาณขับรถออกไปจากร้าน และไม่มีวี่แววกลับมาอีกเลย

ผมไม่รู้ว่าเขาเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก ถึงต้องคอยหลบหน้ากันขนาดนี้ แม้ว่าร้าน Snow Farm จะเล็กนิดเดียว แต่ผมกลับรู้สึกว่าตลอดวันมานี้ ผมแทบไม่ได้เห็นหน้าฌาณเลย.. ไม่สิ จริงๆแล้วเห็นอยู่ตลอดเลยมากกว่า เพราะใบหน้าของหมอนั่น อยู่ดีๆก็เข้ามาหลอกหลอนในหัวสมองผมเต็มไปหมดตั้งแต่เมื่อเย็นวานแล้ว และดูท่าทางว่าจะไม่ยอมออกไปง่ายๆซะด้วย ทำเอาผมปวดหัวแทบคลั่งอยู่แล้ว คลั่งกับตัวเองที่กลายเป็นผู้ชายแบบนี้อะ!!

“ปลาย!”

เสียงพี่ทิพย์ดังขึ้นเรียกผมให้ออกจากภวังค์ ถ้วยน้ำแข็งใสโอบล้อมไปด้วยเยลลี่สีสดถูกส่งมาให้ ก่อนที่จะชี้นิ้วไปทางโต๊ะของครอบครัวหนึ่งใกล้ประตู้ร้าน ผมจึงต้องรีบไล่ความคิดมากมายในหัวออกและเดินตรงไปหาลูกค้าด้วยหน้าตาปั้นยิ้ม

ลูกสาวในชุดเอี๊ยมน่ารัก เอาแต่นั่งหน้าบูดอยู่บนตักของคุณแม่สุดสวย บนโต๊ะมีตุ๊กตาหมีที่เหมือนกับถูกปาทิ้งไว้ เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ถึงพอได้ยินบทสนทนาของทั้งสาม จับประเด็นได้ว่าตุ๊กตาหมีสุดรักสุดหวงของน้องหนูมันหายไป พ่อแม่ก็เลยซื้อเจ้าตัวใหม่บนโต๊ะนี่ให้แทน แต่ดูเหมือนเด็กน้อยจะไม่พอใจเท่าที่ควร

“แต่มันเหมือนกันเป๊ะเลยนะคะ” คุณแม่พยายามหว่านล้อม ในขณะที่ผมก็ช่วยยิ้มและยกถ้วยน้ำแข็งใสในมือเข้าไปใกล้ๆ หวังจะช่วยให้น้องคนนี้ร่าเริงขึ้นมาได้บ้าง

“ไม่เหมือน!”

คุณหนูดูจะไม่สนใจผมเลย และเริ่มปัดมือไปมาเหมือนจะอาละวาด ผมเลยต้องรีบยกถ้วยออกห่าง และวางมันลงตรงหน้าที่นั่งของคุณพ่อที่อยู่ด้านตรงข้ามแทน ฮืออ~ ทำไมผมต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ตลอดเลยล่ะ ลูกค้าไม่รักโผมมมม T-T

“ไม่เหมือนยังไงคะ นี่ดูสิ เหมือนกันทุกอย่างเลยนะ” ผมลุกขึ้นก้มหัวให้น้อยๆ เตรียมหันหลังเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ แต่ขาทั้งสองข้างก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อได้ยินคำพูดแทงใจ..

“ไม่! มันไม่ใช่ตุ๊กตาที่หนูหาอยู่สักหน่อย!”

ผมยืนค้างอยู่อย่างนั้น นานจนคนในร้านเริ่มหันมาสนใจ เสียงพี่ทิพย์ตะโกนเรียกเหมือนจะดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อาจขยับตัวไปไหนได้... ทำไมคำพูดของเด็กอนุบาลนี่ถึงมีผลกับผมนักครับ?

ความเจ็บปวดแล่นเข้าออกทั้งสี่ห้องหัวใจ เนื้อตัวมันชาตึงไปซะทุกส่วน เสียงของเด็กผู้หญิงคนนั้นยังดังก้องอยู่ในหัว ยิ่งตอกย้ำอะไรบางอย่าง

เหมือนกัน.. แต่ก็ไม่เหมือนกัน..

ถึงเหมือนกัน.. แต่ก็ไม่ใช่...


“ปลาย!!” พี่ทิพย์เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เธอพยายามเขย่าตัวผมแรงๆเพื่อเรียกสติ แต่ผมก็ยังไม่พร้อมจะทำอะไรต่อ จึงได้แต่ส่งสายตาเสียใจและขอโทษออกไป ก่อนจะวิ่งหนีหายเข้าไปหลังร้านทันที

พี่ทิพย์ไม่ได้ตามมา และผมเดาว่าเธอคงเข้าใจ.. ภายในห้องทึบๆมีแค่ผมคนเดียวกับเสียงอากาศรอบตัวที่แทบจะนิ่งสนิท สายตาเจ้ากรรมของผมเหลือบไปเห็นวัตถุสีเงินวาวที่ส่องกระทบแสงของหลอดไฟนีออน เมื่อเดินตรงเข้าไปก็พบว่ามันคือ สร้อยข้อมือสีเงินพร้อมจี้รูปดอกไม้ ด้านข้างสลักตัวอักษร CP เด่นชัด ดูแปลกตาและสวยงาม

ผมหยิบมันขึ้นมาพิจารณาดูอีกทีใกล้ๆ ปลายนิ้วหัวแม่โป้งลากไปตามรอยสลักแสนประณีตตรงหน้า... C เป็นตัวย่อชื่อในภาษาอังกฤษของ ฌาณ ส่วน P ก็คือปลาย.. ปลายคนนั้นที่ฌาณกำลังออกตามหา โดยแลกกับชีวิตตัวเอง และเมื่อเดิมพันมันสูงขนาดนั้น ก็ทำให้รู้ว่าปลายที่เขารอเพื่อพบมีค่ามากมายขนาดไหน...

ผิดกับผม ซึ่งเป็นได้แค่ตุ๊กตาหมีที่ถูกซื้อมาแทนก็แค่นั้น...

 

“จะทำอะไร!?” ผมสะดุ้งสุดตัว รีบหันกลับไปตามที่มาของเสียง

ฌาณกำลังยืนหอบน้อยๆอยู่หน้าประตูของห้องหลังร้าน ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความตกใจระคนเกรี้ยวกราดอย่างที่ผมไม่นึกอยากจะเห็นเลยในชีวิตนี้ สายตาดุดันของเขาจ้องหน้าผมสลับกับสร้อยในมือไปมาอยู่หลายครั้ง จนในที่สุดก็พาตัวเองมาหยุดลงตรงหน้าผม เราสองคนจึงได้โอกาสเผชิญหน้ากันซะที

“ฉันถามว่านายจะทำอะไร?” คำถามที่เหมือนจะธรรมดา แต่เมื่อได้ยินกลับยิ่งเจ็บปวด ถูกเปล่งออกมาจากปากสีส้มธรรมชาติของผู้ชายคนนี้

“เอ่อ..”

“นั่นของปลายนะ!”

“ว่าไงนะ?”

ผมที่เคยก้มหน้าก้มตา กลับต้องเป็นฝ่ายตวัดสายตาดุดันขึ้นสู้กับคนตัวสูง ซึ่งกำลังมองกลับมาด้วยความตกใจยิ่งกว่าเดิม ฌาณหลบสายตาของผมไปเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงแผ่ว แต่ก็ดังพอที่ผมจะได้ยินทุกๆคำอย่างชัดเจน

“สร้อยข้อมือนั้น เป็นของฉันกับปลาย..”

ฌาณไม่สบสายตากับผมอีกแล้ว.. แต่ก็พอดีกับที่ผมไม่นึกอยากจะมองหน้าเขาแล้วเช่นกัน ตอนนี้สมองของผมมันโล่งไปหมด เหมือนมีใครมาสาดสีลงไปจนมันมีแต่ความขาวโพลน คิดได้เพียงแค่ว่า ผมไม่อยากอยู่ตรงนี้และไม่อยากเจอผู้ชายคนนี้อีกแล้ว

ผมพยักหน้าน้อยๆอย่างเข้าใจ และก็พยักหน้าอยู่อย่างนั้นถี่นานเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก มือขวากำสร้อยเงินไว้แน่น หัวใจกรีดร้องอยู่ภายในด้วยความเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน ผมไม่แน่ใจว่า นี่คือความรู้สึกที่ใกล้เคียงความตายมากที่สุดหรือเปล่า?

เพราะมันเจ็บมาก เจ็บปวดมากๆ... มากจนถึงขนาดว่า ผมอยากอ้อนวอน ขอให้ใครมาฆ่าผมให้ตาย ดีกว่าให้ผมต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้

บางที.. ผมก็ไม่ควรมาที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว...

เจ้าความเงียบที่ผมเคยหวังว่ามันจะไม่กลับมา ก็เริ่มก้าวเดินอีกครั้ง พร้อมกับความอึดอัดกดดันอย่างมหาศาลซึ่งถูกถ่ายทอดเข้ามา ทั้งผมและฌาณเราต่างส่งสายตาออกไปยังจุดที่แตกต่างกัน.. เป็นอย่างนั้นเนิ่นนานจนผมแทบล้มทั้งยืน สุดท้ายก็คือผมเองที่เริ่มขยับเข้าไปใกล้คนตัวใหญ่มากขึ้น ผมเอื้อมคว้ามือข้างหนึ่งของฌาณมาเกาะกุมไว้ หวังจะซึมซับความอบอุ่นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่สร้อยข้อมือสีเงินในมือผมจะถูกย้ายไปอยู่บนมือเขา ริมฝีปากบางของผมเผยอออกเล็กน้อย ดวงตาที่คงไร้แววความสดใสช้อนขึ้นมองคนแปลกหน้าเมื่อประมาณ 5 วันก่อน

“ฌาณ...”

“...”

ผมเรียกชื่อคนตรงหน้าเสียงแผ่ว และเริ่มเพ่งเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่นี้ ที่ผมไม่เคยนึกอยากจะมองเลย.. ดวงตาที่เคยเย็นชาจนดูน่ากลัว ดวงตาที่เคยเศร้าหมองและเจ็บปวด แต่ก็เป็นดวงตาคู่เดียวกัน กับที่เคยทำให้หัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ

แปลกเหลือเกิน..ว่ามันกลายมาเป็นดวงตาที่ผมนึกโหยหาตั้งแต่เมื่อไรกัน...?

“ฌาณ... ผมก็คือปลายเหมือนกัน......”

.

.

.

“พอฉันนับสาม เราจะไปกันเลยนะ”

“อือ” ผมตอบรับ CD สั้นๆ

ตอนนี้พวกเรากำลังยืนหลบมุมกันอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากร้าน Snow Farm หลังจากที่ผมทิ้งคำพูดสุดท้ายเอาไว้ ก่อนจะวิ่งหนีทุกสิ่งอย่างออกมา มันคงไม่ดีที่ผมจะกลับไปทั้งๆแบบนี้ ทั้งที่ได้เจอพ่อกับแม่ ได้เห็นคุณรัฐในมุมที่ดีขึ้น ได้มีครอบครัวอันแสนอบอุ่น รู้จักพี่ทิพย์ รู้จักลูกค้ามากหน้าหลายตา และได้มาผูกสัมพันธ์กับผู้ชายคนนั้น...แต่ผมคงทนให้ตัวเองอยู่ต่อไปอีกไม่ได้ การที่ผมอยู่มีแต่จะทำร้ายทั้งผมและฌาณ

ผมต้องรีบกลับไป เพื่อให้ฌาณได้เจอกับปลายของโลกใบที่ 27 นี้ ไม่แน่ว่านั่นอาจเป็นปลายที่เขากำลังตามหาอยู่จริงๆ.. ส่วนผมก็เช่นกัน ต้องรีบกลับไปเพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองถลำลึกกับความรู้สึกบ้าๆนี่มากไปกว่านี้ ไม่อยากจะรู้สึกมากไป... จนไม่อาจปฏิเสธได้อีกแล้วว่า ‘ผมชอบฌาณ’

“3....”

“...”

“2...”

“...”

“1..”

 

…ไม่ใช่เธอคนเดียวที่รอฉัน แต่ฉั.....

 

“เฮ้ยย!”

เสียง CD ดังขึ้นพอดีกับที่ตัวเราทั้งคู่กำลังถูกดูดเข้าไปในห้วงมิติบางอย่างที่ผมไม่อาจจะอธิบายเป็นคำพูดได้ ส่วนตัวผมเองก็ได้แต่ตีสีหน้าเหรอหราตกใจมากไม่แพ้กัน เมื่อวินาทีที่เรากำลังจะเดินทางข้ามโลกนั้น ดันมีสายโทรศัพท์ที่ติดมาในกระเป๋ากางเกงของผมดังขึ้น!?

ความรู้สึกปั่นป่วนมวนท้องอย่างที่เคยได้เจอตอนขามา ตรงเข้าจู่โจมผมอีกครั้ง และคราวนี้ยังพ่วงมาด้วยความรู้สึกปวดหัวแบบมหาศาล จนผมได้แต่หลับตาปี๋ เกร็งมือและเท้าด้วยความเจ็บปวด คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นโบว์ เสียงของยัยเด็ก CD ตะโกนขึ้นมาจากที่ไกลๆ แต่ผมก็ไม่สามารถจับใจความของคำพูดเหล่านั้นได้เลย

ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวกำลังลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับที่ข้อมูลมากมาย หลายสิ่งหลายอย่างกำลังไหลมารวมกันในหัว ราวกับภาพยนตร์ที่ถูกนำมาฉายซ้ำอีกครั้ง มีภาพเหตุการณ์ที่ผมไม่คุ้นเคยแวบผ่านเข้ามา สลับไปเรื่อยๆอย่างนี้เป็นเวลานาน จนรู้สึกเหมือนหัวของผมแทบระเบิดออกมาหลายหน ทุกสิ่งเหล่านั้นหลั่งไหลเข้ามากองรวมกัน พร้อมทั้งนำพาความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเข้ามาสถิตไว้ในจิตของผมด้วย...

หัวใจของผมกรีดร้องทุรนทุรายยิ่งกว่าเมื่อครู่ หรือครั้งไหนๆในช่วงชีวิตนี้.. ความเจ็บปวดค่อยๆแทรกซึมเข้าไปในทุกอณูจิต ก่อนที่ภาพในหัวจะถูกจัดเรียงให้ผมได้สัมผัสกับมันอีกครั้ง

 

เจ็บครับ... ทำไมถึงเจ็บทั้งที่ไม่มีแผลล่ะครับ?

-----------------------------------------

เฮ้ยยยย เจ็บ 5555 แต่งเองเจ็บเอง ><'
วันนี้ได้โอกาสเปิดคอมในรอบหลายวัน จมอยู่กับกองงานมานาน เครียดมาก ฮือออ
ขอมาสุขสันต์วันสงกรานต์ด้วยนะคะ ;D
หลังจากนี้คงหายไปอีก แฮ่ๆ จะยุ่งๆไปจนถึงปลายพฤษภาเลยค่ะ
แต่ถ้าหาเวลาว่างได้ ก็จะพยายามมาแต่งต่อให้ได้เน้อ
อย่าเพิ่งทิ้งกันไปน้า ฝากติดตามต่อไปด้วยค่า ~

ป.ล. ลูคีเมล เอามาจากคุณทนความเย็นได้แค่ไหน นั่นแหละค่ะ 55555
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 7 : เขากับเรา (15/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 15-04-2013 19:32:58
โฮ่ อ่านแล้วเจ๋งมาก

รออ่านตอนต่อเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 7 : เขากับเรา (15/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Kaame ที่ 15-04-2013 19:45:27
ตอนนี้มันหน่วง ๆ เกิน  T T''
เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ?
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 7 : เขากับเรา (15/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 15-04-2013 20:00:02
 :mew1:เยี่ยมมาก ชอบมากเลยค่ะ ชวนติดตามมาก
ลุ้นว่าจะเป็นอย่างไรต่อ
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 7 : เขากับเรา (15/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 15-04-2013 20:25:42
โถ ชีวิตหนูปลาย :hao5:

เจ็บเพราะเขาไม่รักยังไม่พอ ยังต้องมาเจ็บกับเรื่องที่หลงอยู่ในมิติ เหตุเกิดจาก "มือถือเข้า" :mew5:
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 7 : เขากับเรา (15/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mind223 ที่ 15-04-2013 20:38:20
อ่าา มันเกิดอะไรขึ้น :mew2: :mew2:


อ๊ากก มาต่อไวๆ นร้าา คนอ่านจะใจขาดละ :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 7 : เขากับเรา (15/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: ๛ナーリバス๛ ที่ 15-04-2013 21:56:15
โอยยยยย

ดีใจมาก เค้ารอเรื่องนี้.....

สงสารปลาย .......ปลายก็คือปลายเหมือนกันนะ

ตอนจบเกิดไรขึ้น มันเจ็บปวดๆๆๆ


สรุปว่า ปลายที่ฌาณตามหาคือคนเดียวกันกลับปลายใข่ไหม... แต่เกิดหลังจากที่ถูกถาม...
(ยังเดาแบบมึนๆต่อไป  :monkeysad: :monkeysad:)

คนเขียนอย่าปล่อยไว้นานน้า มาต่อด้วยล่ะ เค้าจะรอออออ
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 7 : เขากับเรา (15/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 16-04-2013 15:19:05
อ่านเองเจ็บเอง
ปลายคนนี้ต้องคือปลายคนนั้นแน่เลย
แต่มันต้องมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่ทำให้ปลายคนนี้จำไม่ได้ว่าคือปลายคนนั้นที่ฌาณตามหา
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 7 : เขากับเรา (15/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Kaewkaew ที่ 16-04-2013 16:52:46
ตอนที่1-2
พึ่งเคยอ่าน เป็นเรื่องที่แปลก และแหวกกกก มากๆ =[]=
ดูน่าสนใจ คืออาจจะดูยืดยาว ? คิดว่าจะเลิกอ่านเพราะรู้สึกไม่ใช่แนวตัวเอง
แต่การวางเนื้อเรื่องที่แปลกทำให้อยากรู้และอ่านต่อ #คือมันติดดด
อ่า... อ่านต่อไปปปป ~ สนุกเหมือนกันนนน  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 7 : เขากับเรา (15/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Kaewkaew ที่ 16-04-2013 17:06:17
ตอนที่3
อึ้ยยยย น่ารักดี เค้าชอบปลายกับรัฐนะะะ
เหมือนว่าในโลกหมายเลข23นี่ ปลายรัฐหรอ ???
เออออ..... แต่ชอบทั้งคู่เบยยยยย รอติดตามตอนต่อไปจ้าาา
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 7 : เขากับเรา (15/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Kaewkaew ที่ 16-04-2013 17:16:15
ตอนที่4
หึยยยยยยยยยย เค้าสงสารฌาณอะ..
ไม่แน่อาจจะเป็นปลายคนเดียวกันก็ได้ #ห้ะ
อาจจะแบบเกิดอุบัติเหตุเสียความทรงจำ... #ไม่ใช่ละะะ
ติดตามตอนต่อไปปป
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 7 : เขากับเรา (15/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Kaewkaew ที่ 16-04-2013 17:41:12
ตอนที่5
ว้ายยยยยยย (?)
น่ารักมากลูกจ๋าาาา!!!
น้องปลายO_O
เรื่องซับซ้อนดีจริง..
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 7 : เขากับเรา (15/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Kaewkaew ที่ 16-04-2013 17:43:40
ตอนที่6
โอยย... ตามความเห็นที่ #18
บางทีการอยู่ด้วยกันก็ทำให้รู้สึก
สำหรับฌาณแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปลายไหน ยังไงก็คือปลายปะ ?
แต่แบบ ท้ายที่น้องปลายบอกว่าไม่มองแม้ว่าเขาก็คือปลายเอง นี่สิเจ็บปวด...
เหมือนค่อยๆ แสดงออกมาแล้วปะ ? ว่าปลายก็มีบางทีที่แอบหวั่นไหวอะ
แล้วถ้าเกิดต้องจากไหน เพราะปลายนี้อยู่ในโลกหมายเลข 23 ???
แต่ฌาณคนนี้ก็ไม่ได้อยู่ใน 27นี่? .... รอติดตามมม
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 7 : เขากับเรา (15/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Kaewkaew ที่ 16-04-2013 17:59:09
ตอนที่7
ปวดใจเลยอะ.. TT
สงสารปลายนะ เจ็บตามเลยจริงๆ
แบบ.. มันน่าเจ็บปวดอะ ทั้งๆที่หวั่นไหวแล้วแท้ๆ
แต่กลับไม่ใช่คนที่เขาตามหา.. ตอนนี้ชักสงสัย ?
ที่CD คุยกับ AA  ปลายคนนั้นคือปลายคนนี้ใช่หรือเปล่า?
คนที่ฌาณตามหา แล้วความรู้สึกตอนข้ามห้วงมิตินั่นคือความทรงจำที่เหลืออยู่หรือเปล่า?
อาจจะเป็นประสบการณ์ร่วมกันกับฌาณก็ได้ ? เดาาาา
แต่ต้องรอตอนต่ิอไป มาต่อเร็วๆ น้าาา รอตอนต่อไปจ้าา
สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ติดเลยจริงๆ ฮาา
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 8 : ย้อนกลับไป (18/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 18-04-2013 20:48:18
บทที่ 8
ย้อนกลับไป


 

6 เดือนก่อน

 

“ขอบคุณครับ”

ผมก้มหัวให้คุณป้าร้านผัก ก่อนจะเดินออกมาจากตลาดด้วยความอิ่มเอม ได้ผักสดราคาดีมาเยอะเลย คงพออยู่ท้องไปได้อีกหลายมื้อเนอะ

วันนี้คงเป็นวันดีที่อากาศไม่ได้ร้อนจัดจนน่ากลัวเหมือนทุกที ผมเลยสามารถเดินเอ้อระเหยผ่านไปตามซอกซอยต่างๆได้แบบไม่ต้องรีบร้อนนัก นานๆจะมีวันหยุดจากที่ทำงานพิเศษสักที ได้เจอบรรยากาศสบายๆแบบนี้บ้าง แค่นี้ก็สุขและ

ก็อยากจะให้เป็นแบบนี้ไปตลอดหรอกนะ ถ้าไม่ใช่ว่าสายตาเจ้ากรรมดันเหลือบไปเห็น ร่างเลือนลางของเด็กผู้หญิงตัวเล็กหน้าตาประหลาด ซึ่งกำลังเพ่งมองผมมาจากมุมหนึ่งของซอยที่เพิ่งเดินผ่านมา แต่เมื่อผมหันหลังกลับไปมอง ก็ไม่พบเธออยู่แล้ว....

โนวววววว!!

นี่ผมเจอผีเข้าจังๆ ตั้งแต่กลางวันแสกๆแบบนี้เนี่ยน้าาาา!!

ผมพยายามทำใจเย็นและเดินต่อ แต่! ผมกลับเจอยัยเด็กผีนั่นอีกครั้งในซอยถัดมา.. ถัดมา.. ถัดมา.. และถัดมาอีก.. เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนผมหยุดลงตรงหน้าห้องเช่าราคาถูก ที่พักอาศัยในตอนนี้ของผมเอง

“สวัสดีจ้า!”

“เหวออออ!”

เสียงแหลมสูงแบบเด็กๆดังขึ้นข้างหูของผม ทำเอาสะดุ้งจนแทบล้มลงไปกองกับพื้น มือเล็กนุ่มนิ่มตรงเข้ามาคว้าแขนของผมไว้ก่อน และเริ่มร่ายยาวเป็นบ้าลำพัง ปล่อยให้ผมยืนช็อควิญญาณออกจากร่างอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน โดยที่ไม่มีใครเดินผ่านมาช่วยเลยแม้แต่คนเดียว

“ฉันชื่อ CD เป็นเซลล์ขายทริป สามารถพานายไปที่โลกใบอื่นๆได้ และกลับมาอย่างปลอดภัย ณ จุดจุดเดิม”

นั่นคือสารเดียวที่ผมได้ฟังจากผีเด็กตรงหน้าเป็นเวลานาน เธอเอาแต่พูดถึงโลกอีก 49 ใบ และตัวผมอีก 49 คน พร้อมทั้งเสนอขายทริปบ้าบออะไรนี่อยู่ตลอดเวลา นานมากจนผมเริ่มเรียกสติกลับคืนมา และสะบัดมือเธอออกไปได้

“เดี๋ยวสิ!”

เสียงของเธอดังไล่ตามมา เมื่อผมออกตัววิ่งไปทางตึกร้างซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลนัก จำได้ว่าตอนนี้เขากำลังจะซ่อมแซมและทำเป็นสำนักงานอะไรสักอย่าง ก็คงจะมีพวกคนงาน หรือช่างก่อสร้างอยู่ละแวกนั้นที่พอจะช่วยผมได้บ้าง แต่! ผมกลับไม่เจอใครใกล้ๆตึกนั้นเลย แถมไอ้เด็กผีมันยัง วิ่ง.. ไม่สิ มันลอยตามผมมาติดๆแล้วด้วย อ๊ากกกก!!

แกร๊ง..แกร๊ง..

ในขณะที่ผมกำลังจะแกล้งตาย เสียงแปลกๆก็ดังแว่วมาจากชั้นสามของตึกร้างที่ไม่น่าจะมีใครอยู่ จะว่าไปคนงานอาจจะกำลังเก็บกวาดอยู่ด้านบนก็ได้ ดีล่ะ ผมรีบวิ่งขึ้นไปขอความช่วยเหลือดีกว่า แต่จะบอกไงดีล่ะ พี่ครับ ช่วยด้วย มีผีไล่ตามผมอยู่ อย่างนี้ดีปะ

“ช่วยด้วยครับๆ”

ผมตะโกนไปทั้งๆที่หอบอยู่ เพราะวิ่งขึ้นมาหลายชั้นแบบไม่มีพัก ก่อนจะผลักประตูผุพังตรงหน้าออกไป เผยให้เห็นผู้ชายร่างใหญ่ สามคนข้างในนั้น... แต่! ผมว่าผมยอมโดนผีหลอกจนจับไข้ ยังดีกว่าต้องมาเจอพี่สามคนนี้นะ เพราะไอ้คนพวกนี้มันเป็นเจ้าหนี้สุดโหดของผมเองน่ะสิ โธ่เว้ย!! ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะผมถูกเพื่อนห้องใกล้ๆหลอกให้ไปค้ำประกันให้ แล้วก็ดอดหนีหายไปหน้าตาเฉย จนความซวยมาลงที่ผมหมดแบบนี้ ฮืออ!

“อ้าว มาเจอเราเองเลยเรอะ” เสียงของไอ้หน้าโหดกล้ามใหญ่คนหนึ่งดังขึ้นพลางแสยะยิ้ม ทั้งสามคนลุกขึ้นโยนบุหรี่ในมือทิ้งไป และทำท่าว่าจะตรงเข้ามาหา

ผมชั่งใจอยู่ได้แค่เสี้ยววินาที ก็ตัดสินใจหันหลังกลับและถลาลงไปทางบันไดอย่างไม่คิดชีวิต เสียงน่ากลัวดังขึ้นไล่หลังมาติดๆ พ่วงมาด้วยไอ้เด็กผีเมื่อกี้ที่โผล่ออกมาจากกลางอากาศและลอยอยู่ข้างๆผมมาตลอดทาง ปากก็ยังคงเอาแต่พูดเรื่องการเดินทางห่าเหวที่ผมไม่นึกอยากจะได้ยิน

ไอ้คุณผี บางทีมึงก็ควรดูสถานการณ์บ้างอะ!!

“จะไปไหม 5 ปี จากอายุขัยเอง”

“เฮ้ย จะหนีไปไหน!”

“แค่บอกหมายเลขของโลกใบที่นายต้องการจะไปเท่านั้น”

“หยุดนะว้อย!”

ผมเริ่มก้าวขาลงจากบันไดทีละสองขั้นเพื่อเพิ่มความเร็วในการหนี เมื่อเสียงตะโกนด้านหลังดังขึ้นใกล้เข้ามา ในขณะที่เสียงงุ้งงิ้งๆข้างๆก็ยังดังไม่หยุด ทำเอาหัวของผมหมุนไปหมดด้วยความสับสน มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมขมับเพราะความปวด อีกข้างรั้งราวบันไดเอาไว้แน่น แรงกดดันมหาศาลตรงเข้าจู่โจมจนเริ่มมองไม่เห็นทางข้างหน้า บรรยากาศรอบตัวหมุนวนคล้ายว่าจะล้มลงได้ทุกเมื่อ

“ไอ้ปลาย!!”

เสียงตะคอกของหนึ่งในเจ้าหนี้สุดโหดดังขึ้นใกล้มากๆ พร้อมกับแรงลมที่ก่อตัวขึ้นหลังท้ายทอย เมื่อมือใหญ่ของมันตรงเข้าเกือบจะคว้าคอเสื้อของผมได้ ตอนนี้หัวของผมแทบจะระเบิดเต็มที จนคิดอะไรไม่ออก ความกลัวก้อนใหญ่กดทับไปทั่วร่าง พอดีกับที่เด็กหน้าตาประหลาดเมื่อครู่ ลอยมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมอีกครั้ง

“ถ้าจะไป ก็บอกตัวเลขมา”

“ฮึ่ยย!” เสียงสบถจากด้านหลังดังขึ้นอีกเมื่อพลาดในการคว้าตัวของผมเป็นครั้งที่สอง แต่ตอนนี้ผมกับเจ้าหนี้ด้านหลัง ก็ไล่ตามกันมาใกล้ขนาดแค่เอื้อมมือเดียวเท่านั้นแล้ว

ขณะที่ผมกำลังจะก้าวเท้าลงจากบันไดอีกขั้นนั้นเอง ปากของผมก็พลั้งพูดออกไปไวกว่าความคิด ถึงอย่างนั้นผมก็มองว่าดีแล้วกับการตัดสินใจครั้งนี้ ไม่อย่างนั้นผมก็คงโดนซ้อมจนตายอยู่ในตึกร้าง และกลายเป็นวิญญาณเฝ้าที่ไปแทน..

“18!”

สิ้นเสียงของผม รอยยิ้มกว้างก็เผยขึ้นบนใบหน้าแป้นๆของเด็กผีที่กำลังลอยอยู่เหนือหัว แรงกระชากบางอย่างก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่กระแสลมน่ากลัวจะพัดเอาทุกสิ่งรอบตัวหายไปหมด กว่าจะรู้ตัวอีกที ผมก็ถูกดีดเข้ามาอยู่ในสถานที่แปลกๆซึ่งเต็มไปด้วยความมืดดำ หลังจากนั้นท้องไส้ของผมก็เริ่มบิดตัวรุนแรงจนผมล้มลงไปกองกับพื้น หัวสมองปั่นปวนไปด้วยบรรยากาศประหลาดบางอย่าง

เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ ก่อนที่ร่างทั้งร่างของผมจะถูกดึงกลับมายืนอยู่บนพื้นโลกอีกครั้ง.. สัมผัสนุ่มจากเบาะหรือพรมสักอย่างเกิดขึ้นทันทีที่บริเวณฝ่าเท้าทั้งสองข้าง ดวงตาปรือลืมขึ้นช้าๆเพื่อพบกับห้องขนาดกว้างภายในคอนโดแห่งหนึ่ง การตกแต่งภายในดูเรียบง่ายแต่ทันสมัย หน้าต่างบานใหญ่เผยให้เห็นทิวทัศน์ของเมืองที่ผมอาศัยอยู่อย่างชัดเจน เตียงเดี่ยวขนาดพอดีสองคนหลงเหลือร่องรอยยับย่น ผ้าห่มถูกถีบออกไปอยู่ปลายเตียง เกิดความเละเทะขึ้นเฉพาะบริเวณนี้เท่านั้น

ผมมองสำรวจไปทั่วอย่างไม่เชื่อสายตา นี่ผมเดินทางมายังโลกอีกใบแล้วจริงๆเหรอ ไอ้สิ่งเพ้อเจ้อที่เด็กผี CD นั่นว่าเป็นเรื่องจริงเหรอเนี่ย!?

“รู้สึกว่าจะมีคนของโลกใบอื่น เดินทางมาที่นี่เหมือนกัน”

พูดถึงก็มาพอดี ผมหันไปตีสีหน้าคำถามใส่ CD ซึ่งกำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศ สายตาจับจ้องไปที่ประตูบานหนึ่ง ซึ่งผมเดาได้ไม่ยากว่าคงเป็นห้องน้ำ.. เกิดเสียงกุกกักดังลอดออกมา ไม่นานก็ปรากฏร่างของเด็กหญิงหน้าตาประหลาด ผมสองข้างมัดแกละยาวถึงกลางหลัง ก่อนจะเป็นสัดส่วนของผู้ชายวัยเจริญพันธุ์ที่โผล่ตามมาให้เห็น

เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลสวยจ้องผมกลับทันทีที่เขาโผล่ออกมาจากห้องน้ำนั้น ขณะที่เด็กผีสองตัวกำลังตรงเข้าทักทายกันอย่างสนิทสนม

“เอ่อ..”

ผมทำใจกล้าส่งเสียงออกไปก่อน ขณะที่อีกฝ่ายกลับตีสีหน้าหงุดหงิด และเริ่มไล่สายตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า เท้าจรดหัวหลายครั้ง พร้อมชักสีหน้าอยู่เนืองๆ มือใหญ่ยกขึ้นเกาหัวจนผมซอยสั้นสีดำนั้นยุ่งไม่เป็นทรง แต่ก็ยังดูดีจนน่าอิจฉา

“ว่าไงลูกค้าของ CD ฉันชื่อ JM นะ ยินดีที่ได้รู้จัก”

“อ่า..” ผมยืนใบ้แดก ทำตัวไม่ถูกเมื่อเด็กผมแกละนั่นหันมาทักทาย ในที่สุด CD ก็ต้องลอยมาผลักหัวผมเบาๆอย่างไม่สบอารมณ์นัก

“ทักทาย และแนะนำตัวกันหน่อยสิ” เธอว่าพลางยื่นหน้าไปทางผู้ชายอีกคนซึ่งยังคงตีสีหน้าเบื่อโลกเป็นที่สุด ดูเหมือนฝ่ายนั้นก็กำลังถูก เด็ก JM อะไรนี่สั่งให้เริ่มต้นบทสนทนาเช่นกัน

“เอ่อ.. ผม..ชื่อปลายนะ”

ผมพูดออกไปตะกุกตะกัก ยังรู้สึกไม่ชินกับการอยู่ที่นี่ ก็เมื่อไม่กี่นาทีก่อนผมยังวิ่งหนีเจ้าหนี้อยู่เลยนี่นะ ตอนนี้ดันโผล่มาในห้องสุดหรูกับคนแปลกหน้าซะแล้ว เวลาทิ้งช่วงไปสักพัก ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะถอนหายใจเบาๆ และยอมเอ่ยปากพูดบ้าง

“ฉันชื่อ ฌาณ”

“พวกนายจะต้องสวมบทบาทของตัวเองในโลกนี้ให้ดีด้วยล่ะ ถ้าทำชีวิตตัวเองพัง ได้จบไม่สวยแน่!”

“บทบาท? บทบาทอะไร?”

ผมตีหน้าเหรอหราหาคำตอบจาก CD แต่ไม่ทันที่ยัยนั่นจะได้ตอบ นายฌาณอะไรนี่ก็เดินผ่านหน้าผมไปหยิบกรอบรูปตั้งโต๊ะใกล้หัวเตียง ก่อนจะยกขึ้นจ่อเต็มตา ทำเอาผมเริ่มไม่แน่ใจว่าคิดถูกไหมที่หนีมาที่นี่.. เสียงเรียบเฉยของฌาณดังขึ้นชัดเจนภายในห้องแห่งนี้...

 


“ที่โลกใบนี้.. เราเป็นคนรักกัน”

--------------------------------------

ว่างปุ๊บรีบปั่นนิยายปั๊บเลย เย่!
อ่านคอมเม้นแล้ว บางคนก็เดาเก่งกันจัง 55555
คราวนี้มาติดตามกันดีกว่า ว่าความรักของสองคนนี้มันก่อตัวมาตั้งแต่เมื่อไร
ขอเปิดภาคย้อนอดีตตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปค่า ;w;

ขอบคุณทุกๆคนมากเลยนะคะ ที่อ่านที่คอมเม้น
คือดีใจจริงๆอะ มีกำลังใจขึ้นเยอะมากๆ  :hao5:
ยังไงก็ขอฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ จะพยายามแต่งออกมาให้ดีที่สุดค่ะ ;D
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 8 : ย้อนกลับไป (18/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 19-04-2013 09:11:09
สะดุ้งเฮือก

อ้างถึง
“ที่โลกใบนี้.. เราเป็นคนรักกัน”

ช็อคซินีม่า :a5: o22

สรุปว่า ทั้งคู่คงจะลืมกันสินะ??

+1+เป็ดครับ :hao3:[/color]
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 8 : ย้อนกลับไป (18/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 19-04-2013 09:58:05
เริ่มจะงงเห้ยย!!
อะไรยังไง
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 8 : ย้อนกลับไป (18/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Kaame ที่ 19-04-2013 13:09:06
อ่อออ มันเป็นแบบนี้เอง อ่านรอบแรกงง
อ่านรอบสองเริ่มเข้าใจ  ถ้าเข้าใจไม่ผิดนะ 5555

สนุกกก  o13
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 9 : ร้านดอกไม้ (23/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 23-04-2013 20:33:04
บทที่ 9
ร้านดอกไม้


 

“ไม่มีห้องว่างแล้วหรอครับ?”

“ไม่มีแล้วนะคะ ห้องเต็มหมดแล้วค่ะ” เสียงพนักงานตรงเคาน์เตอร์ของคอนโดหรูตอบกลับมา ทำเอาผมใจหายวูบ ผู้ชายข้างๆเองก็คงคิดหนักไม่แพ้กัน เพราะเห็นเขาเอาแต่ตีสีหน้าบูดบึ้งและลอบถอนหายใจอยู่บ่อยครั้ง

“งั้นขอเปลี่ยนเป็นเตียงคู่ได้ไหมครับ?”

ฌาณยื่นบัตรเครดิตออกไปพร้อมเอ่ยปากถามเสียงจริงจัง พนักงานสาวหันไปกดคอมพิวเตอร์พักหนึ่ง ก็เผยยิ้มออกมา

“ต้องรอประมาณ 4-5 วันนะคะ แล้วก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม..”

ผมเดินลากขาออกจากจากเคาน์เตอร์ ปล่อยให้ฌาณเป็นคนจัดการเรื่องเตียงเพียงลำพัง นี่คงเป็นทางเดียวที่ดีที่สุดในตอนนี้ หลังจากที่เราสองคนตัดสินใจใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ต่อ แทนที่จะรีบจรลีกลับบ้านใครบ้านมัน เหตุก็เพราะเสียดายไอ้อายุขัยตั้ง 5 ปีที่เสียไปนั่นแหละ!

แต่จะว่าไป ต้องรอตั้ง 4-5 วัน ผมว่ามันก็นานอยู่นะ สำหรับการต้องอยู่ในโลกวิปริตแปรปรวนที่ผมกับฌาณดันกลายมาเป็นคนรักกันแบบนี้ ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

ไม่นานนัก ฌาณก็เดินกลับมาบอกว่ายังไงก็ต้องรอ 4-5 วันจริงๆสำหรับเตียงคู่ ผมที่ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วจึงได้แต่พยักหน้าเข้าใจ ก่อนที่เราจะอพยพขึ้นไปนั่งแหมะกันอยู่บนห้องอีกครั้ง พร้อมความเงียบและอึดอัดที่กระจายตัวอยู่ทั่วบริเวณ

ห้องทั้งห้องถูกผมและฌาณช่วยกันค้นหาความผิดปกติที่เกิดขึ้น ว่าอะไรถึงทำให้เราต้องมาอยู่ใต้เพดานเดียวกันแบบนี้ได้ ทั้งๆที่แค่มองหน้ากันก็แทบจะสำรอกตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่รู้สึกยิ่งค้นยิ่งเจอสิ่งต่างๆที่ทำให้อยากเอาหัวโขกกำแพงตายๆไปเสียเดี๋ยวนั้น ไม่ว่าจะภาพคู่มากมาย ดอกไม้วาเลนไทน์ (ที่แห้งกรอบไปแล้ว) ของขวัญเทศกาลต่างๆ รวมไปถึงจดหมายและการ์ดเป็นร้อยใบเห็นจะได้ ส่วนข้อความบนนั้นผมไม่นึกอยากจะอ่าน เพราะมันคงไม่น่าพิสมัยนักที่ต้องนั่งอ่านข้อความรักที่ส่งถึงผู้ชายด้วยกันแบบนี้ :S

“เฮ้ออ/เฮ้ออ”

ผมกับฌาณเก็บของที่รื้อออกมาทั้งหมดกลับเข้าที่ พลางมองหน้ากันแบบเซ็งๆ เสียงถอนหายใจยาวของเราทั้งคู่ยังดังขึ้นระงมตลอดวันนั้น

ท้องไส้ผมเริ่มปั่นป่วนขึ้นมาอีกครั้งยามที่พระอาทิตย์เริ่มเคลื่อนตัวหายลับไป มันคงจะไม่เป็นอะไรเลยถ้าผมต้องนอนข้างผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง แต่ไอ้คำว่า ‘คนรัก’ และรูปคู่ภายในห้องมันกลับทำให้ผมหายใจไม่ทั่วท้องเอาเสียเลย ผิดกับคนข้างๆที่หลับไปได้สักพักแล้ว โดยมีหมอนข้างหนึ่งใบกั้นกลางเราไว้พอเป็นพิธี

เวลาผ่านไปนานพอตัว กว่าที่ผมจะยอมกลั้นใจหลับตาลงบนเตียงคุณภาพดี อย่างที่ชีวิตนี้ผมไม่มีวันหาได้ ความอบอุ่นของมวลอากาศภายในห้องราวกับเพลงกล่อมเด็กซึ่งคอยประโลมให้ผมคล้อยหลับไปได้ในที่สุด ท่ามกลางเสียงกรนเป็นหมีจากผู้ชายข้างๆ

.

.

คืนนั้นมันไม่ควรมีอะไรแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าอากาศเย็นยะเยือกจากที่ไหนไม่ทราบพัดเข้ามากระทบกายเนื้อของผมจนสั่นระริก ถึงกับต้องกระชับผ้าห่มผืนใหญ่ไว้แน่นแบบไม่เกรงใจคนข้างๆกันเลยทีเดียว แต่ดูเหมือนว่าผ้าห่มผืนเดียวจะไม่สามารถต้านความหนาวเย็นประหลาดนี้ได้ ผมเลยตัดสินใจลุกขึ้นไปหยุดอยู่ตรงหน้าแผงควบคุมของเครื่องปรับอากาศ สองคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความง่วงจัด ดวงตากลมโตของผมถูกหรี่ลงเพื่อมองตัวเลขบนหน้าจอให้ชัดเจน

17 °c

ไอ้ห่า! มึงเป็นหมีขั้วโลกหรอครับ!!

ผมรีบตวัดสายตาตำหนิกลับไปให้ไอ้หมีที่นอนสบายอยู่บนเตียง ความง่วงเมื่อครู่หายไปโดยพลัน ถามจริง หมอนี่มีมารยาทหรือความเกรงใจบ้างหรือเปล่า มีที่ไหนไหม ที่จะทำตัวเลวกับโลกด้วยการปรับแอร์ซะเย็นเฉียบขนาดนี้ ทั้งๆที่มีคนแปลกหน้ามานอนด้วยเนี่ย มันคงไม่ได้แกล้งให้ผมหนาวตายหรอกใช่มะ!?

ถึงจะโมโหแต่ก็ไม่อยากมีปัญหา ผมเลยได้แต่หันกลับมากดปรับอุณภูมิให้เป็น 25 องศาตามเดิม ก่อนจะลากขากลับไปนอนบนเตียงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สักพักต่อมาอากาศภายในห้องก็อุ่นขึ้นจนผมสามารถหลับตาสนิทได้..........ได้ไม่ทันไร ไอ้เวรข้างๆก็ลุกขึ้นไปกดปรับอุณภูมิรัวๆอีกครั้ง เสียงถี่ดังทำเอาผมใจหาย นี่มึงไม่เห็นแก่กู ก็เห็นแก่เครื่องปรับอากาศบ้าง ถามมันยังว่ามันทำงานไหวไหม??

ผมรอจนฌาณเดินกลับมานอนบนเตียงอีกครั้ง ก่อนจะเป็นฝ่ายลุกขึ้นไปกดปรับแอร์ให้กลับมาอุ่นเหมือนเดิม... เราสองคนเริ่มเปิดสงครามขึ้น และเป็นอย่างนั้นลากยาวจนถึงเช้าของอีกวัน ขอบตาดำคล้ำปรากฏชัดเจนในเวลาต่อมา ทั้งผมและเขาต่างจ้องหน้าเหมือนอยากจะฆ่ากันให้ตายระหว่างทานอาหารเช้าแบบกล้ำกลืนฝืนทนเต็มที ทำให้บรรยากาศตอนนี้ยิ่งแย่ลงไปอีก

“นายสองคนต้องไปทำงานที่ร้าน Florem ร้านดอกไม้ที่ช่วยกันสร้างขึ้นมา ในเวลา 8 นาฬิกาด้วยนะ”

“หะ?” ผมตั้งคำถามผ่านทางสายตาทันทีที่ยัยเด็ก CD พูดจบ ทำให้ JM ต้องลอยเข้ามาใกล้และอธิบายเพิ่มเติมเสียยาวเยียด

“เงินส่วนใหญ่ของพวกนายได้มาจากมรดกของครอบครัวที่ร่ำรวยอยู่แล้ว แต่พวกนายเองก็ไม่ได้กินๆนอนๆ ร่วมกันเปิดร้านดอกไม้เล็กๆอยู่ไม่ไกล ชื่อร้าน Florem มีพนักงานที่ไว้ใจได้ 2 คน ซึ่งจะเป็นคนดูแลหาซื้อดอกไม้จากตลาดและเข้ามาเปิดร้านตั้งแต่เช้ามืด ส่วนเวลาเข้าร้านของพวกนายปกติคือ 8 โมงเช้าไง”

“อย่าลืมสิว่า ห้ามทำชีวิตตัวเองพัง

ไอ้เด็กผีทั้งสองคนลอยไปลอยมา และเอาแต่ขู่คำเดิมๆ จนผมชักรำคาญจึงลุกออกจากห้องทันที โดยไม่คิดจะหันกลับไปมองผู้ชายอีกคนด้วยซ้ำ CD รีบลอยตามผมมาและทำหน้าที่นำทางไปที่ร้านดอกไม้บ้าๆนั่น เมื่อไปถึงผมก็พบว่า พนักงานที่ไว้ใจได้ 2 คนนั้นเป็นผู้หญิงหน้าตาดีทีเดียว คนหนึ่งดูโตหน่อย ผมยาวสลวยถูกรวบเป็นหางม้า หน้าตาใจดี ส่วนอีกคนถ้าไม่เด็กกว่าก็คงอายุพอกัน เป็นสาวน้อยหน้าหวาน ผมสีคาราเมลยาวประบ่าถูกดัดปลายให้เป็นทรงสวย ทั้งคู่กำลังจัดวางดอกไม้มากมายเข้าแจกันทรงต่างๆ แต่ก็ต้องหยุดกระทันหัน เพื่อต้อนรับผมซึ่งเดินเข้ามาด้วยท่าทีเก้ๆกังๆ

ร้านเล็กๆถูกประดับและตกแต่งสไตล์วินเทจ ดูเรียบหรูคุณหนูคาวาอี้พิกล ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองในโลกนี้จะแบ๊วหวานขนาดนี้เลยนะ รับไม่ได้นิดๆแฮะ นี่ผมเป็นสาวน้อยในซีรีย์เกาหลีหรือไงครับสาดดดดด

“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณปลาย”

อือหือออ ขึ้นคุณกันเลยทีเดียว ผมใหญ่มาจากไหนไม่ทราบหรอ แต่โดนเรียกแบบนี้ก็รู้สึกดีปนเขินแปลกๆแฮะ

“อะ อรุณสวัสดิ์ครับ”

ผมก้มหัวลงน้อยๆก่อนจะพาตัวเองไปหลบอยู่หลังเคาน์เตอร์สีขาวแถวนั้น พร้อมกับคำถามล้านแปดที่พุ่งเข้ามาในหัว... นี่ผมเข้ามาทำไม มาแล้วจะทำอะไร ปกติต้องทำอะไร ดอกไม้ห่าอะไรนี่ผมก็ไม่รู้จัก มีดอกแปลกๆด้วยไงล่ะดอก แล้วคุณพนักงานสองคนนี้ชื่ออะไรล่ะ ถ้าต้องเรียกจะทำยังไง อะไร ทำไม ใคร ที่ไหน อย่างไร ว๊ากกกกกกก!!

กรุ๊ง.. กริ๊งง ..

เสียงกระดิ่งสีเงินพวงยาวที่ถูกแขวนติดกับมือจับประตูดังขึ้นพอดีกับที่สติของผมกำลังกระเจิง ผู้ชายร่างสูงซึ่งกำลังแบกขี้ไว้บนหน้าก้าวเท้าเข้ามาในร้านอย่างเก้ๆกังๆไม่ต่างกับผมเมื่อครู่

“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณฌาณ”

“...”

“ทำไมไม่มาพร้อมกันล่ะคะ?” ผู้หญิงหางม้าถามขึ้นเมื่อฌาณไม่พูดอะไร แต่คำถามนี้ยิ่งทำให้เขานิ่งเฉยไปกว่าตอนแรกเสียอีก แถมยังอพยพมายืนข้างผมแล้วด้วย อ๊าก! เข้ามาทำไมวะ ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเล้ยยย

“สงสารจริงๆ จะบอกให้ก็ได้ ยัยหางม้านั่นชื่อทิพย์นะ ส่วนยัยเด็กนั่นชื่อน้ำตาล”

CD ที่ลอยอยู่ข้างๆผมมาตลอดถอนหายใจแบบหน้าหมั่นไส้ที่สุด ก่อนจะยอมบอกใบ้การใช้ชีวิตให้เล็กน้อย เอ้อ ก็ยังดีที่ช่วยอะไรได้บ้าง ไม่ใช่เอาแต่ลอยหน้าลอยตาเป็นเด็กบ้าไปวันๆ! เฮ้ยนี่ผมชักอารมณ์เสียไม่มีเหตุผลแล้วแหละ.. ก็เพราะไอ้ผู้ชายข้างๆนี่ไง ทำผมหงุดหงิดเพราะไม่ได้นอนทั้งคืน!

ไม่นะ.. คำพูดผมกำกวมมากไปละ ผมหมายถึงว่าไม่ได้นอนเพราะต้องลุกมาไฟท์กันกับการปรับแอร์ทั้งคืนนั่นแหละ สาบานได้ว่าถ้าผมเป็นแอร์เครื่องนั้น ผมจะระเบิดตัวเองให้พังๆไปเลย จบ!!

“ช่อดอกไม้ของคุณวุฒิ คุณปลายจะเป็นคนจัดเองใช่ไหมคะ?” พนักงานที่ชื่อทิพย์ยิงคำถามต่อไปหลังจากไม่ได้รับการตอบรับจากคำถามก่อนหน้า แต่คำถามนี้ทำพวกเราเงิบได้มากกว่าเดิมเสียอีก

“เอ่อ.. อะไรเหรอครับ?” ผมตีหน้าเซ่อและตัดสินใจส่งคำถามกลับไปแบบโง่ๆ ทำเอาพนักงานทั้งสองหันมองหน้ากันแบบงงๆ

“ก็ดอกไม้ที่คุณวุฒิสั่งไว้ คุณปลายบอกว่าจะเป็นคนจัดเองไม่ใช่เหรอคะ?”

“จัดดอกไม้เหรอครับ?”

“ค่ะ ก็คุณปลายเซียนสุดในหมู่พวกเราแล้วนี่เนอะ”

เซียน? คุณกล้าพูดคำนั้นออกมาได้ยังไงครับ? มองหน้าผมก่อนขอร้อง คิดว่าหน้าอย่างนี้จัดดอกไม้เป็นไหม!? ก็บอกแล้วว่าผมไม่ใช่สาวน้อยขนาดนั้น ฮือออ!!

“ดอกไม้เนื่องในโอกาสอะไรนะ?” ขณะที่ผมกำลังมึนตึบ เสียงทุ้มของผู้ชายข้างๆก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากทุกคน ก่อนที่น้ำตาลจะเป็นฝ่ายเปิดปากส่งเสียงใสๆออกมาบ้าง อุ่ย น่ารักอะ~

“ครบรอบวันแต่งงานไงคะ จำไม่ได้หรอ”

“งั้นผมทำให้เอง พอดีหมอนี่ไม่สบายน่ะ”

“หะ?” ผมตวัดสายตาไปทางฌาณทันทีที่เขาพูดจบ ผมเนี่ยนะไม่สบาย ไม่สบายอะไร ถ้าไม่สบายใจที่ต้องมาอยู่ใกล้ๆเขาก็อาจจะถูก แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่าเขาจะจัดดอกไม้เองต่างหาก ดูหน้าตาอย่างผมยังทำไม่ได้ คิดว่าไอ้หน้าเย็นชาแบบนี้จะทำได้มะให้ทาย

“อ่า..ค่ะ”

ทิพย์กับน้ำตาลตอบรับแบบงุนงง ก่อนจะเลื่อนวัตถุดิบ อุปกรณ์ต่างๆมากองอยู่ตรงโต๊ะตัวหนึ่ง ฌาณจึงเดินออกไปพ้นเคาน์เตอร์นี้และตรงเข้าไปหยิบกุหลาบสีแดงในแจกันขึ้นมาพิจารณาอย่างคนรู้ดี โอ้ยยคุณฌาณ จะไปทำดอกไม้เขาพังไหมล่ะนั่น เดี๋ยวทำไปทำมาชีวิตเราก็พังกันหมดพอดี!

“เอาอัลสโตรมีเรียมาแซมด้วยดีไหม?”

“อืมม นั่นสิ”

“สีชมพู ตูมๆหน่อยนะ”

“ค่ะ”

น้ำตาลรับคำสั่งจากฌาณก่อนจะวิ่งไปอีกฟากหนึ่งของร้านและคัดดอกไม้ช่อหนึ่งออกมา ดอกไม้กึ่งตูมกึ่งบานสีชมพูลายน้ำตาลช่อเล็กๆถูกยกออกมาวางไว้บนโต๊ะตัวเดิม ก่อนที่ฌาณจะเริ่มหยิบดอกกุหลาบสีแดงกับสีโอรสขึ้นมาจัดบนมือหนึ่งสลับไปมาอย่างชำนาญพิกล

คนตัวสูงมองช่อดอกไม้ที่เริ่มขึ้นรูปในมือตัวเอง พลางหยิบอัลสโตรมีเรียสีชมพู เบญจมาศสีเขียว ไฮเปอร์ริคั่มลูกแดงๆ กับใบพุดขึ้นแซมอย่างสวยงาม

ผมได้แต่มองภาพการทำงานตรงหน้าอย่างทึ่งๆ ไม่นานนักช่อดอกไม้ในมือของฌาณก็ขึ้นรูป เป็นบูเกต์ทรงกลมดูดีแบบไม่น่าเชื่อ ทิพย์ยื่นกรรไกรและเลื่อนสก็อตเทปเข้าไปใกล้ ฌาณรับมาโดยไม่พูดอะไรและเริ่มตัดแต่งก้านออกไป ก่อนจะดึงสก็อตเทปยาวขึ้นพันรอบก้านดอกไม้ในมือ ตามมาด้วยกระดาษสีเขียวอ่อนจากมือของน้ำตาลที่ถูกส่งไปให้ฌาณจับเข้าช่อ

ผู้ชายหน้าโหดที่ยืนจัดดอกไม้เป็นคุณนายญี่ปุ่นอยู่นั้นปิดท้ายผลงานของตัวเองด้วยริบบิ้นสีแดงสด พลางยื่นบูเกต์ที่เสร็จสมบูรณ์ไปให้ทิพย์ถือไว้ ท่ามกลางความยินดีและแอบตกใจของสองสาว ฌาณก็ไม่ลืมที่จะหันมายักคิ้วให้ผมเหมือนจงใจจะเย้ยกัน ห่าาาา ไอ้ชายใจแหววเอ๊ย แค่จัดดอกไม้เป็นนิดๆหน่อยๆอย่าคิดทำกร่างนะว้อย!!

ไม่นานนักคุณวุฒิอะไรนั่นก็มารับดอกไม้ไปด้วยหน้าตาตื่นเต้นเป็นพิเศษ และตามมาด้วยกลุ่มสาวๆที่เข้ามาชื่นชมดอกไม้นานาชนิด ก่อนที่ความเงียบจะพากันกรูเข้ามาอาศัยอยู่ในตัวร้านเป็นเวลานาน ทำให้ฌาณต้องอพยพมาช่วยสองพนักงานตัดแต่งก้านดอกไม้ต่างๆอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ซึ่งมีผมนั่งทำหน้าปั้นปึ่งอย่างคนอารมณ์เสียอยู่ ชิ นายฌาณทำตัวเป็นตุ๊ดในร่างหมีได้ดีทีเดียวนะ

ผมเลิกสนใจภาพการทำงานตรงหน้าและเริ่มก้มหน้าก้มตาไล่ดูรายชื่อลูกค้าในสมุดเล่มหนึ่ง ปล่อยให้เวลาและความเงียบดำเนินต่อไปอย่างช้าๆ นานเท่าไรไม่รู้ที่ผมเอาแต่หลุดหายเข้าไปในโลกของรายชื่อและเบอร์โทรศัพท์ กว่าจะรู้สึกตัวก็เป็นตอนที่มีดอกกุหลาบแดงดอกหนึ่งยื่นมาทิ่มหน้านั่นแหละ

“อะ..อะไร?”

ผมมองดอกไม้ในมือฌาณสลับกับใบหน้าเรียบเฉยของเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ดอกไม้นั้นจะถูกยัดเยียดมาไว้ในมือของผม ตามมาด้วยกุหลาบแดงกองโตอีกกองที่ถูกนำมาวางไว้บนเคาน์เตอร์

“ว่างมากก็ช่วยเอาหนามออก.. แต่กรรไกรมันมีไม่พอนะ”

ฌาณชูกรรไกรอันเล็กที่ไว้ตัดแต่งกิ่งขึ้น พลางหันไปมองกรรไกรอีกสองเล่มที่อยู่ในมือของทิพย์และน้ำตาล แต่มีเหรอที่ผมจะต้องไปง้อมัน ผมยื่นปากอย่างเด็กเอาแต่ใจพร้อมทั้งปัดมือของฌาณออกห่าง

“ไม่ต้องอะ ผมไม่ใช้ก็ได้”

“แน่ใจ?”

“ครับ!”

“ก็ดี”

ฌาณยักไหล่แบบไม่ใส่ใจ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่ตามเดิม เราทั้งสี่คนนั่งสนใจดอกไม้ในมือต่อไปเป็นเวลานานพอตัว เสียงกรรไกรดังขึ้นระงมทั่วทั้งร้าน ในขณะที่ผมต้องใช้มือสดๆหักหนามกุหลาบออกอย่างลำบากลำบน กว่าจะเสร็จสิ้น ทั้งมือก็เต็มไปด้วยแผลเล็กแผลน้อยหมดแล้ว แต่มันก็ไม่ได้กระทบอะไรผมนักหรอก แสบนิดๆไม่ได้เดือดร้อนอะไร ยังไงก็ผู้ชายอะนะ หึหึ

ตกเย็นวันนั้น ผมกับฌาณถูก CDกับJM บังคับให้โอบไหล่กันออกจากร้านเพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยไปมากกว่านี้ จนเมื่อพ้นสายตาจากพนักงานทั้งสอง เราก็แทบจะถีบกันออกไปทีเดียว ฌาณขอตัวแวะไปซื้อของในมินิมาร์ทล่างคอนโด ผมเลยได้ทีรีบขึ้นห้องก่อนเพราะไม่อยากเดินข้างมันนานๆอยู่แล้ว

ทันทีที่ประตูห้องเปิดออก ผมก็รีบพุ่งขึ้นไปบนเตียงนิ่มๆนั้น และคว้าหมอนข้างเข้ามากอดอย่างคนเหนื่อยอ่อน ความเจ็บยิกๆที่ปลายนิ้วยังคงมีอยู่ แต่ผมก็ปล่อยให้มันเป็นไปแบบนั้น นานจนผู้อยู่อาศัยอีกคนกลับเข้ามาพร้อมขนมปังกับกล่องอะไรบางอย่างในมือ

“ลุกๆ”

ฌาณส่งเสียงพลางดึงแขนผมให้ลุกนั่ง คิ้วสองข้างของผมขมวดมุ่นอย่างหงุดหงิด สายตาจับจ้องไปที่ขนมปังที่เขียนคำว่า ‘ไส้ถั่วแดง’ เอาไว้หราซึ่งกำลังถูกโยนลงมาบนตักของผมอย่างไม่ใยดี ตามมาด้วยกล่องแปลกๆนั่นซึ่งตอนนี้รู้แล้วว่ามันคือชุดพลาสเตอร์ยานั่นเอง

“เฮ้ย!” ผมแวดขึ้นทันทีที่ฌาณคว้ามือของผมเข้าไปเกาะกุมไว้อย่างถือวิสาสะ แม้อยากจะชักมือกลับแต่ก็ไม่ได้มีแรงมากเท่าไอ้บ้าตรงหน้านี้

“อยู่นิ่งๆดิ๊”

“โอ้ย!” คราวนี้กลับเป็นเสียงร้องเพราะเจ็บแทน เมื่อฌาณจงใจบีบมือผมแน่นขึ้น พลางใช้มืออีกข้างตบหัวผมดังป๊าบ กล่องพลาสเตอร์ถูกแกะออกพร้อมแผ่นยาลายลูกเจี๊ยบสีเหลืองอ๋อย

“น่ารำคาญจริง ต้องมาดูแลเด็กอย่างนาย”

“เอ้า แล้วใครใช้ให้คุณมาดูแลผมไม่ทราบ โอ๊ะ!”

ผมร้องขึ้นมาอีกเมื่อฌาณพันพลาสเตอร์รอบนิ้วชี้และกดแผลลงแรงๆ แต่ไม่ทันจะได้โต้ตอบต่อ สุ้มเสียงทั้งหมดก็พลันถูกดูดกลืนหายไป เมื่อรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นประหลาดซึ่งถูกส่งผ่านมาทางมือใหญ่นี้

พาสเตอร์สีฟ้าลายน้องหมีถูกแกะออกมาพันรอบนิ้วโป้งของผมอย่างเบามือ ความเย็นชาที่เคยสัมผัสมาตลอด บัดนี้ไม่มีอยู่แล้ว น่าแปลกที่พลาสเตอร์ยาลายปัญญาอ่อน สามารถทำให้ความเจ็บที่ปลายนิ้วหายไปได้อย่างรวดเร็ว...

เราสองคนผละออกจากกันทันทีที่ฌาณทำแผลให้เสร็จสิ้น เขาลุกไปเก็บพาสเตอร์นั้นในลิ้นชักใบหนึ่ง ขณะที่ผมรีบพาตัวเองให้ออกห่าง พลางแกะซองขนมปังบนตักออกเพื่อเลื่อนความสนใจ ไส้ถั่วแดงเละๆถูกแบะออกในปาก หวานเลี่ยนจนชวนอ้วก

หนึ่งวันที่ผ่านมา ผมไม่เห็นว่าจะมีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม นอกเสียจาก อุณภูมิภายในห้องที่อุ่นขึ้นจนผมอุ่นใจ ว่าอย่างน้อยคืนนี้ผมก็จะได้นอนหลับสักที...

--------------------------------------------------

 :katai4: :katai4: :katai4:

อย่าเพิ่งงงกันนะคะ
ลองคิดดูดีๆ น่าจะพอเดาได้ไม่ยาก
แต่ถ้ายังงงอยู่ ก็ต้องลองติดตามต่อไปดูก่อนค่ะ
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 9 : ร้านดอกไม้ (23/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: ๛ナーリバス๛ ที่ 23-04-2013 20:45:02
งง ค่า.... สรุปว่า ปลายจำฌาณไม่ได้เหรอ



ย้อนอดีตกลับไป ตอนนี้ ค่อยหายเศร้าหน่อย เพราะ กำลัง เกลียดกัน ฮ่าๆ

ไม่ได้ หน่วงแบบฌาณตามหาปลาย แล้วปลายหวั่นไหว แต่รู้ว่าตัวเองไม่ใช่อย่างตอนแรกๆ


ส่งกำลังใจให้ จขร. อย่าทิ้งกันนะ
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 9 : ร้านดอกไม้ (23/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 23-04-2013 21:06:04
รอลุ้นต่อไปว่าจะดำเนินไปยังไง^^
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 9 : ร้านดอกไม้ (23/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Kaame ที่ 23-04-2013 21:56:38
ฌานก็แอบใส่ใจเล็ก ๆ เหมือนกันเนอะ เรื่องอุณหภูมิ ><
แต่ไอ้ 17 องศานี่มันหนาวไปไหมพ่อคุณ 555555
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 9 : ร้านดอกไม้ (23/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 26-04-2013 07:04:52
ขอกรี๊ดแปปนะครับ

*กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด*
น่าร๊ากกก :o8:
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 9 : ร้านดอกไม้ (23/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mind223 ที่ 26-04-2013 13:49:28
อ๊ายยย!  :-[ :-[ :-[ :-[


 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 10 : เรื่องมหัศจรรย์ (28/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 28-04-2013 15:29:50
บทที่ 10
เรื่องมหัศจรรย์


 

มีตัวผู้มานอนขนาบกันแบบนั้น ต่อให้พยายามหลับยังไง สุดท้ายก็หลับได้ไม่เต็มที่อยู่ดีครับ แล้วทั้งๆที่ง่วงจะตายห่า ก็ยังถูกไอ้บ้าบางคนใช้ให้เอาดอกไม้มาส่งไกลถึงห้างสรรพสินค้าชื่อดังขนาดใหญ่ ด้านบนจะถูกจำกัดไว้ให้เป็นส่วนที่อยู่อาศัยของท่านประธาน และนั่นแหละคือจุดหมายของผมวันนี้

ช่อลิลลี่สีขาวขนาดใหญ่ราคาแสนแพงถูกประคองอย่างดีในมือเล็กๆของผม ลิฟต์แก้วพาผมไปยังชั้นที่สูงที่สุด ก่อนที่ชายในชุดดำร่างบึกบึน จะตรงเข้ามาตรวจค้นร่างกายผมเป็นการใหญ่ ขอโทษครับ หน้าตาผมดูเป็นผู้ก่อการร้ายขนาดนั้นเลยเหรอออ

“เชิญครับ”

ผมก้มหัวเล็กน้อยให้พี่บึ้มคนนั้น พลางนึกเอะใจว่าทำไมเขาถึงพูดจาดีผิดปกตินะ รู้สึกไหมว่า เขาไม่ต้องพูดจามีมารยาทกับพนักงานร้านดอกไม้ต่ำเตี้ยแบบผมก็ได้

ความสงสัยในใจแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นตกใจทันทีที่ผมเปิดประตูบานหนึ่งเข้าไป เพื่อพบว่าท่านประธาน เจ้าของห้างฯนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย แต่เป็น คุณรัฐฐา ลูกค้าประจำของร้านขนมปังที่ผมทำงานพิเศษอยู่นั่นเอง! รอยยิ้มของทั้งผมและเขาปรากฏขึ้นพร้อมกันเมื่อต่างฝ่ายต่างเห็นว่าใครเป็นใคร คุณรัฐยิ้มกว้างเดินตรงเข้ามาและทำท่าเหมือนจะสวมกอด ไม่ได้ต่างจากคุณรัฐในโลกใบเดิมของผมเสียเท่าไรเลย ทำให้ผมรู้ดีว่าควรหลีกหนีท่าทีแบบนี้ยังไง

“คุณรัฐ!” ผมร้องพลางเบี่ยงตัวหลบอ้อมแขนกว้างตรงหน้า ทำเอาคนตัวสูงเซไปหน่อยๆ ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติและเอื้อมมือมารับดอกไม้ในมือไปวางพักไว้บนโต๊ะไม้เรียบหรู

“ปลายเอาดอกไม้มาส่งให้ผมเองเลยเหรอเนี่ย” ก็เห็นอยู่ถามทำไมครับ... ผมอยากพูดแบบนั้นหรอกนะ แต่ก็ทำได้เพียงส่งยิ้มแห้งๆออกไป

“นั่งก่อนสิ”

คุณรัฐผายมือไปทางโซฟาตัวยาวภายในห้อง ก่อนจะเดินไปหยิบเงินในกระเป๋าสตางค์มาส่งให้เป็นจำนวน 3,500 บาทถ้วน คนคุ้นเคยนั่งลงข้างๆผมใกล้กันผิดปกติ มือยาวพาดลงที่โซฟาคล้ายกับจะโอบตัวผมเข้าไปก็ไม่ปาน

“คุณรัฐสั่งดอกไม้ไปให้ใครหรอครับ?”

“อะไร หึงเหรอ? ผมแค่จะเอาไปให้ลูกค้าน่ะ”

“เอ่อะ.. ครับ”

หึงอะไร ไม่ได้มีความคิดนั้นอยู่ในเซลล์สมองเลยแม้แต่นิด ก็แค่เลือกคำถามที่ดูสิ้นคิดที่สุดออกมาเริ่มต้นบทสนทนาด้วยเท่านั้นเอง เหอะๆ คุณรัฐที่โลกใบนี้ช่างเหมือนคุณรัฐที่ผมรู้จักดีจริงๆครับ คือบ้าพอกันนั่นเอง

“แล้วนี่ปลายเป็นคนจัดเองเลยใช่ไหมครับ?”

“อ้อ เปล่าครับ อันนี้ฌาณเป็นคนทำ”

“หา!? ไอ้บ้านั่นอะนะ จัดดอกไม้สวยขนาดนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไร”

“เอ่อ... ไม่รู้สิครับ”

ผมก็ตงิดๆมาตั้งแต่เห็นหน้าตื่นเต้นตกใจของสองพนักงานสาวนั่นละ ตอนนี้ยิ่งมั่นใจว่าปกติแล้วฌาณของโลกนี้คงจะไม่ได้จัดดอกไม้ เพราะดูคุณรัฐตกใจมากเหมือนผมเพิ่งบอกว่า ฌาณไปเต้นระบำฟรามิงโก้หน้าสถานทูตมายังไงยังงั้น

“แล้วนี่ไปโดนอะไร?” คุณรัฐที่เพิ่งสังเกตเห็นแผลที่นิ้ว ถือวิสาสะเข้ามาคว้ามือผมไปเพ่งดูใกล้ๆ สีหน้าเป็นห่วงแสดงออกมาชัดเจน

“แค่หนามกุหลาบครับ”

“ได้ไงกัน?”

“ผมไม่ระวังเอง ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ”

“ไอ้ฌาณดูแลปลายไม่ดี เลยปล่อยให้ปลายบาดเจ็บแบบนี้ ใช้ไม่ได้เลย!”

“เอ่อ ผมทำเองครับ ไม่เกี่ยวกับเขาหรอก”

“ปกป้องมันทุกที!” คุณรัฐขึ้นเสียงลักษณะตัดพ้อ มือใหญ่ยังคงเกาะกุมมือของผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย แม้ว่าผมจะพยายามดึงมันกลับแล้วก็ตาม

“เอิ่มมม”

“เฮ้อ! ยังรักกันดีสินะครับ”

“หมายความว่าไงครับ?”

“ก็เมื่อวานมีคนแอบเห็นปลายกับนายฌาณเดินแยกกันตอนจะขึ้นคอนโด ผมก็นึกว่าทะเลาะกันแล้วซะอีก”

เดี๋ยวนะ แล้วถ้าทะเลาะกันจริง ทำไมหน้าตาคุณรัฐดูมีความสุขล่ะครับ! นี่คุณคงไม่ได้มี Something wrong กับผม (ในโลกนี้) หรอกนะ เอ๊ะ! หรือเราจะแอบเป็นชู้กัน เออก็น่าคิด......ซะที่ไหนล่ะโว้ย!!

“เอ่อ แล้วปกติเราไม่แยกกันเลยหรอครับ?” ผมตีหน้าโง่ถามออกไป ทำเอาคุณรัฐเลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรกลับมา

“ก็ใช่ไง ตัวติดกันอย่างกับปาท่องโก๋”

“อ่า..ครับ”

“เป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย?”

“ปละ..เปล่าครับ”

คุณรัฐคงเริ่มจับความผิดปกติในตัวผมได้ เลยยิ่งขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม แถมยังเอาสายตาแปลกๆจ้องผมไม่ห่างอีกด้วย บรรยากาศกดดันดำเนินไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงเคาะประตูจะดังขึ้นช่วยชีวิตผมไว้ พี่บึ้มคนเมื่อกี้โผล่หน้าเข้ามาและเตือนว่าใกล้เวลานัดลูกค้าแล้ว คุณรัฐจึงต้องยอมผละตัวออกไป หายไปค้นอะไรบางอย่างในลิ้นชักโต๊ะ ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม และยื่นวัตถุบางอย่างมาให้

“อะไรครับ?”

“สร้อยข้อมือของปลายไง วันก่อนที่มาส่งดอกไม้ทำหล่นไว้ สำคัญมากไม่ใช่เหรอ”

“อ..อ๋อ ครับ ขอบคุณมากครับ”

ผมรับสร้อยข้อมือสีเงินวาวติดจี้รูปดอกไม้ดูแปลกตามาไว้ในมือ ก่อนจะก้มหัวลงและรีบก้าวเท้าออกไปจากห้องๆนี้ สร้อยข้อมือนั้นถูกนำออกมาพิจารณาอีกครั้งยามสัมผัสแสงแดดของวัน ยิ่งขับให้เห็นรอยสลักแสนประณีตชัดเจน ตัวอักษรภาษาอังกฤษตัว CP ที่เดาได้ไม่ยากว่าคงมากจาก ฌาณกับปลาย พาดลงไปตามแนวของตัวสร้อย จะว่าสวยก็ใช่ แต่ไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย

กว่าที่ผมจะได้ยกเรื่องสร้อยข้อมือนั้นขึ้นมาพูด ก็ปาเข้าไปตอนหัวค่ำโน้น หลังจากที่ฌาณเพิ่งเดินหัวเปียกออกมาจากห้องน้ำ พร้อมกลิ่นสบู่ฟุ้งติดตัว

“เคยเห็นสร้อยนี้ไหม?” ผมยกสร้อยขึ้นให้คนตัวสูงดู ฌาณหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะเปิดลิ้นชักโต๊ะตัวเองออกและยกสร้อยแบบเดียวกันขึ้นมา

“คงเป็นของนายกับฉันที่โลกนี้”

ผมพยักหน้ารับรู้น้อยๆ แหมมันก็ต้องเป็นของพวกเราในโลกนี้อยู่แล้วแหละ สร้อยก็อยู่ในห้องนี้ แถมสลัก CP ไว้อีก คงไม่ได้ย่อมาจาก ช็อกโกแลตพาย หรอกมั้ง!

“แล้วเคยเห็นซีดีนี่ป่าว?”

“หา อะไรอะ?” ผมตีหน้าเบื่อโลกมองไปตามมือของฌาณซึ่งหยิบกล่องซีดีใสๆขึ้นมาจากลิ้นชักนั้น ที่หน้าแผ่นไม่ได้เขียนอะไรไว้ ดูน่าสงสัยแบบฟุดๆ

“เฮ้ย จะทำอะไร??”

ผมรีบร้องออกมาเมื่อฌาณเดินเอาซีดีแผ่นที่ว่ามาใส่ในเครื่องเล่นตรงหน้า ระหว่างที่โทรทัศน์จอใหญ่กำลังแสดงตัวอักษร Read ฌาณก็รีบโยนซองขนมปังไส้ถั่วแดงบนโต๊ะมาให้ ก่อนจะทิ้งตัวลงมาบนเตียงข้างๆผมพอดี สายตาเย็นชาเหมือนทุกทีตอนนี้กลับดูเจ้าเล่ห์พิกล

“คลิปอะไรก็ไม่รู้เนอะ หึหึ”

“เฮ้ยยย..ไม่ดู ไม่อ๊าวววว!!!”

ผมโวยวายเสียงดังพลางพยายามดันร่างหนักๆของฌาณออกห่าง แต่ก่อนที่ผมจะทันได้ทำอะไรต่อ ภาพในจอโทรทัศน์ก็ปรากฏขึ้นซะก่อน เสียงหัวเราะคิกคักเมื่อครู่ของฌาณเงียบไป พอดีกับที่เสียงดนตรีคุ้นหูดังขึ้นมาแทนที่

{บนโลกนี้ มีคนเป็นล้านคน ทุกคนมีเป็นล้านใจ}

ภาพของฌาณที่กำลังร้องเพลง เรื่องมหัศจรรย์ ของโซฟา ให้กับผมซึ่งนั่งแป้นแล้นอยู่ข้างๆฟังปรากฏสู่สายตาของเราทั้งสองซึ่งนิ่งเงียบไป เสียงร้องที่ไม่เลวทีเดียวของคนข้างๆ ไม่สิ.. ของฌาณในโลกนี้ดังต่อเนื่องไปอีกหน่อย ผมก็เป็นฝ่ายหัวเราะคิกคักขึ้นมาบ้างพลางกระทุ้งศอกเข้าไปที่แขนฌาณแรงๆ จนเขาต้องส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอออกมา

“โหหห ร้องเพลงได้ด้วยเว้ย ฮ่ะๆ”

{โลกเราดูช่างกว้างใหญ่}

“ท้องฟ้าดูช่างกว้างไกล เธอแปลกใจบ้างไหม”

เสียงร้องจากปากของผู้ชายข้างๆผมดังขึ้นคลอไปตามเสียงของฌาณในจอโทรทัศน์ สองเสียงดังประสานกันอย่างลงตัว ไพเราะจนไม่อยากเชื่อหูตัวเอง อะไร๊!? เสียงดีจริงนี่หว่า ละ..แล้ว แล้วความยุติธรรมอยู่ตรงไหนอะ ทำไมไอ้หมอนี่ทำอะไรก็ดีไปหมดวะฮะ?? ชักหงิดแล้วนะ ชิชิ แถมยังร้องไปหันมามองหน้าผมไปอีก คิดจะเยาะเย้ยกันล่ะสิ เลวววว

“มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือตั้งใจ มันเกิดขึ้นจริงจริงหรือฝันไป..การที่เรานั้นได้พบกันที่บนโลกนี้

ไม่ใช่สายตาเย็นชาอย่างที่เคย ไม่ใช่สายตาเจ้าเล่ห์แปลกๆแบบเมื่อครู่ด้วย แต่ฌาณที่กำลังจ้องมองผมอยู่ในตอนนี้กลับมีสายตาเรียบเฉยจนน่าแปลกใจ เป็นสายตาอย่างเดียวที่ผมไม่ชอบเลย ไม่ชอบที่ไม่สามารถเข้าใจความหมายของมันได้เลย..

“ก็ไม่รู้จะพูดมันอย่างไร แต่หมดทั้งหัวใจที่ฉันมี ฉันเชื่อว่าสิ่งนี้...”

ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่ผมไม่ได้ยินเสียงจากจอโทรทัศน์อีกแล้ว เสียงร้องคลอเบาๆเมื่อครู่ ตอนนี้กลับดังชัดเจน บนเตียงนอนขนาดใหญ่ตัวเดียวกันนี้ ผมกับฌาณกำลังนั่งจ้องหน้ากันท่ามกลางเสียงนุ่มที่น่าฟังขึ้นมาเสียเฉยๆ มือของเราทั้งคู่วางอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่เซนฯ ปลายนิ้วของผมขยับไปเองอย่างไม่ตั้งใจหลายครั้ง ไม่รู้สาเหตุของมัน และไม่อยากจะคิดถึงมันด้วย เสียงร้องเพลงยังคงดังขึ้นต่อเนื่อง จนในที่สุดผมก็ต้องเป็นฝ่ายหลบดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยตรงหน้าเสียเอง

“คือเรื่องมหัศจรรย์ ที่เราได้พบกัน.. คือเรื่องมหัศจรรย์ ที่ฉันได้รักเธอ”

ผมหลุบสายตาลงมองมือตัวเอง ซึ่งมีมือใหญ่ของอีกคนวางราบอยู่ใกล้ๆ ปลายนิ้วของฌาณก็กระตุกไปเองหลายครั้งเช่นกัน ไม่รู้สาเหตุของมัน และไม่อยากจะรับรู้ด้วย..

เสียงร้องดังต่อไปจนจบเพลง เมื่อสิ้นเสียงของฌาณทั้งสอง ผมจึงได้ฤกษ์เงยหน้าขึ้นมองจอโทรทัศน์อีกครั้ง ซึ่งกำลังฉายภาพตัวผมเขินม้วนเป็นนางอายอย่างน่าทุเรศสิ้นดี โฮ่ ได้โปรดอย่าใช้หน้าตาของผมไปทำอะไรแบบนั๊นนน

{ปลาย...รักปลายนะ}

ร่างทั้งร่างของผมชาเกร็งไปทันทีที่ได้ยินฌาณในซีดีเอ่ยปากบอกรักตัวผมในโลกนี้อย่างน่าไม่อาย รอยยิ้มของทั้งสองคนบนจอเผยออกมาให้เห็นช้าๆชัดๆ ก่อนที่ใบหน้าทั้งคู่จะค่อยๆเคลื่อนเข้าหากัน จนผมทนไม่ได้รีบหลบสายตาไปทางอื่นและทำท่าจะลุกออกจากเตียงไป ถ้าไม่ใช่ว่าแขนของผมถูกรั้งไว้ด้วยมือใหญ่ของใครอีกคน พร้อมทั้งเสียงทุ้มซึ่งเรียกขึ้นชัดเจนอย่างที่ผมไม่นึกอยากได้ยินเลย

“ปลาย...”

--------------------------------------------

แว้บมาปั่นสุดๆ งานล้นหัวไปหมดเลยค่ะตอนนี้
จะส่งแล้วยังไม่เริ่มงี้ 55555
 :katai1:
อีก 1 อาทิตย์จะเริ่มเข้าช่วงสอบไฟนอลแล้ว เครียดตายเลย แง้~
ถ้ายังไงฝากคอมเม้น และติดตามกันด้วยนะคะ
หลังสอบจะมาต่อยาวๆเลย เฮ้!

ใครยังงงๆอยู่ ลองดูต่อไปเรื่อยๆก่อนน้า
แต่จริงๆเดาได้ไม่ยากเลยยย ><'
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 10 : เรื่องมหัศจรรย์ (28/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: ๛ナーリバス๛ ที่ 28-04-2013 15:43:37
แอร๋ยยยย ค้าง

 ฌาณจะพูดอะไร


 ปลาย....  รักปลายน้า อ๊ะเปล่า

รอเสมอ ค่ะ รอ........เธอ....
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 10 : เรื่องมหัศจรรย์ (28/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Kaame ที่ 28-04-2013 16:30:47
เขิน แอบเขินฌาน  :o8: :o8: :o8: :o8:
ตอนนี้มันดูบรรยากาศความรักอบอวลมากกก ><
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 10 : เรื่องมหัศจรรย์ (28/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 28-04-2013 17:58:03
อะไร :confuse:
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 10 : เรื่องมหัศจรรย์ (28/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 28-04-2013 18:40:18
หมายความว่า นี่คือปลายที่เขาตามหาอยู่สินะ กรรมเวร คลาดกันไปคลาดกันมา
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 10 : เรื่องมหัศจรรย์ (28/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchet ที่ 28-04-2013 18:58:43
งืมมม ทำไมเรายังหาจุดเชื่อมไม่เจอหว่าาา แต่สนุกมากค่ะ
แหวกแนวดี น่าสนใจมาก สู้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 10 : เรื่องมหัศจรรย์ (28/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 28-04-2013 21:16:00
อ๊ากกกกเขิน> <
ความหวานอบอวน
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 10 : เรื่องมหัศจรรย์ (28/04/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mind223 ที่ 09-05-2013 20:28:31
:confuse: :confuse: :confuse::confuse:
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 11 : เจ็บแปลบ (18/05/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 18-05-2013 16:10:40
บทที่ 11
เจ็บแปลบ


 

“อ..อะ อะไร!?”

ผมขึ้นเสียงสูงอย่างลืมตัว ความตกใจระคนหวาดกลัวแล่นไปทั่วร่างเพราะสิ่งที่ได้ยิน ก็แค่ฌาณที่เรียกชื่อของผมออกมาเท่านั้น แต่ทำไมมันถึงฟังดูประหลาดซะจนน่าขนลุก คงเพราะว่าเขาไม่เคยเรียกมาก่อน และเพราะว่ามันดูไม่เข้ากันเลยกับการที่คนแปลกหน้าอย่างเรา จะเอ่ยปากเรียกชื่อกันอย่างสนิทสนมแบบนี้ ฌาณค้างไปนานพอตัวจนหน้าผมเริ่มซีดชา เขาจึงยอมคลายแรงบีบที่ข้อมือออก ทำให้ผมคว้าโอกาสสลัดตัวออกมาได้

“แค่ลองเรียกดู เพราะทิพย์กับน้ำตาลเริ่มสงสัยว่าเราทำตัวแปลกไป”

“ยะ..ยังไง?”

“พวกนั้นบอกว่าปกติฉันกับนายจะเรียกชื่อของกันและกันตลอด”

“แล้วยังไงอะ”

“ฉันก็เลยลองเรียกนายว่าปลายดูไง โง่จัง”

“ฮึ่มมม”

ผมเริ่มผ่อนคลายลงและกลับมามีทีท่าเป็นปกติอีกครั้ง ไม่รู้ทำไม เหมือนจะเห็นสีหน้าคลายใจเผยออกมาจากฌาณให้เห็น คนตัวสูงขยับลงมาจากเตียงและเริ่มส่งสายตาเจ้าเล่ห์น่ารังเกียจอีกครั้ง

“ไหนลองเรียกชื่อฉันบ้างสิ นายเอาแต่เรียกฉันว่า ‘คุณ’ ตลอดเลยนี่”

“ไม่อะ”

สิ้นเสียงห้วนๆ ผมก็ตั้งใจจะแทรกตัวหนีไปเข้าห้องน้ำทันที แต่ไม่ทันจะก้าวขา มือใหญ่ของฌาณก็พุ่งเข้ามากระชากแขนผมแรงๆ จนตัวลอยไปติดอยู่กับแผงอกกว้างภายใต้เสื้อตัวบางนี้ ผมเงยหน้าขึ้นท้าทายคนตัวใหญ่ ดวงตาถมึงทึงจ้องขึ้นไปเพื่อตำหนิ แต่ดูเหมือนว่าความหงุดหงิดใจของผมจะยิ่งทำให้คนตรงหน้ารู้สึกภิรมย์เสียเหลือเกิน แทนที่จะกลัวกันสักนิด กลับยิ่งยิ้มแย้มเหมือนอารมณ์ดีนักหนา มือที่รั้งผมไว้ก็ออกแรงบีบแน่นขึ้นจนผมต้องเบ้ปากออกมาด้วยความเจ็บ

“ลองเรียกเฉยๆ ไม่ตายหรอก”

“ไม่เอา”

“ทำไมอะ?”

“ก็เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นสักหน่อย”

คือจริงๆก็ไม่ได้อะไรมากหรอกนะ แต่ที่ได้ยินฌาณกับปลายในโลกนี้เรียกชื่อกันมุ้งมิ้งงุ้งงิ้งน่ารักในคลิปนั่นแล้วอยากจะอาเจียนจริงๆ รับไม่ได้อะ แล้วถ้าต้องให้ผมเรียกชื่อฌาณบ้างมันก็รู้สึกกระดากปากชอบกล ภาพในคลิปพาลจะแวบเข้ามาในหัวอยู่ร่ำไป ไม่ไหวหรอก ผมไม่อยากแสดงบทบาทคนรักกันมากเกินไปกว่านี้อีกแล้ว

“แล้วแบบไหนถึงเรียกว่าสนิท?”

“ไม่รู้เหมือนกัน”

“...”

“ปล่อยได้แล้ว”

จังหวะที่ฌาณเงียบไป ผมก็พยายามจะสะบัดแขนออก พลางดันตัวออกห่าง แต่ดูเหมือนแรงคนธรรมดาจะสู้ควายป่าตรงหน้าไม่ได้จริงๆ แถมยิ่งผมดีดดิ้นอยากจะหลุดออกไปมากเท่าไหน ฌาณก็ดูยิ่งหงุดหงิดใจมากเท่านั้น ดวงตาเจ้าเล่ห์อย่างที่ผมเกลียดนักหนา เปลี่ยนกลับมาเป็นสายตาเย็นชาจนดูน่ากลัวอย่างที่เขาชอบทำ ผมไม่แน่ใจแล้วว่า..สายตาแบบไหนของผู้ชายคนนี้ ที่ผมนึกเกลียดกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ผมกำลังเกลียดที่เขาทำตัวแบบนี้!

“งั้นเรามาสนิทกัน”

“หะะะ!?”

เสียงร้องโหยหวนของผมดังลั่นห้องแบบไม่เกรงใจคนด้านนอก เมื่อจู่ๆฌาณก็พูดจาความหมายกำกวมออกมาหน้าตาเรียบเฉย ก่อนจะเหวี่ยงตัวผมลงไปนอนแหมะอยู่บนเตียงอย่างง่ายดาย ผมไม่ทันได้ขยับหนี เขาก็ตามลงมาคร่อมตัวผมไว้เร็วๆ และรวบแขนของผมไว้ด้วยมือเดียว ดูชำนิชำนาญกับการทำแบบนี้ผิดปกติ น้ำใสๆจากปลายเส้นผมหยดลงกระทบใบหน้าของผมหลายครั้ง ในหัวมันก้องด้วยความตกใจไปหมด ไม่เคยคิดเลยว่าผู้ชายหน้าตายคนนี้จะมีมุมที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าการปั้นหน้าโหดร้ายนั่นด้วย

“เฮ้ยย! ออกไป!!”

ผมตะคอกใส่หน้าคนด้านบนพลางดิ้นพร่านๆ ยิ่งทำเอาแรงบีบที่มือแน่นหนาขึ้นอีก ดวงตาสีน้ำตาลขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนผมใจหาย เข่าทั้งสองข้างงอตัวขึ้นตามสัญชาตญาณ แต่ฌาณก็ไม่ได้คิดที่จะขยับตัวหลบแต่อย่างใด กลับยิ่งกดตัวลงมามากขึ้นจนขาผมพับงอ เสียงทุ้มแผ่วเบากระซิบลงข้างใบหู ทำเอาเนื้อตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัวประหลาด

“ปลาย..”

“อึ๋ยย!”

แรงกายแรงใจทั่วร่างของผมถูกไหลไปกองรวมกันที่เท้าสองข้าง ก่อนที่มันจะพร้อมใจกันออกแรงถีบคนด้านบนซึ่งทำท่าจะโน้มตัวลงมาใกล้กว่าเดิมออกไป ทันทีที่ตัวฌาณกระเด็นไปพ้นตัวผม ก็เปิดโอกาสให้ผมได้ลุกขึ้นเตรียมหนี แต่ทว่า สายตาที่นิ่งเสียยิ่งกว่านิ่งของฌาณซึ่งกำลังส่งมา กลับทำให้ผมก้าวขาไม่ออก เพียงแต่เชื่อมั่นว่าเขาจะไม่ทำอะไรแปลกๆแบบนั้นอีกแล้ว

ไม่ทำอีกแล้ว เพราะเขาคงโกรธผมเข้าแล้ว..

ตอนนั้นผมก็ได้เข้าใจอะไรบางอย่างว่า สายตาแบบนี้นี่เอง ที่ผมนึกเกลียดที่สุดจากผู้ชายตรงหน้า.. สายตาไร้แวว ที่เหมือนกับคนตายแล้วแบบนี้...

คืนนั้นทั้งห้องเงียบสนิทยิ่งกว่าคืนไหน หมอนข้างหนึ่งใบที่กั้นเราไว้ยังคงทำหน้าที่ของมันได้ดีเหมือนเคย เพียงแต่คืนนี้ ผมกลับรู้สึกว่า..แค่หมอนข้างใบเดียวนั้นคงไม่พอ ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากยกกำแพงเมืองจีนมาวางกั้นเราเอาไว้เสียเลย

ไม่มีใครกล้าหันหน้าเข้าหากัน เป็นเวลานานมากเกินไป ที่ผมไม่ได้ยินเสียงกรนอ่อนๆจากผู้ชายคนข้างๆเหมือนทุกที จนต้องกลั้นใจชะโงกหน้ากลับไปมองแผ่นหลังกว้างซึ่งกำลังกระเพื่อมขึ้นเล็กน้อยตามแรงหายใจ มีอะไรบางอย่างติดค้างอยู่ภายในหัวสมองของผม อะไรบางอย่างที่อยากจะพูดออกไป แต่กลับไม่รู้ว่าคืออะไร และจะพูดมันอย่างไรดี...

สุดท้าย..ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้หลับสนิทสักที

 

วันนี้ที่ร้านบรรยากาศไม่สู้ดี เผลอๆจะทำเอาดอกไม้เฉาตายหมด ในเมื่อผมกับฌาณต่างฝ่ายต่างเงียบเข้าหากันจนพนักงานทั้งสองเป็นกังวลออกนอกหน้า แต่นั่นยังไม่เลวร้ายเท่ากับการที่คุณรัฐโดดงานมานั่งแกร่วอยู่ข้างๆผมตอนนี้ ท่ามกลางสายตาจับผิดมากมายภายในร้าน

“วันนี้ไม่ค่อยมีลูกค้าเลยเนอะ”

“นั่นสิ”

คงมีคนกล้าเดินเข้าร้านหรอกครับ ก็คุณรัฐแกเล่นขนบอดี้การ์ดหน้าโหดมายืนเรียงแถวกันด้านหน้าร้านเต็มไปหมดแบบนี้!

“งั้นวันนี้ผมเหมาหมดร้านเลย ดีไหมครับ”

“ไม่ต้องหรอกครับ” แค่ช่วยกลับๆไปซะ เห็นจะเป็นพระคุณมากกว่า..

“ง่า”

คุณรัฐส่งเสียงผิดหวังเหมือนเด็กๆ ซึ่งทำแล้วไม่ได้ดูน่ารักเหมือนพวกเด็กๆเลย พลางแกว่งเท้าไปมาภายในเคาน์เตอร์สีขาวแห่งนี้ ซึ่งมีผมนั่งเล่นคอมอยู่ข้างๆ มีทิพย์กับน้ำตาลนั่งจัดดอกไม้อยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ และมีฌาณที่กำลังลอบมองพวกเราอยู่ห่างๆจากรอยแยกตรงประตูหลังร้าน ผมรู้สึกได้ = =;;

ไอ้บ้าฌาณไม่ยอมพูดกับผมเลย ด้วยเหตุผลงี่เง่าที่ผมไม่ยอมเรียกชื่อจริงของเขาอย่างตีสนิทเท่านั้น ก็ทำไงได้อะ คนมันไม่สนิทจริงๆนี่หว่า ไม่ชิน ไม่ชอบ ไม่อยากใช้ ไม่เรียก ไม่เอา ไม่มีทางว้อย! ลองนึกภาพตามสิ ผมอยู่กับเขาภายในห้องสองคน มีรูปคู่หวานแหววของเราตั้งอยู่เต็มไปหมด ถ้าต้องมานั่งเรียกชื่อกันแบบสนิทสนมกลมเกลียวรักเดียวใจเดียวแบบนั้นมันก็คงดูน่ากลัวพิลึก --- ฌาณ วันนี้จะกินอะไรดี? ผมขออาบน้ำก่อนฌาณได้ไหม? ฌาณจะนอนแล้วหรอ? ไม่เอาน่าฌาณ อย่าทำแบบนี้สิ! --- ตายห่า แค่คิดก็สยองแล้วนะครับนะ!! เอ๊ะเดี๋ยวๆๆๆ แล้วไอ้ตอนท้ายสุดนั่นมันอะไร ฟังดูน่ากลัวโพดดดด ไม่เอาเด็ดขาดอะ!

“ปลายหอมกว่าดอกไม้ในร้านอีก”

“เฮ้ยๆ”

ผมร้องออกมาเมื่อจู่ๆคุณรัฐก็ผีเข้า ขยับเก้าอี้มาใกล้ และโน้มหน้าลงมาทำอะไรยุกยิกแถวบ่าของผมก็ไม่ทราบ ความคิดเรื่องฌาณในหัวสลายหายไปด้วยความตกใจ พอๆกับพนักงานทั้งสองที่เบิกตาโพลงไม่แพ้กัน ผิดกับคนข้างหลังซึ่งเหมือนยังไม่รู้ตัว กลับเหิมเกริมขึ้นด้วยการพักมือทั้งสองลงกับสะโพกผมซะอย่างนั้น ถ้าถามว่ารังเกียจไหม ขอตอบดังๆเลยว่ารังเกียจมาก!!

“คุณรัฐ อะไรครับเนี่ย!?”

“ก็ปลายไม่สนใจผมเลยอะ”

คนตัวสูงยื่นหน้าเข้ามาใกล้พลางเบะปากไม่พอใจ แต่คนที่ดูไม่พอใจยิ่งกว่ากลับกลายเป็นสองสาวซึ่งกำลังจับตามองเราอยู่ไม่วางตา ในที่สุดทิพย์ก็เป็นฝ่ายกระแอมไอออกมาเสียงดังอย่างจงใจ

“อะแฮ่ม คุณรัฐ ช่วยออกมาห่างๆคุณปลายด้วยเถอะค่ะ”

“ใช่ค่ะ คุณรัฐอย่าเล่นแบบนี้สิคะ คุณปลายมีคุณฌาณแล้วนะ”

น้ำตาลรีบเสริม ทำให้คุณรัฐต้องยอมผละตัวออกไป แต่สีหน้าร่าเริงเหมือนทุกทีกลับเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน สายตาดุดันของคุณรัฐเหล่มองไปยังประตูห้องหลังร้าน ก่อนจะตวัดกลับมาและลุกขึ้นยืน

“งั้นผมขอตัวกลับก่อนแล้วกัน”

“โอ๊ะ ดีครับ เดี๋ยวผมไปส่ง” ท่าทีของผมดูจะเปลี่ยนไวจนผู้ชายตรงหน้าต้องกระตุกสายตาอย่างไม่พอใจ แต่ก็ยอมให้ผมเดินตามออกไปนอกร้านเงียบๆ เงียบเกินไปอย่างผิดปกติ จนผมต้องเป็นฝ่ายชิงพูดขึ้นก่อนจะเดินถึงตัวรถสีดำวาวสุดหรู

“คุณรัฐเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”

“...”

คนตัวสูงหยุดเดินกระทันหัน และมองหน้าผมนิ่ง ไม่พูดไม่จาอะไรจนผมต้องว่าต่อไปอย่างเก้ๆกังๆ พวกบอดี้การ์ดมากมายที่เคยออกันอยู่หน้าร้าน เริ่มเดินกลับมาล้อมรอบเราทั้งคู่ไว้

“คุณรัฐโกรธทิพย์กับน้ำตาลหรอครับ?”

“.....เปล่าครับ ผมโกรธตัวเอง”

“โกรธตัวเอง.. เรื่องอะไรครับ?”

ผมตีหน้าเซ่อถามออกไป ท่ามกลางความเงียบแห่งยามเย็น แสงแดดอุ่นๆสีส้มสาดลงมาบนพื้นจนเกิดประกายสวยงามแปลกๆ คุณรัฐยิ้มพลางยื่นมือเข้ามาแตะที่แก้มของผมแผ่วเบา ทำเอาผมสะดุ้งเล็กน้อย แต่แทนที่จะผละตัวหนีเหมือนทุกที ครั้งนี้ผมกลับทำไม่ได้ เพราะรอยยิ้มบนใบหน้าของคุณรัฐตอนนี้มันเห็นแล้วน่าใจหายพิกล ก็มันดูไม่จริงใจเอาซะเลย รอยยิ้มเจ็บปวดแบบนี้น่ะ...ไม่เหมาะกับผู้ชายคนนี้เอาซะเลย

“ผมโกรธตัวเอง.. ที่ทำให้ปลายรักไม่ได้ไง”

นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ผมได้ยินจากปากของคุณรัฐในวันนี้ กว่าที่จะรู้สึกตัว รถคันหรูก็ขับออกไปลับตาแล้ว ผมยืนประมวลผลอยู่อีกนานสองนานกว่าที่ขาจะยอมก้าวกลับเข้าไปในร้านดอกไม้ เพื่อพบว่ารอยยิ้มเจ็บปวดของผู้ชายคนเมื่อครู่ ได้มาปรากฏขึ้นอีกครั้งบนใบหน้าของผู้ชายอีกคนแล้ว ฌาณที่เพิ่งเดินออกมาจากหลังร้านหยุดฝีเท้าลง และจ้องหน้าผมนิ่งด้วยสายตาเฉยเมยกว่าทุกที ท่ามกลางความเป็นกังวลของสองสาวที่แผ่ออกมามากมายเหลือเกิน

เราไม่ได้พูดอะไรกันจนถึงเวลาแยกย้ายกลับบ้าน ฌาณเป็นฝ่ายตรงดิ่งขึ้นคอนโดไปก่อน ทิ้งให้ผมอยู่เก็บกวาดร้านกับสองสาว ทำให้ผมได้รู้อะไรบางอย่างจากบทสนทนาของทิพย์และน้ำตาลว่า สมัยก่อนคุณรัฐเคยตามจีบผม(ในโลกนี้)อยู่นานหลายปี แต่สุดท้ายก็ต้องแพ้ให้กับฌาณที่มาทีหลัง และนั่นก็คงจะเป็นสาเหตุของรอยยิ้มเจ็บปวดวันนี้สินะ แต่ผมไม่ใช่คนผิดสักหน่อย ผมไม่ได้หักอกคุณรัฐแล้วไปคว้านายฌาณมาทำผัวนะ แต่เป็นไอ้ปลายในโลกนี้ต่างหาก เฮอะๆ

“กลับบ้านดีๆนะ”

“ค่า คุณปลายรีบคืนดีกับคุณฌาณนะคะ”

“อ่า.. ครับ”

ผมส่งยิ้มแห้งๆให้ทั้งสองคน ก่อนจะแยกตรงไปที่คอนโดใกล้ๆ ผมชั่งใจอยู่นานกว่าที่จะยอมไขประตูห้องเข้าไปได้ และถือว่ายังโชคดีที่ไม่ต้องเจอหน้าฌาณทันที เพราะเขาอยู่ในห้องน้ำ ไม่รู้จริงๆว่าควรจะทำตัวยังไง ทำหน้ายังไง หรือพูดอะไรดีไหม ไม่รู้เลยจริงๆ

เพราะฌาณไม่ใช่ใครทั้งนั้น ก็เลยไม่รู้ว่าเมื่อบรรยากาศมันลงเป็นแบบนี้แล้วต้องแก้ไขยังไง ต้องง้อไหม แล้วควรทำในรูปแบบไหน ก็ฌาณไม่ได้เป็นอะไรเลยนี่น่า...ไม่ใช่ทั้งครอบครัว เพื่อน หรืออะไรทั้งนั้น...

สายตาของผมเลื่อนไปหยุดที่ซองขนมปังไส้ถั่วแดงบนโต๊ะ ซึ่งไม่ใช่ของฌาณแน่นอนอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เคยซื้อมากินเองเลยสักครั้ง และมันก็ตกมาอยู่ในมือผมทุกที สายตาของผมไล่ไปเรื่อยๆอย่างหาจุดหมายไม่ได้ ในที่สุดก็จบลงตรงตู้ทรงสูงใบหนึ่งซึ่งผมไม่เคยเปิดมันออกดู แต่เมื่อจะเปิดออกมันกลับยากเหลือเกิน ราวกับถูกรั้งไว้ด้วยอะไรบางอย่าง

ผมพยายามดึงให้ตู้เปิดออกอยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็รวบรวมแรงทั้งหมดและกระชากมันออกจนได้ พอดีกับที่ตุ๊กตาหลายตัวร่วงหล่นลงมาแทบเท้า ผมตกตะลึงไปครู่หนึ่ง สายตาจับจ้องไปทั่วบริเวณภายในตู้ใบนี้.. ตุ๊กตาขนฟูหน้าตาน่ารักหลายสิบตัวถูกอัดกันอยู่ข้างใน เมื่อผมขยับเข้าไปใกล้หวังจะคว้าตัวบนสุดขึ้นมาพิจารณากลับต้องสะดุ้งเพราะเสียงแปลกๆที่ดังขึ้น

--- รักปลายนะ ---

สายตาของผมรีบกวาดไปทั่วหาที่มาของเสียง จนมาหยุดอยู่ที่เจ้าตุ๊กตาลิงใต้เท้าซึ่งกำลังถูกผมเหยียบแบนอยู่ในตอนนี้ ผมก้มลงหยิบมันขึ้นมา และลองออกแรงกดลงไปที่หน้าท้องของมันอีกครั้ง เสียงคุ้นเคยของฌาณดังขึ้นเป็นประโยคเดิมกับเมื่อครู่ ทำเอาผมร้องอ๋อ

มือของผมเอื้อมเข้าไปหยิบเจ้าตุ๊กตารูปเป็ดขึ้นมาและกดลงไปที่ท้องของมันเช่นกัน เสียงทุ้มที่ไม่ชัดเจนนักของผู้ชายคนเดิมดังขึ้น ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพียงแค่ว่าคำพูดของฌาณจะเปลี่ยนไปตามตุ๊กตาแต่ละตัวเท่านั้น ผมกดหน้าท้องตุ๊กตารูปร่างต่างๆไปเรื่อย โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าเรื่องราวของมันเป็นมาอย่างไร รู้แค่ว่าทุกครั้งที่เสียงของฌาณดังขึ้น กลับทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาได้อย่างไม่รู้ตัว และกว่าจะรู้ตัว ก็หุบยิ้มนั้นไม่ลงซะแล้ว...

--- คิดถึงที่สุดเลย ---

--- อย่าลืมกินข้าวนะ ---

--- อากาศหนาวแล้ว ดูแลตัวเองด้วย ---

--- แฟนผม แฟนผม ---

--- สุขสันต์วันเกิดครับ ---

--- ขอโทษนะ ---

เสียงฝีเท้าของคนอีกคนหยุดลงด้านหลังผมอย่างเงียบเชียบที่สุด ก่อนที่เสียงลมหายใจของเขาจะดังขึ้นแทนที่ ตุ๊กตาในมือของผมถูกวางกลับเข้าไปที่เดิม ก่อนที่เราทั้งคู่จะยืนขนาบกันอยู่แบบนั้น นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน.. นานมากจนผมต้องกลั้นใจตั้งคำถามที่ไม่ควรถามมากที่สุดออกมา

“นี่เรารักกันมากขนาดนี้เลยหรอ?” ผมคิดว่าเสียงที่เปล่งออกไปมันแผ่วและสั่นไหวกว่าปกติด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบ แต่ที่ใจหายก็คือ เสียงที่ตอบกลับมาซึ่งแผ่วเบาและสั่นไหวยิ่งกว่านั่นแหละ...

“ไม่รู้สิ แต่ที่รู้ก็คือ..”

“...”

“ฌาณกับปลายที่รักกัน... ‘ไม่ใช่เรา’

 

พจนานุกรมเล่มหนึ่งบอกไว้ว่า ‘เจ็บแปลบ’ คืออาการหนึ่งที่แวบแล่นเข้าไปในหัวใจ ก่อให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดอย่างกระทันหันและรุนแรง คล้ายกับมีอะไรมาเสียดแทงอยู่ข้างใน ผมอ่านแล้วชักจะงงๆไม่เห็นเข้าใจเลย แต่ว่าตอนนี้ผมคิดว่า...ผมเข้าใจมันดีแล้วครับ...

----------------------------------------------------------------

กลับมาแล้ว สอบเสร็จแล้ว ปิดเทอมแล้ว เยยยยยย้!
หวังว่านักอ่านคงยังไม่หายไปน้า TT
ตอนนี้แอบอวยรัฐเล็กน้อยพอเป็นพิธี 555

หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 11 : เจ็บแปลบ (18/05/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 18-05-2013 16:41:58
^
^
 :z13:
อ่านแล้วจะร้องไห้ เง้ออออ
เจ็บตามปลายเลยอ่ะตอนที่ฌาณพูดคำนั้นออกมาอ่ะ T T
หน่วงงง รอตอนต่อไป คิดถึงคนเขียนจุง รักนะจุ๊บๆ >< +1 เน้อ
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 12 : อาการรัก (24/05/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 24-05-2013 19:09:11
บทที่ 12
อาการรัก


 

“ง้อหน่อยสิคะ” เสียงน้ำตาลดังขึ้นดึงผมออกจากความเหม่อลอย ตามมาด้วยทิพย์ซึ่งกำลังยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างหาเรื่องเอาการ

“นั่นสิ ไม่รู้หรอกนะว่าโกรธอะไรกัน แต่แบบนี้มันอึดอัดรู้ไหม”

“เอ่อ.. แล้วผมควรทำยังไงดี?”

ทำไปทำมาบริเวณเคาน์เตอร์สีขาวนี้ก็กลายเป็นแหล่งปรึกษาปัญหาชีวิตไปแล้ว เมื่อพวกเราทั้งสามเริ่มสุมหัวกัน ในขณะที่ผู้ชายอีกคนเอาแต่ทำหน้าบูดเดินไปเดินมาแถวดงดอกไม้จากอีกฟากของร้าน ฌาณไม่ได้พูดจากับผมอีกตั้งแต่ที่เอ่ยคำพูดโหดร้ายแปลกๆของเมื่อวาน

ผมพยายามแล้วที่จะหาเหตุผลมากมายมาอธิบายสถานการณ์ในตอนนี้ แต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยสาเหตุแปลกๆที่ผมไม่อยากให้มันเป็นจริงทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นข้อสันนิษฐานที่ว่า เขาโกรธผมเพราะผมไม่ยอมเรียกชื่อเล่นอย่างสนิทสนมนั่น แต่มันก็ดูไร้สาระเกินกว่าจะรับไหว อีกประเด็นก็คงเป็นเรื่องที่คุณรัฐชอบเข้ามายุ่มย่ามกับผม แต่มันก็น่าขนลุกจนทนไม่ได้เหมือนกัน เพราะไม่ว่าจะเหตุผลไหน.. น้อยใจ(?) หรือ หึงหวง(??) ทั้งหมดนั่นมันล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นในกลุ่มคนที่มีความรู้สึกพิเศษต่อกันไม่ใช่หรอ ซึ่งผมก็ไม่อยากคิดมากว่าคนอย่างเขาจะมามีความรู้สึกอะไรแบบนั้นกับผมได้

“ก็ทำเหมือนทุกทีไง”

น้ำตาลตบเคาน์เตอร์เบาๆพร้อมดวงตาที่เปล่งประกายแปลกประหลาด นั่นทำเอาผมเสียวสันหลังวาบขึ้นมาแทบจะทันที สายตาแบบนี้หมายความว่าไงครับ เหมือนทุกทีนี่คือยังไง คงไม่ใช่อะไรแย่ๆหรอกนะ....

“เออจริง เดินไปขอโทษแล้วหอมแก้มเลย เดี๋ยวก็ใจอ่อนเองอะ”

ทิพย์รีบเสริม ดวงตาส่อแววประหลาดพอกัน แต่คำตอบที่ได้กลับทำเอาผมแทบหงายหลังตึง รู้สึกมึนหัวหน้ามืดขึ้นมาเสียเฉยๆ เริ่มสงสัยตงิดๆว่าปกติแล้วผมที่โลกใบนี้เป็นผู้ชายยังไงกันแน่ครับ!!

“เอ่อะ มีวิธีอื่นไหมครับ?”

“เฮ้ย อันนี้แหละเวิร์ค”

“ไม่มั้ง”

“ก็ทำมากี่ครั้งแล้วล่ะ”

ทำมากี่ครั้งแล้ว!!? โอ้ยพ่อครับแม่ครับ ผมขอโทษที่โตขึ้นมาเป็นคนแบบนี้ ผมอ่อยผู้ชาย TwT ดูเหมือนปลายในโลกนี้จะไม่ใช่คนใสๆอย่างที่ผมคิดไว้ และฌาณเองก็คงไม่ใช่เช่นกัน เหอะๆ

ผมเอาแต่หัวเราะแห้งๆให้สองสาวจนเหมือนคนบ้า จนถึงเวลาที่ลูกค้าเข้าร้าน ทั้งคู่จึงรีบจรลีไปดูแลทันที ทิ้งให้ผมนั่งแกร่วอยู่เพียงลำพัง ไม่นานฌาณก็เดินผ่านหน้าผมไปคลุกตัวอยู่ที่ห้องหลังร้านเหมือนเมื่อวานไม่ผิดเพี้ยน ผมหันซ้ายแลขวาเหมือนคนกลัวความผิด ก่อนจะตัดสินใจลุกออกจากที่นั่ง เดินตามหลังผู้ชายคนเมื่อครู่เข้าไป

“เป็นอะราย~”

ผมลองถามเสียงยานคางติดตลกพลางลากเก้าอี้มานั่งประจันหน้ากับฌาณตรงๆ แหม ทำใจดีสู้เสือไปงั้นแหละ ลึกๆนี่กลัวจนสั่นไปหมดและ ภาพของวันนั้นที่โดนจับกดลงบนเตียงยังตามมาหลอกหลอนไม่หาย คิดแล้วคล้ายจะเป็นลมทู้กกกที! แต่ก็คงต้องง้อไปตามเรื่องปะ เพราะถ้าเกิดปล่อยทิ้งไว้อย่างนี้ก็มีแต่ความอึดอัด ซึ่งไม่ใช่แค่สองสาวที่ทนไม่ได้ แต่ผมเองก็ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เหมือนกัน อีกอย่างเราก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน ถ้าต้องเงียบเป็นเป่าสากไปตลอดก็คงไม่ดีแน่ มันอาจจะทำให้ชีวิตเราพังขึ้นมาจริงๆก็ได้

“เปล่าหนิ” คนตัวสูงยอมเปิดปากพูดสักที แต่สายตาเย็นชาคู่นั้นกลับเสมองไปทางอื่นซะงั้น ผมขยับตัวเล็กน้อยพลางรวบรวมความกล้าอีกครั้ง

“โกรธหรอ?”

ไอ้ห่าปลาย! เลือกคำได้สาวน้อยมากๆ ทำไมไม่พูดว่า โกรธไร? โกรธเชี่ยไร? เป็นไรสัส? หรืออะไรแนวๆนั้นก็ได้ นี่รู้สึกจิตใต้สำนึกผมชักจะผิดเพี้ยนแล้วนะผมว่า!

“เปล่า”

เปล่าเชี่ยไร ไม่ใช่ควาย ดูออก! ถ้าเปล่าจริงก็ต้องหันมาคุยกันดีๆแล้วไหม นี่อะไร เงียบเป็นป่าช้ามาได้ตั้งสองวัน หน้าก็แทบไม่มอง อึดอัดจะตายห่าแล้วเนี่ยะ ไม่ได้แคร์นะเนี่ยไม่ได้แคร์ แต่มันแค่หงุดหงิดว้อย!!

“เปล่าบ้าไร เห็นๆอยู่”

“เปล่าจริงๆ”

“ถ้าเปล่า ก็ต้องหันมาคุยกันดีๆ”

ถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้สักสามวินาที ผมจะไม่พูดประโยคเมื่อกี้สาบานได้ เพราะตอนนี้กลายเป็นว่าผมต้องทนทำใจกล้านั่งจ้องหน้าฌาณ ซึ่งกำลังมองผมกลับเช่นกัน ดวงตาของเราประสานอยู่อย่างนั้นท่ามกลางความเงียบ กินเวลานานหลายนาที จนแอบได้ยินเสียงลูกค้าด้านนอกหายไปหมดแล้ว

“ผู้ชายที่ชื่อรัฐ... รู้จักมาก่อนเหรอ?” ในที่สุดฌาณก็เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาอันแสนจริงจังขึ้นมาก่อน แต่แค่คำถามแรกก็เล่นเอาผมสะอึก หวังได้แค่ว่าสมมติฐานก่อนหน้านี้ของตัวเองคงไม่เป็นจริง

“ก็รู้จักกันในโลกของผมน่ะ”

เกิดความวูบไหวตกใจขึ้นในดวงตาสีน้ำตาลตรงหน้า ก่อนที่ฌาณจะอ้าปากค้างอยู่ครู่หนึ่งพลางทำท่าครุ่นคิด สายตาคำถามถูกส่งมาให้ซึ่งผมไม่เข้าใจมันสักกะผีกเดียว จนเขาต้องเอ่ยคำพูดที่น่าฆ่าให้ตายออกมานั่นแหละ

“เป็นแฟนกันหรอ?”

“ไม่ใช่!!!”

“อ่า.. แล้วสนิทกันมากไหม?” ความโล่งใจบางอย่างถูกแสดงออกมาให้เห็น ก่อนที่น้ำเสียงของฌาณจะกลับเป็นปกติอีกครั้ง

“ก็ไม่นะ”

“เข้าใจละ แต่นายก็ควรจะทำตัวให้เหมาะสมหน่อยนะ ไม่น่าไปสุงสิงกับหมอนั่นมาก เพราะยังไงนายก็เป็นคนรักของฉัน.. หมายถึงในโลกนี้อะ”

“ผมรู้น่า” แม้จะไม่อยากยอมรับก็ตามเหอะ

ฌาณเงียบๆไปอีกหลังจากบทสนทนาระลอกแรกจบลง เมื่อเห็นว่าบรรยากาศรอบตัวเราสองคนเริ่มสบายขึ้น ผมก็คว้าจังหวะนี้วกกลับเข้าประเด็นหลักอีกครั้ง เผื่อว่าคำตอบที่ได้จะดีกว่าเดิม

“คุณหายโกรธแล้วใช่ปะ?” ผมถามออกไปพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่ก็โดนคนตัวสูงดึงแขนให้กลับมานั่งลงอีกครั้ง

“เดี๋ยววว JM เริ่มเตือนฉันแล้วว่านายกำลังจะทำชีวิตเราพัง”

“หา ทำไมอะ?”

“เพราะปลายที่นี่จะไม่เรียกฌาณว่า ‘คุณ’”

นั่นไง! มันเอาเข้าเรื่องนี้จนได้จริงๆ สรุปว่าความคิดของผมมันตรงทุกอย่างเลยสินะ ทั้งเรื่องที่หมอนี่โกรธเพราะคุณรัฐ และโกรธเพราะไม่ยอมเรียกชื่อเนี่ยะ ปัญญาอ่อนสิ้นดีครับ!

“นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ แต่ทิพย์กับน้ำตาลเริ่มสงสัยมากขึ้นแล้ว”

“ไม่หรอก”

“ไม่หรอกบ้าอะไรล่ะ JM บอกว่าถ้าชีวิตเราพัง ก็ต้องชดใช้ด้วยอายุขัยที่เหลือนะ!”

อ่าวเวร นี่ครบสูตรพวกเซลล์ที่หลอกขายของ แล้วใช้ช่องโหว่ของสัญญามาเล่นงานกันเลยไม่ใช่เรอะ ยัยเด็กผีพวกนั้น โผล่หน้าออกมาเมื่อไร จะด่าให้เข็ด

“เฮ้ย คิดมากไปเปล่า แค่คุณกับผมยังอยู่ด้วยกันก็ไม่มีใครสงสัยแล้ว”

“...”

เอ้า เงียบเฉยเลย พูดไรไม่เข้าหูอีกอะ ก็แค่อยากให้ใจเย็นๆ เพราะผมเองก็ไม่ได้คิดว่าแค่การเรียกชื่อจะส่งผลขนาดทำให้ชีวิตใครสักคนต้องพังทลายลงหรอกจริงไหม อะไรมันจะน่าสงสัยขนาดนั้นล่ะ นอนก็นอนด้วยกัน อยู่ด้วยกัน เจอหน้ากันตลอด 24 ชั่วโมงขนาดนี้แล้ว ยังจะเอาอะไรอีก!

แต่ดูเหมือนฌาณจะไม่ได้คิดเหมือนผมเลยสักนิด ร่างสูงถอนหายใจเหนื่อยอ่อนออกมาก่อนจะเป็นฝ่ายลุกขึ้นยืน ผมที่กำลังมองตามการเคลื่อนไหวของคนตรงหน้าถึงกับชะงักลง เมื่อเห็นว่าสายตาที่ถูกส่งมากลายเป็นสายตาโหดร้ายแบบเดียวกันกับวันนั้นไม่ผิดเพี้ยน ฌาณรีบหลบหน้าผมและก้าวขายาวๆออกไปจากห้อง ทิ้งให้ผมนั่งประมวลผลอยู่กับตัวเอง เพียงไม่กี่วินาที ขาสองข้างของผมก็ลุกขึ้นวิ่งตามออกไป ไวยิ่งกว่าความคิดเสียอีก

“คุณ!”

ผมตะโกนไล่หลัง คนที่กำลังก้าวเร็วๆไปทางเคาน์เตอร์ ซึ่งมีสองสาวยืนมองเหตุการณ์อยู่ด้วยสายตางุนงงแปลกๆ ไม่ทันที่ผมจะก้าวเข้าประชิดตัวฌาณ เจ้าเด็กบ้า CD ก็โผล่แว้บออกมาจากกลางอากาศ พร้อมตีสีหน้าตำหนิใส่ทันที

“ระดับความน่าสงสัยมีมากเกินไป ทิพย์กับน้ำตาลกำลังจะรู้ว่านายไม่ใช่ปลาย!”

“หา?” ผมส่งเสียงออกไปเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผิดกับเด็กตรงหน้าที่เอาแต่แผดเสียงดังลั่นคล้ายว่าสิ่งที่ผมทำมันผิดนักหนา

“หยุดทำชีวิตตัวเองพังได้แล้ว! หรือจะเอาอายุขัยทั้งหมดมา ก็เลือกเอาละกัน!!”

เอาจริงดิ!? เรื่องที่ฌาณเตือนผมเป็นความจริงจริงเหรอเนี่ย แล้วไงอะ ผมควรทำยังไงเล่า ก็ผมไม่ใช่ปลายของโลกนี้จริงๆนี่! แต่ว่าก็ไม่อยากเสียอายุขัยที่เหลือไปเหมือนกัน ไม่อยาก.. ไม่อยากทำให้ชีวิตของตัวเองพังด้วย

ฮึ่ยย! ผมจงใจปัดมือออกไปตรงหน้า แต่ไม่ทันจะโดนยัยเด็ก CD แม่นี่ก็ชิงหายตัวไปเสียก่อน ขาสองข้างของผมก้าวไวขึ้น ฟันแหลมๆกัดริมฝีปากล่างของตัวเองแน่นอย่างคนสับสนเต็มที มือขวาเอื้อมออกไปสุดตัวเพื่อคว้าชายเสื้อของผู้ชายตรงหน้าไว้ ก่อนที่ปากจะยอมเผยอออกอีกครั้ง พร้อมกับคำพูดที่ผมไม่อยากพูดเลยให้ตาย!

“ฌาณ!!”

คนตัวใหญ่หยุดกึกแทบจะทันที พอดีกับรอยยิ้มเล็กๆที่เผยออกมาบนใบหน้าของสองสาวพนักงาน ผมทันเห็นทิพย์ทำท่าจะเข้าไปหอมแก้มน้ำตาลเหมือนตั้งใจจะบอกใบ้อะไรบางอย่าง ก่อนที่คนที่ผมรั้งไว้จะค่อยๆหันหน้ากลับมา พร้อมแววตาที่กลับเป็นปกติเหมือนเดิม

“เอ่อ...”

ผมไม่เข้าใจเลยว่า จากคำพูดทั้งหมดที่เคยได้ยินได้ฟังมาในช่วงชีวิตนี้ ทำไมในเวลาอย่างนี้ ถึงกลายเป็นคำพูดของทิพย์เมื่อครู่ที่ดังขึ้นมาในโสตประสาท ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนน่ารำคาญ

‘เดินไปขอโทษแล้วหอมแก้มเลย’

‘เดินไปขอโทษแล้วหอมแก้มเลย’

‘ขอโทษแล้วหอมแก้มเลย’

‘ขอโทษแล้วหอมแก้ม’

บ้าเอ๊ยยย!!!

“ฌาณ ผมขอโทษ!” ผมมองหน้าคนตัวสูงเหมือนอยากจะร้องไห้แล้วรีบพูดรัวๆจนแทบฟังไม่ทัน ก่อนจะตรงเข้ากระชากคอเสื้อของเขาลงมา พร้อมหลับตาแน่นด้วยความกลัวระคนตื่นเต้น

ริมฝีปากของผมสั่นระริก ไม่กี่วินาทีต่อมามันก็ทาบลงไปกับแก้มเนียนๆของคนตรงหน้า แช่ไว้อย่างนั้นเพียงครู่หนึ่งก็รีบผละตัวออกมา เสียงหัวใจดังโครมครามจนน่าอาย กลัวว่าจะมีใครบ้างที่ได้ยิน หรือว่ามันจะกระดอนออกมาเสียตรงนี้เลยไหม ความรู้สึกแปลกๆแล่นไปทั่วร่างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ทั่วทั้งใบหน้าลามไปถึงหูของผมร้อนไปหมด มือสองข้างสั่นเป็นเจ้าเข้า ดวงตาหลุบต่ำลงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองใครทั้งนั้น ท่ามกลางความเงียบของร้านดอกไม้แห่งนี้ มีเสียงหัวเราะคิกคักหลุดลอดออกมาจากสองสาวใกล้ๆ ไม่ได้ยินคำใดจากปากของคนตัวสูงตรงหน้า

ผมกำลังจะเป็นบ้า ผมกำลังจะเป็นบ้า ผมกำลังจะเป็นบ้า ผมกำลังจะเป็นบ้า ผมกำลังจะเป็นบ้าแล้วครับ!!!! ฮือออออ!!!!!!

“หะ..หาย หายโกรธ ร..รึยัง ง?” ก่อนที่ผมจะทนยืนตรงนี้ต่อไปไม่ไหว ก็ชิงถามขึ้นซ้ำอีกครั้งด้วยเสียงที่สั่นรัว ไม่ใช่แค่เสียงที่ผมควบคุมไม่ได้ แต่ทั่วทั้งร่างกำลังสั่นไหวจนแทบจะล้มลงไปกองกับพื้น รวมทั้งหัวใจบ้าๆที่เอาแต่เต้นไม่เป็นจังหวะนี่ด้วย

ดวงตาของผมช้อนขึ้นมองฌาณที่เงียบไปนาน น้ำอุ่นๆเริ่มเอ่อขึ้นมาเพราะความอายอันเกินจะทน ริมฝีปากสั่นระริกอย่างห้ามไม่ได้ เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นที่ผมทันเห็นว่าฌาณกำลังทำหน้ายังไง แล้วหลังจากนั้นผมก็มองไม่เห็นอะไรอีก นอกจากริมฝีปากสีส้มของคนตรงหน้าที่ใกล้เข้ามา ทาบประทับลงกับริมฝีปากบางของผมอย่างอ่อนโยนที่สุด

เสียงกรีดร้องของผู้หญิงสองคนในร้านดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท เพียงครู่หนึ่งก็หายไป ไม่รับรู้อะไรอีก นอกจากความขาวโพลนภายในหัว ความอบอุ่นจากมือใหญ่ที่ประคองใบหน้าของผมไว้ กับสัมผัสประหลาดจากริมฝีปากอุ่นๆ ราวกับเวลาในร้านมันหยุดนิ่ง และสมองของผมก็คงจะหยุดลงด้วยเช่นกัน ถึงไม่ได้มีความคิดที่จะผลักคนตรงหน้าออกไป หรือแม้แต่จะผละตัวเองออกมาแบบนี้

เราค้างท่านั้นอยู่นานพอตัว จนฌาณเริ่มขยับริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่สัมผัสเปียกชื้นจะตรงเข้าแทนที่ทำเอาผมสะดุ้งโหยง ถึงกับต้องผละตัวออกมาอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ ดวงตาสองข้างเบิกโพลงมองคนตรงหน้าพร้อมกับความร้อนภายในตัวที่พุ่งสูงขึ้น น่าแปลกที่ฌาณเองก็มีใบหน้าแดงระเรื่อไม่ต่างกัน

“หายโกรธแล้ว”

สิ้นเสียงทุ้มของคนตรงหน้า ผมก็รีบจรลีหนีหายไปที่หลังร้าน พร้อมล็อคประตูแน่นหนาทันที ก่อนจะพาตัวเองไปนั่งสงบสติอารมณ์อยู่บนเก้าอี้ตัวเดิมเป็นเวลานานสองนาน มือสองข้างช่วยกันแตะเนื้อตัวส่วนต่างๆเพื่อหาความผิดปกติของร่างกายที่ร้อนขึ้นแบบนี้ สุดท้ายก็หยุดนิ้วเรียวลงกับริมฝีปากที่ยังคงร้อนจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ภาพของฌาณ สัมผัสประหลาด และคำพูดนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในสมอง พาลจะทำให้หัวของผมระเบิดอยู่เนืองๆ

บอกผมทีว่าไอ้ผู้ชายคนเมื่อกี้ไม่ใช่ผม ผมคงไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกใช่ไหม ไม่หรอก ต้องไม่ใช่แน่ๆ ผมไม่ทำอะไรแบบนั้นแน่ๆ จริงด้วย ฌาณคนเมื่อกี้ก็ต้องไม่ใช่ฌาณเหมือนกัน เพราะเขาคงไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก แล้วไอ้วิธีการง้อที่ทิพย์แนะนำมาน่ะ มันจะใช้ได้ผลกับฌาณคนนี้ได้ยังไงล่ะ นั่นไง! ก็แปลว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้มันไม่ใช่เรื่องจริงไงล่ะ! ฮ่าๆๆๆ..ฮ่ะๆๆ..ฮ่ะ...ฮึ...

ฮือออออออ!!!!!

นี่ผมทำอะไรลงป๊ายยยย!!!!???

พ่อครับแม่ครับ ผมขอโทษ! พ่อกับแม่คงจะเห็นแล้วสินะ พฤติกรรมประหลาดๆของลูกชายคนนี้ ทำยังไงดีครับ ผมขอโทษจริงๆ ผมมันไม่สมควรเกิดมาเป็นลูกผู้ชาย ผมคงทำให้พ่อกับแม่อับอายมากสินะ แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ในหัวมันขาวไปหมดเลย ผมทำตัวไม่ถูกแล้ว สับสนไปหมด สับสนจริงๆ

ผู้ชายคนนั้นน่ากลัวมากเลยครับ จู่ๆก็เข้ามาในชีวิตผม แล้วทำให้ผมกลายเป็นแบบนี้ไป...มันน่าสับสนมากเลยจริงๆ...

 

เชื่อเถอะว่าในขณะที่ผมกำลังคิดมากแทบดิ้นตายตรงนี้ ผู้ชายอีกคนกลับเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มีความสุขห่าไรมากมายก็ไม่รู้ ยิ่งทำเอาผมรู้สึกแย่เป็นเท่าตัว แล้วทุกคนรอบตัวผมก็เหมือนจงใจแกล้งผมเลย ทั้งทิพย์กับน้ำตาลก็เอาแต่ยิ้มเป็นบ้าเป็นหลัง พร้อมทั้งทำหน้าโล่งใจที่เห็นผมกับฌาณคืนดีกันแล้ว(?) แต่ที่แย่สุดเห็นจะเป็นไอ้เด็กเปรตสองตัวที่ลอยอยู่ข้างๆ ซึ่งเอาแต่แซวพวกเรามาตลอดทางกลับคอนโด แล้ววันนี้เวลามันเดินช้ากว่าปกติหรือยังไงไม่ทราบ ทำไมเดินเท่าไรก็ไม่ถึงสักที แถมยังเงียบเชียบผิดปกติอีกต่างหาก

สายลมเอื่อยๆพัดผ่านกายพวกเราไป พร้อมกับการเคลื่อนตัวช้าๆของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า แสงสีส้มในยามโพล้เพล้สาดกระทบใบหน้าของคนตัวสูงข้างๆ ทำให้ผมเผลอจ้องมองอยู่นานอย่างไม่รู้ตัว เส้นผมสีดำสุขภาพดีปลิวไปตามแรงลมอ่อนๆ ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยจ้องไปข้างหน้าด้วยแววสดใสผิดจากทุกที พร้อมกับรอยยิ้มที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าเรียวสวย แก้มเนียนๆที่ปรากฏอยู่นั้นมันนุ่มแค่ไหนตอนนี้ผมรู้ดี ลมหายใจที่พ่นออกมามันอบอุ่นแค่ไหนตอนนี้ก็เข้าใจดี

แต่สิ่งที่ไม่รู้และไม่เข้าใจ ก็คือตัวของผมเองว่าควรจะทำยังไงดี... ภายในจิตใจร่ำร้องอะไรบางอย่างที่ผมไม่อยากแม้จะยอมรับ แต่ยิ่งปิดกั้นมากแค่ไหน ก็ยิ่งทรมานใจมากแค่นั้น

อาการที่แสดงออกมาอย่างควบคุมไม่ได้เป็นหลักฐานชั้นเยี่ยมสำหรับเรื่องนี้ ฝีเท้าของเราทั้งคู่เคลื่อนไปข้างหน้าช้าลงเรื่อยๆโดยไม่ได้นัดหมาย ปลายนิ้วของผมสัมผัสถูกมือใหญ่ของอีกคนทำเอาสะดุ้งโหยง ความร้อนของยามเย็นทำให้ใบหน้าของผมร้อนผะผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง

คนตัวสูงหันมายิ้มให้ผมอย่างไร้เหตุผล มือใหญ่เอื้อมมาคว้ามือของผมไปเกาะกุมไว้แน่นทั้งๆที่ยังก้าวเดินอยู่ ผมรีบหันหน้ากลับไปมองถนนตรงหน้าอย่างเก้อเขิน เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ผมจึงยอมตอบรับแรงบีบที่มือนั่น ไม่มีรอยยิ้มใดๆปรากฏขึ้นบนใบหน้านี้ ทั้งๆที่หัวใจข้างในกำลังพองโตจนน่าอาย ถ้าเป็นไปได้ ผมก็ไม่อยากให้เขารู้เลยจริงๆ...

ไม่อยากให้รู้เลย ว่าผมกำลังดีใจ..ที่ได้เดินจับมือกันไปแบบนี้.....

 

“คุณคะ!” เสียงพนักงานคอนโดดังขึ้นเพื่อเรียกพวกเราให้ออกจากภวังค์ เธอเดินตรงเข้ามาหน้าตาต้อนรับแขก พร้อมทั้งชี้แจงเสียงใส

“เตียงคู่ที่สั่งไว้ ได้แล้วนะคะ จะให้จัดการห้องให้เลยไหมคะ?”

“อ่า...”

ผมเป็นคนแรกที่ส่งเสียงออกไป เรียกความสนใจจากคนข้างๆ เราหันมาสบตากันอยู่เพียงครู่หนึ่ง ก่อนที่ฌาณจะสูดหายใจเข้าลึกๆและตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสุขใจเสียเต็มประดา ผิดกับรอยยิ้มที่หุบลงของคุณพนักงานแสนสวย ซึ่งดูเหมือนต้องเหนื่อยใจกับการรับมือลูกค้าประเภทนี้

“ขอโทษครับ แต่เราไม่เอาเตียงคู่แล้ว”

ฌาณพูดออกไปแบบไม่กลัวโดนด่า พร้อมทั้งกระชับมือของผมให้แน่นขึ้น เราสองคนต้องเดินไปเคลียร์เรื่องเตียงและเงินกับคุณพนักงานอีกพักใหญ่ๆ โดยที่ฌาณเป็นฝ่ายจัดการทุกอย่าง ในขณะที่ผมได้แต่นิ่งเงียบ พลางเหลือบตามองมือสองข้างของเราที่เกาะกุมกันไว้ไม่ปล่อย รอยยิ้มเล็กๆกระตุกขึ้นที่มุมปาก พร้อมทั้งความรู้สึกอบอุ่นประหลาดที่ชัดเจนขึ้นจากภายใน

ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า...ผมถูกรั้งไว้ด้วยมือใหญ่ข้างนี้ จนขยับไปไหนไม่ได้

หรือถูกรั้งไว้ด้วยผู้ชายคนนี้ จนไปไหนไม่รอดกันแน่ ?


---------------------------------------

ทำไมตอนนี้ปลายมันเคะจัง 5555
ยอมรับซะที ว่าชอบเขาตั้งนานแล้ว อุฮิ =w=
ฌาณน่ารักเนอะ รู้สึกแต่งเองชอบเอง xD
ชอบที่บอกว่าไม่เอาเตียงคู่แล้วอะ ทำไมไม่รู้ ชอบมาก 5555

มีใครยังงงอยู่ไหม ลองเดาๆไปเรื่อยๆนะ
ในเด็ก-ดี ก็งงเหมือนกัน 5555
คือแบบ อย่าเพิ่งงง~~
ลองอ่านทวนตอนท้ายของบทที่ 7 แล้วมาเชื่อมกับชื่อตอนของบทที่ 8 ก็น่าจะพอเดาออกเลยนะนั่น
แต่ถ้ายังไม่แน่ใจ ลองติดตามต่อไปก่อนค่ะ มีเคลียร์แน่นอน ;D
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 12 : อาการรัก (24/05/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 24-05-2013 20:12:39
ตอบสองตอนรวด ตอนแล้วไม่อ่านเพราะชื่อตอน กลัวมาม่าง่ะ  :ling3:

ตอนนี้อิหนูปลายอิอ๊างมากจ้ะเธอว์ :o8: เขินแปป :-[
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 12 : อาการรัก (24/05/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Monochrome ที่ 25-05-2013 06:40:29
เพิ่งมาอ่านครับ.................พล็อตแปลกใหม่แต่น่าสนใจมาก  รอๆ
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 12 : อาการรัก (24/05/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 25-05-2013 08:38:04
เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างแล้วถ้าเดาไม่ผิดนะ อิๆ
ปายน่ารักอ่า
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 13 : เพลงของเรา (28/05/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 28-05-2013 19:18:38
บทที่ 13
เพลงของเรา


 

‘ไม่พบคำที่คุณค้นหา’

ผมนั่งงงอยู่ในห้องของคอนโดเป็นเวลานานหลายนาทีแล้ว วันนี้เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ของทางโลกนี้ครับ ผมกับฌาณเลยได้โอกาสพักบ้าง หลังต้องแหกขี้ตาไปทำงานที่ร้านดอกไม้หลายวัน ผมเลือกที่จะนั่งเล่นคอมพิวเตอร์ไปเรื่อย พยายามค้นหาเพลงที่ผมชอบฟังประจำ แต่กลับต้องแปลกใจที่หาเท่าไรก็ไม่พบ ไม่พบแม้กระทั่งศิลปินที่ร้องเพลงนั้นด้วยซ้ำ

“ทำอะไรอะ?” ขณะกำลังหงุดหงิดได้ที่ ฌาณก็เดินออกมาจากห้องน้ำและมาหยุดอยู่หลังเก้าอี้ แขนยาวๆพาดลงกับบ่าทั้งสองข้างของผม พร้อมทั้งยืนหน้าเข้ามาใกล้ ผมจึงรีบหันกลับไปมองด้วยสายตาตำหนิ

“ล้างมือยัง”

“ยัง” ไอ้เวรฌาณพูดติดตลกพลางใช้มือสองข้างอุดจมูกอุดปากผมเอาไว้แน่น หดกด่าสว มากนะคุณมึง!!

“อื้อออ!”

“ฮ่าๆๆ แล้วสรุปทำอะไรเนี่ย?” กลิ่นสบู่ล้างมือจางๆค่อยๆถอนตัวออกไป พอดีกับที่ฌาณหันไปลากเก้าอี้แถวนั้นมานั่งใกล้ๆ สายตาอยากรู้อยากเห็นจ้องมองอยู่ที่จอคอมพิวเตอร์เครื่องบาง

“จะหาเพลงฟัง แต่หาไม่เจอ”

“อ่าว เพลงไรล่ะ?”

“ฉันคิดถึงเธอ ของโปเตเต้” คนตัวสูงมองหน้าผมพร้อมขมวดคิ้วมุ่น สายตาส่อแววครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนจะว่ากลับมาด้วยน้ำเสียงงุนงง ที่ทำเอาผมสับสนกว่าเดิม

“อะไรนั่น? ไม่เห็นเคยได้ยินเลย”

“เฮ้ย!?”

“โปเตโต้คืออะไร? มันฝรั่ง?”

“บ้าาา! อย่ามากวนตีน วงโปเตโต้ไง เพลงเขาดังๆทั้งนั้น แต่นี่มันแปลกๆ ผมหาเท่าไรก็ไม่เจอ”

“ปลาย ฉันไม่คิดว่าเคยรู้จักวงโปเตโต้อะไรนี่จริงๆ”

เฮ้ยยยย?? เอาจริงดิ ไม่ใช่แค่โลกใบนี้ที่แปลก แต่ฌาณก็แปลกเหมือนกันงั้นเหรอ จะไม่เคยรู้จักได้ไงอะ ต่อให้ไม่ใช่สายดนตรีหรือไม่ชอบฟังเพลงก็ตาม ยังไงก็ต้องเคยได้ยินบ้างและวะดังขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่รู้จักวงนี้ แล้วนี่อะไร??

“ตลกกก!”

“บางที โลกของฉันอาจจะไม่มีศิลปินวงนี้นะ”

“จริงดิ!?”

ผมพยายามคิดตามสมมติฐานที่พอฟังขึ้นของฌาณ คิดไปคิดมาก็ดูเหมือนต้องยอมรับ ก็มันมีโลกอยู่ตั้ง 50 ใบนี่เนอะ แต่ละที่ก็แตกต่างกันไป ไม่ได้เหมือนกันเลยซะทีเดียว แสดงว่าโลกของฌาณกับโลกใบที่ 18 นี้ ไม่มีวงโปเตโต้เกิดขึ้นมา จึงทำให้ไม่มีเพลง ฉันคิดถึงเธอ ซึ่งผมชอบมากไปด้วย แย่แฮะแบบนี้ =3=

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็น่าเสียดายมากๆ วงนี้ทำเพลงดีนะ แล้วเพลงฉันคิดถึงเธอ ผมก็ชอบมากเลยด้วย”

“หรอ แล้วมันร้องไงล่ะ?”

“อะแฮ่มม เพลงนี้มันสั้นๆนะ” ผมยืดอกและสูดหายใจเข้าลึกๆ มั่นใจมากแม้เสียงห่วย ฮ่าๆ ส่วนอีกฝ่ายก็ดูท่าตั้งใจฟังเต็มที่ หลังจากพ่นลมหายใจออก ผมก็เริ่มขับร้องเพลงโปรดของตัวเองขึ้นภายในห้องที่เงียบเชียบแห่งนี้

“ไม่ใช่เธอคนเดียวที่รอฉัน แต่ฉันก็รอเธอเหมือนกัน.. ไม่ใช่ตรงนั้นที่เดียวที่เงียบงัน ตรงนี้ก็เหงาจับใจ~”

ฌาณนั่งฟังผมร้องไปก็ยิ้มไป จากที่ผมมั่นใจในตอนแรก พอเห็นงี้เลยพาลทำให้เขินขึ้นมาซะเฉยๆ เสียงที่ไม่ได้ดีเด่อะไรอยู่แล้วก็เลยยิ่งเพี้ยนเข้าไปอีก จนคนตรงหน้าถึงกับพยายามกลั้นหัวเราะให้เห็น

“ฉันคิดถึงคืนวันเก่าๆ ที่เรามองตา ที่เราชิดใกล้.. ไม่ใช่เธอคนเดียวที่เหงาใจ ใจฉันก็คิดถึงเธอเหมือนกัน~”

ผมแกล้งไอกลบเกลื่อนความเขินหลังจากเร่งจังหวะให้มันจบๆเพลงไป ทำเอาคนตัวใหญ่หลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้ พลางยื่นมือมาขยี้หัวผมเล่นซะสนุกมือ

“ไม่เพราะเลยอะ ฮ่ะๆ” ไม่ใช่ตัวเพลงหรอกที่ไม่เพราะ ผมรู้ว่าหมอนี่ตั้งใจจะบอกว่าเสียงผมมันไม่เพราะ ฮึ!

“ขอโทษ!!” ผมทำปากยื่นเหมือนเด็กเอาแต่ใจ ฌาณคงหมั่นไส้เต็มทนจึงเปลี่ยนจากขยี้หัวมาดึงแก้มผมแรงๆแทน มันคงแรงมาก.. จนหน้าผมแดงขนาดนี้...

“แต่ก็ยังอยากได้ยิน”

“มะ…ไม่ร้องแล้ว!”

“ฮ่าๆๆ”

ผมกุลีกุจอคว้ากระเป๋าสตางค์และกระแทกเท้าปึงปังออกไปจากห้องเพื่อซ่อนความเขินอาย เสียงหัวเราะน่าหมั่นไส้ของอีกคนยังดังตามมาให้ได้ยิน ฮึ่ยย นายฌาณบังอาจมาหัวเราะเสียงร้องของผม แล้วยังพูดจาประหลาดแบบนั้นอีก นี่เราชักจะสวมบทบาทฌาณกับปลายบนโลกใบนี้ได้ดีเกินไปหน่อยมั้ง!

ตึ๊ง ตึ่งง~

เสียงประตูของมินิมาร์ทล่างคอนโดเลื่อนเปิดออก พร้อมกับที่รอยยิ้มต้อนรับของพนักงานด้านในถูกส่งมาให้ ผมก้มหัวเล็กน้อยพอเป็นพิธี และรีบก้าวไปหยุดอยู่ที่หน้าชั้นวางขนมปังยี่ห้อดัง หลังจากดูๆอยู่พักหนึ่งก็ตัดสินใจหยิบเอาขนมปังไส้ครีมมาไว้ในมือเสียมากมาย

“อ้าว ไม่ซื้อขนมปังไส้ถั่วแดงหรอ?”

พนักงานหญิงวัยกลางคนมองหน้าผมสลับกับสินค้าบนเคาน์เตอร์ด้วยสีหน้าแปลกใจ แต่ผมมากกว่าที่ควรแปลกใจ ก็ไอ้การที่ผมจะซื้อขนมปังไส้ครีมที่ตัวเองชอบกินมันผิดด้วยเรอะ ทำไมต้องยัดเยียดไส้ถั่วแดงเละๆนั่นให้ผมด้วย

“เอ่อ?”

“ก็ปลายชอบขนมปังไส้ถั่วแดงนี่ วันก่อนป้ายังเตือนเจ้าฌาณให้ซื้อกลับไปอยู่เลย”

คุณป้าพนักงานยิ้มเอ็นดู แต่ก็ยอมหยิบขนมปังไส้ครีมไปคิดเงินแต่โดยดี ผมได้ยินเธอพึมพำประมาณว่า ผมคงอยากลองเปลี่ยนรสชาติดู แต่ผมก็ไม่ได้สนใจมันเท่ากับประโยคก่อนหน้าที่บอกว่า ‘วันก่อนป้ายังเตือนเจ้าฌาณให้ซื้อกลับไปอยู่เลย’ นี่คือเหตุผลที่ผมต้องทนกินขนมปังไส้ถั่วแดงมาตั้งหลายวันน่ะเหรอ

เพราะเขาคิดว่าเป็นของที่ผมชอบกินงั้นเหรอ...?

บ้าชิบ! ไอ้ผู้ชายคนนั้น ทำให้ผมต้องมายืนกลั้นยิ้มเป็นบ้าอยู่ในมินิมาร์ทคนเดียว!! บ้า! บ้า!! ถ้ากลับขึ้นไปเจอหน้าเมื่อไร พ่อจะด่าซะให้เข็ด คอยดู!

ผมยืนหูแดงอยู่ได้ไม่ทันไร คุณป้าก็สะกิดให้ผมจ่ายเงินและรับสินค้าไป เมื่อออกมาพ้นมินิมาร์ทเล็กๆนั่น ผมก็รีบพาตัวเองกลับขึ้นไปบนห้องซึ่งมีไอ้บ้าคนหนึ่งคอยอยู่

ปุ้บบ!

สิ่งแรกที่ผมทำหลังจากเปิดประตูเข้ามา ก็คือการขว้างซองขนมปังไส้ครีมเข้ากระแทกหน้าผู้ชายบนเก้าอี้ ก่อนที่ฌาณจะร้องออกมาเล็กน้อยพลางลูบจมูกตัวเองป้อยๆ คนตัวใหญ่หยิบซองขนมปังที่ร่วงไปอยู่บนตักขึ้นมาพิจารณา ก่อนจะฉลาดขึ้นมาเล็กน้อยด้วยการเปิดปากถามคำถามที่สมควรถามตั้งนานแล้ว

“ปลายชอบขนมปังไส้ครีมเหรอ?”

“เออสิ เลิกคิดว่าผมชอบไส้ถั่วแดงห่าเหวนั่นได้แล้ว!”

“ก็ไม่รู้นี่” ฌาณส่งเสียงน้อยใจเป็นเด็กๆพลางโยนซองขนมปังในมือกลับมา

ตลอดวันนั้นเรานั่งคุยกันถึงของที่ชอบกับไม่ชอบ ค่อยๆเรียนรู้ซึ่งกันและกันไปเรื่อยๆ ได้ยิ้มได้หัวเราะ ได้มีเวลาร่วมกันแบบจริงๆจังๆบ้าง เรียกว่าสวมบทบาทของพวกเราทั้งคู่ในโลกนี้ได้อย่างดีเยี่ยม บทบาทที่เคยนึกรังเกียจเมื่อแรกรู้ แต่กลับดูเหมือนพรหมลิขิตอะไรบางอย่าง อายุขัย 5 ปีที่เสียไปผมไม่เสียดายเลย ถ้าผมไม่ได้ข้ามมายังโลกใบนี้ ผมคงนอนตายอยู่ในตึกร้างแห่งนั้น และเราก็คงไม่ได้พบกัน ไม่ได้มาผูกพันกันแบบนี้ :)

 

เช้าวันถัดมา ผมก็แทบเป็นบ้าเมื่อถูกสายตากรุ้มกริ่มจากสองสาวพนักงานจับจ้องไม่ห่าง ฌาณรั้งมือเล็กๆของผมไว้แน่น ไม่ได้สะทกสะท้านต่อสายตาหรือคำพูดใดเลยแม้แต่น้อย ผิดกับผมที่ใบหน้าและหูแดงไปหมดด้วยความเขินอาย ก็ถ้าเราจะเป็นคนรักกันได้สมบทบาทขนาดนี้ ทำไมไม่มาขอผมแต่งงานซะเลยล่ะ โว๊ะ!

“ดีใจจัง กลับมาดีกันแล้ว” น้ำตาลเป็นคนแรกที่เปิดปากขึ้นก่อน ตามมาด้วยรอยยิ้มกว้างจากทิพย์ รวมไปถึงเสียงหัวเราะคิกคักจากไอ้เด็กผีอีกสองตัว ที่กำลังลอยอยู่ใกล้ๆด้วย

“งั้นวันนี้คุณปลายจะจัดดอกไม้เองไหมคะ?” น้ำตาลยิงคำถามต่อมา ซึ่งทำเอาทั้งผมและฌาณสตั๊น เราหันมองหน้ากันแวบหนึ่ง ก่อนที่คนตัวใหญ่จะเป็นฝ่ายแก้สถานการณ์ให้เหมือนทุกที

“เดี๋ยวผมทำเอง ให้ปลายพักเถอะ”

“อ้าว เป็นอะไรคะ!?”

แหม ผมควรจะดีใจสินะที่มีลูกน้องดีขนาดนี้ เพราะแค่ฌานพูดแบบนั้น ทั้งทิพย์กับน้ำตาลก็รีบเปลี่ยนสีหน้าและทำท่าจะเข้ามาประคองผมไว้ มือของทิพย์เอื้อมเข้ามาเกือบจะแตะตัวของผมได้ ถ้าไม่ใช่ว่าฌานรีบรั้งผมเข้าไปใกล้เสียก่อน แถมยังเปิดปากพูดในสิ่งที่แย่เกินจะรับได้ อ๊ากกกก

“ก็เมื่อคืนไม่ได้นอนเลยนี่”

โนววววว!!! ทำไมต้องพูดจาสองแง่สองง่ามพร้อมตีสีหน้ากรุ้มกริ่มแบบนั้น แถมยังหันมายิ้มแปลกๆให้ผมอีก ไอ้ฌานนะไอ้ฌาณ! ชักจะได้ใจมากไปและ!

“พูดอะไ..อุ๊บ”

ไม่ทันที่ผมจะได้ขึ้นเสียงเถียงออกไป มือใหญ่ของฌานก็ตรงเข้าปิดปากผมไว้ พร้อมกับลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารดลงมาบนหัว ดูเหมือนเขาจะพยายามทำให้ผู้หญิงสองคนในร้านหัวใจวายตาย เพราะเมื่อฌาณฝังจมูกลงมาที่ขมับของผมอย่างถือวิสาสะ ทิพย์กับน้ำตาลก็แทบจะหลุดเสียงกรี๊ดออกมา ใบหน้าสองสาวขึ้นสีแดงระเรื่อ จนผมชักไม่แน่ใจว่าในสถานการณ์อย่างนี้ ผมควรจะเป็นฝ่ายเขินกว่าไหม??

“ไปนั่งพักไป”

สุดท้ายผมก็ถูกกระชากลากถูให้มานั่งจุมปุกอยู่หลังเคาน์เตอร์เหมือนทุกที สายตาโกรธเคืองจับจ้องไปที่เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลซึ่งกำลังขึ้นช่อดอกไม้สำหรับลูกค้าวันนี้อย่างชำนาญ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจสายตาดุๆของผมเลย กลับยิ่งยิ้มกว้างเหมือนมีความสุขมากมายอย่างนั้นแหละ เฮอะ ไอ้เลว เอาแต่แกล้งคนอื่น… แต่จะว่าไปไอ้ตัวเราเองมันก็บ้าเหมือนกัน ที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากส่งสายตาตำหนิไปให้เท่านั้น เหมือนกับว่าลึกๆแล้ว ผมก็ไม่ได้อยากปฏิเสธอะไรมันเท่าไรเลย..

เรียกได้ว่าตลอดเช้าวันนั้น ผมเอาแต่นั่งหาสาระในชีวิตไม่ได้ แต่ก็ยังดีที่ทิพย์กับน้ำตาลยังไม่ได้สงสัยเรื่องจัดดอกไม้มากนัก แถมยังดูจะเชื่อคำพูดเลื่อนลอยของฌานอย่างสนิทใจเสียอีก บ้าไหมล่ะพนักงานสองคนนี้!

“เอ้า”

ความคิดในหัวของผมถูกลบไปด้วยแรงจิ้มบริเวณแก้ม ดอกไม้ดอกหนึ่งถูกส่งมาจากมือของฌาณ ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกวันแบบนี้ผมรู้ดี แน่นอนว่าเขาจะต้องให้ผมช่วยตัดหนามดอกกุหลาบสีแดงนั่น เช่นเดียวกันกับที่สองสาวในร้านกำลังยกกองดอกกุหลาบมาวางรวมกันไว้บนโต๊ะหน้าเคาน์เตอร์ ผมเอี่ยวตัวไปหยิบกรรไกรตัดแต่งกิ่งที่เพิ่งซื้อมาเพิ่ม ก่อนจะหันไปยื่นมือให้ฌานที่เอาแต่อมยิ้มประหลาด

“ส่งมาดิ จะให้ตัดหนามใช่มะ” ผมพูดแบบคนรู้ดี ทิพย์ที่ได้ยินก็เลยแยกดอกไม้กองหนึ่งหวังจะส่งมาให้ แต่ก็ต้องหยุดมือไว้แค่นั้น เมื่อฌานตอบกลับมาเสียงดังฟังชัด ทำเอาเสียงเครื่องปรับอากาศภายในร้านเงียบไปเลยทีเดียว

“เปล่า อันนี้ให้

ผู้ชายตัวสูงตรงหน้าส่งยิ้มกว้างแบบที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักก่อนหน้านี้ พร้อมทั้งยื่นดอกกุหลาบในมือเข้ามาอีกครั้งท่ามกลางความเงียบ…

เงียบเกินไป จนเสียงหัวใจผมดังขึ้นแทน…

“บ้าหรือไง?”

เวลาดำเนินไปนานพอตัว กว่าที่ผมจะเปิดปากตอบกลับไปได้ แต่เสียงที่เปล่งออกไปนั้นก็แผ่วเสียจนน่าโมโห สองสาวเริ่มหัวเราะคิกคักเป็นเชิงหยอกล้อเหมือนทุกทียิ่งทำเอาใบหน้าผมร้อนขึ้นมา ไม่ใช่เพราะเสียงหัวเราะของพนักงาน ไม่ใช่ดอกกุหลาบสีแดงในมือด้วย แต่เป็นเพราะรอยยิ้มจากฌาณที่ผมกำลังได้รับต่างหาก.. ก็มันเป็นรอยยิ้มแบบที่ผมไม่เคยนึกเลย ว่าจะได้รับจากเขานี่น่า ไอ้รอยยิ้มที่ดูเปี่ยมไปด้วยความรักแบบนี้

“อือ ก็บ้าไง”

ตลกสิ้นดีที่คำตอบของฌานกลับยิ่งทำให้ภายในตัวของผมร้อนผะผ่าว สายตาหลุบต่ำลงพลางเบือนหน้าหนีอย่างช่วยไม่ได้ ความเขินอายแบบเด็กๆที่ผมไม่คิดว่าจะได้สัมผัสมันอีกแล้วตั้งแต่โตขึ้นมาเป็นหนุ่ม วันนี้กลับสัมผัสถึงมันได้อีกครั้ง และยังรุนแรงมากจนหัวใจแทบจะระเบิดออกมา

ซ้ำร้ายคือผมต้องทนอยู่ในบรรยากาศแบบนั้นไปตลอดทั้งวันจนกลับมาถึงคอนโดในตอนเย็น ในขณะที่อีกฝ่ายกลับดูเริงร่าจนน่าหมั่นไส้ ทำมะ แค่ทำผู้ชายเขินได้นี่มีความสุขมากปะ เลวววว

“อะไรอะ?” ผมนั่งอยู่บนพื้นห้อง เอาหลังชนเตียง ในมือมีขนมปังไส้ครีมที่ฌานแวะซื้อมาให้ ส่วนเขาก็กำลังเดินมานั่งข้างๆ ในมือถือกล้องสีดำดูดีมีราคาไว้

“รูปพวกเราไง”

เขาว่าพลางเลื่อนแขนเข้ามาให้ผมได้สนใจรูปภาพเหล่านั้นบ้าง แต่ให้ตายเหอะ มันมีแต่รูปสวีทจนชวนอ้วกยังไงพิกล เคยบอกแล้วไม่ใช่หรอว่าอย่าเอาใบหน้าผมไปทำแบบนั้นอะ T^T ไม่ไหวเลย ฌานกับปลายบนโลกนี้ดูเหมือนจะรักกันมากเกินไป มากจนเลี่ยนเลยแหละ

ฌานกดเปลี่ยนรูปภาพไปเรื่อยๆจนมาสะดุดเข้ากับรูปหนึ่งซึ่งถูกถ่ายจากบนเตียงของห้องนี้เอง พวกเราทั้งสองคนกำลังนอนแนบชิดกัน ร่างกายช่วงบนเปลือยเปล่า ใบหน้าของผมร้อนวูบขึ้นมานิดหน่อยเมื่อหัวเริ่มคิดถึงเรื่องอะไรแปลกๆอย่างห้ามไม่ได้ และดูท่าว่าคนข้างๆก็จะคิดไม่ต่างกันเท่าไร ถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างเปิดเผย

“ให้เดาไหมว่าทำอะไรกันอยู่?”

“ไม่ต้อง!!”

ผมรีบแผดเสียงดังลั่น และทำท่าจะแย่งกล้องมา แต่ฌานกลับผลักตัวผมออกเบาๆ และเดินเอากล้องในมือไปวางบนขาตั้ง ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆผมตามเดิม ในขณะที่ผมกำลังงงและต้องการคำถาม คนตัวสูงก็เริ่มกระแอมไอพลางสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่นานนัก เสียงทุ้มน่าฟังของฌานก็ค่อยๆดังขึ้นเป็นเนื้อร้องของเพลงเพลงหนึ่งซึ่งผมชอบเหลือเกิน

‘ฉันคิดถึงเธอ’

ไม่รู้จริงๆว่าผู้ชายตรงหน้าไปเอาพรสวรรค์แบบนี้มาจากที่ไหน การที่เขาแค่ได้ยินผมร้องเพลงนี้เพียงแค่ครั้งเดียว แต่กลับจำเนื้อร้องทั้งหมด แถมยังใส่ทำนองได้ถูกต้องเกือบหมด ทั้งๆที่ตอนนั้นผมเร่งจังหวะจนเพี้ยน ไม่น่าจะจับทำนองอะไรได้แล้วแท้ๆ บ้าชะมัด จะเลิศเลอเพอร์เฟคไปถึงไหนกันล่ะ แค่นี้ยังทำให้ผมรู้สึกดีไม่พออีกหรือไง ฮืออ! ไม่อยากจะยอมรับเลยจริงๆนะ แต่มันไม่ไหวแล้วอะ

เพราะเขาทำได้ดีมากเกินไป จนผมไม่รู้จะหาคำไหนมาเถียงตัวเองอีกแล้ว.. ทำได้ดีมากเลยฌาน ทำได้ดีในการรุกล้ำหัวใจของใครบางคนอย่างนี้

“ใจฉันก็คิดถึงเธอเหมือนกัน~”

.

.

ผมไม่รู้และไม่อยากรู้หรอกนะ ว่าฌานกับปลายในโลกนี้รักกันได้ยังไง ที่ผมรู้ตอนนี้มีแค่.. เรื่องที่เรารักกันได้ยังไงเท่านั้น สายตาของเราทั้งคู่สอดประสานกันท่ามกลางความเงียบหลังจากที่เสียงร้องเพลงจบลง นานพอตัวกว่าที่ฌาณจะเอื้อนเอ่ยคำพูดถัดไปออกมาได้ และนั่นก็เป็นคำพูดที่กระชากหัวใจดวงน้อยๆของผมให้หลุดลอยออกไปด้วย

“รักปลายนะ”

แก้มสองข้างที่แดงก่ำของผมคงอธิบายความรู้สึกมากมายในตอนนี้ได้เกือบหมด สายตาจริงจังถูกส่งมาให้แทบไม่กระพริบ ก่อนที่ใบหน้าของเราทั้งคู่จะค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าหากันอย่างช้าๆ ลมหายใจเป็นจังหวะเป่ารดอยู่ตรงหน้า พร้อมกับสัมผัสที่ค่อยๆโอบรัดรอบเอวของผมไว้อย่างทะนุถนอม ริมฝีปากของฌาณขยับขึ้น พอให้ลิ้นอุ่นส่งผ่านออกมา ลากไล้ไปตามแนวริมฝีปากของผม การขยับตัวของเขาช่างเนิบช้าแต่กลับน่าตื่นเต้นจนอธิบายไม่ถูก มือใหญ่สองข้างเลื่อนไปหยุดคลึงบริเวณสะโพกมนอย่างชำนาญ พร้อมทั้งร่างกายกำยำที่โถมทับลงมา จนแผ่นหลังของผมราบติดไปกับพื้นห้อง สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายยอมเปิดปากต้อนรับความหวานจากผู้ชายด้านบนจนได้

จูบของฌาณเต็มไปด้วยความอบอุ่นและจริงใจ ไม่ต้องหวานจนเลี่ยน แต่ก็ไม่ได้ขม มันประหลาดมากที่อยู่ๆน้ำตาของผมก็ไหล หัวใจก็เต้นรัวจนน่าหวาดกลัว... ทว่าอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้คือสิ่งที่ทำให้ผมรู้ว่า ผมไม่ต้องกลัวอะไร

ฌาณ......

ผมก็รักฌาณนะ


------------------------------------------

- รีบมาลงก่อน เดี๋ยวจะไม่อยู่ประมาณอาทิตย์นึงนะคะ
- แล้วก็ ขอเพิ่มเติมเนื้อหานิดนึง คือเวลาที่เดินทางไปโลกใบอื่น นอกจากบทบาทที่เปลี่ยนไปแล้ว เสื้อผ้าหน้าผม ร่างกาย ความรู้สึกอะไรต่างๆก็จะเปลี่ยนไปตามตัวเองในโลกแต่ละใบด้วยนะ (แอบมา edit เพิ่มตรงจุดนี้ ไว้ในบทที่ 2 ละ) อย่างเช่น ถ้าปลายในโลก 18 เคยโดนมีดบาด เป็นแผลที่นิ้ว พอปลายจากโลก 23 เดินทางมาที่โลก 18 ก็จะมีแผลที่นิ้วตามไปด้วย
- ตอนนี้รักกันแบบจริงจังแล้วนะนี่ ตอนหน้าขอบอกว่ายาว ฮ่าๆ แบบแต่งเพลินเลยแหละ ไม่รู้มีอะไรเน้อะะะะะ =w= รอติดตามกันต่อไปด้วยน้า
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 13 : เพลงของเรา (28/05/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Monochrome ที่ 28-05-2013 19:35:09
*v* หวาน  อ่านแล้วเขินแหะ
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 13 : เพลงของเรา (28/05/56)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 28-05-2013 22:41:25
น่ารัก แต่ตอนหน้าจะดราม่าไหมนี้
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 13 : เพลงของเรา (28/05/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 29-05-2013 16:12:44
คุณฌาณน่ารักมากเลยยย ><
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 14 : เดินทางอีกครั้ง (04/06/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 04-06-2013 20:12:03
บทที่ 14
เดินทางอีกครั้ง


 

เสร็จสิ้นงานที่ร้านดอกไม้ ฌาณก็หายตัวไปเร็วยิ่งกว่าแสง ทิ้งให้ผมต้องเดินขึ้นคอนโดคนเดียวอย่างเปลี่ยวเหงา นี่ถ้าเกิดมีใครเข้ามาฉุดผมไปจะว่ายังไง ใช่ซี่ พอได้ผมแล้วก็ทิ้งกันไปเลยนะ :( อะไร คิดอะไรครับ ก็ได้หัวใจผมไง ฮ่าๆๆ เขินว่ะ คิดอะไรออกไป

แต่จริงๆก็ดีแล้วแหละ ห่างกันบ้างเหอะ ถึงผมจะยอมรับว่ารักฌาณแล้วจริงๆ แต่ก็ไม่ได้พิศวาสอยากจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลาหรอกนะ ผมว่าคนรักกันก็ต้องให้พื้นที่ส่วนตัวแก่กันบ้าง มาตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ทุกวันแบบนี้เดี๋ยวก็เบื่อตายก่อน...อ้อ แต่ผมก็ไม่ได้เบื่อหรอกนะ ผมชอบฌาณในตอนนี้ ตอนที่มีแต่รอยยิ้มอบอุ่นให้ ไม่ได้เย็นชาเหมือนแต่ก่อน มือของฌาณก็นุ่มและอุ่น จนทำให้ผมกลายเป็นไอ้บ้าที่ยอมให้ผู้ชายโอบกอดได้เป็นวันๆ อืม..เหมือนคนบ้าเลย

บ้าที่รักมันเนี่ยะ! -//-

ผมรีบสะบัดหัวไล่ความคิดแปลกๆในหัว ก่อนจะพาตัวเองไปหยุดอยู่หน้าเคาน์เตอร์ขนมปังภายในร้านมินิมาร์ทเจ้าเดิม คราวนี้ผมซื้อขนมปังไส้เมล่อนไปให้ฌาณด้วย เพราะรู้แล้วว่าเขาชอบอะไรหลังจากที่เคยเปิดใจคุยกันไปวันก่อน พ่วงด้วยนมจืดยี่ห้อดังที่ฌาณบ่นอยากดื่มแต่ก็ไม่ยอมซื้อสักที เหมือนจงใจให้คนหน้าตาดีแถวนี้มาซื้อให้ พอคิดเงินจ่ายตังค์อะไรเรียบร้อย ผมก็เดินเอ้อระเหยมาด่อมๆมองๆอยู่แถวใต้คอนโด เผื่อว่าฌาณจะกลับมา แต่เมื่อยังไม่เห็นวี่แววไอ้หมีนั่น ผมจึงต้องเดินคอตกกลับห้องไปคนเดียว นี่เปล่าน้อยใจหรอกนะที่หมอนั่นทิ้งผมไว้แล้วหายหัวไปโดยไม่บอกอะ

ไม่นานผมก็พาตัวเองเข้ามาในห้อง พลางโยนถุงสินค้าในมือไปตั้งแหมะอยู่บนโต๊ะ ซึ่งเริ่มรกเต็มที จากการที่เราเอาแต่ค้นนู้นนี่นั่นแบบไม่ถามเจ้าของสักคำ แต่แหม เจ้าของมันก็ผมปะ แค่อยู่ในโลกคนละใบเท่านั้นเอง

นั่งรอสักพักคิดว่าเจ้าบ้าฌาณจะกลับมา ก็ไม่มาสักที ผมเริ่มหงุดหงิดแล้วแหละ คราวนี้ถ้ากลับมาจะไม่ให้เข้าห้อง... เอ๊ะ แต่มันมีกุญแจ งั้นก็ไม่ให้นอนด้วยเลย เป็นไงล่ะ!

“ชิ”

ผมส่งเสียงไม่พอใจออกมา ก่อนจะเดินไปที่ด้านนอกระเบียง คว้าเอาผ้าเช็ดตัวพื้นหนึ่งมาไว้ในมือ ดึงผ้าม่านปิดให้เรียบร้อย พร้อมเลิกเสื้อยืดบนตัวออกเพื่อเตรียมไปอาบน้ำ ถ้าให้รอนายฌาณก็คงไม่เป็นอันทำอะไรพอดี ไปอาบน้ำให้สบายใจดีกว่า

กริ๊ก

เสื้อของผมถูกทิ้งลงไปกองกับพื้นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องเปิดออก เผยให้เห็นผู้ชายหน้าตาคุ้นเคยที่กำลังก้าวเท้าเข้ามา ใบหน้าส่อแววตกใจเล็กน้อย ในมือมีถุงพลาสติกจากมินิมาร์ทด้านล่าง พอมองออกว่าของด้านในก็คือสิ่งเดียวกับที่ผมเพิ่งซื้อมาไม่ผิดเพี้ยน

“ไปไหนมา?” ผมหันกลับไปเผชิญหน้ากับร่างสูงซึ่งกำลังตรงเข้ามา ถุงพลาสติกในมือของเขาถูกวางทิ้งไว้ข้างๆถุงของผมบนโต๊ะ มีความวูบไหวแปลกๆเกิดขึ้นในดวงตาคู่ตรงหน้า

“เป็นอะไร?” ถามว่าไปไหนมา เสือกตอบกลับด้วยคำถามว่า เป็นอะไร ตลก!!

“ไม่ได้เป็นอะไร แล้วไปไหนมา?”

“ไม่บอก”

ไอ้หมีฌาณทำหน้ากวนตีนใส่พลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนน่าหมั่นไส้ ผมเลยชักสีหน้ากลับไปที ก่อนจะก้มลงหยิบเสื้อบนพื้นขึ้นมาหวังจะสวมมันกลับอีกครั้ง เพราะผมว่ามันคงไม่ดีถ้าให้ยืนเปลือยท่อนบนอยู่กับผู้ชายคนนี้สองต่อสอง

แล้วก็นั่นแหละ.. สิ่งที่ผมกลัวมักเกิดเร็วกว่าที่คิดตลอด เมื่อฌาณขยับตัวเข้ามาใกล้มากขึ้นและถือวิสาสะดึงเสื้อยืดในมือผมโยนทิ้งไปอย่างไร้เยื่อใย ก่อนจะตรงเข้ารวบต้นขาสองข้างของผมไว้แน่นและยกร่างทั้งร่างของผมขึ้น จนผมต้องร้องโวยวายไม่เป็นภาษาออกมาด้วยความตกใจระคนหวาดกลัว

“เฮ้ยยย!!”

ไม่ทันไรตัวผมก็ถูกโยนลงบนเตียงดังตุ้บ ตามมาด้วยร่างใหญ่ของฌาณที่ขึ้นมาคร่อมตัวผมไว้อย่างรวดเร็ว มือสองข้างของผมก็ทำหน้าที่ได้ดีด้วยการพยายามผลักไหล่กว้างตรงหน้าออกห่าง แต่ดูเหมือนพลังของมนุษย์ธรรมดาอย่างผมจะสู้หมีควายอย่างคนด้านบนไม่ได้ เขาถึงไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลย แถมยังยิ้มร่าอย่างสนุกสนานเต็มที เออ เห็นผมสู้ไม่ได้แล้วมีความสุขใหญ่ ไอ้เลว หลุดออกไปได้นะ ไม่ตายดีแน่! แต่ตอนนี้ผมว่านะ ผมต้องไม่ได้ใช้ชีวิตดีๆแน่ๆเลย TT

สายตากรุ้มกริ่มปนเจ้าเล่ห์แบบที่ผมไม่นึกชอบมัน ถูกส่งมาให้ จนผมต้องเบือนหน้าหนีอย่างห้ามไม่ได้ และนั่นก็ยิ่งทำให้ฌาณดูชอบใจ ถึงกับหัวเราะหึหึออกมา ถ้าไม่ติดว่าไม่อยากจะมองหน้า ผมว่าจะหันไปซัดเข้าให้สักเปรี้ยง

“ออกไปดิ๊ อึดอัด”

ผมทำทีขึ้นเสียง ทั้งที่ตอนนี้ทั่วใบหน้าร้อนผ่าว เมื่อรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารดใกล้เข้ามา สุดท้ายผมก็ต้องเป็นฝ่ายตวัดสายตาดุดันกลับมาจ้องหน้าฌาณเขม็ง เมื่อเขาเริ่มละลาบละล้วงร่างกายด้านบนที่เปลือยเปล่าของผมมากขึ้น

สองมือของผมพยายามจะดึงแขนแกร่งของฌาณที่กักตัวผมไว้ออก แต่กลับไม่ส่งผลใดๆ แถมคนตัวใหญ่ยังเหิมเกริมด้วยการจงใจปัดป่ายมือข้างหนึ่งผ่านยอดอกของผมที่เริ่มชูขึ้นอย่างน่าอับอาย ริมฝีปากของผมเม้มแน่นด้วยความไม่พอใจ ผิดกลับอุณภูมิในร่างกายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำเอาคนด้านบนยิ่งได้ใจเข้าไปอีก

“ได้ไหม?”

“อึ่ก”

ผมรีบกลั้นเสียงที่คอยจะหลุดลอดออกมา น้ำเสียงอ้อนวอนจากฌาณเอ่ยคำถามแปลกๆขึ้น ปลายจมูกโด่งได้รูปของเขาคลอเคลียไปตามส่วนต่างๆของร่างกายผม ยิ่งเร้าให้ความรู้สึกบางอย่างภายในจิตใจนี้สั่นไหว

ผมตัดสินใจที่จะเงียบ ไม่พูดอะไรออกไป สายตาเสมองไปอีกทางด้วยความเขินอาย แก้มสองข้างร้อนวูบขึ้นมาจนแทบเป็นลม แต่การที่ผมไม่พูดอะไร นั่นแปลว่าผมได้บอกคำตอบออกไปแล้ว..

รอยยิ้มกว้างเผยขึ้นบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาของฌาณ ก่อนที่เขาจะรีบปลดเสื้อผ้าของตัวเองออกไปอย่างลวกๆ พร้อมโน้มตัวเข้ามาใกล้จนน่าใจหาย สัมผัสเสียวปลาบจากริมฝีปากนุ่มทาบทับลงบริเวณแผงอกบาง ตามมาด้วยความเปียกชื้นจากลิ้นอุ่นๆที่ไล้เลียอย่างสะเปะสะปะ จนมาหยุดอยู่ที่ต้นคอขาว ฌาณดูดตรงจุดนั้นแรงๆพอให้เกิดรอยแดงชัดเจน และเริ่มลากลิ้นกลับลงไปตวัดเล่นกับติ่งไตสีหวาน การกระทำของเขาไม่ได้น่าอายมากเท่ากับการที่ร่างกายของผมเริ่มขยับไปเองตามห้วงอารมณ์ที่ค่อยๆปะทุขึ้น

“อะ..อ๊ะ!”

สองมือที่เคยคิดจะต่อต้าน กลับยกขึ้นโอบรอบคอของคนด้านบนให้โน้มต่ำลงมามากขึ้น เรียกรอยยิ้มน่าพอใจจากฌาณได้เป็นอย่างดี เขายอมทำตัวเป็นสุภาพบุรุษอ่อนหวานต่ออีกสักพัก พอให้ผมคุ้นชินกับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ ก่อนที่จะปล่อยให้อารมณ์รุนแรงเข้าครอบงำจิตใต้สำนึก และเริ่มบทเรียนรักอันเร่าร้อนซึ่งแผดเผาร่างของเราทั้งคู่ไปพร้อมๆกัน

หัวสมองของผมขาวโพลน อารมณ์รักปะทุรุนแรงจนอยู่เหนือเหตุผลทั้งมวล ส่งให้เราทั้งคู่เดินหน้าเข้าสู่ประตูแห่งสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าบานไหนๆ ผมทิ้งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่เคยมีทิ้งไป และเป็นฝ่ายยอมให้ฌาณปรนเปรอความสุขเข้าใส่อย่างน่าไม่อาย

ทั้งร่างกายและจิตใจของเราราวกับถูกหลอมรวมเป็นหนึ่ง ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่างด้วยว่าไม่คุ้นชิน แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกดีอย่างน่าประหลาดจนไม่อาจปฏิเสธได้ ผมและฌาณต่างปล่อยให้อารมณ์และความรู้สึกขึ้นมามีอำนาจเหนือตัวเองอย่างรวดเร็วและง่ายดาย ตอนนี้มีเพียงหยดหยาดเหงื่อที่ผุดขึ้นคลุมกายของเราทั้งสองคน พร้อมกับน้ำตาจากความสุขล้นปรี่ซึ่งเอาแต่ไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้างของผมอย่างควบคุมไม่ได้ ความร้อนในร่างกายพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆจนน่ากลัว...ในที่สุดร่างของเราทั้งคู่ก็พร้อมใจกันกระตุกเกร็งแรงๆเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกที่ล้นทะลักออกมา

“อ อ๊า...อ๊าาา!!”

ฌาณค้างท่านั้นอยู่อีกสักพัก ก่อนที่จะยอมถอนตัวออกไป พอให้ผมได้มีเวลาหายใจหายคอ หลังจากเพิ่งผ่านพ้นช่วงเวลาอันน่าตกใจนั้นมา แม้ว่ามันจะดำเนินไปอย่างรวดเร็วและกระทันหัน แต่ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างการกระทำนั้น มันไม่ใช่ความรู้สึกผิวเผินเรียบง่ายอย่างแน่นอน ทว่ามันคือความจริงใจอย่างหาที่สุดไม่ได้ ซึ่งคนสองคนพร้อมจะมอบให้แก่กัน

หน้าอกของผมกระเพื่อมขึ้นลงรุนแรงจากความเหน็ดเหนื่อย ลมหายใจหอบถี่ดังก้องไปทั่วห้องนอน ก่อนที่ฌาณจะโน้มตัวลงมาอีกครั้ง คนตัวสูงบดขยี้ริมฝีปากอุ่นลงมาบนริมฝีปากบางของผมเหมือนเด็กที่กำลังหิวโหยเต็มที รสจูบเร่าร้อนถูกมอบให้แก่กันเป็นเวลานาน จนเมื่อคนด้านบนเก็บเกี่ยวความหวานเป็นที่พอใจแล้ว จึงยอมถอนปากออกไป แต่ก็อ้อยอิ่งเต็มที

เราสองคนประสานสายตากันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนี แต่ฌาณก็ยังตามมาเชยคางผมให้กลับไปมองเขาจนได้ รอยยิ้มจริงใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าแดงระเรื่อ ทำเอาผมเผลอยิ้มตามไปด้วยอย่างห้ามไม่ได้ หัวใจดวงน้อยเริ่มเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ มากยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก

ท่ามกลางความเงียบภายในห้อง ไม่ต้องมีคำพูดใดเลย... เพียงแค่รอยประทับแผ่วเบาบนหน้าผากของผมที่ฌาณมอบให้ ก็เป็นเครื่องสื่อถึงใจได้เป็นอย่างดี

ผู้ชายคนนี้น่ากลัวมาก... เขาไม่ต้องทำอะไรที่ยิ่งใหญ่เลย แล้วก็ไม่ต้องพูดอะไรที่สวยหรูด้วย.. แต่กลับทำให้ผมรักมากจนแทบเป็นบ้าแบบนี้ มันถึงได้น่ากลัวมาก...

น่ากลัวว่าผมจะขาดเขาไปไม่ได้...

“ปลาย.. รักฉันรึเปล่า?”

อยู่ดีๆฌาณก็ถามขึ้น พร้อมพลิกตัวลงมานอนข้างๆ พลางโอบศรีษะผมให้เข้าไปซบลงกับแผงอกกว้าง แหมยังกล้าถาม ถ้าไม่รักก็คงไม่ยอมให้ทำเรื่องแบบนี้หรอกนะไอ้บ้า! นี่ทึ่มจริงหรือจงใจแกล้ง! พนันว่าอย่างหลังชัวร์ -0-

“อืออ”

ผมลากเสียงแผ่วปลายแบบไม่เต็มปากนัก เกิดเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจอยู่ในลำคอของอีกฝ่าย มือใหญ่ของฌาณที่กำลังลูบหัวผมเปลี่ยนมาตีเบาๆ

“ว่าไงนะ?”

“อื้ออ!”

ผมกลั้นใจกระแทกเสียงกลับไปใบหน้าแดงก่ำ ทำเอาคนตัวสูงหัวเราะร่าก่อนจะกดจมูกลงมาคลอเคลียกับเส้นผมชุ่มเหงื่อของผมเล่นอย่างไม่นึกรังเกียจ เมื่อฌาณเห็นผมทำท่าจะปล่อยสติให้หลุดลอยและหลับไป เขาก็ขยับตัวเล็กน้อย มือข้างหนึ่งเอื้อมไปหยิบกระดาษทิชชู่บนโต๊ะเล็กๆข้างเตียงมา ก่อนจะจัดการทำความสะอาดเนื้อตัวของผมให้อย่างอ่อนโยน

คนตัวสูงจงใจแกล้งด้วยการขบเม้มไปตามต้นขาด้านใน ขณะที่ทิชชู่ในมือกำลังเช็ดเอาคราบของเหลวขุ่นออกไปจากจุดสงวน ทำเอาตัวผมกระตุกเฮือกอย่างน่าอับอาย ซึ่งนั่นถือเป็นความภิรมย์ของฌาณเชียวละ

ตอนนี้ผมไม่คิดที่จะหลับอีกแล้ว กลับยกตัวเองขึ้นจ้องหน้าฌาณด้วยสายตาตำหนิ แต่ฌาณก็ไม่ได้สนใจและลุกออกจากเตียงไป เอาทิชชู่ในมือทิ้งลงถังขยะใบเล็กในห้อง ผู้ชายหุ่นดีในร่างเปลือยเดินอย่างไร้ยางอายไปที่โต๊ะตัวใหญ่ ก่อนจะควานหาอะไรบางอย่างในถุงพลาสติกของมินิมาร์ทด้านล่างที่เขาเพิ่งไปซื้อมา

ไม่นานนัก ฌาณก็กลับมานั่งบนเตียงเหมือนเดิมพร้อมอะไรบางอย่างในมือที่กำลังส่องกระทบแสง ผมมองมือของฌาณสลับกับใบหน้ายิ้มแย้มของเขาไปมาสักพัก กว่าที่เขาจะยอมแบมือออก เผยให้เห็นสร้อยข้อมือสีเงินประดับจี้รูปดอกไม้บานสองเส้น เมื่อเพ่งให้ดีจะเห็นตัวอักษร CP สลักอยู่บนนั้น

“ฉันไปสั่งทำมา ให้เหมือนกับของเราในโลกนี้”

“อ่า” นี่คือเหตุผลที่เขาหายไปสินะ อืม ถ้าแบบนี้ค่อยฟังขึ้นหน่อย จะให้อภัยก็ได้ที่ทิ้งผมไว้คนเดียว

“ฉันใส่ให้นะ”

ผมพยักหน้าน้อยๆและยกแขนข้างหนึ่งขึ้น ปล่อยให้ฌาณสวมสร้อยข้อมือนั้นเข้ามา ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายใส่ให้ฌาณบ้าง เราทั้งคู่เผยรอยยิ้มกว้างออกมาเมื่อมองแขนสองข้างที่มีเครื่องประดับคู่กัน ผมชั่งใจกับตัวเองเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้ฌาณมากขึ้น และตรงเข้าสวมกอดเขาอย่างเก้ๆกังๆ

“ขอบคุณนะ”

คนตัวสูงแน่นิ่งไปสักพัก คงจะตกใจที่เห็นผมทำแบบนี้ เพราะผมเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะทำอะไรแบบนี้เหมือนกัน ในที่สุดฌาณก็ยกแขนขึ้นกอดตอบ พลางกระชับร่างของผมเข้าไปใกล้กว่าเดิม ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดอยู่บริเวณหลังคอทำเอาผมเสียววาบ หลังจากการสวมกอดที่ยาวนาน ฌาณก็เริ่มพรมจูบไปทั่วตัวของผมอีกครั้ง ไล่จากบ่าลงมาเรื่อยๆจนถึงหน้าท้อง ซึ่งกระเพื่อมขึ้นลงไปตามความรู้สึกในร่างกาย

ก่อนจะทันรู้ตัว ร่างของผมก็ถูกฌาณอุ้มขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนแกร่งเสียแล้ว เขาค่อยๆพาผมลงจากเตียงและตรงเข้าไปในห้องน้ำ ทำนองเพลงรักถูกบรรเลงขึ้นอีกครั้งภายในพื้นที่คับแคบ เสียงครางของเราทั้งคู่ดังก้องสะท้อนอยู่ภายในห้องน้ำเล็กๆแห่งนี้ ยิ่งเสริมให้อารมณ์ภายในตัวของเราปะทุออกมามากขึ้น ทั้งผมและเขาต่างก็ปล่อยตัวปล่อยใจให้แก่กัน ครั้งแล้วครั้งเล่าไม่รู้เบื่อ

เวลาผ่านไปนานพอตัวกว่าที่เราจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ผมกำลังนอนหอบเป็นลูกหมา และปล่อยให้สายน้ำจากฝักบัวไหลลงมาชะโลมร่างกายซึ่งเปรอะเปื้อนไปทั่ว ฌาณตะแคงตัวอยู่ข้างๆภายในอ่างใบเดียวกัน สองมือลูบไล้ไปตามร่างกายของผมหวังจะช่วยทำความสะอาด

“ฌาณ..” ผมเรียกชื่อคนตัวสูงเสียงแผ่ว ก่อนจะเอื้อมมือไปรั้งคอของเขาให้โน้มใกล้เข้ามา จูบเย้ายวนถูกมอบให้อย่างลืมอาย ถือเป็นของตอบแทนสำหรับความสุขที่เขาเติมเต็มมาให้

คนตัวใหญ่จูบตอบอย่างชำนิชำนาญ น้ำในอ่างแทบจะเดือดขึ้นมาจากความเร่าร้อนของผู้ชายคนนี้ รวมทั้งหัวใจดวงน้อยของผมที่ทำท่าจะระเบิดออกด้วยเช่นกัน

“ปลาย รัก..”

“อืมม ม..”

ผมได้แต่ครางตอบเมื่อฌาณถอนริมฝีปากออกไป และเปลี่ยนมาลงลิ้นกับยอดอกของผมแทน แต่แล้วผมก็ต้องฝืนตัวเองไว้ พลางผลักคนตัวใหญ่ออกห่าง ฌาณมองผมด้วยสายตาตกใจมากจนผมต้องรีบอธิบายแทบไม่ทัน

“พอแล้ว เหนื่อย”

“เหนื่อยแต่ก็ชอบปะ”

ผมสบถออกมาแทบจะทันที ที่ไอ้บ้าฌาณเริ่มพูดจาลามปามแบบคนได้ใจ กำปั้นเล็กๆอัดเข้าไปกลางอกของผู้ชายที่เอาแต่หัวเราะร่า ผิดกับผมที่ได้แต่ตีหน้างอเหมือนคนแพ้ ฌาณหยุดหัวเราะและเริ่มอมยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย วินาทีต่อมาเขาก็เข้าครอบครองริมฝีปากของผมอีกครั้ง

วันนี้เราจูบกันนับครั้งไม่ถ้วน ริมฝีปากสีส้มธรรมชาติแดงเรื่อขึ้นด้วยแรงบดขยี้ เกิดแผลบางๆขึ้นเล็กน้อยจากอารมณ์ที่เดือดพล่านของเราทั้งคู่ ฌาณค่อยๆถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะเริ่มทำความสะอาดเนื้อตัวให้ผมอย่างจริงจัง เราอาบน้ำแต่งตัวและย้ายมานั่งกินขนมปังกับนมกล่องบนพื้นกำมะหยี่ สร้อยข้อมือสีเงินวาวส่องสว่างล้อเล่นกับแสงจากหลอดไฟนีออน ดูน่ามองยิ่งขึ้นบนข้อมือทั้งสองข้างของเราสองคน

“ว่าไงพวกนาย”

ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออยู่ดีๆยัยเด็กผีสองตัวก็โผล่ออกมากลางอากาศ ใบหน้าแดงก่ำประหลาด จนผมนึกอะไรขึ้นมาได้... จะว่าไปไอ้เด็กพวกนี้ต้องคอยตามดูการใช้ชีวิตของพวกเราอยู่ตลอด แปลว่าเมื่อกี้...

เห็นสินะ.. เห็นแล้วสินะ... ว๊ากกกกก!!! นี่ผมกำลังจะทำให้เด็กเสียคนทางอ้อมรึเปล่าเนี่ยะ!!

“อายุขัย 5 ปี กับช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่ คุ้มหรือยัง?” JM เป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาก่อน สายตาจับจ้องมาที่เราสองคนสลับกันไปมา โดยมี CD สังเกตการณ์อยู่ด้านหลัง ผมหันมองหน้าฌาณแวบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะตอบเด็ก JM กลับไปด้วยรอยยิ้มกว้าง

“ก็คุ้มพอ”

“ก็ดี... ฉันมีทริปมาเสนอ นั่นก็คือโลกใบที่ 1 ซึ่งนับว่าเป็นโลกที่สมบูรณ์แบบที่สุด”

“...”

CD เลิกคิ้วขึ้นหน่อยๆเมื่ออยู่ๆ JM ก็เสนอขายทริปอื่นขึ้นมาอย่างกระทันหัน เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแต่หรี่ตามอง JM ที่ยังพยายามขายของให้กับผมและฌาณ

“โลกใบนั้นเป็นโลกใบเดียวที่ไม่มีกฎเกณฑ์การใช้ชีวิตตายตัว เพราะถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับนักเดินทางอย่างพวกนาย จึงไม่ต้องกังวลว่าจะแยกจากกันไปใช้ชีวิตที่ถูกกำหนด นายจะได้พักผ่อนอยู่ในโลกที่เหมือนสวรรค์เลยล่ะ”

“แลกกับอายุขัย 5 ปีอีกสิ?” ผมเบะปาก ไอ้พวกเซลล์บ้าบอ เอาแต่รีดไถชีวิตคนอื่นเป็นผักปลาไปได้

“แต่โลกใบนั้นมันพิเศษมากอย่างที่บอก และพวกนายจะได้อยู่ด้วยกันนานเท่าที่ต้องการ ไม่ต้องเดินตามบทบาทของใคร ไม่ต้องกังวลหรือระแวงเรื่องการแสดงด้วย ถือว่าเป็นการฮันนีมูนเลยด้วยไง”

คำว่า ‘ฮันนีมูน’ สะกิดเข้าที่ใจของเราทั้งคู่ เมื่อทั้งผมและฌาณต่างหันมองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย ก่อนจะรีบหลบสายตาด้วยความเขินอาย มือข้างที่วางราบไปกับพื้นห้องถูกวางทับด้วยมือใหญ่ของใครอีกคน พอดีกับที่ความอบอุ่นถูกส่งผ่านเข้ามา

รอยยิ้มกว้างปรากฏให้เห็นบนหน้าของ JM อย่างผู้มีชัย เสริมให้หน้าตายัยนั่นยิ่งดูประหลาดขึ้นไปอีก ผิดกับใบหน้าเรียบเฉยจนน่าหวั่นเกรงของเด็ก CD ซึ่งเป็นใบหน้าแบบที่ผมไม่เคยได้เห็นมาก่อนเลย เธอลอยมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมช้าๆ พร้อมกับที่ JM ก็ลอยมาอยู่ที่หน้าของฌาณเช่นกัน

“ไปพักผ่อนให้สบายใจ แล้วดื่มด่ำกับความรักให้เต็มที่เถอะ”

ผมแทบไม่สนใจสิ่งที่ JM กำลังพล่าม สายตาจับจ้องไปที่ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยของฌาณ ซึ่งกำลังส่งสัญญาณบอกให้ผมทำใจให้สงบและไม่ต้องกังวลอะไร มือซ้ายของผมถูกดึงเข้าไปกุมไว้แน่นขึ้น

“ขอแค่ได้อยู่กับนาย ให้ฉันเสียอายุขัยอีกเท่าไรก็ยอม”

นั่นคือคำพูดเดียวจากปากของฌาณที่ทำลายทุกความกังวลในใจของผมลง ความกลัวแปลกๆก่อนหน้านี้สลายหายไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนนั่น พร้อมๆกับความอบอุ่นที่มือข้างนี้ เหมือนกัน… ขอแค่ได้อยู่กับฌาณ ผมก็ยอมเหมือนกัน

ที่โลกใบนั้น เราจะได้อยู่เคียงข้างกันตลอดไปใช่หรือเปล่า…?

ช่องว่างสีดำดูน่ากลัวฉายขึ้นเบื้องหน้าของเราทั้งสอง ฌาณกุมมือผมไว้แน่น หลังจากที่เด็กผีทั้งคู่ทำการดึงเอาค่าแลกเปลี่ยน 5 ปีไปแล้ว แรงดึงดูดมหาศาลเหมือนคราวก่อนเกิดขึ้นอีกครั้ง พาเอาร่างของเราหายเข้าไปในห้วงมิติบางอย่างที่มืดสนิท ความปั่นปวนมวนท้องก่อตัวขึ้นในฉับพลัน สมองปวดแปลบไปหมด

เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ!

“อะ..อะไร”

ผมพยายามอย่างมากในการเปล่งเสียงออกไป เมื่อความมือมิดเบื้องหน้ากลับปรากฏแสงสีขาวแสบตาวูบวาบขึ้นมาหลายต่อหลายครั้งอย่างผิดปกติ เสียงแสบแก้วหูที่คล้ายกับไฟฟ้าช็อตดังกระเทือนอยู่ในโสตประสาน ส่งให้ผมกับฌาณเกาะกุมกันไว้แน่นยิ่งขึ้น หัวใจเต้นรัวด้วยความกลัวประหลาด และดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่ผมที่คิดมากไปเอง เพราะแม้แต่ยัย CD ก็ยังตกใจจนหน้าบูดเบี้ยว พอจะมองเห็นว่าเธอกำลังพยายามว่ายฝ่าคลื่นความว่างเปล่าตรงเข้ามาหา แต่เมื่อผมยื่นมือออกไปหวังจะรั้งตัวไว้ กลับมีแรงดูดน่ากลัวที่พาตัวผมให้แยกห่างออกไป

“JM! เธอเอาทริปหมดอายุมาใช้ใช่ไหม?!!”

เสียงตะโกนของ CD ดังก้องในทั่วห้วงแห่งเวลานี้ ใบหน้าของ JM เต็มไปด้วยหยดเหงื่อ ดวงตากลอกไปมาราวกับคนเสียสติ ผมเห็นว่าเธอเอาแต่หันซ้ายหันขวาเลิกลั่ก ปากเล็กๆพึมพำอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา สักพักก็ส่งเสียงกรีดร้องแหลมปรี๊ดออกมา

“สินค้าหมดอายุ มัน..จะ ใช้การ…มะ.. ไม่…ได้”

CD พยายามแผดเสียงดังลั่นอีกครั้ง แต่พอถึงช่วงหลังของประโยค การรับรู้ของผมก็ดันเพี้ยนไปเสียเฉยๆ เมื่อหันมองคนข้างๆก็ต้องตกใจ เมื่อร่างของฌาณกำลังถูกแรงลมน่ากลัวพัดออกไปอีกทาง ในขณะที่ตัวผมเองก็กำลังถูกแรงปริศนาดูดไปในทิศฝั่งตรงข้ามเช่นกัน

“ฌาณ!!/ปลาย!!”

เราทั้งคู่ได้แต่ตะโกนขานชื่ออีกฝ่ายในวินาทีที่มือหลุดออกจากกัน ร่างของฌาณถูกดึงไปไกลมากจนลับสายตา CD กับ JM หายไปแล้ว…

เมื่อผมกระพริบตาอีกครั้ง ภาพตรงหน้าก็กลับกลายเป็นตึกเก่าโทรมๆ? สายตาของผมอยู่ในระดับที่สูงผิดปกติเหมือนว่าขาไม่ได้เหยียบอยู่กับพื้น และก็จริง เมื่อผมเพิ่งรู้ตัวในวินาทีต่อมาว่าผมกำลังอยู่ในท่าทางของคนที่กำลังจะก้าวขาลงจากบันไดสูง

ไม่มีเวลาพอให้ตั้งตัวหรือแม้แต่คุมสติ เท้าของผมหยั่งลงโดยที่แตะไม่โดนอะไรนอกจากอากาศ พร้อมๆกับร่างทั้งร่างที่ไถลลงไปตามขั้นบันไดหลายสิบขั้นตรงหน้า ภายในหัวมีเพียงเสียงกรีดร้องและภายในร่างกายก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากแรงกระแทก ในที่สุดตัวผมก็กลิ้งมาหยุดลงตรงพื้นปูนแข็งๆ พร้อมกับสติที่ค่อยๆลอยหลุดไป…..

 



“ความจำเสื่อม!?”

“ครับ ความรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิต และเรื่องทั่วๆไปไม่มีปัญหา แต่ดูเหมือนคนไข้จะจำอย่างอื่นไม่ได้เลย รวมทั้งตัวเขาเองด้วย”

“ขอผมเข้าไปเยี่ยมเขาหน่อยครับ”

เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นที่หน้าห้องของโรงพยาบาลเอกชนราคาแพง ไม่ทันไรประตูสีเทาก็เลื่อนออก เผยให้เห็นร่างสูงโปร่งของผู้ชายอายุราว 28 ผมซอยสั้นสีดำชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่กลับดูน่าดึงดูดมากกว่าที่จะดูน่ารังเกียจ เขารีบรุดเข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงซึ่งมีผมนอนอืดอยู่

ใบหน้าเรียวหล่อเหลาเต็มไปด้วยความกังวล คิ้วหนาสองข้างขมวดมุ่น พลางไล่สายตาไปทั่วบริเวณ ก่อนจะถือวิสาสะเข้ามาจับเนื้อต้องตัวผมเอาดื้อๆ

“ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม? เจ็บตรงไหนบ้าง?”

สีหน้า สายตา และน้ำเสียง ล้วนแต่เต็มไปด้วยความห่วงใยอันผิดปกติ ดวงตาสีนิลหยุดลงที่ใบหน้าเรียบเฉยของผมเหมือนต้องการคำตอบ ผมได้แต่นิ่งจนคนตัวใหญ่ยอมผละมือออกไปจากร่างกาย

“ผมไม่เป็นอะไร ว่าแต่… คุณเป็นใครครับ?”

“ไม่จริง…”

คำพูดเสียงแผ่วเบาอย่างคนสิ้นหวังเปล่งออกมาพอให้ได้ยิน สายตาที่ราวกับจะตำหนิตัวเองของเขายิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจ ความจริงแล้วผมก็ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ ผมคือใครก็ยังจำไม่ได้ แล้วมาอยู่ในโรงพยาบาลนี้ได้ยังไง โดนอะไรมา ไม่รู้เลยสักอย่าง

“เธออาจกำลังสับสน แต่ฉันขอให้เธอฟังฉัน และเชื่อฉัน..”

ผู้ชายแปลกหน้าเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างๆพลางดึงมือข้างหนึ่งของผมไปกุมไว้ ผมอยากจะชักมือกลับอยู่หรอกถ้าไม่ใช่เพราะใบหน้าที่ดูเจ็บปวดมากดันฉายอยู่ตรงหน้าตอนนี้ ผมยอมนอนเงียบๆและฟังเขาอย่างที่บอก ความจริงแล้วผมอาจจะสับสนน้อยกว่าเขาด้วยซ้ำ

“เธอชื่อปลาย เป็นพนักงานร้านขนมปัง ส่วนฉันชื่อรัฐเป็นลูกค้าประจำ เราสองคนสนิทกันนะ หรือฉันคิดไปเองคนเดียวก็ไม่รู้สิ แต่ช่างเถอะ.. เธอน่ะถูกหลอกจนติดหนี้ก้อนโตก็เลยโดนเจ้าหนี้ตามล่า ดูเหมือนจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอหายตัวไปอย่างปริศนาเป็นเวลาหลายวัน ในที่สุดฉันก็ให้คนออกตามหาจนพบเธอนอนสลบอยู่ในตึกร้าง แล้วก็ช่วยพามาที่นี่ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะ…ความจำเสื่อม”

แรงบีบที่มือเกิดขึ้นเมื่อคนที่ชื่อรัฐพูดมาถึงส่วนท้าย สายตาของเขาหลุบต่ำลงพลางกัดริมฝีปากตัวเองอย่างแรง คิ้วสองข้างยังคงขมวดเข้าหากันเหมือนคนเครียดจัด นั่นยิ่งทำเอาผมไม่เข้าใจ… เราสนิทกันขนาดที่เขาจะต้องมานั่งเสียใจแบบนี้เลยเหรอ ทั้งๆที่เป็นแค่พนักงานขายขนมปัง กับลูกค้าขาประจำก็แค่นั้น

“ครอบครัว.. ครอบครัวของผมล่ะ?” ผมถามหาสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่คุณรัฐกลับเงียบไปสักพัก พลางตีสีหน้าเศร้าหมองขึ้นไปอีก

“เสียใจด้วยนะ พ่อแม่ของเธอเสียไปตั้งแต่เธอยังเด็กน่ะ แต่ว่าไม่เป็นไรหรอก หลังจากนี้ฉันจะดูแลเธอเอง หนี้ของเธอฉันก็จัดการเรียบร้อยแล้วนะ เธอจะย้ายมาอยู่กับฉันก็ได้”

“เอ่อ.. ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมคงมีบ้าน..ใช่ไหม?” ผมถามเสียงอ่อย รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าตนไม่ได้มีครอบครัวอยู่แล้ว

“เธอพักอยู่ที่ห้องเช่าเก่าๆแถวนี้”

“งั้นก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมจะกลับไปอยู่ที่นั่น”

“แต่ว่า..”

“ไม่เป็นไรจริงๆครับ แต่ที่ผมหายไป.. งานคง…”

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงนะ ฉันอธิบายให้เจ้านายเธอที่ร้านขนมปังฟังแล้วล่ะ เธอกลับไปทำงานต่อได้”

ผมยิ้มออกมา พอจะคลายสีหน้าตึงเครียดของคนตรงหน้าลงไปได้บ้าง แปลกคนจริงๆนะ เป็นห่วงผมขนาดนี้ ดูแลผมขนาดนี้ ทำเพื่อผมขนาดนี้… ทำไมกัน

ดูเหมือนจะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมลืมไปจริงๆ ความจำเสื่อมงั้นเหรอ…น่ากลัวเหมือนกันแฮะ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะลนลานไปเพื่ออะไร ยิ่งได้ฟังประวัติตัวเองจากที่คุณรัฐเล่าก็ยิ่งใจเย็นได้ เพราะดูเหมือนชีวิตของผมก่อนหน้านี้มันก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้ว ก็แค่ชีวิตตัวคนเดียว ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครเท่านั้น…

แต่ทำไมกันนะ…ลึกๆแล้วผมกลับรู้สึกแย่มาก เหมือนกับว่าเรื่องที่ลืมไปมันสำคัญมาก… สำคัญต่อตัวผมมาก…

และสำคัญต่อใครบางคนมาก…?


--------------------------------------------------

กลับมาแล้วววว! ตอนนี้ยาวอะ แต่งเพลินจริงๆ
แล้วแบบ.. มีหลายอารมณ์มาก 555
ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายของภาคย้อนอดีตแล้วเน่อ พอจะเข้าใจเรื่องกันแล้วยังเอ่ย?
ใครที่เดาๆไว้ว่า ความจำเสื่อม ก็ถูกเพ็งเลย 55
ยังไงก็ฝากติดตามต่อไปด้วยนะค้า~
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 14 : เดินทางอีกครั้ง (04/06/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Kaame ที่ 05-06-2013 18:12:38
เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เองงง  :o12: :o12: :o12:
จริง ๆ แล้วก็คือรักกันมาก แต่ปลายจำไม่ได้สินะ T T
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 14 : เดินทางอีกครั้ง (04/06/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 05-06-2013 18:37:49
อย่าบอกนะ ว่าปลายแค่เพ้อไปเอง  :hao5:
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 14 : เดินทางอีกครั้ง (04/06/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Monochrome ที่ 05-06-2013 19:16:21
เรื่องมันเศร้า TT_________TT เดาต่อไม่ถูกว่าจะเป็นเช่นไร ตอนหน้าน่าจะต่อจากปัจจุบัน?? พ่อฌาณจะสะกิดอะไรบ้างไหมน้อ
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 14 : เดินทางอีกครั้ง (04/06/56)
เริ่มหัวข้อโดย: EverGreen™ ที่ 05-06-2013 19:38:33
เหมือนจะเก็ทละ

แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันใช่อย่างที่คิดมั้ย

 :katai1:

คือปลายความจำเสื่อมมาตลอดใช่มั้ยเนี่ย
ที่จริงก็คือปลายเดียวกันกับที่ฌาณตามหา

ใช่มั้ย???????

 :katai1:

โอ๊ยยยยย

รอเฉลยยยย

ลุ้นนนนนนนน :katai4:
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 14 : เดินทางอีกครั้ง (04/06/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 05-06-2013 22:13:31
เนี่ยะๆ มีคนเดาเรื่องถูกเป๊ะๆด้วย 5555
คือมันก็ไม่ได้ซับซ้อนไรมากเลยนะ เพราะคนแต่งก็มีสกิลไม่มาก กร้ากกก

แอบมาแง้มว่าหลังจากนี้ ฌาณ บทหาย ;w; ฮ่าๆ
แล้วจะมีอีกคนมาแย่งบทไปแทน

ถ้าไม่ผิดพลาด จะมาอัพอีกทีวันที่ 7 นะคะ
ฝากติดตามกันด้วยเน่อ ><

 :katai5:
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 14 : เดินทางอีกครั้ง (04/06/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 05-06-2013 23:16:14
นั่นไงว่าแล้วววว สรุปคือปลายเดียวกันจริงๆด้วย ><
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 15 : ออกตามหา (07/06/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 07-06-2013 19:34:44
บทที่ 15
ออกตามหา


 

ปัจจุบัน : โลกใบที่ 23

 

แรงกระชากบางอย่างพาตัวผมกลับมานั่งอยู่บนโซฟาโทรมๆ เปลือกตาสองข้างค่อยๆลืมขึ้นอย่างยากลำบาก ภาพเบื้องหน้าคือห้องเช่าเก่าๆของผมในโลกใบที่ 23 นั่นเอง... กลับมาแล้ว

กลับมาพร้อมทั้งความทรงจำที่เคยหายไป...

ผมนั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานพอตัว น้ำตาไหลลงมาอย่างหยุดไม่ได้ ไหลออกมาแบบนั้นโดยปราศจากเสียงใดๆ... หัวใจมันถูกบีบรัดจนแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ความทรงจำคอยย้อนกลับมาทำร้ายกันภายในหัวสมอง ยิ่งเร้าให้รู้สึกเจ็บช้ำ

ผมคนนี้ในโลกใบที่ 23... ผมที่ได้เจอฌานในโลกใบที่ 27... กับปลายคนนั้นที่รักกับฌานในโลกใบที่ 18... ทั้งหมดล้วนเป็นคนเดียวกัน

คือผมเอง.. ผมเองฌาน... ผมเองที่รักคุณ

“ขอโทษ”

น้ำเสียงสั่นเครือหลุดออกมาจากปากของ CD ซึ่งกำลังลอยมาหยุดอยู่ตรงหน้า มือเล็กๆนั่นพยายามจะเอื้อมเข้ามาเช็ดน้ำตาให้ แต่มือของผมกลับปัดมันออกไวกว่าความคิด ผมห้ามตัวเองไม่ให้โกรธไม่ได้ ห้ามไม่ให้ถลึงตาใส่ยัยเด็กตรงหน้าที่เริ่มร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตายไม่ได้

“ฮึก..ขะ.. ขอโทษ นะ..”

“ทั้งที่รู้อยู่แล้ว...”

ทั้งๆที่รู้ดีอยู่แล้ว ว่าผมคือใคร ว่าปลายคนนั้นคือใคร ทั้งที่เป็นแบบนั้น เธอกลับนิ่งเฉยเพียงเพราะกลัวตัวเองเดือดร้อนแค่นั้น!! นี่ไง เหตุผลที่ผมเกลียดพวกเซลล์ขายของนัก เอาแต่นึกถึงตัวเอง แล้วเที่ยวหลอกชาวบ้านอย่างนึกสนุกแบบนี้!!

“ฮือ...ขอโทษ.. ขอโทษนะ.. โฮฮฮ ฮฮ !!”

มือสองข้างของผมกำหมัดแน่นจนปวดไปหมด ต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่ปล่อยกำปั้นออกไปปะทะเข้ากับใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตาของเด็กคนนี้

เธอเอาแต่กรีดร้องและปล่อยให้น้ำตาพรั่งพรูออกมาจนดูน่ากลัว ความเจ็บปวดของภาพตรงหน้าทำให้ผมหยุดร้องไห้ลงได้ ราวกับว่าเธอแบ่งเอาไปแล้ว... ความรวดร้าวในใจของผม ราวกับว่าเธอพยายามที่จะแบ่งมันไป เพื่อชดเชยความผิดอันน่ารังเกียจที่ได้กระทำ

“ทำไม...?” ผมถามเสียงสั่น พลางเอื้อมมือออกไปคว้าตัวของ CD เข้ามาใกล้ เธอทำได้เพียงส่ายหน้าไปมาเหมือนคนเสียสติ

“กฎ.. ม..มันเป็นกฎนี่น่า ฮึก...”

“ทำไมนะ..”

“ถะ..ถ้าเข้าไปยุ่ง ฉันก็ต้องตาย แน่ๆ..ฮือออ”

“ทำไม...”

ผมเองก็คล้ายว่าจะกลายเป็นคนบ้าเต็มที เสียงที่เปล่งออกไปได้มีเพียงแค่คำๆเดิมซ้ำไปซ้ำมา มือสองข้างโอบรัดร่างเล็กของ CD เข้ามาไว้ในอ้อมกอดแน่นหนา พอดีกับที่น้ำตามันไหลออกมาอีกครั้ง หัวใจที่เคยเต้นถี่รัวเพราะแรงโกรธ ตอนนี้กลับสูบฉีดอย่างเนิบช้า...

ใช่แล้ว หัวใจ... หยุดไปเลยก็ได้ ถ้ามันจะทำให้ผมไม่ต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้ ขอร้องล่ะ หัวใจ...หยุดเต้นสิ หยุดสักที! หรือว่าผมควรจะควักมันออกมาเลยดีล่ะ ก็หัวใจดวงนี้มันเป็นดวงเดียวกันกับที่เคยเต้นโครมครามเวลาที่อยู่กับฌาณนี่น่า... แล้วถ้าไม่มีมันล่ะ

ถ้าไม่มีมัน.. ผมก็จะสามารถลืมฌานได้หรือเปล่า

ลืมไปเลยดีหรือเปล่า... ลืมไปเลย...

“ทำไมนะ ทำไม...”

“ฮืออ.. ฉะ..”

“ทำไมผมถึงต้องมาเจอเธอด้วย?”

“....โฮฮฮฮฮฮ!!!!”

CD ปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง ช่างเป็นความเจ็บปวดที่ราวกับพายุจริงๆ เสื้อของผมถูกเธอดึงทึ้งอยู่ภายในวงแขน ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเด็กผู้หญิงตรงหน้า... ร่างกายผมหยุดนิ่ง ปล่อยให้น้ำตาไหลราวกับคนที่หมดสิ้นทุกสิ่ง เวลาภายในห้องผ่านไปช้าเหลือเกิน ถึงอย่างนั้นน้ำตามันก็ยังไหลอยู่ ไหลออกมาทั้งที่พูดอะไรไม่ออกเลย หัวใจก็ได้แต่ปวดร้าวอยู่อย่างนี้ ช่างทรมานจริงๆ..

นานมาก..กว่าที่ผมและ CD จะเรียกสติกลับคืนมาและห้ามน้ำตาไว้ได้ ในขณะที่เธอพยายามพูดจาปลอบใจ ผมกลับปล่อยให้คำพูดเหล่านั้นลอยผ่านหูไป พลางทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าในตอนนี้กลายเป็นสีดำ ดวงดาวบนนั้นก็จางเหลือเกิน

เหมือนกันเลย... ภายในจิตใจของผมตอนนี้ก็เป็นสีดำ และไม่มีแสงที่จะเป็นความหวังเหมือนกันเลย...

“อย่าเป็นแบบนี้สิ” CD ยังคงพยายามพูดต่อไป แต่ผมไม่ทันได้ฟังว่าเธอพูดอะไร คำพูดนั้นก็กลับลอยหายไปเสียก่อน.. ดวงตาผมคงไร้แวว ข้างในจมูกมันแสบ ขอบตาทั้งสองข้างก็ร้อนผ่าว หัวสมองมันว่างเปล่าไปหมด...

“ทำไมถึงเอาแต่เหม่อแบบนี้”

“...”

“โธ่ ปลาย...”

ลืมดี? ไม่ลืมดี? ลืมไปเลยดี? หรือจะไม่ลืมดี?

ตอนนี้มันเจ็บ เจ็บไปหมด รู้สึกเหมือนว่าแค่ขยับตัวอีกเพียงเล็กน้อย..ร่างกายนี้ก็จะแหลกละเอียดลง หัวใจของผมกำลังถูกใครสักคนบีบรัดจนน่าอึดอัด ผมว่ามันน่าโมโหนะ... มันน่าโมโหโชคชะตา ที่เอาแต่เล่นตลกไม่รู้เวลาแบบนี้...

ทั้งๆที่หัวใจกำลังอ้อนวอน ให้ทิ้งทุกอย่างไปแล้วลืมซะเลย จะได้ไม่ต้องทนทรมานกับความเป็นจริงที่โหดร้าย ความจริงที่ได้รู้เอาในวินาทีที่ช้าเกินไป แต่ว่านะ.. ลึกลงไปข้างในมันกลับร่ำร้อง บอกว่าไม่ให้ลืม บอกว่าจะลืมไปไม่ได้

จะลืมผู้ชายคนนั้นไม่ได้.. คนที่เอาความสุขมาเติมให้ คนที่คอยปลอบโยนด้วยความอบอุ่น คนที่ทำให้หัวใจเต้นรัวจนหยุดไม่ได้คนนั้น.. ก็เพราะว่ารักมากขนาดนั้น แล้วจะให้ลืมง่ายๆได้ยังไงเล่า! ต่อให้พูดว่าอยากลืม หรือว่าควรจะลืมไปซะคงดีกว่า แต่มันก็ทำไม่ได้นี่น่า!

เราน่ะ...ไม่มีทางที่จะลืมสายตาซึ่งเคยเย็นชาจนน่ากลัว หรือจะเป็นสายตาเจ้าเล่ห์อย่างที่ไม่ชอบเลยนั่นก็ด้วย ไม่ว่าจะอะไรก็ลืมไม่ได้ ไม่สิ.. ไม่ใช่ว่าลืมไม่ได้ แต่เพราะว่าเรา ไม่อยากจะลืมมันเองมากกว่า

“พาไปที..”

ผมละสายตาออกจากท้องฟ้ายามค่ำคืน และหันกลับมาจ้องหน้า CD ท่ามกลางความเงียบ แต่วินาทีที่เห็นหน้าเธอ ผมก็ห้ามน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ น้ำเสียงที่เปล่งออกไปสั่นเครือ พูดออกไปด้วยความทรมานเหลือเกิน

“พากลับไปที”

“ป..ไปไหน?”

“โลกใบที่ 27”

 

“ฌาณ!!”

ผมโพล่งชื่อของคนรักขึ้นมาทันทีที่ก้าวขาเข้ามาภายในร้าน Snow Farm หลังจากที่เดินทางจากโลกใบที่ 23 กลับมาที่โลก 27 อีกครั้ง พี่ทิพย์ยังคงอยู่ที่นี่ สายตาจ้องมาทางผมด้วยความงุนงงระคนตกใจ

“ปลาย! ไปไหนมา?”

“พี่ทิพย์ ฌานอยู่ไหนครับ??”

“พอปลายออกไปจากร้าน คุณฌานก็รีบตามออกไปเลย แต่พอกลับมาก็มีท่าทีแปลกๆ ตอนนี้อยู่หลังร้าน” ผมเผลอส่งเสียงไม่พอใจในลำคอเพราะเห็นว่าพี่ทิพย์เอาแต่ร่ายยาว เมื่อรู้ที่อยู่ของคนที่ตามหา ก็รีบรุดไปหาทันที แผ่นหลังของฌานคือสิ่งแรกที่ได้เห็นหลังจากประตูเปิดออก

“ฌาณ!”

“...”

“ฌาณ!!”

ผมร้องอย่างดีใจเมื่อคนตัวใหญ่หันหน้ากลับมาหา ไม่ทันรอให้เขาตอบอะไรกลับ ผมก็เป็นฝ่ายตรงเข้าไปสวมกอดฌาณไว้แน่น มือทั้งสองข้างเผลอขย้ำเสื้อยืดของฌานด้วยอารมณ์ภายในตัวที่กำลังพุ่งสูงขึ้น ไม่เคยคิดว่าการได้เห็นหน้าเขา จะทำให้ผมดีใจมากมายถึงขนาดนี้เลย

“นี่..นาย!”

ได้มีความสุขอยู่เพียงครู่เดียว ทุกอย่างกลับพังทลายลงเมื่อฌานดันตัวผมออกอย่างแรงจนน่าใจหาย สายตาดุดันถูกส่งมาให้พร้อมกับคำพูดแปลกๆ

“นายคงจะเป็นน้องชายของพี่รัฐที่ทิพย์พูดถึงสินะ”

“เอ๊ะ...?”

“แปลกจริงๆ ทำไมถึงจำไม่ได้ว่ารับนายเข้าทำงานตั้งแต่เมื่อไร ฉันเป็นอะไรเนี่ย” เขากึ่งพูดกึ่งพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหันไปมองทางอื่นยิ่งทำเอาผมงงมากขึ้นอีก อะไรกัน.. ทำไม ฌานถึง...

หรือว่านี่จะเป็นฌานของโลกนี้ ก็แปลว่าฌานที่ผมหาอยู่ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วงั้นสิ!

“CD!” ผมร้องเรียกยัยเด็กผีเต็มปากเต็มคำ โดยไม่ห่วงเลยว่าฌานคนนี้จะเข้าใจไปยังไง ไม่ถึงวินาที คนถูกเรียกก็ปรากฏตัวให้เห็น สีหน้ารู้สึกผิดยังคงสื่อออกมาชัดเจน

“ฌาณไปแล้วใช่ไหม?”

“...”

อีกครั้งกับความเงียบอันน่าอึดอัด และชวนให้โมโห เพราะกฎบ้าบอไร้สาระของพวกเซลล์ขายทริป ทำให้เด็กนี่ไม่สามารถบอกข้อมูลอะไรกับลูกค้าได้ นอกจากให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ชีวิตบนโลกแต่ละใบเท่านั้น น่าขำสิ้นดี สุดท้ายก็เป็นแค่นโยบายที่ตั้งขึ้นเพื่อหวังรีดไถอายุขัยจากผู้ใช้บริการ ในสถานการณ์แบบนี้ไง! แต่ช่างเถอะ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้พูด แต่ดูจากหน้าตาท่าทาง รวมทั้งความผิดปกติของฌานคนนี้ ก็พอจะรู้ได้ไม่ยากว่าผมเดาถูกแล้ว

“เอ่อ.. 40... ไปที่โลก 40

ผมชั่งใจเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจเลือกตัวเลขจาก 1-50 ออกไป CD พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะทำการดูดเอาค่าเดินทางไปจากตัวผม พร้อมๆกับช่องว่างแห่งมิติบางอย่างซึ่งโผล่ออกมาอยู่เบื้องหน้า ผมรีบก้าวขาเข้าไปตามแรงดึงดูดมหาศาลที่ส่งออกมา มีเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นที่นึกหันกลับไปสบสายตากับฌานคนเมื่อครู่ เขากำลังมองมาที่ผมเช่นกัน แต่ด้วยสายตางุนงงเป็นที่สุด แล้วก็เป็นสายตาแบบที่ผมไม่คุ้นเคยจริงๆด้วยสิ

เราเสียเวลามวนท้องเวียนหัวกันเหมือนทุกครั้ง ก่อนที่ผมลืมตาขึ้นมาพบกับโลกใบใหม่ ทั้งๆที่อยากจะตะโกนชื่อของฌานออกไปดังๆตั้งแต่วินาทีแรกที่มาถึง แต่สุ่มเสียงทั้งหมดกลับถูกดูดกลืนหายไปเมื่อเห็นว่าภาพตรงหน้าคืออะไร...

ห้องเลคเชอร์ขนาดใหญ่ ที่นั่งแถบหน้าเต็มไปด้วยนักศึกษาในชุดสีขาวดำแลดูมีเกียรติ ทุกคนแถวนั้นกำลังขะมักเขม้นจดเนื้อหาตามเสียงจากลำโพง ถัดออกมาอีก หลายคนเริ่มวุ่นวายอยู่กับกลุ่มเพื่อนของตัวเอง บ้างก็นั่งแต่งหน้า เล่นโทรศัพท์มือถือ หรือก้มหน้าก้มตาทำอะไรบางอย่างกับสมุด ซึ่งเชื่อแน่ว่าไม่ใช่การเรียน ส่วนผมน่ะเหรอ... ก็นั่งเหรอหราอยู่เอาเกือบท้ายสุดของห้องเลยน่ะสิ

เมื่อก้มลงมองที่โต๊ะตัวจิ๋ว ก็เห็นสมุดโน้ตว่างเปล่ากับปากกาด้ามเดียวนอนแหมะอยู่บนนั้น เสื้อผ้าที่ผมสวมใส่ก็ถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นชุดนักศึกษาเช่นกัน ที่นี่มัน…มหาวิทยาลัย!? เป็นอีกครั้งที่ผมโผล่มาในโลกที่ตัวเองได้เรียนหนังสือ แถมคราวนี้ยังมีโอกาสได้เข้ามานั่งเรียนจริงๆซะด้วย

“นักศึกษา”

เสียงทุ้มถูกกดให้ต่ำลงจนน่ากลัว ผมค่อยๆเงยหน้ามองอาจารย์ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้านักศึกษาเกือบร้อยคนในที่แห่งนี้ สองมือรีบยกขึ้นปิดปากตัวเองเพื่อกลั้นเสียงที่อาจเล็ดรอดออกมาด้วยความตกใจ บ้าไปแล้วแน่ๆ! อาจารย์ในมหาวิทยาลัยของผมที่โลกใบนี้..

คือคุณรัฐอย่างนั้นเหรอ!?

------------------------------------------

ตัวขโมยบทโผล่แล้ว xD
ตอนต่อไปไม่รู้จะได้ลงเมื่อไร เพราะว่าไฟล์ของตอนนั้นอยู่ในคอม
แล้วคอมเสีย ;w; ที่ลงตอนนี้ได้เพราะเคยเซฟไว้ใน usb อ่า
เซ็งเลย อยากอัพไวๆ (แม้จะแต่งไม่ทัน 55)
คือช่วงนี้ชอบรัฐมาก อยากให้มีคนพูดถึงรัฐบ้าง 55555
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 15 : ออกตามหา (07/06/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 08-06-2013 10:15:50
สงสารปลายจัง เสียค่าเดินทางตั้งมากมาย กว่าจะเจอกัน ปลายคงเหลือเวลาไม่มากแล้วสิ....
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 15 : ออกตามหา (07/06/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Monochrome ที่ 08-06-2013 14:59:06
คุณร๊าดดดดดดด โผล่มาขโมยซีนทุกทีสิน่า 5555
แต่ยังไงเสียบทเธอก็คือ พระรอง นะเออ >,,,,,<

แอบกลัวจังว่าสุดท้ายต่อให้ใช้เวลาจนแทบไม่เหลือแล้ว....ก็ยังไม่เจอกัน
แต่ว่านะครั้งนั้นที่ CD ใช้ทริปหมดอายุ  เป็นความผิดพลาดของเซลล์  ปลายเอาไปฟ้อง สคบ. ได้นะ แหะๆ
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 15 : ออกตามหา (07/06/56)
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 09-06-2013 00:50:05
โห งี้กว่าจะเจอ ตายกันพอดี
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 16 : อีกครั้งและอีกครั้ง (11/06/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 11-06-2013 20:08:15
บทที่ 16
อีกครั้งและอีกครั้ง


 

สายตาของผมจับจ้องไปที่คุณรัฐซึ่งกำลังทำหน้าที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในตอนนี้อยู่ ภายในหัวก็กำลังประมวลเหตุการณ์บ้าๆทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับชีวิต สรุปว่าเมื่อประมาณ 6 เดือนก่อน ระหว่างที่ผมกำลังหนีเจ้าหนี้ ผมก็ได้เดินทางไปที่โลก 18 ไปเจอกับฌานและได้รักกันมาก่อน แต่เพราะเหตุขัดข้องระหว่างที่พวกเรากำลังจะเดินทางไปโลกใบที่ 1 ทำให้ทั้งผมและฌานถูกดีดกลับมาที่โลกใบเดิมของตัวเอง แล้วก็เป็นอย่างที่ยัย CD คอยย้ำแต่ผมคงไม่ทันได้ฟังเอง... เรื่องที่ว่าเราจะโผล่กลับมา ณ จุดจุดเดิมกับขาไปพอดีเป๊ะ นั่นทำให้ผมพลาดตกบันได ความจำเสื่อม

หลังจากนั้น CD ก็ปรากฏตัวขึ้นมาหลอกผมอีกครั้ง และนำพาผมไปที่โลก 27 ที่นั่นผมได้เจอฌานซึ่งกำลังออกตามหาตัวผม ซึ่งเป็นตัวผมจริงๆ แต่ผมดันจำไม่ได้เอง ถึงทำให้เราต้องคลาดกัน.. มันคงดีกว่าถ้าความทรงจำจะกลับคืนมาในเวลาที่ยังอยู่ข้างๆเขา แต่ความโชคร้ายทำให้ผมนึกเรื่องทั้งหมดได้ ในตอนที่หนีจากฌานมาแล้ว พอกลับไปที่โลก 27 ฌานก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นอีกต่อไป เขาคงจากไปเพราะรู้ว่า ปลายของโลกใบนั้นยังไม่ใช่ปลายที่เขาตามหาอยู่ดีนั่นแหละ

บ้าบอชะมัดเลยเนอะ นี่มันละครเรื่องอะไรหรือไง ทำไมถึงได้โหดร้ายนักล่ะ?

ผมสะบัดหัวไล่ความคิดทั้งหมดออกไปก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาอีกครั้ง ไม่นานนัก คุณรัฐก็บรรยายสรุปเนื้อหาของวันนี้อย่างรวบรัด ก่อนจะบอกลานักศึกษา เป็นอันจบการเรียนการสอนลง นักศึกษาส่วนใหญ่รีบกรูกันออกไปจากห้อง ยังเหลือแค่บางคนที่ตรงเข้าไปพูดคุยกับคุณรัฐอย่างเด็กคงแก่เรียน พอเห็นว่าไม่เหลือใครแล้ว ผมจึงรีบวิ่งเข้าไปดักหน้าคุณรัฐซึ่งทำท่าจะเดินออกจากห้อง

“คุณร.. ไม่สิ อาจารย์ครับ ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ?”

“ว่ามาสิ”

“ที่นี่มีนักศึกษาที่ชื่อ ฌาณ หรือเปล่าครับ?”

ยากเลยสิ… ไอ้คำถามกว้างสุดขอบโลกแบบนี้ ต่อให้เป็นโดราเอม่อนก็คงไม่รู้หรอกครับแหม่! แต่ผมก็อยากลองเสี่ยงถามดู เพราะถ้าไม่ใช่คุณรัฐ ผมก็ไม่รู้จะแบกหน้าไปปรึกษาใครแล้วจริงๆ เพราะคนที่ผมรู้จักที่นี่มันน้อยเหลือเกิน

ยังไงก็ตาม ฌาณจะต้องอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากผมแน่ เพราะยัย CD เคยบอกว่า ‘โดยปกติแล้ว คนที่มีความสัมพันธ์หรืออาศัยอยู่ในละแวกเดียวกัน ก็จะมีความสัมพันธ์บางอย่าง หรืออย่างน้อยก็อาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียงกัน ในโลกทุกๆใบเช่นกัน’

แล้วจากการเดินทางที่ผ่านมาผมก็รู้แล้วว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ โลกใบที่ 23 โลกดั้งเดิมของผม คุณรัฐเป็นลูกค้าร้านขนมปังที่ผมทำงานอยู่ ขณะเดียวกันฌาณก็เป็นคนในพื้นที่นั้นเหมือนกัน ถึงแม้ว่าผมจะเคยเห็นหน้าเขาแค่ไม่กี่ครั้งก็ตามที พอมาที่โลก 27 คุณรัฐก็กลายมาเป็นพี่ชายของผม ส่วนฌาณก็เป็นเจ้านาย และโลก 18 ที่ผมกับฌาณเป็นคนรักกัน ในขณะที่คุณรัฐก็เป็นคนสนิท

ในโลกทุกๆใบ ผมและคนเหล่านี้จะต้องมีบางอย่างเชื่อมโยงหรือเกี่ยวเนื่องกันอยู่ แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่มันก็จะต้องมีอยู่แน่ๆ… สายสัมพันธ์ที่จะสามารถพาผมไปพบกับฌาณได้

“ถามอะไรของเธอ”

“เอ่อ.. ขอโทษครับ มันอาจจะดูแปลก แต่ว่ามันสำคัญกับผมมาก!”

ผมยังคงตื้อเอาคำตอบโดยไม่สนใจว่าคุณรัฐจะตีสีหน้าเบื่อหน่ายเพียงใด หวังว่าการกระทำของผมคงไม่ทำให้ชีวิตตัวเองให้โลกนี้ลำบากหรอกใช่ไหม ผมกำลังแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสมกับอาจารย์อยู่หรือเปล่าเนี่ย แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องทำ ผมต้องหาฌาณให้เจอ!

“แล้วไม่รู้ชื่อจริงหรือไง?” คุณรัฐถอนหายใจ และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีจนได้ แต่น่าเสียใจที่ผมรู้เรื่องเกี่ยวกับฌาณน้อยเกินไป

“เอ่อ ไม่ทราบครับ”

“ถ้าอย่างนั้นฉันก็คงช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ เธอคิดว่าที่นี่มีนักศึกษากี่คนกัน”

ผมได้แต่ก้มหน้างุดยอมรับความเป็นจริง คุณรัฐทำท่าเหมือนจะเดินผ่านผมไป… บางทีฌาณอาจไม่ใช่นักศึกษา ถ้าเขาเป็นรุ่นน้องคุณรัฐไม่กี่ปี และมีอายุมากพอจะเปิดร้านของตัวเองก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเขาจบปริญญาแล้ว ก็หมอนั่นหน้าเด็กนี่ ใครจะไปเทียบอายุถูกเล่า!

“อะ..อาจารย์ล่ะครับ? มีอาจารย์ชื่อฌาณหรือเปล่า เอ่อ…อายุน้อยกว่าอาจารย์ไม่กี่ปีน่ะครับ” ผมผายมือไปทางคุณรัฐ ก่อนที่เขาจะเดินพ้นจากประตูห้องไป

ตอนนี้เองที่ผมรู้สึกนึกโกรธตัวเอง ทั้งๆที่เราก็รักกันมากขนาดนั้น แต่ภายในเวลาอันแสนสั้น เรากลับไม่ได้พูดคุยเรื่องของกันและกันมากเท่าที่ควรเลย โดยเฉพาะพวกเรื่องสำคัญ…ก็นะ เราเอาแต่มัวตื่นเต้นกับโลกที่ไม่ใช่ของเรา และเสียเวลาไปกับการขุดคุ้ยเรื่องราวที่ไม่ใช่ของเรา บทสนทนาส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับปัจจุบันในตอนนั้นเท่านั้นเอง ใช่แล้ว…ยังมีอีกตั้งหลายเรื่องที่อยากพูดคุยด้วย มีคำถามอีกตั้งมากมายที่รอคำตอบ เพราะอย่างนี้ถึงต้องหาเขาให้เจอให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยเศษเสี้ยวของชีวิตตัวเองก็ตาม

“อืม… ใช่อาจารย์ชาญชัย คณะรัฐศาสตร์หรือเปล่า?”

“เอ่อ ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน ถ้ายังไง..”

“จะพาไปเจอแล้วกัน”

“ข.. ขอบคุณ ขอบคุณมากครับ!”

ผมรีบก้าวขาตามคุณรัฐออกไปจากห้อง เลียบไปตามทางเดินของมหาวิทยาลัยอันใหญ่โต แผ่นหลังของผู้ชายตรงหน้าตอนนี้ราวกับเทวดา ผมอาจจะเคยพูดถึงคุณรัฐในแง่ที่ไม่ดีมาก่อน แต่ก็รู้แก่ใจว่าจริงๆแล้วคุณรัฐเป็นคนดีขนาดไหน แม้แต่ในโลกใบนี้ หรือโลกอื่นๆที่ผ่านมาเองก็เหมือนกัน คุณรัฐดีกับผมเสมอเลย ดีจริงๆ…ดีจริงๆที่ได้รู้จักคนคนนี้

เราเดินเลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆ ก่อนจะเจอกับป้ายคณะรัฐศาสตร์แปะหราอยู่บนยอดตึก คุณรัฐเดินนำไปจนถึงห้องปรับอากาศห้องหนึ่ง ด้านในมีอาจารย์อยู่แค่สองท่านเท่านั้น

“อาจารย์ชาญชัย”

“อ้าว อาจารย์รัฐฐา สวัสดีครับ”

อาจารย์ชาญชัยที่ว่าเงยหน้าขึ้นจากกองหนังสือบนโต๊ะเพื่อทักทายผู้มาเยือน ผู้ชายท่าทางภูมิฐานในชุดสูทชั้นดี รับกับแว่นตากรอบดำดูไม่แก่จนเกินไปกำลังยิ้มกว้างมองเราทั้งคู่ด้วยสายตาประหลาดใจ

“พอดีว่าเด็กคนนี้กำลังตามหาอาจารย์ที่ชื่อ ฌาณ น่ะครับ ว่าไงล่ะ?” คำสุดท้ายนั่นคุณรัฐหันมาถามผมซึ่งได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น ผมส่ายหน้าเล็กน้อย ในอกเต็มไปด้วยความเกรงใจแบบสุดๆ แต่คุณรัฐกลับทำเพียงถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะหันไปขอโทษอาจารย์ชาญชัย พลางดึงมือของผมให้เดินตามออกไปจากห้อง

“ข้างๆนี้เป็นตึกคณะศิลปกรรม มีอาจารย์รูปหล่ออายุยังน้อยชื่อ ชาญวิทย์ คิดว่าคงใช่คนที่เธอตามหานะ”

“อ๊ะ ครับ! อาจจะใช่นะ” อาจารย์รูปหล่ออายุยังน้อย นี่แหละใช่เลย ต้องใช่แน่ๆ ขอให้ใช่ทีเถอะ อ่า.. แต่ถึงจะใช่ฌาณจริงๆ ก็อาจจะเป็นแค่ฌาณในโลกใบนี้ ไม่ใช่คนที่เราตามหาสักหน่อย

จะว่าไปแล้ว เปอร์เซ็นที่เราจะเจอกันมันเกือบจะเป็นศูนย์ด้วยซ้ำ ในเมื่อผมก็กำลังตามหาเขาอยู่แบบนี้ แล้วเขาก็กำลังตามหาผมเช่นกัน แต่จะบอกให้รออยู่ที่ไหนสักแห่งก็ทำไม่ได้หรอก เพราะผมไม่รู้ว่าฌาณผ่านไปที่โลกไหนบ้างแล้ว และเขาคงจะไม่ย้อนกลับไปที่โลกใบเดิม เอาเป็นว่าตอนนี้ ผมแค่อยากจะค้นหาเขาให้สุดความสามารถ โดยมีโชคเป็นเดิมพันเท่านั้นแหละ

คุณรัฐพาผมลัดสนามไปถึงตึกคณะศิลปกรรม มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งเตรียมงานบางอย่างอยู่แถวนั้น และดูเหมือนพวกเราจะต้องเร่งฝีเท้ามากขึ้นเพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าสายตานัก ในที่สุดก็มาถึงห้องพักอาจารย์ ปอยผมสีดำโผล่พ้นจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ราคาแพงทำเอาใจผมเต้นรัว ความหวังบางอย่างก่อตัวขึ้น พอดีกับที่คุณรัฐเดินเข้าไปทักทายเป้าหมาย

“อาจารย์ชาญวิทย์ ขอเวลาสักครู่นะครับ”

“สวัสดีครับอาจารย์รัฐฐา”

“พอดีว่าเด็กคนนี้เขาอยากลองพบคุณ”

ผมรีบรุดเข้าไปหาโต๊ะตรงหน้า เพื่อจะพบว่า… เขาไม่ใช่ฌาณ

“ว่าไง มีอะไรเหรอ?”

“เปล่าครับ ขอโทษครับ” ในใจมันเจ็บแปลบขึ้นมาวูบหนึ่ง ความหวังที่เคยก่อตัวขึ้นพังทลายลงอย่างรวดเร็ว สองขาของผมรีบพาตัวเองออกมาหยุดหอบอยู่ที่หน้าบันได เสียงฝีเท้าหนักหน่วงของใครบางคนดังขึ้นไล่หลังมาติดๆ

“สรวิชญ์!”

“ขอโทษครับอาจารย์ คนที่ผมตามหาคงไม่ได้อยู่ที่นี่” ผมโค้งตัวจนหัวแทบจะติดพื้น เพื่อขอโทษกับการต้องมาเสียเวลาแบบนี้

“เย็นมากแล้ว วันนี้กลับก่อนเถอะ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะช่วยหาต่อ”

“เอ่อ..”

“เดี๋ยวฉันไปส่ง”

“เอ้ยย! มะ ไม่เป็นไรครับ”

ทั้งๆที่พูดว่าไม่เป็นไร แต่คุณรัฐกลับทำเป็นไม่สนใจแล้วดันหลังผมให้เดินลงบันไดอย่างขัดขืนไม่ได้ ด้านนอกเริ่มมีฝนตกปอยๆและดูท่าว่าจะหนักขึ้นเรื่อยๆ เราเดินลอดใต้อาคารเรียนมาโผล่ที่จุดจุดแรกเพื่อไม่ให้เสื้อผ้าต้องเปียก แต่กลับกินเวลาค่อนข้างมากจนท้องฟ้ายิ่งอึมครึมจนดูน่ากลัว คุณรัฐชี้นิ้วไปที่ลานจอดรถใกล้ๆ พอให้เห็นรถญี่ปุ่นสีเงินซึ่งกำลังจอดหลบฝนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เขายืนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอดสูทสีกรมท่าออกมาโยนใส่หัวของผมพอดีเป๊ะ

“อ..อะไรครั..”

ไม่ทันที่ผมจะถามจบ คุณรัฐก็ยกกระเป๋าสีดำในมือขึ้นป้องศรีษะ และออกตัววิ่งตรงไปทางรถของตัวเองเสียแล้ว ฝนเริ่มตกหนักขึ้น ทำให้ผมต้องยอมกระชับเสื้อสูทของคุณรัฐไว้แนบหัว ก่อนจะวิ่งตามเข้าไปนั่งในรถ ตรงเบาะข้างๆคนขับ ชุดสูทถูกถอดออกและยื่นกลับไปให้เจ้าของซึ่งกำลังวุ่นอยู่กับการควานหาบางอย่าง ไม่นานนัก ทิชชู่ซองหนึ่งก็ถูกส่งมาให้ผมเช็ดเนื้อตัวส่วนที่เปียกฝน ทั้งที่คนเปียกกว่าคือเขาแท้ๆเลย

เฮ้ย เดี๋ยวนะ! แล้วบ้านผมที่โลกนี้อยู่ไหนล่ะ จะไปบอกทางถูกได้ไง ตายละ เดี๋ยวอีกแป๊บนึงคุณรัฐต้องหันมาถามว่า ‘แล้วบ้านเธออยู่ไหน?’ แน่ๆ อ๊ากกก ผมคงไม่ทำชีวิตตัวเองที่นี่พังด้วยการทำตัวโง่กลับบ้านไม่ถูกหรอกนะ ;;;

รถยนต์ถูกสตาร์ทขึ้นและออกตัวนิ่มนวล ไร้การพูดคุยใดๆจนขับมาถึงถนนใหญ่… ผู้ชายด้านหลังพวงมาลัยก็ยังคงปิดปากเงียบ มีแค่บางครั้งที่เขาแอบหันมามองหน้าผมเฉยๆเท่านั้น อะไร? ไม่ถามเรอะ ทำไมล่ะ หรือว่าจะรู้ทางอยู่แล้ว หรือบนโลกนี้เราเป็นเพื่อนบ้านกันงี้? เดาไม่ถูกแฮะ แต่การที่คุณรัฐรู้ทางกลับบ้านของนักศึกษาหนึ่งจากหลายร้อยมันนับว่าไม่ธรรมดา แปลว่าเราต้องมีความสัมพันธ์ด้านอื่นกันอีก นอกจากแค่อาจารย์นักเรียนแบบนี้ แต่เป็นความสัมพันธ์ด้านไหนนั้น.. ผมก็ไม่กล้าเดาจริงๆ

“แวะกินข้าวด้วยกันก่อนนะ”

“เอ่อ…” ถ้าจะเลี้ยวรถเข้าไปจอดในร้านอาหารแล้วค่อยมาพูดก็ไม่ต้องพูดเลยครับ ยังไงผมก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วนี่!

ประตูสีดำดูเรียบหรูถูกคนตัวสูงเปิดออก ก่อนที่พวกเราจะอพยพไปจับจ้องโต๊ะอาหารที่ด้านในสุดของร้าน มันในสุดจริงๆ จนแทบไม่มีลูกค้าคนใดเลยนอกจากเราสองคนเท่านั้น

แก้วน้ำเปล่าทรงแปลกตาถูกเอื้อมมาวางไว้บนโต๊ะอย่างระมัดระวัง ก่อนที่เสียงคุ้นหูประหลาดจะดังขึ้นด้านหลังเพื่อรับออเดอร์ หัวใจของผมกระตุกวูบ ไม่ได้ยินเสียงของคุณรัฐที่กำลังสั่งอาหารอีกต่อไป เพียงแต่ซุ่มเสียงของพนักงานชายคนนี้กลับดังขึ้นแทนในโสตประสาท ปลายนิ้วของผมชาเกร็ง ก่อนที่ร่างกายจะบังคับให้หันไปมองคนที่ว่านี้ช้าๆ

ใบหน้าเรียวสวย ผิวสีขาวอมเหลืองรับกับเส้นผมสีดำสนิท และยิ่งดูดีเมื่อประกอบเข้ากับดวงตากลมสีน้ำตาลตรงหน้า ผมไล้สายตาลงมาถึงจมูกที่โด่งเป็นสัน และริมฝีปากที่ส้มธรรมชาติอันแสนคุ้นเคย ไม่ผิดแน่ นี่ไง… ผู้ชายที่ผมตามหา!

“ฌาณ!”

ผมพรวดพราดลุกขึ้นจนพนักงานรับออเดอร์คนนี้ตกใจ สายตาของเราประสานกันเพียงครู่หนึ่ง ก่อนที่ปลายนิ้วของผมจะเอื้อมออกไปข้างหน้าอย่างควบคุมไม่ได้ แต่แล้วผมกลับสัมผัสเอาได้เพียงความว่างเปล่า เมื่อฌาณถอยหนีออกไปพลางตีสีหน้างุนงงเป็นที่สุด

“นาย.. ไม่รู้จักฉันเหรอ?”

“ไม่ครับ คิดว่าไม่แน่ๆ”

สายตาของผมหลุบต่ำลงด้วยใจที่แห้งเหี่ยวผิดหวัง สัมผัสบางเบาจากมือเล็กๆปรากฏขึ้นที่ไหล่ขวา CD นั่นเองซึ่งรีบเผยตัวออกมาปลอบใจกัน ตอนนี้ผมเหมือนคนตาบอดที่คลำทางไม่ถูก CD เองก็มาถึงจุดที่ช่วยอะไรไม่ได้แล้วจริงๆ เพราะหลังจากเราคลาดกับฌาณในโลกใบที่ 27 ยัยเด็กนี่ก็ไม่รู้ตำแหน่งของฌาณเช่นกัน แต่ช่างเถอะ ต่อให้รู้ก็คงบอกไม่ได้อยู่ดี

“ไปเถอะ” ผมพูดหับ CD เสียงแหบพร่า สายตาหันมองทั้งฌาณและคุณรัฐซึ่งมีท่าทีประหลาดใจไม่แพ้กัน ไม่ทันไรผมก็รีบทิ้งบรรยากาศแปลกๆนั้นไว้ แล้ววิ่งหนีออกมาจากร้าน CD ลอยมาหยุดรอผมไว้แล้ว..

“33!”

ผมรีบคิดหาตัวเลขสักตัว ก่อนที่ CD จะรีบเปิดประตูมิติ พร้อมให้ผมทะยานไปสู่โลกใบต่อไปอีกครั้ง วินาทีสุดท้ายก่อนที่ช่องว่างอันมืดสนิทนี้จะปิดตัวลง ยังพอได้ยินเสียงตะโกนไล่หลังของคุณรัฐซึ่งแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงมากมาย ขอโทษครับ แต่ผมจะหยุดไม่ได้…

เป็นอีกครั้งที่ผมต้องทนกับแรงกระชากบ้าๆนี่ จนในที่สุดทุกอย่างก็สงบลง ดวงตาสองข้างค่อยๆปรือขึ้น ภาพตรงหน้าคือโรงอาหารขนาดใหญ่สักที่ บนโต๊ะมีชามก๋วยเตี๋ยวน้ำตกวางอยู่ ที่นั่งตรงข้ามก็เช่นกัน คนส่วนใหญ่ในที่นี้รวมทั้งตัวผมด้วย สวมใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกันหมด คล้ายๆว่าจะเป็นโรงงานอะไรบางอย่าง

ผมนั่งเอ๋ออยู่ได้ไม่นาน ก็เกิดเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาใกล้ๆ ใครบางคนกำลังเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า พร้อมกับแก้วน้ำสองใบที่ถูกวางลงบนโต๊ะ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ ผมก็ต้องตกใจอีกครั้ง!

-------------------------------------

คุณรัฐเป็นคนดีนะ
ไม่รู้จะมีใครสนใจบ้างไหม 555
ตอนนี้แต่งไม่ค่อยจะทัน หัวตันงะ ;w;
แต่จะพยายามไม่หายไปอีกนะค้า
ถ้ายังไงก็ฝากติดตามกันต่อไปด้วยน้า~
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 16 : อีกครั้งและอีกครั้ง (11/06/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 12-06-2013 22:47:43
ตอนแรกสงสารฌาณที่ตามหาปายในโลกต่างๆตอนนี้สงสารปายแทนแล้ว
เมื่อไหร่ความรักครั้งนี้ของทั้งคู่จะได้อยู่ด้วยกันจริงๆเสียที
เกิดอาการเกลียด CD ขึ้นมาตงิดๆ
ถ้ายังหากันไม่เจออยู่แบบนี้อายุขัยของปายจะไม่หมดก่อนหรอเนี่ย  :katai1:

หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 17 : ต่อไป (15/06/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 15-06-2013 19:10:34
บทที่ 17
ต่อไป


 

“เหม่ออะไรน่ะ?”

“ค…คุณรัฐ”

“เอ้า ชานมของนาย”

แก้วน้ำใบหนึ่งถูกเลื่อนมาอยู่ตรงหน้า พอดีกับที่คุณรัฐทิ้งตัวนั่งลงตรงข้ามผม เราเจอกันอีกแล้ว.. เป็นคุณรัฐอีกแล้วที่มาอยู่ต่อหน้าผม แต่นั่นก็ทำให้ผมอุ่นใจ ว่ายังมีคนที่ผมพึ่งพาได้อยู่

“ที่นี่ที่ไหนครับ?” คำถามที่ดูโง่และบ้ามากถูกส่งออกไป ทำเอาคนฟังถึงกับผงะด้วยความงุนงง มือใหญ่เอื้อมเข้ามาใกล้คล้ายจะวัดไข้ ผมจึงต้องรีบเอนตัวหนีพร้อมตีหน้าบูดบึ้ง คุณรัฐชักมือกลับพลางหัวเราะน้อยๆ

“ก็ที่ทำงานของพวกเราไง”

“ทำงาน..งานอะไรครับ?”

“FFP บริษัทอาหารแช่แข็งไง เป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย”

คุณรัฐทำหน้างงกว่าเดิมแต่ก็ยอมตอบคำถามแต่โดยดี นั่นทำเอาผมเข้าใจอะไรๆได้มากขึ้น พวกเราทั้งหมดที่นี่คงเป็นพนักงานในโรงงานของบริษัทอาหารแช่แข็งที่ว่า และนี่ก็คงจะเป็นช่วงพักกลางวัน โดยที่ผมมีคุณรัฐเป็นรุ่นพี่ที่ทำงานอย่างนั้นสินะ พอจะเข้าใจสถานการณ์บนโลกนี้ละ ต่อไปก็ต้องถามถึงฌาณ!

“คุณรัฐ รู้จักคนชื่อฌาณหรือเปล่าครับ?”

“คุณรัฐ? ทำไมเรียกซะสุภาพแบบนั้นล่ะ แล้วคนชื่อฌาณที่ว่า ก็ไม่ใช่เจ้านายพวกเราหรอกเรอะ”

“หะ?”

“คุณฌาณ ลูกชายของคุณเกรียงไกร เจ้าของบริษัทนี้ไง นายไม่เป็นไรแน่นะ?”

คุณรัฐเริ่มมองผมด้วยสายตาแปลกๆ แต่ผมไม่มีเวลามานั่งอธิบาย บนโลกนี้ฌาณคือเจ้านายของผมงั้นเหรอ แล้วตอนนี้อยู่ไหนล่ะ ผมต้องไปหาเขา…

“ตายยากแฮะ คุณฌาณมาโน้นแล้วไง”

เสียงคุณรัฐดังขึ้น ผมจึงรีบตวัดสายตาไปตามนิ้วของผู้ชายตรงหน้า ผู้ชายที่ปมคุ้นเคยดีในชุดสูทราคาแพงกำลังเดินหน้ามุ่ยตรงเข้ามาในโรงอาหาร พร้อมกับลูกน้องอีกสองคนที่ขนาบข้างมาด้วยกัน ท่าทางน่าเกรงขามไม่เบาทีเดียว แล้วถ้าพนักงานต่ำต้อยอย่างผมจะกระโจนเข้าไปถามคำถามแปลกๆมันคงไม่ดีแน่ ไม่อย่างนั้นชีวิตของผมที่นี่คงพังลงอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้างั้น…ผมก็ควรจะเข้าไปพูดคุยในฐานะของลูกจ้างสินะ

“ปลาย!”

คุณรัฐเรียกไล่หลังมาทันทีที่ผมเดินตรงไปยังจุดที่ฌาณรอสั่งอาหารอยู่ ลูกน้องสองคนตรงนั้นหันมองผมแปลกๆ แต่ไม่ทันที่ใครจะเข้าห้าม ผมก็ชิงเรียกฌาณเอาไว้ได้ก่อน ท่ามกลางสายตางุนงงของกลายคนตรงนั้น ฌาณหันมองผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ก่อนจะพ่นคำพูดที่ทำให้ผมเข้าใจคำตอบทุกอย่างออกมา

“นาย…ใครน่ะ?”

“อะ..เอ่อ ขอโทษครับ”

ผมพูดได้เพียงแค่นั้น ก่อนจะออกวิ่งไปอีกทาง ให้พ้นจากบริเวณโรงอาหารนี้ ระหว่างทางยัย CD ก็มาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งพร้อมตีสีหน้าหน่ายใจเต็มทน ผมรู้… รู้ว่าเธอคิดอะไร แต่ผมไม่อาจยอมรับ…

“ยังจะไปต่ออีกเหรอ?”

“ไปสิ.. ต้องไป ดีกว่าอยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไรเลย”

“ปลาย…”

“ไปโลกใบที่ 5 กันเถอะ”

CD เงียบไปพักหนึ่ง จนเริ่มได้ยินเสียงคุณรัฐแว่วมาแต่ไกล เธอจึงยอมเปิดทางให้ผมเดินทางต่อไป โลกใบที่ 5 ใจร้ายกับผมมากตรงที่ว่า ฌาณในที่นี้มีคนรักแล้ว แถมยังเป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารักจนน่าใจหายอีกต่างหาก ส่วนคุณรัฐก็โผล่มาเป็นรุ่นพี่ของผมเช่นเคย เราเดินซื้อของกันอยู่ในห้างแล้วบังเอิญเจอฌาณพอดี แต่แค่เห็นฌาณกำลังสวีทหวานกับสาวน้อยข้างกาย โดยเมินผมที่กำลังจะตรงเข้าไปทัก แค่นั้นก็สรุปได้แล้วว่าเขาไม่ใช่ฌาณที่ผมตามหาแน่นอน ทั้งที่ไม่ใช่คนเดียวกัน แต่พอเห็นภาพแบบนั้นแล้วมันก็อดเจ็บใจไม่ได้ ผมกำลังคิดว่าถ้าเราได้เจอกันแล้ว เราจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในสังคมได้จริงเหรอ ในเมื่อสังคมมันกำหนดไปแล้วว่า ให้ผู้ชายคู่ผู้หญิงนี่น่า…

ไม่สิ.. ผมจะคิดแบบนั้นไม่ได้ ยังไงเราก็ต้องได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข หรือต่อให้ต้องเจ็บปวดจากแรงกดดันของสังคมหรืออะไรก็ตาม ตราบใดที่ยังอยู่เคียงข้างฌาณ ผมก็ไม่หวั่น ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือการหาตัวเขาให้เจอเท่านั้น ต้องเจอ…จะต้องหาเจอแน่!

“11!”

ผมส่งเสียงบอก CD ที่เผยตัวออกมาทันทีที่รู้ว่าฌาณไม่ใช่ฌาณ หลังจากที่ผมหาข้ออ้างปลีกตัวออกมาจากคุณรัฐและคนหมู่มากได้แล้ว เราก็ได้ฤกษ์ออกเดินทางอีกครั้ง

โลกใบที่ 11 ก็ยังคงไม่ใช่โลกที่ฌาณคนนั้นแวะมา ซ้ำร้ายยังเป็นโลกที่ผมได้เจอกับฌาณในงานนัดบอร์ด รวมทั้งทิพย์ น้ำตาล เกียร์ และผู้หญิงที่เป็นแฟนของฌาณในโลกใบที่ 5 อีกด้วย เป็นภาพที่หน้าเจ็บปวดอีกครั้งเวลาที่ต้องเห็นฌาณทำตาหวานใส่ผู้หญิงคนอื่น ขณะที่ผมหลบมาเข้าห้องน้ำเพื่อจะเดินทางต่อ ก็บังเอิญลื่นล้มแล้วได้คุณรัฐเข้ามาช่วยไว้ นั่นคือทั้งหมดของโลกใบนี้ โลกใบที่ผมไม่เจอฌาณ…

“พอได้แล้วปลาย” CD โผล่หน้าออกมาภายในห้องน้ำห้องเล็กๆ เธอมีสีหน้าแย่ไม่แพ้ผมเลยทีเดียว

“…”

“นายก็รู้ว่าสิ่งที่นายทำอยู่มันไร้ประโยชน์แค่ไหน ฉันคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำที่นายจะได้เจอฌาณ โดยที่ทั้งสองคนต่างก็ออกเดินทางไปเรื่อยๆแบบนี้ ทางเดียวที่จะได้เจอกัน คือนายกับฌาณต้องเดินทางไปลงที่โลกใบเดียวกันในเวลาเดียวกันเท่านั้น ซึ่งมันแทบไม่มีโอกาสจะเกิดขึ้นเลย!”

CD ร่ายยาวด้วยสีหน้าและน้ำเสียงโมโหระคนห่วงใย ผมได้แต่นิ่งเงียบและหลุบสายตาลงเท่านั้น เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่ยัยนี่พูดมามันจริงทั้งหมด โอกาสที่จะได้เจอฌาณน้อยมากจนแทบไม่มี ในเมื่อฌาณก็กำลังเดินทางไปเรื่อยๆ และผมก็กำลังเดินทางไปเรื่อยๆเช่นกัน ถ้าเพียงแค่เราไม่ได้ลงที่โลกใบเดียวกันในเวลาเดียวกัน เราก็จะคลาดกันทันที ซึ่งมันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว

ถึงยังไง… ผมก็ยอมนั่งอยู่เฉยๆไม่ได้ นี่คือการลงทุนของผม ผมยอมแลกชีวิตตัวเองเพื่อตามหาฌาณ แม้โอกาสมันจะน้อยแค่ไหนก็ตามที ความจริงก็คือ.. ไม่ว่าทางไหน โอกาสที่จะได้เจอฌาณก็ริบหรี่พอกันทั้งนั้น เพราะผมไม่รู้อะไรเลย

ถ้าผมยอมหยุดอยู่ที่โลกใบใดใบหนึ่ง เพื่อรอให้ฌาณมาพบ ก็ไม่แน่ว่าโลกใบนั้น ฌาณอาจเคยแวะมาและไม่เจอผมแล้ว ถ้าอย่างนั้นเขาก็คงไม่กลับมาอีก และผมก็ไม่รู้เลยว่าต้องรอจนตายหรือเปล่า ในขณะเดียวกัน ถ้าผมออกตามหาแบบนี้ โอกาสที่เราจะคลาดกันก็สูงลิ่วจนน่ากลัว ถ้าเป็นอย่างนี้.. ไม่ว่าจะทางไหน มันก็แย่พอกันไม่ใช่เหรอ

ถ้างั้นสู้ให้ผมได้ทำอะไรบ้างจะดีกว่า ถ้าปล่อยให้ตัวเองได้แต่รออยู่เฉยๆ ถ้าไม่เป็นบ้า ผมก็ต้องเฉาตายแน่ๆ ใช่แล้ว..ถ้าต้องอยู่เฉยๆแล้วได้แต่รอ ผมคงได้เป็นบ้าจนตายแน่ๆ…

“นายก็แค่เอาชีวิตตัวเองมาทิ้ง โดยหวังว่าความเจ็บปวดจะบั่นทอนลงบ้างจากการทำอะไรสักอย่างเท่านั้น”

ผมกำหมัดแน่น พร้อมกัดริมฝีปากตัวเองอย่างแรงด้วยว่าโดนยัยเด็กตรงหน้านี้จี้ใจดำเข้าให้พอดี คำพูดที่เหมือนจะต่อว่า แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงมากมายทำให้ผมไม่กล้าเถียงอะไรกลับไปเลย มันจริงทั้งหมด..เป็นอย่างที่ CD ว่ามาทั้งหมดเลย ผมก็แค่พยายามทำอะไรสักอย่าง เพื่อหวังว่าจะลืมความเจ็บปวดที่มันสุมกันอยู่ในอกนี้ได้บ้าง แม้หนทางที่เลือกมันจะดูไร้ค่ามากก็ตามที

แต่ถ้าฟ้าเคยนำทางให้ผมได้เจอกับฌาณมาแล้วถึง 2 ครั้ง ปาฏิหาริย์แบบนั้นอาจจะเกิดขึ้นอีกก็ได้ไม่ใช่เหรอ! เพราะยังเชื่อแบบนั้น ผมถึงไม่อยากทำได้แค่รอ ถ้าต้องรออย่างไร้จุดหมายแบบนั้น สู้ให้ผมแลกทั้งชีวิตกับการออกตามหาเขาอีกครั้ง โดยเดิมพันไว้ด้วยโชคชะตาทั้งหมดไม่ดีกว่าเหรอ!

“ต่อไปคือโลกใบที่ 49”

ผมทำเป็นไม่สนใจคำพูดของ CD และจงใจตอกหน้าเธอกลับไปด้วยการซื้อขายครั้งใหม่ ยัยนั่นส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจออกมาเล็กน้อย แต่ก็ยอมเปิดทางให้ผมแต่โดยดี แน่นอนว่ามันแลกด้วยอายุขัยที่เหลือน้อยเต็มทีแล้ว…

“เหวออ”

แรงกระแทกทำให้ผมส่งเสียงร้องแปลกๆออกมา จนเมื่อทุกอย่างสงบและภาพตรงหน้าก็ชัดเจนขึ้นมา ถึงได้รู้ว่าตอนนี้กำลังโดยสารอยู่บนรถ เมื่อหันไปมองด้านนอกก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าเพิ่งจะออกมาจากสนามบิน ที่นั่งข้างๆของผมมีผู้ชายร่างสูงโปร่งกำลังนอนหลับ ใบหน้าเรียวขาวรับกับเส้นผมที่ดำสนิทอย่างที่คุ้นตา.. คุณรัฐนั่นเอง

ผมเลือกที่จะนั่งสงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่ภายในรถแท็กซี่คันเล็ก ตลอดทางผมไม่ได้ส่งเสียงใดๆออกไปเลย จนกระทั่งรถจอดลงตรงหน้าบ้านหลังหนึ่ง คุณรัฐรู้สึกตัวและเป็นคนกุลีกุจอลงมายกกระเป๋าเดินทางของผมให้ ใจดีเหมือนทุกทีเลยแฮะผู้ชายคนนี้

“แล้วไว้จะโทรหานะ”

“เอ่อ.. ครับ”

ผมตอบรับแบบงงๆ และยืนเอ๋ออยู่ตรงนั้น นานมากจนรถแท็กซี่ที่มีคุณรัฐนั่งไปด้วยขับออกไปไกลจนลับสายตา ไม่ทันจะคิดอะไรต่อ เสียงเปิดประตูด้านหลังก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงเรียกที่ตอนนี้เริ่มจำได้ดีอีกครั้ง ด้วยว่าเพิ่งเจอกันมาในโลกใบหนึ่ง… เสียงของคุณแม่

“ปลาย เป็นยังไงบ้าง ปลอดภัยดีไหม?”

ความเป็นห่วงเป็นใยของคนเป็นพ่อเป็นแม่คือสิ่งแรกที่ผมได้รับ พร้อมทั้งความอบอุ่นที่ถูกส่งผ่านมาทางอ้อมกอดนี้ด้วย จากสถานการณ์ทั้งหมด ผมคิดว่าตัวเองคงเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเป็นแน่

“ค..ครับ”

“ทำไมถึงไม่ยอมให้แม่ไปรับนะ แล้วรูมเมทของลูกล่ะ?”

รูมเมท? อ่า… คุณรัฐหรือเปล่า คุณรัฐอาจจะเป็นรูมเมทของผมตอนที่อยู่ต่างประเทศ ก็เลยกลับมาด้วยกันเหรอ อย่างนั้นรึเปล่านะ แต่ยังไงก็ต้องตอบอะไรสักอย่างออกไปแล้วแหละ

“กลับ..กลับไปแล้วครับ”

“ช่วงที่ลูกไม่อยู่ มีคนย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านข้างๆแล้ว ไว้ไปสวัสดีเขาหน่อยนะ ตอนนี้ไปพักผ่อนเถอะ”

แม่เหล่ตามองตัวบ้านที่ตั้งอยู่ข้างบ้านของผมด้วยสายตาที่แปลไม่ค่อยจะออก เหมือนกับว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่ยังไม่ได้บอกผม อ้ะ แต่ยังไงก็เป็นเกิดของโลกนี้ อาจจะไม่เกี่ยวกับผมมากก็ได้มั้ง ตอนนี้คงต้องพักผ่อนอย่างที่บอก แล้วตอนเช้าค่อยออกตามหาฌาณ เพราะการเดินทางข้ามโลกบ่อยๆมันไม่ดีต่อสภาพร่างกายเอาซะเลย ไม่รู้ว่าเหนื่อยจากการเดินทาง หรือเหนื่อยเพราะโดนดูดชีวิตไปกันแน่

 

“โอ้โห เก่งนะเนี่ย”

เสียงพูดคุยระหว่างครอบครัวผม กับสองสามีภรรยาของบ้านข้างๆ ดังขึ้นไม่ขาดสายตั้งแต่ที่เราก้าวขาเข้ามาทักทาย มันน่าแปลกที่ผมรู้สึกคุ้นหน้าสองคนนี้ยังไงพิกล และยิ่งแปลกเมื่อพบว่าบทสนทนาที่กำลังจะเกิดขึ้น มันมีจุดที่ประจวบเหมาะกับเหตุการณ์บางอย่างพอดิบพอดี

“เอ่อ แล้ว.. เรื่องนั้นว่ายังไงบ้างคะ?” หลังจากบทสนทนาอันรื่นเริง แม่ก็เป็นฝ่ายทำลายมันลงด้วยการตรงเข้าสู่เรื่องราวบางอย่างซึ่งผมไม่ค่อยเข้าใจ สีหน้าและแววตาของสองสามีภรรยาหมองลงอย่างชัดเจน

“ยังไม่ได้เรื่องเลยค่ะ”

“เอ่อ… อะไรเหรอครับ?” ผมคิดว่าผมคงบาปมากในการส่งคำถามโหดร้ายนี้ออกไป รู้ทั้งรู้ว่าที่คุยกันอยู่ต้องไม่ใช่เรื่องน่ายินดี แต่ก็ยังอยากจะถามเพื่อให้เขาขุดคุ้ยมันขึ้นมาอีก ไม่รู้อะไรดลใจเหมือนกันนะ แต่รู้สึกเหมือนว่าผมสมควรรู้เรื่องนี้

“คือว่า ลูกชายของป้าหายตัวไปน่ะจ้ะ”

“ประมาณ 6 เดือนได้แล้วล่ะ หายไปโดยไม่มีร่องรอยอะไรเลย”

อะไรกัน เหตุการณ์ที่ดูคุ้นเคยอย่างประหลาดนี่.. ลูกชายที่หายตัวไป 6 เดือนโดยไร้ร่องรอยงั้นเหรอ 6 เดือนนี่มันคือช่วงเวลาตั้งแต่ที่เราออกเดินทางข้ามมิติครั้งแรกหนิ เฮ้ย! ไม่จริงน่า…หรือว่าโลกใบที่ 49 ก็คือ…

โลกของฌาณ !!

“ลูกชาย! เอ่อ.. มีรูปลูกชายคุณป้าไหมครับ?”

“เอ๊ะ ม..มีจ้ะ”

คุณป้าดูติดจะงุนงงเล็กน้อยแต่ก็ยอมลุกไปหยิบกรอบรูปใบหนึ่งที่หลังบ้านออกมาให้ พ่อกับแม่ของผมหันมาส่งสายตาห้ามปรามเป็นช่วงๆ แต่ตอนนี้คงไม่ใช่เวลามาเคร่งเรื่องมารยาท เพราะการตามหาฌาณน่ะสำคัญกว่า!

“นี่จ้ะ”

ผมรีบรับกรอบรูปในมือคุณป้ามาดู แล้วก็ต้องรีบยกมือปิดปากเพื่อกลั้นเสียงที่จะหลุดลอดออกไปทันที ผู้ชายร่างสูงในชุดครุยของวันรับปริญญากำลังมองกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ผมสีดำถูกเซ็ตขึ้นอย่างสง่า พร้อมทั้งดวงตาสีน้ำตาลนั่นด้วย ไม่ผิดเลย.. นี่คือฌาณจริงๆ นี่คือครอบครัวของฌาณ บ้านของฌาณ โลกของฌาณ!

“ปลาย มีอะไรหรือเปล่า?” คราวนี้คุณพ่อเป็นฝ่ายเอื้อมมือมาแตะไหล่ผมเบาๆ พลางดึงกรอบรูปในมือคืนกลับไปให้เจ้าของ

“เอ่อ.. เปล่าครับ ผมขอเข้าห้องน้ำได้หรือเปล่า”

“อ้ะ ห้องน้ำข้างล่างเสีย ต้องเข้าข้างบนนะ เดี๋ยวป้าพาไป”

ผมก้มตัวผ่านผู้ใหญ่ทั้งหมดตรงนั้น ก่อนจะเดินตามคุณป้าขึ้นไปยังชั้นบน มีแวบหนึ่งที่คุณป้าหันไปมองประตูบานหนึ่งที่ชั้นนี้ ซึ่งดูลักษณะแล้วเหมือนจะปิดล็อกมานาน นั่นคงจะเป็นห้องนอนของฌาณล่ะมั้ง แต่ว่าฌาณน่ะไม่ได้อยู่ที่นี่ คุณป้ากับคุณลุงต้องเจ็บปวดขนาดไหนนะตลอด 6 เดือนผ่านมานี้ ลูกชายคนเดียวหายตัวไปต้องทำใจไม่ได้แน่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังฝืนยิ้มกันอยู่อีก บ้าชะมัดเลย เพราะผมหรือเปล่า หรือเพราะพวกเซลล์ชั่วๆนั่น ที่ทำให้ฌาณต้องพรากจากครอบครัวไปนานขนาดนี้..

“คุณป้าครับ”

“จ้ะ?”

“ผม..จะต้องตามหาลูกชายคุณป้าให้เจอให้ได้ครับ”

“เอ๊ะ?”

นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ผมพอจะทิ้งไว้ให้ได้ ก่อนที่จะเดินทางต่อไป ตอนนี้ผมอาจจะไม่ได้ตามหาฌาณเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่เพื่อครอบครัวของเขาด้วย ขอร้องล่ะนะโชคชะตา ช่วยนำพาเราให้กลับมาเจอกันอีกครั้งที!!

“CD! ไปที่โลก 38”

“อะ..อือ”

แม้ว่ายัยเด็กนี่จะไม่พอใจกับการเดินทางแบบไร้ประโยชน์ของผมนัก แต่เธอก็ไม่อาจจะปฏิเสธการแลกเปลี่ยนราคาแพงนี้ได้ ไม่สิ.. เธอไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธลูกค้าที่เต็มใจจะยกอายุขัยให้ได้ต่างหาก

วืดดดด…

สายลมอันรุนแรงเป็นตัวนำทางให้ผมลอยไปสู่โลกอีกใบอย่างเช่นทุกที แล้วผมก็ทำได้แค่หลับตาสนิทเท่านั้น จนเมื่อแรงกระชากและกระเทือนทั้งหลายสงบลง ผมจึงค่อยๆลืมตาขึ้นพร้อมกับความเจ็บปวดที่แล่นไปทั่วร่างกายในลักษณะที่แปลกประหลาดระคนน่ากลัว

ผมลืมตาขึ้นมาภายในห้องขนาดกว้างที่มีเพียงแสงริบหรี่จากดวงไฟสีส้ม ร่างกายมันทั้งเจ็บปวดและเย็นวาบ พอกลอกสายตาดูดีๆถึงได้พบว่าตัวเองกำลังเปลือยเปล่าและหมดเรี่ยวแรงอยู่บนเตียงที่ยับย่น เนื้อตัวทั้งเหนียวและชะโลมไปด้วยเหงื่อ รู้สึกถึงอะไรบางอย่างแปลกๆภายในร่างกาย ที่ด้านบนมีร่างใหญ่ของใครอีกคนกำลังทำท่าจะทับลงมา จนผมต้องกรีดร้องดังลั่นพร้อมปัดป่ายมือไปทั่วด้วยความตกใจ

“ว๊ากกก!!!”

“โอ๊ยย!”

เสียงร้องคุ้นหูดังขึ้น ก่อนที่ข้อมือสองข้างของผมจะถูกพันธนาการไว้ด้วยมือใหญ่ของใครอีกคน มีคำถามบางอย่างส่งตรงออกมาจากดวงตาสีดำสนิทตรงหน้า ใบหน้าเรียวเต็มไปด้วยหยดเหงื่อ พอๆกับเส้นผมที่เปียกชุ่มจากความเหน็ดเหนื่อยบางอย่าง

“เป็นอะไรของนาย!?”

“ค..คะ…”

อะไรกัน! อะไรกันครับ โลกใบนี้มันอะไรกัน!? ทำไมผมถึงต้องมานอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียง โดยที่มีผู้ชายคนนี้คร่อมตัวไว้ด้วย แล้วทำไม! ทำไมคนที่ขึ้นคร่อมผมอยู่นี่ถึงกลายเป็นคนคนนี้ไปได้!!




ทำไมครับ คุณรัฐ ??!!!!

------------------------------------------

โอ้ย อยากจิอวยคุณรัฐมากเลย 55555
คุณรัฐของโลก 38 แบบ... ถูกใจเรามากอะ ฮ่าๆ
ตอนนี้แอบแต่งไม่ทัน อาจจะลงช้านิดนึงนะ
แต่อย่าเพิ่งทิ้งกันไปเด้อ
พอดีช่วงนี้ติดงานแปลการ์ตูน ;w;
ก็เลยไม่ค่อยได้แต่งต่อเท่าไร แต่จะพยายามไม่ให้หายไปแน่นอนค่ะ
ติดตามกันต่อไปด้วยน้า ~
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 17 : ต่อไป (15/06/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Monochrome ที่ 15-06-2013 19:21:56
ม่ายเซ่ โลก 38 ไม่ผ่านนะ รับไม่ได้

ยังคงยืนยันคำเดิมนะค้าบบบ ไปฟ้อง สคบ เพราะสินค้าไม่ได้มาตรฐาน
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 17 : ต่อไป (15/06/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 15-06-2013 21:04:45
เห้ยยย คุณรัฐ !!! แลดูจะใกล้ความจริงแล้วว
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 18 : สุดท้าย (20/06/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 20-06-2013 21:40:39
บทที่ 18
สุดท้าย


 

“อุ๊บ!?”

คุณรัฐไม่รอคำตอบหรือแม้แต่คำพูดใดๆ กลับตรงเข้าจู่โจมริมฝีปากที่อ้าค้างของผมอย่างรวดเร็วและชำนาญ มือใหญ่ยังคงรวบข้อมือบางของผมไว้แน่นไม่ให้หนีไปไหน ก่อนที่ลิ้นร้อนจะค่อยๆสอดใส่เข้ามาควานหาความหวานบางอย่างซึ่งผมไม่เต็มใจจะให้!

“อ..อื้ออ!!”

การกระทำของคุณรัฐช่างน่ากลัวผิดกับคุณรัฐที่ผมเคยเจอมาในโลกทุกๆใบ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังแฝงความอ่อนโยนบางอย่างอยู่ลึกๆ เมื่อเขาเห็นท่าทีขัดขืนรุนแรงจากผม ถึงได้ยอมถอนปากออกไปพลางตีสีหน้าสับสน

“เป็นอะไรน่ะปลาย??”

“ฮ..ฮั่ก…”

เสียงหอบถี่ของผมทำให้คุณรัฐยอมคลายแรงบีบที่มือออกบ้างพลางยกตัวขึ้น พอให้สายตาของเราประสานกันอย่างชัดเจน ใบหน้าของผมร้อนผ่าว อีกทั้งคำพูดที่ตั้งใจจะเปล่งออกไปก็ตะกุกตะกักเต็มที

“น..นี่ มัน.. อะไรกัน ครับ”

“อะไร ฉันไม่เข้าใจ”

“อึ่กก!”

ตัวของผมกระตุกวูบ เมื่ออยู่ดีๆคุณรัฐก็ตวัดลิ้นลงกับยอดอกสีหวานอย่างไม่บอกกล่าว แถมยังเมินคำถามกับท่าทีสับสนของผมไปเลยด้วย เป็นอีกครั้งที่ผมพยายามดิ้นหนี แต่ก็แทบไม่เกิดผล เมื่อคนตัวใหญ่ทั้งรวบข้อมือผมไว้แน่น ทั้งยังกดทับร่างผมไม่ให้เคลื่อนไหวดั่งใจอีก คำพูดงึมงำบางอย่างหลุดออกมาจากปากของคุณรัฐขณะที่กำลังพรมจูบลงไปทั่วร่าง ซึ่งเต็มไปด้วยรอยแดงและรอยขีดข่วนของตัวผมในโลกนี้

“วันนี้ฉันจ่ายเงินให้แม่เล้าขี้งกของนายเพิ่มเป็นพิเศษ เพื่อที่จะได้อยู่กับนายนานขึ้นเชียวนะ”

“หะ!?”

บอกสิครับว่าผมแค่หูฟาดไปเอง…

.

.

ว๊ากกกกกก!! ผมไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ไม่มีคำว่าเงิน ไม่มีคำว่าแม่เล้า ไม่มีอะไรทั้งน๊านนน ไม่จริ๊งงงงง!!!!

ไม่จริงใช่ไหมเรื่องที่ว่าตัวผมในโลกใบนี้ เป็นแค่ ผู้ชายขายตัว !!?

“คุณรัฐ อย่าครับ!!”

ผมต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการร่นตัวขึ้นมาพลางตะโกนลั่น เมื่อคุณรัฐเริ่มไล้ปลายจมูกต่ำลงไปทุกที ข้อมือทั้งสองข้างของผมถูกเปลี่ยนมารวบไว้ด้วยมือใหญ่เพียงข้างเดียว ส่วนอีกข้างก็กำลังง่วนกับการเค้นคลึงสะโพกมนของผมอย่างคนรู้งาน

“เป็นอะไรไป ฮึ?” ดูเหมือนคุณรัฐจะเริ่มโมโห เมื่อคิ้วสองข้างขมวดมุ่นเข้าหากัน พร้อมทั้งจ้องมองผมด้วยสายตาดุดันแบบที่ไม่ชอบเลย แต่อย่างน้อยเขาก็ยอมผละออกจากหน้าท้องของผมจนได้

คุณรัฐที่ยังคงตีสีหน้าหงุดหงิด เคลื่อนตัวขึ้นมาขบเม้มใบหูของผมเบาๆ ทำเอาร่างทั้งร่างของผมเสียวปลาบขึ้นมาอย่างน่าอับอาย คนตัวใหญ่ยังคงไม่ยอมปลดพันธนาการที่ข้อมือของผมออก ลมหายใจอุ่นเป่ารดอยู่บริเวณซอกคอเร้าให้อารมณ์แปลกๆในตัวมันแล่นปราด เสียงกระซิบที่ฟังดูน่าอายดังขึ้นใกล้ๆ

“เมื่อกี้ยังร้องหาฉันอยู่เลย”

“อ..อะ…”

ผมคิดอยากจะพ่นคำด่าออกไปจริงๆให้ตาย แต่จากคำพูดทั้งหมดในหัว ผมกลับเปล่งมันออกไปไม่ได้เลยสักคำพูดเดียว ได้แต่นอนตัวสั่นด้วยทั้งโกรธและอายอยู่อย่างนี้เท่านั้น

ไม่ทันที่ผมจะได้คิดอะไรต่อ คุณรัฐก็เริ่มรุกไล่เข้ามามากขึ้นอีกครั้ง พลางตรึงข้อมือผมไว้แน่นหนากว่าเดิม ลิ้นร้อนกลับมาหยอกเย้ากับติ่งไตสีชมพูทั้งสองข้างไปมา โดยไม่คิดจะสนใจเสียงร้องห้ามปรามของผมเลยแม้แต่น้อย จนวินาทีที่ผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่างกำลังเสียดสีอยู่ที่กลางหว่างขา น้ำตาที่เอ่อขึ้นมานานก็พลันไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ใบหน้าทั้งสองข้างแดงก่ำและร้อนขึ้นจนน่าหวาดกลัว ขาและเท้าทั้งสองข้างพยายามที่จะดันร่างคนตัวสูงออกไปแต่ก็ไม่ง่ายเลย

สุดท้าย..สิ่งที่สามารถหยุดการกระทำทั้งหมดของคุณรัฐลงได้ กลับเป็นเสียงสะอื้นกับหยดน้ำตาที่มันไหลออกมาไม่ขาดสายของผมเอง ดูเหมือนว่าคุณรัฐจะช็อคไปเมื่อเห็นผมนอนร้องไห้เป็นเด็กแบบนี้ คนตัวใหญ่คลายมือที่รวบแขนของผมไว้ออก ก่อนจะผละตัวออกไป เป็นจังหวะเดียวที่พอให้ผมรีบชักขาทั้งสองข้างกลับเข้ามาแล้วเอาแต่คดตัวเหมือนคนเป็นไข้ มือข้างหนึ่งไวพอที่จะดึงผ้าห่มตรงนั้นขึ้นมาคลุมโปงร่างทั้งร่างของตัวเองไว้ เนื้อตัวสั่นไปหมดด้วยความกลัวอันเหลือล้น คุณรัฐที่กลายเป็นแบบนี้ผมไม่ชอบเลย…

“ฮึก..ก..”

“ปลาย”

ผมเลี่ยงที่จะไม่ตอบรับเสียงเรียกจากคุณรัฐ แต่กลับแสดงให้เขาเห็นถึงท่าทีหวาดกลัวมากขึ้นด้วยการกระชับผ้าห่มเข้ามา และยิ่งคดตัวจนแทบจะกลายร่างเป็นกุ้งโดนลวกอยู่แล้ว

“ฉันขอโทษ”

เสียงแผ่วเบาอย่างสำนึกผิดเต็มทีดังขึ้นใกล้ๆ เตียงขนาดใหญ่ยุบตัวลงเล็กน้อย เดาว่าคุณรัฐเพิ่งย้ายมานั่งพิงหัวเตียงอยู่ข้างๆผมนี่เอง หลังจากคำกล่าวขอโทษนั้น ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยความเงียบ มีเสียงหายใจรุนแรงของเราทั้งคู่กับเสียงสะอื้นที่ยังหลงเหลืออยู่ของผมดังขึ้นเป็นระยะๆ นานพอตัวกว่าที่ผมจะคลายความกลัวและอึดอัดใจออกไปได้บ้าง

ผมลังเลที่จะขยับตัว แต่ก่อนจะทันได้ทำอะไร เสียงโทรศัพท์มือถือของใครสักคนก็ดังขึ้นเสียก่อน เกิดการเคลื่อนไหวขึ้นบนเตียงอีกครั้ง ก่อนที่เพลงเรียกเข้านั้นจะหยุดลง พอดีกับที่คุณรัฐกรอกเสียงห้วนๆกลับไป

“ว่าไงไอ้ฌาณ”

ห้ะ! อะไรนะ เมื่อกี้คุณรัฐพูดว่า ฌาณ ใช่หรือเปล่า!? เขาอยู่ไม่ไกลจากที่นี่งั้นเหรอ เขาเป็นอะไร สวมบทบาทอะไรบนโลกใบนี้? หรือว่าจะเป็นรุ่นน้องของคุณรัฐอีก??

“ฌาณ!”

ผมลืมทุกสิ่งอย่างและร้องชื่อคนที่โหยหาออกมา ผ้าห่มที่คลุมกายไว้ถูกกระชากออกไปด้วยมือตัวเอง หมดสิ้นแล้วความอายในเรือนร่างที่เปลือยเปล่า มือเล็กเอื้อมเข้าไปคว้าโทรศัพท์ในมือของคุณรัฐมาอย่างถือวิสาสะ ท่ามกลางความตกใจของเจ้าของ

“ฌาณ นี่ผมเอง! ผมปลายนะ!”

(ปลาย?… เด็กของรัฐมีอะไรกับฉัน)

“อะ…”

ไม่ใช่… ไม่ใช่ฌาณ.. นี่ก็ยังไม่ใช่อีกเหรอ…

โทรศัพท์ในมือผมถูกคุณรัฐแย่งกลับไป ได้ยินเขาคุยอะไรบางอย่างกันต่ออีกนิดหน่อยก็วางสายลง คนตัวสูงหันกลับมามองผมด้วยสายตาจับผิด มีความหงุดหงิดฉายอยู่ในแววตาคู่นี้ แต่คนที่ควรจะโมโหน่ะคือผม โมโหคำพูดต่ำช้าที่คุณรัฐพูดออกมาอย่างไม่คิดนั่น!

“อย่าร่านให้มากนัก”

ผลัวะ!

กำปั้นเล็กถูกส่งออกไปปะทะกับแก้มเนียนของคนตรงหน้าแทบจะทันทีที่เขาพูดจบ คุณรัฐหน้าเสียไปครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาถลึงตาใส่อย่างโกรธจัด แต่ความเดือดดาลในตัวเขาก็ถูกระงับลงได้อีกครั้ง ด้วยน้ำใสๆที่เอ่อขึ้นมาจากดวงตาทั้งสองข้างของผม รวมทั้งน้ำเสียงที่สั่นเครือนี่ด้วย

“กรุณาอย่าพูดแบบนั้นกับตัวผมอีกเลยนะครับ”

“ข..ขอโทษนะ”

คุณรัฐลุกออกไปจากเตียงและหายเข้าไปในห้องเล็กๆห้องหนึ่ง ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าเป็นห้องอาบน้ำ ไม่นานเขาก็เดินกลับออกมาในสภาพที่สวมเสื้อคลุมเอาไว้ ในมือถือชุดคลุมอีกตัวตรงมาทางผมที่ยังนั่งหนาวอยู่บนเตียงลำพัง

“ฉันขอโทษจริงๆ แต่เพราะวันนี้นายทำตัวแปลกไป ฉันก็เลยสับสน” คนตัวสูงพยายามอธิบาย พลางขยับมานั่งตรงหน้าผม เสื้อคลุมผืนเรียบถูกคลี่ออก ก่อนที่คุณรัฐจะพยายามสวมมันให้กับผมอย่างเก้ๆกังๆ

ผมนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาใดๆ ปล่อยให้คุณรัฐเป็นฝ่ายสวมใส่เสื้อผ้าให้อย่างว่าง่าย ผมไม่รู้หรอกนะว่าตัวผมบนโลกใบนี้เป็นคนยังไง ผมอาจจะร่านแบบที่คุณรัฐว่าก็ได้ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มาทำอาชีพแบบนี้และเจอเรื่องแบบนี้หรอกใช่ไหม บางทีผมอาจจะนอนกับคุณรัฐมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เดาจากความสนิทสนมที่คุณรัฐแสดงออกมา แล้วก็.. ร่องรอยบนตัวที่ยังหลงเหลืออยู่ รวมทั้งของเหลวที่มันเริ่มไหลย้อนออกมาจากช่องทางด้านหลังอันแสนน่ารังเกียจนี่ด้วย…

มันชัดเจนอยู่แล้วว่าบนโลกใบนี้ ผมก็เป็นแค่ผู้ชายขายตัว ผมมีอะไรกับคุณรัฐก่อนที่ตัวผมจะเดินทางมาถึงด้วยซ้ำ และสิ่งนี้มันก็คงเกิดขึ้นจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว… แต่ว่านะ ยังไงนี่ก็คือผมไม่ใช่เหรอ ในเมื่อรูปร่างหน้าตานี้ก็คือผม แล้วจะให้บอกว่าไม่ใช่ผมก็คงทำไม่ได้หรอก ถ้าอย่างนั้น ก่อนจะจากไป.. ผมคงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือตัวเองในโลกนี้

“ผม…”

มือเล็กเอื้อมขึ้นคว้าชายเสื้อของคุณรัฐไว้ทั้งที่ยังสั่นเทา น้ำตามันพร้อมที่จะไหลออกมาทุกเมื่อ และดูเหมือนว่าผมที่เป็นแบบนี้จะสะกดคุณรัฐได้อยู่หมัดดีเหลือเกิน แววตาที่เคยเกรี้ยวกราดเมื่อครู่สงบลงแล้ว ตอนนี้คุณรัฐก็เป็นเหมือนคุณรัฐในโลกใบอื่นๆที่ผมเคยเจอมา.. ใจดี และ อ่อนโยนด้วย

“ผมไม่อยากมีชีวิตแบบนี้..”

ความเงียบถูกลากเข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณเป็นเวลานาน คุณรัฐขยับใกล้เข้ามาอีก ก่อนจะคว้าตัวผมเข้าไปกอดไว้หลวมๆ มือใหญ่ลูบหัวผมไปมาเหมือนจะปลอบโยน เสียงทุ้มคุ้นเคยดังอยู่ข้างหู

“ไปอยู่กับฉันนะ..”

“…”

“ออกไปจากที่นี่ด้วยกันกับฉัน”

“ฮึก..แต่คุณรัฐก็จะทำกับผมเหมือนเมื่อกี้.. เหมือนทุกที ฮึ..ก และเหมือนทุกคน ใช่ไหมล่ะ”

ผมเผลอขยำเสื้อคุณรัฐอย่างแรงด้วยอารมณ์หวาดกลัวในตัว ไม่รู้ว่าแสดงได้สมบทบาทเกินไปหรือเปล่า แต่ว่าน้ำตามันกลับไหลไม่หยุดจริงๆ ผมเวทนาตัวเอง และเห็นใจตัวเองที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้

“ขอโทษนะ แต่ต่อไปนี้ถ้านายบอกว่าไม่ ก็จะไม่ทำอีกแล้ว”

คุณรัฐกระชับอ้อมกอดเข้ามา พอดีกับที่เสียงหัวใจของเขาดังชัดเจนขึ้น เวลาถูกทิ้งช่วงต่ออีกสักพักเพื่อให้ผมร้องไห้จนพอ ก่อนที่จะถึงเวลาต้องตัดสินใจ ผมจะเชื่อผู้ชายคนนี้ในโลกใบนี้ได้ไหม แต่นอกจากคุณรัฐแล้วผมจะหวังพึ่งพาใครได้อีกก็ยังคิดไม่ออก

ถ้าผู้ชายคนนี้หยุดการกระทำเพราะเห็นแก่น้ำตาของผมจริง เขาก็อาจไม่ใช่คนที่ใจร้ายขนาดนั้น แล้วถ้าอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นในตอนนี้เป็นของจริง ผมก็คิดว่าคุณรัฐตรงหน้านี้ไว้ใจได้..

“มอบชีวิตนายให้ฉันนะ…” คุณรัฐคลายอ้อมกอดออกเล็กน้อยเพื่อมองหน้าผมให้ชัดเจน สายตาของเราประสานกันเนิ่นนานอย่างมีความหมาย

ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่ไหน คุณรัฐก็จะยังเป็นคุณรัฐใช่ไหมครับ…
 .
 .

“ครับ”

ผมตอบรับเสียงหนักแน่น เพราะมันคงเป็นคำตอบเดียวในตอนนี้ที่จะช่วยชีวิตผมได้ ไปอยู่กับคุณรัฐก็คงไม่แย่ไปกว่านรกที่นี่หรอกนะ

คนตัวใหญ่ยิ้มแก้มแทบแตกเมื่อได้ยินคำตอบอันน่าพอใจ ริมฝีปากของผมถูกฉวยเอาไปอีกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งเพราะความตื่นเต้นดีใจของคนตรงหน้า ปละผมก็ต้องพยายามแทบบ้าในการไม่โต้ตอบอะไรออกไป ในที่สุดเราทั้งสองคนก็อาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จเรียบร้อย พร้อมรับมือกับแม่เล้าขี้งกที่ว่า..

เราลงลิฟต์มาถึงชั้นล่างสุดเพื่อพบกับเหล่าบอดี้การ์ดของคุณรัฐ ซึ่งกำลังยืนล้อมรอบผู้หญิงวัยกลางคนท่าทางอู้ฟู่รออยู่แล้ว เธอคนนั้นจิกสายตาลงที่ผมอย่างไม่ชอบใจ ก่อนจะหันไปเอาเรื่องคุณรัฐที่เพิ่งรับสมุดทรงสีเหลี่ยมผืนผ้าเล่มหนามาไว้ในมือ

ตัวผมถูกแยกมาไว้ใกล้ๆรถสีดำคันหรูซึ่งจอดเทียบอยู่ตรงหน้าโรงแรมขนาดใหญ่ ไม่ได้ยินเลยว่าเขากำลังพูดอะไรกัน แต่เท่าที่สายตาจะมองเห็น บทสนทนาดูท่าจะยากพอตัว ผู้หญิงคนนั้นทำท่าหาเรื่องหลายครั้งหลายหน และกินเวลานานกว่าที่คุณรัฐจะเป็นฝ่ายกระตุกยิ้ม พลางจดปากกาลงกับสมุดเล่มนั้น และฉีกกระดาษแผ่นหนึ่งส่งไปให้แม่เล้านั่น

เขาเดินยิ้มกลับมา พอดีกับที่คุณบอดี้การ์ดคนหนึ่งหันมาเปิดประตูและดันหลังผมให้เข้าไปนั่งในรถ คุณรัฐขึ้นรถตามมาพลางส่งสมุดเล่มนั้นกลับคืนไปให้ชายร่างใหญ่ซึ่งนั่งอยู่ตรงเบาะข้างคนขับ

“ยัยปากแดงนั่นเรียกเงินเยอะชะมัด”

“ช่างมันเถอะ”

“เอ่อ…ผู้หญิงคนนั้นเรียกเยอะมากหรอครับ ความจริงตัวผมไม่น่าจะแพงขนาดนั้น” ผมชั่งใจครู่หนึ่งก่อนจะถามออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ

คุณรัฐเอื้อมมือมายีหน้าม้าผมเล่นเหมือนคนอารมณ์ดีนักหนา แล้วมันก็ยิ่งน่าอายเมื่อผู้ชายทั้งสองคนข้างหน้ากำลังมองดูพวกเราผ่านกระจกมองหลังแล้วอมยิ้มบางอย่าง

“ต่อให้มากขนาดไหนก็เป็นแค่ตัวเลขที่ยัยนั่นต้องการ ไม่ใช่ราคาค่าตัวของนาย เพราะว่าปลายน่ะ.. วัดค่าไม่ได้เลยต่างหาก”

มันน่าอายจริงๆที่คุณรัฐพูดเรื่องแบบนี้ออกมาได้หน้าตาย แถมยังรั้งตัวผมเข้าไปหอมแก้มอย่างถือวิสาสะซะอีก ชักจะได้ใจไปหน่อยแล้วมั้ง.. แต่แปลกแฮะ ที่ผมไม่นึกจะขัดขืนอีก เพราะว่าอยากตอบแทนบุญคุณของคุณรัฐงั้นเหรอ หรือเพราะชินชากับการกระทำแบบนี้ซะแล้ว.. หรือว่า… ผมเริ่มเปิดใจให้คนตรงหน้าบ้างแล้ว?

รถคันหรูขับไปเรื่อยๆจนหยุดลงตรงหน้าบ้าน..ไม่สิ ใหญ่เว่อร์ขนาดนี้ต้องเรียกคฤหาสน์ถึงจะถูก เราหยุดลงหน้าคฤหาสน์หลังหนึ่งซึ่งคงเป็นที่พักอาศัยของคุณรัฐไม่ผิดแน่ มาถึงตอนนี้ผมคงไม่กล้าถามแล้วแหละว่าจริงๆแล้วคุณรัฐทำอาชีพอะไร ทำไมถึงได้ร่ำรวยผิดปกติแบบนี้ แม้ว่าในโลก 23 คุณรัฐ ทายาทของบริษัท TIS ก็รวยโคตรเหมือนกันก็เถอะนะ แต่ไม่ยักเห็นทำตัวโอ่อ่าขนาดนี้เลย

เราถูกนำทางโดยแม่บ้านสูงวัยท่านหนึ่งไปยังห้องนอนที่ใหญ่โตเป็นพิเศษ บางทีนี่อาจจะเป็นห้องของคุณรัฐ ล่ะมั้ง? แบบนี้แปลว่าอะไร แปลว่าผมต้องนอนกับคุณรัฐเรอะ!

“เอ่อะ ห้องนี้??”

“นี่ห้องของนาย ส่วนห้องของฉันอยู่ถัดไป ถ้ามีอะไรก็เรียกใช้ทุกคนในบ้านได้หมด รวมทั้งฉันด้วยนะ”

คุณรัฐเอียงคอยิ้มกว้างแบบที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าดูน่ารักมาก! เขากดไหล่ผมให้นั่งลงบนเตียงนุ่ม ก่อนที่ตัวเองจะลงไปคุกเข่าอยู่แทบพื้น มือใหญ่ประคองมือของผมไว้อย่างอ่อนโยนพลางก้มลงจูบที่หลังมือเบาๆ ทำเอาหัวใจเผลอเต้นรัวไปวูบหนึ่งเลยนะเนี่ย แย่ละ ;;; แต่ว่าจะไม่ให้ประทับใจคงยากนะ เพราะเขาทำดีกับผมมากถ้าไม่นับเรื่องบนเตียงตอนนั้น แล้วการที่คุณรัฐพาผมออกมาจากนรกนั่นและให้เราแยกห้องกันผมว่ามันลึกซึ้งกว่าที่เห็นมากเลย เพราะมันแสดงให้เห็นว่าเขาตั้งใจจะมอบชีวิตใหม่ให้ผมจริงๆ

เขาไม่ได้ปฏิบัติต่อผมเหมือนผู้ชายขายตัวอีกแล้ว ผมไม่จำเป็นต้องนอนกับคุณรัฐ ไม่ต้องปรนเปรออะไรให้อีก กลับกัน.. คุณรัฐกำลังให้เกียรติผมในฐานะของคนคนหนึ่ง ซึ่งมีค่าพอที่จะได้ใช้ชีวิต

“คุณรัฐ เป็นคนดีจริงๆสินะครับ”

“ไม่หรอก.. ความจริงแล้วฉันใจร้าย เพราะฉันช่วยนายเพื่อที่จะได้ครอบครองนาย”

คุณรัฐยกมือผมขึ้นไปประคองใบหน้าตัวเองพลางส่งสายตาอบอุ่นมาให้… ไม่เลยครับ ผมไม่คิดว่าคุณรัฐใจร้ายเลย แล้วตัวผมในโลกนี้ก็คงไม่คิดว่าคุณรัฐใจร้ายเหมือนกัน

“นายรออยู่นี่ก่อนนะ ฉันจะไปหาอะไรมาให้กิน”

“อะ เอ่อ!” ผมรั้งชายเสื้อคุณรัฐไว้ในวินาทีที่เขาลุกขึ้น คนตัวสูงหันมามองหน้าผมอย่างสงสัย มือใหญ่แกะมือผมออกพลางกุมไว้หลวมๆ สายตาคำถามถูกส่งมาให้

“คุณรัฐ..จะ... จะดูแลผมให้ดีที่สุดใช่ไหมครับ?”

“อืม.. ก็ เท่าที่สองมือนี้จะทำได้ล่ะนะ”

ผู้ชายตรงหน้ายิ้มอ่อนโยนอีกครั้งพลางปล่อยมือของผมให้เป็นอิสระ และแบมือสองข้างของตัวเองขึ้นกลางอากาศเป็นสัญญาบางอย่าง เมื่อผมยิ้มตอบ เขาถึงยอมหันหลังเดินออกไปจากห้องกว้างขวางแห่งนี้ ยัยเด็ก CD ปรากฏตัวขึ้นแทบจะทันทีแบบไม่ต้องสั่งให้เมื่อยปาก

“พอได้แล้ว...กลับกันเถอะปลาย”

“อะไร?”

“กลับโลกของนาย โลกที่ 23”

“ได้ยังไงล่ะ ฉันยังไม่เจอฌาณเลย”

“ต้องให้พูดอีกกี่ครั้ง! นายก็รู้ดีว่าที่ทำอยู่มันไร้ประโยชน์ มีโอกาสสักกี่เปอร์เซ็นกันที่นายสองคนจะได้เจอกัน!!?”

เป็นอีกครั้งที่เด็กนี่ขึ้นเสียงกับผมอย่างที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก แต่คนอย่างเธอจะกล้ามาสั่งสอนหรือให้คำแนะนำอะไรได้อีก ก็ตัวเองไม่ใช่เหรอที่ทำให้ผมต้องทำแบบนี้ ต้องคลาดกับปลาย และต้องออกตามหาเขาอยู่แบบนี้น่ะ

“โดยปกติพวกฉันไม่สามารถเข้าแทรกแซงการตัดสินใจของลูกค้าได้เลย ต่อให้ลูกค้าเลือกทางที่เสี่ยง แม้รู้ก็พูดไม่ได้ แต่เพราะฉันรู้สึกผิดต่อนาย ฉันถึงอยากจะช่วย”

CD ร่ายยาวกว่าทุกครั้ง แม้ร่างกายจะดูเหมือนเด็กบ้าคนหนึ่ง แต่คำพูดและท่าทีของเธอตอนนี้มันก็น่ากลัวไม่น้อยทีเดียว ในแววตาและน้ำเสียงนั่น ผมจับมันได้... ความห่วงใยที่อยู่ในนั้น แต่ว่ามันก็ยังไม่พอ ไม่พอที่จะชดเชยความผิดของเธอ

“สิ่งที่ฉันกำลังจะพูด จะทำให้ฉันถูกพิจารณาพักงานในอนาคต แต่จะบอกอะไรให้นะ! โอกาสที่จะได้เจอฌาณมากกว่าการเดินทางไร้ค่านี่ก็คือ การกลับไปที่โลกของนาย!”

เปรี๊ยะ!

มีกระแสไฟฟ้าแล่นออกมาจากนาฬิกาข้อมือเรือนใหญ่ที่พวกเซลล์ใส่ติดตัวตลอดเวลา มันชัดเจนมากจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เส้นแสงสีเงินตวัดไปรอบๆข้อมือของเด็กนั่น ขณะที่เจ้าตัวก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ถึงอย่างนั้นก็ยังคงพูดต่อไป สายตามุ่งมั่นจ้องมาทางผมอย่างสื่อความหมาย

“โอกาสที่นายฌานจะสะกิดใจแล้วกลับไปหานายที่โลก 23 นั้นมีอยู่… เพราะว่าฌานไม่ได้โง่ และเพราะว่านายที่ใช้ชีวิตร่วมกับเขาในโลก 27 คือของจริง! บางทีตอนน..อึ่ก!!”

CD พูดได้เพียงแค่นั้นก็ต้องหยุดกะทันหัน บางทีอาจเป็นเพราะกระแสไฟฟ้านั่นก็ได้ ตอนนี้เธอหยุดลอยตัวและทรุดลงกับพื้นเบื้องล่างแล้ว วินาทีต่อมาเสียงเตือนประหลาดกับเสียงผู้ชายก็ดังขึ้นมาจากนาฬิกาข้อมือเรือนนั้น เด็กตัวเล็กพยายามใช้มือปิดหน้าปัดนาฬิกาไว้ทำให้ได้ยินเสียงบ้าๆนั่นไม่ชัดเท่าไรนัก

แต่ที่ผมพอจะจับความได้จากเสียงทุ้มที่เล็ดลอดออกมา ก็เข้าใจได้ว่า เธอถูกตีตราโทษข้อหากระทำผิดกฎของเซลล์มิติอย่างที่พูดจริงๆ รวมทั้งบอกวันเวลาของการประชุมพิจารณาความผิดไว้อย่างชัดเจนอีกด้วย บ้าจริง ไอ้กฎไร้สาระนั่นมันมีผลน่ากลัวขนาดนี้จริงๆเหรอเนี่ย ถ้าการพูดแค่นั้นต้องโดนถึงขนาดนี้ ผมก็พอเข้าใจนิดหน่อยแล้วว่า ทำไมยัยนี่ถึงไม่กล้าบอกเรื่องที่ผมความจำเสื่อม บางทีอาจไม่ใช่แค่พักงานหรือไล่ออก.. แต่เป็นการทำลายทิ้ง

“ปลาย! กลับกันเถอะ!”

เสียงส้นรองเท้าหนักๆดังขึ้นด้านนอกประตู ยิ่งกดดันให้ผมต้องตัดสินใจ ใบหน้าเปื้อนเหงื่อและร่องรอยความเจ็บปวดยังคงปรากฏให้เห็น... บ้าชะมัด ผมคงไม่ถูกยัยเด็กนี่หลอกอีกแล้วหรอกนะ!!

“ป..ไป กลับไปก็ได้”

ช่วงว่างขนาดใหญ่ถูกฉายขึ้นต่อหน้าผมทันที พร้อมทั้งกระแสลมมหาศาลที่พัดตัวผมเข้าไปเหมือนเช่นทุกที ในใจตอนนี้หวังให้ตัวผมในโลก 38 ทำตัวดีกับผู้มีพระคุณอย่างคุณรัฐ แต่ก่อนหน้านั้น หวังว่าผมคงไม่บ้าเพราะจำเรื่องราวที่ถูกพาออกมาจากเล้าไม่ได้หรอกนะ

ผมลืมตาขึ้นมาบนโซฟาเน่าๆตัวเดิม นี่แหละโลกของผม... ยัยเด็กต้นเหตุลอยตัวขึ้นสูงผิดปกติ สายตาที่ราวกับจะร้องไห้ถูกส่งมาให้ พร้อมๆกับคำพูดที่กรีดแทงหัวใจผมไปด้วย



“ขอโทษนะปลาย แต่อายุขัยของนาย.. ไม่พอที่จะเดินทางอีกแล้ว”

-------------------------------

งื้อออ ไม่ชอบคุณรัฐกันหรอ เราชอบอ่า 555
ถ้ากะไม่ผิด อีกประมาณ 3 ตอน จะจบแล้วแหละ
เรื่องนี้สั้นมาก ;w;
แต่ช่วงนี้แต่งไม่ถึงไหนเลยอะ
หนีไปติ่งเจมส์ มาร์ เกือบทุกวัน T_____T 555555
ยังไงก็ติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ ><'
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 18 : สุดท้าย (20/06/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Monochrome ที่ 20-06-2013 22:45:17
ไม่ชอบคุณรัฐอย่างมากครับ  ฌาณปลายเท่านั้น 55555
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 18 : สุดท้าย (20/06/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 21-06-2013 21:43:18
สุดท้ายท้ายสุดจะเจอกันไหมน้อ
อายุขัยไม่เหลือแล้วหรอ ><
ชอบคุณรัฐตอนนี้อ่ะในที่สุดก็ได้สมหวังกับปลายซักที
 ในที่สุดเฮียแกก็สมหวัง จะได้ไม่ต้องมาแย่งปลายปัจจุบัน (เกี่ยว?55)
สาธุขอให้เจอกันเถอะ ^^
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 19 : ชีวิตที่เหลือ (24/06/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 24-06-2013 20:27:43
บทที่ 19
ชีวิตที่เหลือ


 

“CD!!!!!!!!!”

นั่นคือเสียงตะโกนลั่นห้องครั้งสุดท้ายก่อนที่ร่างทั้งร่างของผมจะทรุดลง ศรีษะกระแทกถูกพื้นห้องเสียงดังปัก เจ็บไปหมด แต่ที่เจ็บกว่ามันไม่ใช่ร่างกายส่วนไหนเลย ที่เจ็บจริงๆ เจ็บจนแทบจะฉีดขาดออกมาก็คือจิตใจของผมตอนนี้มากกว่า

หลังจากคำเฉลยอันน่าทุเรศของไอ้เด็กบ้า ที่หลอกให้ผมเดินทางกลับมาอีกครั้ง ผมก็เอาแต่ตะคอกเหมือนคนไม่มีสติอยู่ภายในห้องแคบๆ CD ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว เธอชิงหายตัวไปตั้งแต่ทิ้งคำพูดสุดท้ายเอาไว้ มีแค่ผมที่ยังเอาแต่กรีดร้องเหมือนคนบ้า น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้างอย่างหยุดไม่ได้เป็นเวลานาน นานมากจนผมรับไม่ได้ไม่ไหวอีกแล้ว...

ดวงตาที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำใสๆตอนนี้แสบร้อนไปหมด ทั้งปากทั้งมือมันสั่นเทา หัวใจก็ร้าวเต็มทน.. มันยิ่งกว่าทุกอย่าง ยิ่งกว่าทุกครั้ง เพราะตอนนี้ผมทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว นอกจากอยู่เฉยๆแล้วรอ... ไม่รู้ว่าต้องรออะไร รอฌาณที่อาจไม่ย้อนกลับมา.. หรือรอเวลาตายของตัวเอง...

ผมหลับตาลงช้าๆพร้อมกับเสียงสะอื้นสุดท้าย ก่อนที่จะปล่อยให้สติสัมปชัญญะทั้งหมดหลุดลอยออกไป ดำดิ่งสู่ห้วงนิทราที่ไม่อยากจะตื่นขึ้นมาอีกแล้ว.......

 

ความอบอุ่นที่มือขวาค่อยๆชัดเจนขึ้นมาในโสตประสาต ผมพยายามเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งของตัวเองขึ้นช้าๆ ร่างกายอ่อนแรงนอนราบไปกับเตียงสีขาวโพลน ห้องที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าช่างกว้างขวางและเต็มไปด้วยกลิ่นที่ไม่ชอบเลย บนที่นั่งข้างเตียงมีผู้ชายตัวใหญ่นอนฟุบหัวอยู่ใกล้ๆ มือทั้งสองข้างของเขากำลังกุมมือผมไว้ไม่ปล่อย เส้นผมสีดำสนิทตรงหน้านี้ผมคุ้นเคยดี

เป็นเขาอีกแล้ว ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยผมไว้เหมือนทุกที...

“คุณรัฐ”

ขอโทษค่ะ ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก... เอิ่ม

“คุณรัฐ”

ผมเรียกคนข้างๆอีกครั้งเสียงดังขึ้น พยายามจะดึงมือที่ถูกเกาะกุมไว้ออกแต่ก็ไม่เป็นผล ดูเหมือนคุณรัฐจะรู้ตัวแล้ว แต่กลับจับมือผมไว้แน่นกว่าเดิม เส้นผมที่ปรกหน้าเรียวถูกสะบัดไปไว้ด้านหลัง ก่อนที่สายตาเป็นห่วงเป็นใยจะรีบส่งมาทางผมทันที

“ปลาย!” คุณรัฐเรียกผมเสียงดังเหมือนกลัวห้องข้างๆไม่ได้ยิน เขาทำท่าเหมือนจะลุกเข้ามากอดแต่ก็ต้องชะงักไว้เท่านั้น เมื่อผมรีบตีสีหน้าตกใจ

“เธอ.. เป็นยังไงบ้าง ยังรู้สึกไม่ดีตรงไหนรึเปล่า?”

ถ้าบอกว่าที่ใจจะดูเสี่ยวไปรึเปล่า แต่ว่ามันจริงครับ เพราะใจผมมันร้าว และมันกำลังจะแหลกลงในไม่ช้านี้อยู่แล้ว แต่ผมไม่อยากเอาแต่ร้องไห้ตอนนี้ เพราะคุณรัฐไม่สมควรจะต้องมาเป็นห่วงผมมากไปกว่านี้อีกแล้ว ความจริงก็คือ ไม่มีใครในโลกใบนี้เลยที่ผมจะสามารถระบายความรู้สึกออกไปได้ ไม่ว่าจะพูดอะไรไป ก็คงมีแต่คนหาว่าผมบ้าเท่านั้น ผมถึงพูดเรื่องนี้ไม่ได้...ทำอะไรไม่ได้ นอกจากทำเหมือนว่าไม่เป็นไร แล้วรอต่อไปเท่านั้น

ช่วงเวลาที่ผมสลบไปมันดูช่างยาวนาน และในตอนนั้นผมฝัน... ในฝันมันเจ็บปวดมาก เพราะมันมีแต่เรื่องราวของฌาณเต็มไปหมด และในฝันผมก็ได้คิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายผมก็ได้ข้อสรุปกับตัวเอง ว่าผมคงทำได้เพียงแค่รอจริงๆ

ครั้งนี้ผมไม่มีอะไรจะไปวางเดิมพันกับใครได้ แต่ผมก็แค่อยากวอนขอให้ฟ้าเห็นใจผมบ้าง ช่วยทำให้ฌาณสะกิดใจแล้วกลับมา.. CD พูดถูกบางอย่าง... ผมที่อยู่กับฌาณ ไม่ว่าจะเวลาไหนก็คือของจริง ผมถึงยังหวังแม้เพียงเล็กน้อย ว่าฌาณอาจจะรู้สึกได้บ้าง

ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเจ็บปวด... เจ็บปวดที่ได้แต่อยู่เฉยๆ และรอไปวันๆแบบนี้ รอทั้งที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่มีคำใบ้ใดๆให้ผมเลย บางทีฌาณอาจไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ทำได้แค่รออยู่ดี.....

“ไม่..ไม่ครับ ผมไม่เป็นไร”

“ถ้ามีอะไรต้องรีบบอกผมนะ” ผมพยักหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน แต่ก็พยายามฝืนยิ้มกลับไปให้ ในที่สุดคุณรัฐก็ยอมปล่อยตัวผมให้เป็นอิสระและกลับไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง

“แล้วผมมาที่นี่ได้ยังไง?” สายตาของผมกวาดไปรอบๆห้องอีกครั้ง โรงพยาบาล...

“ก็ตั้งแต่ปลายหายตัวไป ผมก็แวะไปดูที่ห้องเช่าทุกวัน จนเมื่อวานซืน ผมได้ยินเสียงดังออกมาจากในห้อง ก็เลยขอให้เจ้าของห้องเช่าเปิดประตูให้ จนพบเธอนอนสลบอยู่นั่นแหละ”

“เมื่อวานซืน...นี่ผมหลับไป 2 วันเลยหรอครับ!?”

“อืม ผมเป็นห่วงมากเลยนะรู้ไหม”

“ขอโทษครับ”

ผมก้มหัวเล็กน้อย พอดีกับที่คุณรัฐเอื้อมเข้ามากุมมือผมไว้อีกครั้งอย่างถือวิสาสะ แล้วผมก็ไม่กล้าจะชักมือกลับ ด้วยว่าแพ้ใบหน้าแบบนี้อีกจนได้.. ใบหน้าที่ดูห่วงใยจนเกินไปของคุณรัฐ

“อย่าหายไปแบบนี้อีกเลยนะ”

“คุณรัฐ...”

“จำได้ไหมเมื่อประมาณ 6 เดือนก่อน เธอก็หายไป.. แล้วก็กลับมาทั้งที่จำอะไรไม่ได้”

พอคุณรัฐพูดมาถึงตรงนี้ ผมก็ต้องรีบหลบสายตาทันที เพราะไม่อยากให้คุณรัฐต้องเห็นสีหน้าเจ็บปวดของตัวเอง ผมทำทีเป็นเสมองไปทางอื่นพลางหลับตาลงเพื่อกลั้นไม่ให้น้ำตามันไหล แต่แล้วกลับต้องเบิกตาขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ เมื่อรู้สึกได้ถึงแรงสั่นไหวของมือข้างที่ถูกเกาะกุมอยู่นี้ อยู่ๆน้ำเสียงของคุณรัฐก็สั่นเครือ จนผมต้องรีบหันกลับมามองด้วยความเป็นห่วง

“ผมกลัว.. กลัวว่าเธอ จะเป็นอะไร..ไปอีก”

“...”

“ผมรู้ตัวว่า ต่อให้ต้องเริ่มความสัมพันธ์กับเธอใหม่ อีกสักกี่ครั้ง.. ผมก็จะทำ แต่ถึงอย่างนั้น...ผมก็ไม่อยากให้เธอลืม ช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน ปลาย...”

“คุณรัฐ” คิ้วสองข้างของผมขมวดมุ่น สีหน้าเจ็บปวดยิ่งกว่าของคนตรงหน้า ทำเอาใจของผมเบาหวิวไปเลย

“...อย่าหายไปอีกเลย”

ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งคิดได้ว่า ช่วงเวลาที่ผมหายไปเพื่อพบกับใครคนหนึ่ง... มีใครบางคนที่นี่ กำลังรอคอยและเป็นห่วงผมมากขนาดนี้

ไม่แพ้กันเลย... การรอคอยตัวผมสำหรับคุณรัฐแล้ว มันคงเจ็บปวดไม่แพ้ผมที่ต้องรอคอยฌาณเลย...

“ขอโทษครับคุณรัฐ แต่ผมคงไม่ไปไหนอีกแล้ว”

ไม่ไปอีก..เพราะว่าไปไม่ได้อีกยังไงล่ะ...

 

“กินอีกหน่อยนะ”

ช้อนสีเงินถูกยื่นเข้ามาใกล้ปาก ผมจ้องมองข้าวเละๆกับกุ้งชิ้นโตบนนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าให้คนตัวสูงข้างๆ คุณรัฐคอยมาอยู่ดูแลผมที่ห้องเช่าซอมซ่อเป็นเวลาหลายวันแล้ว ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล ตอนแรกเขายืนยันจะให้ผมไปพักที่บ้านเขาด้วยซ้ำ เพราะผมเอาแต่เหม่อลอยแล้วก็ไม่ยอมขยับตัวจนน่าใจหายนั่นแหละ แต่ผมรู้สึกอ่อนแรงมากจริงๆนี่น่า โชคดีอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือการที่ คุณรัฐไม่ซักถามถึงการหายไป และไม่เคยกดดันให้ผมพูดมันออกมาเลย

“ผมอิ่มแล้วครับ”

“จะอิ่มได้ไง เธอเพิ่งกินไปไม่ถึงห้าคำด้วยซ้ำ”

“ผมอิ่มแล้วจริงๆครับ”

“ปลายอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า ผมจะให้แม่ครัวทำมาให้”

“ไม่ต้องหรอกครับ”

การมีคุณรัฐมาอยู่ข้างๆในตอนนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องน่ารำคาญครับ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นที่ยึดเหนี่ยวหนึ่งเดียวเช่นกัน เพราะความห่วงใยอย่างจริงใจที่คุณรัฐมอบให้ ผมเลยยังไม่ฟุ้งซ่านจนสติแตกไปอีก อย่างน้อยก็ยังใจเย็นอยู่ได้เพราะมีเขาคอยอยู่ด้วยนี่แหละ

คุณรัฐดีกับผมมาก จนผมไม่กล้าแม้แต่จะทำให้เขาเป็นห่วง..

“แล้วคุณรัฐหนีงานมาอยู่กับผมแบบนี้มันดีแล้วหรอครับ”

“มันไม่ดีหรอก แต่ถ้าให้ผมทิ้งปลายที่เป็นแบบนี้ไว้ ก็คงไม่ดีเหมือนกัน”

“คุณรัฐกลับไปทำงานเถอะครับ”

คนถูกทักเงียบไป คุณรัฐเดินเอาชามข้าวที่เหลือเกินครึ่งของผมไปวางทิ้งไว้ในอ่างล่างจาน ก่อนจะเดินกลับมาประคองตัวผมให้เอนหลังลงกับหมอนบนที่นอน จุมพิตบางเบาสัมผัสลงบริเวณหน้าผาก เป็นการกระทำที่กลายเป็นเรื่องธรรมดาของเขาไปแล้ว นับตั้งแต่ที่ผมฟื้นขึ้นมาวันนั้น คุณรัฐไม่ยอมอยู่ห่างจากผม และไม่ยอมให้ผมอยู่ห่างจากเขา

แน่นอนว่าผมเป็นฝ่ายยอมให้คุณรัฐเข้ามาชิดใกล้ถึงขนาดนี้ ก็เพราะแพ้ความดีล้วนๆ ผมเลิกสนใจว่าคุณรัฐจะกอดจะจูบผมยังไง ตราบใดที่เขาไม่ทำให้ผมนึกกลัว ผมก็ไม่อยากต่อว่าผู้มีพระคุณคนนี้นักหรอก อีกอย่าง...บางครั้งเขาก็ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพี่ชายอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน

“เดี๋ยวตอนเย็นผมจะเอาสร้อยข้อมือมาคืนนะ”

“สร้อยข้อมือ.. อะไรครับ?”

“ผมเก็บเอาไว้ตั้งแต่ 6 เดือนก่อน ตอนไปช่วยเธอที่ตึกร้างนั่น แต่ผมลืมมันไปสนิทเลยจริงๆ ขอโทษด้วย ทั้งที่มันสำคัญมาก..”

6 เดือนก่อน... สร้อยข้อมือที่ฌาณสั่งทำให้ สร้อยข้อมือสีเงินติดจี้รูปดอกไม้บาน สลักตัวอักษรภาษาอังกฤษสองตัวอย่างสื่อความหมาย เส้นนั้นเอง... ส่วนหนึ่งของความทรงจำของเรา

“ชะ ช่วยเอามาคืนผมด้วยครับ!”

“ได้สิ งั้นเย็นนี้เจอกันนะ”

“ครับ”

“พักผ่อนด้วยล่ะ”

“ครับ”

ไอ้ท่าทางนิ่งๆแบบเนี้ย สาบานเลยว่าไม่ได้ยอมกลับไปทำงาน เฮ้อ ผมนี่แย่จริงๆเลยเนอะ นอกจากทำอะไรเรื่องฌาณไม่ได้แล้ว ยังกลายมาเป็นภาระให้คุณรัฐอีก

เอ๊ะ...

เดี๋ยวสิ.. ผมว่ามันมีอะไรแปลกๆนะ เมื่อกี้ตอนที่คุณรัฐพูดถึงเรื่องสร้อยข้อมือ ทำไมเขาถึงรู้ว่ามันสำคัญมากล่ะ คุณรัฐน่าจะเพิ่งเคยเห็นผมใส่สร้อยนั่นเมื่อตอนที่มาช่วยไว้เท่านั้นนี่น่า

???

 

 ความสงสัยที่ค้างอยู่ในใจถูกขจัดออกไปแทบจะทันที เมื่อคุณรัฐกลับเข้ามาหาในตอนเย็น พร้อมยื่นสร้อยข้อมืออันชวนคิดถึงมาให้ ผมเอาแต่น้ำตาคลอเบ้าขอบคุณไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง พลางลากไล้นิ้วมือไปตามรอยสลักบนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ผมซื้อขนมปังของโปรดปลายมาด้วยนะ”

คุณรัฐว่าพลางยื่นซองขนมปังยี่ห้อดังมาให้ มืออีกข้างเอื้อมเข้าเช็ดน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาพาลจะไหลเต็มที ผมรับขนมปังซองนั้นมามองอย่างงุนงงครู่หนึ่ง จนอีกฝ่ายสังเกตได้

“มีอะไรเหรอ?”

“ผมไม่เคยกินไส้ถั่วแดงนี่ครับ”

“เอ๊ะ?”

ผมยกซองขนมปังไส้ถั่วแดงขึ้นให้คุณรัฐเห็นเต็มตา รู้สึกว่าเขาก็กำลังงงอยู่เหมือนกัน คุณรัฐดูแลผมมากไปจนเพี้ยนแล้วรึเปล่า ผู้ชายคนนี้ไม่มีทางลืมว่าผมชอบอะไร และแน่นอนว่าไม่ใช่ถั่วแดงเละๆ เพราะที่ผมซื้อประจำก็คือขนมปังไส้ครีมต่างหาก

“อ้าว เอ่อ..ปลายไม่กินไส้อื่นนอกจากครีมนี่น่า แล้วทำไมผมถึงซื้อไส้ถั่วแดงมาล่ะเนี่ย”

“คุณรัฐเหนื่อยไปหรือเปล่าครับ ไม่ต้องมาดูแลผมแล้วก็ได้นะ”

“มะ ไม่หรอก! ฉันอยากดูแลนาย ขอให้ฉันอยู่ดูแลนายนะ!”

คนตัวสูงแทบจะพุ่งเข้ามาหาผมบนเตียง ทำให้ผมต้องรีบพยักหน้าตกลงพลางตีสีหน้าตกใจ เห็นแบบนี้แล้วผมยิ่งต้องโทษตัวเอง ผมมันเป็นได้แค่ตัวปัญหา.. การเดินทางของผมคือการทำร้ายทุกคน

ผมเดินทางไปทำไมตั้งแต่แรก ทำไมถึงต้องไปผูกสัมพันธ์กับฌาณและจบลงด้วยการทำให้เขาเจ็บปวด ตลอดมาผมคือเหตุผลที่ทำให้ฌาณต้องแลกทุกอย่าง กับการออกตามหาคนที่ไม่มีวันเจอ ในขณะเดียวกัน ก็ทิ้งคุณรัฐเอาไว้เบื้องหลัง ให้คอยแต่เป็นห่วงและกังวลเกี่ยวกับตัวผมมาตลอด ผมมันเลวร้ายมากที่ทำให้คุณรัฐกลายเป็นผู้ชายแปลกๆ เพราะเขาเอาแต่เพ้อเสมอว่า ‘กลัวผมจะหายไป’

ผมมีชีวิตอยู่ตอนนี้เพื่ออะไรกันแน่ เพื่อทำให้ใครต่อใครเดือดร้อนงั้นเหรอ... หลายครั้ง มีความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวสมอง ความคิดที่ว่าฌาณคนนั้นอาจไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว ถ้าการเดินทางกะโหลกกะลาของผมเพียงไม่กี่ครั้ง ก็สามารถทำให้อายุขัยบั่นทอนลงจนแทบไม่เหลือได้ แล้วนับประสาอะไรกับฌาณ ที่ออกตามหาผมมาตั้งหลายต่อหลายเดือน.. ป่านนี้เขาอาจจะ...

พอคิดได้แบบนั้นแล้ว มันก็ยิ่งช้ำใจ... การใช้ชีวิตของผมตอนนี้ยิ่งดูไร้ค่า หากว่าไม่มีฌาณอยู่แล้ว บางทีผมอาจไม่ต้องรอ เพราะฌาณอาจไม่มีวันกลับมาได้อีก และบางที..ผมก็อาจไม่ต้องอยู่ที่นี่ เพื่อเป็นภาระให้ใครอีกแล้ว

“ผม...ไม่อยากมีชีวิต อีกต่อไปแล้ว ครับ”

“พูดอะไรน่ะ!?”

ความคิดผมมันดังออกมา ทำให้คุณรัฐรีบคว้าตัวผมไปเขย่าอย่างแรงเหมือนต้องการเรียกสติ แววตาสองข้างของผมเหม่อลอยออกไปในที่ไกลๆ ขณะที่เสียงของคุณรัฐยังดังก้องขึ้นมาในโสตประสาต

“เธอจะคิดแบบนั้นไม่ได้นะ! ชีวิตของเธอสำคัญมาก อย่างน้อยก็สำหรับฉัน!”

“แต่ผมเอาแต่ทำให้คุณรัฐเดือดร้อน!”

“ไม่เลย!”

น้ำตามันพรั่งพรูออกมาอาบแก้มทั้งสองข้างของผม หัวใจปวดร้าวขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับวันนั้น..ที่ได้รู้ความจริงว่าผมไม่มีวันได้เจอฌาณ คุณรัฐมีท่าทีตกใจมากและพยายามรั้งข้อมือของผมไว้ เมื่อผมเริ่มใช้กำปั้นเล็กๆทุบลงกับอกตัวเองอย่างโหดร้าย เสียงกรีดร้องจากภายในมันหลั่งไหลออกมาไม่หยุด

“หยุดนะ ปลาย! นายน่ะต้องมีชีวิตต่อไป!”

“ผมทำไม่ได้! หัวใจผมเต้น แต่มันก็เจ็บปวด! ผมเจ็บไปหมดเลยครับ..ฮึก..”

“หยุดเถอะ!!”

สายตาที่พร่ามัวของผมประสานเข้ากับสายตาห่วงใยอย่างรุนแรงของคุณรัฐ เราต่างแย่งกันยื้อข้อมือของผมไว้ท่ามกลางเสียงสะอื้นภายในห้องเล็กๆ

ชีวิตที่เหลืออยู่ของผม มันไม่สามารถทำให้อะไรดีขึ้นมาได้ ฌาณคงหายไปแล้ว.. ทิ้งไว้ก็แค่ความรู้สึกอันหนักหน่วงที่มันบีบรัดอยู่ในใจผมเท่านั้น ทุกวันนี้ที่ผมหายใจ ก็เพื่อทำให้คุณรัฐลำบากมากขึ้นไปอีก รวมทั้งทำให้ตัวเองเจ็บช้ำมากขึ้นไปอีก ก็เท่านั้น!

“ต้องทำยังไง แล้วผมต้องทำยังไง!? ในเมื่อมันเจ็บไปหมด!!!

ความทรงจำดีๆ ที่ผมไม่สามารถมีมันได้อีกแล้ว.. เต็มไปหมด เต็มหัวสมองของผมไปหมด แล้วแบบนี้จะให้ทำยังไงล่ะ ยิ่งคิดถึงก็ยิ่งปวดร้าว แต่จะให้ไม่คิดถึง ก็ทำไม่ได้!!

ผมกรีดร้องจนเสียงที่จะเปล่งออกไปมันแหบพร่า ดวงตาทั้งสองข้างแสบไปหมด ข้อมือเกิดรอยแดงจากแรงเสียดสีเมื่อครู่ ก่อนที่คุณรัฐจะถือวิสาสะรวบร่างทั้งร่างของผมเข้าไปไว้ในอ้อมกอด คนตัวสูงกระชับวงแขนแน่นขึ้นเพื่อไม่ให้ผมดิ้นหนี เสียงหัวใจถี่แรงที่รู้สึกได้ทำให้ผมเริ่มใจเย็นลงตามลำดับ จนเมื่อคุณรัฐพูดอะไรบางอย่างออกมา... อะไรบางอย่าง ที่เขาไม่สมควรจะพูดมันออกมาได้ในโลกใบนี้...

“ถ้างั้นก็ลืมไปเลยสิ...ลืมไปเลย...”

“...”

“ผู้ชายที่ชื่อ ฌาณ”

!!!!??

------------------------------------

ใกล้จบมากมากกกกกก
แต่ยังแต่งไม่จบเลย 5555
สงสัยตกม้าตายตอนจบอีกอะ TT
ชอบแต่งปิดเรื่องได้ห่วยทุกที เสียใจ 555
ฝากติดตามกันไปจนสุดทางด้วยนะคะ ><
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 20 : ข้อเสนอ (28/06/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 28-06-2013 18:09:17
บทที่ 20
ข้อเสนอ


 

“ค..คุณรัฐ พูดอะไร น่ะ”

“เอ่อ ผม.. ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันรู้สึกได้ว่าเธอกำลังทุกข์ใจ เพราะผู้ชายคนนั้น”

คุณรัฐผละตัวออกไปพลางกลอกตาขึ้นลงเหมือนคนกำลังสับสน กลายเป็นผมที่เอาแต่เขย่าตัวคนตรงหน้าไปมาอย่างต้องการคำอธิบายจากคำพูดเมื่อครู่

“ผู้ชายคนนั้น หมายถึงฌาณน่ะเหรอ คุณรัฐรู้จักฌาณเหรอครับ!?”

“ไม่..ผมไม่รู้จัก”

“ไม่รู้จักแล้วจะพูดชื่อนั้นออกมาได้ยังไงครับ ทำไมถึงรู้เรื่องฌาณ!” คำพูดของคุณรัฐกลับกลายเป็นน้ำมันที่จุดไฟแห่งความหวังริบหรี่ขึ้นมา รวมทั้งทำให้ผมเริ่มเสียสติอีกครั้ง

“ผมก็ไม่รู้!!”

“อึ่ก!”

สายตาดุดันแต่กลับสั่นไหวประหลาดจ้องมาทางผม พอดีกับที่แขนแกร่งตรงเข้ามาดันไหล่ของผมไว้ เพื่อไม่ให้เป็นบ้าไปมากกว่านี้ คุณรัฐขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าเสียใจถูกส่งมาให้

“ตลอดมาผมเอาแต่ฝัน... เป็นฝันที่ยาวนานและเหมือนจริงมากจนน่าตกใจ”

“...”

“ในฝันนั้นมีเธอ.. มีเขาคนนั้น ผู้ชายที่ชื่อฌาณ แล้วก็ใครต่อใครอีกมากมาย”

ดวงตาของผมค่อยๆเบิกกว้างขึ้นทีละนิดตามจังหวะการเล่าเรื่องของคุณรัฐ น่าแปลกที่ความฝันของเขามันช่างดูคุ้นเคยอย่างประหลาด การที่เราจะฝันถึงคนที่ไม่เคยเจอมาก่อน แม้กระทั่งคนที่ไม่มีอยู่จริง มันสามารถเป็นไปได้ แต่สิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ก็คือ การที่คุณรัฐฝันถึงเรื่องราวที่น่าจะเกิดขึ้นจริง... เพียงแต่ไม่ใช่ในโลกใบนี้ก็เท่านั้น

“ความฝันนั้นถูกตัดไปตัดมา เหมือนกับว่าผมและทุกคน กำลังดำเนินชีวิตอยู่ในสถานที่ที่แตกต่างกันออกไป”

“ตัดไปตัดมา?”

“ใช่ เหมือนเรื่องราวหลายๆเรื่องที่ถูกตัดภาพสลับกันไปมา ทำให้ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก”

“คุณรัฐ ฝันแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วครับ”

“มันเกิดขึ้นไม่นาน หลังจากที่เธอหายไปในคราวนี้”

ไม่ใช่การฝันแบบเรื่องราวต่อเนื่อง แต่เป็นภาพตัดไปมางั้นเหรอ หมายความว่ายังไง... ไม่ใช่ความตั้งใจที่จะให้คุณรัฐได้เห็นเรื่องราวเหล่านั้น เรื่องราวบนโลกใบอื่นๆที่เราเดินทางไป แต่เหมือนเป็นแค่ความผิดปกติบางอย่าง ที่ส่งผลให้คุณรัฐได้เห็นมัน

ผิดปกติ ขัดข้อง ผลกระทบ ??

เป็นไปได้ไหมว่า การเดินทางที่มากเกินไปของเรา ทำให้ความทรงจำของบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างคุณรัฐ เกิดการบิดเบือนและกลายเป็นถูกเชื่อมเข้าด้วยกัน !?

โอ้ยย บ้าน่า! ไอ้เรื่องเข้าใจยากแบบนี้ ผมไม่ถนัดเลยจริงๆ แถมเด็กบ้าที่เป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ทั้งหมดดันไม่อยู่แล้วด้วย แบบนี้ผมจะไปเอาคำตอบที่ใครละเนี่ย!

“ปลาย”

“ค..ครับ?”

“ความฝันของผม กับการที่เธอหายตัวไป แล้วกลายเป็นแบบนี้ มันเกี่ยวข้องกันใช่ไหม?”

“...”

ถ้าบอกออกไป ก็ใช่ว่าคุณรัฐจะเชื่อ.. ไม่สิ คุณรัฐต้องเชื่อคำพูดของผมแน่เลย แต่ถ้าทำแบบนั้นก็แปลว่า ผมจะดึงคุณรัฐเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องบ้าๆ ที่มีแต่ความโกลาหลนี่ จะดีแน่เหรอ แค่นี้ก็ทำให้คุณรัฐเดือดร้อนมากพออยู่แล้ว.. แต่ว่า...สายตามุ่งมั่นของคุณรัฐในตอนนี้ มันทำให้ผมเชื่อใจที่จะพูดออกไปเสียเหลือเกิน

“ปลาย?”

“...”

“...”

“.....ครับ.. มันเกี่ยวข้องกัน”

ผมเริ่มต้นเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้คุณรัฐฟัง ทั้งเรื่องเซลล์ เรื่องทริป เรื่องความรู้สึกที่เหมือนถูกกระชากตัวออกไปในอีกมิติหนึ่ง และเรื่องราวซึ่งเกิดขึ้นในโลกทุกใบที่ผมเผชิญมา คนฟังเอาแต่เงียบและพยักหน้าตอบรับเป็นครั้งคราวเท่านั้น สายตาจริงจังของผมคงสื่อไปถึงคุณรัฐได้ ทำให้เขาไม่ขัดหรือแทรกอะไรขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ผมรู้สึกได้เลยว่าคุณรัฐเชื่อในสิ่งที่ผมเล่าจริงๆ แสดงว่าความฝันที่คุณรัฐพบเจอมา ต้องไม่ธรรมดาแน่

“โหดร้ายเกินไป” นั่นคือคำพูดแรกที่หลุดออกมาจากปากคุณรัฐ หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดจบลง ผมได้แต่หลุบตาต่ำและพยายามกลั้นน้ำเสียงสั่นเครือเอาไว้

“ครับ.. โหดร้ายจริงๆ”

“เราต้องรู้เรื่องนี้”

คุณรัฐว่าเสียงเด็ดขาดพลางหันไปค้นกระเป๋าถือสีดำของตัวเอง เขาหยิบแท็บเล็ตราคาแพงออกมาและเชื่อมต่อเข้ากับเว็บไซต์ค้นหาทันที คำว่า ‘ทริปข้ามมิติ’ ถูกใส่ลงไปเป็นอย่างแรก ไม่น่าเชื่อว่าการค้นหาง่ายๆจะสามารถทำให้เราได้ข้อมูลของเรื่องนี้มากขึ้นได้

ผลการค้นหาในหน้าท้ายๆ มีบางเว็บไซต์ และบางบล็อก พูดถึงเรื่องที่ใกล้เคียงกันนี้ แต่ดูเหมือนข้อมูลส่วนใหญ่ถูกลบออกไปอย่างหาสาเหตุไม่ได้ มีเพียงไม่กี่อันเท่านั้น ที่ยังหลงเหลือให้เราค้นคว้าได้บ้าง

สิ่งที่เหลือคือนิยายออนไลน์ของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเล่าเรื่องราว เกี่ยวกับเซลล์ขายทริปข้ามมิติ ที่โผล่ออกมาหลอกล่อตัวเอกให้เดินทางไปยังโลกใบอื่น เพื่อไปพบกับชีวิตรูปแบบอื่นของตัวเอง ชื่อของเซลล์ในเรื่องนี้ก็คือ TJ เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษสองตัวต่อกัน เหมือนกับเซลล์ที่ผมพบเจอมาไม่มีผิด

 

‘ฉันถูกแรงกระชากขนาดใหญ่พัดพาไปยังโลกต่อไปอีกครั้ง’

‘เสื้อผ้าของฉันเปลี่ยนไป เนื้อตัวมีรอยแผลเกิดขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ นี่คงเป็นสิ่งที่ตัวฉันในโลกนี้ถ่ายทอดมาให้เช่นทุกที ระยะก้าวของฉันสั้นลงเพื่อสำรวจบริเวณโดยรอบให้ชัดเจน’

‘มันน่าแปลกที่คุณพ่อของโลกใบที่ 9 มีความทรงจำบางอย่างที่คล้ายคลึงกับคุณพ่อในโลกของฉันจริงๆ อะไรคือสิ่งที่ทำให้ท่านรู้เรื่องที่ไม่น่าจะรู้ได้นะ!?’

‘วันนี้ TJ อธิบายให้ฟังว่า การเดินทางข้ามมิติ อาจจะส่งผลกระทบต่อความทรงจำของตัวเราหรือคนรอบข้างในโลกแต่ละใบได้ แต่โอกาสจะเกิดต่อการเดินทางครั้งหนึ่งก็น้อยมาก เหอะ พูดแบบนี้แปลว่าจะบังคับให้ฉันหยุดเดินทางเรื่อยเปื่อยแล้วแน่ๆเลย’


 

เรานั่งอ่านนิยายเรื่องนี้จนเกือบจะจบ เนื้อหาอาจไม่หวือหวา แต่ประเด็นน่าสนใจ.. น่าสนใจเพราะเป็นสิ่งที่เรากำลังตามหานั่นแหละ ทุกอย่างที่ถูกเล่าผ่านตัวละครเอกมันช่างเหมือนกับสิ่งที่ผมสัมผัสมาไม่ผิดเพี้ยน และเป็นอย่างที่ผมตั้งข้อสังเกตจริงๆ เรื่องความฝันของคุณรัฐ มันเกิดจากการที่ผมเดินทางหลายต่อหลายครั้งนั่นแหละ

“ถ้าสิ่งที่นิยายเรื่องนี้เล่าคือความจริง เราอาจเจอฌาณคนนั้นได้ ในตัวของฌาณบนโลกนี้นะ” คุณรัฐพูดจาน่าสับสน จนเขาต้องรีบขยายความเมื่อเห็นหน้างุนงงของผม

“เพราะเซลล์ในนิยายบอกว่า การเดินทางข้ามมิติ อาจส่งผลต่อความทรงจำของทั้งเจ้าตัวและคนรอบข้าง”

“แต่เขาบอกว่าโอกาสจะเกิดมันน้อยมาก คุณรัฐเอง ก็คงเป็นแค่หนึ่งในล้านล่ะมั้งครับ”

“เขาว่าโอกาสจะเกิดต่อการเดินทางหนึ่งครั้งนี่ แต่ทั้งปลายและฌาณ ต่างก็เดินทางไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง การกระทำของพวกเธออาจกำลังปั่นป่วนสมดุลของโลกทั้ง 50 ใบอยู่ก็ได้นะ”

“คุณรัฐไม่ต้องพูดเพื่อให้กำลังใจผมหรอกครับ ความจริง.. ผม...ไม่อยากตั้งความหวังอะไรอีกแล้ว”

“ปลาย..”

คุณรัฐตีสีหน้าเสียใจอีกครั้ง จนผมต้องฝืนยิ้มออกมาเพื่อไม่ให้คนตรงหน้ายิ่งกังวล ห้องทั้งห้องเงียบไปนานจนน่าอึดอัด สายตาของผมยังคงทอดไปยังหน้าจอแท็บแล็ตที่เปิดค้างไว้ นิยายเรื่องนี้คือความจริงที่เกิดขึ้นกับตัวผม เพียงแต่ว่าตอนจบของมัน สวยงามกว่าของผมมาก ขณะที่ในหัวเริ่มคิดถึงเรื่องราวเดิมๆ และน้ำใสๆก็พร้อมจะไหลออกมาทุกเมื่อ เสียงทุ้มของอีกคนก็ดังขัดขึ้นก่อน

“ถ้ามันเจ็บปวดทรมานนัก ก็ลืมมันไปซะจะดีกว่าไหม”

“หมายความว่ายังไงครับ?”

“ผมรู้จักศาสตร์หนึ่ง ว่าด้วยการสะกดจิตเพื่อควบคุมหรือบิดเบือนความคิดของมนุษย์ บางที.. เธออาจใช้มันเพื่อลบเลือนบาดแผลในใจได้”

“ให้ผมลืมงั้นเหรอ..”

“ดีกว่าต้องทนทรมานเพียงลำพังตลอดไปไม่ใช่เหรอ ผมน่ะ.. ไม่อยากเห็นเธอต้องเป็นแบบนี้หรอกนะ”

ผมได้แต่นิ่งเงียบไป ในสมองก็พยายามทบทวนทุกอย่างให้ดี ถ้าลืมได้จริงจะเป็นยังไงกัน ก็คงไม่ต้องทนเจ็บปวดอยู่อย่างนี้ล่ะมั้งนะ... จะมีชีวิตที่ยังเหลือต่อไปโดยที่ไม่รู้จักผู้ชายที่ชื่อ ฌาณ... อย่างนั้นน่ะเหรอ...

“วันนี้เธอคงเหนื่อยมากแล้ว ลองคิดดูให้ดีนะ พรุ่งนี้ผมไม่ว่าง ฉะนั้น..มะรืนจะมาเอาคำตอบ ลาก่อนครับ”

คุณรัฐคงเห็นผมคิดหนัก ถึงจงใจหาเรื่องกลับทั้งที่ปกติจะอยู่ด้วยกันถึงมืดค่ำแท้ๆ มีเวลาอีกหนึ่งวันกับไม่กี่ชั่วโมงสำหรับการตัดสินใจสำหรับข้อเสนอนี้

ในตอนนี้ที่ผมได้แต่ทนเจ็บปวดและกลายเป็นคนป่วย ป่วยที่ใจจนกายมันล้าตามไปด้วย สุดท้ายก็กลายเป็นแค่ภาระของทั้งตัวเองและคนรอบข้าง ส่วนภายในก็เอาแต่ร้าวระบมจนอยากร้องไห้ทุกสิบนาทีอยู่ตลอด มีชีวิตอย่างไร้ความหมาย ในเมื่อฌาณที่กำลังรออาจไม่อยู่แล้วจริงๆ การหายใจของผมในวันนี้มันดูไร้ค่า แต่ถ้าผมแค่ลืมเรื่องราวทั้งหมด ผมก็ไม่ต้องจำ และก็ไม่ต้องเจ็บ จะได้ก้าวเดินต่อไปได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นก็อาจจะดีเหมือนกัน...

ทำยังไงดี...ผมควรจะตอบไปว่าอะไรดี?
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 20 : ข้อเสนอ (28/06/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Eternal luv ที่ 28-06-2013 20:34:15
 :z13: รู้สึกว่าคุณรัฐแปลกๆ พยายามเชียร์ให้ลืม ณานเกินไป
ขอให้ทัั้งสองเจอกันไวๆนะ

ปลายอย่าลืมณานเลยนะ
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 21 : อีกด้านหนึ่ง (01/07/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 01-07-2013 21:14:22
บทที่ 21
อีกด้านหนึ่ง


 

[AA]

22 มิ.ย. 2556, 08.15 น.


 

ใครกันช่างคิดให้มีประชุมตอนเช้าแบบนี้ ไม่นึกถึงคนที่ต้องการการพักผ่อนบ้างหรือไง ตั้งแต่ถูกบรรจุเป็นเซลล์ประจำ ก็ถูกโยนงานใหญ่มาให้ด้วยการดูแลผู้ชายที่ชื่อ ฌาณ เขาคือหนึ่งในไม่กี่คน ที่ได้รับสิทธิพิเศษบางอย่างจากเจ้านาย เหตุก็เพราะความวุ่นวายเมื่อประมาณ 6 เดือนก่อน ที่เซลล์รุ่นพี่ไปก่อเรื่อง เอาทริปหมดอายุไปใช้งานนั่นแหละ

ไม่มีใครยอมปริปากเล่ารายละเอียดของเรื่องในตอนนั้นให้ฟัง อาจเพราะนิสัยของคนที่นี่ที่ไม่คิดจะยุ่งเรื่องของคนอื่น และอาจจะเพราะความอัปยศในวงการที่ไม่อยากพูดถึงด้วยล่ะมั้ง

สิ่งที่ฉันได้รับมอบหมายมานอกจากการดูฌาณแล้วก็คือ นาฬิกาเรือนใหญ่ สัญลักษณ์ของเซลล์ขายทริป ปกติแล้วบนหน้าจอจะแสดงผลแค่สามช่องรายการ หนึ่งคือวันเวลาอย่างเช่นนาฬิกาทั่วไปควรจะเป็น สองคืออายุขัยที่เหลือของลูกค้าในตอนนั้น และสามก็คือจำนวนครั้งที่ลูกค้าคนนั้นสามารถเดินทางได้ โดยทุกครั้งที่ลูกค้าเดินทาง ตัวเลขบนหน้าจอก็จะลดลง พร้อมๆกับตัวเลขบอกอายุขัยด้วย

แต่ของฌาณมันต่างออกไปเพียงเล็กน้อย เพราะจากความเสื่อมเสียของเซลล์อย่างเราในคราวนั้น เจ้านายยอมออกโรงเจรจากับเจ้าตัวเอง สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปที่ดูยังไงเราก็ไปโกงเขา คือการยอมให้ฌาณซื้อทริปแบบเหมาจ่าย ในราคาพิเศษ โดยแลกอายุขัย 50 ปี กับการเดินทางอีก 40 ครั้ง จะเรียกว่าคุ้มก็เหมือนจะใช่ เพราะการเดินทาง 40 ครั้ง ปกติต้องใช้อายุขัยตั้ง 200 ปี แต่ฌาณกลับได้มันในราคาแค่ 50 ปีเท่านั้น แล้วถ้าฌาณใช้ทริปไม่ครบ 40 ครั้ง แต่ดันเจอปลายก่อน เขาก็อาจมีชีวิตต่อไปได้ แต่ต้องไม่เดินทางอีกก็แค่นั้น ฟังยังไงก็น่าประทับใจเสียไม่มี

ทั้งที่ความเป็นจริง...มันไม่ได้คุ้มเลย เจ้านายมีความสามารถหยั่งรู้อนาคต แถมยังเป็นพวกละโมบแบบต่ำช้า เพราะอย่างนั้นฉันถึงว่าเราไปโกงเขา ตอนนี้ฉันได้รับรู้ว่า ในวันนั้นตอนที่เจ้านายยื่นข้อเสนอนี้ให้กับฌาณ เจ้านายคงมองเห็นอนาคตที่จะเป็นไปอยู่แล้ว ว่ายังไงฌาณก็จะต้องใช้ทริปไปเรื่อยๆ และยังไม่สามารถเจอปลาย สุดท้ายคนที่มีแต่ได้ก็คือเจ้านายเอง

ช่องบอกอายุขัยของฌาณมันหยุดนิ่ง จนกว่าช่องบอกจำนวนการเดินทางจะเป็น 0 อายุขัยของเขาถึงจะเริ่มออกเดินหน้าสู่การสิ้นสุดอีกครั้ง และตอนนี้มันก็.....

“AA! ได้เวลาประชุมแล้วนะ”

“อ๊ะ.. ค่ะ”

รุ่นพี่คนหนึ่งเดินมาตามด้วยสีหน้าเร่งรีบ ทุกคนได้แต่ลนลานไปให้ถึงห้องประชุมภายในเวลานัดหมาย ทุกคนต่างเกรงกลัวเจ้านาย.. และหลายคนก็เกลียดเขา เพราะความโลภจนน่าขยะแขยงนั่นแหละ กฎทุกอย่างที่เขาตั้งขึ้นสำหรับพวกเรา ล้วนแต่ทำเพื่อสร้างความลำบากให้กับลูกค้า และจงใจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับปัญหาที่จะเกิดกับลูกค้า สุดท้ายมันจะจบลงด้วยการที่ ลูกค้าเหล่านั้นต้องจำใจยอมแลกอายุขัยที่เหลือเพื่อเดินทางไปหาหนทางหรือการแก้ไข ส่วนเซลล์อย่างพวกเรา.. ก็ได้แต่รับความผิดแทน กลายเป็นพวกเลวทรามในสายตาของมนุษย์หลายต่อหลายคน

ฉันเข้าทำงานนี้ได้ 6 เดือนกว่า กับการติดตามลูกค้าเพียงรายเดียว ถึงอย่างนั้นก็ได้ประสบกับหลากหลายเหตุการณ์ และได้ร่วมซึมซับความทรงจำอีกมากมาย ทุกๆวันที่เห็นฌาณเอาแต่ตีสีหน้าเจ็บปวด ฉันก็ได้แต่รังเกียจตัวเอง คำถามมากมายมันลอยขึ้นมาในหัว

เราอยู่ตรงนี้เพื่ออะไร? สิ่งที่ทำอยู่มันดีจริงหรือไม่? จริยธรรมของการประกอบอาชีพนี้อยู่ที่ไหน? ทำไมถึงต้องทำลายชีวิตของใครสักคน? อะไรคือจุดมุ่งหมายของการเป็นเซลล์ทริป? เพื่อกลั่นแกล้งมนุษย์เช่นนั้นหรือ? อีกนานแค่ไหน...ต้องเป็นมารร้ายสำหรับพวกลูกค้าไปอีกนานแค่ไหน? แล้วยังต้องเห็นความรวดร้าวของคนเหล่านั้นอีกมากเท่าไรกัน?

“ลูกค้าหมายเลข 0005689 อายุขัยปัจจุบันคือ 4 ปี 11 เดือน 3 วัน 20 ชั่วโมง กับอีก 45 นาที ไม่สามารถเดินทางต่อได้แล้วค่ะ”

เสียงคุ้นหูของเพื่อนร่วมงานตัวร้ายอย่างยัย CD ดังขึ้นเรียกฉันให้ตื่นจากภวังค์ เธอกำลังลุกขึ้นรายงานผลการปฏิบัติงานเป็นคนสุดท้าย รุ่นพี่บางคนที่นั่งอยู่ตรงนี้หลุบสายตาลง พวกนี้คือคนที่รู้เรื่องราวเมื่อ 6 เดือนก่อนนี่น่า หมายความว่ายังไง ทำไมถึงมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับการสรุปผลของ CD... เดี๋ยวสิ

ลูกค้าของ CD คนล่าสุด ก็คือปลายจากโลกใบที่ 23 ไม่ใช่เหรอ ปลายที่เกือบจะทำให้ฌาณเขวคนนั้น ทำไมอยู่ดีๆอายุขัยถึงลดลงมากขนาดนี้ เขาไปเจออะไรมา? เกิดอะไรขึ้น?

“ดีมาก ส่วนเรื่องการพิจารณาความผิดของเธอ เรายังคงยืนยันวันและเวลาตามเดิม ขอให้มาตามนัดหมายด้วย”

“....ค่ะ”

“ทุกคนเลิกประชุมได้”

เจ้านายหายตัวไปทันทีหลังบอกลาทุกคนในที่ประชุม รุ่นพี่หลายคนก็ใช้วิธีการเดียวกัน แต่บางกลุ่มก็ใช้การเดินทางประเภทอื่นคละกันไป ฉันรีบใช้จังหวะนี้เข้าไปประชิดตัว CD และลากให้มาคุยกันที่โต๊ะตัวหนึ่ง ไม่ไกลจากห้องประชุมเมื่อครู่นัก แววตาของเธอสั่นไหว มีความรู้สึกมากมายไหลรวมอยู่ในนั้น ทั้งความตกใจ และความเสียใจด้วย

“มีอะไร ฉันรีบ”

“เกิดอะไรขึ้นกับปลายที่โลก 23?”

“กฎข้อ 3 บอกไว้ว่า ห้ามแทรกแซงการทำงานของเซลล์คนอื่นๆ”

“ฉันไม่ได้แทรกแซง ฉันแค่สอบถาม! อีกอย่าง.. เธอไม่ได้ทำงานดูแลผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว ไม่ผิดถ้าฉันจะรู้”

“เขาก็แค่เดินทางมากไป จนอายุขัยบั่นทอนก็เท่านั้น” CD พูดจาคล้ายว่าต้องการตัดบท สายตาของเธอไมได้มองตรงมาทางฉัน ผิดปกติมากเกินไป...

“ฉันว่าคงต้องเปลี่ยนคำถามกันใหม่...”

“อะไรของเธอ ฉันต้องไปแล้ว” ฉันรีบรั้งข้อมือของ CD ให้กลับมานั่งที่เหมือนเดิม สายตาเกรี้ยวกราดตวัดมาทางนี้ แต่ฉันไม่กลัว CD ในตอนนี้ไม่น่ากลัวเลย เพราะในแววตาของเธอมันอัดแน่นไปด้วยความสับสนจนคนรอบข้างรู้สึกได้ทีเดียว

“ปลายที่โลก 23 คือใคร? เกี่ยวข้องอะไรกับเหตุการณ์ทริปหมดอายุเมื่อ 6 เดือนก่อน?”

“ในที่ประชุมเมื่อ 6 เดือนก่อน สรุปกันว่า จะไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีก”

“เธอกลัวการถูกไล่ออก มากกว่าความเกรงกลัวต่อบาปอีกเหรอ!”

CD เหมือนจะอึ้งไป แต่ก็รีบตีสีหน้ากลับมาเป็นเหมือนเดิมโดยไว ฉันรู้ดีว่ายัยนี่ก็รู้สึกผิดเต็มทน ไม่งั้นคงไม่เป็นแบบนี้ ปลายที่โลก 23...หรือว่านาย.....

“ปลายที่โลก 23 คือปลายที่ฌาณกำลังตามหาใช่ไหม?”

เปรียะ..

เสียงกระแสไฟอ่อนๆดังออกมาจากนาฬิกาข้อมือของ CD ทำเอาเจ้าตัวสะดุ้งพลางเบือนหน้าหนี ให้ตายเหอะ! เป็นแบบนี้อีกแล้วหรอ ทุกครั้งที่ฉันตามสืบเรื่องของฌาณกับปลาย นาฬิกาข้อมือของรุ่นพี่ทุกคนที่ไปถามมาก็เป็นแบบนี้ สุดท้ายก็เลยไม่มีใครยอมบอก เพราะกลัวโดนลงโทษกันหมด แต่ครั้งนี้ฉันไม่อยากยอมแพ้อีกแล้ว.. ไม่สิ... ฉันยอมแพ้ไม่ได้แล้วต่างหาก

“ขอร้องล่ะ CD บอกฉันมาเถอะ เรื่องของฌาณกับปลายมันเป็นยังไงกันแน่ ขอร้องล่ะนะ!”

“...”

“CD! ฉันขอร้องจริงๆ!” ฉันออกแรงเขย่าร่างที่เริ่มสั่นเทิ้มของคนข้างๆ กระแสไฟสีฟ้าตวัดไปรอบๆนาฬิกาเรือนนั้นมากขึ้น

“...”

“เธอเข้ามาเป็นเซลล์ เพื่อจะช่วงชิงความสุขของผู้คนเหรอ!!?”

“ฉันบอกไม่ได้ก็คือไม่ได้สิ!!”

“แต่ฌาณกำลังจะตาย!!!!”

“อึ่ก!”

“ฌาณกำลังจะตาย ได้ยินไหม!!?”

ฉันไม่สนใจอีกแล้วว่า CD จะเป็นยังไง ตอนนี้เหมือนตัวเองสติแตก เพราะเอาแต่เขย่าร่างของคนตรงหน้าอย่างแรง สลับกับการก้มมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง ตัวเลข 1 แสดงจำนวนครั้งที่ฌาณสามารถเดินทางต่อได้ ดูแย่มากพอๆกับตัวเลขซึ่งแสดงอายุขัยที่เหลือของเขา... เพราะมันคือ 43 นาที เท่านั้นเอง น้อยมากจนน่าใจหายเชียวล่ะ...

“ความจำเสื่อม..”

เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ

เสียงของยัย CD แผ่วเหลือเกิน รู้สึกได้ว่าเธอกำลังพยายามอย่างหนักในการต่อสู้กับความเจ็บปวดที่ข้อมือ กระแสไฟฟ้าน่ากลัวเกี่ยวกระหวัดไปรอบๆตัวเธอ น่ากลัวกว่าครั้งไหนที่ฉันเคยเห็นมา ไม่นานนักเสียงสั่นเครือก็กลายเป็นเสียงสะอื้น CD ผลักตัวของฉันให้ออกมาจากรัศมีตัวเธอพลางส่งเสียงตะโกนออกมา

“เมื่อ 6 เดือนก่อน ตอนที่ปลายกับฌาณคลาดกัน ปลายประสบอุบัติเหตุความจำเสื่อม ปลายคนนั้น..”

“CD!!” ไอ้พวกทหารในชุดคลุมสีกากี ลูกไล่ของเจ้านายโผล่หัวออกมาจากความว่างเปล่า ไวจนไม่ทันให้เราได้ตั้งตัว CD ถูกจับพันธนาการอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังพอทันที่จะได้พูดเฉลยสุดท้าย

“ก็คือปลายที่โลก 23!!”

ฉันได้แต่พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจและเสียใจในเวลาเดียวกัน ก่อนจะรีบพาตัวเองหายตัวออกมาจากที่แห่งนั้นให้ไวกว่าการจับกุมตัว ภาพสุดท้ายที่มองเห็นคือร่างของ CD ที่ถูกกดลงกับพื้น พร้อมกับเสียงประกาศถึงโทษทัณฑ์ของเธอ ฌาณซึ่งรออยู่ที่โลก 15 มีสีหน้าตกใจพอๆกันเมื่อเห็นว่าฉันกำลังทำหน้ายังไงทันทีที่โผล่ตัวออกมา

“AA เป็นอะไร?”

“ฌาณ ฟังนะ...”

 

“วิ่งไปทางทิศเหนือแล้วจะเจอทางแยก”

ตึก ตึก ตึก..

เรารีบเดินทางครั้งสุดท้ายมาที่โลก 23 แทบจะทันทีหลังจากฉันเล่าเรื่องทั้งหมดจบ นาฬิกาซึ่งบอกเวลาชีวิตของฌาณเริ่มต้นนับถอยหลังอีกครั้ง... 14 นาที คือเวลาที่เหลือในตอนนี้

เพราะฉันมันอ่อนแอเอง ทำได้แต่ก้มหัวให้กับผู้มีอำนาจอย่างเจ้านาย ยอมไหลไปกับธารความเลวทั้งๆที่รู้แก่ใจดี เซลล์ทุกคนก็ทำได้แค่นั้น เพราะความกลัว จึงไม่กล้าที่จะต่อสู้กับความชั่ว สุดท้ายก็ทำได้แค่จำใจทำร้ายคนดี เพราะเอาแต่คิดถึงตัวเองทั้งนั้นเลย

ฉันหายตัวได้ แต่ฉันพาอีกคนไปด้วยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นฌาณคงไม่ต้องมาวิ่งไปรอบเมืองเพื่อตามหาห้องเช่าของปลายแบบนี้ แต่ก็คงต้องโทษโชคด้วยเหมือนกัน เพราะความโชคร้ายสำหรับคนคู่นี้มันไม่จบสิ้นง่ายๆ เมื่อฌาณดันโผล่ออกมาในรถทัวร์ซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปต่างจังหวัด ทั้งที่ความจริงบ้านของเขาอยู่ในละแวกเดียวกับปลายแท้ๆ เราก็เลยเสียเวลาโบกรถกลับมากันอีกหลายนาที และเพราะว่าซอยแถวนี้มันแคบมาก ทำให้ไอ้แท็กซี่บ้านั่นไม่ยอมขับเข้ามา ฌาณเลยต้องเหนื่อยวิ่งแบบเอาตายอยู่อย่างนี้

เมื่อแหงนมองฟ้าก็เห็นเพียงแค่ผืนผ้าสีดำ สิ่งที่นำทางให้ฌาณมีแค่แสงจันทร์ กับแสงไฟข้างทางริบหรี่เท่านั้น แต่ว่า...ในใจของเขา มันก่อเกิดดวงไฟอันยิ่งใหญ่ขึ้นมา ดวงไฟที่เรียกว่าความหวัง

“เลี้ยวขวาข้างหน้านี้เลย”

“ฮั่ก.. ฮ..”

“ทนหน่อยนะ ตรงไปเรื่อยๆจะเจอร้านขนมปัง ก็อีกไม่ไกลแล้ว”

ฉันได้แต่ปลอบคนข้างๆที่เริ่มเหนื่อยเต็มทีหลังจากการวิ่งติดต่อกันไม่หยุด เม็ดเหงื่อไหลลงมาตามขมับ บวกกับเสียงหอบท่ามกลางความเงียบของซอยเปลี่ยว มีแค่ดวงตาแพรวอันเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเท่านั้น ที่ทำให้แน่ใจว่าร่างกายนี้จะไม่ล้มลงไปเสียก่อน นาฬิกาชีวิตของฌาณถ้าจะเดินช้ากว่านี้อีกสักหน่อยก็คงดีหรอก...

’00:06:52’

เราใช้เวลาอีกไม่เท่าไรก็มาถึงหน้าห้องเช่าเก่าๆของปลาย แน่นอนว่ามีคนกึ่งหลับกึ่งตื่นเฝ้าอยู่ข้างล่าง ไม่รอให้เสียเวลามากกว่านี้ ฌาณก็เป็นฝ่ายออกตัววิ่งไปก่อนอย่างไม่บอกกล่าว ฉันได้แต่ตามไปจนมาถึงด้านหลังของตึก ทางนี้มีแต่ระเบียงรั้วเล็กๆเอาไว้สำหรับตากผ้า ส่วนห้องของปลายน่ะอยู่ที่ชั้น 3 ตรงหน้านี้เอง

“อย่าบอกนะว่า..”

“ฮึบ”

เป็นอย่างที่คิดไม่มีผิด นายฌาณลงทุนปีนระเบียงของตึกนี้แบบไม่กลัว จะเรียกว่าบ้าหรือบ้าดี! ถ้าตกลงมาได้ตายก่อนเวลาแน่.. อ่า... ไม่ควรพูดแบบนี้สินะ เพราะถึงยังไง เวลาของเขาก็เหลือไม่มากแล้ว ฉันลอยตัวขึ้นไปยืนรออยู่ที่ด้านบน ตรงระเบียงห้องของปลายพอดี สายตาจับจ้องไปที่หน้าจอนาฬิกาสลับกับใบหน้าเหน็ดเหนื่อยแต่ก็ไม่ท้อแท้ของฌาณ เสียงปลายรองเท้ากระทบพื้นระเบียงดังขึ้นรัวๆด้วยความตื่นเต้น

’00:01:36’

ช่างเป็นเวลาที่น่ากลัวเหลือเกิน... น้อยเสียจนน่ากลัวเหลือเกิน...

“มาเร็ว!”

ฉันยื่นมือออกไปรอรับมือใหญ่ของคนที่กำลังปีนขึ้นมาอย่างยากลำบาก ฌาณลังเลเพียงแวบหนึ่งก่อนจะยอมคว้ามือเล็กๆไว้ อย่าดูถูกกันมากไป ถึงเรื่องอื่นจะช่วยไม่ได้ แต่แรงช้างอย่างเรา ไม่แพ้ใครแน่!

“ฮึ่บ!”

ไม่กี่วินาทีต่อมา ร่างใหญ่ของฌาณก็ถูกดึงขึ้นมายืนหอบอยู่ข้างกันตรงระเบียงแห่งนี้ เราทั้งคู่ต่างหันมองเข้าไปด้านในทั้งที่มีกระจกทึบกั้นอยู่ รอยแยกของผ้าม่านเผยให้เห็นเงาลางๆของคนคุ้นเคย ซึ่งกำลังหลับสนิทบนเตียงขนาดเล็ก น้ำใสๆมันเอ่อขึ้นมาที่ขอบตาทั้งสองข้างของฌาณ ช่างเป็นภาพที่ทั้งน่าเจ็บปวดและน่าดีใจในเวลาเดียวกัน

10

เสียงทุ้มน่ากลัวดังออกมาจากนาฬิกาข้อมือของฉัน เพื่อเตือนให้รู้ถึงเวลา 10 วินาทีสุดท้ายของชีวิตคนตรงนี้ ใบหน้าของฌาณซีดลงไปแวบหนึ่ง ก่อนที่มือใหญ่จะรีบเอื้อมเข้าไปเปิดประตู...ประตู.....

กึก กึกก

ประตูล็อค !!?

---------------------------------------------

 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 21 : อีกด้านหนึ่ง (01/07/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Eternal luv ที่ 02-07-2013 00:26:28
  :hao5: โอ ณานไม่นะ ต้องได้เจอกัน ได้อยู่ด้วยกันซิ
ค้างอะ ขออีกได้ป่าวคนเขียน  :katai4:  :katai4:
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 21 : อีกด้านหนึ่ง (01/07/56)
เริ่มหัวข้อโดย: bebe ที่ 03-07-2013 02:16:34
ทำไมเราเพิ่งมาเห็นนิยายดีดี อย่างนี้ ชอบเรื่องนี้มากเลย
 ขอให้เรื่องนี้จบแบบแฮปปี้ด้วยเถอะ แล้วก็ขอให้คุณรัฐ มีความสุขซะที  อ่านไปเศร้าไป
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 22 : ฉันคิดถึงเธอ +บทส่งท้าย (04/07/56) จบแล้วค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 04-07-2013 16:59:02
บทที่ 22
ฉันคิดถึงเธอ


 

22 มิ.ย. 2556, 07.50 น.

 

ผมตื่นเช้ามาพร้อมกับความสับสนที่ยังอยู่ในหัว ไม่รู้จริงๆว่าควรจะทำยังไงต่อไป กับความรู้สึกตอนนี้... ผมไม่อยากลืมเรื่องของเรา แต่ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ผมก็มีแต่จะค่อยๆแหลกสลาย จะต้องตายไปพร้อมกับความรู้สึกเสียใจแน่ เพราะว่าผมไม่มีความมั่นใจเลย ว่าตัวเองจะสามารถยืนหยัดต่อไปได้ โดยที่ยังมีเรื่องติดค้างในใจแบบนี้... สุดท้ายเราก็ไม่ได้พบกัน ในฐานะของคนรักกัน และคงไม่มีวันแล้ว

โชคชะตาหรือฟ้าเบื้องบน อะไรก็ตามที่ขีดเส้นให้มันเป็นแบบนี้... ใจร้ายมาก แค่วินาทีเดียวก็ไม่ยอม แค่เสี้ยววินาทีก็ไม่ได้ แค่ให้ผมกับฌาณได้เจอกันอีกครั้งก็ไม่ให้ ใจร้ายเกินไปจริงๆ

โคร่กก

อ่า...ผมเข้าใจความสำคัญของคุณรัฐก็ตอนนี้แหละ พอผมกลายเป็นไอ้บ้าที่เอาแต่เหม่อลอย แล้วพอไม่มีคุณรัฐมาดูแล ก็ลำบากขึ้นมาเชียว ตลกนะ ทั้งที่แต่ก่อนก็เคยอยู่ได้ ทำไมตอนนี้มันเป็นแบบนี้ล่ะ เฮ้ออ... ยังไงก็เหอะ ตอนนี้คงต้องออกไปซื้ออะไรมากินก่อน ไม่งั้นได้นอนตายสมใจแน่

แม้แสงแดดอ่อนๆในยามเช้าก็ทำร้ายสายตาผมได้ นี่คือผลจากการหมกตัวอยู่แต่ในห้องทึบๆเป็นเวลาหลายวัน จนแทบจะลืมว่าอากาศข้างนอกเป็นยังไงน่ะสิ แถมดูเหมือนเรี่ยวแรงผมมันก็ไม่เต็มร้อย ถึงได้ใช้เวลาเดินไปมินิมาร์ทนานกว่าปกติ

ที่ชั้นวางขนมปัง มีขนมปังยี่ห้อต่างๆมากมาย ไส้ รส และรูปแบบก็แตกต่างกันไป ดูๆแล้วก็น่าทานซะหมด จะติดก็แค่.. อาการฝังใจว่าต้องซื้อแต่ยี่ห้อเดิมเท่านั้นเนี่ยแหละ ในโลกใบที่ 27 ขนมปังไส้ครีมที่ผมชอบ คือไส้ที่พี่ทิพย์เกลียดที่สุด เธอชอบไส้เมล่อน ส่วนฌาณไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษ ส่วนโลกใบที่ 18 ผมกลับกลายเป็นคนที่ชอบกินขนมปังไส้ถั่วแดง ทั้งที่ความจริงไม่ค่อยชอบเอาเสียเลย

เออ...ดี แม้แต่ขนมปัง ก็ยังมีความทรงจำให้ชวนคิดถึงมันเลย เฮ้อออ ผมรีบๆหยิบขนมปังไส้ครีมมาไว้ในมือ พ่วงด้วยนมจืดหนึ่งกล่อง ก่อนจะจ่ายเงินและเดินเอื่อยเฉื่อยออกมา ผมก้าวขาช้ายิ่งกว่าตอนมาซะอีก ก็เลยทำให้ได้เห็นอะไรต่อมิอะไรชัดเจนกว่าทุกที พื้นที่รกร้างในละแวกนี้ถูกนายทุนซื้อไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ แต่ดูเหมือนกำลังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง เพื่อทำเป็นอเวนิวเล็กๆไปแล้ว คงดีกว่านี้ถ้าเขาจะขยายพื้นที่สวนสาธารณะข้างๆให้กว้างขึ้นแทน

ผมหยุดพักบนม้านั่งในสวนสาธารณะที่ว่า ดูเหมือนการไม่ได้ขยับตัวนานๆจะทำให้ร่างกายผมแก่ขึ้นไปอีกหลายปี มันล้าๆ ไม่รู้เพราะเหนื่อยใจ หรือเพราะใกล้ตายแล้วกันแน่ เหอะๆ ไม่ตลกเลย...

จึก จึก

ในระหว่างที่กำลังปล่อยความคิดไปเพลินๆ ก็รู้สึกถึงแรงจิ้มที่แก้มซ้าย พอหันไปก็พบกับดอกกุหลาบสีแดงที่ถูกยื่นเข้ามา มีหยดน้ำเกาะอยู่บนกลีบดอกเล็กน้อยพอให้ดูชุ่มชื่น เหตุการณ์คุ้นเคยนี้ไม่ได้น่าตกใจเท่ากับเจ้าของดอกไม้ เด็กสาวท่าทางใจดี ผมยาวประบ่าสีคาราเมลสวยถูกดัดเป็นลอนบางๆดูน่ารักขึ้นไปอีก เธอกำลังส่งยิ้มกว้างมาให้ผม และเป็นยิ้มที่ชวนคิดถึงจริงๆให้ตาย

“น้ำตาล..”

“อ้าว เรารู้จักกันด้วยหรอคะ?”

ใช่จริงๆหรอเนี่ย น้ำตาล พนักงานแสนน่ารักของร้านดอกไม้ Florem ในโลก 18 กำลังยืนอยู่ต่อหน้าผมในโลก 23 ทั้งที่เราไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่กลับถึงเวลาที่ได้พานพบแล้วหรือยังไง

“เอ่อะ ผม.. หมายถึง ผมของคุณอะครับ สีน้ำตาลสวยดีนะ” โอ้ยอยากกัดลิ้นตัวเองตายตรงนี้เลย ความสามารถในการแถของผมทำไมมันจัญไรขนาดนี้วะครับ!

“อ่อ ขอบคุณค่ะ ถ้างั้นช่วยรับดอกกุหลาบนี้ไว้ด้วยนะคะ”

ผู้หญิงตัวเล็กยิ้มกว้างอีกครั้งพลางยื่นกุหลาบดอกนั้นมาให้ ก่อนที่จะเดินตรงไปหาคนอื่นๆในสวนสาธารณะนี้ ผมก้มลงมองดอกไม้ในมือ เห็นแท็กเล็กๆติดเอาไว้ บนนั้นพิมพ์โลโก้บางอย่าง พร้อมคำบรรยายใต้ภาพที่ว่า ‘ร้านดอกไม้เปิดใหม่ พบกันที่แซนด์อเวนิว 28 กรกฎาคมนี้’ อะไรกัน ขนาดในโลกนี้เธอก็ยังจะทำงานร้านดอกไม้เรอะ หางานอื่นที่ดีกว่านี้ไม่ได้หรือไง

แล้วคิดได้ไงเอากุหลาบมาจิ้มแก้มชาวบ้านเขาอะ?

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะลุกเดินออกไปจากบริเวณนี้ จังหวะการเดินยิ่งช้าลงเรื่อยๆ เพราะในหัวเอาแต่คิดไปมาถึงเรื่องราวในอดีต กุหลาบสีแดงงั้นเหรอ...

‘ส่งมาดิ จะให้ตัดหนามใช่มะ’

‘เปล่า อันนี้ให้’

‘บ้าหรือไง?’

‘อือ ก็บ้าไง’

ฮ่ะๆ บ้าจริงๆนั่นแหละ ไอ้พวกที่ชอบเอาดอกไม้จิ้มแก้มคนอื่นเนี่ย มีแต่พวกบ้าทั้งนั้นเลย ร้านดอกไม้อะไรกัน ทำไมต้องมาเปิดแถวนี้ด้วยล่ะ

คราวนี้ผมเปลี่ยนมาก้าวขาให้ไวขึ้นแทน หวังว่าจะช่วยให้ไม่ต้องคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก ไม่ทันไรก็มาหยุดลงตรงหน้าประตูห้องตัวเองแล้ว แต่ก่อนจะได้เปิดประตูเข้าไป ผมกลับต้องสะดุดกับโปสเตอร์แผ่นหนึ่งที่ถูกเสียบไว้ข้างใต้ประตู เมื่อหยิบออกมาดูก็เห็นว่าเป็นแผ่นโฆษณาร้านค้าในอเวนิวที่ใกล้จะเปิดอีกเช่นเคย

ตัวอักษรสีสันน่ารักพาดลงไปตามแนวกระดาษแผ่นบาง มีตัวการ์ตูนรายล้อมเต็มไปหมด พร้อมกับคำอธิบายข้างใต้ชื่อร้านว่า ‘ร้านน้ำแข็งใสเปิดใหม่ พบกันที่แซนด์อเวนิว 28 กรกฎาคมนี้’ อะไร......นี่ลอกไอ้ร้านดอกไม้เมื่อกี้มาใช่ม้าย!? ลอกกันมาเห็นๆเลยนี่หว่า!

เดี๋ยวดิ! ข้างใต้สุดของแผ่นโฆษณามีเบอร์โทรติดต่ออยู่ด้วย ไอ้เบอร์ของร้านน่ะไม่สนใจหรอก แต่เบอร์ของเจ้าของร้ายเนี่ยสิ... หมายความว่ายังไงที่วงเล็บหลังเบอร์ไว้ว่า (คุณทิพย์) อย่าบอกเชียวนะว่าคือทิพย์เดียวกับที่ทำงานร้าน Snow Farm น่ะ

ชักจะตลกใหญ่แล้วนะ...

‘ฉันให้นายมาทำงาน ไม่ได้ให้มาเล่น’

‘ทำได้ดีมาก’

‘รู้ได้ไง ว่าเขายังรออยู่?’

‘ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆคือฉันยังรอ.. รอวันที่จะหาเขาเจอ’

ตลกมากปะ มาล้อเล่นกับความทรงจำคนอื่นเขาแบบนี้ เฮอะ ผมพับกระดาษในมือเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งพักบนโซฟาตัวประจำ ไอ้ดอกกุกลาบสีแดงสด กับโปสเตอร์โฆษณาร้านน้ำแข็งใสที่บังอาจมาทำให้ผมชวนคิดถึงถูกเนรเทศไปอยู่ในถังขยะเรียบร้อยแล้ว

จริงด้วย... ถ้าไม่ลืมไปซะ มันก็จะยังคิดถึงอยู่อย่างนี้ แล้วก็เจ็บต่อไปแบบนี้...

 

ให้ทายว่าวันนี้ผมเสียเวลาไปกับการนั่งอยู่เฉยๆนานเท่าไร.... ไม่มากครับ แค่ตั้งแต่กลับมาจากมินิมาร์ทจนถึงเวลาเข้านอนนั่นแหละ ดอกกุหลาบที่เริ่มเหี่ยวกับกระดาษโฆษณายับย่นวางอยู่บนโต๊ะ เหมือนคนบ้าเลย คิดว่าควรจะทิ้งไป แต่ก็กลับไปเอามันขึ้นมาเองซะนี่

ผมนอนก่ายหน้าผากอยู่นาน จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะให้คำตอบคุณรัฐว่าอะไรดี ผมไม่อยากจะลืม แต่ก็ควรจะลืมใช่หรือเปล่า เรื่องราวที่ทำให้คิดถึง คิดถึงแล้วก็เสียใจ เสียใจเพราะรู้ว่าไม่มีทางได้รับความสุขแบบนั้นอีกแล้ว เอาแต่คิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมา จนคล้อยหลับไปในค่ำคืนที่เงียบสงบจนน่าแปลกใจ...

.

.

.

กึก กึกก

เสียงแปลกๆดังขึ้นกลางดึก ทำเอาผมตกใจตื่น แต่ก็ไม่กล้าเปิดตาดูว่าคืออะไร จริงๆผมก็อยู่ห้องนี้มาตั้งนาน ไม่เคยเจออะไรนะ ทำไมถึงมาเจอเอาตอนนี้ล่ะ ไม่จริงอะ หูฟาดแน่เลย ต้องหลับต่อ ใช่ๆ นอนต่อดีกว่า ลืมไปซะ ไม่มีอะไรหรอก แค่สวดมนต์ไว้เดี๋ยวมันก็หายไปเองแหละ ฮืออ

7

อะร๊าย!? คราวนี้กลายเป็นเสียงคน เอ๊ะ หรือไม่ใช่คน ว๊ากกกก ยิ่งไม่กล้าลืมตาใหญ่เลย ถ้าเกิดว่าเปิดตาออกดู แล้วเจอเส้นผมของใครไม่รู้ห้อยอยู่ตรงหน้าจะทำยังไง โว้ยย! ยิ่งคิดก็ยิ่งสยองวุ้ย!

6

กึกๆๆ

5

ไอ้เสียงกุกกักนั่นยังคงดังขึ้นต่อเนื่อง สลับกับเสียงของคนหรือจะพูดให้ถูกคือ เหมือนเสียงพวกเครื่องตอบรับอัตโนมัติมากกว่า เสียงนั้นกำลังนับเลขถอยหลังไปเรื่อยๆ ชักน่าสงสัยว่าจะไม่ใช่ผีอย่างที่ผมคิดแล้วมั้ง บางทีอาจจะเป็นโจร แต่มันจะโง่มางัดห้องเช่าโทรมๆแบบนี้ทำไมล่ะ ดูก็รู้ว่าไม่มีเงินว้อย!!

4

โชคดีที่วันนี้เผลอเอามือถือมาไว้บนเตียง ผมเลยทำเนียนเอื้อมไปหยิบมันมากดโทรออกหาคุณรัฐทันที แต่อนิจจา.. ด้วยความตกใจเพราะเสียงงัดประตูระเบียงจนเปิดออก ทำให้ผมพลาดกดตัดสายไปเสียเฉยๆ สายตาได้แต่จับจ้องไปทางผ้าม่านที่กำลังฉายเงาของใครบางคนสะท้อนกลับมา ดวงใจเต้นถี่รัวด้วยความกลัว อย่านะ.. อย่า..

3

พรึ่บบ

ผ้าม่านที่กั้นเอาไว้ถูกปัดออก ก่อนที่ร่างสูงโปร่งของผู้ชายวัย 20 กว่าจะเผยออกมาให้เห็น แม้จะเป็นยามค่ำคืน แต่กลับสังเกตได้ถึงดวงตาที่แดงก่ำและหยดน้ำที่เอ่อขึ้นมา ใบหน้าเรียวรับกับเส้นผมสีดำที่พริ้วไหวไปตามแรงลม ช่างดูเหมาะกันดีกับดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยนั่น

บ้าชะมัดเลย... ผมเห็นภาพหลอนแล้วเหรอ ?

2

“เฮ้ย!”

ผมรีบร้องพลางยกมือขึ้นป้องตัวเองตามสัญชาตญาณ เมื่อจู่ๆผู้ชายคนนั้น ก็กระโจนขึ้นมาบนเตียงก่อนจะคว้าร่างของผมเข้าไปไว้ในวงแขนจนตัวเราแนบสนิทกัน สัมผัสที่ชวนคิดถึงทำให้ผมใจเย็นลงได้ และกลายเป็นฝ่ายตอบรับอ้อมกอดนี้แทน น้ำตามากมายพรั่งพรูออกมาอย่างไม่ได้ตระเตรียม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่คือภาพลวงตาหรือแค่ความฝัน แต่ความรู้สึกที่ได้รับมันทำให้ยากจะเชื่อว่านี่ไม่ใช่ความจริง เขาอยู่ตรงนี้แล้ว โอบกอดผมด้วยความรักความอบอุ่นเหมือนทุกที...

1

“ฉันคิดถึงนาย”

0

“อะ...”

นั่นคือสุ่มเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน ก้องอยู่อย่างนั้น นานจนร่างตรงหน้าค่อยๆจางหายไป เหมือนกับอากาศที่แค่มาสัมผัส ก่อนจะพัดผ่านไปเท่านั้น... ผมพยายามเกาะกุมร่างกายของเขาไว้ ตะกายวงแขนออกไปโอบรัดเอาไว้ให้ได้ แต่สุดท้ายความอบอุ่นเมื่อครู่ก็กลับมลายไปอย่างง่ายดาย ใจร้าย...ใจร้ายเหลือเกิน

“ฌาณ!!!!!”

ผมได้แต่ร้องตะโกนหาคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้อีกแล้ว ไม่อยู่แล้วจริงๆ รู้สึกได้ว่า...ครั้งนี้ มันไม่มีหวังใดๆเหลือแล้วจริงๆ ฌาณเมื่อครู่คืออะไร คือความฝันงั้นเหรอ แล้วการที่พรากเขาไป ก็คือฝันร้ายงั้นสิ...?

เสียงเรียกเข้ามือถือดังขึ้นภายในห้องที่เงียบสงัด ขณะที่ผมทำได้เพียงแค่ทรุดลงกับเตียง และโอบกอดตัวเองเอาไว้ น้ำตาไหลโดยที่ปราศจากเสียงสะอื้น ทว่าข้างในมันกำลังกรีดร้อง เสียงดังกว่าครั้งไหนๆ กลิ่นกายของฌาณยังคงอยู่ที่นี่ สัมผัสอบอุ่นของฌาณยังอยู่ตรงนี้

คิดถึง...

ฉันคิดถึงคืนวันเก่าๆ ที่เรามองตา ที่เราชิดใกล้.. ไม่ใช่เธอคนเดียวที่เหงาใจ...

.

.

.

ใจฉันก็คิดถึงเธอเหมือนกัน.....
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 22 : ฉันคิดถึงเธอ +บทส่งท้าย (04/07/56) จบแล้วค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 04-07-2013 17:05:52
บทที่ 23
ส่งท้าย


 

คืนนั้นที่ผมได้เจอกับฌาณ...ผมร้องไห้จนหลับไป กว่าจะตื่นก็เป็นตอนที่คุณรัฐโหวกเหวกอยู่หน้าประตูเพราะไม่มีการตอบรับนั่นแหละ คุณรัฐมาเอาคำตอบเรื่องที่จะลืมไหม

คำตอบคือ ไม่ ครับ

ผมเกือบจะตัดสินใจลืมมันไปซะ แต่คืนนั้นผมได้เข้าใจ... ฌาณจะหายไปจริงๆก็ต่อเมื่อผมลืมเขาแล้วต่างหาก อย่างน้อยให้ผมได้พบเขาในความทรงจำของตัวเองก็ยังดี แม้ไม่มีจริง แต่ก็เคยเกิดขึ้นจริง

คุณรัฐออกจะเป็นฝ่ายไม่มั่นใจ คงกลัวว่าผมจะแบกรับความทุกข์จนกลายเป็นซอมบี้เข้าสักวัน แต่ผมจะไม่เป็นแบบนี้อีกแล้ว ผมจะก้าวเดินต่อไป และเก็บเรื่องราวทั้งหมดไว้เป็นความทรงจำที่แสนดี ผมจะมีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง ว่าเส้นทางของผมกับฌาณนั้น อาจได้มาบรรจบกันอีกครั้ง

หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปเพื่อให้ผมปรับตัว ก่อนจะกลับมาเป็นปลายคนเดิมของที่นี่ เป็นแค่ผู้ชายตัวเล็กที่อยู่คนเดียวในห้องเช่าเก่าๆ ทำงานร้านขนมปัง และมีเพื่อนที่พึ่งพาได้เป็นลูกชายประธานบริษัท TIS ก็แค่นั้น

“ฉันดีใจนะที่นายกลับมาทำงานได้สักที”

“ครับ ผมขอโทษด้วยที่จู่ๆก็หายไป”

“ช่างเถอะ”

พี่พืชยังใจดีกับผมเหมือนทุกที หลังจากที่คุณรัฐยอมรับการตัดสินใจของผม เขาก็เข้ามาจัดการเรื่องให้ผมกลับไปทำงานที่ร้านขนมปัง ก่อนที่ตัวเองจะกลับไปนั่งตำแหน่งผู้บริหารเหมือนเดิมเช่นกัน

“เออ พวกเราคิดถึงแกมากนะเว้ย”

“โอ้ย”

เกียร์รีบเสริมและตรงเข้ามาล็อคคอผมซะแรง ท่ามกลางเสียงหัวเราะของพนักงานคนอื่นๆ ไอ้บ้านี่คือเพื่อนที่ผมสนิทที่สุดในร้านครับ แล้วก็เป็นอีกหนึ่งในตัวดึงดูดลูกค้าของร้านด้วย เหตุเพราะหน้าตาคารมอันแพรวพราวเหลือเกิน ดูเผินๆจะคิดว่าเป็นพวกเจ้าชู้น่ารังเกียจ แต่จริงๆแล้ว........ มันก็เป็นพวกเจ้าชู้น่ารังเกียจนั่นแหละ (‘0’   ;)

“รู้ไหม ช่วงที่แกไม่อยู่ ฉันได้เจอนางในฝันด้วย”

“นางในฝันบ้าอะไร ผู้หญิงที่ไหนอีกล่ะ”

“เฮ้ย พูดดีๆ คนนี้อะนางในฝันจริงๆนะ เพราะฉันฝันถึงเธอก่อนที่เราจะได้เจอกันซะอีก!” เกียร์จับผมหันหน้า(บังคับ)ให้ฟังมันโม้เรื่องผู้หญิงต่อ เบื่อจริงว้อย ชีวิตมีเรื่องพูดเรื่องเดียวหรือไงฟะ

“ในฝันมีเธอคนนั้น แล้วก็มีแกด้วยนะ”

“คงไม่ได้ฝันอะไรบ้าๆหรอกใช่ไหม”

“ก็แค่เจอกันในงานนัดบอร์ดเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้เธอมาปรากฏตัวต่อหน้าฉันแล้ว วะฮ่าๆ”

เดี๋ยวนะ ทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยกับฝันของเกียร์อย่างประหลาด...

“เฮ้ยเกียร์ นางในฝันของแกนี่ใคร?”

“เธอเป็นเจ้าของร้านดอกไม้ ที่จะมาเปิดในแซนด์อเวนิว ไว้เจอแล้วจะชี้ให้ดูละกัน แต่ห้ามชอบนะเว้ย”

เอาล่ะสิ... เจ้าของร้านดอกไม้ที่พูดถึง อย่าบอกนะว่าคือน้ำตาล แล้วงานนัดบอร์ดที่มีเกียร์ น้ำตาล และผมงั้นเหรอ.. ฝันบ้าๆแบบนั้นมัน... โลกใบที่ 11 ไม่ใช่เรอะ!? คงไม่ใช่ว่าการเดินทางพร่ำเพรื่อของผม มันไปส่งผลกระทบต่อความทรงจำของคนอื่นอีกแล้วหรอกนะ

“ทำงานกันได้ละ”

พี่พืชเป็นคนส่งเสียงขึ้นขัดความคิดทั้งหมดของผม พร้อมกับที่ป้าย Open ตรงประตูร้านถูกพลิกออก และตามประสาของร้านขนมปังแสนอร่อยเจ้าดังหนึ่งเดียวของย่าน ทำให้ผู้คนแห่กันมาถล่มร้านตั้งแต่หัววันเหมือนเคย ยิ่งวันนี้เป็นวันหยุดยิ่งแล้วใหญ่ กลับมาทำงานวันแรกก็เจอศึกหนักแล้วแฮะ แต่ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องคิดมากเรื่องอะไรอีก

“ปลาย! ขนมปังสิบกล่องที่ตึก TIS”

“ค ครับ!”

ผมรีบยกจานจากโต๊ะลูกค้าส่งต่อให้พนักงานอีกคนซึ่งกำลังตรงไปทางหลังร้าน ก่อนจะเข้าไปรับกล่องขนมปังที่ถูกวางซ้อนกันหลายชั้นจนเหมือนอาคารอะไรสักอย่าง เจ้าจักรยานบุโรทั่งคู่ใจจอดรออยู่ที่หน้าร้านเตรียมตัวทำงานเหมือนเดิม

แน่นอนว่าเวลาถูกเสียไปกับการพยายามแทรกตัวออกมาจากคลื่นฝูงชน ภายในร้านขนาดไม่พอดีแบบนี้ ทั้งที่สองมือของผมก็ประคองตั้งขนมปังนี่อย่างระวังที่สุดแล้วนะ แต่ก็ไม่วายเดินชนลูกค้าสักคนที่กำลังตรงไปทางเคาน์เตอร์จนขนมปังสองสามกล่องด้านบนเคลื่อนตกลงมาจนได้

ท่ามกลางความตกใจ และเสียงกรีดร้องโอเว่อร์แอคติ้งของพวกลูกค้าผู้หญิง ผมรีบก้มตัวขอโทษคนตรงหน้าจนหัวแทบจะติดพื้น ก่อนที่จะย่อตัวลงไปเก็บกล่องขนมปังบนพื้นขึ้นมา

“ขอโทษด้วยครับ ขอโทษจริงๆครับ”

“ไม่เป็นไรหรอก”

“เอ๊ะ...?”

แม้ว่าในร้านมันกำลังวุ่นวายแต่เสียงทุ้มของลูกค้าคนนี้ก็ดังขึ้นชัดเจนยิ่งกว่าเสียงไหนๆ มือใหญ่ของเขาเอื้อมเข้ามาหวังจะช่วยเก็บของ หัวใจผมสูบฉีดถี่รัวด้วยความตื่นเต้นบางอย่าง สายตาค่อยๆเงยขึ้นจ้องมองลูกค้าตรงหน้า ทุกการเคลื่อนไหวตอนนี้ราวกับถูกสะกดไว้ด้วยมนตร์ เพียงแค่ได้พบกับผู้ชายเจ้าของเส้นผมสีดำ กับดวงตาสีน้ำตาลอย่างที่คุ้นเคย

ฌาณของโลก 23...

“......คะ...ครับ.....ขอโทษครับ”

ผมต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการไล่ความคิดแปลกๆในหัวออกไป อย่าลืมสิว่านี่คือโลกที่เราไม่รู้จักกัน ฌาณที่นี่ก็เป็นแค่ลูกค้าร้านขนมปังเท่านั้น

ขนมปังกล่องสุดท้ายบนพื้นวางลงบนตั้งในมือ ผมก้มหัวขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือเล็กน้อย ก่อนจะรีบบังคับให้ขาก้าวออกไปจากร้านเสียที ยิ่งอยู่นานคนจะยิ่งเบียดแน่น ยิ่งอยู่นาน... เขาจะยิ่งทำให้ผมคิดถึง ยิ่งคิดถึง ก็จะยิ่งทำให้ผมเสียใจ

แต่ก็อย่างที่บอกมาตลอด...ฟ้าน่ะชอบเล่นตลกเสมอ ขาสองข้างของผมชะงักลงก่อน ทั้งที่มือเกือบแตะประตูได้แล้วแท้ๆ แค่เพียงเพราะว่าเสียงตะโกนที่ลูกค้าคนเมื่อครู่เรียกผมขึ้นมา ทั้งที่เขาไม่น่าจะพูดมันออกมาได้ในโลกใบนี้ด้วยซ้ำ...

“ปลาย!”

.

.

.

ทั้งที่เขาไม่น่าจะรู้จักชื่อของผมด้วยซ้ำ...

 

(THE END)

-----------------------------------------------------------

(http://i325.photobucket.com/albums/k387/mooaiir/scan0001-cpcopy_zps2fcd7282.jpg)

จบแล้วอ๊ากกกก 555
ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตามนิยายเรื่องนี้มากเลยนะคะ
ขอบคุณมากจริงๆ ทุกคอมเม้นเลย
เป็นกำลังใจให้เราเยอะมาก TT
จะพยายามพัฒนาฝีมือให้ดีขึ้นเรื่อยๆค่ะ


พอจบเรื่องนี้ ก็เปิดเรื่องใหม่ทันที 555555
ชื่อเรื่อง [9.25 ตารางวา]
เป็นแนวสดใสๆ ไม่แฟนซีแล้วเด้อ 55
ถ้ายังไงลองอ่านดูนะคะ ฝากติดตามด้วยแล้วกันค่าาา~

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38436.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38436.0)
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 22 : ฉันคิดถึงเธอ +บทส่งท้าย (04/07/56) จบแล้วค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: Eternal luv ที่ 04-07-2013 17:36:26
 :z13: เอ่อ ขอตอนพิเศษได้ป่าว อยากใหั 2 คนอยู่ด้วยกันสักที  :hao5:
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 22 : ฉันคิดถึงเธอ +บทส่งท้าย (04/07/56) จบแล้วค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: Tun_Bow ที่ 04-07-2013 20:06:32
ต่ออีกสักนิดพลีสสสส ยังรู้สึกเหมือนจบไม่เต็ม ขอตอนพิเศษ หวานๆสักสองสามตอนให้ชื่นใจได้มั๊ยคร๊าบบบบ :hao5:

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆคร๊าบบเป็นกำลังใจให้ เดี๋ยวตามไปอ่านเรื่องต่อไป :L2:
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 22 : ฉันคิดถึงเธอ +บทส่งท้าย (04/07/56) จบแล้วค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 05-07-2013 22:15:26
จบแล้วจริงดิ ม่ายยยยเค้าไม่ให้จบ ตอนจบมันเศร้า นึกว่าจะไม่ได้เจอกันแล้วซ่ะอีก
ขอบคุณที่แต่งจนจบนะคะ เรื่องนี้สนุกมากอ่านแล้วลุ้น  :mew1: :pig4: :L2: :L1:
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 22 : ฉันคิดถึงเธอ +บทส่งท้าย (04/07/56) จบแล้วค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 05-07-2013 23:12:02
ขอบคุณทุกๆคน ทุกๆคอมเม้นอีกครั้งนะคะ
เราตั้งใจกับทุกเรื่องที่แต่งมากๆ
พอมีคนบอกว่าชอบ ก็ดีใจสุดๆ นั่งอ่านคอมเม้นซ้ำไม่รู้กี่รอบแล้วเนี่ย 555

สำหรับตอนพิเศษก็แอบอยากแต่งอยู่เหมือนกัน
แต่ยังคิดไม่ค่อยออก ฮ่าๆ
ต้องลองติดตามดูนะคะ อนาคตอาจจะแต่งเพิ่ม
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 22 : ฉันคิดถึงเธอ +บทส่งท้าย (04/07/56) จบแล้วค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: bebe ที่ 06-07-2013 01:58:33
ก่อนอื่นเลย ขอบเรื่องนี้จัง เสียดายที่จบแล้ว
แต่งงยังงัยอะตกลงพระเอกกลับมาได้ยังไง อยากรู้ ขออีกสักตอนเถอะนะ plaeseeee


ขอedit เพิ่มเติมค่ะ
กลับไปอ่านอีกรอบมันมีหลายเรื่องที่คาใจ
เราอยู่ อย่างที่บอกพระเอกกับมาได้ยังไง ในเมื่อชิวิตพะเอกแทบไม่เหลือแล้ว
แล้วก็เรื่องที่ปลายสัญญากับพ่อแม่พระเอกไว้ หรือสัญญาไปงั้นๆ
เรื่องสุดท้าย เรื่องเวลาชีวิตอะคะ ตอนนี้เค้าเหลืออยู่นานเท่าไหร่ 
เราอาจจะคิดมากไปเองแต่นิยายเรื่องนี้อ่านแล้วอินมากอยากให้จบแบบสมบูณร์ ยังไงฝากคนเขียนช่วยแก้ปมด้วยนะจ๊ะ ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรจ้าแค่เสนอเฉยๆ ไปละฟิ้ววว
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 22 : ฉันคิดถึงเธอ +บทส่งท้าย (04/07/56) จบแล้วค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 06-07-2013 14:08:21
ก่อนอื่นเลย ขอบเรื่องนี้จัง เสียดายที่จบแล้ว
แต่งงยังงัยอะตกลงพระเอกกลับมาได้ยังไง อยากรู้ ขออีกสักตอนเถอะนะ plaeseeee


ขอedit เพิ่มเติมค่ะ
กลับไปอ่านอีกรอบมันมีหลายเรื่องที่คาใจ
เราอยู่ อย่างที่บอกพระเอกกับมาได้ยังไง ในเมื่อชิวิตพะเอกแทบไม่เหลือแล้ว
แล้วก็เรื่องที่ปลายสัญญากับพ่อแม่พระเอกไว้ หรือสัญญาไปงั้นๆ
เรื่องสุดท้าย เรื่องเวลาชีวิตอะคะ ตอนนี้เค้าเหลืออยู่นานเท่าไหร่ 
เราอาจจะคิดมากไปเองแต่นิยายเรื่องนี้อ่านแล้วอินมากอยากให้จบแบบสมบูณร์ ยังไงฝากคนเขียนช่วยแก้ปมด้วยนะจ๊ะ ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรจ้าแค่เสนอเฉยๆ ไปละฟิ้ววว

ขอบคุณมากๆเลยค่ะที่ติดตามแล้วก็ชอบนิยายเรา
ปลื้มมาก TwT

สำหรับเรื่องที่คาใจนะคะ...
เรื่องการเดินทางกับอายุขัยของฌาณ
อย่างที่บอกไปในบทที่ 21 ที่ AA บรรยาย
ว่าตอนที่ฌาณกับปลายคลาดกันเมื่อ 6 เดือนก่อน
เขาได้รับสิทธิพิเศษ ให้เดินทางได้ 40 ครั้ง
โดยแลกกับอายุขัยแบบเหมาจ่าย 50 ปี
ก็นึกถึงเวลาเราซื้อของแบบเหมาจ่ายอ่ะค่ะ
เขาจะเอาเงิน (อายุ) เราไปทั้งหมดก่อน แต่เราก็จะใช้งาน (เดินทาง) ได้เรื่อยๆ ตามโปรโมชั่นที่กำหนด
พอจะนึกออกป่าว

แล้วเรากำหนดให้ฌาณอายุประมาณ 25 ปี (แล้วให้อายุขัย 85ปี 43นาที = ตอนนี้ฌาณเหลืออายุขัย 60ปี 43นาที)
การเดินทางครั้งแรกไปที่โลก 18 (= เหลืออายุขับ 55ปี 43นาที)
เดินทางอีกครั้งไปที่โลกที่ 1 ตอนที่คลาดกัน (= เหลือ 50ปี 43นาที)
แล้วตอนนี้ก็ได้ใช้โปร "อายุขัย50ปี และกับการเดินทางฟรี 40 ครั้ง" (= เหลืออายุขัย 43 นาที แต่อายุขัยจะไม่เดินต่อ จนกว่าจะเดินทางครบจำนวน 40 ครั้ง)
แล้วการเดินทางกลับมาหาปลายที่โลก 23 ตอนจบ ก็เป็นการเดินทางครั้งที่ 40
ทำให้อายุขัยเดินต่ออีกครั้ง แล้วก็ตายลงที่โลกนั้นค่ะ

(งงปะ โคตรงง 5555 ;;;; )

ส่วนเวลาของปลายตอนนี้เหลือ 4 ปีกว่า (ตามที่ CD สรุปงานที่ที่ประชุมอ่ะค่ะ)
แล้วก็ เรื่องสัญญา ตอนนั้นปลายบอกว่า จะหาฌาณให้เจอให้ได้ แต่ก็สรุปว่าหาไม่เจอ ทำให้ทำตามสัญญาไม่ได้
แต่เราไม่ได้เมนตรงนั้นเท่าไร เลยไม่ได้พูดขึ้นมาอีกค่ะ

ขอบคุณอีกครั้งมากๆนะคะ
มีอะไรยังสงสัยตรงไหนถามมาได้เลยนะคะ
ดีใจมากๆ ที่เห็นคนชอบนิยายเรา แล้วก็รู้สึกอินไปกับมัน
 :hao5:

อ้อ แล้วก็..เรื่องตอนพิเศษ/เสริมอยากแต่งเหมือนกันค่ะ อยากให้เป็นเรื่องของ ฌาณที่โลก 23 กับปลาย แต่มันเป็นฌาณที่ได้รับความทรงจำของฌาณ(ที่ตาย)ทั้งหมด เราเลยรู้สึกว่า มันก็เหมือนเป็นฌาณคนนั้นไหมอะ? ถือว่าแทนกันได้ปะ อยากให้ได้หวานกันต่ออีกหน่อยเหมือนกัน แต่ยังคิดฉากดีๆไม่ค่อยออก เลยขอติดไว้ก่อนแล้วกันค่ะ ไม่อยากแต่งแบบลวกๆเน่อ จะได้ไม่ผิดหวังกัน ;D
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 22 : ฉันคิดถึงเธอ +บทส่งท้าย (04/07/56) จบแล้วค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: Kaame ที่ 06-07-2013 14:53:03
ไม่คิดว่าตอนจบมันจะเศร้าแบบนี้อะ T  T อ่านแล้วหน่วงเกิน
ฮืออออออ สงสารฌานกับปลาย  :hao5: :hao5:

อยากอ่านตอนพิเศษษษ
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 22 : ฉันคิดถึงเธอ +บทส่งท้าย (04/07/56) จบแล้วค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: bebe ที่ 07-07-2013 00:43:13
ขอบคุณที่เข้ามาให้ความกระจ่างนะคะ อยากอ่านตอนพิเศษแบบไหนก็ได้คะ  แต่ก็แอบสงสารพ่อแม่ของฌาณ ยังไม่ได้เจอกันเลย
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 22-23 (04/07/56)
เริ่มหัวข้อโดย: ๛ナーリバス๛ ที่ 24-07-2013 16:56:00
งงนะ แต่ อ่านสรุปแล้วก็โอ

คือตอนแรกจบแบบให้เรา คิดเอาเองก็พอได้อยู่ แม้จะเศร้าที่ ฌาณ ตายก่อนจะเจอกัน ก็เถอะ

ยังไงตอนจบ ถ้า ฌาณของโลก23 มีความจำของฌาณ 49 ทั้งหมด ก็ คงดี อย่างน้อยก็ แฮปปี้

แต่ขอบอกว่า แรกๆ แบบหน่วงมาก ลุ้นมาก อยากร้องไห้ เลยอ่ะ


ขอบคุณนะคะ   ชอบเรื่องนี้มากเลย แต่ตอนหลัง ไม่ได้เข้าเล้านาน เลยไม่ได้ตาม เป็นกำลังใจทีละตอนขอโทษด้วยนะ

อ่านจบรวดเดียวเลย  ขอบคุณคนแต่งมากค่ะ 

 :L2: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #บทที่ 22-23 (04/07/56)
เริ่มหัวข้อโดย: uri uri ที่ 21-08-2013 07:27:39
เศร้ามาก
จบแบบค้างคาสุดๆ
แต่พอได้อ่านสรุปแล้วก็เข้าใจ
แต่อยากบอกว่า  เหมือนแต่ยังไงก็ไม่ใช่หรอกนะ
ถ้าให้ณาญโลก 23 แทนฌาญที่ตายไป  ก็น่าสงสารฌาญที่ตายไปแย่ดิ
แบบนี้ที่ตามหามาตลอดก็เหมือนไร้ผลเลย  เศร้าอ่ะ  ไม่มีใครช่วยได้เลยหรอ?
ชอบแบบคู่เดิมมากกว่า  เพราะลุ้นด้วยมานาน  เสียน้ำตาไปเป็นลิตรเลย  เฮ้อออออออ :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ #แจ้งข่าวความเป็นไป (09/02/57) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 09-02-2014 17:16:48
หลังจากหายไปแต่งเรื่องอื่นอยู่นาน
เมื่อเดือนที่แล้ว เราก็ดันนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรไม่ทราบ
ลองส่งต้นฉบับเรื่องนี้ไปทาง สนพ.
แล้วไม่น่าเชื่อเลย เขาตอบกลับมาว่า ผ่านการพิจารณา !
แต่ถูกไล่กลับมาแต่งฉากหวานๆเพิ่ม 555555

ก็แวะมาประกาศให้รู้กัน
และอยากขอบคุณนักอ่านทุกคนมากๆด้วย
เพราะมีทุกคน เราเลยมีกำลังใจแต่งต่อเรื่อยๆ จนเรื่องนี้มันจบไปได้
ขอบคุณจริงๆค่ะ !

 :pig4:  :กอด1:

หลังจากนี้ก็คงพยายามเข็นเรื่องนี้ให้ได้ตีพิมพ์ให้ได้ ><
แต่ก็ยังไม่รู้จะเสร็จออกมาเป็นรูปเล่มจริงๆเมื่อไรเน้อ
ถ้ายังไงขอฝากให้ติดตามกันด้วยนะคะ !

แล้วก็จะเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น "The missing piece" ด้วยค่ะ
ฟีลดราม่าลอยมาก่อนแล้วเลยเนอะ ;w; 555


 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: The missing piece : by「aonair」
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 24-06-2017 18:31:48
 :mew1: