“หา”
“อยากดูทรงผมใหม่ชัดๆ ปล่อยผมก่อนได้ไหม”
“อ...เอาสิ”
ผมคลายมือออก นิดถอยห่างไปหนึ่งก้าวก่อนจะเงยหน้ามองผม ก่อนหน้านี้คงมัวแต่โมโหจนลืมมองสินะว่าผมหล่อขนาดไหน
“ตาคุณบวมมากเลยนะ” ผมทัก ขยับเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง
“ใช่ๆ ผมมองไม่เห็นเลยล่ะ คุณขยับหน้าเข้ามาใกล้ๆ หน่อย”
ผมพานิดไปนั่งที่เตียงแล้วย่อตัวชันเข่าลงกับพื้นเพื่อให้ใบหน้าของเราอยู่ในระดับเดียวกัน
“ใกล้อีกหน่อยสิ”
ผมทำตามที่บอก ขยับเข้าไปใกล้จนหน้าผากชิดกัน ก่อนที่ริมฝีปากอ่อนนุ่มของนิดจะค่อยๆ ประทับจูบลงมาบนริมฝีปากของผม
“เจ้านี่ของคุณน่ะ ชอบทำร้ายผมอยู่เรื่อย” นิดพูด ใช้มือนวดคลึงอยู่ตรงบริเวณริมฝีปาก แล้วยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน
“เหรอ...แต่ผมคิดว่าเป็นเจ้านี่มากกว่า” ผมจูบมืออุ่น ก่อนจะนำมันไปซุกกับอะไรที่อุ่นกว่าจนเริ่มพองตัว
“คนบ้า...”
แล้วก็ได้คำชมกลับมาเหมือนอย่างเคย...
.
.
.
ผมนวดแขนนวดขาคนที่นอนปวดเมื่อยอยู่บนเตียง หน้าตาพิลึกพิลั่นที่มีแตกกวาหั่นแว่นโป๊ะอยู่ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้...แอบถ่ายนี่งานถนัดผมเลยนะ
“หายเมื่อยบ้างไหม” ผมถาม หยุดนวดสักพักแล้วคร่อมตัวทับร่างเปลือยที่นอนอยู่ด้านล่าง
“ก็ดีขึ้นแล้วครับ”
ต่ออีกรอบคงไม่ขัดสินะ...
“คุณยาม จะทำอะไร !”
“ชู่วว์...นอนเฉยๆ สิ อย่าเอาแตงกวาออกนะ เดี๋ยวตาก็ไม่หายบวมหรอก นั่น...อย่างนั้น”
ผมค่อยๆ แยกขาเนียนออกจากกันก่อนจะแทรกตัวลงกึ่งกลาง ส่วนปลายร้อนชำแรกเข้าไปได้นิดเดียวคนใต้ร่างก็สะดุ้งเฮือก
“อย่าเอาแตงกวาออกนะ” ผมย้ำ นิดนอนนิ่งว่านอนสอนง่ายผิดกับตอนแรกลิบลับ
“อ...อือ” ร่างขาวเนียนบิดตัวเร่าเมื่อผมสอดใส่เข้าไปจนสุด ความอุ่นร้อนที่คั่งค้างจากการปลดปล่อยไปก่อนหน้านี้ทำให้ช่องทางภายในไม่รู้สึกฝืดเคืองมากนัก
“ผมขอโทษนะ...”
“เรื่องอะไรครับ”
“หลายๆ เรื่องตั้งแต่เราเจอกันนั่นแหล่ะ ผมเองจำไม่ได้หรอกว่าทำให้คุณเสียใจไปกี่เรื่อง แต่ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมเสียใจไม่ต่างกันเลย โดยเฉพาะเรื่องไอ้ป้อมที่ผมพูดถึงเมื่อกี้ ผมขอโทษ ขอโทษจริงๆ”
มือนุ่มยกขึ้นก่อนจะเอื้อมมาสัมผัสใบหน้าของผม ผมหลับตา ซึมซับความอ่อนโยนในครั้งนี้อยู่นานจนเพิ่งรู้ตัวว่าน้ำตาไหลออกมาเป็นทาง
“ห้ามเอาแตงกวาออกเชียวนะ” ผมสมทบคำเดิม พยายามไม่ให้เสียงที่เปล่งออกไปสั่นอย่างที่สุด
“ผมคิดถึงหนูเล็ก ไม่รู้ป่านนี้ไปอยู่กับไอ้ป้อมแล้วจะเป็นยังไง จะสบายดีไหม ป้อมมันจะดูแลหนูเล็กดีเหมือนที่ผมทำรึเปล่า ผม...”
“คุณต้องรู้จักปล่อยวาง เชื่อใจ แล้วก็ลืมเรื่องในอดีตนะครับ”
ลืมเรื่องในอดีตเหรอ บทเรียนที่ผ่านมาผมไม่เคยลืมมันได้เลยสักวัน
“มันยากนะนิด โดยเฉพาะวันนี้เมื่อหลายปีก่อน...ยังไงผมก็ทำใจให้ลืมไม่ได้สักที คนที่ทำผิดซ้ำๆ อย่างไอ้ป้อม ผมไม่รู้จะให้อภัยมันยังไงดี”
“แต่คุณก็ทำได้นี่ครับ แค่คุณยอมปล่อยให้หนูเล็กไปอยู่กับพี่ป้อมไกลขนาดนั้นก็เท่ากับว่าคุณผ่านมันมาได้ก้าวหนึ่งแล้วนะ ผมรู้...คุณเป็นพ่อที่ดี อยากให้หนูเล็กมีแต่ความสุข แต่ในความจริงชีวิตคนเราไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป...ตอนนี้หนูเล็กได้เรียนรู้ความจริงของชีวิตแล้ว แล้วลูกก็ดูมีความสุขกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย...ถ้าคุณคิดถึง ว่างๆ เราก็ไปเยี่ยมกันดีไหม”
ผมพยักหน้าตอบตกลง แม้ว่าคนใต้ร่างจะมองไม่เห็นเพราะมีแตงกวาปิดตาอยู่ แต่จากรอยยิ้มที่ฉายขึ้นมาจึงเดาไม่ยากว่าเจ้าตัวรับรู้แล้ว
“เอาแตงกวาออกได้ยัง มันแห้งหมดแล้วนะ” นิดถาม ผมรีบปาดน้ำที่ไหลอาบใบหน้าออกเป็นพัลวัน
“คุณยังไม่บอกผมเลยว่าผมทรงใหม่ดูดีรึเปล่า” ผมเฉไฉเปลี่ยนเรื่องถามเมื่อนิดเอาแตงกวาออก คนถูกถามหลบตาผม ก่อนจะบ่นอะไรออกมาเสียงเบา
“ไม่ตอบผมให้ทำเองนะ” บอกพร้อมกับพลิกตัวให้คนที่อยู่ด้านล่างลุกขึ้นมานั่งทับด้านบน ด้วยความที่พลิกตัวเร็วเกินไปจึงทำให้ร่างกายใครอีกคนไถลกดทับส่วนแข็งขืนโดยไม่ทันตั้งตัว
“อ๊ะ !” ผมมองใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความเสียดเสียวอย่างหลงใหล มือสองข้างทำหน้าที่บีบคลึงตรงหน้าอกก่อนจะใช้หน้าขากระตุ้นให้คนด้านบนขยับขึ้นลงตามจังหวะ
“อ...แฮ่ก ผมค่อยบอกตอนให้...ข...ของขวัญ...อ...อื้อ...คุณได้ไหม” นิดมองผมตาปรือ ผมลุกขึ้นกอดรัดร่างของเขาก่อนจะกระซิบเสียงพร่าข้างหู
“แล้วจะให้ตอนไหน”
“พ...พรุ่งนี้”
“ไม่เอา บอกวันนี้แหล่ะ ไม่อย่างนั้นผมไม่ปล่อยให้คุณนอนแน่” ผมพูดเอาแต่ใจ แต่ก็ขู่ไปอย่างนั้น แก่แล้วใครจะบ้าพลังม้าทำทั้งวันทั้งคืนเหมือนตอนหนุ่มๆ ล่ะ
“ถ้าอย่างนั้น...” นิดยิ้มยั่ว ผมผวาเฮือกเมื่อคนบนร่างตั้งใจบังคับให้ช่องทางตอดรัดร่างกายของผมแรงขึ้น
“ขอทั้งคืนเลยนะ”
ผมยิ้มเฝื่อน พรุ่งนี้คงได้ซดเครื่องดื่มเกลือแร่เป็นลังแน่
วาเลนไทน์ปีนี้มันช่างขาดทุนจริงๆ...
.
.
.
อีกด้านหนึ่งของทวีปยุโรป
“หนูเล็ก เข้ามาข้างในก่อนเถอะ อากาศข้างนอกหนาวเดี๋ยวจะไม่สบายเอานะ” ผมกล่าวเตือนเมื่อเห็นเขายืนอยู่ตรงระเบียงด้านนอกนานแล้ว แต่หนุ่มน้อยกลับไม่ยอมขยับไปไหน ผมจึงเดินไปหยิบผ้าพันคอมาอีกผืน
“ลุงป้อมดูนั่นสิ เขามากันอีกคู่แล้ว” ผมมองตามมือที่หนูเล็กชี้ พร้อมๆ กับผูกผ้าพันคอให้คนตัวเล็กอีกชั้น วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ ร้านเค้กที่อยู่ตรงข้ามคอนโดเลยคึกคักเป็นพิเศษ
แต่วันนี้พิเศษกว่าตรงที่หนูเล็กทำเค้กไปวางขายที่ร้าน สงสัยที่ยืนตากลมอยู่ทั้งวันไม่ยอมเข้าบ้านเพราะคอยนับจำนวนคนซื้อแน่ๆ
“อุ่นไหม” ผมถาม เอาคางวางเกยบนศีรษะใครอีกคนแล้วกอดแน่น
“ครับ” เจ้าตัวตอบแล้วยิ้มรับ พร้อมกับทอดสายตามองไปยังคู่หนุ่มสาวที่กำลังทานเค้กอย่างเอร็ดอร่อย
“เอาแต่ทำให้คนอื่นทานแล้วลุงป้อมล่ะ ปีนี้ลุงป้อมยังไม่ได้เค้กจากหนูเล็กเลยนะ”
“แฮ่ ลุงป้อมขี้ตู่จริงๆ เลย ลุงป้อมชิมเค้กของหนูเล็กอยู่ทุกวันนี่ครับ จะบอกว่าไมได้ได้ยังไง” เจ้าตัวเล็กพูดก่อนจะหันมาเอานิ้วจิ้มพุงผมเบาๆ ผมแกล้งจิ้มคืนบ้างให้สมกับท่าทางน่าเอ็นดูนั่น
“นี่ก็ขยายแต่พุงเมื่อไหร่ส่วนสูงจะขยายนะ” ผมว่า หนูเล็กหันมาค้อนวงใหญ่ ก่อนจะทำสีหน้าจริงจังกับผม
“ลุงป้อม...อยากได้เค้กจากหนูเล็กจริงๆ เหรอครับ” หนูเล็กพูด ริมฝีปากเม้มแน่นเหมือนรอลุ้นคำตอบ ผมไล้นิ้วไปตามโครงหน้านวลช้าๆ ครุ่นคิดอะไรบางอย่างที่มันตกตะกอนอยู่ภายในใจมาแรมปี
“อยากสิ...อยากได้ที่สุด”
.
.
.
ผมเฝ้ามองคนทำขนมแล้วยิ้มตามอย่างมีความสุข ภาพที่หนูเล็กกำลังวิ่งวุ่นในครัวนี่มีให้ได้เห็นแทบทุกวัน แต่ไม่มีวันไหนที่ผมนึกเบื่อเลยสักครั้ง
“มีอะไรให้ลุงช่วยไหม” ผมถามเจ้าตัวที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดเอาจริงเอาจังอย่างที่สุด
“ลุงป้อมผสมไข่ไก่กับน้ำตาลทรายให้หนูเล็กหน่อยสิครับ ตีให้น้ำตาลละลายเลยนะครับ” หนูเล็กหันมาบอกก่อนจะกลับไปละลายช็อกโกแลตกับเนยเค็มต่อ
“เสร็จแล้วใส่แป้งนะครับ”
ลูกมืออย่างผมทำตามอย่างว่าง่ายโดยการใส่แป้งลงไปจนหมดถ้วย ด้วยความที่ออกแรงตีมากไป ฝุ่นผงสีขาวเลยลอยฟุ้งไปทั่ว
“ลุงป้อม !”
“แค่กๆ...” ผมหลับตา โบกมือปัดแป้งที่ลอยฟุ้งไปทั่วหน้า ก่อนจะรู้สึกถึงแรงจับของใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
“อยู่นิ่งๆ สิครับ เดี๋ยวฝุ่นแป้งมันก็หายไปเอง...นี่ไง ลืมตาได้แล้วละครับ”
ผมลืมตาตามที่ใครอีกคนบอก หนูเล็กมองหน้าผมนิ่งแล้วลอบขำออกมาเบาๆ
“มีอะไรเหรอตัวแสบ...”
เจ้าตัวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดหน้าแล้วเดินมาหาผม
“หน้าลุงป้อมเลอะแป้งหมดเลย ให้หนูเล็กเช็ดออกให้นะครับ”
ผมนึกขำตัวเองในใจ ของง่ายๆ ดันมาตกม้าตาย เสียผู้ใหญ่ชะมัด
.
.
.
“ช็อกโกแลตลาวาร้อนๆ มาเสริฟแล้วครับ” หนูเล็กพูดแล้วส่งจานช็อกโกแลตที่ตกแต่งอย่างน่ารักด้วยสตรอว์เบอร์รีมาให้ผม เจ้าตัวนั่งลงข้างๆ สีหน้าท่าทางดูลุ้นน่าดูเมื่อผมเริ่มตักขนมเค้ก
“หนูเล็กป้อนลุงดีกว่า” ผมส่งจานขนมคืน เด็กหนุ่มมีท่าทีอิดออดเขินอายไม่น้อยก่อนจะรับไปถือไว้อย่างช่วยไม่ได้
“อ้าปากนะ” เจ้าตัวบอกเมื่อนำขนมมาจ่อที่ริมฝีปากผม รสชาตินุ่มลิ้นพร้อมกับกลิ่นหอมหวานที่ได้สัมผัสไม่รู้ว่ามาจากเค้กหรือมือคนป้อนกันแน่
“อร่อยไหมครับ” หนูเล็กถาม ยังไม่คลายสีหน้าตื่นเต้น
“อยากชิมไหม” จริงๆ หนูเล็กจะตักชิมเองก็ได้ ช้อนก็อยู่ในมือแท้ๆ แต่เจ้าตัวกลับส่ายหัวหวือ คงจะรอให้ผมทานให้อิ่มก่อนเหมือนเคย
“ขออีกคำสิ” ผมบอก มือน้อยๆ ค่อยๆ ตักขนมอย่างกระตือรือร้นก่อนจะส่งให้ผมเหมือนเคย
ผมยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ ใกล้จนริมฝีปากเราแตะกัน ผมจดจ่ออยู่กับริมฝีปากสีชมพูอยู่นานจนไม่รู้เลยว่าเจ้าของร่างตัวแข็งทื่อไปนานแล้ว
“ล...ลุง...”
ฉวยโอกาสที่ร่างเล็กกำลังเอ่ยปากพูด จุมพิตลงไปทันที ผมค่อยๆ ถือจานขนมออกจากมือหนูเล็กแล้ววางลงบนโต๊ะรับแขก ขืนปล่อยให้ถือด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ แบบนี้มีหวังคงหล่นแตกแน่
“อ...อือ” เจ้าตัวขยุ้มเสื้อผมแน่นติดมือเมื่อผมเริ่มรุกหนักขึ้น ลิ้นชื้นของใครอีกคนพยายามหลบหลีกลิ้นของผมเมื่อแตะสัมผัสกัน ส่วนผมเองรู้สึกสนุกทุกทีที่ได้เป็นฝ่ายล่าเสียด้วย
“อร่อยไหม” ผมถามพลางใช้ริมฝีปากแทะเล็มไปตามปลายคางของคนที่นอนหมดแรงอยู่บนโซฟา มือหนาค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปภายใต้อาภรณ์ของคนด้านล่างอย่างเผลอไผล
‘ไอ้ป้อม !’ เสียงคำรามของใครบางคนดังขึ้นมาในหัว...
และจู่ๆ ภาพใบหน้าดุดันของเขาก็ซ้อนทับลงบนใบหน้าของหนูเล็กจนทำให้ผมชะงัก จำใจต้องผละออกอย่างเสียไม่ได้
“ลุงขอโทษนะหนูเล็ก” ผมบอก เจ้าตัวหลบหน้าผมด้วยความเขินอายก่อนจะลุกขึ้นเดินชนนั่นชนนี่กลับห้องของตัวเอง
เมื่อลับสายตาเด็กหนุ่มผมจึงเอนหลังพิงโซฟาพร้อมกับผมถอนหายใจแรงๆ อาการปวดหนึบตรงช่วงล่างเริ่มตีรวนกับความคิดที่หักห้ามใจไม่ให้บุกเข้าห้องนอนของใครอีกคนอย่างสับสน
อีกหลายปีจนกว่าหนูเล็กจะอายุยี่สิบห้า...
อีกหลายปีที่ผมต้องเฝ้ามองเพชรที่แตะไม่ได้ทั้งที่อยู่ในความครอบครองของตัวเอง...
อีกหลายปี...จนกว่าจะถึงเวลาที่คุณฉกาจกำหนด...
ถ้าให้ทนทรมานห้ามใจอยู่แบบนี้...ผมคงขาดใจตายก่อนพอดี…
.
.
.
= ไม่กวนตีนสักเรื่องได้ไหม = ภูมิจิต : นี่พี่เชน...วันสำคัญแบบนี้ ทำไมไม่พาผมออกไปไหนเหมือนคู่รักคนอื่นมั่ง
เชน : (นั่งอ่านหนังสือเงียบๆ) ยังไม่ถึงเวลา รอหนึ่งทุ่มก่อน
ภูมิจิต : (ตาเป็นประกายแวววาว หน้าแดงแป๊ด อดรนทนไม่ไหว) อีกห้านาทีจะหนึ่งทุ่มแล้วนะพี่ !
เชน : อ้อ เหรอๆ...ไปเลยก็ได้ รถจะได้ไม่ติด หยิบดอกไม้ในตูเย็นมาด้วยสิ
ภูมิจิต : แหมพี่...ซื้อดอกไม้มาเก็บไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมผมไม่ยักรู้มาก่อนเลย กะจะเซอร์ไพรส์ผมละสิ ทำเนียนนะคนเรา ฮ่าๆ แต่...ทำไมถึงเป็นดอกบัววะครับ !
เชน : อ้าว ดอกบัวนั่นละถูกแล้ว มาๆ ธูปเทียนพี่เอามาแล้วนะ จะได้รีบไปเวียนเทียนกัน วันแห่งความรักตรงกับวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาทั้งทีต้องไปทำบุญ กุศลจะได้ส่งเสริมให้เรารักกันยืนนาน
ภูมิจิต : (คิดในใจ) กูต้องการเลิกกับมึงเดี๋ยวนนนนนนนี้ !
....................................................................................
จบจ้า มาแต่งเล่นๆเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์ ส่วนไอ้คู่ล่างนี่คงแต่งไม่ทันวาเลนไทน์ เดี๋ยวเอาไปใส่ไว้ในเล่มแทน
มีความรู้สึกว่าแต่งไปแต่งมา คุณยามอารมณ์แปรปรวนดีจริง สงสัยกำลังย่างเข้าสู่วัยทอง ฮ่าา บายจ้า