...1...
“ไอ้บ้าซัน คนเขาอุตส่าห์จะช่วย ดันไล่ออกมา...ชิ งั้นก็ทำไปคนเดียวเลยแล้วกัน” เจ้าของร้านเมซอง คาเฟ่ บ่นอย่างหัวเสียขณะวิ่งเหยาะๆ ออกกำลังกายตอนเช้าหลังจากจัดของเตรียมเปิดร้านในวันใหม่ เมื่อหน้าร้านเรียบร้อยจึงเข้าไปในครัว หวังจะช่วยเพื่อน แต่ตะวันฉายกลับไล่ตะเพิดเขาออกมาอย่างไม่ใยดี ชายหนุ่มจึงคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กสวมรองเท้าผ้าใบออกมาวิ่งเสียอย่างนั้น
แอรอนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วยกแขนขึ้นดูนาฬิกา ดูเหมือนว่าวันนี้คงร้อนเหมือนเดิมเพราะเพิ่งเลยหกโมงเช้ามาได้ไม่กี่นาทีแต่แสงแดดก็เริ่มส่องรำไร หน้าร้อนใกล้จะสิ้นสุดลงสายฝนเริ่มมาทักทายบ้างแล้ว หากอุณหภูมิก็ยังคงสูงอยู่ดี
หนุ่มลูกครึ่งฝรั่งเศสชะลอฝีเท้าหยุดลงโดยไม่รู้ตัวหน้าบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังหนึ่ง มันอยู่ท้ายซอยแถมยังแยกตัวออกมาจากบ้านหลังอื่นๆ อย่างชัดเจนจนอาจจะเรียกว่าโดดเดี่ยว ปกติเขาจะออกมาวิ่งเช้ากว่านี้หน่อยและทุกครั้งก็ต้องหยุดมองอย่างห้ามไม่ได้
“คงยังไม่ตื่นหรอกมั้ง เช้าขนาดนี้ เมื่อคืนนอนดึกหรือเปล่าก็ไม่รู้” เสียงทุ้มพึมพำกับตัวเอง แม้จะพูดแบบนั้นแต่ก็ยังอดมองลอดช่องรั้วเหล็กที่สูงเลยศีรษะเขาไปไม่เท่าไหร่ หากเป็นคนอื่นสองเมตรคงจะเลยความสูงเป็นคืบหรืออาจจะมากกว่านั้น แต่สำหรับคนสูงหนึ่งร้อยเก้าสิบห้าเซนติเมตรอย่างเขาแล้วแค่เขย่งก็พ้นรั้ว
“หือ?” แอรอนไม่แน่ใจว่าตัวเองมองผิดไปหรือเปล่า เขาขยับตัวเข้าไปชิดรั้วมากขึ้นเพื่อมองให้ชัด ดวงตาสีฟ้าอมเทาโฟกัสอยู่ที่พื้นไม้ส่วนที่ยื่นออกมาจากตัวบ้านคล้ายกับทางเดินของบ้านแบบญี่ปุ่น บานกระจกที่เปิดออกมาจากตัวบ้านยังเปิดค้างไว้ สิ่งที่เขาเห็นว่ามีลักษณะคล้ายกองผ้ากองหนึ่งจนต้องเพ่งมองให้แน่ใจนั้น...แท้จริงแล้วคือคนต่างหาก
“อากิระซัง...อากิระซังครับ” ส่งเสียงเรียกอย่างไม่แน่ใจ แต่ผลที่ได้กลับมาคือความเงียบ
“อากิระซัง เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เพิ่มระดับเสียงอีกหน่อย หากก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถึงจะบอกว่าโดนเมินอย่างสมบูรณ์เป็นปกติ แต่อย่างน้อยก็น่าจะมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง ไม่ใช่ยังนิ่งไม่ไหวติงแบบนี้
“อากิระซัง อากิระ!” เขาทนความร้อนใจของตัวเองไม่ไหว แอรอนคว้ารั้วเหล็กเหนี่ยวตัวขึ้นบนรั้ว เหวี่ยงขาข้ามก่อนทิ้งตัวลงพื้นอย่างรวดเร็วจนรั้วเหล็กทั้งแผงสั่นจากแรงและน้ำหนักตัว ขายาวพาร่างสูงใหญ่ไปหาหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นในชุดยูกาตะที่เห็นชินตาบนพื้นไม้ ชายหนุ่มช้อนร่างนั้นขึ้นแนบอก สัมผัสใบหน้าซีดเซียวกว่าปกตินั้นหวังเรียกสติ
“อากิระ!” เกือบจะอุ้มขึ้นแล้วถ้าแพขนตาซึ่งยาวจนผู้หญิงบางคนยังอายนั้นไม่ขยับ แล้วในวินาทีต่อมาดวงตาสีดำสนิทก็เปิดขึ้นสบกับดวงตาสีสวยราวลูกแก้ว
แรกเริ่มอากิระยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เมื่อไล่สายตาลงมาจนเห็นว่าตัวเองกำลังถูกโอบอยู่ทั้งตัว เท่านั้นละเขาก็ดีดตัวออกห่างทันที ถึงขนาดเผลออุทานออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยความตกใจ
“คุณ...เข้ามาได้ยังไง” ผู้บุกรุกไม่สนใจประเด็นนั้นสักนิด เคลื่อนตัวเข้าไปประชิดพร้อมคว้าข้อมือบางไว้
“เป็นอะไรหรือเปล่า ไปโรงพยาบาลไหม”
“หะ ห๊า! เป็นอะไร?...โรงพยาบาล?” คนถูกถามไม่เข้าใจในสิ่งที่ได้ยินนัก
“ผมเห็นคุณนอนนิ่ง เรียกก็ไม่ขานนึกว่าหมดสติ ตกลงไม่สบายตรงไหน” พูดไปก็ใช้มือแตะสัมผัสใบหน้าและลำคอ ไม่รู้ว่าเพราะความตกใจหรือยังตั้งสติได้ไม่เต็มที่กันแน่ ร่างบางจึงไม่ทันได้ขัดขืน
“ผมไม่ได้หมดสติ”
“แล้วทำไมเรียกไม่ขาน” แอรอนถามกลับทันควัน เสียงที่ดังและจริงจังกว่าปกติทำให้คนฟังอดสะดุ้งน้อยๆ ไม่ได้
“กะ ก็...หลับอยู่”
“หลับ!” คราวนี้เป็นคนตัวโตเองที่มีปฏิกิริยา เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วก้มลงมองสีหน้าที่แตกต่างจากปกตินั้นนิ่งๆ ไม่รู้ว่าเพิ่งตื่นหรือตกใจในการปรากฏตัวแบบกะทันหันของเขากันแน่ ถึงได้แสดงอารมณ์ออกมาหมดทางสีหน้า ทั้งที่ปกติมันมักจะนิ่งเฉยจนแทบคาดเดาความรู้สึกไม่ได้
“แล้วทำไมมานอนอยู่ตรงนี้...ตั้งแต่เมื่อไหร่” ถามเสียงเบาลงกว่าเดิม ส่งผลให้ร่างบางกระพริบตาปริบๆ ตอบโดยอัตโนมัติ
“ตีห้าได้มั้ง คิดงานไม่ออกเลยออกมานั่งเล่น แล้วก็หลับไปตอนไหนไม่รู้”
“จริงๆ เลย เดี๋ยวก็เป็นหวัดจนได้ เสื้อคลุมก็ไม่ใส่ แล้วได้นอนหรือยัง”
“ก็นอนเพิ่งตื่น...” เสียงนุ่มหวานตอบแบบเบลอๆ แอรอนรู้ว่าไม่ได้ตั้งใจกวนหรอก แต่เขาก็ยังอดตากระตุกไม่ได้ ยังไม่นับเนื้อหาในประโยค ‘เพิ่งตื่น’ หรืออาจจะตีความหมายว่าไม่ได้นอนมาทั้งคืนจนกระทั่งมาเผลอหลับเมื่อชั่วโมงที่แล้วนี่ละ
“งั้นกลับขึ้นไปนอนได้แล้ว หรือจะรอทานข้าวเช้าก่อนแล้วค่อยนอน ป้าศรีจะมาตอนเจ็ดโมงใช่ไหม”
ป้าศรีคือแม่บ้านที่ดูแลความเป็นอยู่ของอากิระ แต่เป็นการมาเช้าเย็นกลับ แอรอนสนิทกับแม่บ้านวัยกลางคนพอสมควรจึงรู้เรื่องบ้านนี้ แม้ว่าครั้งนี้จะเป็นการเข้ามาภายในบ้านครั้งแรกนับตั้งแต่รู้จักกันมา แถมยังเข้ามาแบบไม่ถูกต้องเสียด้วยสิ
“นอนก่อน” อากิระตอบแบบไม่ต้องคิด ร่างกายโหยหาการพักผ่อน เขาไม่ได้นอนมาสามวันแล้ว แถมหัวยังตื้อคิดอะไรไม่ออก งานก็คงไม่เดินอยู่ดีแม้จะกลับนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ สู้พักผ่อนดีกว่า
“ไม่รอทานข้าวเช้าก่อนเหรอ แล้วค่อยนอนยาวๆ”
“นอน” ยืนยันคำเดิม อีกฝ่ายจึงต้องถอย
“ครับๆ นอนก็นอน เอ้า...ขึ้นห้องได้แล้ว” ลุกขึ้นยืนพร้อมรั้งร่างสมส่วนนั้นขึ้นมาด้วย “ล็อกประตูให้เรียบร้อยแล้วขึ้นห้อง ฝันดีครับ เจอกันตอนบ่ายสาม” โบกมือให้เจ้าของบ้านผ่านบานกระจก สองฝ่ายแยกย้ายกันด้วยอารมณ์ที่แตกต่าง
เมื่อเดินขึ้นมาถึงห้องนอนแล้วหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นคล้ายกับเพิ่งกอบกู้สติสัมปชัญญะของตัวเองกลับมาได้ครบส่วน...
“ทำไมเราต้องทำตามที่เขาบอกตอบที่เขาถามทุกอย่างด้วยละ”
ส่วนด้านแขกไม่ได้รับเชิญที่เดินผิวปากมายังประตูรั้วเองก็ต้องหยุดชะงักเช่นกัน
“แล้วจะออกไปยังไงวะเนี่ย...!?”
∞∞∞∞∞∞∞
“แปลก” น้อยครั้งคนปากหนักจะเอ่ยปากออกมาก่อน ฉะนั้นมันจะต้องเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้แน่นอน
“เห็นด้วย แปลกมาก”
“หรือปีนี้เมืองไทยหิมะจะตกอย่างเขาว่ากันฮะ”
สามพนักงานเสิร์ฟประจำร้านเมซองสุมหัวกันอยู่ข้างเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม สายตาสามคู่เหลือบมองไปยังโต๊ะริมกระจกตัวเดิม แน่นอนว่าคนจับจองยังเป็นคนเดิม แถมตัวป่วนก็เป็นคนเดิมอีกเหมือนกัน แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือบรรยากาศต่างหาก
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณอากิระฮะ ทำไม...ทำไมถึง...ยอมคุยกับโอนเนอร์ละ” หนุ่มทิวตีหน้ายุ่งมองพี่ชายทีพี่สาวที และไม่ต้องสงสัย คนอายุมากกว่าเองก็อยากจะถามคำถามเดียวกัน
“มันแปลกๆ มาตั้งแต่วันที่โอนเนอร์โดนคุณซันไล่ตะเพิดออกมาจากครัวแล้วนะ ตอนออกไปวิ่งเห็นหน้างี้บึ้งเชียว แต่ขากลับดันผิวปากอารมณ์ดีกลับมาซะงั้น แถมตอนคุณอากิระมาก็เหมือนกัน ชวนคุยโน่นนี่ไม่หยุด คุณอากิระเองก็เถอะเหมือนรำคาญแต่ก็ไม่ได้เรียกฉันไปเก็บโอนเนอร์กลับ...ตกลงมันเรื่องอะไรกันเนี่ย” หญิงสาวคนเดียวของร้านแทบทึ้งผมตัวเองด้วยความอัดอั้นตันใจที่ความสงสัยไม่กระจ่าง
“ช่วงเวลานั้นแหละฮะพี่หวาน มันต้องมีเรื่องอะไรที่เราไม่รู้เกิดขึ้นแน่นอน” คนตัวเล็กปั้นหน้าราวกับกำลังสวมบทบาทเป็นนักสืบหัวเห็ด
“แล้วเรื่องที่ว่านั่นก็ต้องเป็นเรื่องที่ทำให้คุณอากิระดูเหมือนจะทำตัวลำบากในตอนบ่ายวันนั้น ฉันแอบเห็นด้วยนะทิวตอนโอนเนอร์วิ่งไปรับที่หน้าประตูอ่ะ คุณอากิระชะงักไม่ยอมเดินต่อแถมทำหน้าตาแปลกๆ ไม่เหมือนปกติด้วย” ผู้ช่วยนักสืบสาวช่างสังเกตให้ข้อมูล
“ทำหน้ายังไงฮะ” หนุ่มน้อยหันขวับทำตาโต
“ยังไงเหรอ...อือ ประมาณว่าทำตัวไม่ถูกแล้วก็สับสน อะไรทำนองนั้น”
“ทำไมต้องทำตัวไม่ถูกด้วยละฮะ ก็เหมือนปกติ เมินโอนเนอร์ก็สิ้นเรื่อง ไม่เข้าใจเลยอ่ะ”
“เรื่องของผู้ใหญ่เด็กไม่เข้าใจหรอกเนอะ พี่วัฒน์” หันไปพยักเพยินกับพี่ชายหน้านิ่ง
“...”
“เอาเป็นว่าช่างเถอะเนอะ” หัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนจะถองศอกใส่คนไม่รับมุก แต่ก็วืดอีกเพราะคนตัวโตหน้าตายเบี่ยงตัวหลบโดยไม่พูดอะไรเช่นเคย
ถึงจะพูดอย่างนั้นเพื่อไม่ให้เสียฟอร์มก็เถอะ แต่เจ้าหล่อนก็ยังอยากรู้ใจจะขาดเหมือนเดิมว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเจ้านายและลูกค้าประจำขวัญใจกันแน่...เอ หรือจะถามเลยดี ไม่ได้สิ คุณอากิระน่ะไม่กล้าถามแน่นอน ส่วนโอนเนอร์เห็นอย่างนั้นบทจะไม่พูดง้างยังไงก็ไม่เปิดปาก
“อยากจะบ้า สงสัย (โว้ย)...”
“อะไรนะฮะพี่หวาน” ทิวหันกลับมาถามด้วยความสงสัย เมื่อครู่เขามัวแต่เงี่ยหูฟังบทสนทนาของเจ้านายไม่ทันได้ฟัง
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร” น้ำหวานโบกไม้โบกมือ พลางเอียงตัวเงี่ยหูฟังด้วยอีกคน ถึงจะบอกว่าเงี่ยหูฟังก็เถอะแต่ในความเป็นจริงไม่จำเป็นสักนิด เพราะแม้ในร้านจะเปิดเพลงบรรเลงทำนองฟังสบายไว้ทั้งวันแต่เสียงทุ้มของเจ้าของร้านหนุ่มนั้นไม่ได้เบาเลย
“จริงสิ อากิระซังไปเที่ยวกันไหมครับ ดูหนัง ซื้อของ หรือไปหาของอร่อยๆ ทาน”
‘โว้ยๆ ร้านเปิดทุกวันไม่มีวันหยุดนะ แล้วจะไปเที่ยวเล่นได้ยังไงละโอนเนอร์’ หญิงสาวผู้ทำหน้าที่ทำบัญชีเบื้องต้นของร้านถึงกับคิ้วกระตุก ในหนึ่งเดือนร้านจะหยุดเพียงสองวันเท่านั้นคือวันที่สิบสี่และสิบห้า พูดง่ายๆ คือในหนึ่งปีร้านนี้จะปิดทำการแค่ยี่สิบสี่วัน
“ไม่ว่าง”
‘คำตอบสมกับเป็นคุณอากิระ’ “ใกล้ถึงกำหนดส่งต้นฉบับเหรอครับ”
‘คุณอากิระเป็นนักเขียนนี่นา บางทีบก.ยังบินตรงมาจากญี่ปุ่นเลยก็มี แถมยังเป็นนักแปลให้กับสำนักพิมพ์ในไทยอีก เก่งจังเลยน้า’ หนุ่มน้อยที่ชื่นชมในความสามารถลูกค้าประจำของร้านทำท่านึก เขาเองก็เคยอ่านวรรณกรรมเยาวชนภาษาญี่ปุ่นแปลไทยฝีมือการแปลของหนุ่มผมยาวมาแล้วเหมือนกัน ยังเคยเอามาขอลายเซ็นด้วย
“รู้แล้วจะถามทำไม”
‘เหอๆ ชักเริ่มสงสารโอนเนอร์ขึ้นมาบ้างแล้วสิ’ น้ำหวานส่งเสียงแปลกๆ หลังได้ยิน
“พี่หวานฮะ ทิวว่า...บรรยากาศก็ไม่ต่างจากเดิมเลยนะฮะ แค่คุณอากิระยอมโต้ตอบด้วยเท่านั้นเอง” เสียงเล็กๆ กระซิบพร้อมรอยยิ้มแหยๆ
“นั่นสิ แต่ก็ดีกว่าโดนเมินละนะ...”
และก็เหมือนๆ กับทุกวันที่ผ่านมา เมื่อนาฬิกาบอกเวลาสี่โมงครึ่งร่างโปร่งบางในชุดยูกาตะสีเทาก็เดินออกจากร้านพร้อมกล่องเค้กในมือและร่มวากาสะ หรือร่มญี่ปุ่นที่แม้แต่ในญี่ปุ่นเองก็แทบไม่มีใครใช้กันแล้วในปัจจุบัน สายฝนของเดือนพฤษภาคมเป็นเหมือนนาฬิกาบอกเวลาเพราะมันจะเริ่มลงเม็ดในเวลากลับของหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นพอดี และเมื่อเขาถึงบ้านซึ่งอยู่ท้ายซอยมันก็จะเทลงมาอย่างหนัก เป็นเช่นนี้มาเป็นสัปดาห์แล้ว
ใช้เวลามากกว่าปกติเล็กน้อยกว่าจะเดินถึงบ้าน ในครัวป้าศรีกำลังเตรียมอาหารเย็นสำหรับเจ้านายหนุ่ม อากิระเปิดกล่องเค้กวางไว้บนเคาน์เตอร์ครัวเพื่อให้แม่บ้านผู้ดูแลเขาแบ่งเค้กไปหนึ่งชิ้นสำหรับหลานสาววัยห้าขวบ ซึ่งเมื่อก่อนเขาต้องคะยั้นคะยอกว่าจะยอมรับไป แต่ปัจจุบันชายหนุ่มจะเปิดกล่องทิ้งไว้แล้วเดินกลับขึ้นห้อง ป้าศรีจะจัดการแบ่งใส่กล่องใสแล้วเอาที่เหลือแช่เย็นไว้เป็นของหวานหลังอาหารเย็นและของว่างมื้อดึกสำหรับเจ้าของบ้าน
พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ สอบเสร็จแล้ววว แต่เดี๋ยวกลับจากออกทริปกับภาควิชาวันพุธจะมาอัพให้นะคะ ^^
ขอบคุณคุณ EXILE07 ด้วยค่ะ สำหรับกำลังใจ