maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก[ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]บท14 จบ 26/5/56 คู่สองเร็วๆนี้
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก[ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]บท14 จบ 26/5/56 คู่สองเร็วๆนี้  (อ่าน 31802 ครั้ง)

Lady Eowyn

  • บุคคลทั่วไป
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เีดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สวัสดีทุกท่านค่ะ ห่างหายจากการเข้าเล้ามานานอาจจะเกินครึ่งปีด้วยซ้ำ ถ้าท่านใดที่เข้ากระทู้ singular อาจจะคุ้นๆ อยู่บ้าง ซึ่งอาจจะเคยได้อ่านผลงานที่ผ่านมา

เรื่องสั้น
Short fiction singular - Infinity
short fiction singular - Do not delay me. Please

เรื่องยาว
long fiction singular - surrender of love...จำนนรัก
long fiction singular - ปริศนารักจากนางฟ้า



เรื่อง maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก นี้ได้แรงบันดาลใจมาจากการชอบดื่มกาแฟและทานเค้กของตัวเอง แต่เรื่องนี้จะไม่เน้นของกิน  หากจะเน้นหนุ่มๆ ในร้านของกินนั้นแทน ฮาาา ตามพล็อตเรื่องที่วางไว้เรื่องนี้จะมีด้วยกันสี่เรื่องย่อย คาดว่าน่าจะเรื่องละประมาณสิบตอนบวกไม่เกินห้า อ้อ เพราะเป็นคนไม่ชอบกินมาม่าจึงไม่ควรคาดหวังความดราม่าจากเรื่องนี้นะคะ อิอิ

ฝากติดตามผลงานเรื่องใหม่นี้ด้วยนะคะ น้อมรับฟังทั้งการติและชม รวมถึงข้อแนะนำต่างๆ ด้วย ฝากตัวด้วยค่ะ   o1



สารบัญ แปลรักให้ตรงใจ




ชื่อตอนในซีรี่ย์

แปลรักให้ตรงใจ
Love me, love my pet...ค้นรัก วินิจฉัยใจ
เครือข่ายหัวใจ พิกัดรัก
Sweetmeat...สูตรรักโรยน้ำตาล
[/color]
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-05-2013 16:18:16 โดย Lady Eowyn »

Lady Eowyn

  • บุคคลทั่วไป
Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก
«ตอบ #1 เมื่อ01-03-2013 17:31:58 »

บทนำ


     แสงแดดจัดจ้านแม้จะเป็นยามบ่าย หากก็เป็นบ่ายคล้อยของปลายเดือนเมษายนซึ่งขึ้นชื่อว่าร้อนที่สุดในรอบปี เปลวแดดแผดเผาอย่างไม่ปราณีปราสัย การได้เครื่องดื่มเย็นๆ ดับกระหายหรือหลบร้อนภายใต้เครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำไม่ว่าทางเลือกไหนย่อมดีกว่าเผชิญหน้ากับความร้อนระอุกลางแจ้ง แต่ถึงกระนั้นยามบ่ายก็เป็นช่วงเวลาของการทำงานของคนทั่วไป ร้านรวงรอบนอกในย่านธุรกิจใจกลางเมืองจึงได้พักหายใจหายคอ เช่นเดียวกับร้านกาแฟบรรยากาศอบอุ่นที่ตั้งอยู่ในซอยเล็กๆ ที่แม้จะต้องเดินเข้ามาถึงสองร้อยเมตรจากปากซอยหากก็มีคนเต็มใจออกแรงเดินเข้ามาไม่ขาดสายตลอดทั้งวัน

      Maison café เป็นร้านกาแฟและเบเกอร์รี่ที่ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านมากกว่าเป็นร้านที่ดำเนินธุรกิจ บ้านเดี่ยวสามชั้นที่นำมาปรับปรุงกลายเป็นร้าน ชั้นล่างสุดติดกระจกเป็นร้านเปิด ที่นั่งมีทั้งด้านในติดแอร์คอนเนชั่นเย็นฉ่ำและด้านนอกบริเวณสวน ซึ่งส่วนนี้จะเต็มในช่วงเช้าและย่ำเย็นแดดร่มลมตก ด้านในนอกจากเคาน์เตอร์เครื่องดื่มครบครันแล้วด้านข้างยังมีตู้กระจกเก็บความเย็นขนาดใหญ่ เค้กและขนมหวานเรียงรายหลากชนิดที่ทำให้คนมองละลานตา ของหวานเหล่านั้นนอกจากหน้าตาที่สวยจนไม่กล้าลงช้อนทำลายแล้ว รสชาติยังถูกปากบรรดาลูกค้าจนทำให้พวกมันแทบไม่เคยเหลือจนถึงเวลาปิดร้านจริงๆ ในตอนสามทุ่มครึ่งเลยสักวัน

      เมซอง คาเฟ่ เปิดกิจการมาเป็นเวลากว่าสามปีแล้ว แม้จะมีร้านลักษณะนี้เปิดใหม่ในบริเวณใกล้เคียงกี่ร้านต่อกี่ร้านก็ไม่เคยไปรอดสักร้าน ผลัดเปลี่ยนคู่แข่งการค้าอยู่เรื่อยๆ

     ถ้าถามว่าเพราะอะไรที่นี่จึงยังมีลูกค้าแวะเวียนมาไม่ขาดสายแม้ไม่ได้ตั้งอยู่ในทำเลทอง ก็คงต้องตอบว่าเพราะเสียงเล่าลือปากต่อปากของลูกค้าและคนในละแวกนี้นั่นละ การบอกต่อนี้เป็นยิ่งกว่าป้ายโฆษณาหรือโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมเสียอีก...เครื่องดื่มถูกลิ้นแทบทุกชนิดที่อยากดื่ม ของหวานถูกใจ ซึ่งบางอย่างถือว่าเป็นขนมที่ขึ้นชื่อว่าหาทานยากชนิดต้องเข้าไปนั่งในโรแรมหรู แต่ที่นี่ก็มีให้ลิ้มลองในราคาสมเหตุผล บรรยากาศแสนสบายและอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านสมชื่อร้าน อ้อ...นั่นยังไม่นับอาหารตาที่มีให้เลือกหลากสไตล์ จึงไม่น่าแปลกเลยที่ที่นี่นอกจากจะไม่ปิดกิจการเพราะขาดทุนเหมือนร้านอื่น กลับกันนับวันจะยิ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกต่างหาก

     นาฬิกาบอกเวลาบ่ายสามโมงตรง บรรดาคนในเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงและผ้ากันเปื้อนผืนยาวคลุมเข่าสีดำเบนสายตาไปมองประตูรั้วไม้เตี้ยๆ สีขาวซึ่งเปิดค้างรับลูกค้าอย่างพร้อมเพียงกัน ร่างโปร่งบางในเครื่องแต่งกายที่ไม่ว่าเดินผ่านที่ไหนผู้คนก็ต้องเหลียวมองจนลับตา ลูกค้าประจำของร้านที่จะมาในเวลานี้ทุกวัน หนุ่มน้อยหน้าหวานตัวเล็กที่อยู่ใกล้ประตูกระจกที่สุดเอื้อมมือไปดึงประตูเปิด เสียงกระดิ่งโมมายกระเบื้องรูปดอกลิลลี่ ออฟ เดอะ วาลเล่ (lily of the valley) ดอกไม้กระจิดริดทรงระฆังคว่ำที่มีความหมายถึงความบริสุทธิ์ เครื่องหมายของความสุขและความโชคดี ดังด้วยเสียงเล็กๆ แต่กังวาน ลูกค้าประจำบ่ายสามโมงโค้งตัวลงเล็กน้อยด้วยท่าทางน่ามองให้บรรดาพนักงานในร้านแล้วออกเดินตามคนเปิดประตูไปยังโต๊ะริมกระจกมุมที่สามารถมองออกไปยังสวนสวยของร้านได้ดีที่สุด

      “วันนี้ร้อนจังนะฮะคุณอากิระ” เสียงใสๆ ของหนุ่มน้อยเจ้าของชื่อราวกับผู้หญิงว่า ‘ทิวลิปส์’ ซึ่งเจ้าตัวยืนกรานหลักแน่นให้เรียกแค่คำแรกพอดังขึ้นอย่างร่าเริง ทักทายอย่างสนิทสนมพร้อมวางแก้วน้ำเย็นจัดลงบนโต๊ะ

      ‘คุณอากิระ’ ที่ทิวเรียกนั้นเป็นลูกค้าประจำของร้านมาเกือบสองปี เขาจะมาในเวลาเดียวกันทุกวัน นั่งที่เดิมทุกครั้งและสั่งออเดอร์เดิมทุกวันจนไม่จำเป็นต้องถาม หากจะมีผู้ชายคนไหนเหมาะสมกับคำว่า ‘งดงาม’ คงไม่มีใครปฏิเสธว่าจะมีใครอื่นนอกจากคนคนนี้ ร่างโปร่งบางได้สัดส่วน ผิวขาวตามสายเลือดครึ่งหนึ่งในตัว เส้นผมสีดำขลับราวสีน้ำหมึกยาวสลายจรดกลางหลังถูกไหมญี่ปุ่นผูกหลวมๆ ไว้เป็นหางม้า ดวงหน้าที่เป็นการผสมอย่างลงตัวของความละมุนและความเข้มแข็งแห่งบุรุษเพศ

     อากาศร้อนและเปลวแดดด้านนอกทำให้ใบหน้าชวนมองนั้นแดงระเรื่อ ไรผมมีเม็ดเหงื่อเล็กๆ ผุดพราย มือเรียวยาว สวยจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นมือของผู้ชายหยิบผ้าเย็นที่ทิวนำมาวางไว้ให้ข้างแก้วน้ำขึ้นมาซับใบหน้าและลำคอที่โผล่พ้นจากคอยูกาตะสีน้ำเงินซึ่งขับผิวขาวๆ นั้นให้ยิ่งโดดเด่น

     ไม่นานชายหนุ่มในชุดพนักงานอีกคนเข้ามาพร้อมถาด ร่างสูงใหญ่เกินมาตรฐานชายไทยทั่วไปวางถ้วยชาเขียวสีสวยลงบนโต๊ะ ภายในถ้วยดินเผาคือเกียวคุโระ ชาเชียวที่ชงจากใบชาชั้นดีจากการเก็บเกี่ยวครั้งแรกของปี ถือเป็นชาเขียวที่มีราคาแพงที่สุดในบรรดาชาเขียว ตามด้วยจานเค้กชาเขียวทรงกลมชิ้นพอเหมาะ เนื้อเค้กแบ่งเป็นชั้นไล่สีและตกแต่งอย่างสวยงาม สุดท้ายที่วางลงบนโต๊ะคือจานแบนสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่แบ่งช่องด้วยสันตื้นๆ เป็นสี่ช่อง แต่ละช่องถูกจับจองด้วยขนมญี่ปุ่นชิ้นเล็กน่ารัก

     “เรียกได้ตลอดนะครับ” เสียงทุ้มต่ำชวนฟังดังขึ้นเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนศิวัฒน์หรือพี่วัฒน์ พี่ชายที่อายุมากที่สุดของพนักงานเสิร์ฟในร้านจะหลบฉากกลับไปยังบริเวณข้างเคาน์เตอร์เครื่องดื่มพร้อมกับลากตัวคนอายุน้อยสุดแถมยังตัวเล็กที่สุดติดมือไปด้วย

      “เอ๊ะ! สวัสดีตอนบ่ายครับอากิระซัง แย่จังออกมารับไม่ทัน...” น้ำเสียงทุ้มนุ่มกังวานดังขึ้นทันทีที่เจ้าของเสียงก้าวออกมาจากประตูที่เชื่อมกับครัวด้านหลัง แอรอน อภิวัฒน์ ลาตินี่ เป็นหนุ่มลูกครึ่งไทยฝรั่งเศสที่แทบจะไม่มีส่วนไหนเลยที่บ่งบอกว่ามีสายเลือดของคนไทยไหลเวียนอยู่ ร่างกายสูงใหญ่กำยำอย่างคนออกกำลังกายสม่ำเสมอ ผิวที่เคยขาวอย่างคนยุโรปกลายเป็นสีน้ำผึ้งเพราะเจ้าตัวชื่นชอบกีฬากลางแจ้ง เส้นผมหยักศกยาวระต้นคอสีน้ำตาลอ่อน หล่อเหลาคมคาย และที่สะกดคนมองคงหนีไม่พ้นดวงตาสีฟ้าอมเทาคมกริบ...เจ้าของร้านหนุ่มวัยสามสิบปีไม่ขาดไม่เกิน

     “งั้นเอาไว้พรุ่งนี้ผมจะออกไปรับที่รั้วนะ” เครื่องแต่งกายของเขาไม่ต่างจากบรรดาพนักงานในร้านเพียงแต่เสือเชิ้ตพับแขนขึ้นไปถึงข้อศอกนั้นเป็นสีดำ

      หนุ่มลูกครึ่งอีกคนเพียงแต่ครึ่งนั้นเป็นญี่ปุ่นเงยหน้าขึ้นสบตาคนถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามเขาโดยไม่รับเชิญด้วยดวงตาเรียวสวยดำขลับไม่ต่างจากสีผม มันไหวระริกชั่ววินาทีก่อนกลับมาสงบนิ่งอีกครั้งในเวลาอันรวดเร็วจนอีกคนไม่ทันสังเกต อากิระ ภาสกร ฟุจิวาตะ เบนสายตาออกไปมองดอกไม้สีสดซึ่งเขาไม่รู้จักชื่อที่ยังคงบานท้าแสงแดดร้อนแรงโดยไม่ท้อถอย

      “ไม่มีอะไรทำหรือครับ” น้ำเสียงนุ่มนวลแผ่วเบาแต่กลับสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ ร่างโปร่งบางในชุดยูกาตะที่เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเพราะชายหนุ่มไม่เคยสวมชุดอื่นนอกจากนี้เอ่ยขึ้นในที่สุดหลังจากผ่านไปนานหลายนาทีแต่เจ้าของร้านหนุ่มก็ยังคงนั่งเท้าคางมองเขาด้วยรอยยิ้มเหมือนคนกำลังดูเรื่องสนุกไม่ยอมไปไหน

     “หึ ในที่สุดก็ได้ยินเสียงแล้ว...ขี้เหนียวจังนะครับ ทั้งๆ ที่ผมอยากได้ยินเสียงเพราะๆ ของอากิระซังแท้ๆ แต่ไม่ยอมให้ผมฟังบ่อยๆ คนเราทำไมใจร้ายจัง” สีหน้าเหมือนลูกหมาหงอยส่งผลให้คนที่กลายเป็นทั้งคนขี้เหนียวและคนใจร้ายต้องหลับตานิ่ง
มือเรียวยกขึ้นช้าๆ เป็นสัญญาณ ชเลรัศดิ์หรือน้ำหวาน หญิงสาวคนเดียวของร้านที่ทำหน้าที่ทั้งเป็นพนักงานเสิร์ฟและคนประจำเครื่องคิดเงินก้าวเร็วๆ เข้าไปหาลูกค้าคนเดียวของร้านตอนนี้ เพราะช่วงเวลานี้นอกจากหนุ่มลูกครึ่งในชุดยูกาตะแล้วในวันปกติหากไม่ใช่วันหยุดก็แทบไม่มีลูกค้า เป็นเวลาพักหลังจากยุ่งจนหัวปั่นในตอนเที่ยงวัน

      “รับอะไรเพิ่มคะคุณอากิระ” คนอายุมากเป็นอันดับสองของพนักงานเสิร์ฟสามคนถามอย่างกระตือรือร้น เป็นธรรมดาของผู้หญิงที่ชอบคนหน้าตาดี แถมชายหนุ่มคนนี้ก็ไม่ใช่แค่หน้าตาดีแบบปกติเสียด้วย ถึงจะเป็นสาวห้าวคว่ำผู้ชายได้สบายแบบเจ้าหล่อนก็ตาม

     นิ้วสวยกดชี้ไปยังทิศทางตรงข้ามตัว เป้าหมายคือเจ้าของร้านรูปหล่อที่ยังนั่งทำหน้าเป็นไม่ไปไหน

      “ถ้าไม่เป็นการรบกวน...ช่วยกรุณาเอาไปเก็บทีครับ”

      พรวดดด ฮ่าๆๆๆๆ

      เสียงหัวเราะไม่สมเป็นผู้หญิงของสาวคนเดียวของร้านดังขึ้นแบบไม่เกรงใจใคร โดยมีลูกคู่เป็นเสียงหัวเราะใสๆ จากข้างเคาน์เตอร์ของหนุ่มน้อยนักศึกษาปีสุดท้ายอย่างทิว หรือแม้แต่ศิวัฒน์ยังอดยิ้มกว้างไม่ได้

      “เด็ดสุดไปเลยค่ะคุณอากิระ...” น้ำหวานที่ไม่ยังหวานเหมือนชื่อยกนิ้วโป้งขึ้นสองข้าง ยังไม่เลิกหัวเราะด้วยซ้ำขณะหันไปมองเจ้านายตัวเอง “โอนเนอร์ ลูกค้าวีไอพีออเดอร์มา หวานรบกวนโอนเนอร์ย้ายตัวเองกลับไปหลังเคาน์เตอร์หน่อยนะคะ” สาวห้าวโค้งตัวผายมือล้อเลียน

     “ตกลงรับเงินเดือนใครเนี่ยยัยน้ำขม” แอรอนหรือที่ใครๆ ต่างเรียกกันติดปากว่าอลัน เพราะการออกเสียงชื่อด้วยสำเนียงฝรั่งเศสนั้นออกจะลำบากสักหน่อย ตวัดสายตามอง ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ลูกจ้างทั้งสามก็รู้ดีว่ามันไม่ได้เป็นการถือโกรธจริงจัง

      “รับเงินเดือนโอนเนอร์ค่ะ แต่คุณอากิระเป็นลูกค้า โอนเนอร์บอกเองนี่คะว่าลูกค้าคืออันดับหนึ่งที่เราต้องให้ความใส่ใจเหมือนกับเป็นครอบครัวของเรา” หญิงสาวยักคิ้วหลิ่วตาให้เจ้านาย

      “ใช่ซี ก็คนมันหัวเน่า ไม่มีใครสนใจ...ใจร้ายใจจำกันทุกคน” คนตัวโตทำท่าแง่งอน...ซึ่ง มันไม่น่ามองนักหรอก คนทั่วไปคงแทบไม่มีใครเชื่อว่าคนที่เหมือนหนุ่มฝรั่งเศสเต็มตัวจะพูดภาษาไทยชัดเปรี๊ยะ แถมยังรู้จักสรรหาคำมาพูดได้ขนาดนี้

     “เรียบร้อยแล้วนะคะคุณอากิระ” น้ำหวานยิ้มกว้างให้หนุ่มผมยาว อากิระส่งยิ้มบางให้เป็นการขอบคุณก่อนก้มลงใช้ช้อนคันเล็กตัดเค้กชาเขียวเนื้อนุ่ม เห็นดังนั้นหญิงสาวก็เดินกลับไปรวมกับคนอื่นๆ ไม่วาย ‘อวด’ สิ่งที่เห็นมาเมื่อครู่

      “คุณอากิระยิ้มให้หวานด้วยละโอนเนอร์ ยิ้มน่ะยิ้ม ยิ้มมม” พูดพลางฉีกริมฝีปากให้ดู น้ำเสียงและท่าทางดูราวกับเหนือกว่าจนอีกฝ่ายเทียบไม่ติด...เรียกว่าเทียบไม่ติดก็คงได้ เพราะเจ้าของร้านหนุ่มไม่เคยได้รอยยิ้มจากคนร่างโปร่งบางเลยสักครั้งนับตั้งแต่รู้จักกันมา

     ในขณะที่ทั้งศิวัฒน์ ทิว น้ำหวาน หรือแม้แต่ตะวันฉาย ปาติซิเย่ร์มือดีของร้านที่วันๆ เอาแต่ขลุกอยู่ในครัว แต่กระนั้นยังเคยได้เห็นรอยยิ้มของหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่น ครั้งเมื่อเจ้าตัวยกขนมญี่ปุ่นในจานสี่ช่องออกมาครั้งแรก เพราะของหวานจานนี้ไม่มีขายในร้าน เรียกว่าเป็นจานเดียวของวันสำหรับลูกค้าประจำที่มักจะสั่งแค่เค้กชาเขียวเพียงอย่างเดียวทุกครั้งเมื่อมานั่ง

     “อากิระซังใจร้ายยย ทำไมไม่ยิ้มให้ผมบ้างละครับ ไม่ยุติธรรมเลยยย” อลันร้องประท้วงเสียงดัง

     “โอนเนอร์ฮะ เสียงดังไปแล้ว เดี๋ยวคุณซันก็ออกมาว่าหรอกฮะ” ทิวออกปากเตือนพลางเหลือบมองประตูครัวอย่างหวาดๆ ปกติตะวันฉายจะใจดีใจเย็น แต่ถ้าหงุดหงิดเมื่อไหร่ทิวก็พร้อมพุ่งตัวออกนอกร้านแบบไม่รอใคร

     คนใจร้ายถอยหายใจเฮือกชนิดไม่ถนอมน้ำใจคนตัดพ้อสักนิด คนไม่เกรงกลัวเจ้านายอย่างน้ำหวานเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะทับถม

      “คุณอากิระถอนหายใจด้วยละโอนเนอร์...ถูกเมินอย่างสมบูรณ์แบบ”

      เสียงหัวเราะและพูดคุยหยอกล้อดังอยู่ได้ไม่นาน ลูกค้าในช่วงใกล้ค่ำเริ่มทยอยเดินเข้าร้าน พนักงานเสิร์ฟหนุ่มทั้งสองคนของร้านต้องละจากฐานที่มั่นไปคอยให้บริการลูกค้าที่เข้ามาใหม่ ส่วนสาวห้าวคนเดียวต้องคอยอยู่หลังเคาน์เตอร์เพื่อคอยช่วยเจ้าของร้านหนุ่มดูแลเรื่องเครื่องดื่มและคิดเงิน

     “วันนี้ก็ยังหล่อเหมือนเดิมนะคะโอนเนอร์” หญิงสาวกลุ่มหนึ่งนั่งลงบนเก้าอี้สูงหน้าเคาน์เตอร์

     “สาวสวยกลุ่มนี้ก็ยังสวยเหมือนทุกวันนะครับ วันนี้รับอะไรดีครับคุณมิ้นส์ คุณแนนเอาคาปูชิโนปั่นเหมือนเดิมหรือเปล่า ส่วนคุณแหวนก็เป็นเอิร์ลเกรย์สินะครับ ส่วนคุณสาเอาเป็นเบอร์รี่รวม...อย่างนี้โอเคไหมครับ” อลันยิ้มกว้างพลางขยิบตาให้สาวๆ ด้วยท่าทางชวนใจเต้น

      แน่นอนว่าไม่เพียงผู้ได้รับเท่านั้นที่มีปฏิกิริยา แม้แต่ลูกค้าสาวๆ ไม่ว่าจะสาวน้อยสาวใหญ่คนอื่นๆ ในร้านเองก็ไม่ต่างกัน
ชายหนุ่มในชุดยูกาตะสีน้ำเงินที่นั่งละเลียดเครื่องดื่มและขนมตัวเองอยู่เงียบๆ สายตาของเขาจับจ้องกระจกใส จนลูกค้าในร้านทั้งที่เป็นขาประจำหรือแม้แต่ขาจรต่างสงสัยว่าสวนสวยด้านนอกนั้นมีสิ่งใดดึงดูดมากขนาดที่ทำให้นั่งมองนิ่งๆ ได้เป็นเวลานาน แต่พวกเขาทำได้เพียงเก็บความสงสัยนั้นไว้ภายในใจ เพราะนอกจากพนักงานในร้านแล้วไม่เคยมีใครได้ยินเสียงเล็ดรอดจากริมฝีปากเรียวบางนั้นสักครั้ง

      มือเรียวหยิบจานสี่ช่องอันว่างเปล่าวางซ้อนลงบนจานเค้กที่มีสภาพเดียวกัน เป็นสัญญาณให้น้ำหวานที่ประจำอยู่หลังเคาน์เตอร์คว้ากล่องกระดาษลายน่ารักแล้วหยิบเค้กในตู้แช่อีกสามชิ้นใส่กล่อง เธอใช้เวลาคิดอยู่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นในการเลือกเค้กสำหรับวันนี้ให้ลูกค้าประจำได้ลิ้มลองผลัดเปลี่ยน เมื่อปิดกล่องเรียบร้อยก็ส่งต่อให้หนุ่มตัวเล็กที่ถลามารับ กล่องเค้กวางลงพอดิบพอดีกับจังหวะที่ถ้วยชาสัมผัสกับโต๊ะเป็นครั้งสุดท้าย

     ร่างสูงโปร่งหยัดตัวขึ้นยืนก้มศีรษะให้หนุ่มน้อยและพนักงานในร้านก่อนจะยกกล่องเค้กขึ้นแล้วเดินออกจากร้านไปอย่างเงียบเชียบโดยไม่รับรู้เลยว่าทุกการเคลื่อนไหวของเขาถูกสายตานับสิบคู่จ้องมองอยู่จนร่างสมส่วนนั้นหายไปจากสายตาในที่สุด

     เสียงทอดถอนหายใจดังขึ้นด้วยความเสียดายทั้งจากลูกค้าที่นั่งอยู่ก่อนและคนมาใหม่ที่แม้จะเร่งรีบสักแค่ไหนก็มาไม่ทันสี่โมงครึ่ง อันเป็นเวลาที่หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นจะกลับ...บรรดาหญิงสาวไม่เท่าไหร่ แต่ชายหนุ่มที่วิ่งมาจนเหงื่อโทรมกายนี่สิ ไม่รู้ว่าจะน่าสงสารหรือน่าขันดี...แต่ที่แน่ๆ มีคนรู้สึกสมน้ำหน้าเงียบๆ อยู่ด้วย


พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ยังอยู่ในช่วงสอบ เหลืออีกสองตัว แต่ทำเหมือนสอบเสร็จแล้ว ชิลลล มากกกก  :m31:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-03-2013 17:47:21 โดย Lady Eowyn »

ออฟไลน์ EXILE07

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
^
^
^
จิ้ม ฉึกกกก
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะครับ

Lady Eowyn

  • บุคคลทั่วไป
...1...


     “ไอ้บ้าซัน คนเขาอุตส่าห์จะช่วย ดันไล่ออกมา...ชิ งั้นก็ทำไปคนเดียวเลยแล้วกัน” เจ้าของร้านเมซอง คาเฟ่ บ่นอย่างหัวเสียขณะวิ่งเหยาะๆ ออกกำลังกายตอนเช้าหลังจากจัดของเตรียมเปิดร้านในวันใหม่ เมื่อหน้าร้านเรียบร้อยจึงเข้าไปในครัว หวังจะช่วยเพื่อน แต่ตะวันฉายกลับไล่ตะเพิดเขาออกมาอย่างไม่ใยดี ชายหนุ่มจึงคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กสวมรองเท้าผ้าใบออกมาวิ่งเสียอย่างนั้น

     แอรอนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วยกแขนขึ้นดูนาฬิกา ดูเหมือนว่าวันนี้คงร้อนเหมือนเดิมเพราะเพิ่งเลยหกโมงเช้ามาได้ไม่กี่นาทีแต่แสงแดดก็เริ่มส่องรำไร หน้าร้อนใกล้จะสิ้นสุดลงสายฝนเริ่มมาทักทายบ้างแล้ว หากอุณหภูมิก็ยังคงสูงอยู่ดี

     หนุ่มลูกครึ่งฝรั่งเศสชะลอฝีเท้าหยุดลงโดยไม่รู้ตัวหน้าบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังหนึ่ง มันอยู่ท้ายซอยแถมยังแยกตัวออกมาจากบ้านหลังอื่นๆ อย่างชัดเจนจนอาจจะเรียกว่าโดดเดี่ยว ปกติเขาจะออกมาวิ่งเช้ากว่านี้หน่อยและทุกครั้งก็ต้องหยุดมองอย่างห้ามไม่ได้

     “คงยังไม่ตื่นหรอกมั้ง เช้าขนาดนี้ เมื่อคืนนอนดึกหรือเปล่าก็ไม่รู้” เสียงทุ้มพึมพำกับตัวเอง แม้จะพูดแบบนั้นแต่ก็ยังอดมองลอดช่องรั้วเหล็กที่สูงเลยศีรษะเขาไปไม่เท่าไหร่ หากเป็นคนอื่นสองเมตรคงจะเลยความสูงเป็นคืบหรืออาจจะมากกว่านั้น แต่สำหรับคนสูงหนึ่งร้อยเก้าสิบห้าเซนติเมตรอย่างเขาแล้วแค่เขย่งก็พ้นรั้ว

     “หือ?” แอรอนไม่แน่ใจว่าตัวเองมองผิดไปหรือเปล่า เขาขยับตัวเข้าไปชิดรั้วมากขึ้นเพื่อมองให้ชัด ดวงตาสีฟ้าอมเทาโฟกัสอยู่ที่พื้นไม้ส่วนที่ยื่นออกมาจากตัวบ้านคล้ายกับทางเดินของบ้านแบบญี่ปุ่น บานกระจกที่เปิดออกมาจากตัวบ้านยังเปิดค้างไว้ สิ่งที่เขาเห็นว่ามีลักษณะคล้ายกองผ้ากองหนึ่งจนต้องเพ่งมองให้แน่ใจนั้น...แท้จริงแล้วคือคนต่างหาก

     “อากิระซัง...อากิระซังครับ” ส่งเสียงเรียกอย่างไม่แน่ใจ แต่ผลที่ได้กลับมาคือความเงียบ

     “อากิระซัง เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เพิ่มระดับเสียงอีกหน่อย หากก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถึงจะบอกว่าโดนเมินอย่างสมบูรณ์เป็นปกติ แต่อย่างน้อยก็น่าจะมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง ไม่ใช่ยังนิ่งไม่ไหวติงแบบนี้

     “อากิระซัง อากิระ!” เขาทนความร้อนใจของตัวเองไม่ไหว แอรอนคว้ารั้วเหล็กเหนี่ยวตัวขึ้นบนรั้ว เหวี่ยงขาข้ามก่อนทิ้งตัวลงพื้นอย่างรวดเร็วจนรั้วเหล็กทั้งแผงสั่นจากแรงและน้ำหนักตัว ขายาวพาร่างสูงใหญ่ไปหาหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นในชุดยูกาตะที่เห็นชินตาบนพื้นไม้ ชายหนุ่มช้อนร่างนั้นขึ้นแนบอก สัมผัสใบหน้าซีดเซียวกว่าปกตินั้นหวังเรียกสติ

     “อากิระ!” เกือบจะอุ้มขึ้นแล้วถ้าแพขนตาซึ่งยาวจนผู้หญิงบางคนยังอายนั้นไม่ขยับ แล้วในวินาทีต่อมาดวงตาสีดำสนิทก็เปิดขึ้นสบกับดวงตาสีสวยราวลูกแก้ว

      แรกเริ่มอากิระยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เมื่อไล่สายตาลงมาจนเห็นว่าตัวเองกำลังถูกโอบอยู่ทั้งตัว เท่านั้นละเขาก็ดีดตัวออกห่างทันที ถึงขนาดเผลออุทานออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยความตกใจ

     “คุณ...เข้ามาได้ยังไง” ผู้บุกรุกไม่สนใจประเด็นนั้นสักนิด เคลื่อนตัวเข้าไปประชิดพร้อมคว้าข้อมือบางไว้

     “เป็นอะไรหรือเปล่า ไปโรงพยาบาลไหม”

     “หะ ห๊า! เป็นอะไร?...โรงพยาบาล?” คนถูกถามไม่เข้าใจในสิ่งที่ได้ยินนัก

     “ผมเห็นคุณนอนนิ่ง เรียกก็ไม่ขานนึกว่าหมดสติ ตกลงไม่สบายตรงไหน” พูดไปก็ใช้มือแตะสัมผัสใบหน้าและลำคอ ไม่รู้ว่าเพราะความตกใจหรือยังตั้งสติได้ไม่เต็มที่กันแน่ ร่างบางจึงไม่ทันได้ขัดขืน

     “ผมไม่ได้หมดสติ”

     “แล้วทำไมเรียกไม่ขาน” แอรอนถามกลับทันควัน เสียงที่ดังและจริงจังกว่าปกติทำให้คนฟังอดสะดุ้งน้อยๆ ไม่ได้

     “กะ ก็...หลับอยู่”

     “หลับ!” คราวนี้เป็นคนตัวโตเองที่มีปฏิกิริยา เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วก้มลงมองสีหน้าที่แตกต่างจากปกตินั้นนิ่งๆ ไม่รู้ว่าเพิ่งตื่นหรือตกใจในการปรากฏตัวแบบกะทันหันของเขากันแน่ ถึงได้แสดงอารมณ์ออกมาหมดทางสีหน้า ทั้งที่ปกติมันมักจะนิ่งเฉยจนแทบคาดเดาความรู้สึกไม่ได้

     “แล้วทำไมมานอนอยู่ตรงนี้...ตั้งแต่เมื่อไหร่” ถามเสียงเบาลงกว่าเดิม ส่งผลให้ร่างบางกระพริบตาปริบๆ ตอบโดยอัตโนมัติ

     “ตีห้าได้มั้ง คิดงานไม่ออกเลยออกมานั่งเล่น แล้วก็หลับไปตอนไหนไม่รู้”

     “จริงๆ เลย เดี๋ยวก็เป็นหวัดจนได้ เสื้อคลุมก็ไม่ใส่ แล้วได้นอนหรือยัง”

     “ก็นอนเพิ่งตื่น...” เสียงนุ่มหวานตอบแบบเบลอๆ แอรอนรู้ว่าไม่ได้ตั้งใจกวนหรอก แต่เขาก็ยังอดตากระตุกไม่ได้ ยังไม่นับเนื้อหาในประโยค ‘เพิ่งตื่น’ หรืออาจจะตีความหมายว่าไม่ได้นอนมาทั้งคืนจนกระทั่งมาเผลอหลับเมื่อชั่วโมงที่แล้วนี่ละ

     “งั้นกลับขึ้นไปนอนได้แล้ว หรือจะรอทานข้าวเช้าก่อนแล้วค่อยนอน ป้าศรีจะมาตอนเจ็ดโมงใช่ไหม”

     ป้าศรีคือแม่บ้านที่ดูแลความเป็นอยู่ของอากิระ แต่เป็นการมาเช้าเย็นกลับ แอรอนสนิทกับแม่บ้านวัยกลางคนพอสมควรจึงรู้เรื่องบ้านนี้ แม้ว่าครั้งนี้จะเป็นการเข้ามาภายในบ้านครั้งแรกนับตั้งแต่รู้จักกันมา แถมยังเข้ามาแบบไม่ถูกต้องเสียด้วยสิ

     “นอนก่อน” อากิระตอบแบบไม่ต้องคิด ร่างกายโหยหาการพักผ่อน เขาไม่ได้นอนมาสามวันแล้ว แถมหัวยังตื้อคิดอะไรไม่ออก งานก็คงไม่เดินอยู่ดีแม้จะกลับนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ สู้พักผ่อนดีกว่า

     “ไม่รอทานข้าวเช้าก่อนเหรอ แล้วค่อยนอนยาวๆ”

     “นอน” ยืนยันคำเดิม อีกฝ่ายจึงต้องถอย

     “ครับๆ นอนก็นอน เอ้า...ขึ้นห้องได้แล้ว” ลุกขึ้นยืนพร้อมรั้งร่างสมส่วนนั้นขึ้นมาด้วย “ล็อกประตูให้เรียบร้อยแล้วขึ้นห้อง ฝันดีครับ เจอกันตอนบ่ายสาม” โบกมือให้เจ้าของบ้านผ่านบานกระจก สองฝ่ายแยกย้ายกันด้วยอารมณ์ที่แตกต่าง

     เมื่อเดินขึ้นมาถึงห้องนอนแล้วหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นคล้ายกับเพิ่งกอบกู้สติสัมปชัญญะของตัวเองกลับมาได้ครบส่วน...

     “ทำไมเราต้องทำตามที่เขาบอกตอบที่เขาถามทุกอย่างด้วยละ”

     ส่วนด้านแขกไม่ได้รับเชิญที่เดินผิวปากมายังประตูรั้วเองก็ต้องหยุดชะงักเช่นกัน

     “แล้วจะออกไปยังไงวะเนี่ย...!?”

∞∞∞∞∞∞∞

     “แปลก” น้อยครั้งคนปากหนักจะเอ่ยปากออกมาก่อน ฉะนั้นมันจะต้องเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้แน่นอน

     “เห็นด้วย แปลกมาก”

     “หรือปีนี้เมืองไทยหิมะจะตกอย่างเขาว่ากันฮะ”

     สามพนักงานเสิร์ฟประจำร้านเมซองสุมหัวกันอยู่ข้างเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม สายตาสามคู่เหลือบมองไปยังโต๊ะริมกระจกตัวเดิม แน่นอนว่าคนจับจองยังเป็นคนเดิม แถมตัวป่วนก็เป็นคนเดิมอีกเหมือนกัน แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือบรรยากาศต่างหาก

     “เกิดอะไรขึ้นกับคุณอากิระฮะ ทำไม...ทำไมถึง...ยอมคุยกับโอนเนอร์ละ” หนุ่มทิวตีหน้ายุ่งมองพี่ชายทีพี่สาวที และไม่ต้องสงสัย คนอายุมากกว่าเองก็อยากจะถามคำถามเดียวกัน

     “มันแปลกๆ มาตั้งแต่วันที่โอนเนอร์โดนคุณซันไล่ตะเพิดออกมาจากครัวแล้วนะ ตอนออกไปวิ่งเห็นหน้างี้บึ้งเชียว แต่ขากลับดันผิวปากอารมณ์ดีกลับมาซะงั้น แถมตอนคุณอากิระมาก็เหมือนกัน ชวนคุยโน่นนี่ไม่หยุด คุณอากิระเองก็เถอะเหมือนรำคาญแต่ก็ไม่ได้เรียกฉันไปเก็บโอนเนอร์กลับ...ตกลงมันเรื่องอะไรกันเนี่ย” หญิงสาวคนเดียวของร้านแทบทึ้งผมตัวเองด้วยความอัดอั้นตันใจที่ความสงสัยไม่กระจ่าง

     “ช่วงเวลานั้นแหละฮะพี่หวาน มันต้องมีเรื่องอะไรที่เราไม่รู้เกิดขึ้นแน่นอน” คนตัวเล็กปั้นหน้าราวกับกำลังสวมบทบาทเป็นนักสืบหัวเห็ด

     “แล้วเรื่องที่ว่านั่นก็ต้องเป็นเรื่องที่ทำให้คุณอากิระดูเหมือนจะทำตัวลำบากในตอนบ่ายวันนั้น ฉันแอบเห็นด้วยนะทิวตอนโอนเนอร์วิ่งไปรับที่หน้าประตูอ่ะ คุณอากิระชะงักไม่ยอมเดินต่อแถมทำหน้าตาแปลกๆ ไม่เหมือนปกติด้วย” ผู้ช่วยนักสืบสาวช่างสังเกตให้ข้อมูล

     “ทำหน้ายังไงฮะ” หนุ่มน้อยหันขวับทำตาโต

     “ยังไงเหรอ...อือ ประมาณว่าทำตัวไม่ถูกแล้วก็สับสน อะไรทำนองนั้น”

     “ทำไมต้องทำตัวไม่ถูกด้วยละฮะ ก็เหมือนปกติ เมินโอนเนอร์ก็สิ้นเรื่อง ไม่เข้าใจเลยอ่ะ”

     “เรื่องของผู้ใหญ่เด็กไม่เข้าใจหรอกเนอะ พี่วัฒน์” หันไปพยักเพยินกับพี่ชายหน้านิ่ง

     “...”

     “เอาเป็นว่าช่างเถอะเนอะ” หัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนจะถองศอกใส่คนไม่รับมุก แต่ก็วืดอีกเพราะคนตัวโตหน้าตายเบี่ยงตัวหลบโดยไม่พูดอะไรเช่นเคย

      ถึงจะพูดอย่างนั้นเพื่อไม่ให้เสียฟอร์มก็เถอะ แต่เจ้าหล่อนก็ยังอยากรู้ใจจะขาดเหมือนเดิมว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเจ้านายและลูกค้าประจำขวัญใจกันแน่...เอ หรือจะถามเลยดี ไม่ได้สิ คุณอากิระน่ะไม่กล้าถามแน่นอน ส่วนโอนเนอร์เห็นอย่างนั้นบทจะไม่พูดง้างยังไงก็ไม่เปิดปาก

     “อยากจะบ้า สงสัย (โว้ย)...”

     “อะไรนะฮะพี่หวาน” ทิวหันกลับมาถามด้วยความสงสัย เมื่อครู่เขามัวแต่เงี่ยหูฟังบทสนทนาของเจ้านายไม่ทันได้ฟัง

     “เปล่าๆ ไม่มีอะไร” น้ำหวานโบกไม้โบกมือ พลางเอียงตัวเงี่ยหูฟังด้วยอีกคน ถึงจะบอกว่าเงี่ยหูฟังก็เถอะแต่ในความเป็นจริงไม่จำเป็นสักนิด เพราะแม้ในร้านจะเปิดเพลงบรรเลงทำนองฟังสบายไว้ทั้งวันแต่เสียงทุ้มของเจ้าของร้านหนุ่มนั้นไม่ได้เบาเลย

     “จริงสิ อากิระซังไปเที่ยวกันไหมครับ ดูหนัง ซื้อของ หรือไปหาของอร่อยๆ ทาน”

    ‘โว้ยๆ ร้านเปิดทุกวันไม่มีวันหยุดนะ แล้วจะไปเที่ยวเล่นได้ยังไงละโอนเนอร์’ หญิงสาวผู้ทำหน้าที่ทำบัญชีเบื้องต้นของร้านถึงกับคิ้วกระตุก ในหนึ่งเดือนร้านจะหยุดเพียงสองวันเท่านั้นคือวันที่สิบสี่และสิบห้า พูดง่ายๆ คือในหนึ่งปีร้านนี้จะปิดทำการแค่ยี่สิบสี่วัน

     “ไม่ว่าง”

   ‘คำตอบสมกับเป็นคุณอากิระ’

     “ใกล้ถึงกำหนดส่งต้นฉบับเหรอครับ”

    ‘คุณอากิระเป็นนักเขียนนี่นา บางทีบก.ยังบินตรงมาจากญี่ปุ่นเลยก็มี แถมยังเป็นนักแปลให้กับสำนักพิมพ์ในไทยอีก เก่งจังเลยน้า’ หนุ่มน้อยที่ชื่นชมในความสามารถลูกค้าประจำของร้านทำท่านึก เขาเองก็เคยอ่านวรรณกรรมเยาวชนภาษาญี่ปุ่นแปลไทยฝีมือการแปลของหนุ่มผมยาวมาแล้วเหมือนกัน ยังเคยเอามาขอลายเซ็นด้วย

     “รู้แล้วจะถามทำไม”

    ‘เหอๆ ชักเริ่มสงสารโอนเนอร์ขึ้นมาบ้างแล้วสิ’ น้ำหวานส่งเสียงแปลกๆ หลังได้ยิน

     “พี่หวานฮะ ทิวว่า...บรรยากาศก็ไม่ต่างจากเดิมเลยนะฮะ แค่คุณอากิระยอมโต้ตอบด้วยเท่านั้นเอง” เสียงเล็กๆ กระซิบพร้อมรอยยิ้มแหยๆ

     “นั่นสิ แต่ก็ดีกว่าโดนเมินละนะ...”

     และก็เหมือนๆ กับทุกวันที่ผ่านมา เมื่อนาฬิกาบอกเวลาสี่โมงครึ่งร่างโปร่งบางในชุดยูกาตะสีเทาก็เดินออกจากร้านพร้อมกล่องเค้กในมือและร่มวากาสะ หรือร่มญี่ปุ่นที่แม้แต่ในญี่ปุ่นเองก็แทบไม่มีใครใช้กันแล้วในปัจจุบัน สายฝนของเดือนพฤษภาคมเป็นเหมือนนาฬิกาบอกเวลาเพราะมันจะเริ่มลงเม็ดในเวลากลับของหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นพอดี และเมื่อเขาถึงบ้านซึ่งอยู่ท้ายซอยมันก็จะเทลงมาอย่างหนัก เป็นเช่นนี้มาเป็นสัปดาห์แล้ว

     ใช้เวลามากกว่าปกติเล็กน้อยกว่าจะเดินถึงบ้าน ในครัวป้าศรีกำลังเตรียมอาหารเย็นสำหรับเจ้านายหนุ่ม อากิระเปิดกล่องเค้กวางไว้บนเคาน์เตอร์ครัวเพื่อให้แม่บ้านผู้ดูแลเขาแบ่งเค้กไปหนึ่งชิ้นสำหรับหลานสาววัยห้าขวบ ซึ่งเมื่อก่อนเขาต้องคะยั้นคะยอกว่าจะยอมรับไป แต่ปัจจุบันชายหนุ่มจะเปิดกล่องทิ้งไว้แล้วเดินกลับขึ้นห้อง ป้าศรีจะจัดการแบ่งใส่กล่องใสแล้วเอาที่เหลือแช่เย็นไว้เป็นของหวานหลังอาหารเย็นและของว่างมื้อดึกสำหรับเจ้าของบ้าน



พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ สอบเสร็จแล้ววว แต่เดี๋ยวกลับจากออกทริปกับภาควิชาวันพุธจะมาอัพให้นะคะ ^^
ขอบคุณคุณ EXILE07 ด้วยค่ะ สำหรับกำลังใจ  :pig4:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2013 21:16:06 โดย Lady Eowyn »

Lady Eowyn

  • บุคคลทั่วไป

...2...

ร่างโปร่งบางนั่งประจำโต๊ะทำงานริมหน้าต่าง เมื่อมองออกไปจะเห็นสวนด้านข้างตัวบ้านที่ตั้งใจเอาไว้สำหรับหย่อนใจและพักสายตา นิ้วเรียวสวยกดปุ่มเปิดเครื่องก่อนเรียกใช้งานโปรแกรมเอกสาร งานเขียนของเขาเดินทางมาถึงปลายทางบทสรุปของเรื่องและจะจบลงในอีกสองบท หลายวันก่อนเขารู้สึกว่าสิ่งที่เขียนนั้นไม่เป็นที่น่าพอใจสักที แก้แล้วแก้อีกจนตัดสินใจกดลบทิ้งไปทั้งบท นั่งจ้องหน้าจอเอกสารสีขาวที่ว่างเปล่าอยู่เป็นวัน จากนั้นก็เขียนแล้วลบอยู่อย่างนั้นอีกสองวันเต็ม จนกระทั่งได้นอนหลับพักผ่อนนั่นละสมองของเขาจึงปลอดโปร่ง ไม่อยากจะขอบคุณหรอกนะแต่ถ้าวันนั้นไม่ได้ผู้ชายน่ารำคาญคนนั้นมาปลุกอีกเดี๋ยวเขาก็ต้องสะดุ้งตื่นเองแล้วทู่ซี้กลับมานั่งจมอยู่หน้าคอมฯ เหมือนเดิม

ท่าทางเป็นห่วงเป็นใยและน้ำเสียงดุๆ ของผู้ชายคนนั้นทำให้เขานึกถึงคนที่รักและห่วงใยเขาอย่างจริงใจ เหมือนเจ้าของอ้อมกอดอบอุ่น และรอยยิ้มอ่อนโยน...ซึ่งเขาคงไม่มีโอกาสได้เห็นมันอีกแล้ว

“โอกาซามะ (o-ka-sama)...”

ดูเหมือนพักนี้เขาจะคิดถึงแม่บ่อยขึ้นหรือเปล่านะ หรือเพราะมันใกล้จะถึงวันครบรอบ ปีนี้เป็นปีที่ห้าสินะ...

“ใช่เวลาไหมอากิ เดี๋ยวโทคิก็บินมาจากโตเกียวทวงงานอีกหรอก...” เรียกสติตัวเองด้วยการคิดถึงใบหน้าคร่ำเคร่งของบก.หรือบรรณาธิการที่ทำหน้าที่ดูแลงานของเขา บก.ที่ขึ้นชื่อว่าเฮี้ยบและโหดติดอันดับต้นๆ ของสำนักพิมพ์...คาโต้ โทคิตะ แต่เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ได้กลัวโทคิเหมือนพวกนักเขียนหรือกองบก.รุ่นใหม่เท่าไหร่หรอก เพราะได้ผู้ชายหน้านิ่งปากกรรไกรคนนั้นดูแลมาตั้งแต่เข้าสำนักพิมพ์ใหม่ๆ แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เขาที่ใหม่ เรียกว่าเติบโตมาพร้อมกันก็ว่าได้ ฉะนั้นไม่ว่าลูกไม้ไหนเขาก็รับมือได้ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าขี้เกียจฟังเสียงบ่น ออกแนวรำคาญเสียมากกว่า

กำหนดส่งงานของเขาคืออีกหนึ่งสัปดาห์ แต่อากิระมักจะส่งก่อนกำหนดทุกครั้งถ้าไม่มีเหตุเหนือความคาดหมายอะไร และตอนนี้มันก็เกือบสมบูรณ์ เหลือแค่เกลาสำนวนและตรวจทานคำผิดในช่วงท้ายซึ่งเพิ่งเขียนเสร็จอีกรอบเท่านั้น ส่วนงานแปลนิยายแนวลึกลับเรื่องล่าสุดเพิ่งส่งเรียบร้อยไปเมื่อสองวันก่อน ซึ่งเขาตั้งใจว่าหากจัดการงานเขียนในมือตอนนี้แล้วจะหยุดพักสักเดือนก่อนจะเริ่มเขียนเรื่องใหม่ที่วางพล็อตและคาแล็กเตอร์ตัวละครไว้เกือบเสร็จแล้ว

เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้านนอกหลังจากก้มหน้าตรึงสายตาอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์แบบพกพามาหลายชั่วโมงจนงานเสร็จพร้อมส่ง ความมืดเข้าปกคลุมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่สายฝนยังคงโปรยปรายไม่ขาดสาย เมื่อหันไปมองนาฬิกาพบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม

พอรู้เวลาท้องก็ส่งเสียงร้องเตือนว่าเลยเวลาอาหารเย็นมานานมากแล้ว หนุ่มร่างบางจึงตัดสินใจลุกจากโต๊ะเพื่อลงไปหาอะไรเติมใส่ท้องที่ว่างเปล่าให้เต็ม เช่นเคย ป้าศรีจะกลับไปตอนหกโมงเย็นโดยเตรียมทุกอย่างไว้ให้เรียบร้อยเพราะเป็นข้อตกลงตั้งแต่เริ่มจ้างว่าหากเขาเข้าห้องทำงานไปแล้วหากไม่มีเรื่องด่วนคอขาดบาดตายไม่ให้รบกวน

หลังอาหารเย็นมื้อดึกเค้กหน้าตาสวยเป็นลำดับถัดไปที่ถูกจัดการ อากิระเก็บเค้กอีกชิ้นไว้สำหรับมื้อเช้าเพราะคืนนี้ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เวลาในช่วงกลางดึกเหมือนทุกวัน ฆ่าเวลาเพื่อรออาหารย่อยสักหน่อยก่อนไปอาบน้ำด้วยการเปิดโทรทัศน์ กดเลือกช่องอยู่หลายครั้งจนมาจบที่ซีรี่ย์สัญชาติเดียวกับที่เขาถือแล้วเปลี่ยนระบบเป็นแบบเสียงต้นฉบับ ถึงเรื่องนี้เขาจะดูมาหลายรอบแล้วแต่ก็ถือเป็นเรื่องที่เขาประทับใจมากอีกเรื่อง ทั้งเนื้อเรื่องและนักแสดง ที่สำคัญเหล่าสุนัขลากเลื่อนในเรื่องยังดึงดูดใจเขามากไม่แพ้กัน

เมื่อซีรี่ย์จบจึงได้เวลาอาบน้ำเข้านอน แทนที่จิตใจจะปลอดโปร่งเพราะงานเสร็จเรียบร้อยและจะส่งในวันพรุ่งนี้ กลับกลายเป็นว่านอนตาแข็งอยู่บนเตียงนอนเสียอย่างนั้น หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นพลิกตัวแล้วถอนหายใจเฮือก ดูเหมือนวันนี้จะมีเรื่องให้เขาต้องขบคิดหลายเรื่อง ทั้งเรื่องกำหนดการเดินทางกลับญี่ปุ่นในช่วงนี้ของปี แน่นอนว่าเมื่อกลับไปเหยียบแผ่นดินเกิดอีกครั้งปัญหาที่เขาทิ้งไว้แล้วมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เมืองไทยคงย้อนกลับมาให้เขาทรมานใจกับมันอีก เพราะการกลับไปเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครรู้นั้นคงเป็นไปไม่ได้

อากิระนอนตะแคงแล้วขดตัว มือเรียวกำผ้าปูที่นอนแน่นขณะที่ดวงตาสั่นระริกเริ่มเลื่อนลอย ในห้องที่มืดสนิทมีเพียงแสงสลัวจากพระจันทร์คืนเดือนมืดและแสงริบหรี่จากดวงดาว

ทำไมนะ...เขาเคยตั้งคำถามมานับครั้งไม่ถ้วนว่าแค่เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ทุกข์พอแล้ว ทำไมเขายังต้องมาเจ็บปวดกับเรื่องเหล่านี้ไม่รู้จักจบจักสิ้น เขาไม่ได้อยากได้อะไรทั้งนั้น ขอแค่ให้ชีวิตนี้ได้พบเจอกับความสุขและรอยยิ้มบ้างเท่านั้น เพียงแค่นั้น...หรือเขาขอมากเกินไป

∞∞∞∞∞∞∞

เข็มนาฬิกาเคลื่อนที่ผ่านไปเรื่อยๆ เวลาที่ผ่านไปคงไม่ทำให้รู้สึกผิดแปลกไปหากมันไม่ได้ล่วงเลยบ่ายสามโมงตรงมาเกือบครึ่งชั่วโมง หากก็ยังไม่มีวี่แววของลูกค้าประจำที่จะปรากฏตัวในเวลาบ่ายสามโมงตรง หนุ่มน้อยทิวลิปส์แกะประตูกระจกสอดส่ายสายตามองหามาสิบนาทีแล้ว พนักงานในร้านเริ่มอยู่ไม่นิ่ง ไม่ต้องพูดถึงเจ้าของร้านหนุ่มที่เดินไปเดินมาระหว่างประตูรั้วกับเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม

“ทำไมคุณอากิระยังไม่มาอีกละฮะ บ่ายสามโมงครึ่งแล้วนะฮะ” คนตัวเล็กหันกลับมามองพี่ๆ ตาละห้อย ถึงหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นจะไม่ใช่คนช่างคุย แต่ก็ใจดีในแบบฉบับของเขา

“เดี๋ยวคงมาละทิว คุณอากิระอาจจะทำงานเพลินก็ได้ เมื่อวานก็ได้ยินนี่ว่าใกล้จะถึงกำหนดส่งต้นฉบับแล้วน่ะ” ชเลรัศดิ์ปลอบแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้เหมือนกัน เพราะด้วยนิสัยตรงต่อเวลาอย่างมากของอากิระจึงมีน้อยครั้งที่จะมาไม่ตรงเวลา และทุกครั้งก็เกิดจากล้มป่วยของเจ้าตัวจนไม่สามารถออกจากบ้านได้

“ไม่ใช่ว่าไม่สบายหรอกนะฮะ” ความกังวลยิ่งเปิดขึ้นอีก

“ไม่หรอกมั้ง เมื่อวานก็ไม่มีอาการผิดปกตินี่ คงทำงานติดพันมากกว่า” หญิงสาวพยายามมองโลกในแง่ดี “อ้าว...แล้วนั่นทำอะไรละโอนเนอร์ เอาเค้กใส่กล่องทำไม” หางตามองเห็นความเคลื่อนไหวของเจ้าของร้านหนุ่ม

“โอนเนอร์จะไปบ้านคุณอากิระเหรอฮะ ให้ทิวไปด้วยสิ” หนุ่มน้อยถามตาแป๋ว ดูกระตือรือร้นขึ้นมาทันที

“หยุดเลยค่ะโอนเนอร์ ห้ามไปไหนทั้งนั้นเลย” ชเลรัศดิ์ยืนขวางประตูไม่ให้ร่างสูงใหญ่นั้นผ่านไปได้

“ยุ่งน่ายัยน้ำขม หลีกไปเลย” แอรอนพยายามเบี่ยงตัวเพื่อไปเปิดประตูออกจากร้านแต่กล่องเค้กในมือก็ถูกแย่งไปหน้าตาเฉยจากคนขวางทาง

“ไปไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวจะสี่โมงแล้วลูกค้าก็คงทยอยมากันแล้ว โอนเนอร์ไม่อยู่ก็แย่สิ อย่างนี้สาวๆ ที่มานั่งดู เอ้ย นั่งดื่มชากาแฟที่โอนเนอร์ชงก็ไม่เจอ ลูกค้าหายทำไงละ วันนี้ยอดไม่ถึงเป้านะเออ เดี๋ยวหวานไปเอง แค่ท้ายซอยปั่นจักรยานไปเดี๋ยวเดียวก็ถึง” หญิงสาวสาธยายเหตุผลพร้อมฉีกยิ้มกว้าง แต่คนฟังทั้งหลายต่างลงความเห็นว่ามันมีเหตุผลแค่สองข้อเท่านั้นแหละ คือ งกและอยากไปเอง

“เฮ้ย เดี๋ยวยัยหวาน!” ไม่รอให้ถูกแย่งคืนชเลรัศดิ์ก็ผลักประตูร้านออกไปถอยจักรยาน ขึ้นค่อมและเตรียมขี่ออกไป

ระหว่างที่กำลังยืนมึนกับความว่องไวของพนักงานตัวเอง แอรอนก็รู้สึกว่ามีอีกร่างพุ่งผ่านเขาไป “พี่หวานรอทิวด้วย” และก่อนจะได้โวยวายอะไรพนักงานสองคนก็ซ้อนท้ายจักรยานหายลับไปแล้ว

“อะไรวะพวกนี้ ชิชะ จะไปเอาหน้าละซี คราวหน้าไม่มีอีกแน่ คราวนี้ประมาทไป” ชายหนุ่มตัวโตบ่นอย่างอารมณ์เสีย พาสีหน้าบูดบึ้งกลับไปหลังเคาน์เตอร์

“คราวหน้าไปเอาหน้าให้ทันนะครับ” เสียงทุ้มต่ำของคนพูดน้อยดังขึ้น ศิวัฒน์หยิบผ้าเช็ดโต๊ะเดินผ่านเคาน์เตอร์ไป เจ้าของร้านผู้แทบไม่มีใครเห็นหัวได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน นึกคำด่ากลับไม่ออกทีเดียวเมื่อโดนพ่อหนุ่มพิกุลร่วงล้อแบบนั้น ชี้หน้าคาดโทษไว้ก่อน

∞∞∞∞∞∞∞

สองหนุ่มสาวมาถึงหน้าบ้านหลังสุดท้ายของซอย ประตูรั้วไม่ได้ปิดสนิทเหมือนทุกวันนั้นทำให้พี่น้องร่วมโลกได้แต่มองหน้ากัน ระหว่างชเลรัศดิ์ก้าวลงเตะขาตั้งแตะพื้น ทิวก็เดินไปกดออดหน้าประตู

“แปลกจังทำไมป้าศรีไม่ออกมาละ” หญิงสาวก้าวเข้าไปสมทบหนุ่มรุ่นน้อง หลังจากกดไปหลายครั้งก็ไม่มีใครก้าวออกมาจากตัวบ้านสักคน ถ้าจะบอกว่าไม่มีคนอยู่คงเป็นไปได้ไม่ได้ เพราะคงไม่มีออกจากบ้านไปโดยไม่ปิดล็อกรั้วกันหรอก

“คุณอากิระคะ...ป้าศรี มีใครอยู่บ้านไหมคะ น้ำหวานกับทิวมาหาค่ะ” ตะโกนเข้าไปในบ้าน ทั้งคู่มองหน้ากันด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เริ่มเห็นเค้าลางความผิดปกติ

“คุณอากิระคะ คุณอากิระ” ลองตะโกนเรียกอีกครั้ง คราวนี้เพิ่มความดังขึ้นอีกแบบไม่เกรงใจบ้านใกล้เคียง เพราะแถบนี้มีแต่ครอบครัวที่ทำงานนอกบ้าน เวลานี้จึงไม่มีใครอยู่

ระหว่างกำลังปรึกษากันว่าจะเอาอย่างไรนั้น เสียงราวกับข้าวของตกแตกก็เรียกความสนใจทั้งคู่ และเมื่อเงี่ยหูฟังแล้วยังมีเสียงโต้เถียงกันดังมาจากภายใน แต่เพราะมันไม่ใช่ภาษาประจำชาติจึงไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเนื้อหานั้นเป็นอย่างไร แต่แค่นั้นก็เพียงพอให้ผู้มาเยือนตีความสถานการณ์ในแง่ร้ายได้ไม่ยาก ไม่ต้องเสียเวลาคิดอีกชเลรัศดิ์หันมาสั่งหนุ่มรุ่นน้องอย่างรวดเร็ว

“ทิว! กลับไปที่ร้านแล้วบอกโอนเนอร์ว่าเกิดเรื่องกับคุณอากิระ รีบไปเร็วพี่จะคอยดูสถานการณ์ที่นี่เอง” ไม่ต้องให้บอกซ้ำหนุ่มน้อยก็รีบปั่นจักรยานวกกลับไปทันที ทิ้งสาวรุ่นพี่ไว้เบื้องหลังเพราะรู้ดีกว่าหากสลับกันแล้วมีอะไรเกิดขึ้นเขาเองคงไม่มีสติพอที่จะช่วยอะไรได้

เมื่อถึงร้านทิวกระโดดลงจากจักรยานปล่อยให้มันล้มลงกระแทกพื้นโดยไม่สนใจ รีบวิ่งเข้าไปในร้านโดยไม่สนใจว่าจะมีลูกค้ารอบเย็นอยู่ในนั้นแล้วสองสามคน เพราะคนเดียวที่เขาสนใจตอนนี้คือเจ้าของร้านหนุ่มที่อยู่หลังเคาน์เตอร์

“อะ โอนเนอร์ฮะ...แย่แล้ว...คุณ...อากิระฮะ...” คนตัวเล็กหอบหายใจ ถึงจะปั่นจักรยานมาแต่เพราะเป็นคนไม่ออกกำลังกายมาแต่ไหนแต่ไรระยะทางจากท้ายซอยมาถึงปากซอยจึงดูยาวไกลกว่าที่เป็น

ไม่ต้องรอให้อธิบายอะไรมากกว่านี้ แค่ชื่อในประโยคก็เพียงพอให้แอรอนออกวิ่งได้แล้ว นั่นยังไม่นับสีหน้าซีดเผือดและแววตาร้อนรนของทิว

“พี่วัฒน์ฮะ ตามโอนเนอร์ไปสิฮะ...ทิว...ได้ยินเสียงคนตั้งหลายคน โอนเนอร์คนเดียวไม่ไหวหรอกฮะ” คนตัวเล็กปราดเข้าไปหาพี่ชายอีกคน ศิวัฒน์ขมวดคิ้วก่อนจะรีบวางถาดในมือแล้วตามเจ้าของร้านไปติดๆ เหลือทิ้งไว้แต่คนอายุน้อยที่สุดซึ่งได้แต่ยืนละล้าละหลัง ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อดี

“มีอะไรกันทิว” ราวกับเสียงสวรรค์มาโปรด ทิวหันขวับไปยังทิศทางของเสียงบริเวณประตูเชื่อมครัว ชายหนุ่มในชุดสีขาวยืนทำหน้านิ่วเพราะไดยินเสียงโครมครามดังไปถึงในครัว

“คุณซัน!”


230

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณคับ มาต่ออีกนะคับ ค้าง....

Lady Eowyn

  • บุคคลทั่วไป
...3...

“โอนเนอร์!” ชเลรัศดิ์ร้องเรียกเจ้านายด้วยความดีใจ รีบบอกสถานการณ์ทันที “หวานได้ยินเสียงคนมาจากข้างใน มีเสียงของแตกด้วย...” ยังพูดไม่ทันจบเสียงคล้ายของหนักๆ กระแทกพื้นก็ดังแว่วมาให้ได้ยิน ไม่รอช้าแอรอนวิ่งผ่านประตูรั้วที่เปิดทิ้งไว้ตรงไปยังตัวบ้าน ไม่รู้ว่ามีแขกหรือเปล่าประตูบ้านและห้องรับแขกถึงได้เปิดโล่งแบบนี้ ยิ่งเข้าใกล้ห้องรับแขกเขาก็ได้ยินเสียงทุ่มเถียงเป็นภาษาญี่ปุ่นชัดเจนขึ้นตามลำดับ

เมื่อถึงหน้าประตูทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยตวาดเสียงดังอย่างไม่เคยได้ยินมาก่อน ชายหนุ่มพาร่างสูงใหญ่ของตัวเองพุ่งเข้าไปในห้อง ภาพที่ปรากฏให้เห็นคือชายสวมชุดสูทสามคนอยู่ภายใน ข้าวของหลายชิ้นตกอยู่บนพื้นรวมทั้งแจกันดอกไม้ที่หล่นแตก ท่าทีคุกคามเจ้าของบ้านที่กำลังแสดงสีหน้าโกรธเกรี้ยวอย่างเห็นได้ชัด แต่ที่ทำให้แอรอนรู้สึกโกรธจนหูอื้อคือหนึ่งในสามคนนั้นกำลังบีบท่อนแขนเรียวใต้ยูกาตะไว้แน่นโดยไม่สนใจสักนิดว่ามันจะสร้างความเจ็บปวดให้กับเจ้าของร่างอย่างไร

คนในบ้านตกใจกับการปรากฏตัวอย่างเหนือความคาดหมายของแขกที่ไม่ได้รับเชิญ แต่ก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเพราะเสี้ยววินาทีต่อมาร่างสูงใหญ่ในชุดสีดำและผ้ากันเปื้อนสีเดียวกันนั้นก็เข้ามาประชิดตัว มือที่บีบต้นแขนอากิระต้องคลายออกเนื่องจากแขนอีกข้างนั้นถูกจับบิดไปด้านหลังอย่างแรงจนต้องเผลอส่งเสียงร้องโอดโอย ชายหนุ่มออกแรงอีกนิดแล้วเหวี่ยงร่างนั้นออกไป ชายในชุดสูทอีกสองคนรีบเข้ามาช่วยพวกเดียวกัน

“หยุดอยู่แค่นั้นแหละ! ถ้าลองก้าวเข้ามาอีกก้าวรับรองว่าพวกคุณจะไม่ได้กลับไปครบสามสิบสองแน่” หนุ่มลูกครึ่งฝรั่งเศสประกาศเสียงกร้าวเป็นภาษาอังกฤษ ดวงตาคมกริบดุดันนั้นแฝงไว้ด้วยความเย็นเหยียบ คนที่ผ่านอะไรมาเยอะย่อมรู้ดีว่ามันเป็นแววตาของคนที่พูดออกมาแล้วสามารถทำได้อย่างที่พูดจริงๆ ไม่ว่าจะด้วยอำนาจด้านใดก็แล้วแต่

“นี่เป็นเรื่องภายในตระกูลฟุจิวาตะ คนนอกอย่างคุณไม่ควรเข้ามายุ่ง”

“ไม่คิดเลยว่าตระกูลเก่าแก่และถือเป็นตระกูลนักรบอย่างฟุจิวาตะ จะไร้คุณธรรมแถมหน้าไม่อายขนาดยกคนหลายคนมาทำร้ายคนไม่มีทางสู้ นั่นยังไม่นับว่าคนคนนั้นใช้นามสกุลเดียวกันด้วย” แอรอนเหยียดยิ้ม สายตาหมิ่นแคลนจนคนถูกมองรู้สึกหน้าชา

“รีบออกไปให้พ้น แล้วอย่าได้คิดเสนอหน้ามาให้เห็นอีก ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือน”

ถ้อยคำนั้นอาจจะไม่มีผลใดๆ ถ้าคนพูดเป็นคนอื่น แต่เพราะคนพูดคือแอรอน ถึงแม้จะสวมเสื้อผ้าธรรมดาแถมยังคาดผ้ากันเปื้อนแต่บรรยากาศรอบตัวก็ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่จะสามารถเมินเฉยต่อคำพูดได้ ใช้เวลาคิดไม่นานพวกเขาก็ตัดสินใจถอยไม่วายฝากถ้อยคำทิ้งท้ายเป็นภาษาญี่ปุ่นให้เจ้าของบ้านรับรู้เพียงคนเดียว

ร่างสูงหันไปมองหน้าคนที่กำลังยืนเม้มปากจนเป็นเส้นตรง มือเรียวกำเข้าหากันแน่น ดวงตาสีดำสนิทที่เคยสงบนิ่งยามนี้สั่นระริก ใบหน้าขาวเผือดสีลงอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มขยับเข้าไปใกล้ร่างโปร่งบางแล้วพยักเพยิดกับผู้หญิงคนเดียวในห้องตอนนี้

“หวาน กลับไปดูที่ร้านไป แล้วป้าศรีละวัฒน์เห็นไหม” หันไปถามลูกจ้างหน้าตายที่ตามมาสมทบและยืนคุมเชิงให้ที่ประตู

“อยู่ในครัวครับ” แค่เห็นแขกอากิระก็บอกให้ป้าศรีเข้าไปอยู่ในครัวเพราะไม่อยากให้แม่บ้านของเขาต้องได้รับอันตราย การให้ออกไปจากบ้านก็จะทำให้ถูกพุ่งเป้าหมายเสียเปล่าๆ จึงให้แอบอยู่เงียบๆ ดีกว่า

“ไปส่งป้าศรีที่บ้านแล้วก็กลับไปที่ร้านเลยนะ” คนฟังพยักหน้ารับคำแล้วหันหลังเดินเข้าไปในครัวเพื่อปลอบแม่บ้านคนเก่ง

“ขอบคุณมาก คุณเองก็กลับไปเถอะ” เมื่อทุกคนแยกย้ายกันไปเรียบร้อยแล้วอากิระก็เอ่ยขึ้น เขารู้สึกขอบคุณชายหนุ่มจากใจจริง เพราะหากแอรอนไม่เข้ามาป่านนี้ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง

“จะไม่บอกผมเหรอว่าคนพวกนั้นเป็นใครแล้วต้องการอะไรจากอากิระซัง” แอรอนถามเสียงเบา น้ำเสียงอ่อนโยนจนคนฟังต้องเบี่ยงตัวไปเก็บของที่หล่นบนพื้น

“ไม่มีอะไร พวกนั้นคงไม่ย้อนกลับมาเร็วๆ นี้หรอก คุณกลับไปเถอะ...ขอบคุณอีกครั้งที่มาช่วย” บอกปัดแล้วก้มเก็บหนังสือหลายเล่มวางกลับไว้บนโต๊ะหน้าโซฟา แล้วยืดตัวขึ้นก้มศีรษะลงเพื่อแสดงความขอบคุณอย่างจริงจัง ท่าทางแบบนั้นทำให้ร่างสูงไม่อยากเซ้าซี้เมื่อเจ้าตัวไม่อยากบอกอะไรและไม่ต้องการให้เขาอยู่เป็นเพื่อน ชายหนุ่มจึงถอยออกไปเงียบๆ

เสียงฝีเท้าห่างออกไปแล้วขณะอากิระย่อตัวลงไปเก็บเศษแจกันดอกไม้บนพื้น เมื่อความเงียบงันเข้าปกคลุมความเข้มแข็งที่เพียรพยายามสร้างเพื่อไม่ให้ใครเห็นความอ่อนแอก็เริ่มพังทลาย ไหล่บางงองุ้ม ร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน ภาพเศษแจกันในมือพร่าเลือนลงเรื่อยๆ เมื่อดวงตาถูกกลบด้วยน้ำใสซึ่งเอ่อคลอครอง เสียงสะอื้นแผ่วเบานั้นสะเทือนใจยิ่งกว่าเสียงกรีดร้องหรือการปล่อยโฮออกมาดังๆ เสียอีก...เพราะมันอาจจะหมายความว่าความโศกเศร้านั้นฝังอยู่ลึกเกินกว่าใครจะรู้ได้

ดูเหมือนเขาจะขอมากเกินไป...ความสุขและรอยยิ้มเขาคงขอมากเกินไปสินะ?

ไม่รู้เพราะแรงสะอื้นหรือเศษกระเบื้องที่แตกนั้นคมเกินไปกันแน่ คมกระเบื้องถึงได้กรีดผ่านผิวหนังได้อย่างง่ายดายนัก เลือดสีเข้มไหลซึมออกจากปากแผลบนผ่ามือ หากอากิระกลับไม่รู้สึกว่ามันเจ็บสักนิด เขามีส่วนที่เจ็บยิ่งกว่านั้นมาก หยดน้ำตาหยดลงบนแผล มันควรจะแสบเพราะความเค็มของน้ำตาแต่เขากลับคิดว่าหัวใจเขาเจ็บแสบยิ่งกว่า...หลายเท่าตัวนัก

“ว่าแล้วว่าต้องแอบร้องไห้...อากิระ!” คนที่คิดว่ากลับไปแล้วความจริงคือยังไม่ไปไหน แอรอนรอให้กำแพงความเข้มแข็งพังลงเสียก่อน แต่ไม่คิดว่าเมื่อมันพังทลายลงแล้วยังสร้างบาดแผลทางกายนอกเหนือจากจิตใจให้ด้วย ชายหนุ่มเผลอผรุสวาทหยาบคายเป็นภาษาฝรั่งเศสขณะสาวเท้าเข้าไปหาร่างโปร่งบางบนพื้นข้างโซฟา

“พอแล้วอากิระ วางเศษกระเบื้องพวกนั้นลง” มือหนาจับมือเรียวบางพลิกเพื่อเทเอาเศษกระเบื้องบนฝ่ามือนั้นทิ้งไป แล้วออกแรงรั้งร่างนั้นให้ลุกขึ้นเพื่อพาไปยังห้องครัว เขาเปิดน้ำให้ไหลผ่านแผลก่อนจะผละไปยังตู้ยาที่สังเกตเห็นได้อย่างง่ายดายและหยิบกล่องปฐมพยาบาลติดมือมา

แอรอนออกแรงยกร่างโปร่งบางสมส่วนหากความจริงแล้วน้ำหนักเบากว่าที่คิดขึ้นไปบนเคาน์เตอร์ จัดการห้ามเลือด ฆ่าเชื้อและทายา ก่อนจะใช้ผ้าพันแผลให้อย่างเบามือ ระหว่างการทำแผลเขาไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ปล่อยให้คนเจ็บตัวนั่งสะอื้นเงียบๆ เมื่อทำแผลเสร็จก็เอากล่องยาไปเก็บแล้วหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดไปเก็บเศษแจกันในห้องรับแขกจนเรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับเข้ามาในห้องครัว ล้างมือและเช็ดจนแห้งก่อนจะเดินกลับมาหยุดตรงหน้าคนที่ยังร้องไห้ไม่หยุด

แอรอนมองหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นในแบบที่เขาไม่เคยได้สัมผัส เปราะบางราวกับแก้วที่เพียงแค่แตะก็อาจจะแตกหัก ไม่ได้งดงาม เข้มแข็งและเข้าถึงยากอย่างที่เขาเห็นมาเกือบสองปี ไม่ใช่คนที่เพิ่งเปิดประตูรับเขาเข้าไปในอาณาเขตและโลกส่วนตัว เผยสีหน้าและอารมณ์ให้เห็นเพียงสัปดาห์เดียวก่อนหน้านี้...เป็นตัวตนที่เจ้าของพยายามเก็บซ่อนและปิดปังไม่ให้ใครเห็น

ร่างสูงยกมือซ้ายขึ้นประคองใบหน้าแล้วใช้นิ้วมืออีกข้างเกลี่ยน้ำตาบนแก้มเนียน แผ่วเบาและอ่อนโยน ปลอบประโลมด้วยไออุ่น แต่แม้จะเพียรเช็คน้ำตานั้นแค่ไหนแต่ถ้าเจ้าของใบหน้ายังไม่หยุดร้องไห้สุดท้ายพวงแก้มก็เปรอะเปื้อนไปด้วยหยดน้ำแห่งความโศกเศร้าอยู่ดี

“อากิระ หยุดร้องไห้เถอะนะ” เสียงทุ้มนุ่มกระซิบปลอบ “อากิระ...อากิ...” เขาเรียกชื่อซ้ำๆ ให้เจ้าของตั้งสติแต่ดูเหมือนมันจะได้ผลตรงข้าม เพราะทันทีที่เขาเรียกชื่อสุดท้ายที่ไม่เต็มออกไป น้ำตาที่ใกล้จะเหือดแห้งก็ไหลทะลักออกมาอีก ดวงตาสีดำสะท้อนความเจ็บปวดจนคนมองเจ็บร้าวไปทั้งใจ ชายหนุ่มหลับตาลงแล้วดึงร่างบอบบางนั้นเข้ามากอดแนบอก เสียงสะอื้นค่อยๆ ดังขึ้นอีกครั้ง ไม่เพียงเท่านั้นชายหนุ่มยังได้ยินเสียงราวกับกรีดร้องด้วยความอัดอั้นจนต้องกดศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมนุ่มลื่นสีดำนั้นให้แนบกับอกยิ่งขึ้น

“ชู่ อากิ...ไม่เอา อย่ากำมือแบบนั้น เดี๋ยวเลือดจะไหลออกมาอีก” แอรอนดึงมือที่เขาเพิ่งพันแผลให้ออกจากเสื้อของเขาแล้วจับประครองไว้ เขารู้ว่าอากิระต้องการหลักยึดเหนี่ยวแต่หากปล่อยให้ทำอย่างนั้นปากแผลจะเปิด เลือดซึ่งหยุดไหลไปไม่นานจะไหลออกมาอีก

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เสียงสะอื้นและแรงสั่นจากร่างในอ้อมแขนค่อยๆ เบาลงและหยุดลงในที่สุด เมื่อเห็นว่าดีขึ้นมากแล้วแอรอนจึงคลายอ้อมกอดออกช้าๆ เพื่อไม่ให้คนตัวเล็กกว่ารู้สึกเหมือนเสียหลักยึดเหนี่ยว ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตหยิบผ้าเช็ดหน้าสีเข้มออกมา เสื้อเชิ้ตสีดำของเขาเปียกชุ่มเป็นวงกว้าง ร่างสูงผละไปเปิดน้ำแล้วชุบผ้าเช็ดหน้าเนื้อนุ่มจนหมาดน้ำ เช็ดหน้าเช็ดตามอมแมมจนกลับมาสะอาดสะอ้านอีกครั้ง

“หิวไหมครับ เย็นมากแล้วอยากทานอะไรไหม” ถามเสียงอ่อน นิ้วมืออุ่นแตะแผ่วเบาใต้ตาบวมช้ำจากการร้องไห้อย่างหนัก แต่ดูเหมือนการทำอย่างนั้นจะส่งเสริมให้ทำนบอันเปราะบางทำท่าจะแตกร้าวอีก “โอ๊ะ ไม่เอาแล้วครับ ไม่ร้องไห้แล้ว ทำไมยิ่งปลอบยิ่งร้องละ ผมทำอะไรไม่ดีเหรอ หือ?”

“ว่าไงครับอากิ...อากิจัง” ล้อเลียนด้วยชื่อหวังว่าได้รับค้อนคมๆ สักอันสองอัน ปรากฏว่ากลายเป็นน้ำตาอีกหยดแทนเสียอย่างนั้น

“อย่า...เรียก แบบนั้นนะ” เสียงนุ่มนวลหวานหูแหบพร่าและสั่นเครืออย่างที่ไม่เคยได้ยิน...และเขาหวังว่าจะไม่ได้ยินอีก เพราะนั่นหมายถึงว่าเจ้าของเสียงจะต้องร้องไห้ราวกับจะขาดใจเหมือนเมื่อครู่

“ทำไมครับ ไม่ชอบเหรอ ไม่ชอบให้เรียกอากิ หรือว่าอากิจัง” ถามเสียงอ่อนโยนขณะไล้นิ้วไปบนหลังมือช้าๆ เป็นการช่วยให้ผ่อนคลายและปลอบโยน

“อากิ อากิจัง...โอกาซามะ...ท่านแม่เคยเรียกแบบนั้น” แววตาโหยหาคิดถึงนั้นทำให้ชายหนุ่มยกมืออีกข้างขึ้นวางบนศีรษะอีกฝ่ายแผ่วเบา คำว่า ‘เคย’ หมายถึงว่าตอนนี้ไม่เรียกแล้ว หรืออีกนัยหนึ่งอาจจะหมายถึงไม่สามารถเรียกได้อีก

“งั้นผมไม่เรียกอากิจัง แต่เรียกอากิได้ไหม เรียกได้หรือเปล่าหรือว่าไม่ชอบ”

ร่างบางส่ายศีรษะแล้วเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาอ่อนโยนที่มองอยู่ก่อนแล้ว เป็นเพราะเขาไม่เคยสบตรงๆ กับดวงตาคู่นี้มาก่อนหรือแค่ต้องการปลอบเขากันแน่ เหตุใดยามที่ทอดมองเขามันถึงได้อ่อนโยนและอบอุ่นแบบนี้ ที่ผ่านมาทำไมเขาได้เห็นแค่สายตาหยอกเย้าเห็นขันกันละ

“ตกลงเดี๋ยวผมทำอะไรให้ทานนะ เอาเป็นซุปแล้วกันจะได้อุ่นท้อง นั่งอยู่ตรงนี้นะครับอย่าซนละ” ว่าจบก็หันหลังไปค้นตู้เย็นว่าพอมีอะไรให้เขาสามารถนำมาทำได้บ้าง ถ้าเป็นเวลาปกติคงจะได้เห็นค้อนคมๆ หรือไม่ก็ได้ยินถ้อยคำเชือดเฉือนตอกกลับมาแล้ว แต่เพราะวันนี้ไม่ใช่เวลาปกติคนที่ถูกเตือนไม่ให้ซนเลยทำเพียงนั่งนิ่งมองร่างสูงใหญ่หยิบจับข้าวของในครัวของเขา อาจจะสะดุดบ้างเพราะไม่คุ้นเคยว่าอะไรอยู่ตรงไหนแต่ท่าทางการทำอาหารก็คล่องแคล่วดูคุ้นชินกับงานในครัวไม่น้อย

ไม่นานเกินรอซุปในหม้อก็ส่งกลิ่นเตะจมูกจนคนที่ไม่รู้สึกอยากอาหารหิวขึ้นมาทันที อึดใจต่อมาแอรอนก็ตักซุปใส่ถ้วยแล้วยกมาวางก่อนจะเดินไปยกเก้าอี้ที่ห้องอาหารมาตั้งข้างเคาน์เตอร์ในครัว รินน้ำอุ่นใส่แก้ววางไว้ข้างกัน

“มาทานเถอะครับเดี่ยวมันจะเย็น” ร่างสูงยืนยิ้มอยู่หลังเก้าอี้ อากิระขยับตัวลงจากเคาน์เตอร์เดินไปนั่งบนเก้าอี้ “มือเจ็บ ผมป้อนไหมครับ” แววตาหยอกเย้ากลับมาอีกแล้ว แต่คราวนี้คนมองกลับรู้สึกว่านอกจากนั้นแล้วมันยังแฝงไปด้วยความอ่อนโยนไม่ได้เลือนหายไปไหน

“มีแผลข้างซ้าย ผมขนัดขวา” แผลใหญ่ที่สุดอยู่บนผ่ามือและโคนนิ้วข้างซ้าย ข้างขวาถึงจะมีแผลบ้างแต่ก็เป็นแค่เล็กๆ ที่ปลายนิ้วเท่านั้น

“โอเคครับ ในตู้เย็นมีแอปเปิ้ลเดี๋ยวผมปอกไว้ให้นะ” ยิ้มขำแล้วหันไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบแอปเปิ้ลออกมาหั่นปอกใส่จานแช่ในเกลือไว้ครู่หนึ่งไม่ให้เนื้อดำเมื่อถูกอากาศแล้วนำไปวางไว้ข้างหน้าให้ “อยากเล่าอะไรไหมครับ” ชายหนุ่มถามขณะเก็บถ้วยซุปว่างเปล่าแล้วเลื่อนจานผลไม้ไปใกล้

มือที่กำลังเอื้อมไปหยิบส้อมชะงักถูกชักกลับมาวางบนตักแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนถาม รอยยิ้มและแววตาอ่อนโยนที่มองมาทำให้อากิระเต็มตื้นอย่างประหลาด ถึงแม้ว่าจะได้ร้องไห้ออกมาอย่างหนักแบบที่ได้ทำครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ยังจำไม่ได้ไปแล้ว แต่คนเราหากมีความทุกข์การเก็บความทุกข์นั้นไว้โดยไม่ระบายออกมายิ่งทำให้เราเป็นทุกข์ยิ่งขึ้น ฉะนั้นการระบายให้ใครบางคนได้รับฟังจึงถือเป็นการช่วยผ่อนความทุกข์ในใจให้เบาบางลงได้บ้าง


อีกตอนอย่างว่องไว อิอิ พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ  :bye2:

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
เกิดอะไรขึ้นกับอากินะ จริงจริงแล้วแอรอนเป็นมาเฟียป่าวนิ อิอิ

ออฟไลน์ bleach_pa

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 255
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
อากิจังดูมีความหลังอะไรอยู่เนี้ย
แล้วแอรอนโอเนอร์ของเราดูเก่งกาจเกินเจ้าของร้านกาแฟน่าสงสัยจริงๆ
(เห็นด้วยกันรีบน เคยเป็นมาเฟียมาก่อนรึเปล่าเนี้ย?)
มาต่อไวๆนะ ทิ้งไว้ให้คนอ่านสงสัยนานๆมันไม่ดีนะ  :serius2:
เป็นกำลังใจให้คนแต่ง สู้ๆนะ  :กอด1:

Lady Eowyn

  • บุคคลทั่วไป
...4...

“มานี่เถอะครับ” แอรอนรั้งร่างโปร่งบางขึ้นยืนและยกขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์อีกครั้ง การกระทำแบบไม่ทันให้ตั้งตัวดังกล่าวทำให้คนตัวเล็กกว่าปั้นหน้าไม่ถูก ก้ำกึ่งระหว่างความตกใจ สับสนและขัดเขิน “ผมรอฟังอยู่นะ” ร่างสูงดึงเก้าอี้มานั่งตรงหน้าทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี

“คนพวกนั้น...เป็นคนของฟุจิวาตะ อายาโนะ ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของฟุจิวาตะ เรียวทาโร่...พ่อของผม” หนุ่มร่างบางเริ่มเรื่อง ดวงตาหลุบต่ำเพื่อซ่อนรอยรื้นของน้ำตา “ท่านแม่เป็นผู้หญิงไทยที่ไปเรียนต่อปริญญาโทที่นั่นแล้วก็ได้เจอกับผู้ชายคนนั้น...ท่านเป็นคนสวยมีผู้ชายหลายคนเข้ามาจีบแต่ท่านก็เลือกผู้ชายคนนั้น ผู้ชายที่มีคู่หมั้นอยู่แล้วซึ่งเขาไม่เคยบอกท่านแม่เลยว่าตัวเองต้องแต่งงานกับผู้หญิงอีกคนและไม่สามารถยกย่องท่านได้...ท่านแม่รู้ว่าเขาจะต้องแต่งงานตอนที่ตั้งท้องผมแล้ว...ผู้หญิงไทยแสนดีแบบนี้ทุกคนเหรอ ทำไมถึงได้ยอมหลบซ่อนเพียงแค่ได้รับความรักที่เชื่อถือไม่ได้จากผู้ชายคนหนึ่ง” ถามออกไปลอยๆ แบบไม่ต้องการคำตอบ อากิระเคยถามคำถามนี้กับผู้เป็นมารดาเมื่อนานมาแล้ว แต่ท่านเพียงยิ้มเศร้าแล้วตอบว่า

‘เพราะรักยังไงละอากิ เพราะรักเราถึงยอมทุกอย่าง เมื่อถึงวันที่ลูกเจอคนที่ลูกรักจนหมดหัวใจ ไม่ว่าอะไรลูกก็สามารถยอมทำเพื่อเขาได้ทั้งนั้น’ เขาไม่เคยเข้าใจและไม่คิดจะเข้าใจ เพราะหากรักแล้วต้องยอมทุกอย่างแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่คิดให้หัวใจกลับมา แล้วเราจะทนเพื่อความรักแบบนั้นเพื่ออะไร

“ท่านแม่ยอมเป็น...ภาษาไทยเรียกว่าอะไรนะ อ้อ ภรรยาเก็บ หลบซ่อนและรอคอยผู้ชายคนนั้นมาหาอย่างอดทน สองปีต่อมาหลังแต่งงาน ฟุจิวาตะ อายาโนะ ก็ตั้งท้องลูกชายหญิงฝาแฝด...น่าขำ ที่นับตั้งแต่นั้นผู้ชายคนนั้นก็แทบไม่เคยโผล่หน้ามาพบท่านแม่อีกเลย มีแต่เงินที่โอนเข้าบัญชีทุกเดือน” เสียงนุ่มหวานนั้นเริ่มสั่นเครือ แอรอนวางมือทับลงบนมือบางแล้วไล้นิ้วโป้งไปบนหลังมือเบาๆ “และในที่สุดเมื่อผมอายุครบสิบห้าก็เริ่มส่งงานเขียนของตัวเองไปตามสำนักพิมพ์แล้วก็ได้ตีพิมพ์ ตั้งแต่นั้นผมก็ไม่เคยเอาเงินในบัญชีนั้นมาใช้อีกแม้แต่เยนเดียว สองปีต่อมาวันที่ผมเรียนจบชั้นม.ปลายและสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ หลังรู้ผลสอบผมก็รีบกลับบ้านไปบอกข่าวดีกับท่านแม่ แต่ผมพบว่าท่านกำลังร้องไห้อย่างทรมาน ท่านเข้ามากอดผมแล้วบอกว่าผู้ชายคนนั้นตายแล้ว ตายด้วยโรคมะเร็งปอด...”

“ใครจะสนว่าผู้ชายคนนั้นตายแล้ว แต่ที่ผมเสียใจคือการที่ต้องเห็นน้ำตามากมายของท่านแม่” อากิระหลับตา หูเขายังแว่วได้ยินเสียงสะอื้นไห้ราวกับจะขาดใจของมารดา

“ผมคิดว่าเมื่อผู้ชายคนนั้นตายไปแล้วท่านแม่ก็จะได้หลุดพ้นเสียที กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนั้น ฟุจิวาตะ อายาโนะ รู้เรื่องของผมกับท่านแม่เข้า ตั้งแต่นั้นมาชีวิตของเราสองแม่ลูกก็ไม่เคยสงบสุขเลยสักวัน...ใครจะรู้ว่าอะไรดลใจผู้ชายคนนั้นให้โอนที่ดินยกหุ้นในบริษัทใส่ในชื่อท่านแม่ เป็นสาเหตุให้ผู้หญิงโลภมากคนนั้นตามราวีเรา ท่านแม่ทำเรื่องคืนของพวกนั้นให้หล่อน ยกเว้นอย่างเดียวคือบ้านพักหลักเล็กๆ ที่เป็นสถานที่ในความทรงจำของท่าน แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ยอมยืนกรานจะเอาทั้งหมดให้ได้ จนเมื่อห้าปีก่อน...ท่านแม่ป่วยแล้วก็เสียไป บ้านหลังนั้นจึงตกมาเป็นของผม ใจจริงผมก็อยากจะคืนไปให้มันจบๆ แต่ผมไม่รู้ว่าโฉนดอยู่ที่ไหนทั้งตัวจริงทั้งฉบับคัดลอก เลยทำอะไรไม่ได้”

“คนพวกนั้นมาเพราะเรื่องนี้เหรอ ผ่านมาห้าปีแล้วนะทำไมยังไม่เลิกล้มความตั้งใจอีก” คนตัวโตขมวดคิ้วอย่างสงสัย เช่นเดียวกับคนถูกถาม

“บอกไปไม่รู้กี่ร้อยครั้งแล้วว่าไม่มีโฉนดแต่ก็ไม่เคยฟังเลย ผมรำคาญก็เลยย้ายมาอยู่เมืองไทยเมื่อสองปีก่อน อุตส่าห์ไม่บอกใครที่ญี่ปุ่นยกเว้นบก.ที่ดูแลงานคนเดียว สุดท้ายก็ตามมาเจอจนได้” อากิระชักสีหน้า “น้ำเนาเนอะ ขนาดผมเป็นนักเขียนยังไม่กล้าเขียนเรื่องทำนองนี้เลยนะ รู้สึกว่ามันทุเรศเกินไป...ตลกดีที่มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง” กระตุกริมฝีปากยิ้มหยัน

“อากิ...” เสียงเรียกชื่อที่อ่อนโยนนั้นทำให้หนุ่มร่างบางก้มลงมอง รอยยิ้มราวกับต้องการปลอบประโลมทำให้เขารู้สึกสงบลง “ไปอยู่ที่ร้านนะ ชั้นสามเป็นห้องนอน มีชั้นลอยด้วยนะ เก็บของไปอยู่ที่ร้านผมสักพักเถอะ”

“ไม่เห็นจำเป็นต้องไป รบกวนเปล่าๆ” เม้มปากแน่นเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองอ่อนแอจนต้องพึ่งพาคนอื่น แถมคนคนนั้นยังไม่ได้สนิทสนมกันมากมาย เขาแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวผู้ชายคนนี้เลยด้วยซ้ำ

“อย่าเม้มปากเดี๋ยวเจ็บ” ปรามพร้อมกับใช้นิ้วคลึงเบาๆ สัมผัสนั้นทำให้เจ้าของเรียวบางนิ่งค้าง ดวงตาเบิกกว้างรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ วิ่งผ่านไป “ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะมาอีกเมื่อไหร่จะเรียกว่าไม่จำเป็นได้ยังไง อย่างน้อยๆ ไปอยู่ที่ร้านผมก็ยังอยู่ด้วย ยัยหวาน เจ้าทิว นายวัฒน์ แถมซันก็อยู่ อุ่นใจกว่าเป็นไหนๆ...ไปเถอะ ผมเป็นห่วง”

คนฟังหูอื้อตาลายไปกับประโยคสุดท้าย ดวงตาสีดำสนิทไหววูบ รู้สึกว่ามือที่กำลังเกาะกุมอยู่นั้นอุ่นจนร้อน จึงเผลอตัวชักออกด้วยอาการคล้ายกระตุก

“เรา...ไม่ได้รู้จักกันดีขนาดนั้น”

“งั้นก็ไปสิ จะได้รู้จักกันดียิ่งขึ้น” ร่างสูงกลับมาหยอกเย้าเหมือนเดิมอย่างที่ผ่านมา แต่ไม่รู้ทำไมคนมองกลับเห็นว่ามันแตกต่างออกไปจากที่เคย...ที่แน่ๆ คือมันทำให้หัวใจเขาเต้นผิดจังหวะ 

สุดท้ายแล้วหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นก็เก็บของใส่กระเป๋าตามคนตัวโตราวกับยักษ์ปักหลั่นไปอย่างมึนงง เมื่อแอรอนพาเขาเข้าทางหลังร้านขึ้นบันไดไปยังชั้นสามแล้วจึงได้ตั้งสติถามตัวเองว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ไม่แน่ใจว่าข้าวของในกระเป๋ากับโน้ตบุ้คที่เจ้าของบ้านหิ้วมานั้นตัวเองเป็นคนหยิบหรือคนถือมาเป็นคนหยิบกันแน่

“อากินอนห้องนี้นะ ห้องผมอยู่ตรงข้าม ผมทำความสะอาดประจำเพราะเวลาเบื่อๆ ก็เปลี่ยนห้องนอน” ขึ้นบันไดมาถึงชั้นสามก็พบกับห้องกว้างที่รวมทั้งห้องนั่งเล่น ห้องรับแขกและห้องทำงานอยู่ด้วยกันในห้องเดียว แถมยังมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกด้านปากท้องจำพวกเครื่องชงกาแฟขนาดเล็ก ไมโครเวฟและตู้เย็น เผื่อเวลาเจ้าของบ้านรู้สึกเกียจคร้านเดินลงไปชั้นล่าง และเมื่อเดินเข้าไปสุดก็พบห้องนอนสองห้อง ห้องด้านที่อยู่ฝั่งหน้าอาคารเป็นของเจ้าของบ้าน ส่วนห้องที่ร่างสูงเปิดเข้ามาแล้วเอากระเป๋าเขาวางลงเป็นห้องฝั่งหลังอาคาร

“ห้องน้ำมีห้องเดียวนะครับ อยู่ข้างนอกอาจจะไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ ขั้นลอยก็ขึ้นได้นะ ผมจัดสวนไว้พักผ่อน อากิน่าจะชอบเพราะเห็นชอบนั่งมองสวนข้างร้าน ที่บ้านก็มีสวนด้วยนี่”

“ขอบคุณ” ร่างบางหลบตาทำทีว่าเปิดกระเป๋าเพื่อจัดเสื้อผ้าเข้าตู้ แต่จะเรียกว่าจัดคงไม่ถูกนักเรียกว่าหยิบขึ้นมาแขวนน่าจะถูกกว่า เพราะทุกชิ้นล้วนเป็นยูกาตะและโอบิทั้งนั้น

“ไม่ใส่เสื้อผ้าอย่างอื่นจริงๆ ด้วยสินะครับ มีแต่กิโมโนเหรอ” เดินเข้าไปช่วยแขวน ยูกาตะก็คือกิโมโนแบบบางและน้อยชิ้นกว่าสำหรับใส่ในหน้าร้อน เมืองไทยเป็นเมืองร้อน แถมยังร้อนทั้งปีอีกต่างหาก หน้าหนาวแค่สวมเสื้อคลุมทับก็อยู่ได้สบาย

“ก็...มันสบายดี ชินแล้วด้วย”

“แสดงว่าตอนที่อยู่ญี่ปุ่นก็ใส่ตลอดเลยเหรอครับ”

“ตั้งแต่จำความได้ เพราะท่านแม่ชอบ บอกว่าน่ารัก มีแค่ตอนไปเรียนที่ใส่เครื่องแบบ” นิ้วเรียวไล้เนื้อผ้าลื่นมือก่อนจะได้สติว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียว แต่เมื่อหันกลับไปก็พบรอยยิ้มอ่อนโยน “ไม่...ไม่ไปดูร้านเหรอ” 

“ไม่ลงไปแล้วครับ ที่เหลือให้พวกยัยหวานจัดการ สามคนสบายอยู่แล้ว ไม่สิ สองคนก็สบายเพราะเดี๋ยวทิวต้องเข้าไปช่วยซันเตรียมของในครัวสำหรับพรุ่งนี้”

“งั้นยิ่งต้องไปช่วย ผมจะไปอาบน้ำแล้ว รู้สึกปวดหัวอยากนอนพัก” เบี่ยงตัวไปหยิบเครื่องใช้ส่วนตัวแต่ถูกรั้งเอาไว้ก่อน

“ปวดมากไหมครับ ไหนดูสิตัวร้อนหรือเปล่า” มืออุ่นแตะสัมผัสหน้าผากและซอกคอแบบไม่ทันให้ตั้งตัว ”อือ ตัวรุมๆ นะ เดี๋ยวทานยาก่อนนอน แล้วมือเป็นแบบนี้อาบน้ำได้เหรอครับ” นิ่วหน้ามองผ้าพันแผลบนมือเรียว

“ไม่เป็นไร อีกข้างยังโอเค แผลเล็กๆ แค่ติดพลาสเตอร์”

“งั้นรีบอาบนะครับ เดี๋ยวผมจะทำแผลให้ใหม่” พูดพร้อมกับแตะข้อศอกพาไปยงห้องน้ำ “มีอะไรเรียกนะครับ ผมนั่งรออยู่” ไม่ทันได้อ้าปากค้านเจ้าของบ้านก็จัดแจงปิดประตูห้องน้ำให้แล้วเดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาเตรียมไว้

ใช้เวลาไม่นานนักประตูห้องน้ำก็เปิดออก อากิระเดินกลับเข้าห้องเพื่อนำเสื้อผ้าใส่แล้วไปเก็บก่อนจะเดินออกมานั่งบนโซฟาข้างเจ้าของบ้าน แอรอนทำแผลให้ใหม่อย่างเบามือ รวดเร็วและเรียบร้อย เพราะตอนที่มันเป็นแผลใหม่ๆ ตอนนั้นเขาไม่มีสติไตร่ตรองอะไรนักจึงเพิ่งรู้สึกว่าชายหนุ่มดูคล่องแคล่วคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้พอสมควร

“ผมทำแผลเก่งใช่ไหม เมื่อก่อนผมเป็นนักกีฬาน่ะ เล่นแทบทุกอย่าง ทั้งเทนนิส ฟุตบอล บาสเก็ตบอล รักบี้ ศิลปะการป้องกันตัวด้วยนะ มีแผลบ่อย แถมยังต้องทำให้เพื่อนด้วยก็เลยออกจะชำนาญ” เงยหน้าขึ้นยิ้มใส่ตาคนมอง ก่อนจะหยิบยาแก้ฟกช้ำขึ้นมา “ขอดูแขนหน่อยได้ไหมครับ เจ็บหรือเปล่าตอนที่โดนบีบ”

“ไม่เป็นไร ไม่เจ็บหรอก ป่านนี้คงหายแล้ว” โกหกหน้าตาเฉย เพราะตอนอาบน้ำเห็นชัดเจนว่าต้นแขนที่ถูกบีบนั้นช้ำแทบจะเป็นรอยมือ ไม่แคล้วพรุ่งนี้คงเปลี่ยนสีแน่ๆ

“อย่าหลอกกันเสียให้ยากเลยครับ ดึงแขนเสื้อขึ้นให้ผมทายาเถอะ ระวังมันจะปวดเอา” เปิดหลอดยาบีบใส่มือรอเรียบร้อย มีหรือจะปฏิเสธได้อีก แขนยูกาตะถูกรั้งขึ้นจนถึงหัวไหล่ ร่องรอยปรากฏชัดเจนบนผิวขาวนวลเสียจนรอยยิ้มบนใบหน้าคนมองแทบจะเลือนหายไปในทันที “เย็นๆ หน่อยนะครับ” ก้มลงทายาให้อย่างเบามือ ร่างบางร้อนวาบไม่เพียงแต่บริเวณที่ถูกสัมผัสมันยังเลยขึ้นมาถึงใบหน้าด้วย

“เสร็จแล้วครับ ทีนี้ทานยาก่อน” เมื่อยาบนแขนซึมจนหมดแล้วก็หยิบยากับน้ำเปล่าส่งให้ อากิระรับมาพร้อมกับขอบคุณ กินยาอย่างว่าง่าย “เข้านอนเถอะครับ” เก็บกล่องยาแล้วเดินไปส่งหน้าห้อง

“ขอบคุณอีกครั้งสำหรับวันนี้ ขอบคุณมากครับ” หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นโค้งตัว

“นอนเถอะครับ มีอะไรเรียกผมได้...ราตรีสวัสดิ์ครับ”

“ราตรีสวัสดิ์...”

เมื่อส่งแขกเข้านอนแล้วก็ตัดสินใจลงไปช่วยเก็บร้าน ได้รับคำถามมากมายจากลูกจ้างทั้งหลาย แถมยังต้องตอบคำถามเพื่อนสนิทอีก แต่เพราะเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายตะวันฉายจึงเลิกราไปหลังจากยิงคำถามใส่เพียงสองสามคำถามเท่านั้น ผิดกับคู่พี่น้องร่วมโลกลิบลับจนชายหนุ่มแทบอยากจะหาอะไรมาอุดปากให้เงียบ

เกือบเที่ยงคืนกว่าทุกอย่างจะกลับสู่ความสงบ ร่างสูงกลับขึ้นไปชั้นบนเพื่ออาบน้ำเตรียมเข้านอน ก่อนจะกลับห้องก็อดไม่ได้ที่จะถือวิสาสะไขกุญแจเข้าไปอีกห้องหนึ่ง รอให้สายตาคุ้นชินกับความมืดสักครู่แล้วจึงเดินเข้าไปใกล้เตียงนอน ก้มลงมองคนที่กำลังอยู่ในห้วงนิทรา เพราะฤทธิ์ยาหรือความเหนื่อยล้าตลอดทั้งวันก็ไม่อาจรู้ได้จึงทำให้เจ้าของเส้นผมยาวสยายเต็มหมอนนั้นหลับลึกขนาดนี้ แม้ว่าเขาจะแตะหน้าผากเพื่อวัดไข้ยังไม่มีแม้แต่การขยับตัว

“พรุ่งนี้คงได้เห็นคนตาบวมกันละ” ถอนหายใจแผ่วเบา ร้องไห้หนักเสียขนาดนั้นนี่ “ฝันดีครับ อากิจัง”

ชายหนุ่มถอยออกมาจากห้องอย่างแผ่วเบาแล้วหันหลังเปิดประตูเข้าห้องนอนตัวเอง หากแต่เขายังไม่ได้ล้มตัวลงนอน มือหนาคว้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ขึ้นมากดหมายเลข เพียงแค่ยกขึ้นแนบหูปลายสายก็รับแล้วราวกับนั่งรอสายเข้าจากเขาอยู่กระนั้น

“...ครับท่าน ต้องการให้ผมทำอะไรครับ” คำทักทายด้วยความเคารพอย่างสูงเป็นภาษาฝรั่งเศสดังขึ้นก่อนจะถามถึงความต้องการของเขา แอรอนตอบกลับเป็นภาษาเดียวกันด้วยน้ำเสียงที่นอกจากเพื่อนสนิทอย่างตะวันฉายแล้วคนที่รู้จักมักคุ้นกับเขาคงไม่มีใครเคยได้ยิน

“ฉันอยากรู้เรื่องของตระกูลฟุจิวาตะในตอนนี้ ภายในสองวันมันต้องมานอนรอฉัน” น้ำเสียงราบเรียบหากแต่เฉียบขาดเต็มไปด้วยอำนาจอย่างคนคุ้นเคยกับการออกคำสั่งเป็นอย่างดี

“ครับท่าน ผมจะรีบสั่งให้คนของเราที่ญี่ปุ่นหาข้อมูลให้เร็วที่สุดครับ”

“อีกอย่าง รู้เรื่องจากฟรานแล้วใช่ไหม” ดวงตาสีสวยทอประกายประหลาด มันไหวระริกราวกับมีเปลวไฟบรรจุอยู่ภายใน

“ทราบเรื่องแล้วครับ”

“เลติส...อย่าให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก รู้ใช่ไหมว่าพวกนายต้องวางเขาไว้ในตำแหน่งไหน”

“ครับท่าน จะไม่เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองครับ”

“ดี อย่าลืมที่ฉันสั่ง”

“ครับท่าน...ราตรีสวัสดิ์ครับ”

จบการสนทนาเพียงเท่านั้น มือหนาโยนโทรศัพท์เคลื่อนที่ไว้บนโต๊ะหัวเตียงก่อนจะเดินไปปิดไฟ ล้มตัวลงนอนบนเตียงสีเข้มแล้วเอื้อมมือไปปิดโคมไฟหัวเตียง ชายหนุ่มพลิกตัวตะแคงหันหน้าไปทางประตูแล้วจึงหลับตาลง...คืนนี้อาจจะเป็นคืนที่เขาหลับสนิทที่สุดในรอบสองปีเลยก็เป็นได้


เน็ตไม่เอื้อให้อัพเลยค่ะ เสียใจที่มาอัพช้า T^T

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






pattybluet

  • บุคคลทั่วไป
บรรยากาศในเรื่องดูละมุนๆดีนะคะ อ่านแล้วสบายใจดี
ว่าแต่คุณเจ้าของร้านเนี่ยไม่ธรรมดาจริงๆด้วย :o9:

Lady Eowyn

  • บุคคลทั่วไป
...5...

เนื่องจากเป็นคนทำงานตอนกลางคืน เพราะเงียบและสงบกว่าช่วงกลางวันจึงทำให้อากิระมักจะนอนในช่วงเกือบเช้าและตื่นตอนสายค่อนไปเกือบเที่ยง แต่เพราะเมื่อคืนนอนไม่ดึกมากและหลับลึกด้วยฤทธิ์ยารวมถึงความอ่อนล้าทำให้เขาลืมตาตื่นขึ้นมาก่อนเวลาเคารพธงชาติเล็กน้อย ดวงตาสีดำสนิทปรือขึ้นมองเพดานที่ไม่คุ้นเคย ให้เวลาสมองได้ประมวลผลชั่วครู่จึงนึกออกว่าตั้งแต่เมื่อคืนเขาไม่ได้อยู่บ้านตัวเอง แต่เป็นห้องนอนบนชั้นสามของร้านเมซอง คาเฟ่ ต่างหาก มองนาฬิกาบนผนังห้องแล้วค่อยขยับตัวลุกขึ้น เผลอใช้มือยันที่นอนอย่างลืมตัว ใบหน้าเรียวดูหวานกว่าปกติเพราะมีเส้นผมยาวเคลียแก้มนิ่วด้วยความเจ็บ

เขาตวัดขาลงจากเตียงแล้วลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง มือเรียวแหวกผ้าม่านหนาเพื่อมองออกไปข้างนอก สายฝนโปรยปรายลงมาเป็นเม็ดเล็กๆ คือคำตอบว่าทำไมบรรยากาศถึงได้ขมุกขมัวไม่สดใสให้สมกับเป็นยามเช้านัก หนุ่มผมยาวปล่อยมือออกจากผ้าม่านให้มันทิ้งตัวลงตามเดิมแล้วเดินกลับมาพับผ้าห่มเก็บเตียงให้เรียบร้อยค่อยเตรียมยูกาตะตัวใหม่และโอบิวางไว้บนที่นอน เมื่อเรียบร้อยจึงเปิดประตูห้องตรงไปยังห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย

แต่ก่อนจะได้เดินเข้าห้องน้ำสายตาของเขาก็ปะทะเข้ากับกระดาษโน้ตสีแปร๋นใบตู้เย็นซึ่งถัดไปอีกหน่อย ด้วยความสงสัยจึงอดที่จะเปลี่ยนเส้นทางไม่ได้

‘ผมทำข้าวต้มไว้ให้ในหม้อ ตื่นมาอย่าลืมทานนะครับ หรือถ้าอยากได้อะไรก็เดินลงมาข้างล่างก็ได้...ไปทำงานแล้วนะครับ วันนี้ก็จะทำให้เต็มที่ เดี๋ยวจะขึ้นมาหานะ ^^v ’ ด้านล่างยังลงชื่อและเวลาไว้ด้วย

อากิระเดินไปเปิดหม้อสแตนเลสอย่างดีบนเคาน์เตอร์ข้างตู้เย็น ไอร้อนลอยอ้อยอิ่ง ข้าวต้มปลาหอมฉุยท่าทางน่ากินเรียกน้ำย่อยให้เริ่มทำงาน เพราะเวลาที่ระบุไว้ในกระดาษโน้ตคือชั่วโมงที่ผ่านมา แถมหม้อยังเก็บความร้อนได้เป็นอย่างดีจึงทำให้มันยังร้อนเหมือนเพิ่งทำเสร็จได้ไม่นาน ร่างโปร่งบางเผลอยิ้มออกมาบางๆ เมื่อเหลือบไปมองโน้ตอีกครั้ง ชายหนุ่มเรียกสติตัวเองแล้วปิดฝาหม้อพร้อมหุบยิ้ม หันหลังกลับไปยังเป้าหมายเดิมของตัวเอง

เงยหน้ามองตัวเองในกระจกบานใหญ่ในห้องน้ำก็พบว่าดวงตานั้นมีขนาดใหญ่กว่าปกติเล็กน้อย นึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่ามันน่าจะบวมมากกว่านี้ แต่ถึงอย่างนั้นเพราะเป็นคนผิวขาวจึงสังเกตเห็นได้ง่ายหน่อย

หลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยคนผมยาวก็ลังเลใจเล็กน้อยก่อนจะก้าวเท้าลงไปชั้นล่าง ห้องด้านซ้ายมือของตีนบันไดเขาเห็นตะวันฉาย ปาติชิเย่ร์ประจำร้านในชุดสีขาวง่วนอยู่ในครัวซึ่งเป็นอาณาเขตสิทธิ์ขาดของเขาแต่เพียงผู้เดียวแล้วชะโงกหน้ามองผ่านช่องกระจกรูปวงกลมของประตูซึ่งกั้นส่วนร้านกับครัวและห้องเก็บวัตถุดิบอุปกรณ์ด้านตรงข้ามบันไดสู่ชั้นบน ภายในร้านมีลูกค้าอยู่ประปราย แต่ก็เป็นจำนวนมากพอให้พนังงานในร้านมีงานทำ รวมถึงเจ้าของร้านในชุดสีดำหลังเคาน์เตอร์เครื่องดื่มด้วย

เขาตัดสินใจหันหลังเดินกลับขึ้นไปชั้นบน ผ่านชั้นสองของอาคารซึ่งเป็นชั้นที่แบ่งเป็นห้องหลายห้อง ซึ่งเขาไม่แน่ใจว่าห้องเหล่านั้นเอาไว้ทำอะไรกันแน่ เมื่อขึ้นไปถึงชั้นสามก็จัดแจงเปิดตู้หยิบชามช้อนเพื่อตักข้าวต้มเริ่มมื้อเช้าของตัวเอง หลังอาหารเขาลองใช้เครื่องชงกาแฟชงเครื่องดื่มอย่างทุลักทุเลด้วยความไม่คุ้นชิน แถมมันยังออกมาเป็นรสชาติประหลาดอีกต่างหาก ไม่เข้าใจนักว่าเพราะเหตุใดคนตัวโตหลังเคาน์เตอร์เครื่องดื่มข้างล่างถึงได้ชงออกมาได้อร่อยแบบนั้น ถึงจะเคยดื่มกาแฟฝีมือแอรอนแค่ครั้งเดียวก็เถอะ อากิระถอนหายใจแล้วเปลี่ยนไปชงชาที่ตัวเองถนัดในที่สุด

ดวงตาสีดำเหลือบมองนาฬิกาพบว่ามันเป็นช่วงสายมากแล้ว เขาลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าคอมพิวเตอร์พกพาของตัวเองออกมาต่อสายเปิดเครื่อง คงต้องต่ออินเตอร์เน็ตเพื่อจัดการส่งต้นฉบับให้กับโทคิตะ บรรณาธิการที่ดูแลเสียทีหลังจากมันเป็นความตั้งใจตั้งแต่เมื่อวาน หากก่อนจะได้ทำจริงๆ ก็เกิดเรื่องขึ้นมาเสียก่อน

ไฟล์ต้นฉบับถูกส่งออกไปแล้ว นอกจากนั้นเขายังเขียนในอีเมล์ด้วยว่าจะหยุดพักสมองสักเดือนและคงต้องเลื่อนกำหนดการเดินทางกลับไปที่ญี่ปุ่นออกไปก่อนโดยบอกเพียงว่ามีธุระทางนี้ต้องจัดการและอาจจะติดต่อเขาทางโทรศัพท์ไม่ได้ในระยะนี้ ให้เขียนอีเมล์มาแทนเขาจะหมั่นเช็คเรื่อยๆ และช่วงสัปดาห์นี้เขาจะเช็คอีเมล์ทุกวันหากมีปัญหาเรื่องต้นฉบับก็สามารถเมล์มาได้ตลอด หลังจากเคลียร์เรื่องงานเรียบร้อยอากิระก็นั่งไล่เช็คอีเมล์ในกล่องขาเข้าที่คั่งค้างมาหลายสัปดาห์ ใช้เวลาอยู่ร่วมชั่วโมงกว่าจะอ่านและตอบเมล์ที่ไม่ใช่เมล์ขยะหมด ไม่แน่เชื่อว่าการไม่ได้เช็คเพียงแค่ไม่ถึงเดือนจะมีคนส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์มาให้เขาเยอะขนาดนี้ มีทั้งของบรรณาธิการ รุ่นพี่และรุ่นน้องนักเขียนร่วมสำนักพิมพ์ นอกจากนั้นยังมีเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยซึ่งแยกย้ายกันไปทำงานในแวดวงน้ำหมึกในฐานะต่างๆ อีกด้วย

นิ้วเรียวเปิดหน้าต่างเว็บไซด์ใหม่ขึ้นมาพิมพ์ชื่อบล็อกและเว็บบอร์ดซึ่งนักอ่านสร้างขึ้นให้ เมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งเปิดแฟนเพจใหม่ให้ ไว้เป็นที่สำหรับพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันระหว่างนักอ่าน โดยบางครั้งเขาก็เข้าไปตอบด้วย เป็นแนวทางการเก็บข้อมูลและรวบรวมความคิดเห็นของนักอ่านของสำนักพิมพ์อีกทางหนึ่งทีเดียว

ร่างโปร่งบางยกขาขึ้นนั่งชันเข่าบนพื้นพรมนุ่มคล้ายขนสัตว์ หลังพิงโซฟา ใช้โต๊ะกระจกหน้าโซฟาต่างโต๊ะทำงาน อ่านและตอบความเห็นหลังจากห่างหายการเข้ามานับตั้งแต่เริ่มเขียนงานชิ้นใหม่ที่เพิ่งส่งไป ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้เมื่อเสร็จสิ้นก็ปิดหน้าต่างเว็บไซด์นั้นลงก่อนจะถอนหายใจแล้วจ้องพื้นหลังหน้าจอรูปทิวทัศน์ประเทศบ้านเกิดในฤดูกาลต่างๆ ที่เปลี่ยนหมันเวียนตามโปรแกรมที่เขาตั้งไว้

เขาจะทำอย่างไรกับบ้านใหญ่ดี จะมีทางไหนให้คนเหล่านั้นเลิกยุ่งเกี่ยวกับเขาเสียที ไม่เข้าใจสักนิดว่าอยากจะได้อะไรนักหนากับแค่บ้านพักหลังเล็กๆ เนื้อที่ไม่เท่าไหร่ในเมืองชนบท...หรือเขาจะเดินทางไปพบฟุจิวาตะ อายาโนะ แล้วตกลงให้รู้เรื่องเลยดีไหม ร่างโปร่งบางถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า ใช่ว่าเขาจะไม่เคยทำเสียหน่อย หากมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาสักนิด

“เป็นอะไรครับ ถอนหายใจเฮือกๆ มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นข้างหูทำให้คนเหม่อถึงกับสะดุ้งสุดตัว หันขวับไปมองคนที่ปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน หากต้องเบิกตากว้างผงะถอยหลังแทบไม่ทันเมื่อใบหน้าเจ้าของเสียงนั้นอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่เซนติเมตร ด้วยความรีบร้อนจึงเสียหลักเอนไปด้านหลังจนเกือบจะชนเข้ากับขอบโต๊ะกระจกถ้าไม่มีแขนหนาเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อฉุดรั้งไว้

“โอ๊ะ หัวกระแทกหรือเปล่าครับ” แอรอนร้องถามด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าการแกล้งหยอกของเขาเกือบจะทำให้คนตัวเล็กกว่าต้องเจ็บตัว

“มะ ไม่ ไม่ได้เป็นอะไร” อากิระรีบปรับสีหน้าให้กลายเป็นปกติก่อนจะขืนตัวให้เป็นอิสระ ร่างสูงเองก็ไม่ได้ยื้อเอาไว้คลายมือออกเบาๆ ดึงตัวกลับไปแล้วเท้าแขนกับโซฟาหลังจากเมื่อครู่โน้มตัวข้ามโซฟาลงไป “มีอะไรหรือเปล่าถึงได้ขึ้นมา”

ลูกครึ่งฝรั่งเศสเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะชี้นิ้วไปที่นาฬิกาบนผนังห้อง “หันหลังไปดูเวลาสิครับ” คนผมยาวเอี้ยวตัวตามมือ พบว่าตอนนี้เข็มสั้นผ่านเลขสองและเกือบจะแตะเลขสามอยู่รอมร่อ “ไม่ใช่ว่ายังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงหรอกนะครับ...” หยั่งเชิงราวกับรู้ทัน

“ว่าแล้วเชียวว่าต้องลืม ป้าศรีเคยเล่าให้ฟังว่าเจ้านายชอบลืมทานข้าว ทานไม่ครบสามมื้อระวังจะเป็นโรคกระเพาะนะครับ ไม่ใช่ว่าเป็นหรอกนะ...” ความเงียบคือคำตอบ ดวงตาสีสวยหรี่ลงพาลทำให้คนถูกมองรู้สึกเหมือนโดนดุ

“ว่าแล้วเชียว ต่อไปนี้ต้องทานให้ครบสามมื้อแล้วก็ต้องตรงเวลาด้วย จะทานเองหรือจะให้ผมขึ้นมาดูครับ” ฟังจากน้ำเสียงท่าทางคนพูดไม่ได้ล้อเล่นสักนิด ถึงใบหน้าหล่อเหลานั้นจะมีรอยยิ้มประดับอยู่ก็ตาม

“...ช่างผมเถอะ เมื่อก่อนก็ไม่เห็นเป็นอะไร” กระแอมเบาๆ แล้วเถียง บ่ายเบี่ยงเต็มที่ ด้วยความเป็นคนที่เวลามีสมาธิจดจ่อกับงานหรือสิ่งที่สนใจแล้วจะไม่ค่อยเชื่อมโยงกับสิ่งรอบตัว ลืมแม้กระทั่งความหิวหรือความง่วงไปโดยปริยาย ฉะนั้นการจะมากะเกณฑ์ให้เขากินอาหารให้ครบสามมื้อนั้นเป็นเรื่องยากมาก และก็เป็นไปไม่ได้ถ้าจะให้อีกคนขึ้นมาคุม

“ใครจะรู้ละครับว่าจะเป็นอะไรเมื่อไหร่ ตกลงว่าผมจะเตรียมอาหารให้ตอนเจ็ดโมงเช้า แล้วจะขึ้นมาตอนบ่ายโมงตรงแล้วก็หนึ่งทุ่มนะครับ ตามนี้นะ เอาละรีบตาลงมานะครับจะบ่ายสามแล้วเดี๋ยวผมเตรียมชากับขนมไว้ให้” ไม่ฟังคำทัดทานสรุปแล้วก้าวยาวๆ ลงบันไดไปอย่างว่องไวชนิดที่ว่าอากิระยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูด

ร่างโปร่งบางในชุดยูกาตะผุดลุกขึ้นสาวเท้าตามลงบันไดไปเท่าที่ร่างกายซึ่งไม่เคยออกกำลังกายหนักเกินกว่าการเดินจะเอื้ออำนวย “เดี๋ยว ผมยังไม่ได้ตกลงด้วยเลยนะ ทำแบบนี้ก็เหมือนมัดมือ...ชก...” มือเรียวผลักประตูเปิดออกไปหน้าร้าน ตรงไปหาคนตัวโตที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์กอดอกยิ้มกว้างเหมือนกำลังรออยู่

“สวัสดีค่ะ/ฮะ คุณอากิระ” ชเลรัศดิ์และทิวร้องทักด้วยความตื่นเต้น สองพี่น้องร่วมโลกเลือกมองข้ามร่องรอยช้ำและบวมจากการร้องไห้โดยไม่พูดอะไร

รอยยิ้มกว้างรับนั้นทำให้คำพูดต่างๆ ชะงักอยู่แค่ปลายลิ้น เพราะมัวแต่ไล่ตามคนเผด็จการลงมาเลยไม่ทันได้นึกว่าด้านล่างนั้นนอกจากเป้าหมายของเขาแล้วยังมีคนอื่นอยู่อีก

“อะ สวัสดี” อากิระไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดีจึงได้แต่ทักทายกลับ

...เพียงระยะเวลาแค่ไม่กี่วันกำแพงที่เขาเพียรสร้างขึ้นมา บุคลิกอันสุขุมเข้าถึงยากซึ่งเป็นเปลือกนอกเริ่มถูกเปิดเผยต่อใครหลายคน และเพียงแค่ชั่วข้ามคืนมันก็พังทลายลง นำพาผู้ชายที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงมากที่สุดให้เข้ามาใกล้ ตัวตนทุกอย่างถูกกะเทาะจนเห็นภายใน สองปีที่ผ่านมาไม่มีความหมายใดๆ เลย มันทำให้เขารู้สึกโกรธผู้หญิงคนนั้น...ฟุจิวาตะ อายาโนะ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่เขาพยายามมากมายแท้ๆ 

“คุณอากิระมานั่งสิคะ เดี๋ยวให้ทิวยกเค้กกับชามาให้” ไม่มีทางเลือกนอกจากจะเดินตามไปนั่งลงที่นั่งประจำโดยทิ้งสายตาเป็นเชิงว่าฝากไว้ก่อนให้กับผู้ชายน่าโมโหคนนั้นที่วันนี้ไม่ยอมมากวนประสาทเหมือนทุกครั้ง เพราะรู้ว่าหากพาตัวเองมานั่งตรงข้ามมีหวังเรื่องที่ค้างไว้ได้ต่อภาคสองแน่

คราวนี้คนที่จับจองที่นั่งตรงข้ามของเขาก็คือพี่น้องร่วมโลกผู้ร่าเริง เป็นปกติของทิวอยู่แล้วที่จะชวนหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นคุยโน่นนี่ แต่วันนี้แปะมือกับสาวรุ่นพี่จึงไม่มีใครห้ามปรามได้อีก อากิระเอกก็ดูเหมือนจะผ่อนคลายลงและรับความหวังดีที่หวังจะช่วยทำให้เขาสบายใจขึ้นของทั้งคู่ รวมทั้งในสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาเองก็พูดคุยมากขึ้นเลยทำให้อะไรๆ ดูดีขึ้นมาทันตาเมื่อเทียบกับระยะเวลาเกือบสองปีที่ผ่าน...ดูเหมือนการยอมเปิดรับและพึ่งพาคนอื่นบ้างก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนัก

หากวันนี้ร่างโปร่งบางไม่ได้นั่งละเลียดชาและของหวานเหมือนทุกวัน เมื่อผ่านไปได้ครึ่งชั่วโมง เค้กและชาหมดกาแล้วเขาก็ออกปากขอตัวกลับขึ้นไปชั้นบนโดยยกจานขนมญี่ปุ่นติดตัวไปด้วย

“ทำไมรีบกลับขึ้นไปละฮะ” ทิวถามตาแป๋ว สงสัยจริงๆ ไม่ได้แอ๊บเหมือนพี่สาวร่วมโลก

อากิระกระแอมไอพยายามเรียบเรียงเหตุผล “ก็...ไม่มีอะไรหรอก แค่จะรีบกลับขึ้นไปหาข้อมูลเขียนเรื่องใหม่น่ะ” ความจริงคือมันเป็นเวลาของลูกค้ารอบเย็นแล้วต่างหาก เขาไม่อยากให้ใครเอาไปพูดหรือเกิดคำถามขึ้นได้ว่าเหตุใดลูกค้าอย่างเขาถึงเดินหายไปยังประตูเชื่อมหลังร้าน

“งั้นเหรอฮะ” หนุ่มน้อยพยักหน้าเข้าใจ หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นอาศัยจังหวะนั้นสาวเท้ากลับขึ้นชั้นบน เดินผ่านเคาน์เตอร์เครื่องดื่มยังไม่วายสบเข้ากับแววตารู้ทันแฝงแววล้อเลียนของคนตัวโต เขาจึงถลึงตามองด้วยความลืมตัว แม้จะก้าวขึ้นบันไดแล้วยังได้ยินเสียงทุ้มนุ่มหัวเราะไล่หลังมาให้ได้เคืองเล่น


ปัญหาอย่างเดียวคือเน็ตค่ะ เพราะที่บ้านยกเลิกเน็ตเนื่องจากตัวคนเขียนอยู่หอไม่ค่อยได้กลับบ้าน ไม่มีคนใช้ ตอนนี้ก็อาศัยเน็ตฟรีจากรัฐบาลวันละสามสิบนาที == เดี๋ยวอาทิตย์หน้าก็จะกลับไปอยู่หอแล้วเพราะเริ่มฝึกงาน ส่วนตอนหน้าคาดว่าถ้าเน็ตเอื้ออำนวยจะรีบอัพ (เน็ตฟรีต้องทำใจ ช้าเป็นเต่าคลานแถมยังใช้ได้แค่ครึ่งชม.อีก เศร้าแทนประเทศชาติ) อ้อ แจ้งข่าวว่าตอนนี้เขียนเรื่องนี้ใกล้จะจบแล้วเหลืออีกประมาณสามบท เขียนไปเขียนมาคงมากกว่าที่คาดไว้ เพราะเป็นเรื่องแรกของซีรี่ย์นี้เลยจะมีลายละเอียดเยอะหน่อย แล้วก็จะเริ่มเปิดเผยคู่ต่อๆ ไปเรื่อยๆ เราลองมาทายกันนะคะ ^^

อัพเดทชื่อเรื่องทั้งสี่ตอนที่สารบัญนะคะ แต่ด้วยสภาพเน็ตคงไม่สามารถทำสารบัญต่อได้ เดี๋ยวกลับไปอยู่หอแล้วจะรีบจัดการค่ะ ^^

Lady Eowyn

  • บุคคลทั่วไป
...6...

“โอนเนอร์ดูอารมณ์ดี เมื่อวานได้กำไรเยอะเหรอฮะ” ทิวโบกมือส่งลูกค้าคนพิเศษแล้วหันกลับมามองเจ้านายที่ตั้งแต่เช้าก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มีความสุขเสียเต็มประดา

ชเลรัศดิ์โยกหัวคนตัวเล็กใสซื่อ เหล่ตามองคนจ่ายเงินเดือนด้วยสายตารู้ทัน “โอ้ย ทิวเอ้ย กำไรเยอะน่ะมันก็เยอะทุกวันนั่นแหละ โอนเนอร์ไม่มามีความสุขกับเรื่องแค่นี้หรอก ก็อย่างว่าสุขใดไม่เท่าสุขใจ ตัวแทบจะลอยพองโตไปถึงดาวอังคารแล้ว”

“ทำมาเป็นรู้ดี เดี๋ยวปั๊ด...” แอรอนชี้หน้าก่อนจะพูดต่อให้จบ “...เพิ่มเงินเดือนให้เสียดีไหม แหม มันรู้ใจจริงๆ” เท่านั้นละเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นจากคนจะได้เงินเดือนเพิ่ม ส่วนคนไม่ทันก็ยังตามไม่ทันอยู่ดี

“หมายความว่ายังไงอ่ะพี่วัฒน์ ทำไมต้องเพิ่มเงินเดือนพี่หวานด้วยละ” เจ้าตัวเล็กเงยหน้าขึ้นถามพี่ชายใหญ่ ใบหน้าเล็กยับย่นเพราะการขมวดคิ้ว ศิวัฒน์ยกมือขึ้นยีศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมเส้นเล็กนุ่มมือด้วยความเอ็นดูแต่ก็ไม่ได้ตอบคำถามแต่อย่างใด

“อ้าว หมอเดียร์ สวัสดีครับ กลับมาจากโคราชเมื่อไหร่ครับเนี่ย” เจ้าของร้านหนุ่มเหลือบไปเห็นลูกค้าที่ยืนเหม่อเปิดประตูค้างไว้พอดีจึงร้องทักด้วยความคุ้นเคย เจ้าของชื่อสะดุ้งรีบก้าวเท้าเข้ามาในร้านอย่างลนลานเกือบสะดุ้งเท้าตัวเองก่อนจะถึงเคาน์เตอร์โชคดีได้พนักงานเสิร์ฟตัวโตคว้าเอาไว้ได้ทันจึงไม่ต้องล้มจับกบให้ขายหน้า

“อ่า ครับ เพิ่งกลับมาถึงตอนสายๆ นี่เอง” เมื่อนั่งลงเรียบร้อยจึงค่อยตอบ ‘หมอเดียร์’ ที่แอรอนเรียกเป็นชายหนุ่มร่างเล็กสูงไม่ถึงร้อยเจ็ดสิบเชนติเมตร นอกจากนั้นยังหน้าเด็กมากอย่างไม่น่าเชื่อว่าอายุจะล่วงเลยมาถึงยี่สิบเก้าปีแล้ว หากบอกว่าผู้ชายตัวเล็กคนนี้อยู่แค่ชั้นม.ปลายก็เชื่อได้ไม่ยาก ถึงแม้ว่าความจริงเขาจะเป็นถึงสัตวแพทย์ฝีมือดีก็ตาม

“แย่เลยนะครับเนี่ย คราวนี้ไปตั้งหลายวันที่คลินิกคงยุ่ง” โอนเนอร์ของร้านชวนคุยขณะชงกาแฟใส่แก้วกระดาษเนื้อหนาสำหรับกลับบ้าน ส่วนชเลรัสดิ์เองก็กำลังหยิบเค้กใส่กล่อง

“มีเพื่อนช่วยน่ะครับ แต่ก็ยุ่งเหมือนกันเหลือหมอแค่คนเดียว”

“งั้นตั้งแต่พรุ่งนี้ผมจะเก็บราสเบอร์รี่มูสไว้ให้แล้วกันนะครับ” หนุ่มลูกครึ่งขยิบตาให้แล้วยิ้มกว้าง หากยังไม่ทันได้ตอบรับเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงก็ส่งเสียงร้อง ชายหนุ่มร่างเล็กก้มศีรษะเป็นเชิงขอโทษแล้วกดรับสาย

“ครับ หมอเดียร์พูดครับ...อ้าว จักรว่าไง หือ...” ยิ่งฟังคุณหมอก็ยิ่งมีสีหน้ายุ่งยากใจ เผลอยกมือขึ้นมาลูบริมฝีปากก่อนจะเริ่มกัดเล็บที่ตัดสั้นสะอาดสะอ้าน พฤติกรรมที่มักจะทำเวลาเคร่งเครียดหรือใช้ความคิด “...ได้ เดี๋ยวเราไปดูให้ ใจเย็นๆ แล้วกัน อ้อ งั้นเหรอ เดี๋ยวบอกคนขับรถนายให้ไปรอเราที่คลินิกนะ ต้องเอาเครื่องมือกับยาบางตัว แล้วเจอกัน” วางสายแล้วเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มจืดเจื่อนให้

“คงไม่ต้องแล้วละครับ เดี๋ยวผมต้องไปดูแกะกับม้าในรีสอร์ตของเพื่อนที่สวนผึ้ง คงไม่ได้มาอีกหลายวัน”

“อ้าว งานเข้าอีกแล้วเหรอคะหมอเดียร์ ไม่ได้พักเลย” พนักงานสาวคนเดียวของร้านยกกล่องเค้กมาให้พร้อมกับรับแก้วกาแฟที่พันกระดาษเช็ดปากโลโก้ร้านมาส่งให้ด้วย

“ช่วยไม่ได้นี่ครับ งั้นผมไปก่อนนะครับ” ยื่นเงินแล้วรับของมาถือก่อนจะค้อมหัวเป็นเชิงลา ศิวัฒน์ก้าวตามไปเปิดประตูให้ ถึงจะเดินไปทีหลังแต่กลับถึงก่อนอยู่ดีเพราะช่วงก้าวที่ต่างกัน

“แย่เนอะโอนเนอร์ ยังไม่ทันได้พักงานเข้าอีกแล้ว ว่าแต่นะ...หมอเดียร์ตัวแค่นั้นนึกภาพไม่ออกเลยว่าจะรักษาม้าตัวท่วมหัวยังไง ในหัวหวานมีแต่ภาพหมอเดียร์ใส่เสื้อกราวด์สีขาวอุ้มกระต่ายตัวน้อยๆ มีหมาตัวเล็กพันแข้งพันขา นี่อะไรม้าเอย แกะเอย ไหนจะวัว อิมเมทเสียหายหมด” หญิงสาวบ่นอู้ขณะมองตามร่างเล็กๆ ข้ามถนนไปขึ้นรถยนต์ที่จอดไว้ฝั่งตรงข้าม

“นั่นสิฮะ ทิวยังสูงว่าหมอเดียร์อีก” หนุ่มทิวเสริมพลางยกมือขึ้นคล้ายกับวัดระดับความสูง สาวรุ่นพี่หันมามองด้วยสายตาแฝงแววขบขันเต็มเปี่ยม

“กล้าพูดนะเจ้าทิว สูงกว่าหมอเดียร์เขาแค่สองเซนฯ พูดซะเหมือนสูงกว่าสักสามนิ้ว” ตามใบประวัติหนุ่มน้อยสูงเพียงหนึ่งร้อยหกสิบห้าเซนติเมตรเท่านั้น จึงคาดเดาได้ไม่ยากเมื่อคำนวนดูจากที่เห็นในบัตรประชาชนซึ่งคุณหมอหนุ่มเคยทำตกไว้

“พี่หวานอ่ะ!”

“เอ้าๆ อย่ามัวแต่เถียงกันลูกค้ามาแล้ว ทำงานๆ” แอรอนหัวเราะหึในลำคอแล้วตบเคาน์เตอร์เบาๆ เหล่มองพนักงานของตัวเองอีกคนที่วันหนึ่งแทบจะไม่ได้ยินเสียงซึ่งเมื่อครู่ยังมองตามคุณหมอตัวเล็กไปจนกระทั่งรถยนต์สีขาวลับตาไป

ลูกค้ารอบเย็นทยอยเข้าร้านมาไม่ขาดสาย หน้าฝนทำให้ที่นั่งในสวนและด้านนอกร้านหงอยเหงา ถ้าฝนแค่ปรอยๆ ก็ยังพอมีลูกค้าที่ชื่นชอบความชุ่มฉ่ำเย็นสบายไปนั่งอยู่บ้างเพราะแค่ร่มสีขาวคันใหญ่ทรงเก๋นั้นก็เพียงพอป้องกันไม่ให้เม็ดฝนถูกต้องร่างกาย แต่ถ้าเทลงมาแบบตอนนี้เห็นทีคงจะไม่ไหว ถึงอย่างนั้นฝนก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์เสียทีเดียวเพราะมันพาลูกค้าหน้าใหม่ที่ตั้งใจเข้ามาหลบฝนและกลายเป็นลูกค้าประจำในที่สุดก็หลายคน ฉะนั้นฤดูฝนจึงไม่ได้เลวร้ายนักสำหรับร้านเมซอง 

แอรอนเหลือบมองนาฬิกาข้อมือทุกๆ สอบนาที จนกระทั่งจวนจะได้เวลาหนึ่งทุ่มตรงเขาก็ส่งสัญญาณเรียกชเลรัศดิ์มาประจำที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่มก่อนจะปลีกตัวเข้าไปในครัวเล็กที่แบ่งห้องไว้สำหรับทำอาหารโดยเฉพาะป้องกันกลิ่นอาหารเจือเข้าไปในขนม เพื่อจัดการยกอาหารซึ่งตะวันฉายจะเตรียมไว้ เพราะช่วงเวลาอาหารในแต่ละมื้อคือช่วงเวลาที่ร้านมีลูกค้ามากที่สุด เมื่อสบจังหวะเหล่าผู้หิวโหยหน้าร้านก็จะผลัดเปลี่ยนกันแวบเข้ามาหาอาหารยาไส้ จึงก่อให้เกิดความสามารถพิเศษในการกินเร็ว ใช้เวลาแค่ห้านาทีหรือมากกว่านั้นนิดหน่อยสำหรับแต่ละมื้อ เพราะเจ้าของร้านหนุ่มไม่อยากให้ลูกจ้างของเขาต้องป่วยเป็นโรคกระเพาะ

“เข้ามาทำไมเร็ว ลูกค้าเยอะไม่ใช่เหรอ” เจ้าของร่างสูงโปร่งในชุดช่างทำขนมสีขาวที่มีรอยแป้งและส่วนผสมเปื้อนเงยหน้าขึ้นทักเพื่อนสนิท เส้นผมยาวสไลด์ประบ่าถูกมัดไว้เป็นหางเล็กๆ ที่ท้ายทอย

“จะยกข้าวไปให้อากิ” ตอบหน้าระรื่นจนคนมองหมั่นไส้ขึ้นมาติดหมัด

“เดี๋ยวเขาคงรำคาญไล่ตะเพิดลงมาแทบไม่ทัน” ปาติชิเย่ร์หนุ่มเย้ย หากมันก็ไม่สะเทือนคนอารมณ์ดี

ยืดอกประหนึ่งว่าตัวเองเหนือกว่า “ไม่มีทางหรอกโว้ย นี่ใครให้มันรู้เสียบ้าง” ตะวันฉายส่งเสียงขึ้นจมูกแล้วแดกดันให้คนฟังเจ็บจี๊ด

“แล้วใครที่โดนเมินมาเกือบสองปี คุยเขาก็แทบไม่อยากคุยด้วย”

“ชิ! ไอ้ซัน ฝากไว้ก่อนเถอะ ว่าแต่ฉันพ่อเรือพ่วงข้างห้องนั่นเมื่อไหร่จะเห็นทางสว่างเสียทีละ” ดูเหมือนประโยคนั้นจะส่งผลต่อคนฟังมากพอดู เพราะมันทำให้ใบหน้าสะอาดสะอ้านดูดีในแบบผู้ชายที่รู้จักดูแลตัวเองหม่นลง

“...คงไม่มีวันนั้นหรอกมั้ง”

“คิดมากว่ะ ทีฉันยังมีทำไมแกจะไม่มี อย่าลืมว่าแกไม่ได้อยู่คนเดียวนะโว้ย” ถือถาดผ่านแล้วยกมือขึ้นผลักหัวเพื่อนเบาๆ จากการตอบโต้กลับกลายเป็นการปลอบแทน “ไปละ รีบเข้าเผื่อวันนี้จะได้กลับเร็ว” พูดจบก็เดินออกจากครัวปล่อยให้อีกคนถอนหายใจแล้วขยับมือทำงานต่อ

แอรอนเดินขึ้นไปยังชั้นสาม เขาไม่แน่ใจว่าความเงียบนั้นเกิดจากอะไรจนกระทั่งมาถึงจุดหมายนั่นละถึงได้รู้ ร่างโปร่งบางนั่งอยู่ท่าเดียวกับเมื่อตอนบ่ายที่เขาขึ้นมา เพียงแต่ตอนนี้ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมยาวซุกอยู่บนท่อนแขนเรียวซึ่งวางไว้บนเข่า ใบหน้าที่เอียงขึ้นมาเล็กน้อยนั้นทำให้เขาสามารถมองเห็นสีหน้ายามหลับใหลของเจ้าของได้อย่างชัดเจน...แม้แต่ยามหลับคิ้วเรียวสวยนั่นก็ยังขมวดมุ่นไม่ยอมคลาย

“อากิ...อากิ ตื่นเถอะ ทุ่มหนึ่งแล้วนะทานข้าวได้แล้วครับ” ร่างสูงวางถาดอาหารไว้บนโต๊ะข้างคอมพิวเตอร์เครื่องเล็ก เจ้าของชื่อเผยเปลือกตาขึ้นมองคล้ายยังไม่ได้สติดีนัก หากเมื่อพบใบหน้าหล่อเหลาคมคายซึ่งอยู่ห่างเพียงไม่กี่เซนติเมตรก็สะดุ้งโหยง เกือบต้องเจ็บตัวเป็นรอบที่สองของวันถ้าไม่ได้ผู้ช่วยคนเดิมรั้งไว้อีกครั้ง

“คุณ! ถอยออกไปห่างๆ ชอบทำให้ตกใจอยู่เรื่อย”

คนตัวโตหัวเราะขำก่อนจะหรี่ตามองราวกับเพิ่งรู้ความลับอะไรบางอย่างที่สำคัญมาก “ความจริง...อากิตกใจง่ายแล้วก็ซุ่มซ่ามใช่ไหม”

“มะ ไม่ใช่สักหน่อย” อากิระอ้าปากพะงาบๆ ปฏิเสธได้อย่างไม่น่าเชื่อถือที่สุด ใครจะไปบอกได้ว่าที่ผ่านมาพยายามตั้งสติทุกครั้งเวลาอยู่ต่อหน้าจนกลายเป็นเกร็งอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้ตัวเองเผลอทำเรื่องขายหน้าออกไป

“จริงเร้อ ขนาดตอนเดินขึ้นมาเมื่อตอนบ่ายยังชนเคาน์เตอร์อยู่เลยนี่ครับ” ทำเสียงขลุกขลักในลำคอ ส่วนอีกคนเหรออายจนหน้าแดงเพราะไม่คิดว่าจะถูกสังเกตเห็น อุตส่าห์ทำเนียนไม่เจ็บแล้วแท้ๆ

“บอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ” อีกครั้งที่นักเขียนหนุ่มเผลอตัวพูดจาเอาแต่ใจหลังจากลืมตัวถลึงตาใส่มาแล้ว

“ครับๆ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ครับ ทีนี้ไปล้างหน้าแล้วมาทานข้าวได้แล้ว” แอรอนยอมแพ้ง่ายๆ เพราะแค่การที่ร่างบางลดเกราะป้องกันตัวเผยด้านที่ปกปิดไว้ออกมาแค่นี้เขาก็พอใจอย่างที่สุดแล้ว อากิระมองต้มจืดรวมมิตรกับผัดหน่อไม้ฝรั่งใส่เห็ดที่ดูท่าทางน่าอร่อยแล้วรู้สึกหิวขึ้นมาทันทีจึงลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น ไม่คาดคิดว่าคนยกขึ้นมาจะยังนั่งอยู่บนพื้นพรมข้างที่นั่งเดิมของเขาไม่ไปไหน

“เดี๋ยวผมทานเสร็จแล้วจะล้างเก็บเอง”

“ครับ หรือไม่ก็วางไว้ก็ได้ เดี๋ยวผมขึ้นมาล้างตอนเก็บร้านเสร็จแล้ว” เหลือบมองหม้อข้าวต้มเล็กกับชามที่ล้างเรียบร้อยวางคว่ำไว้บนตะเกรงบนซิงก์

“ไม่เป็นไร แค่ยกขึ้นมาให้ก็ขอบคุณมากแล้ว เดี๋ยวผมล้างเอง...ว่าแต่ ไม่ลงไปหน้าร้านเหรอ ไม่ใช่ว่าช่วงนี้ลูกค้าเยอะเหรอ...แล้วทานข้าวหรือยัง...” ขณะถามไม่เงยหน้าขึ้นสบตาด้วยซ้ำ แต่แค่นั้นก็เรียกรอยยิ้มกว้างจนแทบจะฉีกไปถึงรูหูของคนฟังได้ชะงัด

“ผมรอดูให้แน่ใจก่อนว่าอากิทานจริงๆ แล้วค่อยลงไป...แล้วก็ถ้าอากิเป็นห่วง ผมยังไม่ได้ทานครับ”

“ไม่ได้ห่วงสักหน่อย...” โต้กลับทันควันอย่างมีพิรุธตวัดตามองขึ้นไปสบกับดวงตาสีสวยระยับชวนให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ กว่าจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้วเลยได้แต่หลุบตาลงมองกับข้าว “ไม่ต้องมานั่งเฝ้าหรอก ผมทานจริงๆ ไปได้แล้วข้างล่างคงกำลังยุ่ง” ใช้ช้อนตักข้าวเข้าปากให้ดูเป็นหลักฐาน

“โอเคครับ ทานให้หมดนะ เดี๋ยวผมลงไปทำงานต่อแล้ว” หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยันตัวลุกขึ้น ก่อนจะก้าวลงบันไดหูเขาพลันได้ยินเสียงนุ่มพึมพำ เบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่มันทำให้เขาแทบลอยขึ้นไปดาวอังคารอย่างลูกจ้างสาวแซวเมื่อตอนบ่าย

“ทานข้าวด้วยละ...”


ออฟไลน์ k00_eng^^

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 647
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-2


ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13

krenr

  • บุคคลทั่วไป
เราชอบเรื่องนี้จังงงง อากิ แอรอน น่ารักอ่ะ ^^
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
แอรอนนี่คอยดูแลอย่างดีเลย น่ารักดีค่ะ

+1 ให้เป็ดจ้ะ
ช่วยลงวันที่ที่ลงด้วยสิค่ะ จะได้รู้ว่ามาลงแล้ว

Lady Eowyn

  • บุคคลทั่วไป
...7...

เมื่อลงมาถึงหน้าร้านก็โดนตัดพ้อว่ากล่าวไปตามระเบียบ ทั้งจากพนักงานผู้หัวหมุนและลูกค้าสาวๆ ที่รอดื่มเครื่องดื่มฝีมือเจ้าของร้านและมองหน้าหล่อๆ ให้รสชาติดียิ่งขึ้น และเพราะสายฝนที่เทลงมาอย่างหนักตอนช่วงก่อนปิดร้านราวครึ่งชั่วโมงจึงทำให้มีลูกค้าติดฝนอยู่หลายคน ส่งผลให้พวกเขายังไม่สามารถเก็บร้านได้ตามเวลา จึงได้แต่เช็คโต๊ะจัดเก้าอี้บางส่วนและช่วยล้างแก้วกับจานขนม กว่าจะได้เช็คโต๊ะตัวสุดท้ายเมื่อลูกค้าออกไปหมดแล้วเวลาก็ล่วงเลยมาถึงห้าทุ่มครึ่ง

“สงสัยจังฮะ” ทิวที่วันนี้ได้ออกมาจากครัวก่อนเวลาเพราะเสร็จเร็วกว่าปกติจึงได้มาช่วยเก็บหน้าร้านพึมพำ ทำเอาคนอื่นๆ ที่กำลังเตรียมปิดไฟและแยกย้ายกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับหันมามองกันถ้วนหน้า

“อะไรทิว มัวสงสัยอะไรอยู่ได้ รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสิจะได้รีบกลับ” ชเลรัศดิ์ขมวดคิ้วมองหนุ่มรุ่นน้อง

“พี่หวานไม่สงสัยบ้างเหรอคะ ทิวสงสัยมาตั้งนานแล้วนะ”

“เรื่องอะไรละ”

หนุ่มน้อยหันมาสบตาคนรอฟังแล้วเดินตรงไปยังโต๊ะข้างกระจกก่อนจะลากเก้าอี้ออกมานั่งลง “ก็ทำไมคุณอากิระถึงมาทีไรก็นั่งแต่ตรงนี้ทุกที ตอนแรกทิวก็นึกว่าเพราะตรงนี้มองเห็นสวนมุมดีที่สุด แต่ช่วงกลางเดือนก่อนสิ้นปีที่โอนเนอร์จัดสวนใหม่ ทิวลองถามคุณอากิระว่าชอบไหม อยากได้ดอกอะไรมาลงเพิ่มหรือเปล่า คุณอากิระก็ไม่เห็นตอบแถมยังถามทิวกลับด้วยว่าจัดสวนใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่...ก็แสดงว่าไม่ได้รู้สึกเลยว่าจัดใหม่ ทั้งที่โอนเนอร์จัดใหม่จนไม่เหลือเค้าเดิม ถามทิวด้วยนะว่าดอกสีแดงๆ นั่นดอกอะไร แปลกเนอะ”

คนฟังแต่ละคนมีสีหน้าแตกต่างกันไป แต่ที่แน่ๆ คือเริ่มสงสัยเหมือนคนอายุน้อยที่สุดขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน

“นั่งตรงนี้ก็ไม่เห็นมองอะไรได้นอกจากสวน เอ๊ะ! แต่ถ้ามองเงาสะท้อนจากกระจกนี่เห็นโอนเนอร์ชัดแจ๋วเลยฮะ” คนตัวเล็กเอียงคอมองไปในองศาเดียวกับที่เคยเห็นหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นมอง ก่อนจะค้นพบและชี้ชวนดูเงาสะท้อนที่เขาเห็น

ได้ยินดังนั้นร่างสูงใหญ่ของแอรอนก็แทบกระโจนออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ ดึงชเลรัสดิ์ให้ไปยืนในตำแหน่งเดียวกับที่ตนเองมักจะยืน “ไหนลุกสิทิว” แล้วลองไปนั่งแทนที่ทิวที่ลุกขึ้นให้อย่างงงๆ

เมื่อพบข้อเท็จจริงแล้วว่าเป็นไปตามที่นักศึกษาปีสุดท้ายคณะวิทยาศาสตร์บอก รอยยิ้มกว้างก็ค่อยๆ ปรากฏบนดวงหน้าก่อนมันจะลามไปเป็นเสียงหัวเราะซึ่งเพิ่มเดซิเบลขึ้นเรื่อยๆ

“อะ อะไรอ่ะพี่หวาน โอนเนอร์หัวเราะทำไมอ่ะ” หันไปขอความกระจ่างกับสาวรุ่นพี่ แต่หญิงสาวคนเดียวของร้านก็ส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มก่อนจะดึงคอเสื้อเด็กผู้ชายที่เตี้ยกว่าเจ้าหล่อนถึงห้าเซนติเมตรติดมือไป

“ไปเถอะ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับกันได้แล้ว พี่วัฒน์ไปนั่นแล้วเห็นไหม” ชเลรัสดิ์พาเดินตามร่างสูงของหนุ่มรุ่นพี่ขึ้นไปยังชั้นสองซึ่งนอกจากจะมีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วยังมีห้องนอนอีกสองห้องไว้สำหรับให้พักค้างคืนหากวันไหนมีเหตุให้ต้องอยู่จนดึก อย่างตอนที่ร้านรับจัดปาร์ตี้และงานเลี้ยงเล็กๆ ให้ลูกค้าระดับวีไอพีที่เป็นลูกค้าตั้งแต่สมัยร้านเปิดใหม่ๆ หรือบางทีเหนื่อยจนไม่อยากกลับก็ขึ้นมานอนดื้อๆ ก็มี

“ตะ แต่...โอนเนอร์...”

“ช่างโอนเนอร์เถอะ ไปได้แล้ว” หญิงสาวว่าแล้วปล่อยให้เจ้าของร้านหนุ่มนั่งอยู่ตรงนั้นคนเดียว เพราะนี่ก็เลยเวลาปกติของพนักงานมามากแล้ว เวลาร้านปิดคือสามทุ่มครึ่งพวกเขาจะได้กลับไม่เกินสี่ทุ่มครึ่ง แต่เนื่องจากสายฝนเป็นอุปสรรคจึงทำให้ล่วงเลยมาถึงป่านนี้ เรียกว่าอยู่เป็นเพื่อนเจ้าของร้านจนวินาทีสุดท้ายทีเดียว

พวกเขารู้มานานแล้วว่าหลังเก็บร้านเจ้านายหนุ่มจะมานั่งทำบัญชีอยู่หลังเคาน์เตอร์ก่อนจะเข้าไปเตรียมปรุงอาหารเช้าซึ่งเป็นหน้าที่ของเขา เป็นมื้อเดียวของวันที่จะได้กินรสมือชายหนุ่ม ส่วนมื้อกลางวันและเย็นจะเป็นหน้าที่ของตะวันฉาย แอรอนมักไม่เคยปล่อยให้ลูกจ้างกลับดึกกว่านั้น แถมยังซื้อรถไว้ให้ใช้คันหนึ่งโดยให้พี่ชายใหญ่ของสามหน่อทำหน้าที่เป็นสารถีคอยรับส่งน้องๆ ด้วย โชคดีที่ที่พักนั้นไม่ห่างกันมากและเส้นทางในตอนกลางคืนก็ไม่ติดขัดนัก จึงแทบไม่มีสักคืนที่พวกเขาจะกลับไปนอนเกินห้าทุ่มครึ่งและเข้างานตอนเจ็ดโมงเช้า ยกเว้นว่าวันไหนพากันนอนบนชั้นสองก็จะตื่นลงมาช่วยตั้งแต่หกโมงอย่างวันที่เห็นปาติซิเย่ร์ของร้านไล่เจ้านายออกมาจากครัวเป็นต้น...ซึ่งนับกันจริงๆ พวกเขาแทบอยู่กินที่ร้านไม่กลับบ้านด้วยซ้ำ

ด้วยความที่เป็นผู้ชายทำให้ทิวและศิวัฒน์ไม่มีปัญหาค้างข้างนอก ส่วนชเลรัสดิ์เองก็อยู่ตัวคนเดียว ร่ำๆ อยากจะทำเรื่องคืนห้องพักมาอาศัยอยู่ที่ร้านถ้าไม่ติดว่าจะน่าเกลียดเกินไป แถมยังจะดูไม่ดีเวลาสองหนุ่มไม่ได้นอนค้างที่นี่ด้วย

“ไปละนะโอนเนอร์ ควบคุมตัวเองหน่อยนะคะเดี๋ยวคุณอากิระจะตกใจแย่” หญิงสาวโผล่หน้ามาลาเจ้านายหนุ่ม ไม่วายแซวทิ้งท้ายก่อนจะปล่อยให้แอรอนส่ายหน้าเคล้าเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

เมื่อไม่มีใครอยู่แล้วชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเดินไปปิดไฟให้เรียบร้อย แวะดูความเรียบร้อยในห้องครัวทั้งสองห้องให้แน่ใจอีกครั้ง ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าก่อนกลับตะวันฉายจัดการเรียบร้อยแล้วแต่ก็ยังอดไม่ได้อยู่ดี ร่างสูงเดินขึ้นมาถึงชั้นบนสุด เขาเห็นหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นนั่งใช้คอมพิวเตอร์อยู่ที่เดิม แต่ดูแล้วเหมือนจะอาบน้ำพร้อมเข้านอนได้ทุกเมื่อ เขาทำทีเป็นเดินผ่านไปก่อนจะย่องกลับมาโน้มตัวลงไปใกล้แกล้งเป่าลมร้อนๆ เข้าหู ทันใดนั้นอากิระก็ร้องอุทานด้วยความตกใจ

“คุณ!...” หันขวับหวังจะอ้าปากด่าแต่กลับพบสีหน้าแช่มชื่นมีความสุขของเจ้าของบ้านจนคำพูดทั้งหลายแหล่กลืนหายไปหมด เหลือเพียงความสงสัยที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยถามคนมีความสุขก็อ้าปากพูดเอง

“มีความสุขจังครับ จะลอยไปถึงดวงจันทร์เลยไปดาวอังคารแล้ว” พูดจบก็หัวเราะแล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ทิ้งให้คนฟังได้แต่งุนงง

“วันนี้ได้กำไรสามร้อยเปอร์เซ็นต์หรือไง” นักเขียนหนุ่มพึมพำหันกลับมาสนใจหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง พยายามทำเป็นไม่ได้ยินเสียงผิวปากและเสียงฝักบัวจากห้องน้ำแต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหวปิดเครื่องแล้วรีบเดินเข้าห้องนอนไปทันที นั่นทำให้คนอาบน้ำเสร็จที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันกายอดเสียดายนิดๆ ไม่ได้ เพราะเขามีแผนจะแกล้งต่ออีก

“ฝากไว้ก่อนเถอะอากิจัง นับแต่พรุ่งนี้ไปเตรียมตัวให้ดีแล้วกัน” ตามองประตูห้องตรงข้ามแล้วพูดเบาๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าห้องนอนตัวเอง...ถือว่าให้เวลาเตรียมใจ

แต่กว่าจะถึงตอนนั้นชายหนุ่มมีเรื่องต้องทำก่อน เมื่อใส่ชุดนอนเรียบร้อยร่างสูงก็ทิ้งตัวลงนั่งบนโต๊ะทำงานเล็กๆ ในห้องนอน ความจริงเขาควรจะมานั่งตรงนี้ทุกคืนก่อนนอน แต่เมื่อคืนก่อนไม่มีอะไรด่วนเข้ามาและเขาก็ไม่มีอารมณ์เท่าใดนัก จึงไม่ได้ทำกิจวัตรนี้

มือใหญ่ดึงหน้าจอขึ้นและกดปุ่มเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์สั่งประกอบพิเศษหน้าจอสิบเจ็ดนิ้ว ต่ออินเตอร์เน็ตเพื่อเชื่อมต่อสู่โลกไซเบอร์ ไม่กี่วินาทีต่อมาหน้าจอก็ปรากฏตารางที่มีตัวเลขมากมาย ดวงตาสีสวยกวาดดูอย่างรวดเร็วนิ้วแตะเลื่อนลงมาเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดลง รอยยิ้มพึงใจปรากฏบนดวงหน้าคมคาย แอรอนเปิดหน้าต่างในลักษณะคล้ายคลึงกันอีกหลายหน้าต่างใช้เวลากับมันอยู่อีกเป็นชั่วโมงแล้วค่อยกดปิดเพื่อเปิดหน้าต่างใหม่สำหรับเปิดอีเมล์ส่วนตัว

เขาไล่มองจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ในกล่องขาเข้า คลิกเปิดอ่านทีละฉบับเพราะกล่องขาเข้าของเขาได้รับการกรองอย่างดีไม่มีอีเมล์ขณะให้รกหูรกตา มีเพียงอีเมล์ที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นเรื่องสำคัญพอที่จะให้เขาเปิดอ่าน ชายหนุ่มรัวแป้นพิมพ์ตอบกลับ กว่าจะครบหมด เวลาก็ล่วงเลยมากว่าสองชั่วโมง จนกระทั่งมาถึงฉบับสุดท้ายที่เอาเก็บไว้ทีหลัง เขาปิดไฟล์เอกสารที่แนบมากับอีเมล์ ลูกน้องเขายังคงทำงานกันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเสมอ กำหนดเวลาที่ให้นั้นเป็นที่รู้กันดีว่าเมื่อผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้วไม่ว่าจะมีความคืบหน้าอะไรจะต้องส่งมาให้เขาก่อน และส่วนใหญ่มักจะเกือบครบสมบูรณ์ตามความต้องการแล้ว ส่วนฉบับเต็มที่ถูกจัดเรียงใส่ซองเอกสารปิดผนึกควรจะตามมาก่อนกำหนดเวลา

แอรอนอ่านข้อความที่ประกอบขึ้นจากหลายภาษา ใบหน้าราบเรียบแฝงแววประเมิน เขาเริ่มเข้าใจสถานการณ์มากยิ่งขึ้น สมองไต่ตรองสิ่งที่จะทำต่อไปเงียบๆ 

เมื่อได้ข้อสรุปในใจเขาก็เปิดอีเมล์ใหม่พิมพ์ความต้องการของตนเองลงไปแล้วกดส่งไปให้คนสนิทซึ่งเขามั่นใจว่าปลายทางจะเปิดอ่านมันทันทีและเริ่มทำตามความต้องการนั้นในไม่กี่นาทีต่อมา ร่างสูงเปิดหน้าต่างใหม่อีกอันเพื่อติดตามข่าวสารความเป็นไปทั่วโลก ยังไม่ทันได้อ่านอะไรก็มีข้อความแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาว่าเขาได้รับอีเมล์ตอบกลับแล้ว แอรอนกระตุกยิ้มแล้วนั่งอ่านข่าวต่อโดยไม่สนใจจะเปิดอีเมล์อ่านเพราะรู้อยู่แล้วข้อความในนั้นคืออะไร

เพลินมากไปหน่อยเมื่อเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาเขาก็พบว่าเป็นเวลาออกกำลังกายพอดี ชายหนุ่มยักไหล่จัดการปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปออกกำลังกายตอนเช้า จนกระทั่งจวนจะได้เวลาเตรียมเปิดร้านจึงค่อยกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าลงไปเปิดร้าน การไม่ได้นอนไม่ได้เป็นปัญหากับร่างกายเขามากนัก เขาสามารถอดนอนติดต่อกันได้มากกว่าสามวัน แต่ใช่ว่าจะทำบ่อยนักเพราะรู้ว่ามันไม่ได้ส่งผลดีต่อร่างกายเลย ยกเว้นว่าจะมีเหตุจำเป็นจริงๆ ถึงจะทำ ร่างกายคนเราจำเป็นต้องได้รับการนอนหลับอย่างต่ำสี่ชั่วโมงต่อวัน และถ้าจะให้ดีต้องเป็นหกชั่วโมง สำหรับเขาแล้วห้าก็เกินพอ

ดูเหมือนทุกอย่างจะเกิดขึ้นเหมือนทุกวัน แต่ที่พิเศษคือเมื่อเขาลงมาทำกับข้าวเสร็จและเตรียมเปิดร้านกับตะวันฉายได้ไม่นาน แม้แต่ลูกจ้างยังไม่โผล่มาสักคนเพราะยังไม่ถึงเวลาเขาก็พบร่างโปร่งบางที่นอกจากจะมีความสูงน้อยกว่าเพื่อนของเขาแล้วยังบอบบางกว่าตามลงมาขันอาสาช่วย คงเพราะเมื่อคืนนอนเร็วกว่าปกติอยู่มาก เที่ยงคืนก็หลับไปเสียแล้วทำให้หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นลืมตาตื่นขึ้นมาเช้าขนาดนี้

“อากิระซังเป็นแขกจะให้มาช่วยได้ยังไงครับ” ตะวันฉายปฏิเสธ แม้จะเคยคุยกันอยู่ไม่กี่ครั้ง แต่เพราะถูกชะตาและคุยกันถูกคอจึงสนิทกันในระดับหนึ่ง นอกจากนั้นต่างฝ่ายต่างยังเป็นแฟนกันและกัน อากิระชื่นชอบของหวานที่ปาติชิเย่ร์หนุ่มทำจนบางครั้งคนทำยังเคยนำขนมสูตรใหม่มาให้ชิมและวิจารณ์ด้วยซ้ำ ส่วนอีกฝ่ายก็ติดตามผลงานเขียนแทบทุกเล่ม เนื่องจากเคยไปหาประสบการณ์ที่ญี่ปุ่นอยู่กว่าสองปีทำให้เรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นถึงขั้นอ่านออกเขียนได้

“อย่าเรียกว่าแขกเลยครับซันซัง ผมเป็นผู้อาศัยก็อยากจะตอบแทนอะไรบ้าง เมื่อวานมัวแต่สติแตกเลยไม่ได้ลงมาช่วย ต้องขอโทษด้วยจริงๆ” ไม่ใช่แค่ถ้อยคำเกรงอกเกรงใจนั้นเท่านั้น แขนเสื้อที่ถูกเชือกรั้งขึ้นให้ทำงานได้สะดวกก็เป็นอีกอย่างที่จำต้องตอบตกลง

“งั้นให้อากิช่วยจัดขนมก็แล้วกันซัน นายเข้าไปจัดการในครัวต่อเถอะ” โอนเนอร์ของร้านเข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ เพราะไม่อย่างนั้นคงได้ยืนเกรงใจกันไปเกรงใจกันมางานไม่ได้ทำเป็นแน่ แล้วการเรียงขนมใส่ตู้แช่ก็ไม่ใช่งานหนักอะไรมากด้วย ตะวันฉายชะงักหุบปากที่จะค้านลง ลองว่าคนประคบประหงมออกปากให้ทำได้เองแบบนี้คงสู้ไม่ได้อยู่แล้ว

“งั้นก็ได้ครับ ช่วยหน่อยนะครับอากิระซัง” ยิ้มให้เล็กน้อยไม่คิดจะอธิบายว่าอะไรต้องวางตรงไหนเพราะมั่นใจว่าอีกฝ่ายรู้ดีเนื่องจากมีป้ายเล็กๆ วางกำกับตำแหน่งอยู่แล้ว

แอรอนอมยิ้มมองคนที่กำลังจัดเรียงขนมใส่ตู้อย่างขยันขันแข็ง ดูเหมือนอีกฝ่ายจะสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นนับตั้งแต่วันก่อนที่เกิดเรื่อง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวสามารถทำใจและตั้งสติได้หรือว่าตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้วกันแน่ คิดแล้วก็ยักไหล่จะเป็นอย่างไรก็ช่างเขามั่นใจว่าสามารถรับมือได้แน่นอน

“อ้าว คุณอากิระ ทำไม...” พนักงานทั้งสามคนของร้านมาถึงตอนเกือบจะได้เวลาเปิดร้าน เหลืออีกห้านาทีไว้สำหรับเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ตรงเวลาจนเจ้าของร้านแทบอยากหักเงินเดือนด้วยความหมั่นไส้

ทันทีก็ก้าวเข้ามาในร้านพวกเขาก็พบสิ่งผิดปกติ ภาพที่เห็นควรจะเป็นร่างสูงใหญ่ราวยักษ์ปักหลั่นของโอนเนอร์ก้มๆ เงยๆ ที่หลังเคาน์เตอร์และมีปาติชิเยร์ประจำร้านกำลังจัดเรียงขนมเข้าตู้แช่ แต่วันนี้ตำแหน่งดังกล่าวเปลี่ยนคนไปเสียแล้ว

“อะไรกันละเนี่ย ทำไมโอนเนอร์ใช้งานคุณอากิระของหวานแบบนี้ละ” ยัยตัวดีโวยวาย คนโดนว่าตวัดตามองราวกับจะเยาะเย้ย ปล่อยหมัดเด็ดเล่นเอาคู่ต่อสู้น็อกกลางอากาศ

“เขาเรียกช่วยกันทำมาหากินยัยน้ำขม แล้วขอโทษอากิน่ะของฉันไม่ใช่ของเธอ รู้แล้วก็จำไว้ด้วย...ไปเปลี่ยนเสื้อผ้ามาเปิดร้านได้แล้ว”

“ชิ!” หญิงสาวเถียงไม่ออกสะบัดหน้าขึ้นชั้นสองไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ผิดวิสัยสุดๆ แต่จะให้เธอเถียงได้ยังไงเล่าในเมื่อสีหน้าคนกลางบอกชัดเจนขนาดนี้ “ไปทิว ไปเปลี่ยนชุด เดี๋ยวเจ้านายหักเงินเดือน ต้องระวังตัวเพราะเดี๋ยวนี้โอนเนอร์ไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว ต้องประหยัด” ลากเด็กหนุ่มไม่รู้เรื่องรู้ราวติดมือไปด้วย ย่นจมูกใส่นายจ้างด้วยความหมั่นไส้

อากิระที่นิ่งขึงไปกับคำพูดนั้นรีบตั้งสติ เขาคงไม่ได้รู้อะไรหรอกนะ...ไม่มีทางรู้หรอก “ใครไปเป็นของคุณไม่ทราบ พูดจาเลอะเทอะ” แต่คำตอบที่ได้เริ่มทำให้เขาไม่มั่นใจเท่าใดนัก

“เป็นซี เป็นมาตั้งนานแต่บังเอิญเพิ่งรู้ตัวเท่านั้นเอง เนอะ อากิจัง” ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ส่งยิ้มกว้างพร้อมนัยน์ตาทอประกายจนคนมองกระตุกไปนิด

“พูดจาเหลวไหล ผมจะไปช่วยซันซังในครัว...” หมุนตัวแล้วรีบเดินหนีเข้าห้องครัวไปด้วยอาการใจสั่น

“เดี๋ยวไปทานข้าวกันนะครับอากิ เสร็จตรงนี้ก่อน” แอรอนตะโกนเขาไปในครัวด้วยรอยยิ้ม เริ่มคิดหาวิธีรุกอีกฝ่ายแบบไม่ให้ตื่นกลัวเกินไป...เอ๊ะ หรือเขาจะทำให้แตกตื่นไปแล้ว


กลับมาถึงหอเรียบร้อย ว่ากทม.ร้อนแล้ว นครปฐมก็มิได้ต่างกันเลย  :fire: วันจันทร์จะเริ่มฝึกงาน ยังไงเป็นกำลังใจให้ทั้งคนเขียนทั้งหนุ่มๆ ร้านเมซองด้วยนะคะ  :bye2:

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ rabbit-orange

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0

pattybluet

  • บุคคลทั่วไป

krenr

  • บุคคลทั่วไป
แอร๊ย สนุกมากค่า ใครเป็นของใครนะ
แหม เจ้าตัวยังไม่ทันรู้เรื่องเลยยย  :laugh:
ขอบคุณคนเขียนนะจ๊ะ  :กอด1:

Lady Eowyn

  • บุคคลทั่วไป
...8...

สักพักทุกอย่างก็เรียบร้อยชายหนุ่มจึงส่งต่อหน้าที่ให้พนักงานทั้งสามคนที่แวะจัดการมื้อเช้าในครัวจนอิ่มหนำแล้ว เมื่อเดินเข้าไปในครัวก็พบว่าทั้งเพื่อนสนิทและแขกอีกคนกำลังคุยกันอย่างถูกคอ นอกจากนั้นมือยังทำงานไปด้วย ร่างโปร่งบางในชุดยูกาตะที่สวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนป้องกันไม่ให้แป้งที่เจ้าตัวกำลังพยายามร่อนนั้นเปรอะเปื้อนกิโมโนเนื้อบางที่ทำจากผ้าฝ้ายนั้น ท่าทางยิ้มแย้มหัวเราะอย่างร่าเริงนั้นสะกดคนมองจนเผลอจ้องตาลอย รู้ตัวอีกทีเมื่อเพื่อนส่งเสียงเรียกและภาพเมื่อครู่ก็ถูกแทนที่ด้วยอาการเงอะงะอย่างคนทำอะไรไม่ถูก

 “ได้เวลามื้อเช้าแล้ว วางมือลงเถอะซัน ไปทานข้าวกันครับอากิ” ชายหนุ่มกระแอมเดินนำเข้าไปในครัวเล็กแล้วคดข้าวใส่จานสามจาน ตักกับข้าวตั้งรอไว้ก่อนจะไปรินน้ำใส่แก้ว

“ก็เลยสบายเลยเรา ไม่ต้องทำอะไรเองสักอย่าง” ตะวันฉายเลิกคิ้วมองแล้วนั่งลงที่ริมสุดหน้าตาเฉย ทำให้นักเขียนหนุ่มที่เดินตามมาต้องจำใจนั่งลงตรงกลางติดกับคนยิ้มตาพราวมองเขาอยู่

“เป็นไงครับ ใช้ได้ไหม มื้อเช้าผมเป็นคนทำทุกวัน” คนทำนั่งลุ้นปฏิกิริยา อากิระชะงัก จังหวะเคี้ยวสะดุดไปเล็กน้อย เหลือบตามองคนตัวโตที่ทำท่าคล้ายลูกหมากำลังรอคำชมจากเจ้าของ ใบหน้าขาวๆ รู้สึกร้อนขึ้นมาแปลกๆ

“ไม่มั่นใจฝีมือตัวเองหรือไง” ไม่อยากจะชม แต่ก็ไม่อยากจะตัดรอนจึงย้อนถามแบบกลางๆ แทน

“ก็อยากได้คำชมนี่ ชมผมหน่อยไม่ได้เหรอ ใจร้ายจัง แค่คำชมก็งกผมอุตส่าห์ตั้งใจทำนะ” คำพูดตรงๆ ของเขาทำเอาหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นปั้นหน้าไม่ถูก เสมองถ้วยซุปมิโซะที่คนทำตั้งใจทำเอาใจ พยายามแสร้งตีหน้านิ่งให้ได้เหมือนเมื่อก่อน แต่ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยประสบผลสำเร็จสักเท่าไหร่ “อย่าทำหน้าบึ้งสิครับ ไม่เอาไม่ขมวดคิ้ว” เสียงนุ่มทอดอ่อนใช้นิ้วคลึงเบาๆ ที่หว่างคิ้ว อากิระตัวแข็งทื่อกับสัมผัสถึงเนื้อถึงตัวโดยที่เขายังไม่ทันตั้งตัวปัดป้อง

“อะแฮ่ม...ขอตัวไปทำขนมต่อก่อนนะ” ปาติชิเย่ร์หนุ่มที่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินยกน้ำขึ้นดื่มแล้วเอ่ยขอตัว นั่นทำให้คนที่ทำเหมือนโลกนี้มีเพียงเราอย่างแอรอนเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนแล้วเลิกคิ้ว

“อ้าว อิ่มแล้วเหรอซัน อิ่มเร็วจังนายไม่ชอบซุปฉันเหรอ”

ตะวันฉายกรอกตาแล้วยักไหล่ “เปล่า อร่อยดี แต่ช่วงนี้เหมือนน้ำตาลจะสูงแบบไม่รู้สาเหตุ เพิ่มข้าวมากไปไม่ดีเพราะเดี๋ยวจะไปเติมน้ำตาลให้ยิ่งสูงขึ้นอีก” เขาหลิ่วตาก่อนจะเบนสายตามามองคนน่าสงสารที่ดูเหมือนสติจะหลุดลอยออกจากร่างไปเรียบร้อยแล้ว เห็นดังนั้นจึงก้มลงกระซิบเบาๆ “อากิระซัง อย่างที่ผมบอก...อย่าบีบบังคับตัวเองเลยนะครับ” ก่อนจะยืดตัวขึ้นสัมผัสไหล่ซึ่งเกร็งขึงให้ผ่อนคลายลง ยิ้มให้กำลังใจโดยไม่สนใจสายตาหาเรื่องของเพื่อนสนิท

“คุยอะไรกันก่อนหน้านี้เหรอครับ” เสียงทุ้มนุ่มดูเหมือนจะราบเรียบขึ้นนิดหน่อย ฉุดกระชากคนเหม่อให้หันกลับมามองหลังจากมองตามร่างสูงแต่ผอมบางของช่างทำขนมหนุ่ม ลอบกลืนน้ำลายแต่ไม่ยักจะมีอะไรเกิดขึ้น “ทานข้าวเถอะครับ เดี๋ยวผมจะออกไปหน้าร้านแล้ว”

และแล้วก็กลายเป็นมื้ออาหารที่เงียบกริบ เพราะไม่มีฝ่ายไหนยอมปริปากให้เสียงลอดพ้นผ่านลำคอออกมาเลย หลังจากจัดการกับมื้อเช้าของตัวเองอย่างรวดเร็วร่างสูงใหญ่ก็นำจานที่กินแล้วไปวางไว้ในอ่างล้างจานก่อนจะเดินหายไปยังหน้าร้านทิ้งให้อีกคนได้แต่กลืนข้าวลงไปอย่างสับสน ความหวาดหวั่นที่มักจะเก็บซ่อนไว้ได้อย่างดีเสมอฉายชัด คิดไม่ตกว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี เขาควรจะเปิดเผยสิ่งที่ซ่อนเร้นมาเกือบสองปีออกไปอย่างนั้นหรือ

ไม่รู้ว่าใจลอยอยู่นานเท่าไหร่เมื่อรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองเดินขึ้นมาถึงชั้นสามและก้าวข้ามบันไดขั้นสุดท้ายสู่ชั้นลอยที่ยังไม่มีโอกาสมาเยือนเสียแล้ว สวนสวยซึ่งถูกจัดแต่งอย่างดีไม่แพ้สวนด้านข้างร้าน...ที่เขาจำไม่ได้ว่าเคยมองอย่างจริงๆ จังๆ สักครั้งไหม

ครึ่งหนึ่งเปิดโล่งให้แดดส่องลงมาถึง ส่วนอีกครึ่งมีหลังคาทำจากวัสดุคล้ายไม้ ส่วนนั้นมีชุดเก้าอี้และชิงช้าตั้งวางอยู่ พื้นหญ้านุ่มใต้เท้าทำให้อากิระขยับตัวถอดรองเท้าแล้วใช้เท้าเปลือยเปล่าเดินไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่ง ทิ้งตัวลงนั่งแล้วยกขาขึ้นมาแนบอกกอดเข่าแน่น ดวงตาสีดำขลับเหม่อมองสวนสวยอย่างไร้จุดหมาย หูแว่วได้ยินเสียงน้ำไหลเอื่อยจากน้ำตกจำลองเล็กๆ ไม่ห่างนัก เสียงที่เหมือนดังมาจากที่ไกลแสนไกลเพราะตอนนี้ร่างโปร่งบางนั้นจมดิ่งลงสู่ภวังค์ความคิดของตัวเองไปเสียแล้ว

เขายังจำครั้งแรกที่ได้สบสายตากับนัยน์ตาสีสวยราวลูกแก้วนั้นได้เป็นอย่างดี มันแวววาวเป็นประกายระยิบระยับ ตอนที่ย้ายมาอยู่เมืองไทยเขาให้เพื่อนสนิทมารดาที่อยู่ที่นี่ช่วยหาบ้านให้หน่อย และพอดีว่าบ้านหลังที่เขาอยู่ปัจจุบันเจ้าของประกาศขายเพื่อเตรียมย้ายไปอยู่กับลูกสาวซึ่งแต่งงานกับเจ้าบ่าวชาวแคนาดา นอกจากจะอยู่ในซอยตันค่อนข้างลึกและตัวบ้านยังแยกเป็นเอกเทศ แม้จะอยู่ในรอบนอกของย่านธุรกิจที่ขึ้นชื่อว่าคนพลุกพล่าน แต่ก็สงบเงียบดีไม่น้อย แถมยังไม่ไกลจากที่อยู่ของเพื่อนสนิทแม่คนนี้มากนัก เขาจึงตกลงซื้อบ้านหลังนี้ต่อและได้แม่บ้านมาช่วยดูแลจากการจัดการของท่านอีกเช่นกัน

อากิระจำได้ว่าวันนั้นเขาตัดสินใจเดินออกมาจากบ้านซึ่งย้ายเข้ามาอยู่ได้เพียงไม่กี่วันหลังให้ช่างต่อเติมและจัดสวนเสร็จ เนื่องจากรู้สึกขาดแรงบันดาลใจในการเขียนงาน ไม่ได้ตั้งใจจะหยุดอยู่หน้าร้านกาแฟที่เขาสะดุดมองตั้งแต่ย้ายเข้ามาวันแรก  แต่เพราะร่างสูงใหญ่ที่กำลังแย้มยิ้มกับลูกค้าด้วยรอยยิ้มกว้างสว่างไสวนั่นต่างหาก มันพาขาเขาก้าวเข้าไปในร้านราวกับต้องมนตร์ และทันทีที่เจ้าของรอยยิ้มสังเกตเห็นเขาแล้วเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้ วินาทีนั้นเขาก็รู้สึกราวกับว่าโลกหยุดหมุนลงชั่วขณะ เขาได้ถูกดวงตาสีสวยคู่นั้นดึงดูดไว้จนไม่อาจถอนตัวได้อีก

นับแต่นั้นมันจึงกลายเป็นกิจวัติของเขาที่ต้องเดินออกมาจากบ้านเพื่อมานั่งอยู่ในสถานที่เดียวกับเจ้าของร้านหนุ่ม มองเงาสะท้อนอากัปกิริยาต่างๆ ผ่านกระจก ได้ยินเสียง ได้เห็นหน้าและสบตาเป็นครั้งคราว มันเป็นความสุขเล็กๆ ที่มาพร้อมกับความขมขื่นมากมายยามเห็นและรับรู้ว่ารอยยิ้มนั้น...ไม่ได้เป็นของเขาเพียงคนเดียว มีผู้หญิงมากมายได้รับมันไม่ต่างจากเขา หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไป

ชายหนุ่มอยากจะเลิกทำตัวน่าสมเพชอย่างที่ทำอยู่เสียที แต่สุดท้ายก็ไม่เคยทำได้เกินสองวัน เขาไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมตัวเองถึงได้โง่เง่าทำตัวเหมือนคนสิ้นคิดแบบนี้

‘เพราะรักยังไงละอากิ เพราะรักเราถึงยอมทุกอย่าง เมื่อถึงวันที่ลูกเจอคนที่ลูกรักจนหมดหัวใจ ไม่ว่าอะไรลูกก็สามารถยอมทำเพื่อเขาได้ทั้งนั้น’ เขาบอกตัวเองเสมอว่าไม่เคยเข้าใจและไม่คิดจะเข้าใจ แต่อากิระรู้ดีว่าตัวเองเข้าใจมันถ่องแท้แค่ไหน ตลกสิ้นดี วันหนึ่งเมื่อนานมาแล้วเขาเคยประกาศกร้าวว่าจะไม่ทำเหมือนมารดา ไม่เฝ้ารอความรักที่ไม่มีวันได้กลับมา...แล้วเป็นอย่างไร สุดท้ายก็ไม่แคล้วซ้ำรอยเส้นทางเดิม นั่นยังไม่นับว่าคนคนนั้นเป็นเพศเดียวกับตัวเองอีกด้วย

เขาไม่แน่ใจว่ารู้ตัวเมื่อไหร่ว่าไม่อาจละสายตาจากรอยยิ้มและดวงตาคู่นั้นได้ ไม่สามารถอยู่โดยไม่ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มคอยหยอกเย้าชวนคุยเรื่องไร้สาระที่เขาไม่เคยนึกฝันว่าตัวเองจะยอมทนนั่งฟัง แต่เมื่อรู้ตัวเขาก็ไม่อาจเดินจากไปได้แล้ว



“แอรอน...เฮ้ย แอรอน” เพิ่มเสียงขึ้นเมื่อเพื่อนนั่งเหม่อไม่ได้ยิน เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือกหันกลับมามองเพื่อนสนิท ขมวดคิ้วแล้วส่งคำถามทางสายตา ”ฉันว่านายขึ้นไปดูอากิระซังหน่อยดีกว่า ท่าทางแปลกๆ เมื่อกี้ฉันเข้าไปดูไม่เห็นอยู่บนชั้นสาม ในห้องนอนก็ไม่มี สงสัยจะอยู่บนชั้นลอย” นานทีปีหนตะวันฉายจะยอมลงทุนเดินออกจากอาณาจักรส่วนตัวมายังหน้าร้าน

“แปลกๆ? ยังไง” เพราะตัวเองก็กำลังอยู่ในช่วงใช้ความคิดเหมือนกันจึงไม่อยากเข้าไปป่วนความคิดใคร ตอนนี้เขาพยายามหาวิธีรุกหนักแบบไม่ให้อีกฝ่ายกลัวจนถอยหนี

ได้ยินคำถามคนเป็นเพื่อนกันมานานนมก็เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง “นี่อย่าบอกนะว่าหลังฉันออกมาจากครัวเล็กแกก็คิดนั่นนี่ไม่ยอมพูดอะไรแล้วก็เดินออกมาน่ะ...โอ้ย เพื่อนเวร ไหนว่าฉลาดนักหนาที่แท้ก็โง่ชัดๆ” แค่เห็นสีหน้าก็ฟ้องออกมากหมดแล้ว มีหรือคนที่เล่นกันมาตั้งแต่จำความได้จะดูไม่ออก แอรอนไม่ได้เป็นแบบนี้บ่อยหรอก ปาติชิเย่ร์หนุ่มไม่ได้ชมหรอกนะแต่เพื่อนเขาน่ะฉลาดจริงๆ ถ้านั่นไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เจ้าตัวมัวแต่มาใช้ความฉลาดแบบผิดๆ หาทางออก เพราะเรื่องบางเรื่องวิธีที่ถูกต้องก็ใช่ว่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดเสมอไป

“ไหนว่าด้านได้อายอด ภูมิใจนักหนาว่าตัวเองหน้าหนาเสริมเหล็กโบกปูนทับ ทำไมไม่ลองใช้ความหน้าด้านนี่ดูบ้างละ เผื่ออะไรมันจะได้ชัดเจนขึ้นมาบ้าง” ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย

แอรอนมองเพื่อนด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ามองเห็นทางสว่าง ผุดลุกขึ้นกระโจนผ่านประตูไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้บรรดาลูกจ้างมองตามด้วยความมึนงง ตะวันฉายถอนหายใจอีกครั้งแล้วออกคำสั่งแทน

“ดูร้านด้วยแล้วกัน ไม่รู้จะลงมาเมื่อไหร่ อ้อ แล้วไม่ต้องคิดขึ้นไปแอบดูเลยนะ เตือนไว้ก่อน” ประโยคหลังเจาะจงส่งให้หญิงสาวคนเดียวของร้านอย่างรู้ทัน ชเลรัศดิ์ทำหน้ายู่บ่นพึมพำด้วยความเสียดายเหลือแสนโดยไม่สนใจตอบคำถามหนุ่มน้อยช่างซักสักนิด

ด้านคนที่วิ่งขึ้นมายังชั้นลอยแบบไม่เหลียวหลังโดยไม่รู้ตัวเลยว่าพฤติกรรมของตัวเองนั้นสร้างความอยากรู้อยากเห็นให้คนอื่นจนอยากขึ้นมาแอบดูแค่ไหน ร่างสูงก้าวขึ้นไปยังสวนซึ่งเป็นพื้นที่หย่อนใจส่วนตัวด้วยฝีเท้าเงียบกริบ ตั้งใจจะอ้าปากพูดแต่ภาพที่เห็นทำให้เขากลืนคำเหล่านั้นแล้วสาวเท้าไม่กี่ก้าวเพื่อไปให้ถึงร่างโปร่งบางที่นั่งกอดเข่าบนเก้าอี้ไม้สีเหลืองสดใส ไหล่บอบบางนั้นสั่นเทาน้ำตารินไหลโดยไร้เสียงสะอื้นเหมือนวันก่อนไม่มีผิด

มือใหญ่ออกแรงดึงแขนข้างหนึ่งแล้วใช้อีกมือโอบรอบเอวบางๆ นั่นเข้ามาในอ้อมกอด “อากิ ร้องไห้ทำไม แย่จังเลยอากิจังของผมทำไมขี้แยแบบนี้นะ” คนถูกกอดเหมือนเพิ่งดึงตัวเองหลุดจากภวังค์ได้และรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นออกแรงดิ้นทันที

“ปล่อยนะ ปล่อยผมเดี๋ยวนี้” เสียงสั่นพร่าจนคนฟังได้แต่ทอดเสียงอ่อนหากยังคงความเด็ดขาดไว้

“ไม่ปล่อย จนกว่าจะบอกผมมาก่อนว่าทำไมต้องร้องไห้” เขาพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ แต่ดูเหมือนครั้งนี้จะไม่ได้ผล เพราะอีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่สามารถเก็บทุกอย่างไว้เพียงในใจได้อีกต่อไป

“อย่ามา...ล้อเล่นกับความรู้สึกคนอื่นนะ” ลูกครึ่งฝรั่งเศสรู้สึกได้ว่าร่างโปร่งบางในอ้อมแขนกำลังสั่นเทา

“ผมน่ะเหรอล้อเล่นกับความรู้สึกของอากิ”

“แล้วไม่ใช่หรือไง เพราะคุณเอาแต่ทำตัวเหมือนหมาหยอกไก่ คนโง่ๆ อย่างผมก็เลยมีแต่ความหวังลมๆ แล้งๆ!” ปล่อยโฮอย่างมาอย่างสุดกลั้น มือเรียวกำปกเสื้อสีดำเอาไว้แน่น ก้มหน้าลงด้วยไม่อยากให้อีกฝ่ายมองเห็นความน่าสมเพชของตัวเองไปมากกว่านี้ ”...ทั้งที่เคยพูดไว้แล้วแท้ๆ ทั้งที่พูดออกมาเองว่าจะไม่ทำตัวเหมือนท่านแม่ แต่สุดท้าย...สุดท้ายก็ไม่ต่างอะไรกันเลย” รำพันออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยจนคนฟังสงสารจับใจ

แอรอนเพิ่มแรงรัดแล้วปฏิเสธคำพูดนั้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่หรอก ไม่เหมือนหรอก อากิไม่ได้เหมือนท่านแม่...เพราะผมจะไม่เหมือนพ่อของอากิ ไม่เหมือนสักนิดเดียว...ผมจะไม่ปล่อยให้อากิรอโดยไม่ไปหา จะไม่ปล่อยให้อากิร้องไห้ลำพังคนเดียว จะไม่อยู่เฉยๆ ยอมให้ใครมารังแก เพราะอากิเป็นแสงสว่างของผม จะไม่ยอม...ให้แสงที่ส่องทางหายไป”

“ทำไมถึงบอกว่าผมทำตัวเหมือนหมาหยอกไก่ ตลอดมาผมบอกทุกครั้ง...อากิระซัง คิดถึงจึงครับ...อยากได้ยินเสียงอากิระซัง พูดให้ฟังหน่อย...อากิระซังไปเที่ยวกันไหม ไปดูหนัง ซื้อของด้วยกันนะ...อากิ ผมพูดทุกครั้งที่เจอกันไม่ใช่เหรอ หือ” เชยคางให้มองเห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตานั้นได้อย่างชัดเจน ดวงตาสีดำสั่นไหวราวกับกำลังไตร่ตรองว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นสามารถเชื่อได้หรือไม่

“เพราะ...ไม่ใช่ของผมคนเดียว รอยยิ้มของคุณ ดวงตาของคุณ...ไม่ได้มองผมคนเดียว” พูดออกไปก็เหมือนบอกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวที่อยากให้ทุกอย่างของเขาเป็นของตนเองทั้งหมด แต่คนฟังกลับยิ้มกว้าง

“ใครบอกว่าไม่ใช่ ดวงตาคู่นี้มองแค่คนคนนี้ รอยยิ้มจากหัวใจดวงนี้ส่งให้แค่คนเดียว...เพราะเอาแต่ก้มหน้า มองแค่เงาสะท้อนไม่ยอมมองมาสักนิดว่ารอยยิ้มกับสายตาของผมที่ให้อากิแตกต่างจากให้คนอื่นยังไง โทษผมไม่ได้นะรู้ไหม ต้องโทษตัวเองที่กลัวจนไม่ยอมมองมา แย่จังรู้อย่างนี้บอกไปตั้งนานแล้ว ไม่รอให้หันมามองเองหรอก...แต่อย่าโกรธผมเลยนะเรื่องเมื่อเช้า มัวแต่คิดอยู่ว่าจะทำยังไงไม่ให้อากิตกใจกับการรุกของผมดี ทำให้อากิรู้สึกไม่ดีเลย” อยากจะรอให้แน่ใจและให้อีกฝ่ายมองเห็น กลับกลายเป็นว่าสร้างบาดแผลให้พวกเขาทั้งคู่...ทั้งที่สองฝ่ายใจตรงกันมาแต่แรก

“หือ ว่าไง อยากถามเหรอว่าที่พูดไปทั้งหมดผมพูดจริงหรือเปล่า...ที่พูดไปทั้งหมดคือเรื่องจริง ไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าอากิอยู่ในสายตาของผมมาตั้งนานแล้ว”

“นานหรือ...ผมน่ะสองปีแล้วนะ” หัวใจของเขาอยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นจริงได้แน่หรือ ความรักของเขาจะสมหวังจริงๆ น่ะเหรอ

“นี่ เคยได้ยินไหมว่าคนที่รักก่อนจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ...มากกว่านั้นนะ ของผมน่ะมากกว่านั้น...นานมาก” แอรอนยิ้มอ่อนโยนให้สีหน้างุนงงของอีกฝ่าย ก่อนจะคลายอ้อมกอดแล้วรั้งร่างโปร่งบางให้เดินตามลงไปยังห้องนอนของเขา นักเขียนหนุ่มปลิวตามแรงดึงเหมือนไม่มีสติ เขากำลังคิดทบทวนว่าเคยเจอผู้ชายคนนี้มาก่อนหน้านี้อีกเหรอ

เมื่อเปิดประตูห้องนอนเข้าไปร่างสูงก็ตรงไปยังตู้เซฟเล็กๆ ในห้อง หมุนรหัสเพื่อเปิดเซฟซึ่งเขาไม่ยอมให้ใครแตะต้องมันแม้แต่ตอนที่ย้ายมันมาที่นี่เขาก็เป็นคนขนมันเองกับมือ ภายในเซฟมีกล่องกำมะหยีสีน้ำเงินขนาดครึ่งเอสี่เพียงกล่องเดียว แอรอนหยิบกล่องนั้นออกมาแล้วดึงอีกคนไปที่เตียง ทิ้งตัวลงนั่งโดยรั้งให้อากิระนั่งตาม เขาเปิดกล่องออก ด้านในมีของเพียงสองสิ่ง หนึ่งคือรูปถ่ายสองใบและสองคือถุงเครื่องรางผ้าไหมสีแดงที่มีรอยขาดตรงกลางเป็นรู

“นี่ใครเอ่ย จำได้ไหม” ชายหนุ่มโอบร่างที่แข็งค้างไปแล้วมานั่งพิง รูปถ่ายใบที่เขาหยิบขึ้นมานั้นเป็นรูปที่ถ่ายจากด้านข้าง...เด็กผู้ชายตัวสูงเก้งก้างเพราะสายเลือดชาวยุโรปในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวทับด้วยสูทสำหรับเด็กและกางเกงขายาวสีดำ แขนขวาเข้าเฝือกคล้องคอไว้ กับเด็กอีกคนที่ตัวเล็กกว่าเกือบครึ่งในชุดกิโมโนสีชมพู ผมยาวถูกรวบไว้ครึ่งศีรษะประดับดอกไม้ เหมือนเด็กผู้หญิงไม่มีผิด


เหลืออีกไม่กี่ตอนก็ใกล้จะจบแล้วนะคะ อัพฉลองวันเกิดให้ตัวเอง อิอิ HBD to meeee  :mew1: ฝึกงานก็เหนื่อยเหมือนกันค่ะ แต่สนุกดี ไว้จะมาเล่าให้ฟังนะคะ ตอนนี้เพลียมากเลยยยย  :katai5:

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
โอ๊ะโอ เคยเจอกันมาก่อนหรานิ แฮปปี้เบิร์ดเดย์คนเขียนน๊า

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
ที่แท้คุณเจ้าของร้านเคยเจออากิระมาก่อน
อย่างนี้ก็แอบรักมานานแล้วสิ  น่ารักอ่ะ


krenr

  • บุคคลทั่วไป
แหมๆ เขาปักใจรักมาตั้งแต่เด็กกันเลยเชียว
น่ารักดีค่ะ ทั้งอากิจังและแอรอน
ขอบคุณคนเขียนน้า  :กอด1:

ออฟไลน์ k00_eng^^

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 647
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-2

ออฟไลน์ IRIS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 434
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด