...14...
ในวันนัดหมายทั้งคู่เดินทางจากโตเกียวไปยังเมืองเกียวโต ซึ่งเป็นเมืองเก่า ตระกูลเก่าแก่หลายตระกูลอยู่ที่นี่ รวมถึงตระกูลฟุจิวาตะ ซึ่งเป็นตระกูลนักรบตั้งแต่สมัยเอโดะ สถานที่นัดหมายเป็นร้านอาหารแห่งหนึ่งในย่านเก่า พวกเขามาถึงก่อนเวลานัด แอรอนจึงจำใจปล่อยให้คนรักนั่งรอที่โต๊ะริมซึ่งอยู่ติดกับกระจกเพียงลำพัง ส่วนเขาไปนั่งที่โต๊ะอีกด้านซึ่งสามารถมองเห็นโต๊ะตัวดังกล่าวได้ชัดเจน
บ่ายโมงตรงคือเวลานัด อีกฝ่ายมาถึงตรงเวลาพอดิบพอดี อากิระวางถ้วยชาลงแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อโค้งตัวให้ตามธรรมเนียมแม้ว่าใจจริงเขาจะไม่อยากทำนักก็ตาม ตรงข้ามกับอีกฝ่ายที่ไม่ยอมรับการทักทายนั้นถึงจะเป็นการทำตามมารยาทก็ตาม ซึ่งนักเขียนหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจนักเพราะเขาทำไปเพราะมันเป็นสิ่งที่คนมีการศึกษาเขาทำกัน และเขาเองก็มั่นใจว่าตัวเองมีการศึกษาและหัวคิดเพียงพอ ดูเหมือนวันนี้ฟุจิวาตะ อายาโนะจะไม่ได้มาคนเดียว หญิงวัยกลางคนซึ่งดูแลตัวเองเป็นอย่างดีในชุดสมัยใหม่มีรสนิยมมาพร้อมกับหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง...เป็นใครไปไม่ได้นอก ฟุจิวาตะ ยูกิเนะ น้องสาวต่างแม่ของเขา
“คิดจะคืนแล้วหรือยังไงของที่หน้าด้านแย่งชิงไปน่ะ น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้วนะเรื่องจะได้ไม่ต้องบานปลายมาถึงตอนนี้” ไม่คิดจะทักทายทันทีที่นั่งลงและวางกระเป๋าคำพูดที่ไม่น่าออกจากปากคนในตระกูลมีเกียรติก็หลุดออกมา
“ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าคำพูดพวกนี้จะออกมาจากปากสะใภ้ตระกูลฟุจิวาตะ” อากิระสูดลมหายใจเข้าปวดยกมุมปากขึ้น ไม่เข้าใจนักทำไมผู้หญิงที่แสนดีและมีการศึกษาอย่างมารดาของเขาถึงได้พ่ายแพ้ต่อคนประเภทนี้
แน่นอนว่าคนฟังเข้าใจชัดเจนว่าโดยด่า ฟุจิวาตะคนแม่สั่นเทิ้มด้วยความโกรธแต่ก่อนจะได้ทำอะไรลูกสาวก็คว้าแขนเอาไว้เสียก่อน “หนูพูดเองค่ะท่านแม่...ตกลงว่าการที่คุณขอนัดเราออกมาวันนี้ต้องการอะไรกันแน่ ถ้าจะคืนโฉนดที่ดินก็คืนมา จะได้แยกย้ายไม่ต้องเกี่ยวข้องกันอีก” ดูท่าลูกสาวจะมีสติและหัวคิดมากกว่า สมกับที่จบมาจากมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียง
“โฉนดที่ดิน? คงเข้าใจอะไรคลาดเคลื่อนไปหรือเปล่า เพราะของที่คุณแม่คุณต้องการมันเป็นแค่บ้านพักหลังเล็กๆ ไม่กี่สิบตารางเมตรในชนบทห่างไกล ไม่ใช่ที่ดินผืนใหญ่โตอะไรเลย” คิ้วเรียวขมวดก่อนจะคลายออกเมื่อเห็นสีหน้าคล้ายกับยุ่งยากใจของคนแม่และความงุนงงที่แสดงออกมาจากแววตาคนลูก
“ไหนท่านแม่บอกว่าเป็นที่ดินผืนใหญ่ไม่ใช่เหรอคะ”
“เอ่อ ที่ดินแม่ได้คืนมาแล้วจ๊ะแต่ยังเหลือ...”
“ขอโทษนะครับ ผมอยากจะให้ทำความเข้าใจให้ตรงกันสักนิดว่าเริ่มแรกผมไม่มีความจำเป็นต้องคืนไม่ว่าจะอะไรก็ตามที่...ฟุจิวาตะ เรียวทาโร่ ยกให้แม่ของผมเพราะมันเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมตามกฎหมาย แต่เราก็คืนให้พวกคุณไปหมดเหลือแค่บ้านหลังนั้นหลังเดียว ผมว่าพวกคุณก็น่าจะพอใจได้แล้วนะ” อากิระไม่อยากฟังเรื่องปั้นแต่งของผู้หญิงคนนี้อีก เขาเบื่อเต็มทน
“สิทธิ์อะไรไม่ทราบ สิทธิ์ของการเป็นเมียน้อยชาวบ้านน่ะเหรอ” อายาโนะเถียงด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง
คราวนี้เป็นนักเขียนหนุ่มเองที่เป็นฝ่ายโกรธบ้าง “เมียน้อยงั้นเหรอ? ถ้าพูดกันตามจริงคุณเองต่างหากที่น่าจะถูกเรียกแบบนั้น เพราะแม่ของผมมาก่อนคุณ ได้บอกลูกๆ ของคุณหรือเปล่าละผมเป็นพี่ชาย อายุมากกว่า...หมายความว่าอะไร หมายความว่าผมเกิดก่อนยังไงละ ส่วนคุณก็แค่คนมาทีหลังที่มีใบทะเบียนสมรส!”
“แก!...” หญิงวัยกลางคนโกรธจนตัวสั่น
“อย่า! กรุณาช่วยรักษามารยาทและเกียรติยศตระกูลเก่าแก่ที่แม่ของผมต้องยอมถอยเพราะไม่มีเหมือนคุณ ช่วยดูแลมันหน่อยเพราะถ้าไม่มีมันคุณคงไม่มีวันนี้” ใช่ แม่ของเขาแพ้เพราะเป็นคนต่างชาติ เป็นผู้หญิงธรรมดาที่ไม่ได้เกิดมาจากตระกูลผู้ดี ซึ่งครอบครัวของผู้ชายคนนั้นทำใจยอมรับไม่ได้
“คุณพูดเกินไปหน่อยหรือเปล่า ถึงความจริงจะเป็นยังไงก็กรุณาให้เกียรติแม่ฉันด้วย” ยูกิเนะเรียกสติหลังรับรู้ความจริงที่เธอไม่เคยได้รู้มาก่อน มารดาไม่เคยบอกว่าทุกอย่างเป็นมาอย่างไรเธอรู้เพียงว่าบิดามีผู้หญิงอื่นและมีลูกเกิดขึ้นมา แล้วผู้หญิงคนนั้นกับลูกของหล่อนก็มาเรียกร้องเอาทรัพย์สมบัติ แต่ถึงอย่างไรเธอก็มีแม่คนเดียว
“ผมให้เกียรติเสมอ ยอมมาทุกอย่าง ไม่เอาอะไรเลยทั้งที่ถ้านับกันตามความจริง ผมมีสิทธิ์จะได้มรดกอย่างน้อยหนึ่งในสิบด้วยซ้ำ” เมื่ออายุครบสองปีในปีที่น้องชายหญิงต่างแม่เกิด ฟุจิวาตะ เรียวทาโร่แอบจดทะเบียนรับเขาเป็นบุตรอย่างถูกต้องตามกฎหมายแบบลับๆ เขาจึงสามารถใช้นามสกุลฟุจิวาตะได้ ทั้งที่ความจริงก็ไม่ได้อยากจะใช้
“แกยังคิดจะแย่งเอามรดกอีกเหรอ!”
นักเขียนหนุ่มมองคนที่แทบจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ตรงหน้าด้วยความรังเกียจ “ผมไม่เอาหรอกมรดกของคุณน่ะ ก็แค่สิ่งที่ตายไปก็เอาไปไม่ได้ อีกอย่างแค่นั้นผมหาได้สบายอยู่แล้ว เผลอๆ จะหาได้มากกว่านั้นไม่รู้กี่เท่า” ไม่ได้จะอวดเบ่งแต่อย่างใด อากิระเข้าวงการงานเขียนมาตั้งแต่อายุสิบห้า ปีนี้ก็เป็นปีที่สิบสองแล้ว ชื่อเสียงและยอดขายหนังสือแต่ละเล่มของเขาติดอับดับต้นๆ เสมอ ปีหนึ่งเขามีหนังสือออกวางแผงอย่างต่ำหกเล่ม รายได้ต่อปีของเขาจึงไม่ใช่น้อยๆ นอกจากนั้นเขายังเป็นคนง่ายๆ ถ้าไม่นับเงินที่ต้องจ่ายให้ค่าอุปโภคบริโภคแล้วเขาแทบไม่ต้องควักออกจากกระเป๋าเลย
“สมบัติตั้งมากมายยังไม่เพียงพอที่จะถมความอยากได้อยากมีของคุณอีกเหรอ...การพบกันครั้งนี้ผมคิดว่าคงจะเป็นครั้งสุดท้ายและก็ขอให้คุณรู้เอาไว้เลยว่าผมจะไม่ยกบ้านหลังนั้นให้คุณแน่นอน ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีไหนก็ตาม คุณก็จะไม่มีทางได้มันไป” จากแววตาดูเหมือนอากิระเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าสำหรับผู้หญิงคนนี้ ความกระหายอยากที่มีไม่ใช่อะไร แต่เป็นการอยากเอาชนะ อยากขึ้นไปอยู่เหนือกว่าในทุกอย่าง...แม้ว่าคนคนนั้นจะไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้วก็ตาม จะบอกว่าน่าสงสารหรือยังไงดี เขาเองก็ไม่เข้าใจผู้หญิงนัก
“ดูเหมือนแกจะยังไม่เข็ด คนของฉันคราวที่แล้วคงทำงานไม่ได้เรื่องสินะถึงได้ขู่แล้วแกไม่สะทกสะท้าน คราวนี้เอาใหม่ ลองเป็นอะไรดี...คนของฉันสักสี่ห้าคนเป็นไง หน้าตาอย่างแกคงคิดว่าเป็นผู้หญิงได้อยู่หรอก”
ร่างโปร่งบางที่ลุกจากเก้าอี้ชะงัก ตวัดสายตามอง ไม่คิดเลยว่าความคิดชั่วร้ายน่ารังเกียจแบบนี้จะออกมาจากสมองของคนที่ตั้งตนว่าสูงส่ง
“กฎหมายที่นี่เขาคงไม่ปล่อยให้ใครกล้าทำเรื่องร้ายกาจกันง่ายๆ หรอกใช่ไหมครับ ถึงจะเป็นคนที่ใช้นามสกุลเดียวกัน ถือว่าเป็นครอบครัวก็เถอะ...แล้วยิ่งตอนนี้อากิเองก็ไม่ได้ใช้นามสกุลฟุจิวาตะแล้วด้วย เห็นทีว่าคุณผู้หญิงคงต้องพับเก็บความคิดสกปรกนั่นชนิดว่าต้องปิดตายให้ดีเลยนะครับ ไม่อย่างนั้นผมว่าตระกูลของคุณแม้แต่ที่ยืนในบ้านเกิดก็คงจะไม่เหลือ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของร่างสูงใหญ่ในชุดสูทแบบไม่เป็นทางการ แอรอนลุกจากโต๊ะมารับคนรักเมื่อเห็นว่านักเขียนหนุ่มขยับตัวลุกจากที่นั่ง มาทันได้ยินประโยคที่ทำให้เขาเดือดดาลจนไม่อยากเก็บยัยป้าสารเลวนี่ไว้อีกด้วยซ้ำ
อากิระเงยหน้าขึ้นมองคนที่ก้าวเข้ามายืนข้างๆ ใบหน้าหล่อเหลาแสยะยิ้มอย่างที่เขานึกกลัวใจ ขนาดว่านัยน์ตาเย็นเหยียบคู่นั้นไม่ได้ใช้มองเขายังนึกตัวสั่นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล อ้อ แล้วเขาก็เพิ่งรู้นี่ละว่าคนตัวโตพูดภาษาญี่ปุ่นได้ แบบชัดถ้อยชัดคำเสียด้วย
“ตอนนี้อากิไม่ใช่คนตระกูลฟุจิวาตะอีกแล้ว รับรู้เสียใหม่และเรียกให้ถูกด้วยนะครับ อากิระ เลตินี่ ไม่ใช่ ฟุจิวาตะ อากิระ...หวังว่าจะชัดเจนพอ” ท่าทางมีอำนาจและดุดันนั้นทำให้คนฟังตัวสั่นได้พอๆ กับเนื้อหาของประโยค
อย่างที่แอรอนบอก ตอนนี้หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นไม่ได้ใช้นามสกุลเดียวของผู้เป็นพ่ออีกแล้ว ตระกูลเลตินี่รับคนรักของลูกชายคนโตมาเป็นลูกชายอีกคน ทั้งที่ตอนแรกคุณสุธาสินีอยากจะให้จดทะเบียนสมรสด้วยซ้ำ แต่อากิระปฏิเสธท่าเดียวจนท่านต้องล้มเลิกความตั้งใจไปในที่สุด
“อะ อะไรนะ...” สองแม่ลูกฟุจิวาตะถึงกับพูดไม่ออก แน่นอนว่าตระกูลฟุจิวาตะเองก็อยู่วงการธุรกิจมีหรือจะไม่รู้จักผู้ทรงอิทธิพลของวงการธุรกิจทั่วโลกที่แค่ดีดนิ้วครั้งเดียวก็สามารถทำให้เศรษฐกิจของโลกซวนเซได้
“ชัดเจนดีแล้วสินะครับท่านแม่” เสียงทุ้มอีกเสียงดังขึ้นจากข้างด้านหลัง ทั้งหมดหันไปมองคนมาใหม่ ชายหนุ่มร่างสูงสง่าองอาจราวกับซามูไรในชุดกิโมโนผ้าไหมสีเข้มลวดลายประจำตระกูล...กิ่งดอกท้อ “สวัสดีครับเมอสิเออร์เลตินี่ ฟุจิวาตะ เคียวยะ ผู้นำตระกูลฟุจิวาตะครับ...เพิ่งมีโอกาสได้พบกันนะครับท่านพี่” ร่างสูงโค้งตัวตามธรรมเนียมให้แอรอนก่อนจะทำแบบเดียวกันเพียงแต่ก้มลงต่ำอีกนิดให้กับพี่ชายต่างมารดา เขาดูเหมาะสมกับตำแหน่งสูงสุดของตระกูลแม้จะอายุเพียงยี่สิบห้าปี
“เคียวยะ/ท่านพี่เคียวยะ!”
“ขอเชิญท่านพี่กับเมอสิเออร์เลตินี่ให้เกียรติไปพูดคุยกันที่บ้านฟุจิวาตะหน่อยได้ไหมครับ”
“เคียวยะ นี่ลูก?!...” อายาโนะพูดไม่ออก ฝาแฝดคนพี่ไม่ได้หัวอ่อนว่าง่ายและติดหล่อนเหมือนลูกสาว ตั้งแต่เล็กเขาก็เป็นคนที่มีความคิดอ่านและบุคลิกที่เป็นผู้ใหญ่เกินอายุ อีกทั้งยังเคร่งขรึมเด็ดขาดจนกระทั่งอายุครบยี่สิบปีก็ขึ้นรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูล ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่ปีก็สามารถควบคุมทุกอย่างไว้ในกำมือได้ แม้แต่แม่อย่างหล่อนยังต้องเกรงใจลูกชายคนโต
อากิระมองหน้าน้องชายอายุน้อยกว่าสองปีอย่างพิจารณา แต่เขาก็ไม่พบสิ่งใดนอกจากความมั่นคงหนักแน่น ไม่มีแววโกรธเกลียดหรือแม้แต่รังเกียจลูกนอกสมรสอย่างเขา ร่างโปร่งบางเงยหน้าขึ้นราวกับต้องการถามความเห็นของคนรัก ซึ่งแอรอนทำเพียงยิ้มให้อย่างอ่อนโยน และพร้อมจะเคารพในการตัดสินใจของคนตัวเล็กกว่า
“เป็นเรื่องที่พูดกันที่นี่ไม่ได้งั้นเหรอ” หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นไม่ได้รังเกียจที่จะพูดคุยกับน้องชายแต่ใจจริงเขาไม่อยากไปเหยียบบ้านหลังนั้น ขนาดเฉียดใกล้ยังไม่เคยคิดด้วยซ้ำ
“ผมมีบางอย่างจะให้กับท่านพี่น่ะครับ เป็นของสำคัญมาก อยากจะให้ท่านพี่ไปรับด้วยตัวเอง”
“เคียวยะ!” ฟุจิวาตะคนแม่ร้องเสียงแหลม แต่เมื่อลูกชายหันมาสบตาก็ได้แต่ปิดปากไม่กล้าพูดอะไรอีก
ถ้าอย่างนั้นก็ขอรบกวนด้วย”
คำตอบรับนั้นทำให้อากิระได้มีโอกาสไปเยือนตระกูลของบิดาเป็นครั้งแรก บ้านหลังนี้ก็เหมือนกับบ้านของตระกูลเก่าหลายๆ ตระกูล เป็นแบบญี่ปุ่นแท้และมีเรือนแยกหลายหลัง เคียวยะเดินนำผ่านสวนหินไปยังเรือนใหญ่ท่ามกลางสายตาสงสัยใคร่รู้ของทั้งคนในตระกูลและบรรดาคนรับใช้ แม้จะได้รับการต้อนรับอย่างดีจากหัวหน้าตระกูลแต่คำว่าประมาทก็ไม่เคยออกในพจนานุกรรมของแอรอน เลตินี่ บอดี้การ์ดฝีมือดีเกือบสิบคนตบเท้าเข้าไปพร้อมกับเจ้านายทั้งที่ในตอนแรกมีเพียงแค่เลติสเท่านั้นที่ติดตามชายหนุ่มเป็นเงาตามตัว
“หวังว่าคงจะไม่ว่าอะไรนะครับ ลูกน้องผมมีแต่คนขี้ห่วง” คนตัวโตยิ้มให้แต่รอยยิ้มนั้นไม่ได้ไปถึงดวงตาเลย
“ตามสบายครับ เดี๋ยวผมจะให้พ่อบ้านอำนวยความสะดวกให้...เชิญทางนี้ครับ” เคียวยะเชิญพี่ชายและแขกอีกคนเข้าไปในห้อง ก่อนจะนั่งลงบนเบาะรองนั่งและผายมือเชิญไปทางเบาะอีกสองอันที่อยู่ตรงข้าม ชายหนุ่มอายุน้อยมองพี่ชายต่างมารดาที่นั่งลงด้วยกิริยาอย่างผู้ที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีด้วยความชื่นชม
ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกรังเกียจแม้แต่น้อยเมื่อรู้เรื่องราวจากคนสนิทบิดาซึ่งตอนนี้ทำหน้าที่ดูแลเขา เรียกว่าเห็นใจด้วยซ้ำเพราะถึงอย่างไรแม่ของเขาก็มาทีหลัง เขาไม่ได้มีความสนใจในเรื่องราวของพี่ชายต่างมารดานักเพราะตัวเองก็มีเรื่องให้ทำให้คิดมากพอแล้ว และรู้มาว่าผู้เป็นพี่ชายเองก็มีความสามารถ ไม่ได้เดือดร้อนขัดสนในด้านความเป็นอยู่และเงินทอง จนกระทั่งการกระทำของมารดาเริ่มจะทำให้ชายหนุ่มหมดความอดทนรวมถึงการติดต่อจากลูกชายคนโตของตระกูลเลตินี่ทำให้เขาอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป เมื่อรู้ว่าสองฝ่ายนัดพบกันเขาจึงตามไปเพื่อที่จะจัดการปัญหานี้ด้วยตัวเอง
เมื่อสาวใช้ยกชาและของว่างมาวางและปิดประตูลงเคียวยะก็ทำในสิ่งที่อากิระไม่คิดว่าน้องชายจะทำ ไม่สิ เขาไม่จำเป็นต้องทำด้วยซ้ำ แต่ที่ชายหนุ่มทำเพราะเขารู้สึกติดค้าง...ติดค้างให้กับพี่ชายต่างมารดาและคนรักของบิดา “ต้องขออภัยท่านพี่อย่างสูงกับการกระทำของท่านแม่ของผมที่ได้ทำให้ท่านพี่เดือดร้อนและขุ่นเคืองใจ ผมไม่ขอให้ท่านพี่ให้อภัย แต่เพียงอยากจะขอให้ท่านพี่โปรดอย่าได้ชิงชังตระกูลฟุจิวาตะและตัวท่านพ่อเลยนะครับ”
อากิระรู้สึกเหมือนมองเห็นตัวเองที่บ้านเลตินี่เมื่อสัปดาห์ก่อน “ฟุจิวาตะซัง...”
“โปรดเรียกผมว่าเคียวยะเถอะครับ ถึงท่านพี่อาจจะไม่อยากเรียกผมว่าน้องชาย แต่ในสายตาของผมท่านพี่เป็นพี่ชายที่น่าภาคภูมิใจที่สุดครับ” น้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงของเขาดังเข้าไปถึงหัวใจคนเป็นพี่ชาย...คนตระกูลฟุจิวาตะอาจจะไม่ได้เลวร้ายทุกคน อย่างน้อยคุณป้าซายะที่ช่วยเลี้ยงดูเขาและดูแลมารดาก็เป็นฟุจิวาตะที่ดี
“...เคียวยะ ขอโทษจริงๆ ที่ความรู้สึกของพี่มาไกลเกินกว่าจะย้อนกลับได้แล้ว ทั้งเรื่องของตระกูลและเรื่องของ...ฟุจิวาตะ เรียวทาโร่ พี่จะไม่ชิงชังและเลิกโกรธแค้น แต่จะให้รักคงไม่ได้ ถ้าทำเหมือนคนไม่รู้จัก ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวก็คงพอไหว สำหรับนาย ถ้าเห็นพี่เป็นพี่ละก็พี่ก็พร้อมจะเชื่อว่านายเป็นน้องชายนะ” อากิระอยากจะลองปล่อยวางความรู้สึกที่มี ให้มันกลายเป็นความว่างเปล่า คือทั้งไม่รักและไม่เกลียด
“เรื่องตระกูลผมจะไม่ถามท่านพี่อีก แต่เรื่องท่านพ่อขอให้ท่านพี่กรุณาดูของสิ่งนี้ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจได้ไหมครับ” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นก่อนจะยืดตัวตรง ประตูห้องด้านในเปิดออกด้วยมือของชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ซึ่งนักเขียนหนุ่มรู้จักดี คนสนิทของบิดาที่คอยเป็นตัวแทนจัดการหลายอย่าง เป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง
“ท่านอากิระ ไม่พบกันนานเลยนะครับ สบายดีใช่ไหมครับ”
“สบายดีครับ คากามิซัง”
“ท่านพี่ เปิดดูหน่อยเถอะครับ” หัวหน้าตระกูลหนุ่มเลื่อนกล่องไม้ทรงสูงขนาดกลางมาตรงหน้า อากิระก้มลงมองชั่งใจเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดกล่อง
ภายในมีของอยู่หลายอย่าง ใต้สุดคือกิโมโมลายซากุระสีชมพูซึ่งดูคุ้นตานักเขียนหนุ่มอย่างประหลาด ถัดขึ้นมาเป็นหนังสือเล่มแรกๆ ของเขาในสามปีแรกของการเขียนหนังสือ ของเล่นท่าทางเก่าอีกสองสามชิ้น และอัลบั้มรูปอีกสองสามอัลบั้ม มือเรียวหยิบอัลบั้มรูปถ่ายออกมาเปิดดู ยิ่งพลิกเปิดมากขึ้นเท่าไหร่หัวใจเขาก็เต้นแรงขึ้นเท่านั้น มันทั้งอึดอัดและเบาโหวงอย่างบอกไม่ถูก ทุกภาพล้วนแล้วแต่เป็นภาพของเขาและมารดา ทั้งเดี่ยวและคู่ในอิริยาบถต่างๆ ตอนยังเป็นทารก นอนคว่ำ เริ่มคลาน หัดเดิน จนกระทั่งเข้าอนุบาล ขึ้นชั้นประถม มัธยมต้นจนสุดที่มัธยมปลาย ภาพสุดท้ายของอัลบั้มคือภาพในวันจบการศึกษา ด้านล่างภาพใบนั้นมีกระดาษเขียนติดเอาไว้
‘อากิจบม.ปลายแล้ว ได้ยินว่าจะสอบเข้าที่โตได อยากจะเห็นวันนั้นจริงๆ’ความรู้สึกบางอย่างเอ่อขึ้นมาจุกอกจนอากิระหายใจไม่ออก ดวงตาของเขามองเห็นได้ไม่ชัดเจนนักเพราะม่านน้ำตาที่บดบัง เขาตั้งใจว่านับแต่นี้จะไม่ร้องไห้อีกแล้วแท้ๆ สุดท้ายผู้ชายคนนั้นก็ทำให้เขาต้องเสียน้ำตา
“นี่เป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่นายท่านเขียนก่อนจะเสียครับ” คากามิล้วงมือเข้าไปหยิบซองจดหมายสีขาวซึ่งซีดเหลืองตามกาลเวลาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้ ร่างโปร่งบางยื่นมือสั่นเทาออกไปรับอย่างลังเล กลัวเหลือเกินว่าความเกรียดชังที่มีกว่ายี่สิบปีจะเป็นความรู้สึกที่สูญเปล่า เขารับซองจดหมายมาเปิดแล้วคลี่กระดาษด้านในออกอ่าน
ถึงอากิคุง ลูกชายที่น่ารักของพ่อ
ไม่รู้ว่าลูกจะมีโอกาสได้อ่านจดหมายฉบับนี้ของพ่อไหม ลูกอาจจะฉีกทิ้งหรือไม่ก็จุดไฟเผาทันทีที่ได้มาเลยก็ได้ แต่ถ้าลูกมีโอกาสได้อ่านมันพ่อก็อยากจะบอกว่าพ่อขอโทษลูกจริงๆ ขอโทษที่ต้องทำให้ลูกแล้วก็แม่ของลูกเจ็บปวด พ่อมันก็แค่ผู้ชายไม่ได้เรื่องที่ไม่สามารถปกป้องดูแลครอบครัวของตัวเองได้ ถ้าพ่อเข้มแข็งมากกว่านี้ ผู้หญิงคนเดียวที่รักและเลือดเยื้อเชื้อไขของตัวเองคงจะไม่ต้องระหกระเหิน จะโทษท่านปู่ของลูกที่ไม่สามารถยอมรับลูกสะใภ้ชาวต่างชาติที่เป็นคนธรรมดาไม่ได้มาจากตระกูลสูงฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ ต้องโทษพ่ออ่อนแอคนนี้อีกคน ถ้าพ่อยืนกรานและคัดค้านอย่างสุดกำลังและสามารถทำให้ท่านปู่ยอมรับได้ เรื่องทั้งหมดคงไม่เกิดขึ้น
พ่อยอมแต่งงานเพื่อแลกกับการที่ท่านปู่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับลูกและแม่ของลูก และสัญญาว่าจะไม่ไปพบหน้าโดยเด็ดขาด แต่พ่อก็แอบไปหาแม่กับลูกอยู่บ่อยๆ จนกระทั่งท่านเริ่มละแคะละคายและยื่นคำขาดว่าพ่อจะต้องทำให้สะใภ้ที่ท่านเลือกให้นั้นตั้งท้อง ไม่อย่างนั้นท่านจะหาทางส่งแม่กับลูกกลับประเทศไทย นั่นหมายความว่าพ่ออาจจะไม่มีโอกาสเจอคนที่พ่อรักอีก และพ่อก็ผิดอีกที่คิดตื้นๆ ว่าแค่ทำให้ท่านปู่มีหลานสืบทอดตระกูลทุกอย่างคงจะง่ายกว่านี้ ตรงกันข้ามพ่อประเมินผู้หญิงคนนั้นต่ำไป อายาโนะ ไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีและเรียบร้อยอย่างที่แสดงออกมา เธอจับตาดูพ่อทุกฝีก้าวโดยมีท่านปู่คอยให้ท้าย ทำให้พ่อไม่สามารถไปหาลูกกับแม่ได้ เพราะพ่อไม่รู้ว่าถ้าเรื่องนี้ไปถึงหูผู้หญิงร้ายกาจคนนั้น เมื่อเธอรู้เข้าจะเกิดอะไรขึ้น
สุดท้ายพ่อเลยต้องขอให้คุณพี่ซายะกับคากามิช่วยดูแลลูกกับแม่แทนพ่อ คุณป้าของลูกส่งรูปมาให้พ่อทุกสัปดาห์ ลูกชายของพ่อน่ารักแล้วก็สวยเหมือนแม่ไม่มีผิด พ่ออยากให้ลูกมีความสุขและสว่างสดใสเหมือนชื่อของลูก เจ้าตัวเล็กของพ่อที่น่ารักน่าเอ็นดู ตอนลูกใส่กิโมโนก็ยิ่งน่ารัก พ่อชอบตอนที่ลูกไว้ผมยาว พ่อแอบเสียดายมากๆ ตอนที่คุณป้าซายะส่งรูปตอนเข้าชั้นประถมมาให้ดู แย่จริงๆ ที่ต้องตัดผมจนสั้น
คุณป้าเล่าว่าลูกชายพ่อเรียนเก่งมากๆ สอบได้คะแนนเต็มเกือบทุกวิชา อ้อ ยกเว้นวิชาพละสินะ เพราะอากิคุงของพ่อไม่ชอบวิ่งเล่นมาตั้งแต่เด็ก ลูกชอบนั่งมองต้นไม้ดอกไม้แล้วก็ชอบให้แม่อ่านหนังสือให้ฟัง พออ่านเองได้คราวนี้ก็ไม่ง้อคุณแม่แล้ว พ่อไม่ห่วงเรื่องการเรียนของลูกเพราะพ่อรู้อยู่แล้วว่าลูกชายของพ่อเก่งแค่ไหน ก็แม่ของลูกเก่งขนาดนั้นนี่นาลูกจะไม่เก่งเหมือนแม่ได้ยังไงละ จริงไหม
แล้วอยู่มาวันหนึ่งคุณป้าก็ส่งหนังสือเล่มหนึ่งมาให้พ่อบอกว่าอากิคุงเป็นคนเขียน พ่อแปลกใจมากแต่ก็เปิดอ่าน พออ่านจบพ่อก็หัวเราะออกมาจนคากามิขมวดคิ้วมอง ถามว่าหัวเราะทำไม พ่อก็เลยตอบเขาไปว่าจะทำยังไงดี ตอนนี้พ่อภูมิใจในตัวลูกชายของพ่อจนแทบจะลอยได้แล้ว...อากิคุง พ่อภูมิใจในตัวลูกมากเลยนะ เล่มต่อๆ มาพ่อก็อ่านทุกเล่ม ลูกของพ่อเก่งแล้วก็มีพรสรรค์ อีกปีสองปีจะต้องกลายเป็นนักเขียนขายดีที่ไม่มีใครไม่รู้จักแน่ๆ ถึงพ่ออาจจะไม่ได้อยู่ดูก็ตาม พ่อเชื่อว่าลูกชายของพ่อจะต้องทำได้แน่นอน
คากามิบอกพ่อว่าเงินที่โอนเข้าบัญชีตั้งแต่หนังสือเล่มแรกของลูกออกวางแผงลูกก็ไม่เคยเบิกออกมาใช้อีกเลย พ่อเข้าใจว่าลูกรู้สึกยังไง แล้วก็ต้องขอโทษด้วยที่พ่อเป็นพ่อที่ไม่น่านับถือเลย แต่พ่อก็อยากให้ลูกชายของพ่อมีความสุข อยากให้ลูกยิ้มแล้วก็หัวเราะอย่างร่าเริง มีสุขภาพแข็งแรงแล้วก็เจอคนดีๆ ที่จะดูแลปกป้องลูกได้ ส่วนตัวพ่อลูกจะไม่รักหรือไม่คิดว่าพ่อเป็นพ่อยังไงก็ได้ แต่ขออย่างเดียว...อากิคุง อย่าเกลียดพ่อเลยนะ
รักลูกเสมอ
เรียวทาโร่**********
ขึ้นชื่อว่าสุสานไม่ว่าจะที่ไหนหรือศาสนาใดก็ล้วนแล้วแต่ไม่แตกต่างกัน สงบเงียบและไร้ซึ่งชีวิต เพราะมันคือสถานที่หลับใหลของผู้วายชนม์ ร่างสองร่างเดินเคียงคู่กันไปช้าๆ ตามทางเดินระหว่างป้ายหลุมศพ สายฝนโปรยปรายลงมาบางเบาแต่ถึงอย่างนั้นคนตัวสูงก็ไม่อยากให้มันทำให้คนรักของเขาต้องป่วยอีก มือหนึ่งถือร่มสีดำคันโตส่วนอีกมือเกาะกุมคนข้างกายไว้อย่างอ่อนโยนและมั่นคง ทั้งคู่เดินมาหยุดที่หลุมศพหนึ่งซึ่งด้านหน้ามีกระถางต้นไม้กำลังออกดอกสวย ดูแล้วคงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
ก่อนมาที่นี่อากิระแวะเยี่ยมคาเซอิ ซายะ คุณป้าผู้มีพระคุณกับทั้งเขาและมารดามากมาย หลังจากตัดสินใจย้ายไปอยู่เมืองไทยสองครั้งที่เขากลับมาญี่ปุ่นก็มักจะไปค้างกับท่านเสมอ
“ท่านแม่ครับ ผมมาเยี่ยม” เขานั่งยองๆ แล้ววางดอกไม้ที่มารดาชอบไว้ข้างกระถางต้นไม้ ประนมมือไหว้แล้วบอกผู้ให้กำเนิดเบาๆ หยิบเศษใบไม้แห้งที่ปลิวลงมาออกไปขณะเล่าไปเรื่อยๆ “...ก่อนมาผมไปหาท่านป้าซายะมา ท่านคงมาหาบ่อยๆ ใช่ไหมครับ ดูเหมือนช่วงนี้สุขภาพท่านจะไม่สู้ดีเท่าไหร่ เห็นมิกิจังบอกว่าต้องพาไปโรงพยาบาลบ่อยๆ แต่ว่าคงไม่เป็นอะไรมากเพราะท่าทางดีขึ้นมากแล้ว” ป้าของเขาแต่งเข้าตระกูลคู่ค้าเก่าแก่ของฟุจิวาตะ แต่โชคดีที่ท่านเองก็ตกหลุมรักคุณลุงเช่นเดียวกับที่คุณลุงเองก็รักท่าน ทั้งคู่มีลูกสาวสองคนและลูกชายอีกหนึ่งคน มิกิคือลูกสาวคนสุดท้อง ปีนี้จะเรียนจบมหาวิทยาลัย นักเขียนหนุ่มสนิทกับพี่น้องสามคนนั้นมาก เนื่องจากถูกเลี้ยงมาด้วยกัน
“ผมพาใครมาแนะนำให้รู้จักด้วย” หันไปยิ้มให้ชายหนุ่มที่นั่งลงข้างกัน
“สวัสดีครับคุณแม่ ผมชื่อแอรอนครับ จะมาขอรับลูกชายคุณแม่ไปเป็นภรรยาครับ” หนุ่มลูกครึ่งฝรั่งเศสก้มศีรษะแล้วบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง อากิระถองศอกใส่ด้วยใบหน้าแดงกล่ำ
“หน้าไม่อาย”
“อ้าว ผิดตรงไหนละ ก็ผมมาขออากิไปเป็นภรรยาจริงๆ นี่ เอ๊ะ หรืออากิอยากจะเป็นสามี ไม่ดีมั้ง...” แอรอนยังไม่เลิกหยอกทั้งที่ทำหน้าตาจริงจัง แต่ดวงตาสีสวยกำลังเต้นระริก
“พูดจาอะไรน่าเกลียด นี่ต่อหน้าท่านแม่นะ”
“คุณแม่ไม่ถือสาหรอกจริงไหมครับ อีกอย่างผมก็พูดเรื่องจริงด้วย...จะรับอากิไปเป็นภรรยานะครับ จะดูแลเป็นอย่างดีแล้วก็ไม่ทำให้เสียใจเด็ดขาดครับ สาบานด้วยเกียรติของลูกผู้ชายตระกูลเลตินี่ว่าจะรักอากิจนกว่าจะหยุดหายใจ” หันไปมองป้ายหลุมศพก่อนจะเบนสายตากลับมาสบกับร่างบาง ทุกคำพูดหนักแน่นมั่นคง จากนั้นจึงโน้มตัวเข้าไปใกล้แตะริมฝีปากทาบทับราวกับจูบสาบานต่อคำพูดที่เขาเอ่ยกับมารดาคนรัก
เนิ่นนานกว่าร่างสูงจะถอยห่าง ฝนหยุดตกไปแล้วและแสงแดดก็กำลังสาดส่องลงมา มือใหญ่เก็บร่มแล้วรั้งร่างโปร่งบางของคนรักขึ้นยืน
“รุ่งกินน้ำละอากิ” อากิระเงยหน้าขึ้นมองตาม ที่ปลายขอบฟ้ามีสายรุ้งครบทั้งเจ็ดสีพาดผ่าน ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีดำยาวสลายที่วันนี้ปล่อยสยายโดยไม่มัดรวบเอียงซบไหล่แข็งแรงแล้วยิ้มกว้าง
“ท่านแม่ครับ...ผม...มีความสุขแล้วนะครับ”
จบ-แปลรักให้ตรงใจ
จบลงแล้วนะคะสำหรับคู่แรกในซีรี่ย์ maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก หวังว่าผู้อ่านทุกท่านคงจะมีความสุขกับเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย มีโครงการจะเขียนตอนพิเศษให้กับทุกคู่เมื่อจบสี่เรื่องแล้ว ยังไงรอติดตามนะคะ
เขียนจบแล้วก็รู้สึกติดใจกับตัวละครหลายตัว มันเหมือนยังมีอะไรค้างคากับพวกเขาอยู่ ไม่แน่ว่าอนาคตอาจจะได้อ่านเรื่องใหม่ที่มีคนคุ้นเคยเป็นตัวเอกก็ได้...อย่างพ่อหนุ่มเคียวยะ น้องชายของอากิจังของเราเนี่ย ท่านผู้อ่านคิดว่าเขาจะเป็นเซเมะที่ดีได้ไหมคะ ฮาาา
ปล.พบกันคราวหน้าในเรื่องที่สองของซีรี่ย์ Love me, love my pet...ค้นรัก วินิจฉัยใจ หลายคนอาจจะคาดเดาพระนายของเรื่องออกแล้วว่าจะเป็นใคร ส่งเสียงหน่อยสิคะว่าตรงกันหรือเปล่า