maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก[ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]บท14 จบ 26/5/56 คู่สองเร็วๆนี้
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก[ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]บท14 จบ 26/5/56 คู่สองเร็วๆนี้  (อ่าน 31809 ครั้ง)

ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
พ่อพระเอกของเรากำลังทำคะแนนได้เลยทีเดียว
รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ

Lady Eowyn

  • บุคคลทั่วไป
...9...

ปีนั้นแอรอนอายุสิบขวบ บิดามารดาของเขาเดินทางไปเพื่อดูงานในบริษัทสาขาที่ญี่ปุ่น โดยหอบหิ้วเขาซึ่งเป็นลูกชายคนโตไปด้วยโดยทิ้งน้องชายเขาอีกสองคนที่อายุน้อยกว่าสามและห้าปีไว้ที่ฝรั่งเศสกับท่านปู่ เพราะนายหญิงแห่งเลตินี่หลงใหลในวัฒนธรรมแดนอาทิตย์อุทัยมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กสาว หากไม่ได้ทุนเรียนต่อที่ประเทศฝรั่งเศสตอนจบมัธยมปลายจนได้มาพบกับบิดาของเขาเชื่อว่าประเทศที่ท่านจะสอบชิงทุนไปเรียนต่อคงไม่พ้นญี่ปุ่น และอาจจะคลาดกับเนื้อคู่จนเขาและน้องชายไม่ได้เกิดมาก็เป็นได้

ฉะนั้นบิดาของเขาจึงเอาใจภรรยาด้วยการขยายสาขาบริษัทไปยังประเทศญี่ปุ่นและควงกันไปเที่ยวอยู่บ่อยครั้งโดยอ้างว่าไปดูงานและความเรียบร้อยของสาขา แอรอนเองก็ชื่นชอบประเทศนี้อยู่ไม่น้อยจึงมักติดสอยห้อยตามไปด้วยเสมอ

แต่ครั้งนั้นกลับมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นเมื่อครอบครัวของเขาถูกศัตรูลอบทำร้ายจนเขาพลัดตกจากบันไดจนต้องเข้าเฝือกเพราะแขนหัก เขาต้องทนอุดอู้อยู่ในบ้านพักซึ่งมีมาตรการความปลอดภัยแน่นหนาอยู่สองวันเพื่อให้บิดาของเขาที่ตอนนั้นโกรธเกี้ยวอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนล้างบางศัตรูกลุ่มนั้น เมื่อสามารถออกจากบ้านได้เขาจึงขอให้มารดาพาไปยังศาลเจ้าแห่งหนึ่งซึ่งรู้จักผ่านทางสารคดีนำเที่ยวญี่ปุ่น เพราะอยากจะเห็นต้นซากุระที่บานยาวนานกว่าต้นอื่นๆ ที่อยู่ในศาลเจ้านี้โดยมีบอดี้การ์ดตามไปเป็นโขยง

ระหว่างที่มารดาแวะขอพรและไหว้พระเขาก็ทนรอไม่ไหวจึงแอบไปดูต้นซากุระก่อน แต่ดูเหมือนจะไม่ได้มีเขาคนเดียวที่ตั้งใจจะมาดูเพราะเมื่อไปถึงก็พบคนอยู่ก่อนแล้วหลายต่อหลายคน และเนื่องจากมัวแต่มองดอกไม้ที่ได้รับการขนานนามว่าสวยที่สุดในโลกจึงไม่ทันได้มองทางจนสุดท้ายก็ชนเข้ากับร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งจนอีกฝ่ายล้มก้นจ้ำเบ้า

“เอ๊ะ ขอโทษ เจ็บไหม” เด็กชายก้มลงช่วยชะงักไปนิดเมื่อเห็นดวงหน้าเล็กๆ น่ารักราวกับตุ๊กตาแหยเกเงยขึ้นมองเขาด้วยสายตาหวั่นๆ เพราะนอกจากจะตัวโตกว่าแล้วยังพูดภาษาที่ไม่เข้าใจอีกต่างหาก

“ไม่เป็นไรนะ” คราวนี้หนุ่มน้อยลองภาษาอังกฤษด้วยคำง่ายๆ เด็กผู้หญิงคนนั้นจึงพยักหน้าเบาๆ ยอมรับมือที่ยื่นมาตรงหน้าให้ช่วยดึงขึ้นจากพื้นก่อนจะช่วยปัดใบไม้และเศษดินออกจากกิโมโนตัวสวย “เจ็บตรงไหนไหม” ถามอีกคำเพื่อให้แน่ใจว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ

“ไม่ ท่านแม่บอกว่าลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้ง่ายๆ” แม้สำเนียงและการออกเสียงจะไม่ชัดเจนแต่ก็พอฟังออก นั่นจึงทำให้เด็กชายแอรอนมองตาค้าง เผลอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

“หา! ผู้ชาย?”

“ใช่สิ เราเป็นผู้ชาย ท่านแม่บอกว่าห้ามร้องไห้ด้วยเรื่องเล็กน้อย” ถ้อยคำยืนยันจากปากจิ้มลิ้มนั้นเหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ เด็กชายลูกครึ่งฝรั่งเศสไม่แน่ใจว่าตัวเองฟังผิดหรือหนูน้อยพูดผิดกันแน่ “แล้วแขนนายเป็นอะไร เจ็บมากไหม”

แอรอนตั้งสติแล้วก้มลงมองแขนที่เข้าเฝือกของตัวเองก่อนจะส่ายหน้า “ตกบันได แค่หักไม่เจ็บเท่าไหร่” ไม่ได้บอกว่าสาเหตุที่ตกลงมาเพราะโดนไล่ยิง เพื่อนใหม่ขมวดคิ้วก่อนจะยิ้มหวานให้ คนมองถึงกับตะลึงงันกับรอยยิ้มสว่างสดใสนั้นไปหลายวินาที

“เก่ง ท่านแม่บอกว่าลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง แต่นายซุ่มซ่ามจัง งั้นเราให้นี่...” ว่าแล้วก็ล้วงเข้าไปในคอเสื้อดึงเอาถุงเครื่องรางออกมา แต่ดูเหมือนมันจะมีอุปสรรคนิดหน่อยเพราะเชือกที่ร้อยถุงไว้มันดันพันกับสร้อยพระองค์เล็กอีกเส้น กว่าคนตัวเล็กจะถอดออกมาได้ก็ทุลักทุเลพอสมควร เมื่อได้แล้วก็ยื่นให้ “เอาไปสิ ท่านแม่บอกว่าเป็นเครื่องรางที่ช่วยคุ้มครองแล้วก็ทำให้ไม่ซุ่มซ่าม”

คนฟังทำหน้าไม่เห็นด้วยแต่ก็รับเครื่องรางนั้นมา เขาสัมผัสว่ามันแข็งมาก ดูเหมือนจะมีบางอย่างใส่ไว้ด้านใน “แสดงว่านายซุ่มซ่ามละซิ ถึงต้องพกไว้น่ะ” เด็กชายอดแหย่กลับไม่ได้ หนูน้อยหน้าแดงกล่ำขณะเถียงกลับ

“ไม่ใช่สักหน่อย เราไม่ได้ซุ่มซ่ามนะ”

“ไม่ได้ซุ่มซ่ามก็ไม่ได้ซุ่มซ่าม...แล้วนี่มากับใคร...” ยังถามไม่ทันจบร่างเล็กก็หันหลังไปมองเนื่องจากได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเองเป็นภาษาญี่ปุ่น

“อากิ...อากิจัง อยู่ไหนลูก”

“เราต้องไปแล้ว เก็บไว้ดีๆ ละไว้เจอกันใหม่พรุ่งนี้ เราจะมาที่นี่อีก อย่าลืมมาเล่นด้วยกันละ” ว่าแล้วก็วิ่งดุกๆ ไปหาผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนรออยู่ ไม่วายสะดุดก้อนหินล้มก่อนไปถึงจุดหมายไม่เท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นร่างเล็กๆ ก็ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับหันมาโบกมือให้

เด็กชายแอรอนโบกมือตอบพลางส่ายหน้ายิ้มขำ “อากิจัง...ชื่อก็เหมือนผู้หญิงชัดๆ แถมยังซุ่มซ่ามจริงๆ ด้วย” พึมพำขณะเก็บถุงเครื่องรางไว้ในกระเป๋าด้านในของเสื้อสูท เพราะมารดาเคยสอนว่าควรเก็บของแบบนี้ไว้ในที่สูงๆ และห้ามใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงเด็ดขาด

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นบอดี้การ์ดก็เข้ามาพาเขาไปหาผู้เป็นแม่ที่ยืนมองด้วยรอยยิ้มอยู่ก่อนแล้ว ท่านยังเอ่ยล้อด้วยว่าคลาดสายตาไม่เท่าไรก็ยืนคุยกับสาวแล้ว เขาเถียงกลับไปว่าคนที่คุยด้วยไม่ใช่ผู้หญิงแต่เป็นผู้ชายต่างหาก มารดาเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะอธิบายว่าอาจจะเป็นเพราะมีความเชื่อว่าหากเด็กมีร่างกายอ่อนแอให้เลี้ยงดูแบบสลับเพศ จะได้สุขภาพแข็งแรงอายุยืนยาว

สองแม่ลูกเดินเล่นต่ออีกครู่หนึ่งก็ได้รับโทรศัพท์จากบิดาให้รีบกลับบ้านพักเพราะพวกเขาไม่คาดคิดว่าจะมีศัตรูอีกกลุ่มอาศัยว่าพวกเขาเพิ่งกวาดล้างอีกพวกแล้วฉวยโอกาสลงมือซ้ำ ดูเหมือนจะเป็นคราวเคราะห์ของเด็กชายจริงๆ เพราะอีกนิดเดียวก็จะก้าวขึ้นรถได้แล้วแท้ๆ กระสุนนัดหนึ่งผ่านบอดี้การ์ดที่คอยคุ้มกันเข้ามาปะทะร่างเขาจนได้ มันทำให้เขาเจ็บเกินบรรยายก่อนจะหมดสติไป แม่ของเขาตกใจสุดขีดเมื่อขึ้นรถได้ก็รีบหาบาดแผลเพื่อห้ามเลือด แต่ปรากฏว่าไม่มีใครพบบาดแผล และเมื่อตรวจดูดีๆ ก็พบว่ากระสุนนัดนั้นพลาดจากหัวใจไปยังบริเวณอกซ้ายและเจาะถูกถุงเครื่องรางใบน้อยในกระเป๋าด้านในพอดิบพอดี

นายหญิงแห่งเลตินี่พบคำตอบว่าที่แท้ภายในถุงเครื่องรางนั้นบรรจุของขลังที่คนไทยเรียกกันว่าตะกรุดเอาไว้ จึงทำให้กระสุนไม่ถูกตัวแอรอน แต่แรงปะทะก็ทำให้กระดูกซี่โครงเขาร้าว หมดสติไปสองวันเต็มๆ




“แย่เนอะ เลยไม่ได้ไปเล่นด้วยกันเลย วันต่อมาอากิได้ไปที่ศาลเจ้าอีกหรือเปล่า” รั้งร่างโปร่งบางเข้ามากอดแล้วกระซิบถามคนที่ดูเหมือนจะตกอยู่ในห้วงความทรงจำไปเสียแล้ว อากิระลูบถุงเครื่องรางใบน้อยในมือแล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของอ้อมกอด มือเรียวยกขึ้นลูบใบหน้าคมไล่ลงมาถึงหน้าอกด้านซ้ายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ

“มันไม่เจ็บแล้วละ” แอรอนจับมือสั่นเทากุมไว้ปลอบโยนเสียงนุ่ม คนฟังผ่อนลมหายใจก่อนจะตัวสั่นขึ้นมาเมื่อคิดว่าหากตอนนั้นเขาไม่ให้ถุงเครื่องรางนี้ไปเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร “คิดมากจัง ผมก็อยู่นี่แล้วไง”

“...แล้วรู้ได้ยังไงว่าเป็นผม” นักเขียนหนุ่มเงยหน้าขึ้นถาม คนตัวโตยิ้มแล้วหยิบรูปอีกใบขึ้นมา มันเป็นรูปของอากิระในชุดไม่คุ้นตา เพราะในรูปคือสนามบิน ร่างโปร่งบางสวมเสื้อยืดทับด้วยเสื้อกั๊กตัวยาวกับกางเกงยีนส์ เส้นผมสีดำยาวมัดไว้เป็นหางม้า ดูเหมือนรูปจะถูกถ่ายจากกล้องวงจรปิดเพราะมีความละเอียดไม่มากนัก

“รู้ไหมว่าตอนนั้นพอตื่นมาผมก็รีบให้คนไปหาอากิทันที แต่ว่าก็ไม่เจอ ชื่ออากิก็เยอะเหลือเกินทั้งชายทั้งหญิงก็เลยถอดใจทำอะไรไม่ได้ บินกลับฝรั่งเศสทันทีที่เดินทางได้”

“ตอนนั้นต้องย้ายบ้าน แถมต้องตัดผมด้วย” คนตัวเล็กรำลึกความทรงจำ นอกจากจะย้ายไปไกลถึงโอกินาว่าแล้วโรงเรียนใหม่ก็เข้มงวดพอสมควรเขาจึงต้องตัดผมสั้น

“ไม่คิดว่าจะได้เจออากิอีก เพราะรู้แค่ชื่อกับ...หน้าตาว่าเหมือนเด็กผู้หญิง แล้วก็มีรูปถ่ายด้านข้างนี่แหละ ได้มาจากนักท่องเที่ยวที่บังเอิญถ่ายติด ผมไปญี่ปุ่นบ่อยแต่ก็ไม่เคยได้เจอสักครั้งจนปีนั้นบินกลับมาจากโตเกียวที่สุวรรณภูมิก็แจ็คพ็อตเลย รู้ไหมว่าตอนนั้นผมดีใจมากแค่ไหน อากิน่ะไม่ได้เปลี่ยนไปจากตอนเด็กเท่าไรเลย และที่เห็นแล้วจำได้ก็คือสร้อยพระที่ตอนเอาเครื่องรางให้มันพันกันยุ่งน่ะ” ปีนั้นที่เขาว่าก็คือการเดินทางย้ายมาอยู่ประเทศไทยของร่างบางนั่นเอง

“นี่น่ะเหรอ” อากิระดึงสร้อยเงินร้อยจี้พระองค์เล็กออกมาจากคอเสื้อยูกาตะ จะบอกว่ามันมีเอกลักษณ์ก็คงใช่ เพราะนอกจากตัวสร้อยจะแปลกแล้วกรอบพระก็ไม่ต่างกัน “ของท่านแม่ ท่านบอกว่าท่านยายให้ก่อนจะมาเรียนต่อ”

“ทีนี้มั่นใจได้หรือยัง...ว่าคนที่รักก่อนน่ะจะไม่มีทางเปลี่ยนใจ อากิน่ะเป็นรักครั้งแรกของผมนะจะบอกให้” กระซิบข้างหูทำเอาคนฟังขนลุกซู่ หน้าแดงขึ้นมาทันที

“ตอนนั้นเพิ่งจะเจ็ดขวบนี่นะ แล้วคุณเองก็เพิ่งสิบขวบเอง” ค้านเสียงสั่นเพราะอีกฝ่ายเริ่มอยู่ไม่สุข ไม่ใช่แค่กอดอย่างเดียวเสียแล้ว ถึงจะรู้ใจกันแล้วก็เถอะ ใช่ว่าจะมาถึงเนื้อถึงตัวกันได้พร่ำเพรื่อเสียหน่อย และอีกอย่างควรให้เวลาเขาตั้งสติ มีความสุขกับความรักที่สมหวังก่อนสิ

“ก็ช่วยไม่ได้นี่ครับ ใครใช้ให้อากิให้ของต่างหน้าไว้ละ” ใช่ว่าเขาจะยอมรับว่าตัวเองเป็นพวกเบี่ยงเบนตั้งแต่แรกเสียหน่อย เป็นธรรมดาของผู้ชายที่นอกจากจะมีรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติแล้วยังพร้อมด้วยความสามารถและชาติตระกูล ตั้งแต่เข้าวัยรุ่นเขาจึงเป็นหนุ่มโสดได้ไม่นานนักก็มีสาวคนใหม่ควงแล้ว แต่ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมตั้งแต่วินาทีที่เขาพบแสงสว่างของเขาอีกครั้งที่สนามบินนั่นละ และเมื่อมาทบทวนตัวเองเขาก็พบว่าของสองชิ้นที่เป็นตัวแทนของร่างบางนั้นเผลอเก็บรักษาอย่างทะนุทนอมแค่ไหน

“ว่าแต่ว่านะ คุณเป็นใครกันทำไมถึงได้มีศัตรูเยอะขนาดนั้น แล้วทุกวันนี้ยังต้องมีบอดี้การ์ดอีกไหม แต่เอ๊ะ ไม่เห็นเคยเห็นเลยนี่” คว้ามือใหญ่ซุกซนไว้แล้วหันมาถาม เขาเริ่มรู้สึกว่าแอรอนอาจจะไม่ใช่คนธรรมดาตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้น ไม่สิ ก่อนหน้านั้นต่างหาก เพราะชายหนุ่มมีบรรยากาศรอบตัวที่ไม่เหมือนใคร

“เสียใจนะเนี่ยแต่เอาเถอะมันก็ไม่ใช่ความผิดของอากินี่นา” แสร้งสีหน้าเศร้าแต่แน่นอนว่าคนมองไม่มีทางหลงกลอยู่แล้ว “บอกแล้วจะโกรธไหมละ” หยั่งเชิงเล็กน้อย

“แล้วทำไมต้องโกรธด้วย” คราวนี้เป็นอากิระที่ไม่เข้าใจ คนตัวโตสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนสารภาพความจริง

“คือ...จริงๆ แล้ว ตั้งแต่เจออากิที่สนามบินผมก็ให้คนไปสืบว่าอากิเป็นใคร จนรู้เรื่องราวทั้งหมดของอากิ แต่เป็นความบังเอิญนะที่อากิย้ายมาอยู่ซอยเดียวกันแบบนี้...แล้วก็...ความจริงผมให้คนคอยดูแลอากิอยู่ห่างๆ น่ะ วันนั้นถ้าผมไปถึงช้ากว่านั้นคนของผมคงเข้าไปก่อนแล้ว” พูดไม่ได้เต็มเสียงนักเพราะที่เขาทำลงไปดูเหมือนจะเป็นการล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวมากเกินไปจริงๆ

คนเพิ่งรู้ความจริงนิ่งอึ้งไปหลายวินาทีทีเดียว แต่พอไตร่ตรองเหตุผลแล้วก็ไม่สามารถโกรธได้ลง อีกอย่างเขาไม่อยากทำตัวงี่เง่าอีกแล้ว “แล้วทำไมต้องให้เล่าด้วยละ รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” ถอนหายใจเพราะถึงจะไม่โกรธแต่ก็รู้สึกเหมือนตัวเองโดนหลอกมาตลอดสองปี

“แต่ระบายออกมาเองมันก็ดีกว่าใช่ไหมละ ผมไม่อยากให้อากิฝืนบังคับตัวเอง...จะเอาแต่ใจก็ได้ จะโวยวายหรือจะอ้อนก็ได้ ต่อไปนี้ไม่ต้องเก็บไว้อีกแล้วนะ” แอรอนรู้ดีว่าตลอดมาอากิระต้องบังคับตัวเองมากแค่ไหนเพื่อที่จะเป็นเด็กดีไม่ทำให้มารดาเสียใจ เพราะแค่ที่คนเป็นพ่อทำก็มากเกินพอ ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรก็มักจะเก็บไว้ในใจอยู่เสมอ ดูอย่างเรื่องของเขาสิ ถ้าเป็นคนอื่นคงลงทุนลงแรงให้เขาหันไปสนใจ แต่นี่อะไรกลายเป็นสร้างเกราะป้องกันตัวเองไม่ให้เขาสนใจแล้วแอบมองอยู่เงียบๆ เสียอย่างนั้น

“อ้อนผมสิ เอาแต่ใจให้ผมตามใจ โวยวายว่าผมเป็นของอากิ...ไม่ว่าจะทำอะไรผมก็ตามใจอากิทุกอย่างอยู่แล้ว นะ ไม่ต้องบังคับตัวเองแล้วนะ” น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นเป็นเหมือนค้อนปอนด์ที่ทุบกระจกซึ่งกักขังเขาเอาไว้จนแตกละเอียด เป็นมีดที่ปลดเปลื้องพันธนาการเขาให้เป็นอิสระ

ร่างโปร่งบางยกมือขึ้นโอบกอดคอแกร่ง น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่ได้ไหลด้วยความเจ็บปวดหรือทุกข์ทน หากไหลเพราะความปลอดโปร่ง เขาไม่ต้องเสแสร้งอีกต่อไป ไม่ต้องสร้างเปลือกนอกให้คนอื่นมอง...ต่อไปนี้เขาจะเป็นเขา เป็นอากิระ...เป็นแสงสว่าง ไม่ใช่เงามืดอีกต่อไป

“หว้า ขี้แยจัง แล้วอย่างนี้จะยังอยากรู้อยู่ไหมเนี่ยว่าตกลงครอบครัวผมเป็นใคร” คนตัวโตเย้าก่อนจะเหวี่ยงขาลงเหยียบพื้นแล้วช้อนร่างที่ยังกอดเขาไว้แน่นขึ้นพาเดินไปที่โต๊ะทำงาน เขานั่งลงบนเก้าอี้โดยวางร่างโปร่งบางที่ยังคงเบากว่าที่ควรเป็นเพราะเจ้าตัวชอบลืมกินข้าวแถมยังนอนไม่เป็นเวลาเพราะเขียนหนังสือไว้บนตัก เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ระหว่างรอก็ดันร่างบางออกเล็กน้อยใช้ผ้าเช็ดหน้าสีเข้มในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตเช็ดหน้าให้ ดูเหมือนถ้าลองได้ร้องไห้อากิระของเขาจะกลายเป็นเด็กน้อยทันที

“อ่ะ ลองดูสิ” เขาต่ออินเตอร์เน็ตแล้วเปิดเสิร์ชเอ็นจิ้น พิมพ์นามสกุลตัวเองแล้วกดค้นหา “เดี๋ยวอีกหน่อยต้องเปลี่ยนมาใช้นะขอบอก” พูดแล้วก็อดที่จะกดจมูกลงบนแก้มขาวชื้นน้ำตาอย่างหมั่นเขี้ยวไม่ได้...อดทนรอมาตั้งนาน

คนถูกเอาเปรียบโดยไม่ทันตั้งตัวนิ่งงันไปหลายอึดใจก่อนจะได้สติตวัดตามองค้อน แต่นอกจากมันจะไม่น่ากลัวแล้วยังทำให้คนตัวโตอยากเอาเปรียบอีกหลายๆ ครั้ง ร่างบางขยับตัวไปมองหน้าจอที่แสดงผลการค้นหา แล้วดวงตาสีดำก็เบิกกว้าง ความจริงไม่ต้องให้อีกฝ่ายลงทุนเปิดอินเตอร์เน็ตค้นหา แค่บอกนามสกุลมาก็ทำให้เขาหมดข้อสงสัยทั้งเรื่องถูกลอบทำร้าย ทั้งเรื่องบอดี้การ์ดแล้ว

ถึงอากิระจะไม่ได้อยู่ในแวดวงธุรกิจแต่ก็เคยได้ยินความยิ่งใหญ่ของตระกูลเลตินี่มาบ้าง นอกจากจะครอบครองธุรกิจด้านโรงแรม การท่องเที่ยว มีแบรนด์ผลิตภัณฑ์อีกหลายแขนง และยังมีแฟชั่นเฮาส์ระดับโลกเป็นของตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงเนื้อที่ไร่องุ่นไม่รู้ตั้งเท่าไหร่และโรงหมักไวน์ครบวงจร เป็นตระกูลที่ถือว่าทรงอิทธิพลมากตระกูลหนึ่งของโลก อ้อ ยังไม่ได้พูดถึงข่าวลือที่ว่ากันว่านอกจากจะสืบเชื้อสายมาจากขุนนางฝรั่งเศสในสมัยก่อนแล้วยังคบค้าสมาคมอย่างใกล้ชิดกับมาเฟียแก๊งใหญ่ติดอับดับของอิตาลีด้วย

น่าแปลกใจจริงๆ ที่ลูกชายคนโตของตระกูลผันตัวเองมาเป็นเจ้าของร้านกาแฟเล็กๆ ในเมืองไทยแบบนี้ แปลกในหลายด้านเสียด้วย เจ้าตัวมีเหตุผลอะไรและครอบครัวยินยอมได้อย่างไร

“สงสัยอะไรครับ อยากรู้อะไรก็ถามสิ ผมตอบทุกคำถามของอากิได้อยู่แล้ว” เห็นอาการหันมามองแต่ไม่ยอมพูดอะไรก็ขำ รู้สึกว่าข้อที่บอกว่าให้เอาแต่ใจได้ทุกเรื่องนั้นจะไม่ได้ทำตามได้ง่ายๆ เลย

“ทำไมมาอยู่เมืองไทย แล้วครอบครัวคุณ...”

“อากิสงสัยใช่ไหมละว่าทำไมผมมาเปิดร้านกาแฟไม่ยอมกลับบ้าน แล้วที่บ้านไม่มีใครว่าเหรอ...อย่างนี้ใช่ไหม” ชายหนุ่มยิ้มขันแล้วตอบทีละคำถาม

“อือ คำตอบข้อแรกผมชอบเมืองไทย ไม่ต้องมีใครมาใส่หน้ากากเข้าหา ถึงจริงๆ ผมจะไม่ได้เป็นที่รู้จักมากมายก็เถอะเพราะขี้เกียจออกงาน ส่วนมากจะไปขลุกอยู่กับลุงวาเลนโซ่กับอีวาโน่ ลูกชายลุงที่อายุมากกว่าผมสองปีที่อิตาลีมากกว่า แต่ใช่ว่าไม่ชอบธุรกิจนะ แต่ไม่อยากไปปั้นหน้ายิ้มทั้งที่มือถือปืนเตรียมยิงใส่กันได้ทุกครั้งที่เผลอ ผมก็เลยคอยบริหารอยู่ข้างหลังแทน ให้น้องชายอีกสองคน เจ้าฟรองซ์ซัวกับปิแอร์เล่นกันตามสบาย เพราะสองคนนั้นชอบมากกว่า เป็นประเภทที่คนไทยเรียกอะไรนะ อ้อ ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ พอดีตอนไปอยู่โรมได้เรียนชงกาแฟมาเลยอยากลองวิชา ซันเองก็ขี้เกียจอยู่ในโรงแรม ผมก็เลยชวนมาเปิดร้านด้วยกัน”

เรื่องที่ว่าก่อนหน้านี้ตะวันฉายเป็นปาติชิเย่ร์ของโรงแรมห้าดาวนั้นนักเขียนหนุ่มรู้มาบ้าง แถมไม่ใช่ระดับธรรมดาเพราะเจ้าตัวเติบโตที่ฝรั่งเศส ร่ำเรียนมาจากเมืองต้นตำหรับ แถมยังหาประสบการณ์ในประเทศต่างๆ อีกหลายประเทศ คงมีที่ญี่ปุ่นนั่นละที่อยู่นานสุด เพราะเขาบอกว่าชอบศิลปะการทำขนมที่ผสมผสานของกินกับศิลปะได้อย่างลงตัวและสร้างสรรค์ แต่เรื่องที่แอรอนเคยเรียนชงกาแฟมาก่อนนั้นเขาเพิ่งรู้...แต่ที่ชายหนุ่มไม่รู้เลยคือคนตัวโตมีใบประกาศวิทยฐานะเป็นบาลิสต้าหรือผู้เชี่ยวชาญและนักชงกาแฟอย่างเป็นทางการ

“เปิดร้านกาแฟก็สนุกดี ได้เห็นรอยยิ้มลูกค้า รอยยิ้มแบบไม่ต้องเสแสร้งเพื่อต้องการผลประโยชน์...ส่วนที่บ้านผมถือคติว่าถ้ามีความสุขก็ทำไป แค่ไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดศีลธรรมเป็นใช้ได้ แล้วอีกอย่างใช่ว่าผมจะทิ้งงานเสียหน่อย ยังต้องสั่งงานข้ามทวีปอยู่ทุกคืน ดีว่าไม่ต้องเซ็นเอกสารโยนให้เจ้าสองคนนั้นเซ็นแทน แถมคุณพ่อเองก็ยังไม่ได้วางมือ ผมยังไม่ต้องไปช่วยอะไรมาก” โยกตัวน้อยๆ ขณะเล่า

“แล้ว...จะทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่” เครือข่ายธุรกิจเลตินี่ใหญ่ขนาดนั้น แค่นี้คงไม่เพียงพอ

“ไม่รู้สิ แต่ตอนนี้ก็ยังอยากทำต่อ อาจจะเมื่อคุณพ่อวางมือแล้วค่อยกลับไปรับช่วงต่อ แต่ถ้าไปคงใจหายพิลึก ไหนจะเจ้าพวกข้างล่างอีก ซันเองก็คงไม่กลับไปทำงานโรงแรมแล้ว ถ้าจะให้กลับฝรั่งเศสด้วยกันคงไม่ไปอีกเพราะเจ้าตัวมีบ่วงผูกแล้วสลัดไม่หลุดง่ายๆ ด้วย” พูดไปก็ขำไป แต่ดูท่าจะค่อนไปทางห่วงมากกว่า ทั้งพนักงานสามคนและเพื่อนสนิท “แล้วว่าแต่อากิเถอะ จะยอมย้ายไปอยู่กับผมไหมละ จะได้จัดการขอสัญชาติให้เลย” เลิกคิ้วมองคนตัวเล็กว่าที่เริ่มหยุกหยิก

“จะบ้าเหรอ สัญชาตินะไม่ใช่วิซ่าจะได้ขอกันได้ง่ายๆ” พูดไปก็หวั่นใจเพราะรู้ว่าด้วยอิทธิพลของตระกูลเลตินี่เรื่องแค่นี้ไม่ใช่ว่าจะเหลือบ่ากว่าแรง

“ง่ายจะตาย แค่จดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมก็สิ้นเรื่อง”


ขอโทษที่หายไปนานนะคะ พอดีช่วงสัปดาห์ก่อนยุ่งมากๆ เลยไม่มีเวลา เดี๋ยววันศุกร์นี้ก็จะเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติ จะมาอัพให้ก่อนเดินทางนะคะ ^^

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
ที่แท้แอรอนเคยเจออากิมาก่อนนี่เอง
รักแรกพบแต่เด็กเลยนะเพราะอากิให้ของมาทำให้รอดตายด้วย

+1 ให้ค่ะ
ชอบแอรอนกับอากิจังน่ารัก

pattybluet

  • บุคคลทั่วไป
เริ่มจะหวานแบบเป็นทางการ(?)แล้ว  :mew3:
น่ารักจังเลยค่ะ ยิ่งอ่านยิ่งหลงอากิจัง //โดนแอรอนเตะ 555

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
โอ๊ะโอ รู้ความจริงกันแล้วแฮะ

Lady Eowyn

  • บุคคลทั่วไป
...10...

“ใครจะจดรับ” หันขวับกลับมามอง แอรอนทำหน้าเหมือนกับว่าอย่างไรดวงอาทิตย์ก็ต้องขึ้นทางทิศตะวันออกสิ

“พ่อกับแม่ผมสิ”

คนฟังเผลอกำมือแน่น เขาเกือบจะลืมไปแล้วว่าชายหนุ่มไม่ได้ตัวเปล่าเหมือนเขา ร่างสูงยังมีครอบครัวแถมยังเป็นครอบครัวที่มีหน้ามีตา มีทั้งชื่อเสียงทั้งอิทธิพล นั่นยังไม่นับว่าเขาเป็นลูกชายคนโตขอบครอบครัว...ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนจะยอมรับได้ง่ายๆ หรอกว่าลูกชายตัวเองไม่ได้ชอบผู้หญิงและไม่มีโอกาสมีทายาทสืบสกุล แค่คิดเขาก็หนาวเยือกไปถึงขั้วหัวใจแล้ว

“คิดมากอีกแล้ว ซื้อได้ไหมเนี่ย หือ อย่าเพิ่งสรุปอะไรก่อนที่มันจะเกิดขึ้นสิอากิ” คนตัวโตโอบกอดร่างบนตักอย่างอ่อนโยน นี่ก็เป็นอีกอย่างที่เขาต้องรีบแก้ไขมันก่อนที่มันจะทำให้เขาต้องเสียหัวใจไปทั้งดวง

“ไม่...มันเป็นไปไม่ได้ ไม่ได้หรอก...เรื่องของเรามันไม่ถูกต้องมาตั้งแต่แรกแล้ว...” อากิระเม้มปาก ดวงตาที่สดใสได้เพียงไม่นานหม่นแสงลงอีกครั้ง แต่คนฟังไม่ยอมรับ

“ใครเป็นคนตัดสินว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง มองหน้าผมสิอากิ...” ประครองใบหน้าขาวซีดขึ้นด้วยอุ้งมือใหญ่ “นี่ไม่ใช่เรื่องของใคร และไม่มีใครหน้าไหนตัดสินเรื่องนี้ได้...มันเป็นเรื่องของเราสองคน ไม่เกี่ยวกับคนอื่น”

ร่างโปร่งบางส่ายหน้า “ไม่เกี่ยวกับคนอื่นไม่ได้นะ คุณไม่ใช่คนที่จะพูดแบบนั้นได้ อย่าลืมสิว่าคุณยังมีครอบครัวให้แคร์ ยังมีสังคมของคุณให้สนใจ จะพูดแบบนี้ได้ยังไง”

“ได้สิ แค่อากิบอกว่าอยากอยู่กับผม อ้อนผมว่าอย่ามองใคร แค่นี้ไม่ว่าหน้าไหนก็ห้ามผมไม่ได้แล้ว เพราะคนที่ผมสนใจคืออากิ สำหรับคนอื่นผมจัดการได้ทั้งนั้น” เขาบอกเสียงหนักแน่น ไม่มีอะไรหรือใครที่เขาจะจัดการได้ยากเย็นเท่าคนที่ครอบครองหัวใจอีกแล้ว

“ตะ แต่ว่า...” ถึงจะได้ฟังแบบนั้น แต่อากิระก็ยังอดหวาดกลัวไม่ได้ แม้ว่าสังคมในทุกวันนี้จะเปิดรับกับเรื่องทำนองนี้มากขึ้นจนกระทั่งในบางประเทศสามารถมีการจดทะเบียนและแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันได้ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะทำใจยอมรับได้หมดหัวใจ

“พอดีเลย พรุ่งนี้เป็นวันปิดร้านด้วย” แอรอนดีดนิ้ว ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาต่อสายหาคนสนิท “เลติส ทำเรื่องวิซ่าเข้าประเทศให้คุณอากิระหน่อยแล้วก็เตรียมเครื่องบินด้วย ฉันจะกลับฝรั่งเศสคืนนี้ อย่าลืมแจ้งไปทางอังเดรด้วยละ ไปถึงจะได้ไม่ยุ่งยาก” อังเดรคือเลขาคนสนิทของบิดาเขาซึ่งเป็นลุงของเลติส ตระกูลนี้มีความสัมพันธ์กับตระกูลของเขามายาวนาน นอกจากอังเดรจะเป็นเลขาให้พ่อเขา น้องชายหรือก็คือพ่อของเวติสก็เป็นเลขาให้แม่ของเขา ลูกพี่ลูกน้องอีกสองคนเองก็เป็นเลขาคนสนิทให้น้องชายทั้งสองคนของเขาอีกด้วย ยังไม่นับไปถึงรุ่นท่านปู่ของเขาขึ้นไปอีก

“ครับท่าน...ผมจะรีบจัดการตามที่สั่ง” ปลายสายตอบรับคำสั่งเสียงนิ่ง แว่วเสียงสั่งงานต่อ

หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นเบิกตากว้าง คว้ามือที่กำลังถือโทรศัพท์แนบหูเอาไว้แทบไม่ทัน “นี่! เร็วไปแล้ว ยังไม่ได้ตกลงกันเลยนะ ใครจะไปฝรั่งเศสกับคุณกัน”

“โอ๊ะโอ เลติส ดูเหมือนคุณอากิระของพวกนายจะไม่ได้เก่งแค่สามภาษาแล้วสิ” แอรอนตาพราว เขาคุยกับลูกน้องเป็นภาษาฝรั่งเศส การที่นักเขียนหนุ่มฟังออกว่าเขาพูดอะไรจนสามารถคัดค้านได้แบบนี้ก็แสดงว่าจะต้องเข้าใจภาษาฝรั่งเศสในระดับดีทีเดียว ร่างบางชะงัก ลืมตัวเผยความลับน่าอายออกไปเสียแล้ว...ว่าตัวเองรู้ภาษาฝรั่งเศส แน่นอนเริ่มเรียนเพราะลูกครึ่งฝรั่งเศสหนุ่มคนนี้นี่ละ

“แน่นอนครับ เพราะเป็นว่าที่นายอีกคนของเราย่อมต้องเก่งอยู่แล้ว” ลูกน้องหน้าตาของเขาพูดด้วยเสียงราบเรียบแต่คนที่อยู่ด้วยกันมานานอย่างเจ้านายรู้ดีว่ามันแฝงความพึงพอใจไว้ไม่น้อย เรียกว่า ‘ปลื้ม’ เลยละ

อากิระหน้าร้อนกับเสียงที่ได้ยินลอดออกมาจากโทรศัพท์ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ลืมจุดประสงค์ “ผมยังไม่ได้รับปากว่าจะไปฝรั่งเศสกับคุณเลยนะ” แต่มีหรือคนฟังจะสนใจ

“งั้นก็รับปากสิครับ เลติสเองก็เตรียมการให้ อากิแค่เก็บเสื้อผ้ารอไปขึ้นเครื่องกับผมก็พอ...แค่นี้เอง” แอรอนรู้ว่าถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้เดี๋ยวก็ได้คิดมากเรื่อยเปื่อยอีกแน่ ตีเหล็กก็ต้องตีตอนยังแดงร้อน ฉะนั้นเขาจึงต้องรีบพาคนของเขาไปพบบิดามารดาและครอบครัวที่ฝรั่งเศส

“มัน...จะดีจริงเหรอ” ได้ยินถ้อยคำที่บ่งบอกถึงความลังเลใจ ก้ำกึ่งระหว่างความกลัวและการอยากเผชิญหน้าก็กดวางสายโทรศัพท์แล้ววางลงบนโต๊ะ ใช้สองแขนกระชับอ้อมกอด

“ผมซื้อแล้วนะนิสัยชอบคิดมากเนี่ย นี่ใครให้มันรู้เสียบ้าง...ไม่มั่นใจในตัวผมเลยเหรอครับ ไหนเงยหน้าขึ้นแล้วบอกสิว่าผมเป็นใคร”

“แอรอน เลตินี่”

“ถูก ไม่มีอะไรที่คนอย่างแอรอน เลตินี่ ทำไม่ได้ แน่นอนว่าคนรักของผมอยากได้อะไรก็ต้องได้เหมือนกัน...แล้วไหนลองบอกสิว่าอากิเป็นใคร” ชายหนุ่มเจ้าของชื่ออันทรงอิทธิพลยักคิ้วหลิ่วตาให้อย่างน่าหมั่นไส้ เขาใช้นิ้วโป้งชี้อกตัวเองแล้วจึงชี้นิ้วชี้ไปที่อกของคนในอ้อมแขน คนถูกเรียกขานว่า ‘คนรักของแอรอน เลตินี่’ หน้าร้อนวูบ “เอ้า พูดสิครับ นี่ใคร” กดย้ำบนสาบเสื้ออีกครั้ง ไม่มีทีท่าว่าจะเลิกราง่ายๆ หากเขาไม่ยอมพูด

“อากิระ”

“ไม่ใช่อากิระเฉยๆ สิ...ต้องเป็น อากิระ เลตินี่ คนรักของนายแอรอน เลตินี่ คนนี้” บอกคำตอบที่ถูกต้องเสียงนุ่ม ดวงตาสีสวยแพรวพราวจนคนถูกมองมือไม้เกะกะ หน้าแดงกล่ำ

ไม่ค่อยมีใครรู้หรอกว่าจริงๆ แล้วนักเขียนหนุ่มเป็นคนขี้อายและไม่ค่อยกล้าแสดงออกต่อหน้าคนอื่น ในสมัยประถมและมัธยมเขามักจะปิดกั้นและป้องกันตัวเองด้วยการนั่งหลังห้องและไม่ยอมพูดคุยกับใคร จนนานวันเข้าก็กลายเป็นถูกมองว่าหยิ่ง เย็นชา ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ พอเริ่มเข้ามหาวิทยาลัยแค่ย่างเท้าเข้าไปเขาก็เป็นตัวประหลาดแล้ว เพราะอากิระสอบเข้ามหาวิทยาลัยโตเกียวหรือที่คนเรียกทั่วไปว่าโตได ด้วยคะแนนเป็นอันดับหนึ่งของคณะอีกทั้งยังเป็นอันดับต้นๆ ของมหาวิทยาลัย และคะแนนเต็มในหลายวิชา แต่เป็นโชคดีของเขาหน่อยที่ในวิชาเอกนั้นมีแต่คนประเภทเดียวกัน ชีวิตในมหาวิทยาลัยของเขาจึงไม่ได้เลวร้ายมากนัก ออกจะดีเสียด้วยซ้ำ และทุกวันนี้เพื่อนๆ และรุ่นพี่รุ่นน้องในวิชาเอกก็ยังคงติดต่อกันอยู่ ทั้งนี้ทั้งนั้นแต่ละคนก็เป็นคนในแวดวงเดียวกัน

นอกจากนั้นทางสำนักพิมพ์ยังเคยคิดจะจัดงานแจกลายเซ็นให้เขาอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ปฏิเสธเสียงแข็งจนต้องล้มเลิกไปทุกครั้ง หากเขาก็แลกเปลี่ยนด้วยการตอบคำถามและพูดคุยกับนักอ่านทางเว็บบอร์ดและบล็อกอย่างสม่ำเสมอแทน ขนาดงานเลี้ยงของสำนักพิมพ์หากไม่ใช่งานเลี้ยงปีใหม่ที่ถ้าไม่ไปจะเป็นการเสียมารยาทอย่างมากเขาก็ไม่เคยไปสักครั้ง และเนื่องจากหนังสือเล่มแรกของเขาถูกตีพิมพ์ตั้งแต่อายุสิบห้า ยังอยู่ในวัยเรียนและเด็กเกินไปทำให้เขาใช้เป็นข้ออ้างไม่ออกงานได้เป็นอย่างดี และเมื่อเวลาผ่านไปชื่อเสียงของเขาก็มากขึ้นจึงใช้เป็นข้อต่อรองในลำดับถัดมา โดยมีโทคิตะซึ่งถือหางอยู่ข้างเขาช่วยออกหน้าอีกแรง ชื่อของเขาจึงกลายเป็นนักเขียนติดอันดับของคนที่มีชื่อเสียงและลึกลับที่สุดคนหนึ่งของวงการ ซึ่งมันก็กลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวเขา ทำให้ยอดขายหนังสือเพิ่มขึ้นทุกเรื่องที่ตีพิมพ์

เพื่อนนักเขียนคนหนึ่งเคยสัพยอกเขาว่าเขาใกล้เคียงกับ ฮิคิโคโมริ (Hikikomori ใช้เรียกผู้ที่มีอาการเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน แยกตัวออกจากสังคม) เพียงแต่ไม่ได้เป็นหนักถึงขั้นไม่ยอมออกจากบ้านไปไหนมาไหนก็เท่านั้น

“ตกลงเตรียมเก็บของไปฝรั่งเศสกับผมคืนนี้นะ อือ เดี๋ยวต้องพิมพ์ใบประกาศ เพราะแม่ไม่มีทางยอมให้กลับหลังจากไปแค่วันสองวันแน่ อย่างน้อยๆ คงต้องหยุดเพิ่มอีกสักสามสี่วัน งั้นปิดไปทั้งอาทิตย์เลยแล้วกัน เดี๋ยวลองชวนเจ้าพวกข้างล่างไปด้วย ถือว่าพักร้อน” ว่าแล้วก็เปิดโปรแกรมเอกสารขึ้นมาพิมพ์อย่างไม่ต้องคิดทบทวนและไม่กลัวเสียลูกค้ากำไรหดหายสักนิด แต่เมื่อคิดอีกทีระดับแอรอน เลตินี่คงไม่ต้องห่วงเรื่องกำไรขาดทุนอยู่แล้ว

เมื่อปริ้นในประกาศออกมาเพื่อไปติดหน้าร้านเสร็จยังไม่วายอู้งานต่อจนอากิระต้องทั้งดึงทั้งดันคนรักหมาดๆ ไปทำงานเสียที ในที่สุดก็ได้ฤกษ์เคลื่อนตัวลงไปหน้าร้านตอนเกือบบ่ายสามโมง

“อะไรอ่ะโอนเนอร์ เอาใบอะไรมาติด” ชเลรัศดิ์พยายามยื่นหน้าไปอ่านกระดาษในมือเจ้าของร้านหนุ่ม จนกระทั่งแอรอนนำไปติดไว้กับกระจกประตูร้านและใช้ชอล์กสีเขียนกระดานประกาศหน้าร้าน สองหนุ่มสาวพี่น้องร่วมโลกจึงร้องเสียงหลง

“ทำไมต้องปิดร้านตั้งอาทิตย์หนึ่งด้วยละฮะโอนเนอร์ เราหยุดประจำเดือนแค่สองวันเองไม่ใช่เหรอฮะ” หนุ่มทิวคว้าชายผ้ากันเปื้อนสีดำของเจ้านายไว้แล้วเงยหน้าถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“ไม่มีอะไรหรอกทิว...แค่...” ชายหนุ่มหยุดพักให้ลุ้น มองตาโตๆ ที่เบิกกว้างและสีหน้าจดจ่อก็หัวเราะขำ

“แค่อะไรละคะโอนเนอร์ ตาทิวมันจะถลนออกมานอกเป้าเพราะลุ้นอยู่แล้ว” หญิงสาวคนเดียวของร้านช่วยเร่งอีกแรง ทั้งที่ตัวเองก็อยากรู้ใจจะขาดเหมือนกัน

“แค่...จะพาไปพักร้อน”

“พักร้อน!” แม้แต่หนุ่มหน้านิ่งอย่างศิวัฒน์ยังหันมาสนใจด้วยอีกคน ไม่ใช่ว่าตั้งแต่ทำงานมาเจ้านายจะไม่เคยพาไปเที่ยวพักผ่อน แต่เพราะมันไม่เคยกินระยะเวลายาวนานถึงหนึ่งสัปดาห์มาก่อน

“จะไปไหนคะโอนเนอร์ ตั้งอาทิตย์เนี่ย” ยกมือขึ้นเกาหัวด้วยท่าทางไม่สบกับเป็นผู้หญิง

“คราวนี้เราจะไป...ฝรั่งเศส” หนุ่มลูกครึ่งฝรั่งเศสเฉลยยิ้มๆ แล้วรอดูปฏิกิริยาบรรดาพนักงาน แม้แต่ตะวันฉายที่เพื่อนแวะบอกก่อนออกมายังอดเดินออกมาดูด้วยไม่ได้เลย

“ฝรั่งเศส!!!” สองหนุ่มสาวเจ้าเดิมประสานเสียงตะโกนลั่นร้าน ดีที่เป็นจังหวะที่ไม่มีลูกค้าในร้านพอดี ไม่อย่างนั้นคงได้แตกตื่นกันยกใหญ่แน่

“เราจะไปฝรั่งเศสจริงๆ เหรอฮะโอนเนอร์ ฝรั่งเศสจริงๆ ใช่ไหมฮะ”

“โอนเนอร์ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม แล้ว แล้วใครจ่ายละ โอนเนอร์จ่ายให้ใช่เปล่า หวานไม่ต้องจ่ายเองใช่ไหม”

“...”

แอรอนหัวเราะเสียงดังกับการตอบสนองของแต่ละคน แม้แต่ปาติชิเย่ร์หนุ่มก็หัวเราะเสียงไม่เบาเหมือนกัน รวมถึงอากิระซึ่งนั่งตักเค้กเข้าปากอยู่ที่เก้าอี้สูงหน้าเคาน์เตอร์ยังอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้

“เออ จะไปฝรั่งเศส ไม่ต้องจ่ายสักบาท อยากจะไหนก็จะให้คนพาไป ทีนี้พอใจหรือยัง แล้วตกลงจะไปไหม” ถามย้ำขำๆ แล้วจึงเจาะจงทีละคน “ว่าไงทิว เดี๋ยวจะโทรไปขออนุญาตปู่กับย่าให้ แล้วเราละนายวัฒน์ จะตามไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กไม่รู้จักโตให้เจ้าสองคนนี้ไหม”

หนุ่มน้อยที่ลังเลเพราะไม่กล้าไปโดยไม่บอกญาติเพียงสองคนที่เหลืออยู่ซึ่งแม้จะอยู่ต่างจังหวัดแต่เขาก็อยากจะขออนุญาตให้เรียบร้อย แต่เมื่อแอรอนออกปากว่าจะขอให้เขาก็รีบพยักหน้าทันที ตั้งแต่เข้ามาทำงานที่ร้านนี้แม้จะตามพี่สาวพี่ชายเข้ามาทีหลังหลายเดือน แรกเริ่มยังเป็นแค่พนักงานพาร์ทไทม์บางวันด้วยซ้ำ เพราะวันไหนมีเรียนก็ไม่สามารถมาได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ทิวจึงไว้วางใจและนับถือทั้งแอรอนและตะวันฉายเหมือนพี่ชายแท้ๆ และทั้งสองคนเองก็ดีกับเด็กกำพร้าอย่างเขามาก ถึงขนาดว่าถ้าเทอมไหนเขามีค่าเทอมและค่าหน่วยกิตไม่พอยังช่วยออกให้แถมยังไม่ยอมรับคืนอีกต่างหาก เขาจึงตั้งใจทำงานทุกอย่างเพื่อตอบแทน

“เราจะไปกันวันไหนละครับ แล้วเรื่องวิซ่า...” ศิวัฒน์ขมวดคิ้ว การขอวิซ่าเข้าประเทศไม่ใช่เรื่องที่ใช้เวลาน้อยนิดเลย มันควรจะต้องเผื่อเวลากันเป็นเดือนเลยด้วยซ้ำ

“เรื่องนั้นไม่ต้องไปคิดถึงมัน เดี๋ยวฉันจัดการเอง เราจะเดินทางกันคืนนี้ละ” เมื่อคิดว่าจะชวนเขาก็โทรไปบอกเลขาคนสนิทว่ามีสมาชิกเพิ่มอีกสามคน กำหนดวันเดินทางสร้างเสียงกรีดร้องให้หญิงสาวคนเดียวของร้านและอาการอ้าปากค้างของคนอายุน้อยสุด เมื่อได้สติชเลรัศดิ์ก็ถลาเข้าไปหาเจ้านายแล้วกระชากคอเสื้ออย่างไม่เกรงกลัว

“บอกมาว่าโอนเนอร์เป็นมาเฟียปลอมตัวมาใช่ไหม หรือเป็นเจ้าชายที่เหลือรอดแล้วมาหลบซ่อนตัวอยู่เมืองไทย...บอกมาเดี๋ยวนี้!” หญิงสาวร้องถามด้วยสีหน้าจริงจังจนคนอื่นๆ หลังจากตะลึงแล้วก็อดปล่อยเสียงหัวเราะตามหลังไม่ได้

แอรอนยกกำปั้นขึ้นเขกหัวแล้วผลักออกเบาๆ “คิดได้ยังไงเนี่ยยัยน้ำขม เจ้าชายที่เหลือรอด? ไหวไหมเนี่ยเธอ” ส่ายหน้าพร้อมหัวเราะเสียงดังกับจินตนาการอันล้ำเลิศของลูกจ้างสาว อยู่กันมาหลายปีตั้งแต่เริ่มเปิดร้าน ว่ามีพลังในการจินตนาการสูงแล้วนะ แต่ดูเหมือนเขาจะยังประเมินเจ้าหล่อนต่ำไปจริงๆ

“เป็นอันว่ารู้เรื่องแล้วนะ วันนี้เราจะปิดร้านเร็วหน่อย จริงๆ เล้ย เพิ่งมาบอกเอาป่านนี้” ตะวันฉายส่ายหน้าให้กับเรื่องคิดเร็วทำเร็วของเพื่อน แต่จะโทษเจ้าตัวก็ไม่ถูกนักเพราะด้วยศักยภาพของตระกูลเลตินี่ก็พร้อมจะสามารถตอบสนองต่อความต้องการได้รวดเร็วพอกัน...ก็ดีเหมือนกันเขาเองก็ชักคิดถึงแม่ อยากกลับไปเยี่ยมอยู่เหมือนกัน ช่างทำขนมหนุ่มยักไหล่ มารดาของเขาเป็นเพื่อนสนิทของนายหญิงตระกูลเลตินี่ และเขาเองก็เกิดที่ฝรั่งเศส ช้ากว่าเพื่อนสนิทอย่างแอรอนแค่สองเดือนเท่านั้น

“รีบถึงขนาดนั้นเลยเหรอครับ” พี่ใหญ่ของสามพนักงานรู้มานานแล้วว่าเจ้านายของพวกเขาคงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป เพราะเขาเคยเห็นหลายครั้งว่าระแวกร้านดูเหมือนจะมีชาวต่างชาติสับเปลี่ยนเวียนกันมาเมียงมอง และยังเคยเห็นผู้ชายใส่สูทท่าทางดูดีนำเอกสารในซองมาให้อยู่เรื่อยๆ ฉะนั้นข้อสันนิฐานของชเลรัศดิ์ถ้าไม่ถูกก็น่าจะใกล้เคียง

“รีบสิ จะพาลูกสะใภ้ไปให้พ่อแม่ดูตัว” ร่างสูงยืดอกท่าทางดูมีความสุขเหลือแสน มือขยับไปโอบเอวบางอย่างหน้าไม่อาย แต่สิ่งที่ได้รับแบบฉับพลันคือข้อศอกที่ถองมาอย่างเต็มแรงและสายตาถลึงมองจาก ‘ลูกสะใภ้’ ที่ว่าถึงคนทำร้ายร่างกายจะหน้าแดงแค่ไหนก็ตาม

“อ๊าาา โอนเนอร์กับคุณอากิระ...” หนุ่มน้อยชี้มือแล้วมองเลิกลั่กสลับไปมาระหว่างสองคนในประโยค “เอ๊ะ แล้วทำไมพี่หวานกับพี่วัฒน์แล้วก็คุณซัน ไม่...แปลกใจเลยละ อย่าบอกนะว่ารู้อยู่แล้ว” เริ่มรู้ตัวว่ามีแต่ตัวเองที่ตื่นตกใจ คนอื่นๆ ดูเหมือนจะไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยนอกจากยิ้มเท่านั้น

ชเลรัศดิ์ยีหัวหนุ่มรุ่นน้องเบาๆ “ทิวเอ้ยทิว สงสัยต้องสอนกันอีกเยอะเลย ไปคราวนี้ต้องประกบดีๆ ไม่งั้นมีหวังโดนหนุ่มฝรั่งเศสหลอกเอาแน่ๆ”

“หนุ่มฝรั่งเศสคงไม่มี ว่าแต่ทิว ชอบประเทศเยอรมันไหม” หนุ่มลูกครึ่งฝรั่งเศสหัวเราะในลำคอแล้วถามอีกเรื่องเสียอย่างนั้น คนถูกถามเอียงคอไม่เข้าใจแต่ก็ตอบไปตามตรง

“ชอบฮะ เคยเห็นในสารคดีน่าอยู่มากเลยฮะโอนเนอร์” ตาเป็นประกายขณะคิดถึงประเทศในบทสนทนาซึ่งเขาเคยเห็นผ่านทางสารคดี ตอบออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร ส่วนคนถามก็ได้แต่หัวเราะหึๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก

หลังจากนั้นก็เป็นเหมือนทุกวัน แตกต่างแค่เมื่อลูกค้าอ่านประกาศต่างถามถึงสาเหตุของการปิดร้านนานถึงหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งชายหนุ่มเจ้าของร้านยิ้มกว้างแล้วบอกกับบรรดาลูกค้าที่ถามเขาว่ามีธุระด่วนต้องบินกลับบ้านเกิด แต่สีหน้าท่าทางอารมณ์ดีมีความสุขจนล้นนั้นทำให้ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถคิดไปในแง่ลบได้ แต่สำหรับลูกค้าสาวๆ นั้นต่างออกไปเพราะพวกเธอรู้สึกราวกับว่ามองเห็นเค้าลางเรื่องเลวร้าย และมีความเป็นไปได้ว่าพวกหล่อนอาจจะต้องเตรียมผ้าเช็ดหน้าผืนโตไว้คอยซับน้ำตา


ขอโทษที่อัพช้าค่ะ สภาพอย่างเปื่อยเลยขอบอก  :katai5:

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13

ออฟไลน์ blanchet

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
ขอบเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ สนุกมากกก ชอบอากิกับแอรอนมากๆเลย
เคะในฝันเลยก็ว่าได้อิอิ เดินเรื่องได้ดีมากเลยค่ะ ไม่เอื่อยไปไม่เร็วไป
ตัวละครแต่ละตัวดูมีที่มาที่ไป คาแรคเตอร์ชัด ชอบอ่าาา รอนะคะะะ :mew1: 

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
ชอบความหวานของอากิระกับแอรอนมาก น่ารักน่ะคู่นี้

ขอให้คนเขียนหายป่วยโดยไวนะ รักษาสุขภาพด้วยนะจ้ะ
 :L2:

Lady Eowyn

  • บุคคลทั่วไป
...11...

เป็นครั้งแรกที่ลูกครึ่งญี่ปุ่นได้พบคนที่ทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยตัวเองอยู่ห่างๆ นำทีมโดยฟราเนสเซ่ หรือที่เจ้าตัวบอกให้เรียกสั้นๆ ว่าฟราน แถมยังได้รับคำขอโทษอีกหายต่อหลายครั้งจากเรื่องเมื่อหลายวันก่อน แม้เขาจะบอกว่าไม่เป็นไรและอย่าคิดมากก็ตาม

หลังจากจัดการทุกอย่างในร้านเรียบร้อยแล้วแอรอนก็บอกให้คนตัวเล็กกว่าขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมกระเป๋าก่อน ส่วนตัวเองเมื่อคุยกับลูกน้องอีกครู่ใหญ่ก็ตามขึ้นไป เขาเปิดตู้เสื้อผ้าในห้องนอนแล้วคว้าเสื้อผ้าบนราวออกมาใส่กระเป๋าเดินทางขนาดเล็กสองสามชุด หยิบของในกล่องห่ออย่างดีอีกสองกล่องและถุงกระดาษอีกใบใส่ด้านบนก็เป็นอันเรียบร้อย ความจริงเขาจะเอาแค่กล่องกับถุงกระดาษยังได้ เพราะไม่ว่าอะไรเขาของเขาก็หาให้ได้และการเดินทางของเขาครั้งนี้ยังเป็นการ...กลับบ้าน

“อากิ เปิดประตูหน่อย ขอผมอาบด้วยสิ” เขาเคาะประตูห้องน้ำแล้วตะโกนแหย่ แม้จะคาดหวังลึกๆ ว่าอยากให้เปิดจริงๆ ก็เถอะ

“ทะลึ่ง!” เสียงคนในห้องน้ำตอบกลับมาอย่างนั้น ร่างสูงหัวเราะเบาๆ กับปฏิกิริยาตามความคาดหมาย ก่อนจะถอนหายใจมองประตูห้องน้ำตาละห้อย ทรมานไม่หยอกกับการฟังเสียงน้ำตกกระทบพื้นแบบนี้

“อากิจะใส่กิโมโนก็ได้นะ” ชายหนุ่มนอกห้องนำเปลี่ยนเรื่องไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่าน

“ได้เหรอ” อากิระร้องถามเพราะดูเหมือนเขาจะจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเสื้อผ้าธรรมดาของตัวเองอยู่ที่ไหน เขาไม่ได้สวมใส่มันมานานมากแล้ว ตั้งแต่จบมหาวิทยาลัยเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องใส่อีกในตู้จึงมีแต่กิโมโนหลากหลายแบบเท่านั้น การสวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์เมื่อครั้งเดินทางมาประเทศไทยจึงเป็นครั้งแรกในรอบห้าปีและเป็นครั้งสุดท้ายอีกด้วย เพราะตั้งแต่ย้ายมาก็ไม่เคยออกจากบ้านไกลเกินกว่าร้านกาแฟร้านนี้ เขายังจำได้ว่าตัวเองเคลื่อนไหวลำบากเพราะความไม่คุ้นเคยแค่ไหนเมื่อสวมกางเกง

“เราไปเครื่องบินส่วนตัวไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ” แอรอนยิ้มขันกับน้ำเสียงดีใจปนโล่งอกนั้น เขาเข้าใจว่าการสวมชุดประจำชาติเดินไปมาตามท้องถนนของประเทศญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด โดยเฉพาะกับคนที่อยู่ในวงการนักเขียน นักวาดภาพ นักชงชา หรือนักเขียนพู่กันเป็นต้น อ้อ ยังไม่ได้พูดถึงกรณีของอากิระที่สวมใส่ในชีวิตประจำวันมาตั้งแต่จำความได้ “เอ๊ะ เดี๋ยวผมมานะครับ” ร่างสูงเดินลงบันไดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขามีเรื่องที่ต้องสั่งลูกน้องที่จะคอยดูแลอยู่ที่นี่

นั่นทำให้เขาพลาดโอกาสอย่างน่าเสียดายเพราะครู่ใหญ่คนในห้องน้ำก็โผล่หน้าออกมาเมื่อเห็นว่าไม่มีคนอยู่จึงก้าวเร็วๆ ออกมา ทั้งตัวมีเพียงผ้าขนหนูพันท่อนล่าง เส้นผมหมาดชื้นเนื่องจากยังไม่ได้เปล่าให้แห้งแนบแผ่นหลังและอกขาว ผิวขาวละเอียดที่เหมือนจะสะท้อนแสงไฟ หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นรีบวิ่งกลับเข้าห้องนอน เขาไม่กล้าพอจะให้แอรอนเห็นเขาในสภาพเปลือยเปล่าหรอก ถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกันก็เถอะ แม้แต่ครั้งสุดท้ายที่ถอดเสื้อให้ใครเห็นยังผ่านมานานตั้งแต่ตรวจสุขภาพสมัยมัธยมโน่น

นักเขียนหนุ่มรีบเสียบปลั๊กสิ่งที่เขาคว้าติดมือออกมาจากห้องน้ำเพื่อเป่าผมต่อให้แห้งโดยสวมเพียงแค่ชั้นด้านในซึ่งเป็นสีขาวเท่านั้น เมื่อผมแห้งดีแล้วจึงหวีแล้วถักเป็นเปียหลวมๆ มัดด้วยด้านญี่ปุ่น เปิดตู้ที่มีกิโมโนผืนเดียวแขวนไว้ ดูเหมือนจะเป็นกิโมโนเพียงผืนเดียวที่ติดมากับบรรดายูกาตะ ผ้าไหมสีน้ำเงินเรียบลื่นเมื่อสัมผัส เขามีกิโมโนสีน้ำเงินอยู่หลายผืนแต่ผืนนี้เป็นผืนที่เขาไม่เคยได้ใช้เลย โดยปกติทั้งกิโมโนและยูกาตะของเขาจะไม่เน้นลวดลาย แต่รู้สึกว่าผืนนี้ทางสำนักพิมพ์จะให้เป็นของขวัญครบรอบสิบปีการเป็นนักเขียนของเขาก่อนจะย้ายมาอยู่เมืองไทย เกลียวน้ำสีขาวอ่อนช้อยดูลงตัวกับดอกและกิ่งซากุระ โชคดีที่ดูเหมือนจะมีโอบิกิโมโนติดมาด้วยสองสามชิ้น

เนื่องจากสวมใส่มาตั้งแต่จำความได้จึงใช้เวลาไม่นานกิโมโนตัวสวยก็ถูกสวมและพับจับเข้ารูปอย่างชำนาญ เขาเลือกใช้โอบิสีเหลืองอ่อนเดินเส้นด้วยดอกซากุระสีชมพูและคลื่นน้ำสีฟ้าอมน้ำเงิน แล้วจึงผูกทับด้วยเชือกรัดเอวสีแดง มือเรียวลูบไปตามเนื้อผ้าเพื่อจับให้เข้าที่และเก็บลายละเอียด

ร่างโปร่งบางจ้องตัวเองในกระจก เขาเคยคิดไปด้วยซ้ำว่ามารดาอยากให้เขาเกิดเป็นผู้หญิงเพราะผู้ชายคนนั้นอยากได้ลูกสาว แต่แล้วเขาก็เข้าใจว่าความจริงมันไม่ใช่อย่างที่คิด แต่เพราะดูเหมือนเขาจะได้ทั้งรูปหน้าและส่วนประกอบต่างๆ เกือบทั้งหมดมาจากท่าน และการแต่งกายด้วยชุดกิโมโนของเด็กผู้หญิงก็ดูเหมือนจะน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของคนเป็นแม่ และท่านก็ทำเพื่อเขา...การที่เด็กผู้ชายมีหน้าตาที่เหมือนผู้หญิงนั้นทำให้เพื่อนผู้ชายในวัยเดียวกันคอยกลั่นแกล้ง ท่านจึงมักจะให้สวมกิโมโนของเด็กผู้หญิง และชุดธรรมดาก็มันจะเลือกเสื้อผ้าแบบเพศกลาง (เสื้อผ้าที่สามารถใส่ได้ทั้งชายและหญิง ดูก้ำกึ่งระหว่างทั้งสองเพศ) และการไว้ผมยาวก็เพราะท่านบอกว่ามันเหมาะกับรูปหน้าและดูนุ่มนวลไม่แข็งกระด้าง อีกอย่างคือมันไม่สวนทางกับใบหน้าของเขา

อากิระหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะนึกถึงตอนที่ต้องตัดผมในสมัยประถมและมัธยม เคยมีคนทักว่าเขาเป็นเด็กผู้หญิงที่เล่นพิเรนทร์ตัดผมแล้วก็สวมชุดนักเรียนชาย ยังเคยโดนสารวัตรนักเรียนไล่ให้ไปเปลี่ยนเป็นชุดกะลาสีจนกระทั่งเอาบัตรนักเรียนให้ดูนั่นละถึงยอมเลิกรา

ร่างโปร่งบางขยับตัวออกจากหน้ากระจกแล้วก้มลงหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้ากับกระเป๋าโน้ตบุ้ค เพราะต้องคอยเช็คเมล์จากโทคิตะ บก.ของเขา เผื่อว่ามีจุดไหนของงานต้องแก้ไขเร่งด่วน เมื่อเปิดประตูห้องนอนออกไปก็พบว่าอีกคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ร่างสูงใหญ่นั้นอยู่ในชุดสูทไม่เป็นทางการ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ดูดีชนิดต้องหันมองจนลับตา

แอรอนตะลึงงันไปชั่วครู่ก่อนจะได้สติรีบสาวเท้าเข้าไปคว้ากระเป๋าทั้งสองใบมาถือไว้เอง “อากิของผมสวยจัง” คนได้รับคำชมทั้งเขินทั้งฉุน

“ไม่มีผู้ชายคนไหนอยากได้รับคำชมว่าสวยหรอกนะ”

“ยกเว้นให้ผมสักคนไม่ได้เหรอครับ” คนตัวโตทอดเสียงอ่อนออดอ้อน แน่นอนว่าเขาสามารถฟันธงได้เลยว่าเขาจะมีโอกาสชมคนรักด้วยคำนี้อีกอย่างไม่ต้องสงสัย

“ไปเถอะ เดี๋ยวก็ดึกกันพอดี” ร่างบางยังไม่คุ้นชินกับสถานะใหม่ที่มีสิทธิพิเศษมากมายแบบนี้ หนุ่มลูกครึ่งฝรั่งเศสหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดีแล้วเข้าไปโอบกระชับเอวบางรั้งให้ออกเดิน  อากัปกิริยานั้นทำให้คนตัวเล็กกว่าขืนตัวแล้วบ่นเบาๆ “รุ่มร่าม”

“ใครว่า...” คนรุ่มร่ามเถียง “เขาเรียกการแสดงความรักต่างหาก” ไม่ว่าเปล่ายังก้มลงสัมผัสแก้มนุ่มเสียฟอดใหญ่ คนโดนเอาเปรียบตัวแข็งทื่อ

“ยังไม่ชินสักที สงสัยผมต้องทำบ่อยๆ อากิจะได้ชินเร็วๆ” แอรอนยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะก้มลงแตะริมฝีปากบนกลีบปากนุ่มสีแดงเรื่ออย่างอดใจไม่อยู่ แม้จะแผ่วเบานุ่มนวลแต่คราวนี้ปฏิกิริยาตอบสนองก็เพิ่มขึ้นอีกระดับจนคนช่างแกล้งอดกลัวไม่ได้ว่าหัวใจดวงเล็กๆ นั้นจะหยุดเต้นไปเสียก่อน “โอเค ผมว่ารีบไปกันดีกว่าก่อนที่จะต้องเปลี่ยนจุดหมายจากสนามบินเป็นโรงพยาบาล” แขนแข็งแรงแทบจะยกร่างบาง แต่ยังโชคดีว่าร่างกายยังตอบสนองแม้สมองจะมึนงงก็ตาม

กว่าอากิระจะรู้ตัวก็พบว่าตนเองมานั่งอยู่ในรถยนต์สัญชาติยุโรปคันใหญ่และพาหนะสี่ล้อก็เคลื่อนที่ออกไปเสียแล้ว เขาหันไปสบตาคนที่นั่งมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ถามคำถามที่ทำให้คนฟังอึ้งไปนิดก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยน

“ทำยังไงจะชิน” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเมื่ออยู่ในสถานการณ์แบบนี้เขามักจะปิดเครื่องหนีอยู่เรื่อย จะอายอะไรก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยเถอะ

“ไม่เป็นไร เราค่อยเป็นค่อยไปก็ได้” แอรอนกุมมือบางใช้นิ้วโป้งลูบหลังมือไปมาแผ่วเบา นักเขียนหนุ่มถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม จะบอกว่าเพราะตัวเองไม่เคยใกล้ชิดผู้ชายคนไหนขนาดนี้ก็เถอะ แต่มันก็ไม่ควรจะเป็นถึงขึ้นนี้ หรือมันเกิดจากการที่เขาบ่งพร่องด้านปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง “คิดมากอีกแล้ว ผมซื้อมาแล้วนะ...งั้นเอาอย่างนี้ เรามาเริ่มทีละขั้นนะ” พูดพร้อมกับออกแรงยกร่างบางนั้นขึ้นมานั่งบนตัก ดูเหมือนนี่จะเป็นลิมิตสูงสุดของการแตะเนื้อต้องตัวกันได้ และเมื่อเริ่มเข้าขั้นหอมแก้ม คนบนตักเขาจะมีอาการตัวแข็งเกร็งขึ้นมาอย่างน้อยๆ ก็เป็นนาทีเลยละ

“อื้อ เดี๋ยวก็ปวดขา” ใบหน้าแดงกล่ำลุกลี้ลุกลนอายสายตาคนของเขาที่ขับรถและคุ้มกันอยู่ข้างหน้าทั้งสองคน

“เบาขนาดนี้จะปวดได้ยังไง บอกมาเสียดีๆ ตกลงน้ำหนักเท่าไหร่” กระชับอ้อมกอด หรี่ตามอง คนตัวเบาทำท่านึกรู้สึกว่าเขาจะช่างน้ำหนักครั้งสุดท้ายเมื่อสองปีที่แล้วก่อนมาเมืองไทย

“ห้าสิบห้า”

“พูดความจริง”

“...ห้าสิบสองก่อนมาเมืองไทย” อ้อมแอ้มตอบแบบไม่เต็มเสียง

“ตอนนี้น่าจะสักสี่สิบแปด แล้วสูงเท่าไหร่ หือ” คาดคะเนน้ำหนักปัจจุบันถามส่วนสูงต่อแม้จะมีตัวเลขที่ลองเดาในใจแล้วก็ตาม

“ร้อยเจ็ดสิบแปด” นั่นไม่ต่างกับที่เขาคิดไว้ น้ำหนักต่ำกว่าที่ควรเป็นเยอะมาก เพราะสวมแต่ยูกาตะซึ่งพลางรูปร่างจึงไม่ได้ดูผอมเท่าใดนัก

“เพราะไม่ค่อยทานข้าว ทานแต่ขนมแล้วก็ดื่มชา นอนไม่เป็นเวลาพักผ่อนไม่เพียงพอน่ะสิครับ แถมยังทำงานที่ต้องงใช้สมองอย่างหนักขนาดนั้นการเผาผลาญก็เลยดีเกินไปเพราะต้องการพลังงานไปเลี้ยง...ต่อไปนี้อากิต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนะ แล้วถามจริงๆ เถอะมีโรคประจำตัวอะไรบ้าง บอกมาให้หมด” ไล่เรียงต่อทันที

“...ภูมิแพ้...โรคกระเพาะ...ไมเกรน...เอ็นอักเสบ นานๆ จะเป็น...แล้วก็ปวดหลังปวดไหล่ เวลาใกล้ถึงกำหนดส่งต้นฉบับ” ดูเหมือนยิ่งพูดเสียงจะยิ่งเบาลงเรื่อยๆ พอๆ กับดวงตาสีสวยที่หรี่ลงตามเสียง ร่างสูงถอนหายใจแค่เรื่องน้ำหนักตัวอันน้อยนิดของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาเป็นกังวลมากพอแล้ว แล้วโรคประจำตัวที่ตามมาเป็นพรวนนั่นเองเล่า

แอรอนเพิ่มแรงโอบรัด “แบบนี้ไม่ดีแล้วนะ ไม่เอาละ ต่อไปนี้ผมจะดูแลอากิทั้งเรื่องกิน เรื่องนอน แล้วก็สุขภาพทุกอย่าง ต้องเชื่อฟังผมเข้าใจไหมครับ”

อากิระยิ้มบาง หัวใจเขาเต็มตื้นเหมือนได้ถูกเติมเต็ม นานแค่ไหนแล้วที่ไม่มีคนพูดแบบนี้กับเขา...ตั้งแต่มารดาเสียชีวิตไปเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่ท่านยังอยู่แม้ว่าเขาจะต้องทั้งเรียนและเขียนหนังสือไปด้วย ไม่ได้พักผ่อนแต่ก็ยังมีท่านคอยดูแล บังคับให้เขากินและนอน หลังไม่มีมารดาแล้วเขายังเคยหมดสติคาบ้านถ้าโทคิตะไม่ได้แวะมาถามความคืบหน้าต้นฉบับ เขาได้มีข่าวพาดหน้าหนึ่งแน่ แม้ถึงจะสนิทกันแค่ไหนก็ใช่ว่าเขาจะเชื่อและทำตามที่บรรณาธิการหนุ่มบอกทุกอย่าง ยังคงละเลยจนตัวเองล้มป่วยอยู่หลายครั้ง

“อือ จะเชื่อทุกอย่าง...” ยิ้มหวานให้ ดวงตาสีดำเป็นประกายด้วยน้ำใสๆ ที่คลอหน่วย คนตัวโตเผลอมองราวกับต้องมนตร์ รอยยิ้มนี้ซ้อนทับกับรอยยิ้มในความทรงจำ...สว่างไสวราวกับแสงแรกของดวงอาทิตย์

“คิดแล้วก็เจ็บใจชะมัด ช้าไปตั้งสองปี เสียดายเวลา” หนุ่มลูกครึ่งฝรั่งเศสครางแล้วซบหน้าลงบนบ่าเล็ก ทำเอาเจ้าของไหล่หัวเราะเบาๆ เสียงนุ่มพลิ้วหวานราวกับดอกซากุระที่ต้องลม

“ไม่ช้าหรอก ถ้าเร็วกว่านี้สิจะแย่” เผลอๆ ถ้าทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วกว่านี้พวกเขาคงไม่มีวันนี้ นักเขียนหนุ่มเชื่อมาตลอดว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่มีเหตุและความหมาย การเลือกของคนเราย่อมมีผลลัพธ์ที่จะตามมาแตกต่างกันในตัวเลือกนั้น ถ้าแอรอนเลือกที่จะเดินเข้าไปหาเขาในวันนั้นที่สนามบิน เขาอาจจะไม่ได้ตกหลุมรักในฐานะคนรักแต่อาจจะกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน หรือถ้าวินาทีที่เขาถูกดึงดูดด้วยดวงตาคู่สวยของชายหนุ่มแล้วตัดสินใจเดินหน้าต่อ ความรักที่มีในใจคงจะไม่ลึกซึ้งและหยั่งรากลงในจิตใจเท่าตอนนี้...เพราะทุกอย่างต้องเป็นไปตามครรลองอันเหมาะสม

ไม่มีใครรู้ว่าจุดสิ้นสุดของการแอบรัก ความสุข ความทุกข์และความทรมานนั้นสุดท้ายแล้วจะจบลงอย่างไร จะได้พบความสมหวังหรือต้องเจ็บปวด...แต่เขาก็โชคดีที่ปลายทางนั้นคือสิ่งที่เขาปรารถนา และเขากำลังจะก้าวไปสู่เส้นทางใหม่ซึ่งเป็นเส้นทางที่เขาจะไม่ต้องเดินอยู่เพียงลำพังอีกต่อไป

รถยนต์หรูพร้อมบอดี้การ์ดอีกคันพาทั้งคู่มาถึงสนามบินช้ากว่าที่คาดเล็กน้อย เนื่องจากมันเป็นเวลาหลังเลิกงานกว่าจะหลุดจากย่านธุรกิจมาได้ก็ติดขัดไปหลายตลบ รถของตะวันฉายมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน ทุกอย่างดูง่ายดายและรวดเร็วไปเสียทุกอย่างจากการจัดการของเลขานุการคนสนิทผู้มากความสามารถ ผู้ชายในชุดสูทเรียบกริบที่ดูเหมือนพ่อบ้านในภาพยนตร์หรือในจินตนาการมากกว่า

“ยินดีที่ได้พบท่านเสียทีครับ” ร่างสูงเจ้าของใบหน้าเรียบเฉย ผมสีน้ำตาลอ่อนหวีเสยเรียบร้อย นอกจากนั้นเขายังมีดวงตาสีเขียวมะกอกเฉียบคม เลติสโค้งตัวพร้อมกับแตะมือไว้ที่อกให้กับคนรักของเจ้านายซึ่งเขาซ่อนความปลาบปลื้มไว้แทบไม่มิด หลังจากทักทายเจ้านายและเพื่อนสนิทเรียบร้อย “ขอแนะนำตัวอีกครั้ง ผมชื่อเลติส กราวิเย่ร์ เป็นเลขาของท่านแอรอนครับ”

“สวัสดีครับคุณเลติส อากิระครับ อากิระ ฟุจิวาตะ ยินดีที่ได้รู้จักครับ จากนี้ไปก็ขอฝากตัวและรบกวนด้วยนะครับ” ทักทายกลับด้วยภาษาฝรั่งเศสสำเนียงที่เจ้าของภาษายังอดชอบใจไม่ได้ ร่างโปร่งบางประสานมือแล้วโค้งตัวตามธรรมเนียมปฏิบัติของบ้านเกิด ซึ่งบรรดาบอดี้การ์ดในสูทสีดำต่างอดที่จะชื่นชมในความถ่อมตนและกิริยาไร้ที่ตินั้นไม่ได้

“ไม่ว่าท่านปรารถนาสิ่งใดโปรดบอก ทุกคนที่อยู่ที่นี่พร้อมจะสนองความต้องการของท่านครับ” เลขาหนุ่มก้มตัวลงอีกครั้ง บรรดาบอดี้การ์ดต่างทำตามแบบเดียวกัน

“เอ้าๆ มัวแต่พิธีรีตองกันอยู่นี่ คืนนี้จะได้ไปไหมเนี่ย” แอรอนกอดอกแขวะลูกน้องที่ดูเหมือนจะออกหน้าออกตาจนเขาอดหมั่นไส้ไม่ได้ เริ่มเห็นเค้าลางว่าอนาคตคงไม่มีใครฟังคำสั่งเขาแล้วกระมังถึงลองคนข้างตัวพูดอะไรออกมาสักคำ

“ขออภัยครับ แต่เนื่องจากสภาพอากาศทำให้ทัศนวิสัยไม่ค่อยดีนัก เครื่องคงต้องดีเลย์นิดหน่อยแต่คาดว่าไม่นาน เพราะฝนเริ่มซาลงแล้ว”

“ดูเหมือนอีกไม่นานเจ้านายจอมเอาแต่ใจของนายจะตกกระป๋องนะเลติส” ตะวันฉายทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หลังจากเรียกสามหนุ่มสาวให้นั่งลงเพราะคงต้องรออีกสักพักกว่าเครื่องจะขึ้นได้ ซึ่งทั้งสามก็ทำตามอย่างว่าง่ายเพราะนอกจากจะตื่นตกใจกับเหล่าผู้คุ้มกันในเครื่องแบบราวกับหลุดออกมาจากภาพยนตร์แอ็คชั่นแล้วยังหวาดหวั่นกับภาษาต่างดาว เพราะถ้าพูดเป็นภาษาอังกฤษคงจะไม่เกร็งขนาดนี้

“เพราะท่านอากิระดูน่าเอาใจกว่าน่ะครับท่านซัน” เลขาหน้าตายตอบหน้าตาเฉย เรียกเสียงหัวเราะจากตะวันฉายได้เป็นอย่างดี ส่วนคนเอาแต่ใจที่กำลังจะตกกระป๋องในไม่ช้าได้แต่เหล่มองด้วยความหมั่นไส้ เขายักไหล่แล้วดึงร่างโปร่งบางให้นั่งลงข้างกัน

คนอื่นๆ มองภาพชายหนุ่มสองคนที่ครอบครองเอาสิ่งล้ำค่าที่มนุษย์ส่วนใหญ่แสวงหา คนหนึ่งสง่างามแข็งแรง เปี่ยมไปด้วยพลังและเสน่ห์ดึงดูดแห่งเพศชาย ส่วนอีกคนก็เป็นส่วนผสมอันลงตัวระหว่างความอ่อนนุ่มละมุนโดยธรรมชาติและเสน่ห์อันน่าหลงใหลของบุรุษซึ่งตรึงสายตาไม่ว่าจะเป็นเพศตรงข้ามหรือเพศเดียวกัน...เป็นเรื่องน่าตลกของความรักที่ทำให้ผู้ชายที่น่าอิจฉาสองคนไม่สามารถละสายตาจากกันละกันได้

และภาพที่เห็นก็ไม่ได้ชวนให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใด ตรงกันข้ามมันกลับน่ามองเสียจนไม่อาจดึงสายตากลับมาจากภาพนั้นได้เลยต่างหาก

เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงเลติสก็ได้รับรายงานว่าพวกเขาสามารถขึ้นบินได้แล้วเนื่องจากสายฝนที่เทลงอย่างหนักตั้งแต่ช่วงหัวค่ำได้ขาดเม็ดลงไปแล้ว เลขาหนุ่มจึงรีบแจ้งให้เจ้านายทราบ พวกเขาจึงลุกจากที่นั่งแล้วเดินไปตามทางออกจากอาคารสนามบินเพื่อไปขึ้นเครื่องบินส่วนตัวของตระกูลลาตินี่

“ข้อมูลทั้งหมดที่ท่านต้องการผมจัดไว้ให้เรียบร้อยที่ห้องทำงานเล็กแล้วครับ” ระหว่างที่ทุกคนกำลังเลือกที่นั่งเลขาคนสนิทก็กระซิบบอก แอรอนพยักหน้าแล้วกระตุกยิ้มอย่างพึงพอใจ บนเครื่องบินส่วนตัวลำนี้มีครบครันทั้งห้องครัว ห้องอาหาร ห้องสันทนาการหรือแม้แต่ห้องทำงาน ที่นั่งก็หรูหรายิ่งกว่าชั้นเฟิร์สคลาสของสายการบินไหนเสียอีก

“ทุกท่านครับการเดินทางครั้งนี้เราจะไม่หยุดพักเครื่องที่ไหน แต่จะตรงไปยังโพรวองซ์เลย หากต้องการสิ่งใดสามารถบอกกับคนของเราได้ทุกเมื่อ ห้องน้ำอยู่ทางซ้ายมือด้านนี้เดินตรงไปประมาณห้าเมตร ตรงข้ามเป็นห้องอาหารและห้องครัว...” เลติสชี้แจงรายละเอียดจำเป็นต่างๆ ให้ผู้ร่วมเดินทางได้รับรู้เป็นภาษาไทยสำเนียงแปร่ง

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเครื่องบินส่วนตัวตระกูลลาตินี่ก็เทกส์ออฟด์จากรันเวย์ขึ้นสู่ท้องฟ้ามุ่งหน้าจากเมืองหลวงของประเทศไทยสู่โพรวองซ์ ประเทศฝรั่งเศส (Provence-Alpes-Cote d’Azur แคว้นทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศสติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ชายแดนติดกับประเทศอิตาลี เมืองหลวงชื่อ Marseille ซึ่งติดหนึ่งในเมืองใหญ่ห้าอันดับของฝรั่งเศส ผลผลิตที่สำคัญคือลาเวนเดอร์ องุ่น ผลไม้ รวมถึงพืชผักสวนครัว นอกจากนั้นยังมีเห็ดทรัฟเฟิลซึ่งได้สมญานามว่าเพชรสีดำ (บางครั้งมีราคาแพงมากกว่ากิโลกรัมละ 1,000 ยูโร) เป็นของขึ้นชื่อ)

อากิระมองท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดสนิทที่เหมือนกับนำผ้ากำมะหยีสีดำมาคลี่ปกคลุม แล้วสลัดผงคริสตัลเล็กๆ ทั่วทั้งเหมือนเป็นดวงดาวนับล้านที่ส่องแสงอวดโฉบ แอรอนเดินหายไปกับเลติสได้สักพักแล้วหลังจากนั่งคุยด้วยกันกับเขาและคนอื่นๆ อยู่หลายชั่วโมง ความกังวลและหวาดหวั่นประทุขึ้นมาภายในใจ อีกสิบชั่วโมงหลังจากนี้เขาจะต้องเผชิญหน้ากับความจริง ซึ่งไม่อาจรู้ได้ว่าจะเป็นความจริงที่สร้างรอยยิ้มหรือทำให้เขาต้องเสียน้ำตา

เขามองใบหน้าตอนหลับของตะวันฉายซึ่งนั่งอยู่กับหนุ่มสาวอีกสามคนบนที่นั่งอีกฝั่ง ตอนนี้นอกจากบอดี้การ์ดที่ยังคงทำหน้าที่อย่างแข็งขันแล้วบรรดาผู้โดยสารกิตติมศักดิ์ต่างจมลึกสู่ห้วงนิทรา ปาติซิเย่ร์หนุ่มให้กำลังใจเขาก่อนจะหลับไปทั้งยังบอกว่าไม่ต้องกังวลเพราะทุกอย่างไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เขาคิด แต่ถึงอย่างนั้นนักเขียนหนุ่มก็ไม่อาจบังคับตัวเองให้หลับตาลงได้แม้จะดึกมากแล้วก็ตาม

ถึงจะบอกว่าห่วงกังวลจนไม่อาจข่มตาหลับได้ แต่สภาพร่างกายก็ไม่เอื้ออำนวย หลายวันก่อนร่างโปร่งบางเริ่มรับรู้ถึงเพื่อนเก่าที่มักมาเยือนอยู่บ่อยๆ อย่างภูมิแพ้ อ้อ ดูเหมือนเขาจะลืมบอกเจ้าโรคติดหนึบมาตั้งแต่เด็กของเขากับคนรัก แต่เพราะย้ายมาอยู่ที่ร้านเมซอง กินข้าวครบมื้อพักผ่อนเพียงพอและเข้านอนเร็วกว่าปกติทำให้ร่างกายดีขึ้นมากจนไม่ป่วยด้วยหวัดเหมือนปกติ แต่เพราะการนั่งอยู่บนชั้นลอยเมื่อกลางวัน โดนละอองฝนเข้าไปจึงทำให้เพื่อนเก่าที่กำลังจะหันหลังจากไปหวนกลับมาใหม่

เมื่อแอรอนกลับมาจากห้องทำงานเขาในอีกหลายชั่วโมงต่อมาพบว่าร่างบางนั้นมีไข้ อีกทั้งยังไอคอกแค่กอีกหลายครั้ง ไม่ต้องบอกเลติสรีบสั่งให้คนเตรียมซุปกับยาลดไข้ให้ทันที ลูกครึ่งญี่ปุ่นถูกปลุกขึ้นมารองท้องด้วยซุปและกินยา สำนึกสุดท้ายก่อนหลับไปอีกครั้งคือมือใหญ่ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นบิดหมาดเช็คตัวให้

ตลอดเวลาหลายชั่วโมงก่อนเครื่องจะลงจอดชายหนุ่มในชุดสูทต่างได้เห็นความอ่อนโยนเอาใจใส่ของเจ้านายที่ไม่ได้เห็นกันบ่อยนักหากอีกฝ่ายไม่ใช่คนในครอบครัว หมดข้อกังขาในความสงสัยที่เคยมี คงไม่มีมนุษย์คนไหนดูแลทะนุทนอมคนอื่นได้มากมายหากไม่...รัก


ขอบคุณสำหรับความห่วงใยค่ะ ตอนนี้ดีขึ้นมาก แต่ก็ยังไม่ 100% ต้องทำงานส่วนตัวแล้วก็ฝึกงานด้วย
เหนื่อยคูณสอง พยายามเจียดเวลามาหาหนุ่มๆ ร้านเมซอง อย่าลืมเป็นกำลังใจให้หนุ่มๆ ด้วยนะคะ ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
กำลังจะไปถึงกันแล้ว อากิจังดันป่วยซะงั้น หายเร็วๆน๊าอากิจัง

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
แอรอนดูแลดีอย่างนี้ อากิระต้องหายป่วยแน่

+1 ให้กับความหวานของคู่นี้

Lady Eowyn

  • บุคคลทั่วไป
...12...

ร่างสูงช้อนร่างคนรักขึ้นอุ้มอย่างเบามือ พวกเขาจะต้องต่อรถยนต์สู่อาณาเขตพื้นที่ของตระกูลวาตินี่ซึ่งอยู่ติดกับเขตอนุรักษ์ธรรมชาติอันกว้างใหญ่ของโพรวองซ์ นอกเมืองแอ็กซ์-ซอง-โพรวองซ์...เมืองแห่งสายน้ำ ซึ่งทางใต้ของฝรั่งเศสในสมัยก่อนนั้นเป็นดินแดนแห่งการแข่งขันศักดินาที่ดินของขุนนาง และตระกูลวาตินี่เองก็เป็นขุนนางที่ครอบครองที่ดินโดยชอบธรรมจำนวนมาก แม้ว่าจะต้องคืนให้กับรัฐเมื่อยุคขุนนางสิ้นสุดลง แต่ด้วยความสามารถและมันสมองตอนนี้ที่ดินเหล่านั้นก็กลับมาอยู่ในครอบครองเกือบทั้งหมด ยกเว้นบางส่วนที่ถูกตั้งเป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ

เช้าตรู่ของวันใหม่เป็นภาพอันงดงามที่ถูกรังสรรค์ด้วยธรรมชาติ ภูเขาเขียวขจี ทุ่งหญ้าสะท้อนแสงแดดสลับกับป่าโปร่ง ที่น่าตื่นตาคือทุ่งลาเวนเดอร์ที่ยังไม่บานสุดลูกหูลูกตา หากจะอยากมาชื่นชมดอกไม้สีม่วงอันหอมหวนนี้จะต้องมาเยือนราวปลายมิถุนายนถึงกลางตุลาคม ถัดจากทุ่งลาเวนเดอร์สีเขียวสดคือไร่องุ่นจรดตีนเขาอีกด้าน เมื่อพ้นมาแล้วก็เป็นทิวทัศน์ของต้นไม้และดอกไม้หลากหลายชนิด สีสันแห่งชีวิตของปลายฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะก้าวสู่ฤดูร้อน

“ถึงไหนแล้ว” เสียงนุ่มแหบพร่าเล็กน้อยเรียกสายตาของแอรอนที่กำลังดื่มด่ำกับบ้านเกิดให้หันกลับมามอง คนที่หลับเพราะฤทธิ์ยาคืนสติแล้ว ร่างโปร่งบางขยับตัวลุกขึ้นจากท่านอนโดยมีตักอุ่นต่างหมอน ดึงผ้าห่มคลุมตัวไม่ให้เลื่อนหล่น คนตัวโตช่วยประครองในนั่งในท่าสบาย

“ใกล้แล้ว อีกนิดเดียว อากิยังปวดหัวอยู่ไหมครับ” แตะหลังมือบนหน้าผากและซอกคอเพื่อวัดอุณหภูมิร่างกาย เขาผ่อนลมหายใจแล้วยิ้มให้เมื่อพบว่าไข้นั้นลดลงไปมาก

“นิดหน่อย แต่เจ็บคอมากกว่า” นอกจากนั้นจมูกของเขายังแทบใช้การไม่ได้

“งั้นดื่มน้ำหน่อย” ชายหนุ่มรับกระติกเก็บความร้อนมาจากเลขาคนสนิทที่นั่งด้านหน้า “ผมไม่ทันสังเกตว่าอากิไม่สบาย ทั้งที่บอกว่าจะดูแลแท้ๆ” เป็นความผิดพลาดไม่น่าให้อภัยแม้แต่น้อย

“คงเพราะโดนละอองฝนเมื่อวานตอนสาย ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้เอง” มันไม่ใช่ความผิดของเขา เพราะแม้แต่เจ้าของร่างกายยังไม่รู้ตัวสักนิด

“เดี๋ยวถึงบ้านแล้วผมจะให้หมอมาดู แล้วเป็นยังไงเพลียไหม เจ็คแล็คหรือเปล่า” แอรอนเป็นห่วงว่าคนรักจะมีอาการเหน็ดเหนื่อยที่เกิดจากการเมาเวลา เพราะเดินทางข้ามเส้นแบ่งเวลาของซีกโลกหนึ่งไปยังอีกซีกหนึ่ง เนื่องจากอากิระไม่ค่อยได้เดินทางมากนัก แถมการมาฝรั่งเศสครั้งนี้ถือว่าเป็นการเดินทางที่ไกลที่สุดในชีวิตอีกด้วย

คนป่วยพยักหน้า นอกจากอาการอ่อนเพลียจากทั้งหวัดและหลงเวลาแล้วยังรู้สึกคลื่นไส้ ใบหน้าขาวซีดเซียวจนคนมองอดเป็นห่วงไม่ได้ หันไปเร่งคนขับให้เพิ่มความเร็วขึ้นอีกหน่อยเพราะอีกไม่กี่กิโลเมตรก็จะถึงบ้านพักตระกูลลาตินี่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิแล้ว

“ไหวไหม ผมอุ้มดีกว่า” เมื่อรถจอดลงหน้าบ้านหลังใหญ่ที่ผสมผสานระหว่างสไตล์คลาสสิกเหมือนพระราชวังเก่าแต่เปี่ยมไปด้วยสีสันดูละลานตากลืนกับดอกไม้หลากสายพันธุ์ที่เบ่งบานอยู่รอบบริเวณ

“ไม่...อย่าเลย มันจะดูไม่ดี” นักเขียนหนุ่มปฏิเสธ เขาไม่อยากทำให้ครอบครัวของชายหนุ่มรู้สึกไม่ดีกับเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้ากัน ซึ่งแม้อยากจะค้านแต่เห็นสายตามุ่งมั่นเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้วก็ไม่อยากขัดตอนนี้ เขาหันไปสบตากับเพื่อนสนิทและบรรดาลูกจ้างที่เขารักและผูกพันเหมือนน้องสาวน้องชายก็พบว่าตะวันฉายส่งสัญญาณว่าเขาจะพาหนุ่มสาวทั้งสามคนเดินดูรอบบ้านก่อน เพราะท่าทางตื่นตาและสนอกสนใจอยู่ไม่น้อย

“งั้นเข้าบ้านกันครับ” ลูกชายคนโตแห่งตระกูลวาตินี่โอบประคองร่างบางเข้าบ้านโดยมีร่างสูงของลุงหลานกราวิเย่ร์อย่างอังเดรและเลติสยืนรออยู่

ภายในตกแต่งง่ายๆ แสนสบายดูอบอุ่นและน่าอยู่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นที่พำนักของคนในตระกูลทรงอิทธิพลอย่างลาตินี่ เมื่อก้าวเข้าไปยังห้องรับแขกทั้งคู่ก็พบคนอื่นๆ ในครอบครัว ร่างสูงแข็งแรงเต็มไปด้วยความสง่าและเฉียบขาด หากก็อบอุ่นอ่อนโยนของหัวหน้าตระกูลคนปัจจุบัน แองเจโล ลาตินี่ ที่ยืนหันหลังให้ประตูและกำลังมองออกไปทางบานหน้าต่าง ส่วนบนชุดโซฟานั้นถูกจับจองด้วยนายหญิงชาวไทยของบ้าน สุธาสินี ลาตินี่ ข้างกันนั้นเป็นหญิงสาวชาวฝรั่งเศสอีกคน และเยื้องกันเล็กน้อยมีร่างสูงที่ถอดพิมพ์แบบเดียวกับคนข้างตัวอากิระอีกสองคน ฟรองซัวซ์และปิแอร์ ลาตินี่

“กลับมาแล้วครับ” แอรอนร้องเสียงดังด้วยรอยยิ้มกว้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากเอวบาง ทุกสายตาในห้องรับแขกพุ่งตรงมายังผู้มาใหม่ทั้งสอง

ไม่มีใครคาดคิดว่าวินาทีต่อมาร่างโปร่งบางในชุกกิโมโนจะทรุดลงนั่งคุกเข่าทับส้นเท้ากับพื้นไม้ขัดมัน มือเรียวทั้งสองข้างแตะลงบนพื้นก่อนจะโน้มตัวตามลงไป ภาษาฝรั่งเศสชัดถ้อยชัดคำจากริมฝีปากบางซีดเซียวดังขึ้นแผ่วเบาแต่มั่นคง “อากิระ ฟุจิวาตะครับ ขอโทษด้วยครับ...แต่ได้โปรดอนุญาตให้ผมคบกันแอรอน ลูกชายของท่านเถอะครับ”

เกิดความเงียบขึ้นทันทีเมื่อจบประโยคนั้น ไหล่บางสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวในคำตอบ เพียงไม่กี่วินาทีแต่อากิระกลับรู้สึกว่ามันยาวนานนับชั่วโมง

“อากิ!” แอรอนที่เพิ่งเรียกสติตัวเองกลับมาได้รีบทรุดตัวลงไปหวังจะรั้งร่างบางให้ลุกขึ้นยืน แต่นักเขียนหนุ่มขืนตัวไม่ยอมแม้แต่เงยหน้าขึ้นจากพื้นด้วยซ้ำ

“ตายจริง! แอรอน รีบประครองน้องขึ้นมาสิ” คุณสุธาสินีผุดลุกจากที่นั่ง ร้องสั่งลูกชายคนโต “ลุกขึ้นเร็วอากิจัง มานั่งคุยกันดีๆ เถอะลูก...แอรอนยังไม่พาน้องมานั่งนี่อีก” คำพูดเหล่านั้นเหมือนเป็นการตัดความกังวลและหวาดกลัวตลอดหลายสิบชั่วโมงก่อนหน้านี้จนขาด อากิระแทบไม่เชื่อหูตัวเอง แต่ประโยคต่อมาจากชายหนุ่มตระกูลวาตินี่อีกสามคนก็ช่วยยืนยันให้เขาได้เป็นอย่างดี

“ตาแหลมนี่หว่าเจ้าลูกชาย”

“กั๊กไว้ตั้งนานกว่าจะพามาเปิดตัวนะพี่”

“ยังไม่รีบพาพี่สะใภ้ผมขึ้นมานั่งนี่อีก เดี๋ยวก็เจอแม่ตัดออกจากกองมรดกหรอกพี่ชาย”

หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองรอยยิ้มกว้างขวางของคนในครอบครัวคนรัก เขากลืนก้อนสะอื้นที่จุกคอก่อนจะก้มศีรษะลงไปอีกครั้งพร้อมกับพึมพำเป็นภาษาญี่ปุ่น “ขอบพระคุณมากครับ...” แล้วจึงยอมให้คนตัวโตพาไปนั่งที่โซฟาซึ่งว่างอยู่

“ทำไมหน้าซีดขนาดนี้ละลูก ดูสิ ไม่สบายหรือเปล่าเนี่ย” น้ำเสียงอ่อนโยนเป็นภาษาไทยพร้อมกับมือนุ่มอุ่นที่แตะสัมผัสใบหน้าทำให้อากิระคิดถึงมารดา ท่านมักจะพูดแบบนี้และลูบผมจนมาถึงใบหน้าอย่างนุ่มนวล กลั้นไม่อยู่เผลอนิดเดียวน้ำตาก็หยดแหมะจนคนอื่นๆ พากันตกอกตกใจ

คุณสุธาสินีดึงลูกชายคนใหม่เข้ามากอดปลอบ หูแว่วได้ยินเสียงสั่นเครือเรียกหามารดาทำให้ท่านอดสงสารไม่ได้ แม้ว่าจะเลี้ยงดูลูกชายทั้งสามคนให้มีอิสรเสรีในการดำเนินชีวิตและการตัดสินใจ แต่ขึ้นชื่อว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่ย่อมต้องห่วงใยลูกเป็นธรรมดา จึงไม่แปลกหากเรื่องส่วนตัวต่างๆ จะพัดมาเข้าหู โดยเฉพาะเรื่องที่ลูกชายคนโตของท่านเฝ้าตามหาเจ้าของถุงเครื่องราง จนกระทั่งเมื่อสองปีก่อนที่ได้ข่าวว่าหาเจอจนได้ แน่นอนว่าถึงแม้ลูกน้องในการปกครองของลูกชายแต่ละคนจะเป็นเอกเทศ หากไม่ได้หมายความว่าท่านจะไม่มีทางรู้ และท่านทั้งคู่ก็เชื่อว่าตัวเองหัวสมัยใหม่พอที่จะยอมรับเรื่องเหล่านี้ได้

“อากิไม่สบายน่ะครับแม่ เหมือนจะเจ็คแล็ค” แอรอนบอกมารดา

“แล้วตามหมอหรือยัง” นายหญิงวาตินี่ขมวดคิ้วถามลูกชาย ซึ่งชายหนุ่มให้เลขาส่วนตัวจัดการเรียบร้อยแล้ว

“อีกครึ่งชั่วโมงคุณหมอโรแบร์จะมาถึงครับนายหญิง” เลติสเดินเข้ามาบอกความคืบหน้า

“งั้นพาน้องขึ้นไปพักข้างบน แม่ให้คนจัดห้องลูกไว้แล้ว” ร่างสูงรับร่างคนรักจากมารดาแล้วช้อนขึ้นอุ้มเพื่อพาขึ้นไปยังห้องนอนชั้นสอง ก่อนจะเลี้ยวออกจากห้องแอรอนหันมาหรี่ตามองผู้เป็นแม่ด้วยสายตาจับผิด

“คงไม่ได้เล่นพิเรนทร์ให้คนไปติดกล้องวงจรปิดในห้องนอนผมนะแม่”

“เปล๊า! ใครจะไปทำ ไปได้แล้วรีบพาอากิจังของแม่ขึ้นไปนอนได้แล้ว รอหมอมาดูอาการแล้วค่อยลงมาคุยกัน” ปฏิเสธเสียงสูงบ่งบอกว่าไม่ได้ทำแต่ถ้าคิดน่ะคิดอยู่ ซึ่งที่ชายหนุ่มไม่รู้ติดกล้องไม่ทันแต่เครื่องดักฟังน่ะพร้อมทุกมุมห้อง


“เป็นไงบ้างละพ่อลูกชาย” คุณสุธาสินีอ้าแขนรับร่างสูงใหญ่ของลูกชายคนโตมากอด ชายหนุ่มหอมแก้มมารดาซ้ายขวาเสียฟอดใหญ่แล้วเอนตัวลงนอนหนุนตักให้น้องชายทั้งสองคนได้หมั่นไส้เล่น

“หมอฉีดยาแล้วก็จัดยาไว้ให้ บอกว่าพรุ่งนี้จะเข้ามาดูอีกที ตอนนี้กินยาหลับไปแล้วครับ...แล้วนี่เจอซันกับพวกเด็กๆ แล้วใช่ไหมครับเนี่ย”

“เจอแล้วๆ ตอนนี้ให้ไปพักที่เรือนรับรอง แต่ละคนน่าเอ็นดูจริง น้องทิวน่ารัก...แม่ชอบ หนูหวานก็ถูกชะตาแม่ดี ส่วนพ่อวัฒน์ก็เท่...ว่าแต่อีกคู่หรือเปล่า แม่จะได้เชียร์” ก้มลงสบตาลูกชายด้วยดวงตาเป็นประกาย ทำเอาชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง นี่เป็นความลับอีกอย่างที่คนรักของเขาต้องเจอเมื่อตื่นขึ้นมา...แม่ของเขาน่ะเป็นฟุโจชิ (fujoshi) หรือสาววายตัวจริงเสียงจริง!!!

“ไม่ใช่คู่เดียวครับ สามคู่ต่างหาก คุยกับยัยน้ำหวานหรือยังละครับ ลองถามดูสินั่นก็อาจจะขั้นสูงกว่าแม่อีกนะขอบอก” แอรอนบอกเคล้าเสียงหัวเราะ ชเลรัศดิ์ไม่ใช่แค่พนักงานร้านกาแฟที่สามารถชงเครื่องดื่มและคิดบัญชีได้เท่านั้น นอกเวลางานหญิงสาวคือนักเขียนนิยาย boy’s love มีชื่อในโลกออนไลน์

 “ตายจริง ถ้าอย่างนั้นต้องหาเวลามาจิบชากินขนม บ่ายนี้เลยดีไหมอันนา” นายหญิงวาตินี่หันไปสบสายตากับหญิงสาวชาวฝรั่งเศสอีกคน เห็นอย่างนั้นลูกชายคนโตก็หัวเราะขำ หันไปถามหญิงสาว

“เข้าลัทธิเต็มตัวแล้วเหรออันนา เมียนายนี่หัวอ่อนจังวะฟรองซ์” สัพยอกน้องสะใภ้ซึ่งเพิ่งแต่งเข้าตระกูลวาตินี่เมื่อปีเศษที่ผ่านมา แต่ถึงอย่างนั้นกลางลำตัวของหญิงสาวก็กลมนูน ทายาทคนใหม่ของวาตินี่กำลังจะลืมตาดูโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ฟังแล้วน้องชายคนรองก็หัวเราะหึในลำคอ

“หัวอ่อนที่ไหน มีพื้นมาก่อนแล้วต่างหาก เจอแม่เข้าไปคราวนี้ฉุดไม่อยู่เลย” ฟรองซัวซ์ขยับตัวหลบการประทุบสะร้ายของภรรยา

พี่ชายมองการหยอกล้อของน้องชายคนรองกับน้องสะใภ้ก่อนจะหันไปมองน้องชายคนเล็กที่อายุห่างจากเขาเกือบห้าปี “แล้วแฟนนายไปไหนละ ตั้งแต่กลับมาพี่ยังไม่เห็นเลย” ปิแอร์ยิ้มระรื่นขณะตอบพี่ชายแบบหน้าตาเฉย

 “เลิกแล้ว”

“อ้าว ทำไมเลิก ก็เห็นคบกันดีนี่” แอรอนขมวดคิ้ว นึกถึงนางแบบสาวคริสตีน เลยาร์ด แฟนคนล่าสุดของน้องชายที่คบกันมาถึงสองปี เขาว่าหญิงสาวคนนั้นก็ใช้ได้ ฉลาดดูมีสมอง ความสามารถก็ไม่ได้ขาด ไหนจะความสวยที่ตรงสเป็กน้องชายเขาอีก

“เธอใจแคบเกินไป” ทายาทวาตินี่ที่ดูแลและบริหารแฟชั่นเฮาส์และแบรนด์ผลิตภัณฑ์ในเครือตอบอย่างไม่ลังเล แน่นอนว่าไม่มีเหลือแม้แต่เยื่อใยให้คนเคยรักกัน คนฟังเงยหน้าขึ้นสบตามารดาก่อนจะได้รู้ว่าสาเหตุนั้นมาจากตัวเขาเอง ‘ใจแคบ’ ในความหมายของปิแอร์คือนางแบบสาวคนนั้นแสดงอาการรับไม่ได้เมื่อน้องชายบอกว่าพี่ชายคนโตนั้นมีนางในฝันเป็นผู้ชาย ไม่ได้แสดงออกชัดเจนนักหรอก แต่คนที่มีความรู้สึกไวอย่างปิแอร์สัมผัสได้ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นเพราะมันไม่ใช่เหตุการณ์ครั้งเดียวที่เกิดขึ้นแม้เจ้าหล่อนจะเก็บอาการแค่ไหนก็ตาม และที่เขารับไม่ได้อีกอย่างคือคำพูดในเชิงว่าร้ายว่าที่พี่สะใภ้หนุ่มของเขา

คนในครอบครัววาตินี่ไม่สามารถรับใครก็ตามที่มีความคิดเพียงเสี้ยวที่รับไม่ได้ในสิ่งที่คนซึ่งพวกเขารักเป็นให้เข้ามาในครอบครัว...ฉะนั้น ปิแอร์จึงไม่ลังเลที่จะตัดขาดความสัมพันธ์กับแฟนสาวเมื่อแน่ใจว่าเจ้าหล่อนไม่ได้รักเขามากพอที่จะมอบความรักนั้นให้กับครอบครัวเขาด้วย

“ขอบใจน้องชาย” แอรอนยิ้มให้น้องชายร่วมสายเลือด ซึ่งปิแอร์ก็ยิ้มรับเช่นกัน

“ก็ใครใช้ให้ผมมีพี่ชายกันเล่า อีกอย่าง ช่วยไม่ได้ก็เราเป็นหนี้ชีวิตที่พี่สะใภ้ช่วยพี่ไว้นี่” สาเหตุที่ทำให้พวกเขายอมรับอากิระได้ง่ายดายขนาดนั้นก็คือเรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อน หากไม่ได้ถุงเครื่องรางใบนั้นพวกเขาอาจจะต้องเสียแอรอน ลาตินี่ไปแล้วก็ได้ แม้ว่าการช่วยชีวิตครั้งนั้นจะเกิดจากความไม่ตั้งใจก็ตาม

“เอ้า ซาบซึ้งกันพอหรือยัง...แล้วจะอยู่สักกี่วันกันละแอรอน” หัวหน้าตระกูลคนปัจจุบันนั่งลงร่วมวงสนทนาครอบครัวหลังจากเดินออกไปคุยโทรศัพท์เรื่องงานในห้องทำงาน

“ปิดร้านไว้อาทิตย์หนึ่งครับพ่อ” ลูกชายคนโตที่ยึดที่นั่งข้างมารดาไม่ยอมให้คนเป็นพ่อมาแทรกได้ตอบ

“งั้นก็อยู่ตามกำหนดนั่นละ” ปีหนึ่งชายหนุ่มไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านนานนักหรอก บินมาแค่วันสองวันเพื่อจัดการเอกสารบริษัทแล้วก็บินกลับ ทำอย่างนี้อยู่ปีละสามสี่ครั้ง

“คิดว่าอย่างนั้นละครับ แต่ว่าก่อนกลับเมืองไทยจะแวะที่ญี่ปุ่นหน่อย” ชายหนุ่มกระตุกยิ้ม ดวงตาสีสวยทอประกายประหลาดซึ่งคนในครอบครัวรู้ดีว่ามันหมายความว่าอย่างไร


230

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
ตกใจเลยอะ อากิจังคุกเข่าขอคบกับแอรอนด้วย พลอยโล่งใจไปกับอากิจัง

alekung103

  • บุคคลทั่วไป
คู่นี้น่ารักมากกก

อยากอ่านคู่อื่นบ้าง ^^

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
ดีใจที่ครอบครัวแอรอนยอมรับอากิ
อยากรู้ว่าแอรอนจะจัดการพวกญาติอากิยังไง

+1 เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ    :L2:  :กอด1:
เราชอบเรื่องนี้นะ  :mew1:

Lady Eowyn

  • บุคคลทั่วไป
...13...

หลังจากพักอยู่ได้สองวันครอบครัวเลตินี่ก็โบมือลาแขกของลูกชายคนโตหลังจากพาเที่ยวชมไร่องุ่น โรงบ่มไวน์และทุ่งการเกษตรจนหนุ่มสาวเกือบจะกลายเป็นหนุ่มสาวชาวสวน โดยสั่งให้คนอำนวยความสะดวกต่างๆ ในการนำเที่ยวฝรั่งเศส ซึ่งตะวันฉายขอแวะที่ปารีสเยี่ยมมารดาแล้วจึงค่อยตามไปสมทบน้องๆ ที่เมืองคานส์ในอีกสองวันให้หลัง

ส่วนนายหญิงเลตินี่ถือสิทธิ์ยึดครองตัวลูกชายคนใหม่ไว้กับตัวไม่ยอมปล่อยตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ หลังจากอาการป่วยทุเลา หากเห็นสองสาวที่ไหนย่อมมีอากิระที่นั่น จะมีก็แต่ตอนกลางคืนที่แอรอนจะได้คนรักเขาคืน

“วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ คุณแม่ชวนทำอะไรบ้าง” คนตัวโตสวมกอดร่างโปร่งบางในชุดยูกาตะจากด้านหลัง ก้มลงสูดกลิ่นหอมหลังอาบน้ำอย่างชื่นใจ อย่างน้อยๆ เขาต้องขอบคุณมารดาที่แม้จะกักตัวอากิระไว้ แต่สำหรับเรื่องห้องนอนนี่ต้องยกความดีให้เลย เพราะอ้างว่าต้องต่อเติมบ้านของน้องชายคนกลางเพื่อต้อนรับสมาชิกใหม่ น้องชายและภรรยาจึงต้องย้ายมานอนที่บ้านหลังใหญ่ด้วย ส่วนเรือนรับรองนั้นก็ถือโอกาสเปลี่ยนวอลเปเปอร์ไปพร้อมกัน หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นเลยต้องใช้ห้องนอนร่วมกับแอรอนอย่างไม่มีทางเลือก

การใกล้ชิดนั้นทำให้คนตัวเล็กเริ่มคุ้นชินกับการสัมผัสร่างกาย แม้ว่าจะไม่มากมายแต่อย่างน้อยร่างสูงก็สามารถหอมแก้มได้อย่างเป็นธรรมชาติ และจูบได้โดยที่ไม่มีอาการแข็งค้าง (แม้จะโดยตอบโต้ด้วยการทำร้ายร่างกายก็เถอะ แอรอนคิดว่ามันคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม) ถึงลำดับถัดจากนี้ยังคงต้องฝึกต่อไปก็ตาม

“ไปเก็บดอกลาเวนเดอร์กับกุหลาบมาทำไอศกรีม พรุ่งนี้คุณแม่บอกว่าจะเสิร์ฟเป็นของหวานตอนเช้า” ดอกลาเวนเดอร์ที่สวนด้านหลังซึ่งเป็นงานอดิเรกของคุณสุธาสินีจะบานเร็วกว่าปกติ ท่านจึงชวนไปเก็บเพื่อมาทำไอศกรีมโดยแวะเก็บดอกกุหลาบมาทำด้วยอีกอย่าง

“สนุกกันใหญ่เลยสิ” แอรอนหัวเราะเบาๆ มารดาเขาถึงจะอายุมากแล้วแต่ก็ยังแข็งแรงคล่องแคล่ว และอันนา น้องสะใภ้คนรองเองแม้จะตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้วการเคลื่อนไหวยังไม่มีติดขัด “เหนื่อยไหม เห็นเดินไปโน่นมานี่ตามแม่แทบไม่ทัน สงสัยต้องพาไปออกกำลังกายสักหน่อยแล้วมั้ง” เพราะไม่เคยได้ออกกำลังกายจึงเป็นเรื่องหนักหนาอยู่ไม่น้อยสำหรับการทำกิจกรรมร่วมกับนายหญิงเลตินี่ กลับเข้ามาบ้านทีไรเห็นหน้าแดงก่ำจากเปลวแดดทุกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้มารดาเขาเป็นต้นคิด เนื่องจากรู้มาว่าสุขภาพลูกชายคนใหม่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก การให้ออกไปเคลื่อนไหวกลางแจ้งอย่างการเก็บดอกไม้ ผลไม้ที่มีอยู่ในบริเวณรอบบ้านจึงเป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อย

“แย่จัง ผมเดินตามคุณแม่กับอันนาแทบไม่ทัน น่าอายชะมัด” คนที่ถนัดใช้สมองดำเนินชีวิตอย่างเดียวอย่างอากิระถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกอายไม่น้อยที่แพ้ผู้หญิงวัยกลางคนอย่างคุณสุธาสินี หรือแม้แต่คนท้องอย่างอันนา

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไม่ต้องรีบร้อน” ปลอบเสียงนุ่ม แต่ไม่ยักพูดเฉยๆ มือไม้กลับเริ่มไม่อยู่สุขจนนักเขียนหนุ่มต้องเบี่ยงตัวเดินหนีไปอีกทาง แต่มีหรือเจ้าของห้องจะปล่อยไปง่ายๆ “อ้าว แล้วจะเดินไปไหนละครับ ยังคุยกันไม่จบเลย” คนตัวโตก้าวไม่กี่ก้าวก็ถึงตัว ก่อนจะคว้าหมับเข้าที่เอวบางแล้วดึงให้ล้มไปบนที่นอนพร้อมกัน

“อื้อ ปล่อยนะ ขยับไปหน่อยจะนอนแล้ว” ใบหน้าขาวๆ แดงก่ำพยายามดิ้นหนีแต่สุดท้ายก็โดยดึงไปกอดอยู่ดีแม้ว่าเตียงนอนขนาดคิงไซส์จะใหญ่แค่ไหนก็ตาม ตั้งแต่คืนแรกเขาก็ไม่เคยรอดอ้อมแขนนี้สักที

“พรุ่งนี้เราจะไปญี่ปุ่นกันแล้วนะ” ประโยคนั้นทำให้ร่างที่หยุกหยิกไปมานิ่งไปทันที หลังจากครบหนึ่งสัปดาห์ตะวันฉายและคนอื่นๆ ล่วงหน้ากลับเมืองไทยไปก่อนโดยเจ้าของร้านหนุ่มส่งบาลิสต้าไปดูแลเรื่องเครื่องดื่มแทนเนื่องเขามีกำหนดจะเดินทางไปเยือนแดนอาทิตย์อุทัยก่อน แต่สุดท้ายก็ต้องอยู่ต่ออีกสามวันเพื่อรอมารดาที่จะเดินทางไปด้วย “ไม่เป็นไรหรอก อย่าลืมสิครับว่าอากิไม่ได้อยู่คนเดียว มีผมอยู่ด้วยจะกลัวอะไร ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีทางได้แตะแม้แต่เส้นผมของอากิ” เสียงนุ่มอ่อนโยนแต่ดวงตาสีสวยเข้มขึ้นทำให้อีกคนต้องยกมือขึ้นแตะใบหน้าหล่อเหลา มันจึงราแสงลงกลับมาอ่อนละมุนอีกครั้ง

“ไม่ได้ห่วงอะไรหรอก แค่คิดว่าครั้งนี้ขอให้เป็นครั้งสุดท้าย ไม่อยากกลับไปเหยียบบ้านเกิดแล้วต้องทุกข์ใจอีก หวังว่าครั้งต่อไปที่กลับไปจะมีแต่รอยยิ้มแล้วก็ความสุข”

“แน่นอนสิ เพราะทุกครั้งที่กลับไปผมจะไปกับอากิด้วย” พูดพร้อมกับพลิกตัวขึ้นทาบทับร่างโปร่งบางแล้วก้มลงแตะริมฝีปากร้อนลงบนหน้าผากไล่ลงมายังสันจมูกและใช้ปลายจมูกโด่งคลอเคลียแก้มขาว ก่อนจะทาบปากร้อนลงบนกลีบปากนุ่มสีแดงเรื่อดูน่าลิ้มลองในสายตาเขา อากิระเคลิ้มไปกับสัมผัสอ่อนโยนนุ่มนวล เผลอครางแผ่วเบาเมื่อลิ้นร้อนทาบไล้บนริมฝีปาก

แอรอนจูบย้ำหนักๆ อีกสองสามครั้งก่อนลากผ่านไปยังลำคอขาว เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมหาศาลที่จะหยุดตัวเองไว้แค่ใต้ไหปลาร้าขาวเนียนที่สาบเสื้อเผยออกเล็กน้อยนั้นเพราะดูเหมือนว่ามันจะเกิดลิมิตของร่างบางข้างใต้แล้ว เขาจึงจูบเม้มหนักๆ จนเกิดรอยก่อนจะตัดใจทิ้งตัวลงนอนข้างๆ แล้วรวบร่างคนรักเข้ามากอดพร้อมเอื้อมมือไปตวัดผ้าห่มขึ้นมาคลุม

“ราตรีสวัสดิ์ครับอากิ”

“ราตรี...สวัสดิ์...” คนในอ้อมกอดตอบรับอย่างเลื่อนลอย ชายหนุ่มกระชับอ้อมแขนแล้วใช้มือข้างเดียวกับแขนซึ่งสอดไว้ใต้ศีรษะให้คนตัวเล็กกว่าหนุนซอกไหล่นอนสางเส้นผมเรียบลื่นนุ่มมือราวกับจะกล่อมและทำให้จิตใจตัวเองสงบลงด้วย...ดาบย่อมมีสองคมเสมอสินะ เขาลอบถอนหายใจ ไม่รู้ว่าตัวเองต้องทนมองของหวานเมนูโปรดที่ยังกินไม่ได้นี้ไปอีกนานแค่ไหน

**********

เหตุผลของการไปเยือนญี่ปุ่นของนายหญิงเลตินี่คือการไปดูความเรียบร้อยสาขาย่อย แต่มีหรือลูกชายคนโตจะไม่รู้ว่าเบื้องหลังคืออะไร ได้ยินมาว่าโดจินชิของอาจารย์คนโปรดและอนิเมชั่นที่สร้างมาจากมังงะบอยเลิฟชื่อดังจะวางตลาดในอีกสองวันพอดี นอกจากนั้นยังมีนิยายบอยเลิฟและนิยายสืบสวนซึ่งมารดาเขาเป็นแฟนคลับออกวางแผงอีกหลายเรื่อง และเหนือสิ่งอื่นใดที่ทุกคนต่างรู้ดีคือความห่วงใยที่คุณสุธาสินีมอบให้ลูกชายคนใหม่   

แองเจโล เลตินี่ เดินทางไปส่งภรรยาที่รักก่อนจะเลยไปเจรจาธุรกิจต่อที่เมืองลีอง ตลอดการเดินทางสู่ประเทศญี่ปุ่นมีแต่เสียงสนทนาเรื่องราวของหนังสือที่อากิระเขียน มารดาของแอรอนก็เป็นแฟนงานเขียนของคนรักเขามาตั้งแต่เล่มแรก นักเขียนหนุ่มเป็นคนมีพรสวรรค์ด้านภาษาและการเขียน หนังสือของเขาที่ตีพิมพ์มีหลากหลายประเภท ตั้งแต่เรื่องสั้น นิยายรัก สยองขวัญ สืบสวน แฟนตาซี จนไปถึงหนังสือรวมบทกลอน นอกจากนั้นยังเคยร่วมงานกับนักเขียนรุ่นพี่รุ่นน้องเขียนเป็นซีรี่ย์ต่อกัน และเขียนเรื่องให้กับเพื่อนนักวาดการ์ตูนอีกด้วย

สองแม่ลูกนอกสายเลือดคุยกันเพลินจนลูกชายแท้ๆ ต้องเข้ามาหยุดด้วยการให้ลูกน้องเสิร์ฟอาหาร ขนาดกินข้าวยังไม่วายคุยกันต่อแม้ส่วนใหญ่จะเป็นคุณแม่ที่พูดแต่ถึงอย่างนั้นแอรอนก็ดีใจที่อากิระดูร่าเริงและมีความสุข

เมื่อไปถึงอากิระก็ติดต่อกับคาโต้ โทคิตะ บรรณาธิการของเขาให้เป็นตัวแทนนัดหมาย ฟุจิวาตะ อายาโนะให้ เขายังอยากที่จะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง หวังว่าจะไม่ต้องให้คนรักออกหน้า ระหว่างรอการนัดหมายนักเขียนหนุ่มก็เข้าพักที่บ้านพักของตระกูลเลตินี่ในเมืองโตเกียว นั่นทำให้เขาได้พาแอรอนไปในสถานที่ที่เขาเคยอยู่และไปสมัยที่อยู่ที่นี่ ทั้งบ้านที่เขากับแม่ย้ายมาอยู่หลังจบชั้นประถมที่โอกินาว่าซึ่งเขาตัดใจขายให้กับเพื่อนนักวาดการ์ตูนซึ่งกำลังมองหาบ้านใหม่ที่เดินทางสะดวกและไม่พลุกพล่าน นอกจากนั้นยังไปร้านหนังสือร้านประจำ ร้านซูชิที่เขามักจะสั่งมากินกับมารดา นอกจากนั้นยังไปโรงเรียนสมัยมัธยมรวมถึงมหาวิทยาลัยด้วย

แม้จะจบมาหลายปีแต่เพราะเป็นการจบที่ยังคงเป็นตำนานจึงยังมีอาจารย์หลายท่านรวมถึงรุ่นน้องในวิชาเอกที่เคยเห็นหน้าเขาจากรูปถ่ายของชมรมวรรณกรรมจำได้อยู่

“ครูดีใจนะอากิระคุง ที่วันนี้เห็นเธอมีความสุข” อาจารย์นิชิคาวะ อาจารย์ที่ปรึกษาที่คอยชี้แนะนักเขียนหนุ่มหลายต่อหลายเรื่อง ท่านมองดูลูกศิษย์ซึ่งเมื่อหลายปีก่อนแม้จะแย้มรอยยิ้มก็เป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนล้า หากเป็นแสงสว่างก็เป็นเพียงแค่แสงสลัว แต่มาวันนี้รอยยิ้มนั้นสว่างไสวสมชื่อแล้ว

“เพราะชายหนุ่มคนนั้นหรือเปล่า ที่พวกนักศึกษาคุยกันว่าเป็นชาวต่างชาติที่ดูดีมาก” ท่านถามพลางมองหน้าลูกศิษย์ที่ดูเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นอีกเมื่อเอ่ยถึงบุคคลในหัวข้อสนทนาที่ยืนรออยู่ไม่ไกลจากหน้าห้องนี้นัก

“เป็นลูกครึ่งครับ ไทย-ฝรั่งเศส”

อาจารย์สูงวัยพยักหน้าแล้วยิ้ม เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกในญี่ปุ่น ออกจะเป็นที่ยอมรับกันแพร่หลายด้วยซ้ำ และท่านก็ร่วมสมัยพอที่จะไม่ได้รู้สึกรังเกียจกับเรื่องนี้

“แล้วกลับมาคราวนี้จะอยู่นานไหม อยู่เมืองไทยสุขสบายดีหรือเปล่า”

“ก็คงสองสามวันครับ มีนัดคุยกับคนที่บ้านใหญ่...เมืองไทยก็ดีครับ ถึงจะร้อนไปหน่อยแต่ก็มีความสุขดี เรื่องงานก็ไม่มีปัญหา เพราะส่งงานทางอีเมล์สะดวกกว่าเมื่อก่อนเยอะ”

“ถ้าอย่างนั้นแฟนหนังสือก็คงยังไม่ได้เห็นหน้านักเขียนคนโปรดอีกนานเลยสินะ คิดจะกลับมาอยู่ที่นี่ไหม”

อากิระยิ้มแล้วส่ายหน้า “ถ้าย้ายกลับมาอยู่คิดว่าคงไม่ครับ แต่ถ้ามาเยี่ยมเพื่อนหรือรุ่นพี่รุ่นน้อง หรือติดต่อสำนักพิมพ์อาจจะมา...ถ้าไม่อยู่ที่เมืองไทย อาจจะเป็นฝรั่งเศสครับ”

“งั้นเหรอ ถ้ามาก็แวะมาเยี่ยมครูบ้างก็แล้วกัน เผื่อจะเชิญมาเป็นอาจารย์พิเศษสอนรุ่นน้อง” พูดจบก็หัวเราะเบาๆ รู้ดีว่าเรื่องแบบนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่นั่นคือเมื่อก่อน หากเป็นอากิระในวันนี้อาจจะทำได้ก็ได้

นักเขียนหนุ่มนั่งคุยกับอดีตอาจารย์ที่ปรึกษาอยู่อีกพักใหญ่ก่อนจะเอ่ยปากลากลับ และสัญญาว่าจะมาลาอีกครั้งก่อนจะเดินทางกลับเมืองไทย อาจารย์ชราเดินออกไปส่งที่หน้าห้อง

“ไม่อยู่กินมื้อเย็นด้วยกันจริงๆ เหรอ อากิระคุง”

“เอาไว้โอกาสหน้าดีกว่าครับอาจารย์ ดูแลสุขภาพด้วยนะครับ” ร่างโปร่งบางในชุดกิโมโนสีอ่อนโค้งคำนับก่อนจะเดินไปหาคนตัวโตที่ยืนรออยู่ไม่ไกลซึ่งชายหนุ่มเองก็ทำความเคารพอาจารย์ซึ่งคนรักนับถือเช่นกัน

“อากิระคุง...มีความสุขแล้วนะ”

เจ้าของชื่อหันกลับมายิ้มกว้างด้วยดวงตาเป็นประกายสะท้อนความรู้สึกจากภายใน แล้วจึงโค้งตัวลงอีกครั้งก่อนจะเดินจากไปจริงๆ

“ทุกคนพูดเหมือนกันเลยว่าผมมีความสุขแล้ว” ร่างบางเงยหน้าขึ้นยิ้มให้คนข้างกาย แอรอนยิ้มรับแล้วกุมมือเรียวบาง ย้อนถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“แล้วมีความสุขไหม”

“อือ มีความสุขที่สุด”

และเขาหวังว่ามะรืนนี้เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเขาจะมีความสุขและรอยยิ้มมากขึ้น ไม่ต้องเจ็บปวดและทุกข์ทรมานเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว การมาเหยียบแผ่นดินเกิดครั้งต่อๆ ไปจะไม่ทำให้เขาต้องสูญเสียน้ำตาอีก เพราะแค่ที่ผ่านมาก็มากเกินพอ...มากพอแล้วจริงๆ


อีกแค่ตอนเดียวแปลรักให้ตรงใจ เรื่องแรกของซีรี่ย์ maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก ก็จะจบลงแล้วนะคะ ส่วนเรื่องที่สองจะเป็นของคู่ใครต้องรอลุ้นกัน...ว่าแต่ เพิ่งเริ่ม intro คู่ที่สองเองอ่ะ กรี๊ดร้อง :katai1: ทึ้งหัวตัวเอง :z3: งานราษฏ์งานหลวง สับรางไม่ท๊านนน  :katai4:

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
หวังว่าเมื่อเคลียร์ทุกอย่างจบแล้ว อากิระคงมีความสุขขึ้นอีกจมเลย
ตอนหน้าคู่นี้จะจบแล้ว รอคู่ใหม่นะอยากรู้จังว่าเป็นคู่ใคร
หาอ่านตั้งนานกว่าจะเจอ ยังไงเราก็รออ่านนะ

+1 เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ
 :L2:  :กอด1:

Lady Eowyn

  • บุคคลทั่วไป
...14...

ในวันนัดหมายทั้งคู่เดินทางจากโตเกียวไปยังเมืองเกียวโต ซึ่งเป็นเมืองเก่า ตระกูลเก่าแก่หลายตระกูลอยู่ที่นี่ รวมถึงตระกูลฟุจิวาตะ ซึ่งเป็นตระกูลนักรบตั้งแต่สมัยเอโดะ สถานที่นัดหมายเป็นร้านอาหารแห่งหนึ่งในย่านเก่า พวกเขามาถึงก่อนเวลานัด แอรอนจึงจำใจปล่อยให้คนรักนั่งรอที่โต๊ะริมซึ่งอยู่ติดกับกระจกเพียงลำพัง ส่วนเขาไปนั่งที่โต๊ะอีกด้านซึ่งสามารถมองเห็นโต๊ะตัวดังกล่าวได้ชัดเจน

บ่ายโมงตรงคือเวลานัด อีกฝ่ายมาถึงตรงเวลาพอดิบพอดี อากิระวางถ้วยชาลงแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อโค้งตัวให้ตามธรรมเนียมแม้ว่าใจจริงเขาจะไม่อยากทำนักก็ตาม ตรงข้ามกับอีกฝ่ายที่ไม่ยอมรับการทักทายนั้นถึงจะเป็นการทำตามมารยาทก็ตาม ซึ่งนักเขียนหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจนักเพราะเขาทำไปเพราะมันเป็นสิ่งที่คนมีการศึกษาเขาทำกัน และเขาเองก็มั่นใจว่าตัวเองมีการศึกษาและหัวคิดเพียงพอ ดูเหมือนวันนี้ฟุจิวาตะ อายาโนะจะไม่ได้มาคนเดียว หญิงวัยกลางคนซึ่งดูแลตัวเองเป็นอย่างดีในชุดสมัยใหม่มีรสนิยมมาพร้อมกับหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง...เป็นใครไปไม่ได้นอก ฟุจิวาตะ ยูกิเนะ น้องสาวต่างแม่ของเขา

“คิดจะคืนแล้วหรือยังไงของที่หน้าด้านแย่งชิงไปน่ะ น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้วนะเรื่องจะได้ไม่ต้องบานปลายมาถึงตอนนี้” ไม่คิดจะทักทายทันทีที่นั่งลงและวางกระเป๋าคำพูดที่ไม่น่าออกจากปากคนในตระกูลมีเกียรติก็หลุดออกมา

“ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าคำพูดพวกนี้จะออกมาจากปากสะใภ้ตระกูลฟุจิวาตะ” อากิระสูดลมหายใจเข้าปวดยกมุมปากขึ้น ไม่เข้าใจนักทำไมผู้หญิงที่แสนดีและมีการศึกษาอย่างมารดาของเขาถึงได้พ่ายแพ้ต่อคนประเภทนี้

แน่นอนว่าคนฟังเข้าใจชัดเจนว่าโดยด่า ฟุจิวาตะคนแม่สั่นเทิ้มด้วยความโกรธแต่ก่อนจะได้ทำอะไรลูกสาวก็คว้าแขนเอาไว้เสียก่อน “หนูพูดเองค่ะท่านแม่...ตกลงว่าการที่คุณขอนัดเราออกมาวันนี้ต้องการอะไรกันแน่ ถ้าจะคืนโฉนดที่ดินก็คืนมา จะได้แยกย้ายไม่ต้องเกี่ยวข้องกันอีก” ดูท่าลูกสาวจะมีสติและหัวคิดมากกว่า สมกับที่จบมาจากมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียง

“โฉนดที่ดิน? คงเข้าใจอะไรคลาดเคลื่อนไปหรือเปล่า เพราะของที่คุณแม่คุณต้องการมันเป็นแค่บ้านพักหลังเล็กๆ ไม่กี่สิบตารางเมตรในชนบทห่างไกล ไม่ใช่ที่ดินผืนใหญ่โตอะไรเลย” คิ้วเรียวขมวดก่อนจะคลายออกเมื่อเห็นสีหน้าคล้ายกับยุ่งยากใจของคนแม่และความงุนงงที่แสดงออกมาจากแววตาคนลูก

“ไหนท่านแม่บอกว่าเป็นที่ดินผืนใหญ่ไม่ใช่เหรอคะ”

“เอ่อ ที่ดินแม่ได้คืนมาแล้วจ๊ะแต่ยังเหลือ...”

“ขอโทษนะครับ ผมอยากจะให้ทำความเข้าใจให้ตรงกันสักนิดว่าเริ่มแรกผมไม่มีความจำเป็นต้องคืนไม่ว่าจะอะไรก็ตามที่...ฟุจิวาตะ เรียวทาโร่ ยกให้แม่ของผมเพราะมันเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมตามกฎหมาย แต่เราก็คืนให้พวกคุณไปหมดเหลือแค่บ้านหลังนั้นหลังเดียว ผมว่าพวกคุณก็น่าจะพอใจได้แล้วนะ” อากิระไม่อยากฟังเรื่องปั้นแต่งของผู้หญิงคนนี้อีก เขาเบื่อเต็มทน

“สิทธิ์อะไรไม่ทราบ สิทธิ์ของการเป็นเมียน้อยชาวบ้านน่ะเหรอ” อายาโนะเถียงด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง

คราวนี้เป็นนักเขียนหนุ่มเองที่เป็นฝ่ายโกรธบ้าง “เมียน้อยงั้นเหรอ? ถ้าพูดกันตามจริงคุณเองต่างหากที่น่าจะถูกเรียกแบบนั้น เพราะแม่ของผมมาก่อนคุณ ได้บอกลูกๆ ของคุณหรือเปล่าละผมเป็นพี่ชาย อายุมากกว่า...หมายความว่าอะไร หมายความว่าผมเกิดก่อนยังไงละ ส่วนคุณก็แค่คนมาทีหลังที่มีใบทะเบียนสมรส!”

“แก!...” หญิงวัยกลางคนโกรธจนตัวสั่น

“อย่า! กรุณาช่วยรักษามารยาทและเกียรติยศตระกูลเก่าแก่ที่แม่ของผมต้องยอมถอยเพราะไม่มีเหมือนคุณ ช่วยดูแลมันหน่อยเพราะถ้าไม่มีมันคุณคงไม่มีวันนี้” ใช่ แม่ของเขาแพ้เพราะเป็นคนต่างชาติ เป็นผู้หญิงธรรมดาที่ไม่ได้เกิดมาจากตระกูลผู้ดี ซึ่งครอบครัวของผู้ชายคนนั้นทำใจยอมรับไม่ได้

“คุณพูดเกินไปหน่อยหรือเปล่า ถึงความจริงจะเป็นยังไงก็กรุณาให้เกียรติแม่ฉันด้วย” ยูกิเนะเรียกสติหลังรับรู้ความจริงที่เธอไม่เคยได้รู้มาก่อน มารดาไม่เคยบอกว่าทุกอย่างเป็นมาอย่างไรเธอรู้เพียงว่าบิดามีผู้หญิงอื่นและมีลูกเกิดขึ้นมา แล้วผู้หญิงคนนั้นกับลูกของหล่อนก็มาเรียกร้องเอาทรัพย์สมบัติ แต่ถึงอย่างไรเธอก็มีแม่คนเดียว

“ผมให้เกียรติเสมอ ยอมมาทุกอย่าง ไม่เอาอะไรเลยทั้งที่ถ้านับกันตามความจริง ผมมีสิทธิ์จะได้มรดกอย่างน้อยหนึ่งในสิบด้วยซ้ำ” เมื่ออายุครบสองปีในปีที่น้องชายหญิงต่างแม่เกิด ฟุจิวาตะ เรียวทาโร่แอบจดทะเบียนรับเขาเป็นบุตรอย่างถูกต้องตามกฎหมายแบบลับๆ เขาจึงสามารถใช้นามสกุลฟุจิวาตะได้ ทั้งที่ความจริงก็ไม่ได้อยากจะใช้

“แกยังคิดจะแย่งเอามรดกอีกเหรอ!”

นักเขียนหนุ่มมองคนที่แทบจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ตรงหน้าด้วยความรังเกียจ “ผมไม่เอาหรอกมรดกของคุณน่ะ ก็แค่สิ่งที่ตายไปก็เอาไปไม่ได้ อีกอย่างแค่นั้นผมหาได้สบายอยู่แล้ว เผลอๆ จะหาได้มากกว่านั้นไม่รู้กี่เท่า” ไม่ได้จะอวดเบ่งแต่อย่างใด อากิระเข้าวงการงานเขียนมาตั้งแต่อายุสิบห้า ปีนี้ก็เป็นปีที่สิบสองแล้ว ชื่อเสียงและยอดขายหนังสือแต่ละเล่มของเขาติดอับดับต้นๆ เสมอ ปีหนึ่งเขามีหนังสือออกวางแผงอย่างต่ำหกเล่ม รายได้ต่อปีของเขาจึงไม่ใช่น้อยๆ นอกจากนั้นเขายังเป็นคนง่ายๆ ถ้าไม่นับเงินที่ต้องจ่ายให้ค่าอุปโภคบริโภคแล้วเขาแทบไม่ต้องควักออกจากกระเป๋าเลย

“สมบัติตั้งมากมายยังไม่เพียงพอที่จะถมความอยากได้อยากมีของคุณอีกเหรอ...การพบกันครั้งนี้ผมคิดว่าคงจะเป็นครั้งสุดท้ายและก็ขอให้คุณรู้เอาไว้เลยว่าผมจะไม่ยกบ้านหลังนั้นให้คุณแน่นอน ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีไหนก็ตาม คุณก็จะไม่มีทางได้มันไป” จากแววตาดูเหมือนอากิระเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าสำหรับผู้หญิงคนนี้ ความกระหายอยากที่มีไม่ใช่อะไร แต่เป็นการอยากเอาชนะ อยากขึ้นไปอยู่เหนือกว่าในทุกอย่าง...แม้ว่าคนคนนั้นจะไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้วก็ตาม จะบอกว่าน่าสงสารหรือยังไงดี เขาเองก็ไม่เข้าใจผู้หญิงนัก

“ดูเหมือนแกจะยังไม่เข็ด คนของฉันคราวที่แล้วคงทำงานไม่ได้เรื่องสินะถึงได้ขู่แล้วแกไม่สะทกสะท้าน คราวนี้เอาใหม่ ลองเป็นอะไรดี...คนของฉันสักสี่ห้าคนเป็นไง หน้าตาอย่างแกคงคิดว่าเป็นผู้หญิงได้อยู่หรอก”

ร่างโปร่งบางที่ลุกจากเก้าอี้ชะงัก ตวัดสายตามอง ไม่คิดเลยว่าความคิดชั่วร้ายน่ารังเกียจแบบนี้จะออกมาจากสมองของคนที่ตั้งตนว่าสูงส่ง

“กฎหมายที่นี่เขาคงไม่ปล่อยให้ใครกล้าทำเรื่องร้ายกาจกันง่ายๆ หรอกใช่ไหมครับ ถึงจะเป็นคนที่ใช้นามสกุลเดียวกัน ถือว่าเป็นครอบครัวก็เถอะ...แล้วยิ่งตอนนี้อากิเองก็ไม่ได้ใช้นามสกุลฟุจิวาตะแล้วด้วย เห็นทีว่าคุณผู้หญิงคงต้องพับเก็บความคิดสกปรกนั่นชนิดว่าต้องปิดตายให้ดีเลยนะครับ ไม่อย่างนั้นผมว่าตระกูลของคุณแม้แต่ที่ยืนในบ้านเกิดก็คงจะไม่เหลือ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของร่างสูงใหญ่ในชุดสูทแบบไม่เป็นทางการ แอรอนลุกจากโต๊ะมารับคนรักเมื่อเห็นว่านักเขียนหนุ่มขยับตัวลุกจากที่นั่ง มาทันได้ยินประโยคที่ทำให้เขาเดือดดาลจนไม่อยากเก็บยัยป้าสารเลวนี่ไว้อีกด้วยซ้ำ

อากิระเงยหน้าขึ้นมองคนที่ก้าวเข้ามายืนข้างๆ ใบหน้าหล่อเหลาแสยะยิ้มอย่างที่เขานึกกลัวใจ ขนาดว่านัยน์ตาเย็นเหยียบคู่นั้นไม่ได้ใช้มองเขายังนึกตัวสั่นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล อ้อ แล้วเขาก็เพิ่งรู้นี่ละว่าคนตัวโตพูดภาษาญี่ปุ่นได้ แบบชัดถ้อยชัดคำเสียด้วย

“ตอนนี้อากิไม่ใช่คนตระกูลฟุจิวาตะอีกแล้ว รับรู้เสียใหม่และเรียกให้ถูกด้วยนะครับ อากิระ เลตินี่ ไม่ใช่ ฟุจิวาตะ อากิระ...หวังว่าจะชัดเจนพอ” ท่าทางมีอำนาจและดุดันนั้นทำให้คนฟังตัวสั่นได้พอๆ กับเนื้อหาของประโยค

อย่างที่แอรอนบอก ตอนนี้หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นไม่ได้ใช้นามสกุลเดียวของผู้เป็นพ่ออีกแล้ว ตระกูลเลตินี่รับคนรักของลูกชายคนโตมาเป็นลูกชายอีกคน ทั้งที่ตอนแรกคุณสุธาสินีอยากจะให้จดทะเบียนสมรสด้วยซ้ำ แต่อากิระปฏิเสธท่าเดียวจนท่านต้องล้มเลิกความตั้งใจไปในที่สุด

“อะ อะไรนะ...” สองแม่ลูกฟุจิวาตะถึงกับพูดไม่ออก แน่นอนว่าตระกูลฟุจิวาตะเองก็อยู่วงการธุรกิจมีหรือจะไม่รู้จักผู้ทรงอิทธิพลของวงการธุรกิจทั่วโลกที่แค่ดีดนิ้วครั้งเดียวก็สามารถทำให้เศรษฐกิจของโลกซวนเซได้

“ชัดเจนดีแล้วสินะครับท่านแม่” เสียงทุ้มอีกเสียงดังขึ้นจากข้างด้านหลัง ทั้งหมดหันไปมองคนมาใหม่ ชายหนุ่มร่างสูงสง่าองอาจราวกับซามูไรในชุดกิโมโนผ้าไหมสีเข้มลวดลายประจำตระกูล...กิ่งดอกท้อ “สวัสดีครับเมอสิเออร์เลตินี่ ฟุจิวาตะ เคียวยะ ผู้นำตระกูลฟุจิวาตะครับ...เพิ่งมีโอกาสได้พบกันนะครับท่านพี่” ร่างสูงโค้งตัวตามธรรมเนียมให้แอรอนก่อนจะทำแบบเดียวกันเพียงแต่ก้มลงต่ำอีกนิดให้กับพี่ชายต่างมารดา เขาดูเหมาะสมกับตำแหน่งสูงสุดของตระกูลแม้จะอายุเพียงยี่สิบห้าปี

“เคียวยะ/ท่านพี่เคียวยะ!”

“ขอเชิญท่านพี่กับเมอสิเออร์เลตินี่ให้เกียรติไปพูดคุยกันที่บ้านฟุจิวาตะหน่อยได้ไหมครับ”

“เคียวยะ นี่ลูก?!...” อายาโนะพูดไม่ออก ฝาแฝดคนพี่ไม่ได้หัวอ่อนว่าง่ายและติดหล่อนเหมือนลูกสาว ตั้งแต่เล็กเขาก็เป็นคนที่มีความคิดอ่านและบุคลิกที่เป็นผู้ใหญ่เกินอายุ อีกทั้งยังเคร่งขรึมเด็ดขาดจนกระทั่งอายุครบยี่สิบปีก็ขึ้นรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูล ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่ปีก็สามารถควบคุมทุกอย่างไว้ในกำมือได้ แม้แต่แม่อย่างหล่อนยังต้องเกรงใจลูกชายคนโต

อากิระมองหน้าน้องชายอายุน้อยกว่าสองปีอย่างพิจารณา แต่เขาก็ไม่พบสิ่งใดนอกจากความมั่นคงหนักแน่น ไม่มีแววโกรธเกลียดหรือแม้แต่รังเกียจลูกนอกสมรสอย่างเขา ร่างโปร่งบางเงยหน้าขึ้นราวกับต้องการถามความเห็นของคนรัก ซึ่งแอรอนทำเพียงยิ้มให้อย่างอ่อนโยน และพร้อมจะเคารพในการตัดสินใจของคนตัวเล็กกว่า

“เป็นเรื่องที่พูดกันที่นี่ไม่ได้งั้นเหรอ” หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นไม่ได้รังเกียจที่จะพูดคุยกับน้องชายแต่ใจจริงเขาไม่อยากไปเหยียบบ้านหลังนั้น ขนาดเฉียดใกล้ยังไม่เคยคิดด้วยซ้ำ

“ผมมีบางอย่างจะให้กับท่านพี่น่ะครับ เป็นของสำคัญมาก อยากจะให้ท่านพี่ไปรับด้วยตัวเอง”

“เคียวยะ!” ฟุจิวาตะคนแม่ร้องเสียงแหลม แต่เมื่อลูกชายหันมาสบตาก็ได้แต่ปิดปากไม่กล้าพูดอะไรอีก

ถ้าอย่างนั้นก็ขอรบกวนด้วย”

คำตอบรับนั้นทำให้อากิระได้มีโอกาสไปเยือนตระกูลของบิดาเป็นครั้งแรก บ้านหลังนี้ก็เหมือนกับบ้านของตระกูลเก่าหลายๆ ตระกูล เป็นแบบญี่ปุ่นแท้และมีเรือนแยกหลายหลัง เคียวยะเดินนำผ่านสวนหินไปยังเรือนใหญ่ท่ามกลางสายตาสงสัยใคร่รู้ของทั้งคนในตระกูลและบรรดาคนรับใช้ แม้จะได้รับการต้อนรับอย่างดีจากหัวหน้าตระกูลแต่คำว่าประมาทก็ไม่เคยออกในพจนานุกรรมของแอรอน เลตินี่ บอดี้การ์ดฝีมือดีเกือบสิบคนตบเท้าเข้าไปพร้อมกับเจ้านายทั้งที่ในตอนแรกมีเพียงแค่เลติสเท่านั้นที่ติดตามชายหนุ่มเป็นเงาตามตัว

“หวังว่าคงจะไม่ว่าอะไรนะครับ ลูกน้องผมมีแต่คนขี้ห่วง” คนตัวโตยิ้มให้แต่รอยยิ้มนั้นไม่ได้ไปถึงดวงตาเลย

“ตามสบายครับ เดี๋ยวผมจะให้พ่อบ้านอำนวยความสะดวกให้...เชิญทางนี้ครับ” เคียวยะเชิญพี่ชายและแขกอีกคนเข้าไปในห้อง ก่อนจะนั่งลงบนเบาะรองนั่งและผายมือเชิญไปทางเบาะอีกสองอันที่อยู่ตรงข้าม ชายหนุ่มอายุน้อยมองพี่ชายต่างมารดาที่นั่งลงด้วยกิริยาอย่างผู้ที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีด้วยความชื่นชม

ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกรังเกียจแม้แต่น้อยเมื่อรู้เรื่องราวจากคนสนิทบิดาซึ่งตอนนี้ทำหน้าที่ดูแลเขา เรียกว่าเห็นใจด้วยซ้ำเพราะถึงอย่างไรแม่ของเขาก็มาทีหลัง เขาไม่ได้มีความสนใจในเรื่องราวของพี่ชายต่างมารดานักเพราะตัวเองก็มีเรื่องให้ทำให้คิดมากพอแล้ว และรู้มาว่าผู้เป็นพี่ชายเองก็มีความสามารถ ไม่ได้เดือดร้อนขัดสนในด้านความเป็นอยู่และเงินทอง จนกระทั่งการกระทำของมารดาเริ่มจะทำให้ชายหนุ่มหมดความอดทนรวมถึงการติดต่อจากลูกชายคนโตของตระกูลเลตินี่ทำให้เขาอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป เมื่อรู้ว่าสองฝ่ายนัดพบกันเขาจึงตามไปเพื่อที่จะจัดการปัญหานี้ด้วยตัวเอง

เมื่อสาวใช้ยกชาและของว่างมาวางและปิดประตูลงเคียวยะก็ทำในสิ่งที่อากิระไม่คิดว่าน้องชายจะทำ ไม่สิ เขาไม่จำเป็นต้องทำด้วยซ้ำ แต่ที่ชายหนุ่มทำเพราะเขารู้สึกติดค้าง...ติดค้างให้กับพี่ชายต่างมารดาและคนรักของบิดา “ต้องขออภัยท่านพี่อย่างสูงกับการกระทำของท่านแม่ของผมที่ได้ทำให้ท่านพี่เดือดร้อนและขุ่นเคืองใจ ผมไม่ขอให้ท่านพี่ให้อภัย แต่เพียงอยากจะขอให้ท่านพี่โปรดอย่าได้ชิงชังตระกูลฟุจิวาตะและตัวท่านพ่อเลยนะครับ”

อากิระรู้สึกเหมือนมองเห็นตัวเองที่บ้านเลตินี่เมื่อสัปดาห์ก่อน “ฟุจิวาตะซัง...”

“โปรดเรียกผมว่าเคียวยะเถอะครับ ถึงท่านพี่อาจจะไม่อยากเรียกผมว่าน้องชาย แต่ในสายตาของผมท่านพี่เป็นพี่ชายที่น่าภาคภูมิใจที่สุดครับ” น้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงของเขาดังเข้าไปถึงหัวใจคนเป็นพี่ชาย...คนตระกูลฟุจิวาตะอาจจะไม่ได้เลวร้ายทุกคน อย่างน้อยคุณป้าซายะที่ช่วยเลี้ยงดูเขาและดูแลมารดาก็เป็นฟุจิวาตะที่ดี

“...เคียวยะ ขอโทษจริงๆ ที่ความรู้สึกของพี่มาไกลเกินกว่าจะย้อนกลับได้แล้ว ทั้งเรื่องของตระกูลและเรื่องของ...ฟุจิวาตะ เรียวทาโร่ พี่จะไม่ชิงชังและเลิกโกรธแค้น แต่จะให้รักคงไม่ได้ ถ้าทำเหมือนคนไม่รู้จัก ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวก็คงพอไหว สำหรับนาย ถ้าเห็นพี่เป็นพี่ละก็พี่ก็พร้อมจะเชื่อว่านายเป็นน้องชายนะ” อากิระอยากจะลองปล่อยวางความรู้สึกที่มี ให้มันกลายเป็นความว่างเปล่า คือทั้งไม่รักและไม่เกลียด

“เรื่องตระกูลผมจะไม่ถามท่านพี่อีก แต่เรื่องท่านพ่อขอให้ท่านพี่กรุณาดูของสิ่งนี้ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจได้ไหมครับ” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นก่อนจะยืดตัวตรง ประตูห้องด้านในเปิดออกด้วยมือของชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ซึ่งนักเขียนหนุ่มรู้จักดี คนสนิทของบิดาที่คอยเป็นตัวแทนจัดการหลายอย่าง เป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง

“ท่านอากิระ ไม่พบกันนานเลยนะครับ สบายดีใช่ไหมครับ”

“สบายดีครับ คากามิซัง”

“ท่านพี่ เปิดดูหน่อยเถอะครับ” หัวหน้าตระกูลหนุ่มเลื่อนกล่องไม้ทรงสูงขนาดกลางมาตรงหน้า อากิระก้มลงมองชั่งใจเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดกล่อง

ภายในมีของอยู่หลายอย่าง ใต้สุดคือกิโมโมลายซากุระสีชมพูซึ่งดูคุ้นตานักเขียนหนุ่มอย่างประหลาด ถัดขึ้นมาเป็นหนังสือเล่มแรกๆ ของเขาในสามปีแรกของการเขียนหนังสือ ของเล่นท่าทางเก่าอีกสองสามชิ้น และอัลบั้มรูปอีกสองสามอัลบั้ม มือเรียวหยิบอัลบั้มรูปถ่ายออกมาเปิดดู ยิ่งพลิกเปิดมากขึ้นเท่าไหร่หัวใจเขาก็เต้นแรงขึ้นเท่านั้น มันทั้งอึดอัดและเบาโหวงอย่างบอกไม่ถูก ทุกภาพล้วนแล้วแต่เป็นภาพของเขาและมารดา ทั้งเดี่ยวและคู่ในอิริยาบถต่างๆ ตอนยังเป็นทารก นอนคว่ำ เริ่มคลาน หัดเดิน จนกระทั่งเข้าอนุบาล ขึ้นชั้นประถม มัธยมต้นจนสุดที่มัธยมปลาย ภาพสุดท้ายของอัลบั้มคือภาพในวันจบการศึกษา ด้านล่างภาพใบนั้นมีกระดาษเขียนติดเอาไว้

‘อากิจบม.ปลายแล้ว ได้ยินว่าจะสอบเข้าที่โตได อยากจะเห็นวันนั้นจริงๆ’

ความรู้สึกบางอย่างเอ่อขึ้นมาจุกอกจนอากิระหายใจไม่ออก ดวงตาของเขามองเห็นได้ไม่ชัดเจนนักเพราะม่านน้ำตาที่บดบัง เขาตั้งใจว่านับแต่นี้จะไม่ร้องไห้อีกแล้วแท้ๆ สุดท้ายผู้ชายคนนั้นก็ทำให้เขาต้องเสียน้ำตา

“นี่เป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่นายท่านเขียนก่อนจะเสียครับ” คากามิล้วงมือเข้าไปหยิบซองจดหมายสีขาวซึ่งซีดเหลืองตามกาลเวลาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้ ร่างโปร่งบางยื่นมือสั่นเทาออกไปรับอย่างลังเล กลัวเหลือเกินว่าความเกรียดชังที่มีกว่ายี่สิบปีจะเป็นความรู้สึกที่สูญเปล่า เขารับซองจดหมายมาเปิดแล้วคลี่กระดาษด้านในออกอ่าน


ถึงอากิคุง ลูกชายที่น่ารักของพ่อ

ไม่รู้ว่าลูกจะมีโอกาสได้อ่านจดหมายฉบับนี้ของพ่อไหม ลูกอาจจะฉีกทิ้งหรือไม่ก็จุดไฟเผาทันทีที่ได้มาเลยก็ได้ แต่ถ้าลูกมีโอกาสได้อ่านมันพ่อก็อยากจะบอกว่าพ่อขอโทษลูกจริงๆ ขอโทษที่ต้องทำให้ลูกแล้วก็แม่ของลูกเจ็บปวด พ่อมันก็แค่ผู้ชายไม่ได้เรื่องที่ไม่สามารถปกป้องดูแลครอบครัวของตัวเองได้ ถ้าพ่อเข้มแข็งมากกว่านี้ ผู้หญิงคนเดียวที่รักและเลือดเยื้อเชื้อไขของตัวเองคงจะไม่ต้องระหกระเหิน จะโทษท่านปู่ของลูกที่ไม่สามารถยอมรับลูกสะใภ้ชาวต่างชาติที่เป็นคนธรรมดาไม่ได้มาจากตระกูลสูงฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ ต้องโทษพ่ออ่อนแอคนนี้อีกคน ถ้าพ่อยืนกรานและคัดค้านอย่างสุดกำลังและสามารถทำให้ท่านปู่ยอมรับได้ เรื่องทั้งหมดคงไม่เกิดขึ้น

พ่อยอมแต่งงานเพื่อแลกกับการที่ท่านปู่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับลูกและแม่ของลูก และสัญญาว่าจะไม่ไปพบหน้าโดยเด็ดขาด แต่พ่อก็แอบไปหาแม่กับลูกอยู่บ่อยๆ จนกระทั่งท่านเริ่มละแคะละคายและยื่นคำขาดว่าพ่อจะต้องทำให้สะใภ้ที่ท่านเลือกให้นั้นตั้งท้อง ไม่อย่างนั้นท่านจะหาทางส่งแม่กับลูกกลับประเทศไทย นั่นหมายความว่าพ่ออาจจะไม่มีโอกาสเจอคนที่พ่อรักอีก และพ่อก็ผิดอีกที่คิดตื้นๆ ว่าแค่ทำให้ท่านปู่มีหลานสืบทอดตระกูลทุกอย่างคงจะง่ายกว่านี้ ตรงกันข้ามพ่อประเมินผู้หญิงคนนั้นต่ำไป อายาโนะ ไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีและเรียบร้อยอย่างที่แสดงออกมา เธอจับตาดูพ่อทุกฝีก้าวโดยมีท่านปู่คอยให้ท้าย ทำให้พ่อไม่สามารถไปหาลูกกับแม่ได้ เพราะพ่อไม่รู้ว่าถ้าเรื่องนี้ไปถึงหูผู้หญิงร้ายกาจคนนั้น เมื่อเธอรู้เข้าจะเกิดอะไรขึ้น

สุดท้ายพ่อเลยต้องขอให้คุณพี่ซายะกับคากามิช่วยดูแลลูกกับแม่แทนพ่อ คุณป้าของลูกส่งรูปมาให้พ่อทุกสัปดาห์ ลูกชายของพ่อน่ารักแล้วก็สวยเหมือนแม่ไม่มีผิด พ่ออยากให้ลูกมีความสุขและสว่างสดใสเหมือนชื่อของลูก เจ้าตัวเล็กของพ่อที่น่ารักน่าเอ็นดู ตอนลูกใส่กิโมโนก็ยิ่งน่ารัก พ่อชอบตอนที่ลูกไว้ผมยาว พ่อแอบเสียดายมากๆ ตอนที่คุณป้าซายะส่งรูปตอนเข้าชั้นประถมมาให้ดู แย่จริงๆ ที่ต้องตัดผมจนสั้น

คุณป้าเล่าว่าลูกชายพ่อเรียนเก่งมากๆ สอบได้คะแนนเต็มเกือบทุกวิชา อ้อ ยกเว้นวิชาพละสินะ เพราะอากิคุงของพ่อไม่ชอบวิ่งเล่นมาตั้งแต่เด็ก ลูกชอบนั่งมองต้นไม้ดอกไม้แล้วก็ชอบให้แม่อ่านหนังสือให้ฟัง พออ่านเองได้คราวนี้ก็ไม่ง้อคุณแม่แล้ว พ่อไม่ห่วงเรื่องการเรียนของลูกเพราะพ่อรู้อยู่แล้วว่าลูกชายของพ่อเก่งแค่ไหน ก็แม่ของลูกเก่งขนาดนั้นนี่นาลูกจะไม่เก่งเหมือนแม่ได้ยังไงละ จริงไหม

แล้วอยู่มาวันหนึ่งคุณป้าก็ส่งหนังสือเล่มหนึ่งมาให้พ่อบอกว่าอากิคุงเป็นคนเขียน พ่อแปลกใจมากแต่ก็เปิดอ่าน พออ่านจบพ่อก็หัวเราะออกมาจนคากามิขมวดคิ้วมอง ถามว่าหัวเราะทำไม พ่อก็เลยตอบเขาไปว่าจะทำยังไงดี ตอนนี้พ่อภูมิใจในตัวลูกชายของพ่อจนแทบจะลอยได้แล้ว...อากิคุง พ่อภูมิใจในตัวลูกมากเลยนะ เล่มต่อๆ มาพ่อก็อ่านทุกเล่ม ลูกของพ่อเก่งแล้วก็มีพรสรรค์ อีกปีสองปีจะต้องกลายเป็นนักเขียนขายดีที่ไม่มีใครไม่รู้จักแน่ๆ ถึงพ่ออาจจะไม่ได้อยู่ดูก็ตาม พ่อเชื่อว่าลูกชายของพ่อจะต้องทำได้แน่นอน

คากามิบอกพ่อว่าเงินที่โอนเข้าบัญชีตั้งแต่หนังสือเล่มแรกของลูกออกวางแผงลูกก็ไม่เคยเบิกออกมาใช้อีกเลย พ่อเข้าใจว่าลูกรู้สึกยังไง แล้วก็ต้องขอโทษด้วยที่พ่อเป็นพ่อที่ไม่น่านับถือเลย แต่พ่อก็อยากให้ลูกชายของพ่อมีความสุข อยากให้ลูกยิ้มแล้วก็หัวเราะอย่างร่าเริง มีสุขภาพแข็งแรงแล้วก็เจอคนดีๆ ที่จะดูแลปกป้องลูกได้ ส่วนตัวพ่อลูกจะไม่รักหรือไม่คิดว่าพ่อเป็นพ่อยังไงก็ได้ แต่ขออย่างเดียว...อากิคุง อย่าเกลียดพ่อเลยนะ

รักลูกเสมอ
เรียวทาโร่


**********

ขึ้นชื่อว่าสุสานไม่ว่าจะที่ไหนหรือศาสนาใดก็ล้วนแล้วแต่ไม่แตกต่างกัน สงบเงียบและไร้ซึ่งชีวิต เพราะมันคือสถานที่หลับใหลของผู้วายชนม์ ร่างสองร่างเดินเคียงคู่กันไปช้าๆ ตามทางเดินระหว่างป้ายหลุมศพ สายฝนโปรยปรายลงมาบางเบาแต่ถึงอย่างนั้นคนตัวสูงก็ไม่อยากให้มันทำให้คนรักของเขาต้องป่วยอีก มือหนึ่งถือร่มสีดำคันโตส่วนอีกมือเกาะกุมคนข้างกายไว้อย่างอ่อนโยนและมั่นคง ทั้งคู่เดินมาหยุดที่หลุมศพหนึ่งซึ่งด้านหน้ามีกระถางต้นไม้กำลังออกดอกสวย ดูแล้วคงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี

ก่อนมาที่นี่อากิระแวะเยี่ยมคาเซอิ ซายะ คุณป้าผู้มีพระคุณกับทั้งเขาและมารดามากมาย หลังจากตัดสินใจย้ายไปอยู่เมืองไทยสองครั้งที่เขากลับมาญี่ปุ่นก็มักจะไปค้างกับท่านเสมอ

“ท่านแม่ครับ ผมมาเยี่ยม” เขานั่งยองๆ แล้ววางดอกไม้ที่มารดาชอบไว้ข้างกระถางต้นไม้ ประนมมือไหว้แล้วบอกผู้ให้กำเนิดเบาๆ หยิบเศษใบไม้แห้งที่ปลิวลงมาออกไปขณะเล่าไปเรื่อยๆ “...ก่อนมาผมไปหาท่านป้าซายะมา ท่านคงมาหาบ่อยๆ ใช่ไหมครับ ดูเหมือนช่วงนี้สุขภาพท่านจะไม่สู้ดีเท่าไหร่ เห็นมิกิจังบอกว่าต้องพาไปโรงพยาบาลบ่อยๆ แต่ว่าคงไม่เป็นอะไรมากเพราะท่าทางดีขึ้นมากแล้ว” ป้าของเขาแต่งเข้าตระกูลคู่ค้าเก่าแก่ของฟุจิวาตะ แต่โชคดีที่ท่านเองก็ตกหลุมรักคุณลุงเช่นเดียวกับที่คุณลุงเองก็รักท่าน ทั้งคู่มีลูกสาวสองคนและลูกชายอีกหนึ่งคน มิกิคือลูกสาวคนสุดท้อง ปีนี้จะเรียนจบมหาวิทยาลัย นักเขียนหนุ่มสนิทกับพี่น้องสามคนนั้นมาก เนื่องจากถูกเลี้ยงมาด้วยกัน

“ผมพาใครมาแนะนำให้รู้จักด้วย” หันไปยิ้มให้ชายหนุ่มที่นั่งลงข้างกัน

“สวัสดีครับคุณแม่ ผมชื่อแอรอนครับ จะมาขอรับลูกชายคุณแม่ไปเป็นภรรยาครับ” หนุ่มลูกครึ่งฝรั่งเศสก้มศีรษะแล้วบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง อากิระถองศอกใส่ด้วยใบหน้าแดงกล่ำ

“หน้าไม่อาย”

“อ้าว ผิดตรงไหนละ ก็ผมมาขออากิไปเป็นภรรยาจริงๆ นี่ เอ๊ะ หรืออากิอยากจะเป็นสามี ไม่ดีมั้ง...” แอรอนยังไม่เลิกหยอกทั้งที่ทำหน้าตาจริงจัง แต่ดวงตาสีสวยกำลังเต้นระริก

“พูดจาอะไรน่าเกลียด นี่ต่อหน้าท่านแม่นะ”

“คุณแม่ไม่ถือสาหรอกจริงไหมครับ อีกอย่างผมก็พูดเรื่องจริงด้วย...จะรับอากิไปเป็นภรรยานะครับ จะดูแลเป็นอย่างดีแล้วก็ไม่ทำให้เสียใจเด็ดขาดครับ สาบานด้วยเกียรติของลูกผู้ชายตระกูลเลตินี่ว่าจะรักอากิจนกว่าจะหยุดหายใจ” หันไปมองป้ายหลุมศพก่อนจะเบนสายตากลับมาสบกับร่างบาง ทุกคำพูดหนักแน่นมั่นคง จากนั้นจึงโน้มตัวเข้าไปใกล้แตะริมฝีปากทาบทับราวกับจูบสาบานต่อคำพูดที่เขาเอ่ยกับมารดาคนรัก

เนิ่นนานกว่าร่างสูงจะถอยห่าง ฝนหยุดตกไปแล้วและแสงแดดก็กำลังสาดส่องลงมา มือใหญ่เก็บร่มแล้วรั้งร่างโปร่งบางของคนรักขึ้นยืน

“รุ่งกินน้ำละอากิ” อากิระเงยหน้าขึ้นมองตาม ที่ปลายขอบฟ้ามีสายรุ้งครบทั้งเจ็ดสีพาดผ่าน ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีดำยาวสลายที่วันนี้ปล่อยสยายโดยไม่มัดรวบเอียงซบไหล่แข็งแรงแล้วยิ้มกว้าง

“ท่านแม่ครับ...ผม...มีความสุขแล้วนะครับ”

จบ-แปลรักให้ตรงใจ


จบลงแล้วนะคะสำหรับคู่แรกในซีรี่ย์ maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก หวังว่าผู้อ่านทุกท่านคงจะมีความสุขกับเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย มีโครงการจะเขียนตอนพิเศษให้กับทุกคู่เมื่อจบสี่เรื่องแล้ว ยังไงรอติดตามนะคะ

เขียนจบแล้วก็รู้สึกติดใจกับตัวละครหลายตัว มันเหมือนยังมีอะไรค้างคากับพวกเขาอยู่ ไม่แน่ว่าอนาคตอาจจะได้อ่านเรื่องใหม่ที่มีคนคุ้นเคยเป็นตัวเอกก็ได้...อย่างพ่อหนุ่มเคียวยะ น้องชายของอากิจังของเราเนี่ย ท่านผู้อ่านคิดว่าเขาจะเป็นเซเมะที่ดีได้ไหมคะ ฮาาา

ปล.พบกันคราวหน้าในเรื่องที่สองของซีรี่ย์ Love me, love my pet...ค้นรัก วินิจฉัยใจ หลายคนอาจจะคาดเดาพระนายของเรื่องออกแล้วว่าจะเป็นใคร ส่งเสียงหน่อยสิคะว่าตรงกันหรือเปล่า  :mew3:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
จบแล้วหราเนี้ย ซึ้งตามอากิจังเลยอะ

pattybluet

  • บุคคลทั่วไป
คู่นี้น่ารักมากเลยค่ะ ชอบบบ :mew1:
ปอลอ. แอบปลื้มคุณน้องชายค่ะ นี่มัน... พระเอกชัดๆ :hao6:
รอติดตามเรื่องหน้านะคะ

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
แต่อยากให้เคียวยะ เป็นเคะน่ะะะ เคะ แบบแมนๆ น่ะะะ  :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ punchnaja

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +383/-5
อยากอ่านคู่หนูทิวเร็วๆ

แต่งเก่งจังค่ะ สำนวนดี๊ดี

ออฟไลน์ blanchet

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
มาต่อเร็วๆนะคะ อยากติดตามผลงานใหม่แล้วอิอิ

Wednesday

  • บุคคลทั่วไป
 :mew3: :mew3: :mew3:

อ่านเรื่องนี้แล้วมีความสุขอะ
อ่านไป อมยิ้มไป  :กอด1:

+1 ให้ทุกตอนเลยนะคะ  o13

ออฟไลน์ namngern

  • Flowers need to bloom
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-2
มีความสุขแล้วน้ะ อากิระ
อยากอ่านคู่ต่อไปแล้วอ่าาา
คนแต่งจ้า   มาต่อเร็วๆน้าง

ออฟไลน์ pogpax

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0

+zoLoMegWoz+

  • บุคคลทั่วไป
แวะเม้นก่อนค่อยอ่านนะนะ คาดว่าคงจะติดตามทั้งซีรี่ย์ เนื่องจากประโยคหนึ่งของผู้เขียนในตอนแรกก่อนเริ่มเรื่องที่ว่า "เพราะเป็นคนไม่ชอบกินมาม่าจึงไม่ควรคาดหวังความดราม่าจากเรื่องนี้" เราก็ไม่ชอบอ่านเรื่องดราม่า ดังนั้นเราจึงปาวารณาตัวขอติดตามซีรี่ย์ชุดนี้ด้วยคนนะ

ออฟไลน์ momoku

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด