When we call it 'LOVE' ... [[หนังสือวางขายที่ร้านนายอินทร์]]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: When we call it 'LOVE' ... [[หนังสือวางขายที่ร้านนายอินทร์]]  (อ่าน 727579 ครั้ง)

ออฟไลน์ snoopy

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-1
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.84 - 22/05/2017]]
«ตอบ #2520 เมื่อ24-05-2017 15:24:56 »

ขอบคุณ

ออฟไลน์ kungverrycool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.84 - 22/05/2017]]
«ตอบ #2521 เมื่อ25-05-2017 06:44:11 »

 :m18:รอตอนต่อไปจร้า

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.84 - 22/05/2017]]
«ตอบ #2522 เมื่อ25-05-2017 22:16:15 »

นี่ถึงกับ ต้องหันไปดูปฏิทินหน้าจอมคอมพ์ว่า ตกลงนี่มันปี 2017 ใช่ปะวะ?  55555

ออฟไลน์ tangtey59

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.84 - 22/05/2017]]
«ตอบ #2523 เมื่อ03-06-2017 11:14:13 »

เย้ มาต่อแล้ว ขอบคุณมากค่ะ นะโมทำถูกแล้วค่ะ

ออฟไลน์ ✿PIERRE

  • ดองนิยายข้ามปี
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 434
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-6
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.84 - 22/05/2017]]
«ตอบ #2524 เมื่อ10-06-2017 02:40:59 »

- 28 -

เมื่อแท็กซี่มาจอดที่หน้ารั้วโอ่อ่าและจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อย ผมเดินผ่านประตูเล็กข้างๆเพื่อเข้าไปในอาณาเขตของบ้านหลังใหญ่ ผมเดินผ่านสวนมาเรื่อยๆจนถึงโรงจอดรถก่อนที่จะถึงประตูบานใหญ่ของบ้าน

หืม...รถหายไปไหน 1 คัน ปกติโรงจอดรถติดแอร์นี้มันเป็นโรงจอดที่เป็นกระจกรอบด้าน ผมจึงชอบมองทุกครั้งที่เดินผ่าน เหมือนโชว์รูมขนาดย่อมที่รวมรถสวยๆเอาไว้

แถมรถที่หายไปคือคันที่ไอ้โทชอบขับเป็นประจำนี่หว่า

แน่ล่ะว่าคงไม่มีขโมยในโครงการหมู่บ้านที่มีระบบความรักษาปลอดภัยอันเยี่ยมยอดแน่ ขนาดเมื่อกี้ผมแค่นั่งแท็กซี่เข้ามายังไม่ยอมปล่อยผ่านเข้ามาได้ง่ายๆเลย ต้องโทรเช็คกับเจ้าของบ้านก่อนว่าแขกที่มาหานั้นรู้จักกับเจ้าของบ้านจริงๆ

ดังนั้นจึงมีอยู่สาเหตุเดียวที่รถมันหายไป...เจ้าของคงออกไปเที่ยวกลางคืน หาสาวๆมานอนกกอย่างเคย นิสัยเดิมๆของผู้ชายที่เพียบพร้อมทั้งหน้าตา รูปร่าง และฐานะ

เหอะ! แล้วไอ้ที่บอกว่ารักผมมันคืออะไร? หรือว่าแค่อยากจะเอาชนะผม เอาคืนที่ผมหายไปกับปกป้องทั้งวัน
แล้วทำไมผมต้องมานั่งคิดอะไรเป็นตุเป็นตะขนาดนี้ว่ะเนี้ย ไอ้โทมันจะทำอะไรก็เรื่องของมันสิ

ผมส่ายหัวแล้วปัดความคิดไร้สาระทิ้ง เดินเข้าไปในบ้านที่ยังมีไฟเปิดอยู่หลายดวง แต่ไม่มีใครอยู่สักคน สงสัยป้าจิต พี่หญิง และพี่บัวเข้านอนกันหมดแล้ว

รีบอาบน้ำนอนดีกว่า เมื่อยตัวไปหมด

ผ่านไปประมาณ 15 นาทีผมก็อาบน้ำเสร็จ เดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับเช็ดหัวไปด้วย แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็พบว่าแบตใกล้หมดจึงนำไปชาร์จ กะว่าจะนอนเล่นโทรศัพท์สักแป๊บแล้วค่อยปิดไฟนอน

ทว่าพอเปิดสัญญาณอินเตอร์เน็ตขึ้นมาก็พบกับการแจ้งเตือนไลน์จากคนๆเดิม เนื้อหาข้อความก็ซ้ำไปซ้ำมา บรรทัดสุดท้ายคือ

อยู่ไหนนะโม

พอนึกถึงรถที่หายไปผมเลยตอบแบบกวนตีน

อยู่บ้านสิ

ข้อความถูกอ่านทันที แต่คู่สนทนาไม่ได้พิมพ์อะไรตอบกลับมา

ผมจึงไม่สนใจอะไรอีกแล้วเปลี่ยนมาเช็คเฟสบุคแทน ซึ่งพอสลับมาเป็นแอพสีฟ้ามันทำให้ผมตกใจเป็นอย่างมาก เพราะตรงแจ้งเตือนมีตัวเลขมากกว่า 99+ พอผมกดเข้าไปดูมีแต่คนมากดไลค์ข้อความที่ผมไปเม้นรูปโปรไฟล์ไอ้โท กับคนที่มาติดตามผมมากขึ้น รวมไปถึงบางคนที่ส่องเฟสบุคผมแล้วตามกดไลค์ทุกสเตตัสของผม
แต่ที่หนักกว่านั้นคือมีคนส่งแชทมาถาม

พี่ชื่ออะไรคะ?
เป็นเพื่อนกับพี่โทหรอคะ?
เรียนที่ไหนอ่า ใช่ที่เดียวกับพี่โทรึเปล่า?
พี่น่ารักจัง อายุเท่าไหร่ อยู่ปีไหน มีแฟนรึยังคะ?
รูปโปรไฟล์พี่ทำไมคล้ายๆของพี่โทเลยง่ะ?


และคำถามที่ทำเอาผมถึงกับกุมขมับ

พี่เป็นแฟนกับพี่โทหรอคะ?

ให้ตายเหอะ พลังโซเชี่ยลนี่มันน่ากลัวจริงๆ นี่ถ้าผมตอบไปว่าไอ้โทมันขืนใจพี่มาแล้ว ไอ้โทไม่ได้หล่อดีเลิศประเสริฐศรีแบบที่น้องคิด คนถามจะรู้สึกยังไงวะ แต่ยังดีที่ผมไม่อยากทำร้ายความหวังของสาวๆ เลยปล่อยแชทพวกนั้น ไม่กดเข้าไปอ่านหรือตอบใดๆทั้งสิ้น
ผมดูหน้าฟีดไปเรื่อยจนกระทั่งได้ยินเสียงเบรกของล้อรถ ผมเดินไปดูที่ระเบียง ก็พบว่ารถคันที่หายไปมาจอดอยู่ข้างหน้า
ส่วนผมนี่เตรียมรับแรงระเบิดจากใครบางคน ไอ้โทแม่งต้องโมโหมากแน่ๆ

ปัง!

ประตูถูกเปิดอย่างแรง ไม่ผิดไปจากที่คาด ผมกำลังจะหันไปเถียงไอ้โททันทีถ้ามันว่าอะไรผม
แต่ทว่าสิ่งที่ผมได้รับกลับไม่ใช่ประโยคที่เต็มไปด้วยอารมณ์โมโหหรือการกระทำรุนแรง...

“อย่าหายไปแบบนี้...กูเป็นห่วงมึงจนแทบบ้า” คำพูดที่มาพร้อมกับแรงถาโถมเข้าอย่างจังจนผมเซเล็กน้อย อ้อมแขนแกร่งโอบรัดตัวผมไว้แน่น ไม่ทันได้เห็นสีหน้าเพราะอีกฝ่ายกดด้านหลังศีรษะผมให้จมกับอกจนเกือบหายใจไม่ออก

“มึงออกไปกับไอ้เด็กนั่นกูไม่ว่า...แต่ขอร้อง...อย่าเงียบหายไป กูใจไม่ดี กลัวมึงโดนทำร้าย....แบบคราวที่แล้วอีก...”
ผมค่อยๆดันตัวเองออก ปฏิกิริยาของมันทำเอาผมอึ้งไปชั่วขณะ
มันไม่ได้โกรธหรือโมโหที่ผมหายไปกับปกป้อง แต่มันกลัวว่าผมจะโดนทำร้าย...

“กูอยู่นี่แล้วไง”

ไอ้โทดึงตัวผมเข้าไปกอดแน่นๆอีกครั้ง

“มึงไม่ต้องกลัวกูโดนทำร้ายหรือดักฉุดหรอก กูอยู่กับปกป้อง แถมไอ้หลามมันก็ไม่อยู่แล้วด้วย”
คราวนี้พอผมพูดจบคนตรงหน้าเป็นฝ่ายดันตัวผมออกแทน แล้วจับที่แขนทั้ง 2 ข้าง เพื่อให้ผมตั้งใจฟังที่มันจะพูด
“ไอ้หลามจะอยู่หรือไม่อยู่ มึงก็ห้ามประมาท ไอ้เด็กนั่นก็ใช่ว่าจะปกป้องมึงได้จริงๆถ้าเกิดอะไรขึ้นมา”

สีหน้าจริงจังของมันทำเอาผมขำไม่ออก ไอ้โทมันเปลี่ยนไปมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนมันคงอาละวาดแล้วทำตามใจตัวเอง
ภายในห้องเงียบกริบจนเริ่มอึดอัด ต่างฝ่ายต่างไม่มีอะไรจะพูด ผมก็ผิดเองที่ไม่ยอมบอกมันดีๆตั้งแต่แรก เพราะไม่คิดว่ามันจะเป็นห่วง คิดแค่เรื่องสนุกที่ได้ปั่นหัวมันเล่น

“แล้วนี่...มึงไปไหนมา” ถามพร้อมมองมันตั้งแต่หัวจรดเท้า เสื้อยืดอยู่บ้าน กางเกงขาสั้น ทรงผมยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบแต่ก็ยังเท่ในสายตาสาวๆ

ปกติถ้าไอ้โทมันออกไปล่าเหยื่อมันจะต้องเนี้ยบตลอดนะ

“กู...เอ่อ...” คนถูกถามหลบตา แถมยังปล่อยแขนผมแล้วเดินถอยหลัง แบบนี้มันมีพิรุธ

“ไปไหนมา?”
“กู...ไป...ออกไปซื้อของ”
หะ ซื้อของอะไรตอนตีหนึ่ง
“ซื้ออะไร แล้วไหนของ”
“ซื้อที่โกนหนวด เอาไปเก็บแล้ว อย่าถามมาก มึงไปนอนได้แล้วไป” ไอ้โทตัดบท ดันตัวผมให้เดินไปที่เตียง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ล้มตัวลงนอน ไอ้โทมันบีบกรามผมให้หันไปทางซ้าย อีกมือกระชากคอเสื้อนอนของผม แล้วก้มดูตรงคออย่างขะมักเขม้น

สีหน้าไอ้โทเปลี่ยนไปทันที

“ใครทำ? ไอ้เด็กนั่น?”

ชิบหายล่ะ ผมว่าผมเลือกใส่เสื้อที่ปิดคอแล้วนะ แต่ก็ยังไม่สามารถหลุดรอดพ้นจากสายตาของไอ้โทไปได้อยู่ดี ปกป้องก็เหลือเกิน ดูดมาได้ไงวะเป็นรอยจ้ำขนาดนี้ คือผมก็ไม่ได้โง่ขนาดที่ไม่รู้จักคิสมาร์ก แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าดูดแป๊บเดียวก็เห็นรอยชัด ตอนอาบน้ำเมื่อกี้ผมนี่ถูคอจนแดงไปหมด ถึงแม้ว่ามันจะไม่ช่วยอะไรก็ตาม

“เอ่อ เปล่า ยุงกัดน่ะ” ตอบแบบนี้มันจะเชื่อมั้ยวะ “มึงรีบไปอาบน้ำแล้วมานอนเถอะ ดึกแล้ว” ผมนี่รีบเปลี่ยนเรื่องเลยครับ
“เดี๋ยวกูทายาให้”

หือออออออ มันเชื่อหรอวะ

ผมเหลือบมองไอ้โทอย่างหวาดๆ ท่าทางมันไม่ยินดียินร้าย มันดูสงบ เรียบ นิ่งจนผมหวั่นใจ

“ไม่เป็นไร แค่นี้เอง” ปฏิเสธไม่ทันเสียแล้ว ไอ้โทมันไปหยิบยาหม่องตรงลิ้นชัก แล้วให้ผมนั่งลงบนเตียง โดยมีมันนั่งอยู่ข้างๆ
ผมเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าถ้าเอายาหม่องทาแล้วรอยคิสมาร์กจะหายไป

มือหนาจับกรามผมให้หันไปอีกด้าน ตัวมันเขยิบมาใกล้ชิดผมมากขึ้น มันโน้มศีรษะเข้ามาใกล้ หลังจากนั้นผมก็สัมผัสได้ถึงความนุ่มลื่นของลิ้นผสมกับน้ำลายกับริมฝีปากที่ทาบทับลงบนต้นคอ

ใจผมเต้นตึกตักไม่รู้ตัว ความหวาบหวิวพุ่งขึ้นสูง

“มึง...ทำอะไร...” ผมถามและพยายามดันตัวเองออก แต่ก็ไม่ได้ผล ผมหนีมันโดยการถอยตัวออกห่าง นั่นยิ่งทำให้เข้าทางไอ้โท มันโน้มตัวลงมาคร่อมผมไว้บนเตียงกว้าง

นี่ผมเข้ามาสู่สภาพล่อแหลมแบบนี้ได้ยังไง

อันตราย...แบบนี้มันอันตรายต่อตัวและหัวใจผมสุดๆ!

“ลบรอย” มันตอบแค่นั้นก่อนจะเอาจมูกโด่งมาดุนๆแก้ม “ไอ้เด็กนั่น...มันทำอะไรอีก...”

ผมไม่ตอบ

“ถ้าไม่บอก...กูทำเลยว่าที่ไอ้เด็กนั่นทำก็อย่ามาว่ากันนะ” เสียงแหบพร่ากระซิบข้างหู

ในขณะที่หัวสมองผมกำลังตีกันวุ่นว่าจะบอกหรือไม่บอกดี ไอ้โทก็ไม่รอคำตอบจากผม ริมฝีปากได้รูปประกบลงมาแบบไม่ทันตั้งตัว
จูบของมันนุ่มนวล หยอกล้อกับริมฝีปากบนและล่างของผมให้คล้อยตาม จนผมต้องเผยอออกเล็กน้อย เป็นโอกาสให้ลิ้นอุ่นชื้นแทรกเข้ามา ดูดดึงและพันเกี่ยวอย่างเอาแต่ใจ จากนั้นค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความเร่าร้อนตามแรงอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้น

จูบนี้มันแตกต่างจากครั้งไหนๆ...กับปกป้อง ผมก็ไม่เห็นจะรู้สึกอะไร

ส่วนก่อนหน้านี้ที่มันเคยบังคับให้ผมจูบก็มีแต่ความเคียดแค้น รังเกียจ ขยะแขยง แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป...

ด้วยอารมณ์หรืออะไรก็ไม่รู้ที่ผมไม่อยากหาเหตุผลมารองรับ ได้แต่ปล่อยกายปล่อยใจไปตามความรู้สึก เบื่อแล้วที่จะต้องมานั่งคิดหาสาเหตุของการกระทำต่างๆ หรือจมปลักคิดถึงแต่เรื่องในอดีต

‘...แต่พอลองเปิดใจ ปล่อยตัวไปตามอารมณ์มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด แถมยังรู้สึกดีมากๆด้วย...’

จ่ๆคำพูดของไอ้บูมก็แล่นเข้ามาในหัว
ลองทำตามดูสักครั้งก็ไม่เสียหาย...
ผมจูบตอบมัน...เป็นฝ่ายเร่งเร้าบ้าง ไม่ยอมให้มันกระทำผมอยู่ฝ่ายเดียวหรอก

เราจูบกันอยู่แบบนั้นไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ รู้แต่ว่าผมรู้สึกดีมากๆ ไอ้โทส่งผ่านความรู้สึกให้ผมได้รับรู้ ทั้งเอาแต่ใจ โหยหา โกรธเคือง เป็นห่วง และความรักที่มีให้กับผม ความรู้สึกเหล่านั้นมันผสมปนเปแยกไม่ออก มันปรนเปรอจนผมมัวเมา มือหนาไม่อยู่เฉย ค่อยๆสอดเข้ามาอย่างช้าๆ โดยไม่ให้ผมได้ทันระวัง รู้ตัวอีกทีก็สะดุ้งจากเรียวนิ้วที่บดขยี้จนตุ่มไตตั้งชัน

“อื้ออ”
ผมประท้วงในลำคอ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมถอนปากแต่โดยดี
“พะ .. พอ พอแล้ว...”

ผมหอบหายใจเล็กน้อย ดันลำตัวหนาๆของคนตรงข้ามให้ห่าง เป็นสัญญาณว่าหยุดสักที

จะจูบแบบนี้ไปทั้งคืนเลยรึไง…

“ปกป้องไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านี้แล้ว...”
“แน่ใจ?”
“อือ”

ดวงตาคมจ้องเข้ามาราวกับจะเค้นหาความจริง

“จริงๆ น้องมันแค่ดูดคอเฉยๆ” ผมย้ำอีกครั้ง ไม่ได้บอกเรื่องที่น้องมันเอาริมฝีปากมาแตะปากผม เพราะผมถือว่าไอ้โทมันลบจูบนั้นให้แล้ว แถมยังลึกซึ้งมากกว่า หนักแน่นมากกว่าจนผมเคลิ้มไม่รู้ตัว

“อย่าให้มีครั้งที่สอง เพราะกูไม่หยุดแค่นี้แน่” ผมพยักหน้าหงึกๆ แม้ว่ามันจะขู่ แต่แววตามันดูเจ็บปวด
“เป็นอะไรรึเปล่า?”

ร่างสูงพลิกตัวนอนลงข้างๆ หลับตา แล้วถอนหายใจเบาๆ

“กูขอโทษที่...จูบมึง...เรื่องที่กูขู่เมื่อกี้ด้วย ทั้งๆที่สัญญากับมึงไว้แล้วว่าจะไม่ทำร้ายมึงอีก” คนพูดเงียบไปสักพักก่อนจะพูดต่อ “กูอยากกอดมึง อยากอยู่กับมึง ไม่อยากให้มึงไปไหน ไม่อยากให้ใครเห็นความน่ารักความใจดีของมึง ยิ่งเฉพาะกับไอ้เด็กนั่น...กูกลัว...เพราะกูสู้อะไรมันไม่ได้เลย กูกลัวความดีของมัน ในขณะที่กูทำร้ายมึงมาตลอด”

ผมเงียบ ปล่อยให้คนข้างๆพูดต่อไป

“ตอนนี้กูไม่รู้เลยว่ามึงรู้สึกยังไง มึงให้อภัยกูได้รึเปล่า มึงรังเกียจกูมากแค่ไหน และมึง...หลงรักไอ้เด็กนั่นไปรึยัง...”

ผมลุกขึ้นนั่ง ดึงให้คนที่เอาแต่พล่ามลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิประจันหน้ากัน

“การที่กูมาดูแลมึงแบบนี้ มันไม่ได้หมายความว่ากูให้อภัยมึงเลยงั้นสิ? มึงลองคิดเอานะ ใช้หัวสมองฉลาดๆของมึงคิด ว่าการที่กูยอมใกล้ชิดมึงแบบตอนนี้ กับตอนแรกที่แม้แต่หน้ามึงกูก็ไม่อยากจะมอง...มันแตกต่างกันยังไง และมันหมายความว่าอะไร”

บางทีคนฉลาดก็มักจะโง่ในบางเรื่อง

“กูยอมรับเลยว่าช่วงแรกกูรังเกียจ กูขยะแขยง กูกลัว กูผวาทุกครั้งที่เห็นหน้ามึง...แต่ตอนนี้มันไม่ใช่” มือทั้งสองข้างประกบข้างแก้มของใบหน้าได้รูป “ฟังให้ดีนะ เรื่องในอดีตทั้งหมดที่ผ่านมา...กูให้อภัยมึงหมดแล้ว ตั้งแต่วินาทีที่มึงเอาตัวมารับลุกกระสุนแทนกู...”
มือเลื่อนลงไปลูบบริเวณอกที่มีรอยผ่าตัด

“ส่วนเรื่องปกป้อง...ใช่...กูรักปกป้อง” ไอ้โทตัวแข็งทื่อ นัยน์ตาเบิกกว้าง ก่อนจะคลายลงเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูดต่อ “กูรักมันแบบพี่น้อง กูเห็นปกป้องเป็นน้องชายคนหนึ่ง มันทำดีกับกูมากไว้ มากซะจนชั่วชีวิตนี้กูก็คงตอบแทนมันไม่หมด และต่อจากนี้ไปกูขอเป็นฝ่ายดูแลมันบ้าง ดังนั้น...มึงห้ามทำอะไรน้องกูเด็ดขาด เข้าใจไหม?”

คนตรงหน้ายิ้มกว้าง สีหน้ามันดีใจยิ่งกว่าอะไร

“สัญญา กูจะไม่ไปแตะต้องไอ้เด็กเหี้-...เอ่อ น้องปกป้องอีกแล้ว”
“และที่สำคัญ...ถ้ากูยังรังเกียจมึงอยู่กูไม่ยอมให้มึงจูบง่ายๆหรอก”

เท่านั้นแหละ ไอ้โทก็โดดกอดผมทันที ทำเอาเราทั้งคู่เซล้มไปกับเตียง

“ขอบคุณมาก นะโม ขอบคุณจริงๆ”




“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณโม รับเป็นข้ามต้มกุ้งหรือปลาดีคะ”
“อรุณสวัสดิ์ครับป้าจิต เป็นกุ้งละกันครับ”

เช้านี้ผมตื่น 6 โมงพร้อมไอ้โท เพราะมันยังคงยืนกรานที่จะออกไปวิ่งเพื่อฟิตให้ร่างกายแข็งแรง ดังนั้นผมที่ทำหน้าที่ดูแลจึงต้องติดสอยห้อยตามมันไปเช่นเคย

“เมื่อคืนคุณโมไปหลงอยู่แถวไหนหรอคะ?” ป้าจิตถามในขณะที่กำลังตักข้ามต้มให้ผม

หา? หลงอะไร? ใครหลง?

“ก็เห็นคุณโทบอกว่าคุณโมหลงทาง ทำให้คุณโทต้องออกรีบออกไปตามหา เห็นขับรถออกไปตั้งแต่ 3 ทุ่ม ทีหลังอย่าไปหลงที่ไหนอีกนะคะ ยิ่งค่ำๆมืดๆมันอันตรายค่ะ”

ที่แท้เมื่อคืนไอ้โทออกไปตามหาตัวผม ไม่ได้ออกไปเที่ยวผับหลีหญิงแบบที่ผมคิดสินะ...

“เอ่อ...คือ...” ขณะที่ผมกำลังจะแก้ตัว คนที่เพิ่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินมาพอดี
“อ้าว อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณโท”
“ครับป้าจิต ขอข้าวต้มปลานะ” มันนั่งลงตรงข้ามผม พอป้าจิตตักเสร็จและออกไปแล้วผมก็เปิดประเด็นถามทันที แบบนี้มันต้องเค้นความจริงจากคนปากหนัก
“เมื่อคืนมึงออกไปตามหากูหรอ?”
“เปล่า”
“อ่าว ก็ป้าจิตบอกว่ามึงออกไปตามหากูเพราะกูหลง”
“กูออกไปตามหาแมว” มันเฉไฉตักข้ามต้มเข้าปากหน้าด้านๆ
“หรอ...แล้วเจอมั้ย”

มึงจะเล่นกับกูใช่มั้ยห๊ะ ได้เลย...หึหึ

“ไม่เจอ แต่ที่กูออกไปหาตามเพราะกูเป็นห่วงมัน กลัวคนทำร้ายมัน กลัวมันหลงทาง แต่มันกลับดันไปหลงแมวตัวผู้ที่อื่น”
“อ่ะหะ ระวังแมวมันไปได้กับตัวผู้ที่ไหนไม่รู้นะ”
“ไม่หรอก เพราะสุดท้ายแล้วเมื่อคืนแมวตัวนั้นมันก็กลับบ้านมาเอง” ไอ้โทดื่มน้ำก่อนจะมองมาที่ผมตรงๆด้วยสายตาจริงจังจนผมแอบกลัวไม่ได้ “แต่ถ้ามีครั้งหน้าอีกสงสัยต้องล่ามโซ่ขังไว้ในบ้านแล้วล่ะ”

ร่างสูงลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารเดินไปที่ห้องนั่งเล่น ทิ้งให้ผมคิดกับประโยคที่มันพูดมาเมื่อกี้
นี่มันไม่ได้คิดจะล่ามโซ่ขังให้ผมอยู่แต่ในบ้านจริงๆใช่มั้ย?
คงไม่หรอกมั้ง...เพราะมันพูดเองแล้วนี่ว่าจะไม่ทำร้ายผมอีกน่ะ...



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-06-2017 15:59:56 โดย ✿PIERRE »

ออฟไลน์ ✿PIERRE

  • ดองนิยายข้ามปี
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 434
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-6
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.84 - 22/05/2017]]
«ตอบ #2525 เมื่อ10-06-2017 02:44:37 »

- 29 -

เหลืออีกแค่ไม่กี่วันก็จะเปิดเทอมสองแล้ว ผมที่นั่งๆนอนๆไม่ได้ทำอะไรมากก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมานิดนึง เพราะวันๆไอ้คุณชายโทมันเอาแต่ดูซีรีส์ ใครโทรตามไปไหนก็อ้างว่าป่วยตลอด ทั้งๆที่ผมเห็นคือผู้ชายวัยรุ่นตอนปลายที่แข็งแรง รูปร่างดีขยันออกกำลังกายทุกเช้า ไม่มีทีท่าว่าจะเจ็บออดๆแอดๆสักนิด ยกเว้นที่ไปวิ่งครั้งแรกแล้วมันเจ็บหน้าอก หลังจากนั้นมันก็ไม่มีอาการให้เห็นอีกเลย

หน้าที่ของผมคือต้องดูแลมัน แต่นอกจากไปวิ่งกับมันทุกเช้าและทำความสะอาดแผลให้ผมก็ไม่ได้ทำอะไรที่เหมาะสมกับค่าจ้างที่แม่เกศให้ ด้วยความที่ผมนอกจากจะหน้าตาดีแล้วยังเป็นคนดี (ถุย) เลยเข้าไปช่วยป้าจิตในครัวบ้างบางครั้ง

“เดี๋ยวเลี้ยวซ้ายข้างหน้า” ผมหันไปบอกสารถีที่จู่ๆก็ลากผมออกมาในช่วงสาย

คุณชายโทบอกให้ผมเก็บเสื้อผ้าเตรียมไปค้างหนึ่งคืน ขณะที่ผมกำลังงงๆอยู่ว่ามันจะลากผมไปไหน เจ้าตัวก็หันมาถามผมว่าบ้านป้าของผมนั้นอยู่อำเภออะไร จากนั้นก็จิ้มๆถูๆลงบนหน้าจอโทรศัพท์ พอผมชะเง้อไปมองถึงได้รู้ว่ามันเสริชหาพิกัดเส้นทางไปที่บ้านป้าผมนั่นเอง
ระหว่างทางไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก มีเพียงแค่เสียงเพลงคลอเบาๆ และไม่กี่ชั่วโมงต่อมาก็ใกล้ถึงที่หมาย เพราะจังหวัดที่เรามานั้นอยู่ทางชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกของประเทศไทย ผมบอกทางเป็นระยะๆ

ไม่รู้ว่าป่านนี้ป้าจะทำอะไรอยู่ อาจจะตั้งหม้อเพื่อเตรียมทำข้าวแกงไปขายที่ตลาด อาจจะเดินไปเก็บผักที่สวนหลังบ้าน หรือไม่ก็กำลังคุยกับไอ้ดาวหมาตัวเมียที่หลงมาเมื่อหลายปีก่อนพร้อมกับหาเห็บให้มันไปด้วย เพียงแค่นึกถึงผมก็ยิ้มให้กับตัวเองเบาๆ

รถสีดำคันงามแล่นเข้ามาจอดในบริเวณกว้าง ซึ่งเป็นอาณาเขตของบ้านป้าผมเอง ทันทีที่ลงจากรถก็ได้ยินเสียงเห่าโฮ่งๆอย่างไม่เป็นมิตร สุนัขสีขาวมีลายคล้ายๆรูปดาวอยู่ตรงสะโพกขนาดตัวโตเต็มวัยแยกเขี้ยวขู่กรรโชกพร้อมกัดได้ทุกเมื่อ

แต่เมื่อผมเดินเข้าไปหาอย่างไม่กลัวเกรงพร้อมเรียกด้วยน้ำเสียงดุ ไอ้ดาวถึงกับกระโจนเข้ามาจนผมเกือบเซ หางมันส่ายไปมาอย่างรุนแรง

“เห่าอะไรของเอ็งน่ะไอ้ดาว”
“ป้าน้อย!” ผมตะโกนเรียก เมื่อร่างท้วมอันคุ้นตาปรากฏ ผมก็วิ่งเข้าไปกอดทันที
“มายังไงล่ะเนี่ย” ป้าน้อยถามเมื่อผมคลายอ้อมกอดแล้ว มือสากกร้านลูบหน้าลูบตาผมพลางสำรวจ “หือ หล่อขึ้นรึเปล่า แล้วทำไมจะมาถึงไมโทรบอกก่อนล่ะ”
“ถ้าบอกป้าน้อยก็ไม่ตกใจน่ะสิ”
“หึ หายไปหลายเดือน ไม่มีโทรไม่มีส่งข้อความมา ไอ้เราก็นึกว่าหลงแสงสีเมืองกรุงจนลืมป้าไปแล้ว” คนแก่ขี้น้อยใจก็งี้ ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ปากกับตาของป้าน้อยกลับยิ้มไม่หุบ
“เรียนหนักค๊าบบบบบ”
“รู้แล้วล่ะน่า...ว่าแต่...นั่นใครล่ะ?” ป้ามองเลยหลังผมไปก็เจอกับสีหน้าปั้นยากของไอ้โท เพราะผมมัวแต่คุยกับป้าน้อยจนลืมไปว่าปล่อยให้ไอ้ดาวมันดมฟุดฟิดๆอยู่รอบตัวของหนุ่มหล่อที่เกือบได้เป็นเดือนคณะ
“เพื่อนผมเองครับ ชื่อโท”

เหมือนเจ้าตัวจะรู้ว่าถูดพูดถึง ร่างสูงเดินเข้ามาพร้อมกับไหว้อย่างนอบน้อมราวกับจะไปประกวดมารยาท ตบท้ายด้วยการแนะนำตัวเองและรอยยิ้มพิฆาตสาว

แต่นี่มันสาวแก่นะโว๊ยยย มึงจะยิ้มหล่อทำไมห๊ะ

“เอ็งนี่รู้จักคบเพื่อนนะ” ป้าน้อยกระซิบบอกผมขณะที่เราทั้งหมดกำลังเดินเข้าไปในบ้าน ผมนี่มองบน อย่าบอกนะว่าป้าก็โดนออร่าความหล่อกระแทกตาจนลืมว่าหลานชายตัวจริงของป้าที่ไม่ได้พบกับหลายเดือนยืนหัวโด่อยู่นี่น่ะ

ผมทิ้งไอ้โทไว้ในห้องรับแขกเพราะดูท่าทางจะเข้ากันกับป้าน้อยได้ดี จนผมโดนไล่ให้ไปเอาน้ำมารับแขก

“อากาศร้อนแบบนี้ขับรถมาเหนื่อยแย่เลยนะลูก”
“นิดหน่อยครับ”
“เอ้า ไอ้โม ป้าบอกให้ไปหยิบน้ำกระเจี๊ยบที่แช่อยู่ในตู้เย็น ไม่ใช่น้ำเปล่านะเว้ย”
“ไม่เป็นไรครับ น้ำเปล่าก็ได้ครับ”
“ไม่ได้ๆ ป้าต้มเองกับมือ ไปเอามาใหม่เลยนะโม”
“คร้าบๆ”

ก็นั่นล่ะฮะทั่นผู้โชมมมมม

นี่ถ้าผมไม่บอกว่าครัวกำลังจะไหม้เพราะป้าดันเปิดแก๊สต้มข่าไก่ทิ้งไว้ พี่สาวของพ่อผมคงได้แทะโลมไอ้โทจนอิ่มแน่ๆ ผมเลยอาศัยจังหวะนี้ขึ้นชั้นสองตรงไปยังห้องนอนเพื่อเอากระเป๋าไปเก็บ

ห้องนอนผมเป็นห้องเล็กๆ ไม่ใหญ่มากนัก พอสำหรับคนหนึ่งคน เตียงเดี่ยวตั้งริมหน้าต่าง ปลายเท้าเป็นตู้เสื้อผ้าและชั้นวางหนังสือ นั่นทำให้ไอ้โทขมวดคิ้วหน้าเครียด

“แล้วกูจะนอนยังไง”
“เดี๋ยวพาไปอีกห้อง” ถึงตัวบ้านจะไม่ใหญ่ แต่มีหลายห้องนะเว้ย อย่าดูถูกๆ

“ไม่ใช่ ความยาวของเตียงมัน...สั้นไป” ไอ้โททิ้งตัวลงนอนบนเตียงที่ผมใช้มาตั้งแต่ม.ปลาย “เนี่ย ขามันเลยอ่ะ” ไม่ว่าเปล่า คนขายาวชี้ให้ดูว่าข้อเท้ามันเลยออกมาจากเตียง

เหมือนมันจะรู้ว่าผมไม่พอใจ

“กูไม่ได้ด่ามึงเตี้ยนะ”

มึงด่ากูก็ตอนนี้แหละสาดดดดดด

ผมไม่ได้หงุดหงิดที่มันด่านะ ก็แค่ลากมันมาอีกห้องแล้วปูผ้าให้มันนอนพื้น คราวนี้จะยืดขาให้ยาวแค่ไหนก็เรื่องของมึงเลยจ้า

“ไม่เอา จะนอนห้องมึง”
“งั้นกูนอนห้องนี้เอง”
“ไม่”

อะไรของมันอีกวะ เอาใจยากชิบ

“นอนด้วยกันสิ” บอกด้วยน้ำเสียงเรียบแต่กลับทำผมนิ่งไปอึดใจ
“ร้อนจะตายห่า ไม่มีแอร์แบบบ้านมึงนะ มีแต่แอร์ธรรมชาติ นอนนี่ไป อย่าเรื่องมาก”

ถ้าป้าน้อยมาเห็นผมกับมันนอนด้วยกันจะคิดยังไง...
ดูเหมือนคนตรงหน้าจะพอเข้าใจ มันเลยไม่ได้แย้งอะไรอีก

ผมพามันเดินมายังห้องน้ำ ซึ่งต้องผ่านชั้นวางอัฐิกระดูกของพ่อแม่ผม ไอ้โทหยุดเดิน หันไปมองรูปภาพกับภาชนะที่บรรจุอัฐิวางไว้ข้างๆกัน
มันเคยพูดกับผมไว้ว่าจะพาผมกลับบ้าน จะไปกราบขอขมาต่อหน้าอัฐิคุณพ่อและคุณแม่ของผม

และตอนนี้...ตรงนี้...ผู้ชายข้างๆพนมมือแล้วก้มลงกราบต่อหน้ารูปขาวดำในกรอบไม้ตามที่เจ้าตัวเคยให้สัญญาไว้

“ผมชื่อ โท กิจภาคิณ เป็นเพื่อนที่คณะของนะโมครับ วันนี้ผมตั้งใจจะขอขมา ขออโหสิกรรมจากคุณพ่อและคุณแม่ที่ผมได้ล่วงเกินและทำไม่ดีต่อนะโม เคยทำร้าย เคยเข้าใจผิด ข่มเหงทั้งจิตใจและร่างกายของนะโม...ผมสำนึกแล้วในการกระทำเหล่านั้น ขอให้คุณพ่อและคุณแม่ให้อโหสิกรรมแก่ผมด้วยเถิดครับ”

ผมฟังโทพูดอย่างนิ่งเงียบ ผมไม่รู้ว่าพ่อแม่บนสวรรค์จะได้ยินมั้ย แต่ความตั้งใจของมันต้องส่งไปถึงอย่างแน่นอน

“และเพื่อชดเชยการกระทำที่ผมเคยก่อไว้ในอดีต ต่อจากนี้ไปผมจะเป็นคนดูแลนะโมต่อจากคุณพ่อคุณแม่เองครับ...”

“เห้ย มึงไม่ต้อง...” ผมขัดในสิ่งที่มันกำลังจะพูดต่อ  ผมไม่อยากให้มันพูดต่อหน้าอัฐิเพราะมันเหมือนเป็นการสาบานหรืออะไรก็ตามแต่ ผมไม่ต้องการให้มันผูกมัดตัวเองแบบนี้

“ผมรักลูกชายของคุณพ่อคุณแม่” แต่ไอ้โทมันไม่ยอมหยุด สายตาคมแน่วแน่ที่รูปของบุคคลผู้ให้กำเนิดผม “ผมให้คำสัญญาว่าจะปกป้องนะโม และจะไม่ทำให้เขาเสียใจอีกเป็นอันขาด”



ในเวลาคล้อยบ่าย ป้าน้อยทำข้าวแกงเตรียมใส่หม้อใหญ่เพื่อนำไปขายที่ตลาด โดยปกติแล้วจะมีลุงพงษ์มาช่วยยกหม้อใส่ซาเล้งพ่วงข้างขี่ไปตลาดที่อยู่ไม่ไกลนัก แต่ทว่าวันนี้นอกจากจะมีลุงพงษ์มาช่วยแล้ว ยังมีเด็กหนุ่มอย่างไอ้โทคอยช่วยอีกแรง

“หนุ่มๆนี่แรงดีจัง เอ้านี่…ขี่ซาเล้งเป็นมั้ย พอดีวันนี้ลุงจะต้องไปเอาปูมาขายด้วย ขี้เกียจไปกลับหลายรอบ” ลุงพงษ์ผู้ซึ่งลงพุงพูดพร้อมกับยื่นกุญแจให้

คนถูกถามมองอย่างเหวอๆ แต่ก็รับกุญแจนั้นมาอย่างช่วยไม่ได้

แบบนี้มันต้องเก็บภาพความประทับใจสิครับ จะรออะไร

ผมที่ขี่มอเตอร์ไซค์ตาม มือหนึ่งจับแฮนด์ อีกมือถือโทรศัพท์ แอบเก็บภาพประวัติศาสตร์ที่ชาตินี้คงไม่ได้เห็นง่ายๆ และแน่นอนว่าผมเป็นคนดีที่ไม่อยากเก็บภาพนี้ไว้เพียงคนเดียว จึงได้แบ่งปันอัพโหลดลงบนเฟซบุคให้เพื่อนๆให้เชยชม

มีสาวๆคนไหนอยากมาเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้ไอ้โทมั้ยครับ? ว่างหลายที่นั่งเลยนะครับ

เมื่อมาถึงตลาดที่บรรดาพ่อค้าแม่ค้าเริ่มวางแผง ป้าน้อยก็นำหม้อแกงหม้อใหญ่มาอุ่นไว้ แล้วเริ่มตักใส่ถุงแกง มัดปากถุงอย่างชำนาญ และไอ้โทดูท่ามันจะสนใจวิธีการมัดปากถุงมาก ถึงได้ตั้งใจเรียนทำตามที่ป้าผมบอก

แต่ดูท่าว่าคนเก่งจะไม่ได้เก่งทุกเรื่องเสมอไป

ผมตักแกงลงถุงไปได้ประมาณ10กว่าถุง ในขณะที่มันได้แค่ถุงเดียว

“ไม่ผ่าน ไม่พองลม หนังยางรัดไม่แน่น” มือหยิบถุงผัดเผ็ดหมูป่าที่ไอ้โทมัดขึ้นมาดูในระดับสายตา วิจารณ์ถุงลมฟีบๆ จากนั้นก็แกะแล้วมัดให้คนกำลังหัดดูใหม่
“มัดไวขนาดนั้นโทเค้าจะไปมองทันได้ยังไง มานี่จ๊ะ เดียวป้าสอนให้ใหม่”

ได้กลิ่นไรตุๆไหม?
กลิ่นหัวผมนี่ไง!

โดยปกติแล้วกับข้าวจะขายหมดบ้างไม่หมดบ้าง อาจเหลือนิดๆหน่อยๆ ป้าผมก็จะแจกจ่ายให้เพื่อนบ้านหรือไม่ก็เก็บไว้กินเอง แต่วันนี้ดูท่าจะขายดีเป็นพิเศษ เพราะมีพ่อค้าหน้าตาดีมาช่วยขาย

กล้องช่วยจับมาที่ผมด้วยครับ อย่าเบนไปทางซ้ายสิครับ พ่อค้าหน้าตาดีอยู่นี่ครับ

“ถุงละเท่าไหร่คะ”
“30บาทครับ”

โอเค ยอมก็ได้...พอมีไอ้โทแล้วร้านป้าผมขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แน่นอนว่าลูกค้ามีแต่สาวๆ ตั้งแต่วัยประถมไปจนถึงวัยหมดประจำเดือน มือก็รับเงิน ยื่นถุงกับข้าว ส่วนปากก็คอยตอบคำถาม ดูมันเหนื่อยแต่ก็สนุก ส่วนผมเหรอ...นั่งตักแกงอยู่ข้างหลังมันนี่ไงปั๊ดโธ่ เดี๋ยวเอากระบวยทิ่มหลังแม่ง

“ชื่ออะไรหรอจ๊ะ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย”
“ซื้อกี่ถุงถึงจะแถมพ่อค้า”
“เอาพ่อค้าเสื้อน้ำเงิน1ห่อกลับบ้านค่ะ”
“ไม่ต้องทอนนะจ๊ะ ถือว่าให้ค่าเหนื่อย แต่ถ้าไม่พอยังไงก็มาหาพี่ได้ที่บ้านสีแดงตรงถนนหัวมุม”

ลูกตาดำกองไปอยู่ด้านบนเลยครับผม หมั่นไส้โว๊ยยยยยย แล้วอีเจ๊คนเมื่อกี้ปากบอกไม่เอาตังค์ทอนแล้วจะลูบมือขาวๆของไอ้โททำไมวะ มีการบอกที่อยู่เสร็จสรรพ แหม ไม่ค่อยอ่อยเล๊ย

“ป้าน้อยไปเก็บมาจากไหน อย่างกับดาราแน่ะ”
“เพื่อนเจ้าโมมัน” ป้าน้อยตอบในขณะที่ตักแกงมือเป็นระวิง
“อ่าว น้องโม เป็นไงบ้างจ๊ะ เรียนหนักมั้ยเอ่ย ไม่เจอซะนาน”

เมื่อถูกถามผมก็ตอบไปตามมารยาท ก่อนที่คนถามจะหันไปสนใจไอ้โทเหมือนเดิม

ใครจะคิดว่าคุณชายอย่างมันจะยอมขี่ซาเล้งแล้วมาขายข้าวแกงในตลาดสดแบบนี้ นึกแล้วก็ขำ ไหนจะต้องมาหัดมัดถุงแกง แล้วยังต้องรับมือกับสาวๆที่เข้ามารุมทึ้งอีก

บางจังหวะที่ไม่มีลูกค้า ผมเห็นไอ้โทมันปาดเหงื่อตรงขมับ นี่ผมพามันมาลำบากรึเปล่าเนี้ย?
“ถ้ามึงเหนื่อยก็พักเหอะ เดี๋ยวกูจัดการต่อเอง”
“เป็นห่วง?”
ไม่ต้องมายิ้มมุมปาก ขอให้หนังยางดีดมือสักทีเถอะ หึ่ย!
“ดูทำหน้าเข้า...มัดผมให้หน่อย ผมข้างหน้าเริ่มยาวแล้วมันทิ่มตา” ไอ้โทยื่นหนังยางสีแดงที่ใช้มัดถุงแกงมาให้

ร่างสูงโน้มตัวลงมา ผมเอื้อมมือรวบเส้นผมนุ่ม เผยให้เห็นหน้าผากใสมีหยาดเหงื่อประปราย

“เสร็จแล้ว”

แทนที่คนตรงหน้าจะยืดตัวกลับไปเหมือนเดิม แต่มันกลับเอียงมายังริมใบหู เสียงนุ่มทุ้มลอยเวียนวนอยู่ข้างหู ฟังแล้วอุ่นวาบเข้าไปในหัวใจ

“กูไม่เหนื่อยหรอก ถ้างานแค่นี้ยังเหนื่อยแล้วต่อไปในอนาคตกูจะดูแลมึงได้ยังไง”




“ขอบคุณมากนะจ๊ะที่วันนี้มาช่วยขาย เดี๋ยวที่เหลือป้าจัดการเอง ไอ้โม เอ็งพาเพื่อนไปกินข้าวแล้วอาบน้ำอาบท่าซะ รีบนอนซะนะพ่อหนุ่มพรุ่งนี้จะได้มีแรงขับรถกลับ”

คงจะรู้นะครับว่าประโยคไหนพูดกับหลานตัวเอง ประโยคไหนพูดกับไอ้หน้าหล่อข้างๆนี่
กลอกตารอบที่ร้อยเจ็ดของวันก่อนจะพามันไปกินข้าว อาบน้ำ แล้วพาเข้านอนตามคำสั่ง

“ขอเข้าไปนั่งเล่นในห้องมึงก่อนได้มั้ย ถ้าง่วงค่อยไปนอน”

ผมหันไปมองนาฬิกา เพิ่งจะเวลา3ทุ่ม ยังไม่ใช่เวลานอนของมันจริงๆนั่นแหละ

“เออๆ งั้นเดี๋ยวมา กูอาบน้ำก่อน”

ผมปล่อยให้มันนั่งเล่นในห้องที่ไม่มีอะไรเลย ไม่ใช่บ้านหรูแบบที่มันเคยอยู่ซะหน่อย ใช้เวลาไม่นานก็อาบน้ำเสร็จ พอเปิดประตูกลับมาเข้ามาก็พบว่าไอ้โทกำลังใช้กล้องไอโฟนถ่ายรูปจากอัลบั้มเก่าๆขนาดใหญ่ในมืออีกที

ชิบหายล่ะ นั่นมันรูปในวัยเด็กที่ผมแอบไว้ใต้ลิ้นชัก

“ตอนเด็กๆมึงน่ารักดีนะ”

มึงจะเล่นมุก ‘ไม่น่าโตเลย’ ใช่มั้ย?

“แต่ตอนโตน่ารักกว่า”

อึก!

“กูหล่อ ไม่ใช่น่ารัก” ไอ้โทไม่เถียงอะไรต่อ เอาแต่ยิ้ม “แล้วมึงจะถ่ายไปทำไม”

และผมก็ได้คำตอบเมื่อมีแจ้งเตือนว่านายโท กิจภาคิณได้แท็กรูปภาพมา นี่มันคิดจะเอาคืนที่ผมลงรูปมันขี่ซาเล้งสินะ บอกเลยว่าคิดผิดแล้ว ผมไม่แคร์หรอก ฮ่าๆๆ

ตอนแรกว่าจะอัลบั้มคืน แต่คิดไปคิดมาก็ไม่มีอะไรเสียหายนี่นา แค่รูปวัยเด็กเอง ผมนั่งลงบนเตียงข้างๆมัน โดยชะเง้อเข้าไปดูรูปด้วย มือหนาพลิกหน้าไปเรื่อยจนกระทั่งถึงวัยประถม มีรูปหนึ่งที่ผมร้องไห้ เบะปาก น้ำมูกไหล เอาง่ายๆว่าดูไม่ได้ ไม่รู้พ่อจะเก็บรูปนี้เอามาใส่รวมไว้ในอัลบั้มทำไม

“นี่ตอนกูป.4มั้ง พ่อจับถ่ายหน้าบ้าน แต่กูดื้อ กลัวการถ่ายรูป เลยออกมาอย่างที่เห็น”

เอาจริงๆคือตอนนั้นกล้องไม่ได้เป็นดิจิตอลแบบสมัยนี้ ยังคงใช้กล้องฟิล์มที่มีแฟลช ผมในวัยเด็กไม่ชอบแสงวูบวาบเข้าตา เลยเกลียดการถ่ายรูปไปโดยปริยาย ภาพต่อจากนั้นจึงค่อยๆน้อยลง ถ่ายกับพ่อ แม่และป้า วนเวียนอยู่แค่นี้ แทบไม่มีถ่ายเดี่ยวเลย จนในที่สุดไอ้โทก็ดูถึงหน้าสุดท้าย ที่เป็นรูปพ่อแม่และผมยืนอยู่ตรงกลาง

ผมใช้นิ้วลูบไล้บนภาพ ราวกับว่าได้สัมผัสคนในรูปจริงๆ แต่ผมรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้

“มึงคงคิดถึงท่านทั้งสองมาก”
“ทำไมตอนนั้นกูถึงไม่ไปด้วยก็ไม่รู้ ถ้ากูอยู่ในรถตอนนั้นด้วยคงไม่รอดเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องมานั่งคิดถึงพ่อกับแม่”
“อย่าพูดแบบนี้” คนข้างๆหันขวับพร้อมกับทำเสียงดุ “ถ้าพ่อกับแม่มึงได้ยินท่านจะเสียใจแค่ไหน”
“ไม่รู้ดิ...ตอนนั้นกูคิดไม่ออกเลยว่าจะทำยังไง ไม่มีพ่อกับแม่แล้วกูจะอยู่ยังไง...”
“มึงยังมีกู จำไว้ กูจะอยู่ข้างๆมึงจนกว่ามึงจะไม่ต้องการ”

หากเป็นเมื่อก่อนผมคงสวนกลับทันทีว่าไม่ต้องการ แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว...
เปลี่ยนไปทุกๆอย่าง...รวมถึงความรู้สึก...

ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังรู้สึกกับไอ้โทมันเรียกว่าอะไร ทำไมในหัวถึงมีแต่เรื่องของมัน ไม่ว่ามันจะทำดีหรือไม่ดีกับผมก็ตาม
ชอบ? รัก? ไม่รู้สิ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเรียกว่าอะไร รู้แค่ว่าสิ่งที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้มันดีต่อหัวใจ ขอแค่คนที่อยู่ตรงหน้าผมเป็นมันก็พอ ต่อให้ปกป้องทำดีกับผมแค่ไหนผมก็ไม่สามารถรู้สึกกับน้องแบบนี้ได้ เพราะความรักไม่ใช่ผลตอบแทนของความดี ต่อให้ทำดีเท่าไหร่ ถ้าคนไม่ใช่ ก็คือไม่ใช่

“คิดอะไรอยู่”
“ทำไมมึงถึงรักกู?” ผมถามในสิ่งที่ตัวเองสงสัยมานาน

คนอย่างไอ้โท...มีพร้อมทุกอย่าง ผู้หญิงหลายคนที่มีคุณสมบัติเหมาะกับมันพร้อมจะเป็นคู่ชีวิต แต่คนตรงหน้ากลับเลือกผม

“เพราะมึงคือนะโม” ไอ้โทตอบกลับมา พร้อมกุมมือผมไว้อย่างอ่อนโยน “นะโมคนที่ขยัน ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ จริงใจ มีอะไรก็แสดงความรู้สึกออกมาหมด แถมยังใจแข็งอีกต่างหาก”

“แต่กูเป็นผู้ชายนะ”

“แล้วไง? จำเป็นหรอที่ความรักต้องเกิดขึ้นระหว่างเพศหญิงกับชายเท่านั้น สำหรับกูความรักคือสิ่งที่มนุษย์สองคนมีให้แก่กันต่างหาก โดยไม่สนใจเพศ รูปร่าง หน้าตา หรือฐานะ ความรักมันเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะกับใคร ที่ไหน เมื่อไหร่”

“มึงไม่กลัวคนอื่น...”

“นี่มันชีวิตของกู กูไม่แคร์สังคมรอบข้างหรอกนะ เพราะคนที่กูแคร์มีแค่มึง” ในน้ำเสียงไม่มีความลังเลเลยสักนิด

ผมมองใบหน้าได้รูปไร้ที่ติ มองทุกส่วนที่ประกอบขึ้นมาเป็นมัน

“แล้วมึงล่ะ...มึงกลัวคนอื่นหรือสังคมรอบข้างที่จะมองมายังเราแบบประหลาดๆมั้ย?”
“มะ-...”

เดี๋ยวนะ... ‘เรา’ งั้นเหรอ...

“กูยังไม่ได้พูดสักคำว่าจะรักกับมึง”

“โธ่ รู้ทัน” ไอ้โททำหน้าหงอยแบบทะเล้นๆ “กูรู้ว่าตอนนี้มึงยังไม่พร้อมหรอก เรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลา กูรอได้”

“เหอะ ใครจะไปรักคนอย่างมึง”

“งั้นเดี๋ยวนายโทคนนี้จะทำให้นะโมรักเองครับ”

“กลับไปนอนห้องตัวเองไป๊!”

ไล่แม่ม...ข้อหาทำผมหูร้อนหน้าร้อนไปหมดแล้วเนี่ย







โปรดติดตามตอนต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-06-2017 16:01:24 โดย ✿PIERRE »

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.85 - 10/06/2017]]
«ตอบ #2526 เมื่อ10-06-2017 03:04:32 »

 :mew1:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.85 - 10/06/2017]]
«ตอบ #2527 เมื่อ10-06-2017 03:12:59 »

 :o8: :o8: :o8: :o8:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.85 - 10/06/2017]]
«ตอบ #2528 เมื่อ10-06-2017 08:31:20 »

กรี๊ด~กลับมาพร้อมความฟิน

ออฟไลน์ nongou

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.85 - 10/06/2017]]
«ตอบ #2529 เมื่อ10-06-2017 08:41:01 »

เห็นแล้วน้ำตาจะไหล มาต่อแล้ว ขอบคุณมากจ้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.85 - 10/06/2017]]
« ตอบ #2529 เมื่อ: 10-06-2017 08:41:01 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.85 - 10/06/2017]]
«ตอบ #2530 เมื่อ10-06-2017 08:58:33 »

ก็เริ่มหวานนิดๆ อิอิ

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.85 - 10/06/2017]]
«ตอบ #2531 เมื่อ10-06-2017 09:08:41 »

ซับน้ำตาแผล๊บบบบบ มาต่อแล้ววว

ออฟไลน์ Pakeleiei

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 850
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.85 - 10/06/2017]]
«ตอบ #2532 เมื่อ10-06-2017 10:55:12 »

โฮ้ยตื้นตันมาอัพแล้ววววว :katai2-1:

เขากลับมาสวีทกันแล้ว โทโมกลับมาหวานแล้ว
 :call:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.85 - 10/06/2017]]
«ตอบ #2533 เมื่อ10-06-2017 12:18:06 »

 :man1:

 :L2: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.85 - 10/06/2017]]
«ตอบ #2534 เมื่อ10-06-2017 15:51:58 »

ขอบคุณ :)

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.85 - 10/06/2017]]
«ตอบ #2535 เมื่อ10-06-2017 18:52:30 »

บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรักสุดๆ ในที่สุดก็เข้าใจ ยอมรับกันสักที เหลือแค่นะโมยอมรับออกมาตรงๆนี่แหละ   :katai2-1:
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ รอติดตามตอนต่อไปค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ viewier

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 213
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.85 - 10/06/2017]]
«ตอบ #2536 เมื่อ10-06-2017 21:10:47 »

ใกล้แฮปปี้แล้วใช่มั้ย นะโมเปิดใจแล้วอะ
โทเอ้ย ขับสามล้อ ขำแย่เลย

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.85 - 10/06/2017]]
«ตอบ #2537 เมื่อ10-06-2017 22:01:01 »

นี่เกือบจะลุกขึ้นไปต้มน้ำกระเจี๊ยบกินแล้วนะ

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.85 - 10/06/2017]]
«ตอบ #2538 เมื่อ10-06-2017 22:03:16 »

ใกล้ละ ใกล้ละ

ออฟไลน์ ่patsaporn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-6
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.85 - 10/06/2017]]
«ตอบ #2539 เมื่อ10-06-2017 22:23:22 »

หวานมดขึ้นกันเลย กี๊ดๆๆๆ ดีใจที่โทปรับปรุงตัวเองมีสติมากขึ้นไม่วู่วามไม่ว่าจะเรื่องไหน
แบบนี้มัดใจนะโมได้อยู่หมัด มีไปขอขมากับพ่อแม่ด้วย วันกลับก็อาจจะขอโมจากป้าอีกไหม
น่ารักมากๆๆ ฟ้าหลังฝนสดใส

ขอบคุณค่ะ


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.85 - 10/06/2017]]
« ตอบ #2539 เมื่อ: 10-06-2017 22:23:22 »





ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.85 - 10/06/2017]]
«ตอบ #2540 เมื่อ11-06-2017 10:02:50 »

เขาหวานใส่กัน งื้อออ

ออฟไลน์ crazydoii

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.85 - 10/06/2017]]
«ตอบ #2541 เมื่อ11-06-2017 12:25:37 »

มาแล้วววว. หวานเชียว,,,,

ออฟไลน์ ✿PIERRE

  • ดองนิยายข้ามปี
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 434
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-6
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.85 - 10/06/2017]]
«ตอบ #2542 เมื่อ11-06-2017 15:51:16 »

- 30 -

“ไม่! กูจะหาหออยู่คนเดียว”
“มึงจะไปอยู่คนเดียวให้เปลืองเงินทำไม มาอยู่กับกูมึงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย”
“มึงรู้จักคำว่าเกรงใจปะวะ”
“รู้”
“...”
“แต่ระหว่างเรามึงไม่ต้องเกรงใจกูก็ได้ อะไรที่กูพอจะทำให้ได้กูเต็มใจทั้งนั้น”

เสียงผู้ชายสองคนกำลังเถียงกันอยู่หน้าโทรทัศน์จอยักษ์ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครนอกจากคุณชายเจ้าของบ้านกับผู้ดูแลอย่างผม สาเหตุที่ผมกับมันต้องมาขึ้นเสียงใส่กันแบบนี้ก็เพราะว่าอีกสามวันก็จะเปิดเทอมสองแล้ว แต่ผมยังหาที่อยู่ไม่ได้ ผมเลยจะขอออกไปสำรวจรอบๆมหาลัยเผื่อว่าจะมีห้องไหนว่าง แต่ดันโดนไอ้โทขัดไว้ซะก่อน มันบอกให้ผมไปอยู่กับมัน จะได้ไม่ต้องเปลืองค่าใช้จ่าย ค่าเช่าหอ ซึ่งมันก็ดีสำหรับผมแหละครับ แต่ผมไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณมัน คอนโดที่มันอยู่แค่มองภายนอกก็รู้แล้วว่าผมคงไม่มีปัญญาซื้อเองแน่ๆ

“ยังไงกูก็ยืนยันคำเดิม เดี๋ยวกูออกไปหาห้องพักเอง” ผมที่เตรียมตัวจะออกไปข้างนอกก็เดินหันหลังกลับ เห็นป้าจิตแว๊บๆ แต่ป้าเค้าคงไม่กล้าเข้ามา เนื่องจากผมกับมันกำลังมีปากเสียงกันอยู่

“ให้ตายเถอะ!” ร่างสูงสบถ ฉุดรั้งต้นแขนผมไว้ไม่ให้ไปไหน “ทำไมดื้อนักวะ เดี๋ยวจับปล้ำแม่ง!”

“สัตว์! ปล่อยกูได้ล่ะ” เพียงแค่ปรายตามองไอ้โทก็คลายออกแค่โดนดี ผมเดินไปยังประตูใหญ่ ไอ้โทเดินตามมา ผมนึกว่ามันจะยอมให้ผมไปติดต่อขอดูห้องที่ผมเล็งๆไว้ แต่ที่ไหนได้...

“โอเค ในเมื่อมึงไม่ยอมมาอยู่กับกูที่คอนโด ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวกูไปอยู่กับมึงเอง” มันพูดพร้อมกับคว้ากุญแจรถที่แขวนไว้ ผมหยุดนิ่งทันที
“อะไรของมึงวะ แค่กูปฏิเสธไม่ไปอยู่กับมึง มึงยังไม่เข้าใจอีกหรอว่ากูอยากอยู่คนเดียว”
“กูอยากอยู่กับมึง”
“แต่กูไม่” ผมสวนกลับ
“แล้วทำไมทีเมื่อก่อนไอ้เด็กนั่นถึงอยู่กับมึงได้?”
นี่มันรู้? ช่างเถอะ
“นั่นมันน้อง”
“แต่นี่ผั- เอ๊ย เพื่อน”

ผมจ้องคนตรงหน้าตาเขม็ง ดูท่าว่ามันจะไม่ยอมง่ายๆ ในเมื่อใช้ไม้แข็งแล้วมันไม่ยอมลดละ สงสัยต้องใช้ไม้อ่อนแทน

“เฮ้อ...แล้วมึงจะมาอยู่กับกูทำไมให้วุ่นวายว่ะ ทีเมื่อก่อนต่างคนต่างอยู่ไม่เห็นเป็นไร”
“นั่นมันเมื่อก่อน...อีกอย่าง กูเป็นห่วงมึง อยากดูแลมึง”
“กูโตแล้ว ดูแลตัวเองได้”
“แต่แผลกูยังไม่หายนะ เนี่ย รู้สึกปวดๆที่แผลอีกแล้ว โอ๊ย” แค่พูดมันกลัวว่าผมคงไม่เชื่อ ถึงได้เอามือกุมที่อกบริเวณแผลผ่าตัดประกอบ

ตอแหลชัดๆ!

แผลมันดีขึ้นตั้งเยอะ โดนน้ำได้ ขยับได้ ออกกำลังกายได้ หายใจสะดวก ผมทำความสะอาดแผลให้มันทุกวันทำไมจะไม่รู้ อย่ามาเนียน

“เหรอ ไหนมาดูซิ” ผมเขยิบเข้าไปใกล้
แต่พอเห็นมุมปากได้รูปยกยิ้มอยู่เหนือศีรษะอย่างมีชัยเท่านั้นแหละ..

ปึก!

“อุก!”
“ท่าทางจะเจ็บแผลจริงแหะ งั้นมึงไปโรงพยาบาลเถอะนะ ส่วนกูขอตัวไปหาหอพักต่อ” ผมยิ้มกระหย่อง มองดูใบหน้าหล่อที่เม้มปากแน่น งอตัวเล็กน้อย เพราะสิ่งที่ผมทำเมื่อสักครู่

ผมทำอะไรน่ะเหรอ...ก็แค่ชกเข้าไปที่แผลตรงๆเท่านั้นเอ๊งงง

“นะโม...” มันเรียกเสียงอ่อน พลางเดินตามขณะที่ผมกำลังตรงไปยังรั้วใหญ่
“ไม่ว่ามึงจะพูดยังไง คำตอบก็คือไม่ งานที่แม่เกศให้ดูแลมึงมันเสร็จสิ้นลงแล้ว”

ขืนอยู่กับมึงทั้งวันทั้งคืนเหมือนตอนนี้...สักวันผมคงใจอ่อนแน่ๆ เพราะแค่นี้หัวใจผมก็เต้นรัวทุกครั้งที่ได้เห็นมันยิ้ม หัวเราะ หรือแม้แต่หยอกล้อผมเล่น ดังนั้นเพื่อเป็นการปกป้องตัวเอง ผมจะไม่ยอมอยู่กับมันแน่นอน

“งั้นเดี๋ยวกูจ้างต่อ”
“ไปจ้างสาวๆที่เค้าอยากดูแลมึงสิ”
พูดเองก็เจ็บเอง ว้อยยยยย เป็นอะไรวะเนี้ย
“ไม่...ถ้าไม่ใช่มึงกูก็ไม่ต้องการใครทั้งนั้น”
“โท” ผมหันกลับมาเรียกชื่อมันด้วยน้ำเสียงจริงจัง ซึ่งนานๆครั้งผมจะเรียกมันแบบนี้ถ้าไม่ใช่ต่อหน้าแม่เกศหรือป้าจิต “มึงฟังกูนะ กูไม่ต้องการรูมเมท ถึงมันจะช่วยประหยัดไปได้เยอะ แต่สำหรับกู กูอยู่คนเดียวแล้วสบายใจกว่า”

คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน

“ก็กูไม่ได้จะเป็นรูมเมทมึงนี่”
“...”
“กูอยากอยู่กับมึง เหมือนที่คู่รักคู่อื่นๆเค้าอยู่ด้วยกัน”
“แต่กูกับมึงไม่ได้เป็นแฟนกัน”
“งั้นก็เป็นซะซิ”

ห๊ะ! บทจะง่ายก็ง่ายแบบนี้เลยเหรอ เหอะ สงสัยมีประสบการณ์เรื่องผู้หญิงมาเยอะ ถึงได้เอ่ยปากขอเป็นแฟนง่ายๆแบบนี้

“ฝันเอาเถอะ”
“ฝันแบบไม่ตื่นเลยก็ยอม”

ผมรีบเดินหนี กลัวว่าไอ้โทมันจะเห็นรอยยิ้มของผม

ตั้งแต่เกิดมามีแฟนแค่คนเดียว แถมเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ในตอนนั้นยังเด็ก ไม่รู้ว่าความรักคืออะไร รู้แค่ถูกใจก็ขอคบ สุดท้ายก็จบแบบไม่สวยเท่าไหร่ เป็นผมที่ตีตัวห่างออกมาเอง ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่สนใจเรื่องรักๆใคร่ๆอีกเลย เอาแต่เรียนกับทำงานจนหัวหมุน มีบ้างที่จับกลุ่มแซวเรื่องสาวๆของพวกมัน แต่พวกมันกลับไม่เคยได้แซวอะไรผมเลย นั่นเพราะเรื่องของผมมันไม่มีอะไรให้พูดไง ทว่าตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว ผมโดนตามจีบจนไอ้บูมล้อไม่เลิก คนแรกก็รุ่นน้องหัวเกรียนอย่างปกป้อง อีกคนก็เพื่อนที่ถึงแม้จะเคยทำเรื่องเลวๆกับผมไว้...แต่มันก็เป็นคนเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกไปต่างๆนานา

ผมต้องเคลียร์กับมันให้รู้เรื่อง รวมถึงความรู้สึกของตัวเองด้วย

“โท”
“หือ ว่าไงครับ?”

ผมเปลี่ยนเส้นทางจากที่จะเดินไปหน้าหมู่บ้าน กลับเลี้ยวมายังสวนสาธารณะที่ตกแต่งอย่างสวยงาม มีต้นไม้ให้ความร่วมเย็นและน้ำพุกลางบ่อน้ำ

“กูกับมึงเป็นแฟนกันไม่ได้หรอกนะ”

“ทำไม?” จากน้ำเสียงอ่อนนุ่มเมื่อสักครู่กลายเป็นเสียงแข็งกร้าวขึ้นมาทันที

“กูเป็นผู้ชาย มึงก็ผู้ชาย คนอื่นเขาจะมองมึงยังไง”
“กูว่ากูเคยพูดไปแล้วนะว่ากูไม่สน”

“แล้วแม่เกศล่ะ พ่อมึง พี่ชายมึง ครอบครัวที่ตั้งความหวังกับมึงไว้ มึงจะไม่สนเลยเหรอ?” ไอ้โทนิ่งไป “อีกอย่าง...มึงเคยทำร้ายกูไว้ขนาดนั้น...ต่อให้มึงทำดีกับกูแค่ไหนกูก็คงรักมึงไม่ได้จริงๆ” ผมมองเข้าไปนัยน์ตาที่บ่งบอกถึงความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวในทีแรก ก่อนจะอ่อนแสงลงเมื่อได้ยินประโยคถัดมาจากปากผม

“สุดท้าย...มึงก็ยังไม่ให้อภัย”

“เปล่าเลย กูให้อภัยมึง กูซาบซึ้งมากที่มึงเสี่ยงชีวิตแทนกู นั่นถือว่ามึงได้ชดใช้สิ่งที่มึงทำกับกูแล้ว... แต่การให้อภัยกับความรักมันต่างกันนะ กูให้อภัยมึงได้ แต่กูรักมึงไม่ได้”

ไม่มีใครรักคนที่ทำร้ายตัวเองได้หรอก

“ทำไมถึงรักไม่ได้?” คนตรงหน้าไม่ยอมเลิกละง่ายๆ มือหนาจับต้นแขนผมไว้ทั้งสองข้าง “กูรู้นะว่าตลอดระยะเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน...มึงรู้สึกอะไรบางอย่าง ความรู้สึกแบบเดียวกับกู กูเห็นมึงยิ้ม มึงหัวเราะ มึงปั่นหัว ทำให้กูหึง มึงทั้งเถียงทั้งดื้อ การกระทำเหล่านั้นต่อให้มึงแสดงออกว่าไม่ชอบ แต่ลึกๆแล้วมึงมีความสุข...เพียงแต่มึงไม่ยอมรับมัน”

ผมเสหน้ามาอีกทาง ไม่อยากมองตามัน เพราะสิ่งที่มันพูดมา...ถูกต้องทุกอย่าง

“นะโม...อย่าปิดกั้นตัวเอง มองตากู...แล้วบอกกูสิ ว่ามึงไม่ได้รักกู ไม่ได้รู้สึกอะไรกับกูทั้งนั้น”

มือหนาบังคับให้ผมต้องหันกลับไปมอง นัยน์ตาคมฉายแววมั่นใจว่าสิ่งที่มันคิดถูกต้องและกำลังรอคำตอบจากผม

ผมปิดเปลือกตา ก่อนจะลืมขึ้นมาใหม่

“ใช่ กูไม่ได้รักมึง กูไม่ได้รู้สึกอะไรกับมึงทั้งนั้น”

พูดออกไปแล้วด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

พูดในสิ่งที่ผมควรจะพูด...บอกกับคนตรงหน้า รวมไปถึงบอกตัวเองด้วย

แม้ว่ามันจะเป็นการหลอกตัวเองอยู่ก็ตาม...





“เลทอีกแล้วนะมึง” คำทักทายอันแสนคุ้นเคยดังมาแต่ไกล คนที่นั่งแก๊กหล่อพยายามจะหลีน้องปีหนึ่ง สายตาหื่นๆนั่นไม่ใช่ใครนอกจากไอ้บูม “เรียนเจอร์ไหนคร้าบสาวๆ เทอมสองแล้วตั้งใจเรียนนะครับ”

“มีผัวเป็นตัวเป็นตนตั้งสองคนยังไม่สำเหนียกตัวเอง” ไม่ต้องถึงมือผมหรอกครับ นั่นไอ้จ๊อบชิงด่าก่อนผมแล้ว ผมเดินยิ้มร่าเข้ามาใกล้พลางสงสัยว่านี่มันเวลาเข้าห้องแล้วไม่ใช่หรอวะ แล้วพวกมันมานั่งทำไรกันตรงนี้ ผมถามในสิ่งที่คิดแล้วก็ได้คำตอบกลับมาว่าวันนี้อาจารย์ติดประชุมเลยขอเลื่อนเวลาสอนไปเป็นตอนเย็นแทน

“งั้นเดี๋ยวกูขอโทรบอกเฮียโกวก่อน”

ผมปลีกตัวออกมาโทรศัพท์หาเจ้าของร้านกุ้งเต้น เพราะตอนนี้ผมกลับมาทำงานที่ร้านแบบเดิมแล้วครับ ส่วนเรื่องหอพักนั้นผมก็สามารถหาได้ทันท่วงที โชคดีที่มีคนย้ายออก ผมเลยได้พักอาศัยใกล้ๆมหาลัยดังเดิม ถึงแม้จะราคาแพงกว่าที่เก่าก็ตาม

“แล้วนี่ไอ้โทมันไปไหน” มองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาหล่อๆของมัน

“ออกไปกับน้องเตยเมื่อกี้ ก่อนมึงจะมาแป๊บเดียว” ไอ้จ๊อบให้คำตอบ ซึ่งก็เป็นไปตามที่ผมคาดไว้

หลังจากวันนั้นที่ผมเคลียร์กับมัน ไอ้โทก็ยอมให้ผมออกมาหาหอพัก ซึ่งมันนั่นแหละที่เป็นคนขับรถพามาหา ไอ้โททำตัวเหมือนเดิม เพียงแต่คำหวานๆที่ทำให้ผมใจสั่นมันไม่มีอีกแล้ว ใช่ มันยังคุยกับผม และผมก็คุยกับมัน แต่เพียงในฐานะเพื่อนแบบที่เราเคยเป็นเท่านั้น
ดีแล้ว...แบบนี้แหละที่ผมต้องการ

พอเปิดเทอมมามันก็กลับไปเป็นหนุ่มหล่อที่เอาแต่เดินควงสาวสวยอย่างเคย กลบข่าวลือที่ว่ามันแอบตามจีบตามง้อสาวอีกมหาลัยไปต่างๆนานา
ช่วงนี้ถ้าหากใครอยากจะพบมันก็เจอได้ตามผับร้านเหล้าเวลาประมาณ 4 ทุ่มถึงตีสองเลยนะครับ

ที่ผมรู้ไม่ใช่เพราะอยากเสือกหรอกนะ แต่มันชอบเช็คอินแล้วเด้งมาหน้านิวฟีดผมให้รกหูรกตา ถึงจะไม่อยากได้ยินว่ามันไปนอนกับสาวสวยคนไหนมาแต่ไอ้จ๊อบมันก็ชอบถามซะเหลือเกินว่าเมื่อคืนน้องคนนั้นเป็นยังไง น้องคนนี้ถึงใจไหม ถึงภายนอกผมจะฟังแบบผ่านๆ ไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ลึกๆในใจแล้วมันโหวงแปลกๆ

ช่างเถอะ

เมื่อก่อนไอ้โทมันก็เป็นแบบนี้ของมันอยู่แล้ว

“เอ้านี่ ซีร็อกซ์เผื่อไว้ให้” คนหัวฟูโยนชีทมาให้ปึกหนึ่ง เมื่อเห็นผมทำหน้างงมันเลยขยายความต่อ “วันพรุ่งนี้มีเทสเก็บคะแนนเรื่อง Slop deflection”

ก้มลงดูตัวหนังสือสวยๆเป็นระเบียบในมือก็รู้เลยว่าแบบนี้จะเป็นใครไม่ได้นอกจาก...ไอ้โท

มันยังปฏิบัติกับผมเหมือนเดิม ชอบใจดีแบบอ้อมๆ ทั้งๆที่จะเก็บไว้ให้ผมตรงๆก็ได้

“ขอบใจ” กล่าวขอบคุณแล้วก็นั่งลงตรงม้าหินเพื่อรอเรียนวิชาถัดไป ไอ้จ๊อบก็นั่งเล่นเกมในโทรศัพท์เอาขาพาดโต๊ะ ส่วนไอ้บูมที่นั่งตรงข้ามก็อ่านการ์ตูนในไอแพด

วันแรกที่เปิดเทอมมามันสองตัวก็แซวผมกับไอ้โทกันตามปกติ แต่พอสัมผัสได้ถึงบรรยากาศห่างเหิน พวกมันถึงได้หยุดปากแล้วเดินตามกระซิบกระซาบกันอยู่สองคน คืนนั้นไอ้บูมที่สนิทกับผมที่สุดไลน์มาถามเรื่องระหว่างผมกับมัน ผมตอบไปแค่ว่าไม่มีอะไร ไม่ได้ทะเลาะหรือผิดใจกัน
ก็จริงๆนี่นา...ผมไม่ได้ทะเลาะกับไอ้โทซะหน่อย

จากนั้นบูมกับจ๊อบก็ไม่ได้ล้อเลียนอะไรอีกเลย รวมไปถึงในกรุ๊ปไลน์ด้วย ที่มีแต่เรื่องเรียนอย่างวันนี้งดคลาส พรุ่งนี้เทส วันมะรืนหยุดเรียน กลายเป็นว่ากรุ๊ปไลน์ของภาคยังครึกครื้นกว่านี้อีก

ส่วนตัวผมก็กลับมาใช้ชีวิตประจำวันอันน่าเบื่อหน่าย ตื่นมาเรียน เข้าสาย เย็นเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้านกุ้งเต้นแบบเลทๆ จนโดนหักเงินทุกที ตรงข้ามกับใครบางคนที่เอาแต่ท่องราตรีไม่มีวันหยุด

เฮ้อออ อยากใช้ชีวิตชิลๆแบบนั้นบ้างโว๊ยยย

บ่นไปงั้นแหละครับ เอาเข้าจริงก็ก้มหน้าก้มตาเรียนและทำงานต่อไป เพื่ออนาคตที่สดใสของตัวผมเอง แต่ถ้าหากถามว่าจบแล้วผมอยากเป็นอะไร ขอบอกเลยว่าหากเปลี่ยนคำถามเป็นตายแล้วไปไหนจะตอบง่ายกว่า

นี่ก็เปิดเทอมมาได้สักพัก งานหรือการบ้านไม่มีก็จริง แต่ไว้ใจไม่ได้เลยครับ เพราะรู้ตัวอีกทีก็จะสอบมิดเทอมแล้ว

“ไหนบอกพรุ่งนี้มีเทส Slop ทำไมพวกมึงยังนั่งเล่นเกมอ่านตูนแบบนี้วะ?”
“ไว้ก่อน นี่กูกำลังจะขึ้นแร๊งค์ไดม่อน”
“ก็วันพีชเพิ่งอัพนี่หว่า หลังจากงดไปสองอาทิตย์ กูจะลงแดงตายแล้วเนี่ย”

เอาเถอะครับ พวกมันคงเข้าใจเรื่องที่จะสอบพรุ่งนี้แล้ว ส่วนผมนี่ในหัวยังกลวงๆอยู่เลย
ผมดูเวลาบนหน้าเจอโทรศัพท์ก็พบว่ามีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะเริ่มเรียนตัวต่อไป อันนี้จริง ณ เวลานี้ผมต้องอยู่ในห้องเลคเชอร์ แต่ในเมื่ออาจารย์งดให้ไปเรียนตอนเย็นแทนพวกผมจะทำอะไรได้ล่ะครับนอกจากนั่งรอ

“หิวว่ะ เดี๋ยวกูไปหาไรกิน พวกมึงเอาไรมั้ย?”
“โค้กแก้ว”
“มึงอ่ะบูม เอาไรปะ?” คนถูกถามสั่นหัว ผมเลยยื่นมือไปหยิบแบงค์สีแดงจากมือไอ้จ๊อบที่สายตามันไม่ละไปจากจอโทรศัพท์เลยสักนิด
“งั้นเดี๋ยวกูมา”

ลุกจากโต๊ะม้าหิน เป้าหมายคือซุ้มโค้กที่อยู่อีกตึก แต่ไม่ไกลมากนัก ผมเดินเรื่อยๆจนใกล้จะถึงก็มีคนมาทักซะก่อน เป็นคนที่ผมไม่คุ้นหน้า เคยเห็นแค่ผ่านๆ

“น้องนะโมใช่มั้ย?”
“ครับ” ผมตอบไปอย่างงงๆ มองชายหนุ่มตรงหน้าสองคน
“พี่ชื่อก๊าซนะครับ ส่วนไอ้นี่ชื่อนิว” พูดจบก็ยิ้ม เผยให้เห็นเขี้ยวเล็กๆ แล้วชี้ไปยังคนข้างๆที่ขาวมาก แถมผมสีน้ำตาลอ่อนนั่นก็ดูเข้ากันสุดๆ

หืม ชื่อนี้มันคุ้นๆแหะ

“พวกพี่เป็นแฟนของบูมน่ะ” พี่คนที่ชื่อนิวพูดขึ้นมาบ้าง
“อ๋อออ พวกพี่ที่คอยช่วยเรื่องเอ่อ...เรื่องของผมจากบูมอีกทีสินะครับ” พอผมนึกได้ก็รีบขอบคุณ “ขอบคุณมากๆนะครับ”
“ไม่เป็นไรๆ...ว่าแต่บูมอยู่ไหน?”
“อยู่ที่โต๊ะม้าหินตรงหน้าตึกEN3ครับ”
“มันทำอะไร ทำไมไม่ตอบไลน์” พี่นิวถามเสียงเข้ม
“อ๋อ พอดีเห็นมันนั่งแซวสาวคณะบัญชีอยู่อะครับ”

กูขอโทษนะบูม แต่กูต้องพูดความจริงว่ะ

พี่นิวกับพี่ก๊าซบอกขอบคุณก่อนจะเดินจากไป สงสัยเย็นนี้ไอ้บูมจะต้องขาดเรียนซะแล้วมั้ง ผมมองตามแผ่นหลังทั้งสองคนจนเลี้ยวหายไปตรงหัวมุมตึก แต่ก่อนที่จะได้หมุนตัวกลับไปซื้อโค้กตามเป้าหมายเดิม หางตาดันเหลือบไปเห็นร่างสูงโดดเด่นเหนือใครเดินควงคู่มากับสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม ใบหน้าฝ่ายชายเผยรอยยิ้มน้อยๆ ดูเหมือนว่าอารมณ์ดีที่สาวน้อยตัวเล็กๆข้างกายเล่าเรื่องตลกให้ฟัง เพราะไม่กี่นาทีถัดมาทั้งคู่ก็หัวเราะ ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข

ผมหันหลังกลับทันทีเพราะไม่อยากให้มันเห็นผม ตรงดิ่งไปยังซุ้มโค้ก

“โค้กแก้วนึงกับน้ำเปล่าขวดนึงครับ”
“น้ำเปล่าหนึ่งขวดครับ” มีเสียงทุ้มสั่งตามหลัง เป็นเสียงที่คุ้นเคย ผมหันไปมอง

เป็นไอ้โทนั่นเอง มันมากับสาวน้อยที่ผมเห็นเมื่อสักครู่

“หิวอะไรมั้ย?”
แน่ล่ะว่ามันไม่ได้ถามผม ถึงแม้เราจะรู้จักกันก็ตาม ไอ้หล่อนี้มันถามสาวน้อยข้างๆต่างหาก
“ไม่ล่ะค่ะพี่โท เดี๋ยวเตยต้องไปเรียนแล้ว”
“โทษทีนะที่พี่ต้องพาเดิน ที่จอดไม่มีเลย เลยต้องไปจอดไกลหน่อย ร้อนมั้ยครับ?” ไม่พูดเปล่า ฝ่ายชายเอาหลังมือซับเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผากใสเบาๆ

ไม่ได้ตั้งจะฟัง ไม่ได้อยากจะเห็น แต่ทุกการกระทำผมดันรับรู้เต็มสองหูสองตา

“นิดหน่อยค่ะ แต่เตยทนได้ ก็แดดเมืองไทยมันร้อนนี่เนอะ” ทั้งคู่คุยกระหนุงหนิงเสมือนมีแค่สองคนที่ยืนตรงนี้ คนรอบข้างเป็นแค่อากาศธาตุ
ผมรับแก้วโค้กกับน้ำเปล่ามา รีบวางเงินให้พอดีแล้วเดินออกมาทันที

เพราะเดี๋ยวผมจะทนไม่ไหว โค้กในมือได้ลั่นไปสาดหน้าใครสักคน




ดูเหมือนว่าหลายวันที่ผ่านมานี้ผมจะเจอไอ้โทมากับสาวๆบ่อยผิดปกติ แน่นอนล่ะว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกที่หน้าตาอย่างไอ้โทจะมีหญิงควงไม่ซ้ำหน้า ทว่าที่แปลกก็คือดูเหมือนผมจะบังเอิญเจอบ่อยไปหน่อย

ไอ้โทกับน้องจีนกินข้าวที่ร้านแถวหน้าหอผม
ไอ้โทกับพี่แพรวขับรถผ่านขณะผมกำลังเดินไปตึกเรียน
ไอ้โทกับหนิงยืนรอเอกสารซีร็อกส์ด้วยกัน

พวกนั้นผมยังพอทนพอรับได้ เพราะมันเป็นสันดานไอ้โทไปแล้ว คงเปลี่ยนยาก พอเจอก็แค่ทำเหมือนคนไม่รู้จักกัน เดินผ่านเฉยๆ แต่พออยู่ในกลุ่มรวมกันที่มีผม บูม จ๊อบ และมัน ผมก็คุยกับมันตามปกติ ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ซ้ำยังร่วมผสมโรงแซวที่มันควงหญิงไม่ซ้ำหน้ากับไอ้จ๊อบไอ้บูมด้วยซ้ำ อะไรที่มันพยายามทำให้ผมทางอ้อม ไม่ว่าจะผ่านไอ้จ็อบ ไอ้บูม หรือแม้แต่เพื่อนในภาคคนอื่นๆอย่าง เฟิส กอล์ฟ มิ่ง เจษ เหมียว น้ำ ก็โดนมันใช้ผ่านๆ ซึ่งผมก็ยอมรับสิ่งเหล่านั้นโดยดี

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมถึงกับอึ้ง ตาค้าง สมองมึนเบลอ ไม่รู้ว่าควรจะมีปฏิกิริยายังไง เมื่อได้เห็นไอ้โทพาใครบางคนมาที่โต๊ะม้าหินที่ประจำของพวกผม

“นั่นใครวะไอ้โท คุ้นๆหน้าเหมือนกูจะรู้จัก” จ๊อบถามพลางชะเง้อคอมองหนุ่มในชุดนักศึกษามหาลัยเดียวกัน เพียงแต่เขาแต่งตัวถูกต้องทุกกระเบียดนิ้ว เนคไทด์ รองเท้า เสื้อติดกระดุมคอ พิงกำแพงยืนเล่นโทรศัพท์ในมือ แม้จะเห็นหน้าไม่ค่อยถนัดแต่ก็ดูรู้เลยว่าหน้าตาดีแน่นอน
“ดูรวมๆแล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน~” ไอ้บูมถึงกับร้องเพลงเพ้อเมื่อหันไปมองตาม

“ปอนด์ เดือนคณะสถาปัตย์” ร่างสูงตอบแค่นั้น ก่อนจะหยิบTextbookที่ฝากไว้กับผม อันที่จริงเต้มันยืมเอาไปอ่าน แต่มันหาตัวโทไม่เจอเลยมาคืนที่ผม ฝากให้ผมคืนเจ้าตัวอีกที

“มิน่า กูถึงคุ้นๆ เห็นรูปน้องเขาแปะตามบอร์ดทั่วมหาลัย” จ๊อบว่างี้ ผมเลยเพ่งพิจารณาคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลดีๆอีกที

จริงด้วยแหะ...ตัวจริงน่ารักกว่าในรูปตั้งเยอะ

ที่ผมใช่คำว่าน่ารักเพราะน้องเขาดูจะสูงเกินผมไม่กี่เซ็นต์ แถมตาโตๆ ปากกระจับ พวงแก้มที่คงจะนุ่มหากได้สัมผัส รวมๆแล้วผมว่าน้องปอนด์คนนี้น่ารักมากกว่าหล่อซะอีก

“แล้วมึงมากับน้องเค้าได้ไง แนะนำให้กูรู้จักหน่อยดิ” ไอ้บูมเสนอหน้าทันที ได้ข่าวว่าวันก่อนแค่แอบมองหน้าอกรัดกระดุมแทบปริของสาวคณะวิทย์ก็โดนจัดหนักจนต้องเอาเบาะมารองนั่งไม่ใช่เหรอวะ

“ถามน้องเค้าก่อนมั้ยว่าอยากรู้จักกับมึงรึเปล่า” ไอ้หัวฟูด่ากลับเบาๆ

“ทำไมน้องเค้าถึงจะไม่อยากร้จักกู ดูด้วย นี่ใครครับ? นี่พี่บูมคณะวิศวะภาคปิโตรเลยนะครับ” มันอวดตัวเองราวกับเป็นคนดังยิ่งใหญ่ที่ใครๆก็ต้องรู้จัก ถ้านับแค่เพื่อนๆและรุ่นพี่รุ่นน้องในภาคอ่ะน่ะ “นะนะ ไอ้โท แนะนำหน่อย พาน้องเค้ามานั่งตรงนี้ดิ ยืนให้เมื่อยทำไม”

ท่าทางไอ้บูมจะอยากรู้จักจริงๆ ถึงกับตื้อไอ้โท ปกติไม่เคยเห็นมันจะกระตือรือร้นอะไรขนาดนี้ ไอ้โทที่เห็นเพื่อนทำหน้าอ้อนตีนถึงกับทนไม่ไหว ต้องเรียกให้น้องเขาเดินมาหา

“นี่ปอนด์ ปี1 ส่วนนี่เพื่อนๆพี่ บูม จ๊อบ และ...นะโม” ไอ้โทแนะนำง่ายๆสั้นๆ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับพี่ๆ” น้องมันคงได้รับการอบรมจากพี่วากมาเป็นอย่างดี ถึงได้พนมมือโค้งตัวก้มลงสวยงามอย่างกับประกวดมารยาทไทย
มองใกล้ๆแบบนี้ยิ่งเห็นถึงความน่ารักสดใสอย่างกับมีออร่าพุ่งออกมารอบๆตัวเลยแหะ

“เช่นกันคร้าบ ว่าแต่น้องมารู้จักกับไอ้โทได้ไงอ่ะ?”
“เอ่อ...ก็...” พอโดนไอ้บูมถามคำถามนี้ น้องปอนด์ถึงกับไปไม่เป็น ติดๆขัดๆไม่รู้จะตอบยังไง พลางเสมองคนข้างกายที่ถูกพาดพิงเช่นกัน

ทำไมต้องมองไอ้โท? ท่าทางเขินๆนั่นอีก...

“ก็แบบว่าไปเที่ยวแล้วเจอกันบ่อยน่ะครับ” ในที่สุดก็หาคำตอบเจอ

ผมมองน้องเขานิ่งๆ เมื่อใบหน้าใสรู้ตัวจึงหันมาแล้วยิ้มให้ ผมเลยยิ้มกลับไปน้อยๆ

น้องปอนด์ยืนให้ไอ้บูมแทะโลมอีกนิดหน่อยก่อนจะขอตัวไปเรียนในวิชาต่อไป
“เรียนตึกไหน เดี๋ยวพี่ไปส่ง” เสียงเรียบทุ้มเอ่ยถาม...ถามเหมือนอย่างที่มันชอบถามสาวๆของมัน
“ตึกรวม2ครับ ผมไปก่อนนะครับ”

เดือนคณะสถาปัตย์โค้งตัวลงเล็กน้อยก่อนจะหันหลังกลับไปยังทิศที่ต้องไปเรียนพร้อมกับไอ้โท ผมหรี่ตาลงเล็กน้อยมองตามสองแผ่นหลังที่เดินห่างออกไป

ในหัวผมจะไม่เกิดความยุ่งเหยิงวุ่นวายเลยถ้าหากว่าอ้อมแขนแกร่งไม่ได้โอบแผ่นหลังเล็กๆนั่นบริเวณเอวต่ำ ในจุดที่คนเป็นแค่เพื่อนหรือพี่น้องคงไม่ทำแบบนั้น...

ดูเหมือนว่าผมจะไม่ได้สังเกตเห็นเพียงคนเดียว ไอ้จ๊อบที่มองตามก็พูดสิ่งที่ผมไม่กล้าคิดออกมา

“น้องเขาเป็นกิ๊กไอ้โทเหรอวะ? ปกติเห็นควงแต่สาวๆนี่หว่า”
“น่ารักขนาดนั้นเป็นกูกูก็เอาวะ” ไอ้บูมพูดเน้นที่คำว่าเอา เรื่องทรามๆนี่ยกให้มันเลย
“ว่าแต่โอบหลังแสดงความเป็นเจ้าของชัดเจนขนาดนั้น มันไม่กลัวคนอื่นมองแปลกๆบ้างรึยังไง?” คนหัวฟูครุ่นคิด
“แปลกยังไงวะ เดี๋ยวนี้เค้าเปิดเผยกันมากขึ้นแล้วโว๊ย” ไอ้บูมที่มีประสบการณ์ตรงพูดแย้ง “แล้วอย่างไอ้โทอ่ะนะ โนสนโนแคร์ มึงก็รู้ ควงสาวกี่คนมันเปิดเผยหมดว่าคุยกับใคร เดินร่อนทั่วมหาลัย ใช้หญิงเปลืองยิ่งกว่าเกงในกูอีก”

ใช่...มันเป็นคนแบบนั้น มันเปิดเผยตลอดว่ากำลังคุยกับใคร หากถูกใจก็พามาประดับเป็นตุ๊กตาหน้ารถ หรือไม่ก็เชิญตัวเองไปหาสาวๆถึงห้อง

“เอดส์ได้แดกเข้าสักวัน” ผมเอ่ยลอยๆตามความคิด

“เห็นมันพกถุงตลอดนะ”

“ใช่ดิ เดี๋ยวป่องขึ้นมาละยุ่งเลย แต่กับข้างหลัง...ไม่รู้ว่ะ...ได้แต่ภาวนาไม่ให้มันมั่วผู้ชายหลายๆคนเหมือนอย่างผู้หญิงที่ผ่านมาก็แล้วกัน เพราะผู้ชายประเภทนี้น่ะ โรคเยอะ มั่วกันเอง ไม่รู้ว่าผ่านอะไรมาบ้าง เวลานั้นมันคงไม่ใส่ใจหรอกว่าจะถุงหรือไม่ถุง รู้หน้าไม่รู้โรค บางคนภายนอกแข็งแรงดีแต่พอไปตรวจ อ้าว ชิบหาย เลือดบวกยังมีเล้ย”

ผมกับไอ้จ็อบหันไปมองคนพูดผู้มากประสบการณ์ที่แสดงความคิดเห็นอย่างเชี่ยวชาญ

“ก็รอดูต่อไปแล้วกันว่าไอ้โทมันจะคบน้องปอนด์ไปได้นานสักแค่ไหน พนันกับกูมั้ยล่ะว่านานเท่าไหร่”
“10วัน” ไอ้บูมรับคำท้า
“7วัน” ผมเอง กะคร่าวๆเอาจากสาวๆที่มันเคยควง
“กูว่าไม่ต่ำกว่า1เดือน” จ๊อบพูดอย่างมั่นใจ “ถ้ากูทายถูกพวกมึงต้องเลี้ยงเหล้า โอเค๊?”
“เออ”
“และกูเพิ่มให้อีกว่าอาจจะมีใครบางคนรู้ใจตัวเองขึ้นมาสักที หึหึ”


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-06-2017 16:01:49 โดย ✿PIERRE »

ออฟไลน์ ✿PIERRE

  • ดองนิยายข้ามปี
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 434
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-6
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.85 - 10/06/2017]]
«ตอบ #2543 เมื่อ11-06-2017 15:57:33 »

- 31 -

ผมมันก็แค่ไอ้ขี้ขลาดตาขาว หลบเลี่ยงทุกครั้งที่ได้เห็นหรือรับรู้ข่าวอะไรที่เกี่ยวข้องกับไอ้โทและน้องปอนด์ ดูเหมือนการที่มันเริ่มคบหากับน้องปอนด์ซึ่งเป็นเพศเดียวกันนั้นจะได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งในชีวิตจริงและโลกโซเชี่ยล ผมที่คาดว่าพวกเค้าทั้งสองอาจจะได้รับความคิดเห็นในเชิงลบกลับต้องประหลาดใจแทน เนื่องจากความเห็นส่วนใหญ่นั้นจะออกแนวสนับสนุนเห็นดีเห็นงามเสียมากกว่า

บนเฟซบุ๊กที่ถึงแม้ไอ้โทจะไม่ได้ลงรูปคู่หรือตั้งสเตตัสอะไรหวานๆเกี่ยวกับน้องปอนด์คนนั้น แต่ฝ่ายเดือนคณะสถาปัตย์กลับแท็กรูปและสเตตัสมาบ้างประปราย คมเม้นต์มากมายร่วมแสดงความยินดีและออกแนวฟินที่เห็นคนหล่อทั้งสองได้กันเอง

บอกแล้วว่าไม่ได้อยากจะรับรู้ แต่มันชอบเด้งขึ้นมาหน้านิวฟีดเอง

รู้สึกขัดใจทุกครั้งที่เห็น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะผมไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้น ได้แต่เปลี่ยนรูปโปรไฟล์ไม่ให้เหมือนว่าผมกับมันใช้รูปคู่อยู่ หากน้องปอนด์มาเห็นคงไม่ชอบใจแน่ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมาผมชิงเปลี่ยนเป็นรูปตอนที่ผมไปเที่ยวกับปกป้อง

อันที่จริงน้องมันก็ส่งมาให้สักพักแล้วล่ะ เพียงแต่ผมเลือกไม่ได้ว่าจะลงรูปไหนดี เพราะผมดูดีทุกรูปเลย ฮ่าๆๆๆ ยิ่งรูปที่ปกป้องใช้โปรแกรมแต่งมันดูดีจนผมไม่อยากเชื่อว่าในรูปคือผมเอง ปกป้องคัดเลือกรูปมาประมาณ 30 รูปแล้วอัพโหลดตั้งเป็นอัลบั้มลงบนเฟซบุ๊ก มีทั้งรูปแม่น้ำ นก วัด รถเมล์ ของกิน รวมไปถึงตัวบุคคลซึ่งก็คือผมที่โผล่ให้เห็นในอัลบั้มนั้นประมาณ 15 รูป คนกดไลค์เยอะมาก คงเป็นเพราะผมหล่- เอ๊ย น้องมันถ่ายได้มุมสวยๆ บวกกับการแต่งรูประดับโปร เลยทำให้มีคนแชร์และตามมากดไลค์เยอะ ขนาดที่ว่าน้องมันเริ่มรับงานถ่ายรูป มีค่าตัว มีคนสนใจสไตล์ภาพของปกป้อง ซึ่งลามมาถึงผมที่มีช่างภาพบางคนทักเฟซบุ๊กมาโดยตรงเพื่อขอให้ผมไปเป็นแบบให้ แต่ผมก็ปฏิเสธไปเนื่องจากแค่เรียนกับทำงานที่ร้านอาหารผมก็จะแย่อยู่แล้ว ไม่มีเวลาไปเป็นแบบให้ใครหรอกครับ

นับจากวันนั้นที่น้องปอนด์ปรากฏกายก็นับเป็นเวลา 30 วันพอดิบพอดี

และแน่นอนว่าผมแพ้พนันไอ้จ๊อบ

“สถิติใหม่เลยนะเนี่ย วู้วววว คนก่อนชื่ออะไรนะที่คบได้ตั้ง 25 วันอ่ะ ชื่อฟองป้ะ?” ไอ้จ๊อบนึก
“ละอองฟอง” มิ้นตอบอย่างเซ็งๆ

ม้าหินตรงนี้ไม่ได้มีแค่ผม บูม และจ๊อบ มีเพื่อนๆในภาคที่หากว่างและไม่รู้จะไปไหนก็มานั่งรวมตรงนี้เช่นกัน เพราะเป็นทั้งที่ทำงาน ที่ประชุม เป็นที่นอนยังได้เลย

“แต่นี้น้องปอนด์กลับคบได้นานถึง 30 วันเชียว ไม่เลวๆ แสดงว่าเด็กนี่มีอะไรดีถึงมัดใจไอ้โทได้อยู่หมัด” ไอ้ปลั๊กเสริม

ผมฟังบทสนทนาที่หัวข้อคงไม่พ้นเรื่องของคู่รักที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้

“เดี๋ยวมา”
“ไปไหน?” บูมถาม
“เยี่ยว” ตอบสั้นๆก่อนจะลุกหนีออกมา

มันเหมือนเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติไปแล้วว่าถ้าหากได้ยินเรื่องของคู่นั้นผมต้องหนีห่าง

เบื่อ เอียน ไม่อยากรับรู้

ไหนว่ารักผม? เหอะ คนอย่างมัน...ไม่น่าหลงใจเต้นไปกับคำบอกรักกลวงๆนั่นเลย

หงุดหงิดจริงๆ

ซ่า!

วักน้ำล้างหน้าล้างตา ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะหยิบเอกสารและหนังสือเพื่อเตรียมเรียนวิชาถัดไป

“พวกมึงแพ้พนันกู อย่าเบี้ยวล่ะ”
“คืนนี้เลยปะละ วันศุกร์ด้วย” บูมเสนอ “มึงว่าไงไอ้โม”
“ดูก่อน วันนี้ที่ร้านคนน่าจะเยอะ”
“ไม่ต้องเลย กูขอใช้สิทธิ์ผู้ชนะสั่งให้มึงโทรไปลาเฮียเค้าเดี๋ยวนี้”
“เผด็จการสัด” คนโดนด่าน้อมรับแต่โดยดี แถมยังยื่นโทรศัพท์มาให้อีก

ผมกดหาเบอร์เฮียโกว บอกจุดประสงค์ในวันนี้ว่าจะขอลา เหนื่อย อยากพัก เรียนหนัก อ้างอะไรได้อ้างไปครับ

“คืนนี้เจอกันร้านBB 3ทุ่ม เคนะ”
“เออๆ”

เปลี่ยนบรรยากาศหน่อยก็ดี ช่วงนี้ยิ่งเซ็งๆอยู่




พระอาทิตย์ตกดินไปนานแล้ว ในยามปกติผมควรจะเช็ดโต๊ะ เดินเสิร์ฟอาหาร หรือไม่ก็คอยรับออเดอร์อยู่ที่ร้านกุ้งเต้น แต่วันนี้ผมขออู้งานลาพักสักหนึ่งวัน ทำตัวไร้สาระเอาเงินมาลงขวดแบบนักศึกษาคนอื่นบ้าง

บนโต๊ะมีเหล้า โซดา น้ำเปล่า น้ำแข็ง รวมไปถึงที่เขี่ยบุหรี่วางระเกะระกะ ผมยกภาชนะใสในมือดื่มจนหมดไปหลายแก้ว ได้ยินเสียงไอ้บูมบอกว่าให้เบาๆหน่อย เพราะมันกลัวผมจะอ้วกเปรอะรถสุดที่รักของมันเวลาส่งผมกลับหอ

“มึงเป็นไรเนี่ยนะโม” ไอ้คนหัวฟูถามพลางพ่นควันขาวๆออกจากปาก “มาถึงก็กระดกเอาๆ”
“ใจเย็นๆเว้ย ไม่ต้องรีบเมา กูขี้เกียจแบกมึงกลับ” นี่เสียงไอ้บูม
“งั้นเดี๋ยวกูกลับเอง” ผมตอบชัดถ้อยชัดคำ ผมยังไม่เมา มีสติรู้ดีทุกสิ่งอย่าง
“ได้ที่ไหน กูยังไม่อยากท้าทายอำนาจมืด” ไอ้บูมมันบ่นอุบอิบไรไม่รู้ “อ่ะนี่ กูชงให้ แดกเข้าไปเลยนะมึง” เหมือนประชด ไอ้บูมเทเหล้าหนักมือเกือบค่อนแก้ว ก่อนจะตามด้วยน้ำและโซดาอย่างละนิดหน่อย

พวกผมสามคนนั่งคุยนั่งดื่มกันเรื่อยเปื่อย ฟังดนตรีสดที่เปลี่ยนวงขึ้นมาเล่นเป็นวงที่สอง ผมมองบรรยากาศรอบๆร้านก็พาลให้นึกถึงใครบางคนที่ป่านนี้คงอยู่ผับไหนสักแห่ง

ไม่สิ...ต้องเปลี่ยนเป็นนอนกอดผู้ชายน่ารักๆอย่างน้องปอนด์สบายใจเฉิบ

แม่งเอ๊ย! สิ่งที่ผมพูดไปวันนั้น ผมทำไปเพื่อปกป้องตัวเอง แล้วทำไม...ทำไมผมถึงต้องเจ็บเองแบบนี้ด้วย ในขณะที่มันกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ยังเที่ยวเอาหญิงได้หน้าตาเฉย ควงผู้ชายมาเย้ยเหมือนมันจะรักใครก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นผมคนเดียว

ทำไม...มันทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา

คำตอบง่ายๆ...ก็ผมทำตัวเองนี่ไง...พูดไปซะขนาดนั้นใครยังจะกล้าดันทุรังกับสถานะที่เป็นไปไม่ได้อีก

สมเพชตัวเองจริงๆ ต้องพึ่งสิ่งมึนเมาเพื่อปลอบใจตัวเอง...ทำตัวเองทั้งนั้น...

เฮ้อออออ อยากอยู่ใกล้แต่มือกลับผลักมันออกห่าง อยากเห็นมันยิ้มแต่ผมกลับพูดทำร้ายจิตใจมัน นับวันผมยิ่งเลอะเทอะ ไอ้ความรู้สึกบ้าๆนี่ทำให้ผมเป็นได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ขนาดผมยังสับสนตัวเอง งั้นก็คงไม่แปลกที่ไอ้โทมันจะเบื่อหรือหมดรักผมแล้วไปหาคนอื่น

“กูปวดฉี่ เดี๋ยวมา”

ฟุ้งซ่านแบบนี้คงเป็นเพราะแอลกอฮอล์ที่เริ่มซึมเข้าสู่กระแสเลือดแล้วแน่ๆ ปล่อยออกสักหน่อยดีกว่า

พอผมทำธุระเสร็จเรียบร้อย ขณะกำลังจะเดินกลับไปที่โต๊ะ สายตาดันเหลือบเห็นใบหน้าขาวๆกับร่างเพรียวที่ผมพยายามเพ่งตาดู มั่นใจแน่ๆว่านั่นคือเดือนสถาปัตย์

สิ่งที่ผมสงสัยไม่ใช่ว่าทำไมน้องเขาถึงมาอยู่ที่นี่ เพราะนี่เป็นร้านเหล้าใครๆก็มาได้ แต่สิ่งที่ผมสงสัยคือผู้ชายที่กำลังยื้อยุดฉุดกระชากกับน้องปอนด์เป็นใคร แล้วไอ้โทไปไหน ทำไมมันถึงไม่มาดูแฟนมัน?

ผมทำตัวเป็นนักสืบทันทีโดยการแอบหลบอยู่ข้างๆพุ่มไม้ ในทีแรกทั้งคู่คงจะมีปากเสียงกัน ฝ่ายหนึ่งดึงเข้าหา อีกฝ่ายพยายามถอยห่าง แต่ไปๆมาๆ...

“เฮ้ย!” ดีนะผมอุดปากตัวเองได้ทัน

จะไม่ให้ตกใจได้ไงล่ะครับ ก็น้องปอนด์กับผู้ชายคนนั้นกำลังจูบกัน! แถมจูบลึกซึ้งยาวนานโดยฝ่ายคนตัวเล็กไม่ได้ขัดขืนอะไรเลย
แบบนี้มันไม่ถูกต้อง น้องปอนด์เป็นแฟนไอ้โทอยู่นะ

คิดได้ดังนั้นผมจึงหยิบสมาร์ทโฟนออกมาถ่ายไว้เป็นหลักฐานทันที

ผมยอมไม่ได้ ผมยอมให้ไอ้โทถูกสวมเขาจากน้องเค้าไม่ได้เด็ดขาด ผมต้องไปเตือนในฐานะ...เอ่อ...ฐานะเพื่อนไง เพื่อนที่ดีคงไม่มีใครอยากให้เพื่อนตัวเองโดนหลอกมีเขางอกแบบนี้หรอก ยิ่งคนอย่างไอ้โทต่อให้มันฉลาดในทุกเรื่องแต่ก็สามารถพลาดได้เหมือนกัน

เมื่อเดินกลับมาถึงโต๊ะผมรีบรายงานสถานการณ์ให้เพื่อนทั้งสองฟังพลางยื่นรูปให้ดูทันที

“มึงต้องบอกมัน”

“ใช่ ไปเลย เดี๋ยวกูไปส่ง” ไอ้บูมทำหน้าจริงจัง หยิบกุญแจรถขึ้นมา “รออยู่นี่นะจ๊อบ เดี๋ยวกูกลับมา”

ผมที่ยังเรียบเรียงความคิดจับต้นชนปลายไม่ถูกก็ได้แต่เดินตามขึ้นรถ(แฟน)ของไอ้บูม ในหัวยุ่งเหยิงชุลมุน ควรจะพูดยังไงดี? บอกแล้วมันจะเสียใจไหม? ผมจะโดนด่าหรือเปล่าที่เข้าไปสอใส่เกือกเรื่องของมัน

ช่างเถอะ คิดไปก็เท่านั้น ให้มันตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะเอายังไงต่อไป

ใช้เวลาไม่นานก็เลี้ยวเข้าคอนโดที่ผมไม่ได้มานานมาก ทันทีที่ก้าวขาลงจากรถความรู้สึกผมก็หนักอึ้ง หันกลับไปหวังจะเรียกไอ้บูมให้ขึ้นไปด้วยกันแต่ปรากฏว่ามันชิ่งหนีไปซะแล้ว

ไอ้บูมมึง! หนีเฉย!

เอาก็เอาว่ะ มาถึงขั้นนี้แล้ว ลุยเดี่ยวก็ได้

ขาสั้นๆ เอ๊ย สั่นๆ...ยังจะเล่นมุก เอาใหม่ ขาสั่นๆของผมก้าวตรงไปยังประชาสัมพันธ์เพื่อขอพบนายโท กิจภาคิณ

“รอสักครู่นะคะ ขอโทรเช็คกับคุณโทก่อนค่ะ”
“ครับ”
“สวัสดีค่ะคุณโท มีแขกมาขอพบที่ชั้นล่าง ชื่อ...คุณชื่ออะไรคะ?”
“นะโมครับ”
“คุณนะโมมาขอพบค่ะ...ค่ะ...อ๋อค่ะ...รับทราบค่ะ” พี่พนักงานต้อนรับวางสาย หันมายิ้มกับผม “คุณโทบอกว่าเชิญขึ้นไปได้เลยค่ะ ทางนี้ค่ะ”

พี่พนักงานคนสวยเดินนำผม แสกนนิ้วมือเพื่อใช้ลิฟต์ กดเลขชั้นให้ แล้วปล่อยให้ผมเดินเข้าไปคนเดียว ผมมองตัวเลขบนจออย่างหวั่นใจ ในหัวคิดไปต่างๆนานา

ถ้ามันไม่เชื่อผมล่ะ? จำได้ว่าคราวที่แล้วที่มันลากผมขึ้นมาบนห้องนี้มันยังไม่เชื่อคำพูดของผมเลย

แกร๊ก

จะถอยหลังกลับก็ไม่ทันแล้ว เจ้าของห้องเหมือนจะรู้ว่าผมเดินมาถึงมันถึงได้เปิดประตูต้อนรับผมพอดิบพอดีโดยที่ผมยังไม่ทันจะกดกริ่งเรียกเลย

“เข้ามาสิ”

สายตาที่กำลังจ้องมองพื้นค่อยๆเงยขึ้น ไล่จากรองเท้าสลิปเปอร์ กางเกงยีนส์ราคาแพง เสื้อยืดมียี่ห้อ จวบจนถึงใบหน้าไร้ที่ติ กลุ่มผมดำเปียกหมาดๆ เจ้าตัวนำปลายผ้าขนหนูที่แขวนคอขยี้ท้ายศีรษะเบาๆ

ดูดีทุกอิริยาบถจริงๆ ไม่ต้องเสริมหรือเติมแต่งไอ้โทก็หล่อในแบบของมัน

ปกติมันก็หน้าตาแบบนี้อยู่แล้ว แต่ทำไมวันนี้มันกลับดูดีขึ้นไปอีก...คงเป็นเพราะผมดื่มหนักไปแน่ๆ

ห้องกว้างแบ่งเป็นสัดส่วนอย่างที่ผมเคยเห็นเมื่อหลายเดือนก่อน แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย รวมไปถึงข้าวของของผมบางชิ้นเช่นพวกชีท หนังสือ เสื้อผ้า ที่ผมกองไว้ตรงมุมห้องก็ยังอยู่ตรงนั้น ไอ้โทไม่ได้ย้ายไปไหน

“มีอะไร?” ร่างสูงเป็นฝ่ายเปิดปากถามขณะที่ไปหยิบน้ำมาให้ ผมทำตัวลีบนั่งบนโซฟาในหัวเรียบเรียงคำพูด “อ่ะนี่ น้ำเปล่า ดื่มหนักเหรอ?”

“หะ เอ่อ อ่อ...ก็ นิดหน่อย” ตอบคำถามแล้วดื่มน้ำตาม
“ว่าแต่มีอะไร? มาหากูถึงที่นี่”

ผมสูดหายใจลึก ก่อนจะเล่าถึงเหตุการณ์ที่ผมพบเจอ

“คือ...กูเห็น..โดยบังเอิญน่ะ เห็นว่าน้องปอนด์เค้า...กำลังจูบอยู่กับใครก็ไม่รู้ ถ้ามึงไม่เชื่อดูนี่ก็ได้ กูถ่ายรูปไว้” ผมยื่นหน้าจอให้มันดู ถึงรูปจะมืดไม่ค่อยชัดแต่ก็ดูออกว่าหนึ่งในนั้นคือคนที่ไอ้โทกำลังคบแน่ๆ

ชั่วอึดใจที่ไอ้โทนิ่งไป ส่วนผมกลั้นใจรอดูปฏิกิริยาของมัน กะเอาไว้แล้วว่าถ้ามันไม่เชื่อก็เรื่องของมัน ถือว่าผมได้มาเตือนแล้ว

“อืม”

ห๊ะ? อืม? แค่นี้เหรอ?

“เอ่อ...คือมึงไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ? ไม่ตกใจเลยเหรอ?” ผมหันไปมองหน้าอีกฝ่ายที่ไม่มีอาการตกใจแต่อย่างใด ซ้ำยังดูสบายๆราวกับไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องร้อนใจ

แฟนมึงจูบกับคนอื่นนะเฮ้ย! ตกใจหน่อยสิเพื่อน


“ก็ตกใจ...ที่มันสองคนเคลียร์กันได้เร็วกว่าที่คิด”

?????????
ว้อท?
ช่วยอธิบายที คือตอนนี้กูตึ้บมาก

“เดี๋ยวนะ นั่นน้องปอนด์นะ แฟนมึงนะเว้ย” ผมนี่ขึ้นแทน อะไรของมันวะ

“บอกตอนไหนว่าปอนด์เป็นแฟนกู?”

“ก็....” เออว่ะ มันไม่เคยพูดเลยสักครั้ง “กะ ก็ ที่มึงเดินคู่กับน้องเค้าบ่อยๆ ไปไหนมาไหนด้วยกัน แถมบางครั้งน้องเขาก็แท็กมึงหน้าเฟสอีก”
“หึงเหรอ?”

เชี่ย คำๆเดียว ทำเอาผมไปไม่เป็น

“มะ ไม่ใช่โว๊ย เพ้อเจ้อนะมึงอ่ะ” ผมรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน ตรงข้ามกับไอ้โทที่นั่งพาดขาสบายๆ ยิ้มมุมปากมองดูผมที่กำลังเอาสีข้างแถ
“ปอนด์ไม่ใช่แฟนกู”

พอได้ยินประโยคนี้...ในใจผมที่อัดอั้นมาหลายอาทิตย์พลันเบิกบานอย่างไม่รู้ตัว ต้องเก๊กขรึมไม่ให้เผยรอยยิ้มออกไป

“แล้วมึงทำให้คนอื่นเข้าใจแบบนั้นทำไม?”
“ต้องเท้าความไปตั้งแต่สมัยม.ปลาย”
“เออกูรอฟังอยู่”

“หึหึ...ปอนด์เป็นรุ่นน้องที่โรงเรียน เขม่นกู หมั่นไส้กู เหมือนเกลียดมาแต่ชาติไหนไม่รู้ ชอบหาเรื่องท้าต่อย มันน่ารำคาญเหมือนแมลงสาบที่ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป จะไม่ยอมจนกว่าจะรู้ว่าใครเก๋าสุดในโรงเรียน ปัญญาอ่อนชิบหาย กูเลยจัดให้ ทั้งต่อยเตะจนมันยอม นอนหยอดข้าวต้มอยู่ในโรงพยาบาลไปสี่วัน เห็นหน้าตาน่ารักแบบนั้นบอกเลยหมัดโคตรหนัก”

ผมนี่ตาโต จิ้มลิ้มๆแบบนั้นอ่ะนะ?

“จนมีอยู่วันหนึ่งกูโดนเด็กช่างรุมกระทืบ ตอนนั้นนึกว่าตัวเองจะไม่รอดด้วยซ้ำ ดีที่ปอนด์มันมาเจอเลยช่วยกูไว้ แม่งเก่งนะ ตัวเล็กเพียงคนเดียวแต่สู้ยิบตา สภาพกูกับมันสะบักสะบอม ช่วยกันพยุงไปคลินิกใกล้ๆ ตั้งแต่นั้นมากูถือว่าตัวเองติดหนี้มัน หากว่ามันอยากให้ช่วยอะไรที่ไม่ลำบากเกินไปกูก็จะช่วย พอเข้ามหาลัยมามันมีแฟนเป็นผู้ชาย ก็ไอ้คนในรูปนั่นแหละ มันชื่อเทียน ทะเลาะห่าไรกันไม่รู้ ปอนด์เลยขอให้กูช่วย ทำเหมือนกับว่ากูกับมันกำลังกิ๊กกันไรงี้ ทำให้เทียนหึงอะไรแบบนั้น...”

“อ๋อ” กระจ่างแจ้งเลยครับผม

“ซึ่งมันก็ได้ผลดีมาก...มากอย่างคาดไม่ถึงเชียวล่ะ เพราะนอกจากไอ้เทียนแล้วยังมีใครบางคนหึงด้วยเหมือนกัน” คนพูดยิ้มร้ายในแบบที่ผมรู้สึกได้ว่าตัวเองอาจจะไม่ปลอดภัย “แต่จากสิ่งที่มึงเล่าแสดงว่าสองคนนั้นคืนดีกันแล้วสินะ หน้าที่ของกูหมดลงล่ะ...เรามาเคลียร์เรื่องของเราดีกว่านะโม”

เดี๋ยวนะ ได้ข่าวว่าผมมาที่นี่เพื่อบอกข่าวเรื่องปอนด์ แต่ทำไมตอนนี้กลายเป็นเรื่องของผมแทนซะละ

“เรื่องของเรามันจบลงไปนานแล้ว”
“แต่กูว่ายังนะ ไม่อย่างนั้นจะมีคนดิ้นมาหากูถึงที่นี่เลยเหรอ?”
“กูไม่อยากให้มึงโดนสวมเขา”
“งั้นส่งรูปมาในไลน์ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องถ่อมาถึงนี้เลย”

อึก…นั่นดิ ทำไมผมไม่ส่งรูปให้มันวะ ทั้งๆที่ยุคสมัยนี้สื่อโซเชี่ยลมันง่ายซะยิ่งกว่าอะไร

“ถามตัวเองดีๆนะโม ว่ามาถึงนี่เพื่ออะไร”
“กู...กู...ไม่รู้เว้ย กูจะกลับแล้ว” ผมลุกขึ้น แต่คนข้างกายก็ดึงผมนั่งลงกับที่ทันที
“มึงอาจคิดว่ามึงหลอกกูได้ หลอกคนอื่นได้ แต่มึงหลอกความรู้สึกตัวเองไม่ได้หรอกนะโม กูรู้ว่าที่มึงพูดวันนั้น มึงไม่ได้พูดจากใจจริงของมึงหรอก มึงกำลังปิดกั้นตัวเองนะโม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมมึงถึงทำแบบนั้น ทั้งๆที่ความรู้สึกมันชัดเจนซะขนาดนี้”

มือหนาวางลงบนใบหน้า ก่อนจะเลื่อนลงมาที่ตำแหน่งหัวใจ

ตึกตัก ตึกตัก

“ความรู้สึกของเรามันตรงกัน”

มืออีกข้างของไอ้โทจับฝ่ามือผมไปแนบที่หัวใจของมัน

ตึกตัก ตึกตัก


“ได้ยินมั้ย...กูรักมึง รักเสมอ ไม่เคยเปลี่ยน กูรู้ตัวว่าในอดีตกูอาจเคยทำเรื่องแย่ๆไว้ แต่มึงก็ไม่ให้อภัยแล้วไม่ใช่เหรอ...แถมตอนนี้มึงยังรู้สึกดีๆ...”

“พอเถอะ” ผมชักมือกลับ เบนหน้าหนี “ถ้ามึงรักกูจริงมึงต้องตื้อกูต่อสิ ทำแบบที่ผ่านๆมาสิ แต่นี่อะไร มึงกลับไปคบหญิงทำตัวเจ้าชู้ไปทั่ว”
“นี่ก็ตื้ออยู่ไง...แต่หลังจากวันนั้นที่มึงพูดออกมา...มึงรู้ไหมว่ากูเจ็บแค่ไหน...แต่กูก็ยังปลอบใจตัวเองว่าที่มึงพูดแบบนั้นเพราะไม่ยอมรับตัวเอง กูเลยถอยให้มึง กลับมาเป็นเพื่อน ใช้ชีวิตเหมือนเดิมที่ไม่มีกูไปก้าวก่าย ส่วนที่กูทำตัวเจ้าชู้...บอกตรงๆว่าไม่มีความสุขเลยที่เห็นมึงทำหน้าเจ็บปวด แต่กูก็ต้องทนเพื่อให้มึงยอมรับหัวใจตัวเองสักที”

“แล้วถ้ากูไม่ยอมรับล่ะ? ถ้ากูยังยืนยันคำเดิมล่ะ...”
“กูก็ยังจะรักมึง ดูแลมึงเหมือนเดิม ถึงกูไม่ใช่หมอ แต่กูก็จะรักษาคำพูด กูจะไม่ทำผิดพลาดอีก”
“มึงนี่มัน....สุดๆไปเลยว่ะ ทำแบบนั้นแล้วมึงจะมีความสุขงั้นสิ?”
“อือ”
“ถ้าต้องเห็นกูคบกับคนอื่น มึงก็ยังจะดูแลกูเหมือนเดิม?”
“อือ”
“มึงโง่หรือมึงโง่วะ”
“ความสุขของกูคือการที่ได้อยู่ข้างๆมึง ไม่ว่าในฐานะอะไรก็ตาม”
“โอเค งั้นเป็นเพื่อนต่อไปนะ”
“แต่จะดีกว่านี้ถ้าได้เป็นแฟน ได้เป็นคู่รัก ได้ใช้คำว่าเรา”

ให้ตายเหอะ ทำไมบนโลกนี้ถึงต้องมีความรู้สึกๆบ้าๆที่เรียกว่า ‘รัก’ ด้วยนะ

ผมจ้องมองคนตรงหน้า คิดหาเหตุผลและทบทวนเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา ก็ได้คำตอบออกมาว่า...

ช่างแม่ง

ผมรักคนๆนี้

คิดมากไปก็เหนื่อยเปล่า สู้ทำตามหัวใจตัวเองแล้วมีความสุขดีกว่า

“ว่าไงครับ? สนใจจะมาเป็นแฟนกันไหม?” คนถามรอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

“...”

“...”

“เออ ตามนั้น”

คนฟังตาเบิกกว้าง เก็บอาการไม่อยู่ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็หล่ออยู่ดี ไอ้โทเข้ามากอดผมแน่น ต้องทุบข้างหลังมันเพื่อร้องเตือนว่าผมหายใจไม่ออก

“ไอ้โท ปล่อยกู กูหายใจไม่ออกโว๊ยยยย”

ถึงมือจะทุบแต่ปากผมกลับยิ้มไม่หุบ

การที่เรามีความรู้สึกตรงใจกับใครกับสักคน ไม่ต้องปิดกั้นหรือหาเหตุผลใดๆมารองรับ แค่ปล่อยไปตามสิ่งที่หัวใจเรียกร้องมันมีความสุขแบบนี้นี่เอง



ต่อด้านล่างค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-06-2017 16:02:31 โดย ✿PIERRE »

ออฟไลน์ ✿PIERRE

  • ดองนิยายข้ามปี
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 434
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-6
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.85 - 10/06/2017]]
«ตอบ #2544 เมื่อ11-06-2017 15:59:12 »

“งั้นให้คืนนี้เป็นคืนเข้าหอละกันเนอะ”

เอี๊ยดดดดดดด เสียงเบรกของบรรยากาศสีชมพูอมม่วงรอบตัวหายวับไปทันทีเมื่อคนข้างๆพูดขึ้นมา

“เอ่อ กูว่ากูจะกลับหอแล้วล่ะ”
“กลับไปไหน ห้องมึงอยู่นี่”

ทั้งๆที่มันเป็นคนพูดแต่ผมกลับหน้าแดงซะเอง

“กูไม่มีเสื้อผ้า” อย่าครับ อย่าไปยอมง่ายๆ

“โน่นไง กูไม่เคยย้ายเลย เอาไว้ที่เดิมตลอด” เจ้าของห้องพยักเพยิดไปตรงหัวมุมที่ออกจะรกขัดกับความเรียบร้อยภายในห้อง

“แต่-...อุ๊บ”

กำลังจะหาข้ออ้างมาแถต่อเพื่อความปลอดภัยของตัวผม แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันซะแล้วล่ะครับ

ริมฝีปากได้รูปฉกลงมาไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัว บดเคล้าคลึงอย่างอ้อนวอนก่อนที่ผมจะโอนอ่อนและยอมให้ลิ้นเรียวเข้ามารุกล้ำภายใน มันตวัดลิ้นไปทั่ว พร้อมกับดูดดึงริมฝีปากจนบวมเจ่อ แต่ดูเหมือนแค่นั้นมันจะยังไม่พอใจ ว่าที่แฟนหมาดๆของผมถึงได้เร่งจังหวะจนผมเสียการควบคุม

“อือ...แฮ่ก...”

ต้องประท้วงในลำคอไอ้โทถึงยอมปล่อยริมฝีปากผมให้เป็นอิสระ ก่อนจะเข้ามาจูบอีกครั้งอย่างอาลัยอาวรณ์ มือของมันก็ไม่อยู่เฉยบังคับทิศทางที่ต้นคอให้ผมรับจูบของมันถนัดถนี่ ส่วนอีกข้างเลิกเสื้อยืดของผมโดยไม่ทันให้ผมได้รู้ตัว ฝ่ามือกว้างลูบไล้สัมผัสอย่างช้าๆ แต่สร้างความปั่นป่วนในท้องน้อยจนสมองผมเริ่มมึนเบลอ ทำตัวไม่ถูก ปากโดนครอบครองยาวนานไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะผละออกไปง่ายๆ
เมื่อมันรู้ว่าผมเริ่มหายใจไม่ออกถึงได้ยอมเปลี่ยนตำแหน่ง ย้ายมายังริมแอ่งหู มันทั้งขบและเม้ม ผมรู้สึกได้เลยว่าตัวเองขนลุกซู่ รวมไปถึงใจกลางลำตัวที่ลุกขึ้นมาเช่นกัน

“หึหึ”

ไอ้โทรู้ มันรู้ว่าจุดไหนที่จะทำให้อีกฝ่ายหลอมละลายกลายเป็นคนใต้อาณัติที่จะยอมทุกอย่างเพื่อมัน คนที่ผ่านมาเยอะอย่างมันย่อมมีเทคนิคแพรวพราวอยู่แล้ว ถึงแม้ในใจจะเกิดอาการหึงเล็กๆก็ตาม แต่ช่างเถอะ ณ เวลานี้หัวสมองผมว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออก ได้แต่ปล่อยใจปล่อยกายไปตามทิศที่ไอ้โทนำทาง


CUT NC

กรุณาติดตามต่อในเล่มนะคะ

หนังสือมีวางจำหน่ายที่ร้านนายอินทร์นะคะ
หรือถ้าหาไม่เจอให้สอบถามที่แฟนเพจ JnD Publishing ค่าา

https://www.facebook.com/jndbook/


“อย่าทำเสียงแบบนั้นสิ อยากป่วยรึไง”

นั่นไม่ใช่เพราะมึงกำลัง...เอานิ้วเข้ามาในตัวกูหรอกเหรอ...อยากหันไปเถียงใจจะขาด แต่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย ได้แต่เก็บแค้นนี้ไว้ในใจ

อย่าเผลอนะไอ้โท...กูเอามึงคืนแน่นอน!


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-11-2019 23:09:36 โดย ✿PIERRE »

ออฟไลน์ ✿PIERRE

  • ดองนิยายข้ามปี
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 434
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-6
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.85 - 11/06/2017]]
«ตอบ #2545 เมื่อ11-06-2017 16:07:54 »

- 32 -

In a relationship with Tho Kitphakin

หากใครเข้ามาส่องหน้าไทม์ไลน์ของผมพบก็จะเจอประโยคนี้ขึ้นหราอยู่ตรงแถบ Intro แบบโดดๆ ดูน่าหมั่นไส้เหมือนคนอวดผัว (ไอ้บูมบอก) ประวัติส่วนตัวอย่างที่รงที่เรียนหรืออาศัยอยู่ที่ไหนถูกคุณชายเขาซ่อนไว้หมด ให้เหลือแต่ประโยคด้านบนเพียงบรรทัดเดียว

วันนั้นหลังจากอาบน้ำ ทำอะไรเรียบร้อยแล้ว ผมก็ขึ้นมานั่งเล่นโทรศัพท์บนเตียง แต่ยังไม่ทันจะได้เปิดแอพไอ้โทมันก็ฉวยไปอย่างไร้มารยาท พร้อมกับตั้งค่าสถานะให้เสร็จสรรพ

‘กูเอาสถานะขึ้น มึงก็ต้องเอาขึ้น จะได้เท่าเทียม’

ผมได้แต่ปลงตก เรื่องของมึงเถอะ อยากทำไรก็ทำ โลกโซเชี่ยลไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อชีวิตผมอยู่แล้ว เพราะหลังจากที่ไอ้โทอัพเดทสถานะก็มีคนมากดแสดงความรู้สึกและคอมเม้นต์อย่างล้นหลาม ซึ่งส่วนใหญ่ออกไปในทางด่าผมซะมากกว่าชื่นชมยินดี สืบเนื่องมาจากก่อนหน้านี้ที่ไอ้โทดูเหมือนจะเป็นคู่จิ้นกับน้องปอนด์ แต่จู่ๆมันกลับมาตั้งสถานะกับผม ชาวเผือกบนโลกออนไลน์ทั้งหลายที่ติดตามมันเลยงงๆ

เช้าวันเสาร์ไอ้โทเลยตั้งสเตตัสยาวๆอธิบายให้แฟนคลับมันเข้าใจ

ผมไม่เคยพูดหรือบอกว่าเป็นแฟนกับปอนด์ คิดไปเองทั้งนั้น ผมกับปอนด์เป็นแค่พี่น้อง อีกอย่างมันก็มีคนที่คุยด้วยอยู่แล้ว เพียงแต่ช่วงนี้เกิดปัญหานิดหน่อยผมเลยอยู่กับน้องมันบ่อยๆ ผมมีตัวจริงอยู่ในใจมาตั้งนานแล้วซึ่งก็คือคนนี้ Phobthum Putthamapisut หากใครรับไม่ได้เลิกติดตามผมไปเลยก็ได้ครับ และขอร้องอย่าทำอะไรที่ทำให้แฟนผมต้องหนักใจ ผมให้เกียรติพวกคุณนะ และขอบคุณมากๆที่ติดตามผมไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม หากมีข้อสงสัยอยากด่าหรือว่าอะไรขอให้มาลงที่ผมคนเดียว ขอบคุณครับ

เป็นคนของประชาชนก็งี้แหละนะ ต้องทำใจ อันที่จริงไอ้โทบอกว่ามันจะปิดเฟสเลยด้วยซ้ำถ้าหากยังมีใครส่งแชทมาด่าผมอีก แต่ผมไม่สนหรอกครับ ไม่กดเข้าไปอ่านด้วยซ้ำ รกสมองเปล่าๆ

แน่นอนว่าการที่ผมคบกับมันและเปิดตัวแบบนี้ทำให้เด็กหัวเกรียนมาฟูมฟายกับผมในไลน์

เลิกเมื่อไหร่บอกนะ ผมพร้อมเสมอ

ผมที่กำลังตอบจะตอบแต่ดันมีมือที่สามมาชิงโทรศัพท์ไป (อีกแล้ว) ตาขวางๆนั่นมองอย่างคาดโทษก่อนจะพิมตอบอย่างรวดเร็วแล้วโยนคืนมาให้ผม

กูไม่เลิก แต่มึงอ่ะเลิกยุ่งกับเมียกูสักที

อ่านข้อความบนหน้าจอเสร็จ กำลังจะหันไปอ้าปากด่า...

‘คุยได้ แต่อย่าให้มันมากเกิน ไม่งั้นกูจะวิดิโอคอลตอนที่กูกับมึงxxxกันให้มันดู’

ผมนี่หุบปากแทบไม่ทัน ไม่คิดจะท้าทายด้วย เพราะรู้ว่ามันทำจริงแน่ เลยได้แต่พิมขอโทษและอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้ปกป้องฟัง

นอกจากปกป้องแล้วก็ยังมีเพื่อนๆที่ภาคด้อมๆมองๆระหว่างผมกับไอ้โทอย่างไม่แน่ใจ แต่พอได้เห็นมือหนาสอดประสานกับฝ่ามือของผมใต้โต๊ะในระหว่างที่อาจารย์กำลังสอนหน้าชั้น พวกมันก็หมดความสงสัยและไม่ได้รังเกียจอะไรที่มีคู่รักเกย์เป็นเพื่อนร่วมภาค จะมีก็บางคนที่ผมแทบไม่เคยคุยมีท่าทีต่างออกไป ซึ่งผมก็ไม่ได้อะไรอยู่แล้ว เพื่อนแท้ในมหาลัยที่จริงใจหายากจะตาย ต่อหน้าดีกับเราแต่ลับหลังนินทาโน่นนี่มีถมไป ดูอย่างไอ้หลามสิครับ เหอะๆ สู้แสดงตัวไปเลยดีกว่าว่าไม่ชอบ แบบนั้นผมยังรับมือได้ง่ายกว่าเยอะ

ส่วนนายบูมกับนายจ๊อบ...

‘เอามาเลยพันนึง’ คนตัวสูงหัวฟูกระดิกปลายนิ้ว ยื่นไปตรงหน้าไอ้บูม ซึ่งมันล้วงกระเป๋าแล้วหยิบแบงค์เทาออกมายัดใส่อย่างไม่เต็มใจ ‘บอกละว่ายังไงนะโมก็เลือกไอ้โท’

‘เซ็ง กูนี่อุตส่าห์เชียร์ปกป้องไว้ น้องแม่งทำให้พี่ผิดหวังว่ะ ส่วนมึงนะโม...กูโป้งมึง ง้อด้วย ถ้าเลี้ยงข้าวจะดีมาก เงินเดือนนี้กูหมดแล้ว’

ครับ ผมกลายเป็นเกมพนันของไอ้สองคนนี้ไม่รู้ตัว แถมยังต้องมาเสียเงินเลี้ยงข้าวไอ้บูมอีก

หากอยู่ในที่สาธารณะ ผมกับมันดูเผินๆก็คือเพื่อน ทำตัวเหมือนเดิม จะมีแตกต่าวก็ตรงที่เดี๋ยวนี้มันพัฒนาแล้ว ไม่ต้องแอบเอาชีทมาให้หรือช่วยทำงานให้แบบลับๆ เพราะผมขอให้มันสอนตรงๆเลย พออยู่ด้วยกันสองคน ไอ้โทจะเป็นตัวของมันเอง คือพูดคำหวานบ้าง อ้อนบ้าง เข้ามากอดมาหอม เวลามันอยาก...นั่นแหละ บางทีถ้าเครียดๆ มันก็จะขออยู่คนเดียวเพราะไม่อยากให้ผมเครียดไปด้วย

แต่ผมไม่ได้ทำตามที่มันต้องการไปซะทุกอย่างหรอกนะ เวลามันอยากทำ แต่ผมระบมไปทั้งเนื้อทั้งตัวมันก็จะหยุด รอให้ผมหายดีแล้วทบต้นทบดอกทีเดียว ยิ่งผมกับมันเรียนด้วยกันแบบนี้ผมก็ไม่มีสิทธิ์อ้างเลยว่าวันไหนมีเรียน เพราะตารางเรียนเราเหมือนกันหมดทุกอย่าง มันเป็นคนมักมาก กามสุดๆ พูดลามกได้หน้าตาเฉย

‘อึ๊บกัน’
‘ไม่’
‘แค่ดูดปากมึง xxxกูก็แปลงร่างขั้นสุดยอดแล้วว่ะ ทำไงดีนะโม’
‘อื้ออออออ หดกลับเข้าไปเลยนะ กูต้องไปทำงาน ปล่อยสิโว๊ยยยย’

แรกๆก็อายหน้าแดง แต่หลังๆผมเริ่มมีภูมิคุ้มกัน แค่แทะโลมนิดๆหน่อยทำอะไรผมไม่ได้หรอก

อ้อ ลืมบอก ผมยังเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านกุ้งเต้นอยู่นะครับ จะทำไปจนกว่าจะเรียนจบ ต่อให้ไอ้โทมาห้ามก็ไม่ยอม เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ผมขอ ผมเข้าใจว่ามันไม่อยากให้ผมเหนื่อยหรือลำบาก แต่ผมไม่อยากเกาะมัน อะไรที่ช่วยได้ผมก็ช่วยออก อีกอย่างเดี๋ยวนี้ภาระค่าใช้จ่ายของผมน้อยลงก็จริง ค่าข้าว ค่าน้ำ ค่าไฟ ที่มันเป็นคนจ่ายตามงบที่แม่เกศโอนเข้าให้แต่ละเดือน ผมช่วยออกเท่าที่ไหว ยังมีค่าชีทเรียน ค่าหนังสือ ที่พออยู่กับมันแล้วประหยัดไปได้เยอะมาก เพราะแทบไม่ต้องซื้อหรือซีรอกส์เลย อ่านกับมันเนี่ยแหละง่ายสุด แต่ยังมีค่าเทอมที่ผมไม่ยอมให้มันจ่ายแทนแน่ๆ ถึงผมจะกู้กยศ. แต่มันคือหนี้ในอนาคตที่ผมต้องหาเงินมาคืนรัฐ ดังนั้นในตอนนี้ที่ผมยังมีแรงก็ขอทำงานหาเงินเก็บออมไว้ใช้หนี้กยศในภายภาคหน้าดีกว่า

ส่วนเรื่องที่มันเครียด ชอบไปหมกตัวอยู่คนเดียวอีกห้อง ตอนแรกผมก็คิดว่ามันอาจจะเครียดเรื่องเรียนหรือเรื่องงานที่พ่อมันโยนมาให้ทำเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่บริษัท แต่ที่ไหนได้เรื่องผู้หญิงทั้งหลายที่เข้ามาพัวพันกับมันนี่แหละ

ผมไม่เคยพูดนะว่าพอคบกับผมแล้วต้องเคลียร์สาวๆให้หมดคลัง เพราะเรื่องแบบนี้มันควรจะคิดได้เอง ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องพูด

คุณอาจจะคิดว่ากะอีแค่เคลียร์กิ๊กเก่าทำไมโทมันถึงต้องเครียดขนาดนั้น ไอ้โทเป็นคนตรงๆอยู่แล้ว เลิกคุยคือเลิก ไม่กลับไปนอนด้วยอีก ยิ่งมีผมออกสื่อแบบนี้ยังจะมีสาวไหนกล้าเข้ามายุ่งอีกเหรอ...คือมันไม่ใช่แค่นั้นอ่ะสิครับ

ในวันหนึ่งขณะที่เราสองคนกำลังช่วยกันทำโปรเจคก็มีข้อความเข้าดังมาจากมือถือไอ้โท เจ้าของหยิบมาดู ทำหน้าเครียดและหนีเข้าไปในห้องนอนเล็ก ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะอย่างที่บอกผมคิดว่าอาจเป็นเรื่องของแม่เกศหรือไม่ก็พ่อผมจึงนั่งเฉยๆ แต่พอได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์ดังเล็ดลอดออกมา จับใจความไม่ได้ ผมเลยเงยหน้าขึ้นมองประตูห้องนั้น รอจนเสียงเงียบลงกะให้มันออกมาเอง แต่จนแล้วจนเล่าร่างสูงก็ไม่มีทีท่าว่าจะออกมาสักที ผมเลยตัดสินใจเข้าไปเอง

เมื่อเปิดประตูเข้าไปสิ่งที่ผมเห็นคือสีหน้าไม่สู้ดีที่เอาแต่หมุนโทรศัพท์เล่นอย่างไม่กลัวว่ามันจะหล่นมือ มันเหม่อลอย ไม่รับรู้ด้วยซ้ำว่ามีใครเข้ามาในห้องแล้ว ผมไม่เคยเห็นมุมนี้ของโทมาก่อน ตัดสินใจก้าวเท้าเดินไปนั่งลงข้างๆมัน

‘เป็นอะไร เล่าให้กูฟังได้ไหม’

‘ไม่มีอะไร’ มันตอบเสียงแผ่วพลางเสหน้าไปอีกทาง

‘โท กูเข้าใจว่ามึงเครียด ไม่อยากเล่า แต่กู...กูเป็นแฟนมึงนะ คนเป็นแฟนกันนอกจากจะมีความรู้สึกดีๆต่อกัน เค้ายังแชร์ความสุข แบ่งปันความทุกข์ร่วมกัน กูไม่ใช่ใครที่ไหน มึงอย่าแบกความเครียดไว้คนเดียวเลย แบ่งมาให้กูเครียดบ้างก็ได้ ช่วยกันคิด ช่วยกันแก้ไข ดีไหม? เหมือนอย่างกูไงที่เครียดตลอด เครียดเรื่องเรียนเนี่ย ไวเบรชั่นห่าไรไม่รู้ ซับซ้อนชิบหาย มึงยังช่วยกูเลย’

‘มันคนละอย่างกัน’

‘ใช่ที่ไหน กูเครียดเรื่องเรียน จะดรอปดีมั้ย จะเอฟแหล่ไม่เอฟแหล่ จะจบ 4 ปีรึเปล่า...เนี่ยเป็นความเครียดของกูที่มึงช่วยแชร์ มึงช่วยกูมาตลอด แต่นี่พอมึงเครียด มึงกลับไม่ให้กูช่วยอ่ะโท ทำไมวะ ทำไมมึงไม่บอกกูว่ามึงเครียดเรื่องอะไร มึงไม่ไว้ใจกูเหรอ มึงไม่พูดกูก็ไม่รู้หรอกนะว่ามึงมีปัญหาอะไร’

คนข้างๆยังคงเงียบ ผมเลยสำทับต่อ

‘การสื่อสารให้เข้าใจตรงกันเป็นสิ่งสำคัญนะ คนทะเลาะกันผิดใจกันเพราะไม่ยอมพูดไม่ยอมปรับความเข้าใจกันมีถมไป ยกตัวอย่างง่ายๆก็เหมือนมึงกะกูในอดีต มึงอยากให้เราเป็นแบบนั้นอีกเหรอ?’

ได้ผล คราวนี้ใบหน้าได้รูปเงยขึ้นมามอง

‘ไม่...กูไม่อยากให้เราเป็นแบบนั้นอีก’

‘งั้นก็บอกมาปัญหาอะไรหึ?’

‘ถ้าบอกไปแล้ว...กูขอร้องอย่างเดียว...ขอให้กูได้รักมึงเหมือนเดิมนะ ต่อให้มึงเกลียดหรือโกรธกู กูก็จะไม่ห้ามเลย’

‘อืม’




‘กูทำผู้หญิงท้อง’



!



ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน จังหวะนั้นยอมรับว่าช็อค ตัวชา สมองมึนเบลอ แต่เมื่อตั้งสติได้ผมก็ค่อยๆคิด และถามมันอย่างช้าๆ

‘ไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ย?’

‘ลินส่งข้อความมาบอกเมื่อกี้’ แววตามันไม่มีประกายหยอกล้อเหมือนตอนที่มันชอบแกล้งผม ‘กูขอโทนะโม กูมันเหี้ยเอง’

‘ขอดูข้อความหน่อย’ อีกฝ่ายทำหน้าไม่เข้าใจ ‘ผมจึงต้องขออีกที ข้อความนั้นอ่ะ ที่ลินส่งมาบอก ขอดูหน่อย’ มันยื่นมาให้อย่างงงๆ
ผมปลดล็อคแล้วกดเข้าไปดูไลน์คนชื่อลิน

โท...เราท้องได้ 5 เดือนแล้ว

ข้อความมาพร้อมกับรูปอัลตร้าซาวน์

‘เมื่อกี้กูโทรคุยกับลิน เธอบอกว่าเธอเพิ่งรู้ว่าตัวเองท้อง ประจำเดือนไม่มาหลายเดือนแล้ว แถมเป็นท้องสาวเลยไม่ยื่นมากนัก เธอนึกว่าเธอแค่อ้วนขึ้นนิดหน่อย’

‘ถ้ากูบอกว่ากูเผลอไปทำผู้หญิงท้องมึงจะว่าไง’ ผมถามโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ไอ้โทหยุดคิดก่อนจะตอบ

‘กูจะเสียใจ โกรธ โมโห อาละวาด ประมาณนั้นมั้ง’

‘ใช่เลย แต่นั่นมันมึง ไม่ใช่กู กูเสียใจอ่ะเสียใจแน่ แต่ก่อนที่กูจะโกรธ โมโห หรือตัดสินว่ามึงผิด...คือกูจะสืบหาความจริงให้กระจ่าง ไม่ใช่แค่ถ้อยคำไม่กี่พยางค์ก็เชื่อเป็นตุเป็นตะแล้ว มึงยังไม่เข็ดอีกเหรอถามจริง? บทเรียนในอดีตไม่ได้สอนอะมึงเลยงั้นสิ?’

เรื่องที่ผมโดนใส่ความ ขายตัว อะไรทั้งหลายนั้นไม่ได้สอนอะไรมึงเลยเหรอโท...

ให้ตายสิ ฉลาดแค่เรื่องเรียน แต่เรื่องพวกนี้มึงยังโง่เหมือนเดิม

‘กูให้เวลามึงคิดนะโท ว่ามึงควรทำยังไงกับเรื่องนี้ ถ้าคิดได้แล้วค่อยออกมาคุยกับกู’ ผมลุกขึ้นตัวตรง ‘อ้อ ถ้าคิดได้แค่แบบเดิมๆ กูบอกไว้เลยนะ ว่ากูจะหายไปจากชีวิตมึง ไม่ได้ขู่ แต่ทำจริงแน่ กูไม่อยากมีแฟนโง่หรือหูเบา’

จบคำผมเดินออกมาจากห้องนั้นทันที ปิดประตูเสียงดังเพื่อให้มันรู้ว่าผมไม่พอใจ

ใช่...ผมไม่พอใจที่มันไปทำผู้หญิงท้อง นั่นมันก็ส่วนหนึ่ง แต่อันที่จริงแล้วผมไม่พอใจที่มันยังคงทำตัวแบบเดิม ใช้อารมณ์เหนือเหตุผลมากกว่า
แม้ลึก ๆ แล้ว ใจผมกำลังกลัว...แต่อีกใจก็เชื่อมั่น ว่าไอ้โทจะไม่ทำให้ผมผิดหวัง...

ผมนั่งดูทีวีเรื่อยเปื่อยเพื่อฆ่าเวลา รอใครบางคนคิดได้ โปรจงโปรเจคอะไรนั่นวางไว้ก่อน ยังไม่อยากโฟกัสอะไรหนักหัวตอนนี้

จนในที่สุดก็ได้ยินเสียงประตูเปิด พร้อมกับร่างสูงที่เดินก้มหน้าเข้ามาสวมกอดด้านหลัง

ผมไม่พูดอะไร รอให้มันเป็นฝ่ายเปิด คอยดูว่ามันจะให้คำตอบที่ผมพึงพอใจหรือไม่

‘กูจะให้ลินไปตรวจ DNA ว่าเด็กในท้องเป็นลูกของกูจริง ๆ รึเปล่า’

ในที่สุด...ไอ้โทก็คิดได้สักที

มันค่อย ๆ เล่าถึงผู้หญิงคนนี้ และเหตุผลว่าทำไมมันถึงคิดว่าเด็กในท้องของลินเป็นลูกมัน

‘ช่วง 5 เดือนก่อน...ก่อนที่จะเกิดเรื่องมึง กูไปเที่ยวตามปกติ...ได้เจอลิน รู้จักกันผิวเผิน คุยกันได้ไม่กี่วันก็เบื่อ กูเลยเลิกคุย แต่ทุกครั้งที่กูมีเซ็กส์กับผู้หญิงกูใส่ถุงยางป้องกันทุกครั้ง แต่ที่กูไม่มั่นใจคือถุงยางอาจจะรั่วก็ได้ แถมอายุครรภ์ 5 เดือนมันก็ตรงกับช่วงที่กูนอนกับลินพอดี’

‘กูดีใจนะที่มึงคิดได้’ ผมยิ้มน้อยๆ กุมมือแน่นเพื่อให้มันมั่นใจว่า ณ ตอนนี้ เวลานี้ ผมยังอยู่เคียงข้างมัน

‘กู...ไม่รู้จะพูดอะไร นอกจากขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ นะโม ขอบคุณที่ทำให้กูคิดได้ ทั้ง ๆ ที่กูทำกับมึงขนาดนี้แต่มึงยัง...ไม่หนีไปไหน’


‘แต่กูคงต้องไป ถ้าหากเด็กคนนั้นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของมึงจริงๆ’


‘เข้าใจ...ถึงเวลานั้น จะไม่ห้ามอะไรเลย กูจะปล่อยให้มึงไปเจอคนที่ดีกว่า เพราะกูไม่คู่ควรกับมึงสักนิดเดียว’ น้ำเสียงสั่น ๆ กับความเปียกชื้นที่ไหล่ทำให้ผมต้องเอื้อมมือไปกอดมันเบาๆ

‘อย่าเพิ่งพูดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึงสิ ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แก้ปัญหากันไปทีละจุด ตอนนี้มึงยังมีกูช่วยคิด’

‘แล้วถ้าอนาคตกูไม่มีมึงล่ะ’

‘…’

ผมไม่ตอบ ปล่อยให้ความคิดล่องลอยฟุ้งซ่านอยู่ในหัว ราวกับหมอกควันหนาที่เป็นอุปสรรคขวางทางข้างหน้า มันอึดอัดคิดไม่ออกว่าควรจะเดินต่อหรือหยุดลงตรงนี้ดี





ต่อด้านล่างค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-06-2017 16:12:35 โดย ✿PIERRE »

ออฟไลน์ ✿PIERRE

  • ดองนิยายข้ามปี
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 434
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-6
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.85 - 11/06/2017]]
«ตอบ #2546 เมื่อ11-06-2017 16:12:18 »

จากข่าวที่ได้รับในวันนั้น ไอ้โทโทรคุยกับลินเพื่อนัดไปโรงพยาบาลตรวจพิสูจน์ความเป็นบิดาของทารกในครรภ์โดยใช้ตัวอย่างน้ำคร่ำ ต้องรอผลการตรวจประมาณ 1 สัปดาห์ ซึ่งตรงกับวันนี้พอดี

“มานั่งเหม่อไรตรงนี้วะ อยากเป็นพระเอกเอ็มวีเหรอ”
“เออสนใจมาเป็นนางเอกให้กูมั้ยบูม”
“เอ๋า อยากเล่นเลสก็ไม่บอก กร๊ากกกก เฮ้ยยย อย่าเอา Textbook ฟาดกู ไม่ใช่ไร หนังสือแพง”

กะกวนตีนมันแต่ไอ้บูมดันสวนกลับซะไปต่อไม่ถูก

ขณะนี้ผมนั่งอยู่ตรงโต๊ะม้าหินที่ประจำของพวกเรา นั่งมองดูนักศึกษาเดินขวักไขว่เพราะเป็นเวลาเย็นเลิกเรียน มองดูลมพัดใบไม้พลิ้วไหว มองดูฝูงนกพิราบเดินบนพื้น

“แล้วนี่...ผู้คุมมึงไปไหน”
“ไปรับผลตรวจ”
“อ๋อ อืม” สีหน้ามันเรียบตึงขึ้นทันที

ผมเล่าให้ไอ้บูมฟังทุกอย่าง เหนื่อยแล้วกับการที่ต้องมาปิดบังความลับโน่นนี่ บูมมันเป็นเพื่อนที่ดี หลาย ๆ เหตุการณ์มันก็พิสูจน์ให้เห็นแล้ว คงไม่แฟร์กับมันหากผมยังเลือกที่จะปกปิดในขณะที่มันพร้อมที่จะช่วยเหลือผมตลอด

อาทิตย์ที่แล้วไอ้โทขอร้องให้ผมไปกับมัน ซึ่งผมก็ทำตามคำขอ นัดเจอลินที่โรงพยาบาล เธอเป็นผู้หญิงหน้าตาดีและหุ่นดี หากไม่สังเกตคงไม่มีใครรู้ว่าเธอตั้งครรภ์ได้ 5 เดือนแล้ว วันนี้มันก็ขอให้ผมไปด้วยอีก แต่ผมปฏิเสธ

บอกตรง ๆ ว่าไม่พร้อม...

อยากยืดเวลาอีกสักนิด วินาทีเดียวก็ยังดี...

“แล้วมึงไม่ไปกับมันเหรอ?”
“เดี๋ยวไปเจอที่ห้อง”
“อืม” บูมตบบ่าผมเบา ๆ “ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง กูเคารพในการตัดสินใจของมึง”

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน บูมกลับไปแล้ว มันบอกว่าจะไปส่งผมแต่ผมขอกลับเองดีกว่า ท้องฟ้าเปลี่ยนสี แสงไฟในอาคารเจิดจ้า มีนักศึกษาบางคนนั่งอ่านหนังสือหรือไม่ก็จับกลุ่มคุยกัน

ในมือคลึงโลหะเย็น ๆ แต่ใจไม่ได้จดจ่อกับสิ่งของที่อยู่ในมือแม้แต่น้อย

แหวน...

สิ่งแทนใจโง่ ๆ ที่ใคร ๆ ก็รู้จักว่ามันมีหน้าที่อะไรนอกจากประดับไว้บนนิ้วมือ

ผมไม่ได้ตั้งใจจะซื้อแต่พอดีเหลือบไปเห็นขณะที่กำลังรอไอ้โทเข้าห้องน้ำตอนไปไนท์มาร์เก็ต ตัวแหวนเรียบเกลี้ยงไม่สลักอะไรเลย หยิบขึ้นมาสองวงแบบกะ ๆ ขนาดเอาแล้วจ่ายเงินทันที มูลค่าไม่ถึง 500 ด้วยซ้ำ

นึกถึงใบหน้ายิ้มเศร้าเวลาที่มันบอกรักผม แต่ผมกลับไม่เคยมีคำนี้หลุดจากปาก ก็ทำให้ผมรู้สึกผิดอยู่หน่อย ๆ มันไม่เคยพูด ไม่เคยถาม ไม่เคยเร่งรัด ไม่เคยเรียกร้องคำ ๆ นี้ ทว่าแววตาท่าทางมันบ่งบอก ผมรับรู้ได้

จะให้ตั้งนานแล้วแต่ไม่มีโอกาสสักที

พอเกิดเรื่องแบบนี้จะมีโอกาสได้ให้ไหมผมยังไม่แน่ใจเลย

มองดูนาฬิกาข้อมือ เข็มสั้นชี้เลข 8 ผมลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ

ถึงเวลาที่ผมต้องรับความจริง ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงก็ตาม...









RRRRRRRRRRR

เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ผมเดินไปหยิบมันขึ้นมาจากโต๊ะหน้าทีวีอย่างเซ็งๆ

“มีไรวะ” คนที่โทรมาคือบูม เพื่อนในกลุ่มผมเอง

/มึงซวย ซวย ซวยแล้วไอ้โม/

“ซวยอะไรของมึง ช่วยอธิบายให้เข้าใจได้มั้ยวะ?”

รูปสนทนานี้มันคุ้น ๆ แหะ...เหมือนเคยได้ยินที่ไหนสักแห่ง

/มีคนเอารูปมึงไปแปะเต็มบอร์ดเลย/

“ห๊ะ!”

อีกแล้วเหรอ...นี่มันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย

“บอร์ดที่ไหน?”

/เนี่ยมึงมาดูดิ ตึกตรงข้ามคณะนิเทศอ่ะ/

“เออ เดี๋ยวกูไป แล้วมึงอยู่ไหน”

/เนี่ยกูเฝ้าอยู่ มาเร็ว ๆ นะเว้ย/

“โอเค เดี๋ยวรีบไป”

ผมโบกแท็กซี่ใช้เวลาไม่ถึง ครึ่งชั่วโมงก็มาถึงหน้ามหาลัย ในใจคิดว้าวุ่นไปหมดว่าตัวผมยังต้องเจอเรื่องเหี้ยอะไรอีก เดินมาเรื่อย ๆ ก็เจอตึกคณะนิเทศ แต่จากที่ไอ้บูมเล่ามันบอกว่ารูปผมติดอยู่ตรงบอร์ดตรงข้ามตึก เลยเดินข้ามถนนไป มองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นวี่แววคนโทรมาบอกสักนิด

หรือจะอยู่ด้านในตึก?

พอผมเดินผ่านประตูบานเลื่อนอัตโนมัติ ไฟที่เคยสว่างไสวรอบตัวก็ดับลง ผมเกือบจะโวยวายแล้วเชียวถ้าไม่เห็นแสงไฟสีเหลืองนวลจากเทียนหอมที่วางอยู่บนพื้นเป็นลูกศรแสงนำทางให้ผมตามไปจนสุดทาง ผมกระพริบตามองบอร์ดที่อยู่ห่างจากผมไม่ถึงเมตรอย่างเหลือเชื่อ

รูปผม...รูปผมเต็มไปหมดเลย...ทุกอิริยาบถ ทุกท่าทาง หัวเราะ หน้าบึ้ง ขมวดคิ้ว ดีใจ ยิ้มกว้าง รวมไปถึงตอนแอบหลับในคาบเรียน กินก๋วยเตี๋ยว ดูดน้ำ ยืนพรีเซ้นต์งานหน้าห้อง เต้นไก่ย่างรับน้องเฟรชชี่ในภาค ทำตาเหล่ใส่กล้อง ภาพเหวอก็มี และอื่น ๆ ที่ผมไม่รู้ตัวเลย อย่างเช่นรูปนี้...

ผมดึงมันออกมา เป็นรูปของผู้ชายหน้าตาธรรมดา ไม่มีอะไรโดดเด่น นอนซุกกับหมอนใบโตหลับสนิท ชนิดที่ว่าปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น แถมยังขี้เซาถึงได้ชอบไปเรียนสายเป็นประจำ

รูปของผมเอง...

และคนที่ถ่ายจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...

นายโท กิจภาคิณ

ผมที่เริ่มประติดประต่ออะไรบางอย่างได้แล้วจึงเดินตามแสงเทียนเลี้ยวไปทางขวาเพื่อขึ้นบันได โดยแต่ละขั้นจะมีโพสอิสเขียนคำแปะติดไว้ อ่านรวม ๆ แล้วได้ความว่า

‘คุณ คือ ผู้ ชาย ธรรม ดา ๆ ที่ ผม หลง รัก’

เมื่อถึงชั้นสองก็เจอกับม่านตาข่ายรูปหัวใจ ผมปัดให้พ้นทาง แสงเทียนหายไปแล้ว เหลือแต่เขาวงกตที่ผมต้องเดินต่อ ผมลูบไปตามผนังสัมผัสหยาบคิดว่ามันคงถูกสร้างมาจากกระดาษลูกฟูกที่ถูกทาสีคราม สีที่ผมชอบ ไล่สีน้ำเงินและฟ้าอ่อนให้ดูคล้ายกับท้องฟ้า มีรูปผมขนาดต่าง ๆ แปะตามผนังเขาวงกตนี้สลับกับข้อความที่ผมจำได้แม่นว่าคือลายมือของใครบางคน

เริ่มแรกผมและคุณเป็นเพื่อนกัน
ผมคิดว่าตัวเองพอใจกับสถานะนี้
ทว่าจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เลย
ผมอยากกอดคุณ อยากอยู่เคียงข้างคุณ
เราเหมือนจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
แต่แล้วผมก็ทำความสัมพันธ์นั้นพังกับมือ
ในตอนนั้นผมโง่มาก ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัว
ได้แต่ขอโอกาสจากคุณ แม้ความหวังจะริบหรี่ก็ตาม
เพราะคุณใจแข็งมาก จนมีหลายครั้งที่ผมท้อ แต่ผมจะไม่ถอย
ผมจะปกป้องดูแลคุณให้ถึงที่สุด
เพื่อชดเชยการกระทำในอดีตที่ผมรู้ว่ามันคงเทียบกันไม่ได้
และในที่สุดผมก็ทำได้
คุณเห็นเศษเสี้ยวในความพยายามของผม
เรากลับมาดีกันเหมือนเดิม
อีกทั้งคุณยังตอบรับความรู้สึกผม
ให้ผมได้เรียกคุณว่าแฟน
ต่อมาผมเกือบจะเสียคุณไปอีกครั้ง
ซึ่งครั้งนี้มันต่างออกไป
เพราะถ้าผมเสียคุณไปแล้ว...
ผมจะไม่มีวันได้คุณกลับคืนมาอีกเลย


ผมออกมาจากเขาวงกตแล้ว โผล่มายังพื้นที่โล่ง ๆ ผนังสีขาวเรียบ ไม่มีอะไรเลยประดับเลยนอกจากรูปวาดขนาดประมาณสองเมตร

ฝีมือห่วยแตก ลายเส้นงั้น ๆ แถมลงสีน้ำได้เลอะเทอะ แสงเงาอะไรไม่มี เอาง่าย ๆ ว่าระบายตามใจฉัน

นั่นคือความคิดแรกที่เห็น แต่พอจ้องมองดี ๆ แล้ว รูปภาพนั้นคือตัวผมเอง

ขณะที่ผมกำลังวิจารณ์รูปวาดตรงหน้า จู่ ๆ ก็มีเสียงทุ้มดังขึ้น ตามด้วยร่างสูงที่ออกมาจับมือผมไว้แน่น

“และครั้งนั้น ผมยอมรับเลยว่ากลัว กลัวว่าคุณจะไม่กลับมาฟังข่าวดีจากผม ผมรออยู่นานมาก แต่ผมก็ยังจะรอ สุดท้ายคุณก็กลับมา...”
อ้อมแขนโอบกอด ผมซบหน้าลงบนบ่ากว้าง

ย้อนความกลับไปตอนที่ผมต้องกลับไปฟังผลตรวจ ผมยังจำความรู้สึกนั้นได้ เพราะมันเหมือนกับตอนนี้ ที่พอเปิดประตูเข้าไปไอ้โทก็โผเข้ากอดแล้วกระซิบข้างหูว่า ‘ไม่ใช่...’ วินาทีนั้นผมทรุดลงกับพื้น ความรู้สึกหลายอย่างไหลทะลักออกมากักเก็บไว้ไม่อยู่จนต้องพึ่งพิงให้คนตรงหน้า เราสองคนปลอบประโลมซึ่งกันและกัน

“พอแล้ว ผมหยุดทุกอย่างแล้ว ขอแค่มีคุณอยู่ข้างกาย ชีวิตนี้ผมไม่ต้องการใครอีกแล้ว...ขอโทษที่ทำให้ต้องผิดหวังหลายครั้งหลายครา แต่นับจากนี้ไปมันจะไม่มีอีก”

ผมดันตัวเองออก มองขึ้นไปสบตากับคนที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว

“ขอบคุณมาก ขอบคุณจริง ๆ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ขอบคุณที่เชื่อใจ ให้โอกาส ขอบคุณที่คบกับผมจวบจนครบรอบ 1 ปี”


1 ปีแล้วเหรอ...จะว่านานก็นาน จะว่าสั้นก็สั้น
1 ปีที่คบกัน...ผมกับโท
1 ปีที่ผ่านมานี้...มันไม่เคยทำอะไรผิดพลาดอีกเลย

คอยดูแล เอาใจใส่ หากมีปัญหาอะไรก็พร้อมที่จะช่วยกันแก้ไข อุปสรรคที่เข้ามาสอนเราอะไรหลาย ๆ อย่าง ทั้งผมและมันค่อย ๆ เรียนรู้ ทำความเข้าใจ ปรับตัวเข้าหากัน

แม้เวลาเพียงแค่นั้นอาจจะยังพิสูจน์อะไรไม่ได้มากนัก ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ผมก็พร้อมที่จะเสี่ยง ขอมอบความรู้สึกดี ๆ นี้ให้กับคนคนนี้

ชีวิตคนเราต่างกัน บางครั้งอาจเรียบง่ายเหมือนแม่น้ำที่ไหลนิ่ง บางครั้งก็เหมือนท้องทะเลที่เราไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าคลื่นมรสุมจะมาตอนไหน เมื่อไหร่ มันก็เหมือนกับอุปสรรคที่พัดผ่านเข้ามาในชีวิต อยู่ที่ว่าเราจะเข้มแข็งต้านทานคลื่นลมนั้นไหวหรือเปล่า พร้อมจะเผชิญหน้ากับมันหรือหนีหายไปจนอาจพลาดสิ่งดี ๆ ที่ตามมาหลังจากคลื่นนั้นอ่อนแรงและกลับมาเงียบสงบเหมือนเดิม

สำหรับผมในตอนนี้ ผมพร้อมจะเผชิญหน้าทุกสิ่ง ไม่ว่าอุปสรรคไหนก็ไม่หวั่น เพราะผมมีคนข้างกาย คนที่ผมสัญญาไว้กับตัวเองแล้ว่าจะไม่ปล่อยมือเขาไป เช่นเดียวกันกับเขาที่จะไม่ยอมให้ผมต้องต่อสู้ตามลำพังอีกแน่นอน เราจะช่วยกันคิด ช่วยกันแก้ไข และผ่านมันไปด้วยกัน

“ผมรักคุณ”

แม้จะเป็นประโยคสั้น ๆ แต่กลับทำให้คนฟังอุ่นไปทั้วหัวใจ

เอ...ผมเคยบอกรักโทรึยังนะ...

ยังงั้นเหรอ...คงถึงเวลาแล้วสินะ...คำพูดที่มันรอฟังจากปากผมมาโดยตลอด...

ผมหยิบแหวนออกมาจากกระเป๋ากางเกงที่หยิบติดมือมาด้วย จับมือหนาขึ้นมาสอดแหวนเลี้ยงจนสุดโคนนิ้ว ผมเงยหน้ายิ้มกว้าง ริมฝีปากอุ่นประทับลงมาอย่างหนักหน่วง ผมเงยหน้าเต็มใจรับจูบที่โทมอบให้

“ผมก็รักคุณ”



- End -
















จบแล้วค่ะ ไม่มีอะไรจะกล่าวนอกจากคำว่า "ขอบคุณ"

ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่ติดตามและรอคอยมาจนถึงบทสุดท้าย แพรยอมรับเลยว่ามีหลายครั้งที่ท้อ ขี้เกียจ ไม่อยากแต่งแล้ว แต่พอได้เห็นกำลังใจจากหลายๆคนมันทำให้แพรฮึดสู้อีกครั้งค่ะ

ถึงแม้เวลาในเรื่องจะดำเนินไปไม่นาน แต่ทว่าในความจริงแล้วแพรใช้ระยะเวลาแต่งเรื่องนี้ถึง 4 ปีกว่า มันนานมาก ๆ จนนักอ่านบางคนที่ติดตามมาตั้งแต่ม.ต้นก็ได้ย้ายเข้าสู่มปลาย บางคนเข้าปี 1 จนตอนนี้เรียนจบแล้ว กร๊ากกกก ถือว่าเราเติบโตไปด้วยกันนะคะ โตไปพร้อมๆกับนะโมและโท

แพรยอมรับเลยว่าแต่งได้ไม่ดี เพราะมีทั้งนักอ่านที่ถูกใจและก็ไม่เห็นด้วยในการกระทำของตัวละคร อีกทั้งพล๊อตที่แพรวางไว้แต่เริ่มมันอ่อนมาก มีหลายจุดที่พลาดไป แพรวางโครงเรื่องไว้ยากเอง แต่งยากมาก ๆ ค่ะกับบทพระนางที่ตบจูบข่มขืนแล้วมารักกันตอนสุดท้ายเนี่ย..คนเขาด่ากันทั่วบ้านทั่วเมืองว่าเป็นพล๊อตไร้สาระมาก มีให้เห็นในละครและนิยายเกลื่อน ซึ่งอันที่จริงแพรกะจะให้นะโมอยู่เป็นโสดไปจนจบด้วยซ้ำ ... แต่ก็อย่างว่า แพรชอบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งมากกว่าค่ะ แพรพยายามเขียนออกมาให้ได้ดีที่สุด แต่ถ้าหากมันยังไม่ดีพอก็สามารถติมาได้เลยนะคะ แพรน้อมรับทุกความคิดเห็นค่ะ

ขอบคุณจากใจจริงอีกครั้งค่ะ

ปล. ตอนพิเศษเดี๋ยวตามมานะคะ
ปลล.ส่วนหนังสือเดี๋ยวมาแจ้งข่าวค่า ไม่รู้ว่ามีคนสนใจไหม แหะๆ

Pierre


ตอนพิเศษในเล่ม

Behind the scence #1 #2 #3

เบื้องหลังน่ารักๆของนะโมและโทแบบสั้นๆ

First met

เมื่อโทเจอกับนะโมครั้งแรก

Let me take charge

เมื่อนะโมอยากรุก



ส่วนคู่ เอ๊ย คี่บูม จะไม่มีในหนังสือนะคะ

เป็นการสื่อสารผิดพลาดของแพรกับทางสนพ.เองค่ะ

ดังนั้นแพรขออนุญาตติดเหรียญในเว็บแทนนะคะ

ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่เข้าใจค่ะ



สุดท้ายขอฝากคลิปน่ารักๆของเรื่องนี้ไว้ด้วยน้าาาา
https://www.youtube.com/watch?v=ox1yU1e21W8

ขอบคุณค่าาาา



ก่อนจาก ฝากนิยายเรื่องใหม่ แฮร่

As He Pleases ; สาย BDSM ห้ามพลาด เรื่องนี้เบสอยู่ที่สวิสค่าาาา

ก็คงมีแต่โจรแหละครับที่รักจริง ; ไอ้โต๊ดโจรกระจอก นิยายรักไสยไสยวับขบเผาะ



เลิ้บบบบบบบบ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-11-2019 23:47:25 โดย ✿PIERRE »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.85 - 11/06/2017]] อัพตอนจบ
«ตอบ #2547 เมื่อ11-06-2017 16:36:42 »

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.85 - 11/06/2017]] อัพตอนจบ
«ตอบ #2548 เมื่อ11-06-2017 18:24:50 »

ในที่สุดก็แฮปปี้

ขอบคุณนะคะ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: When we call it 'LOVE' ... [[UP p.85 - 11/06/2017]] อัพตอนจบ
«ตอบ #2549 เมื่อ11-06-2017 18:54:14 »

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด