เริ่มแผน
“เจ้าพวกลูกเต่า กล้าดียังไง มาจับข้าไว้ แบบนี้” ไป๋เซียนสบถลั่น เมื่อตื่นขึ้นมาพบว่าตนและคนสนิทถูกขังไว้ในบ้านหลังหนึ่ง ข้อเท้าของเขากับชานเหลียนถูกโซ่ล่ามเอาไว้ คิดแล้วมันเจ็บใจ หากว่าเป็นเขาในยามปกติโซ่เส้นนี้ไม่มีทางที่จะหยุดเขาได้ แต่เมื่อครู่เขาพยามเดินลมปราณแล้วมันกลับไม่เป็นผลเลยสักนิด นั่นคงเป็นเพราะพิษที่อยู่ในร่างกายของเขา ไป๋เซียนไม่รู้ว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนี้เป็นพิษชนิดใด คล้ายว่าจะเป็นพิษสลายกำลังแต่กลับมีผลที่รุนแรงกว่ามาก แต่คนอย่าง ไป๋เซียน ไม่มีทางจะยอมแพ้ คนพวกนั้น เด็ดขาด ไม่มีวัน!!
“ไม่มีประโยชน์ หรอกขอรับ ท่านไป๋เซียน ต่อให้เราตะโกนจนตาย พวกนั้นก็คงไม่มีทางปล่อยเราไป” ชานเหลียนยังคงมีท่าทีที่สงบนิ่ง ต่างจากร่างบางที่ตอนนี้ มีเรื่องให้กังวลมากมาย ทั้งเรื่อง จื่อเทาและเรื่องของตัวเอง
“ทำไม เจ้ายังนิ่งเฉย อยู่ได้ ชานเหลียน”
“เพราะข้าน้อยคิดว่ามันไม่มีประโยชน์ ตอนนี้เราไม่สามารถใช้วรยุทธได้ ก็ไม่ต่างอะไรจากชาวบ้านธรรมดาทั่วไป สู้ใจเย็นรอดูสถานการณ์ก่อนไม่ดีกว่าหรือขอรับ” คนสนิทยังบอกอย่างใจเย็น ร่างบางทำได้เพียงสบถอยู่ในใจก่อนจะกระแทกกายนั่งลงอย่างเสียไม่ได้
แล้วไปเถอะ เขาขี้เกียจจะต่อปากต่อคำกับคนสนิทแล้ว สู้หาวิธี ออกไปจากที่บ้าๆ นี่จะดีกว่า
“เมื่อคืนหลับสบายดีหรือไม่” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมๆกับประตูที่เปิดออกอย่างถือวิสาสะ ก่อนที่ร่างอวบจะเดินเข้ามาพร้อมกับคนรักหน้านิ่ง
“หึ” ร่างบางทำเพียงแค่นเสียงในลำคอก่อนจะเชิดหน้าอย่างถือดี จนซิ่วหมิ่นแทบจะเอาชามข้าวที่ถือมาทุ่มใส่สักครั้ง แต่ติดที่ว่าคนหน้านิ่งข้างๆ จับมือเขาไว้แน่น
“กินซะ เจ้าจะได้ไม่หาว่า ข้าใจดำให้เจ้าอดข้าวอดน้ำ” ร่างอวบบอกพลางยื่นชาวข้าวและกับที่มีเพียงผัดผักให้อีกฝ่าย แต่กลับเป็นชานเหลียนที่รับแทน ร่างสูงรู้ดีไม่มีทางที่คน ทิฐิสูงอย่าง ไป๋เซียนจะยอมรับของจากศัตรู
“ไปเถอะ จงต้า รีบๆกินซะนะ เพราะพวกเจ้ายังมีเรื่องต้องทำอีกมาก ” ร่างอวบทิ้งท้ายก่อนจะทิ้งให้ เชลยทั้งสองมองหน้ากันด้วยความงุนงง
เรื่องต้องทำอีกมาก มันเรื่องอะไรกัน
“กินเสียหน่อยเถิด ขอรับ” ร่างสูงบอกพลางคีบผัดผักใส่ชามของคนตรงหน้า
“ข้าไม่กิน” ร่างบางบอกอย่างถือดี
“ท่านไป๋เซียน”
“เจ้าจะกิน อาหารของศัตรู ไม่ได้นะชานเหลียน หากว่าในอาหารมีพิษเจ้าจะทำเช่นไร”
“ไม่หรอก ขอรับ หากว่าพวกเขาจะฆ่าเรา คงฆ่าไปแล้ว เขาคงจับเรามาขังเพราะต้องการต่อรองบางอย่างมากกว่า” ร่างสูงอธิบาย
ก่อนจะเสมองอีกคนที่ยังคงไม่ยอมยกตะเกียบ
“ท่านไป๋เซียน นี่ไม่ใช่เวลาที่ท่านจะดื้อแพ่ง อีกแล้วนะขอรับ หากท่านไม่กินจะเอาแรงที่ไหน คิดหาทางออก กินเสียหน่อยเถิด” ร่างสูงพยายามอธิบายให้คนตรงหน้าฟังอย่างใจเย็น ไป๋เซียนมองคนสนิทอย่างชั่งใจก่อนจะคีบอาหารเข้าปากอย่างเสียไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะกินของ ของศัตรูหรอกนะ แต่เพราะเขาต้องการกำลังจะคิดหนี ต่างหาก
“ซิ่วหมิ่น เจ้ายิ้มอะไร ข้าเห็นเจ้ายิ้ม มาตั้งแต่เมื่อครู่แล้วนะ” จงต้าเอ่ยถามคนรัก ที่ดูจะมีความสุขเหลือเกินหลังจากที่พวกเขาเอาข้าวไปให้ สองคนนั้นที่กระท่อมบนเขา
“ก็เช้านี้ข้าอารมณ์ดียิ่ง ฮ่าๆๆ” ร่างอวบหัวเราะร่วน ยิ่งทำให้คนข้างๆสงสัยมากเข้าไปอีก
“เจ้าจะบอกข้าได้หรือยัง ว่าเจ้าอารมณ์ดี เพราะอะไร ”
“ข้าต้อง อารมณ์ดีสิ เพราะวันนี้ สมควรมีงานมงคล”
“งานมงคล ที่หมูบ้านข้างๆ มีงานมงคลหรือ เหตุใดข้าไม่รู้”
“ใครบอกว่า หมู่บ้านข้างๆ เป็นบ้านบนเขานั่นถึงจะถูก” คนร่างอวบบอกก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์
“ซิ่วหมิ่น เจ้าทำอะไรกันแน่!!”
“อย่าเสียงดังสิ เจ้าต้องชมข้าถึงจะถูก เพราะข้าคนนี้คือ พ่อสื่อชั้นดีเชียวนะ ข้าแค่ทำให้คน “รัก” กันเจ้าตกใจอะไรหนักหนา”
“ซิ่วหมิ่นเจ้า..”
“เจ้าก็รู้ช่วงนี้ข้าสนใจศึกษาสมุนไพร มันก็ต้องทดลองเพื่อความถูกต้อง ข้าก็แค่ใช้พวกเขาทดลองยาของข้า ซ้ำยังเป็นการช่วยให้เจ้าไป๋เซียน นั่นเข้าใจถึงหัวอกของคนมีความรักอีกด้วย เจ้าเห็นหรือไม่ ว่ามันมีแต่ได้กับได้” ร่างอวบบอกอย่างภูมิใจ
“แต่วิธีของเจ้ามันผิด เจ้าใช้ยากับพวกเขาได้อย่างไร ความรักมันควรเกิดจากความสมัครใจ มิใช่ เล่ห์กลเช่นนี้” จงต้าอยากจะร้องไห้ เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่าคนรักจะ คิดแผนอะไรได้ซับซ้อนจนน่าปวดหัวเช่นนี้ ขนาดว่าเขาทำใจไว้แล้วว่าแผนการของซิ่วหมิ่นต้องไม่ “ธรรมดา” แต่ก็ไม่คิดว่าคนรักของตัวเองจะทำอะไรเช่นนี้
“เจ้าอย่ามัวพูดมาก จะทำให้ข้าอารมณ์เสีย รอดูต่อไปเถอะ แผนข้ามันต้องสำเร็จ รีบๆไปได้แล้ว ปล่อยให้พวกเขาใช้ ชีวิต“ผัวเมีย”ไปสักพักเถอะ”
จงต้าคล้ายจะยิ้มก็ยิ้มไม่ได้ จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก สวรรค์ ท่านสร้างสติปัญญาอะไรมาให้คนรักของข้ากัน ทำไม ซิ่วหมิ่นถึงได้มีความคิดที่ “คาดไม่ถึง” เช่นนี้
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ร่างบางที่ยังคงนั่งอยู่บนโต๊ะ กลับรู้สึกว่ามันบางอย่างที่ผิดปกติ และมัน ผิดปกติมากเสียด้วย ร่างกายร้อนวูบวาบคล้ายกับมีกองเพลิงกำลังสุมอยู่ภายใน ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่น่าเกิด กำลังก่อตัวขึ้นจนรู้สึกทรมาน
เจ้าคนพวกนั้น กล้าดี ยังไง ถึงวางยา เช่นนี้กับเขา!!
ร่างบางที่พยายามสะกดกลั้นอารมณ์และความร้อนในร่างกายอย่างทรมาน ทำให้ร่างสูงที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักต้องเบือนหน้าไปอีกทาง ร่างกายที่ร้อนวูบวาบไม่ต่างกันกำลังทำให้ สติของเขาเริ่มควบคุมไม่ได้
ไม่ได้ แม้จะต้องตาย เขาจะไม่มีวันทำร้าย คนที่เขารักเพราะ ยาชั้นต่ำพวกนั้น
“ชานเหลียน ร้อน ข้าร้อน” เสียงแหบพร่า ร้องเรียกคนสนิท ร่างกายบอบบางที่เต็มไปด้วยอารมณ์ปรารถนา ค่อยๆเคลื่อนกายเข้าหาเขาช้าๆ ชานเหลียนได้แต่สูดหายใจ เพื่อดับความร้อนรุ่ม ที่อยู่ภายใน
“ชานเหลียน ชะ ช่วยด้วย” เสียงหวานยังออดอ้อน ร่างขาวที่กำลังฉีกทึ้งเสื้อผ้าของตัวเองทำให้ชานเหลียน ต้องรีบหลบสายตา
แต่มนุษย์ก็คือมนุษย์ เขาเป็นเพียงคนธรรมดาที่มีเลือดเนื้อ และความรู้สึก เมื่อร่างเปลือยเปล่าตรงหน้านั้นช่างเย้ายวนเหลือเกิน กายบางที่เต็มไปด้วยอารมณ์กำลังดึงดูดให้ร่างสูงค่อยๆเคลื่อนกายเข้าไปหา ราวกับเสือร้ายที่กำลังหิวโหย เมื่อมีลูกกวางน้อยอยู่ตรงหน้า คงไม่มีทางที่จะรั้งรอ
สายตาฉ่ำเยิ้มที่ทอดมอง ท่าทางออดอ้อนและปากเล็กที่พร่ำเรียกเชื่อเขาไม่หยุดทำให้สติที่มีเหลืออยู่น้อยนิด นั้นหายไป ชานเหลียนเลือกที่ทำตามสัญชาตญาณ ทิ้งความผิด ชอบ ชั่ว ดี ไว้เบื้องหลัง แล้วกระโจนเข้าใส่เจ้าลูกกวางน้อยที่กำลังรอให้เขาลิ้มรสอย่างรวดเร็ว
มือหยาบกร้านที่เคยจับเพียงกระบี่กำลังลูบไล้ไปตามผิวบอบบาง เรียกเสียงคราง อือ ในลำคอของร่างบางได้อย่างดี ทุกสัมผัสที่มือหนาลากผ่านทิ้งความร้อนรุ่มไว้จนแทบจะละลาย ริมฝีปากที่มักจะเรียบนิ่งเสมอกำลังเลาะเล็มกายบางอย่างโอหัง ขบเม้ม ทุกส่วนที่ผ่านด้วยร่องรอยสีกุหลาบ เพื่อตีตราว่าร่างกายนี้เป็นของเขา ก่อนจะประกบเข้ากับริมฝีปากบางที่มักจะเอ่ยวาจาเย็นชา นั้นอย่างร้อนแรง เรียวลิ้นของทั้งคู่ต่างตวัดกลืนกินอย่างไม่มีใครยอมใคร
“อื้อ” ร่างบางครางเสียงแผ่วเมื่อฝ่ามือหยาบเลื่อนลงไปกอบกุม ความเป็นชายที่กำลังร้อนรุ่ม ชักนำให้คนที่ไม่เคยลิ้มรสกรีดร้องด้วยความกระสัน ก่อนจะปลดปล่อยสายธารของความสุขสมจนเอ่อล้น แต่มันไม่พอ… ความต้องการของเขามันไม่พอ ชานเหลียน ไม่สนอีกแล้วว่า ต่อไปจะเป็นเช่นไร ไม่สนความ ผิด ชอบ ชั่ว ดี หรือ ความภักดีที่มีมาตลอดนั่นอีกแล้ว เมื่อความปรารถนาที่จะฝังร่างของตนเองกับกายบางนั้นมีมากจนเขาแทบจะรอไม่ไหว
“ชานเหลียน” เสียงแหบพร่าของคนใต้ร่างยิ่งกระตุ้น อารมณ์ให้ทะยานจนเขาควบคุมไม่ได้ ชานเหลียนทิ้งมโนสำนึกไว้เบื้องหลังก่อนจะดูดกลืนเสียงแหบพร่านั้นด้วยปากของตัวเอง
“อ๊ะ ชะ ชานเหลียน เจ็บ” ไป๋เซียน ร้องขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนที่กำลังแทรกเข้ามาในร่างกาย
“ข้าสัญญา เจ้าจะรู้สึกดี ทนอีกนิดนะ คนดี” เสียงทุ้มเอ่ยปลอบใจ เมื่อคนเบื้องล่างเกร็งดัวยความเจ็บ แม้จะสงสารแต่เขาก็ไม่
สามารถหยุดตัวเองได้อีกแล้ว
“ชานเหลียน”
“เชื่อใจ ข้านะ ข้ารักเจ้า นะ ไป๋เซียน” เสียงทุ้มบอกอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกดจูบเพื่อดึงความสนใจจากร่างบาง
“อะ อื้อ” เสียงหวานครางลั่นเมื่อ ร่างสูงกระแทกแก่นกายโดนจุดกระสัน เสียงของร่างกายกระทบกันฟังดูหยาบโลน แต่กลับทำ
ให้สองร่างต่างลุ่มหลง มัวเมา ในห้วง ของปรารถนาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“อะ อ้า อื้อ ชานเหลียน”
“เรียกชื่อข้า เรียกอีกสิ ไป๋เซียน” ร่างสูงขบกรามแน่น พลางกระแทกแก่นกายอย่างไม่ลดละ ปากหนาที่ยังคงลากไล้อยู่บนลำคอระหงส์เอาแต่พร้ำบอกให้ร่างบางเรียกชื่อตัวเอง อยากได้ยิน อยากได้ยิน เสียงหวานนั้น ร้องเรียก ชื่อเขา พู่ชานเหลียน
“ชานเหลียน ชานเหลียน อะ อื้อ”
“อะ อื้อ ชานเหลียน ขะ ข้า ไม่ไหว แล้ว อะ อื้อ”
“อะ อื้อ”
เสียงครางกระเส่าดังขึ้น ก่อนที่ร่างสูงจะหยัดกายขึ้นเพื่อส่งแรงกระแทกที่หนักหนวง จนร่างบางทำได้เพียงจิกเล็บลงบนต้นขาแกร่ง เพื่อระบายความเสียวซ่าน
“อะ อะ อ๊า”
“อะ อ๊า”
เสียงคราง พร้อมกับหยดหยาดแห่งความสุขที่ไหลทะลักออกมา
แต่มันไม่พอ….
บทเพลงแห่งความปรารถนา นั้นยังน้อยเกินไปกับความต้องการของเขา ไม่มีบทสนทนาระหว่างคนสองคน แต่เมื่อร่างสูงสบตากับคนใต้ร่าง นัยตาหวานนั้นก็ กำลังเรียกร้องในสิ่งที่ตนปรารถนาเช่นกัน..
ชานเหลียนถอนแก่นกายออกก่อนจะกอดร่างบางที่เขารักไว้แน่น ลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่าร่างบางหลับไปแล้ว หลังจากที่ไฟปรารถนานั้นมอดดับลง ร่างสูงมองคนที่เขาตกหลุมรัก ด้วยแววตาแห่งความรู้สึกผิด เขากำลังทำบ้าอะไรอยู่ กำลังทำอะไรอยู่กันแน่
พู่ชานเหลียน แกทำอะไรลงไป
ทำไม เขาถึงปล่อยให้ความปรารถนา เข้าครอบงำ จนลงมือทำลายคนที่รักได้ หากว่าวันพรุ่งนี้มาถึง เขาจะมองหน้าไป๋เซียนได้อย่างไร
...................TBC......................
แผนของท่านชาย ช่าง ล้ำเลิศ
ฮ่าๆๆ
พิตไม่เคยมั่นใจเลย
เวลาที่เขียน nc ยังไงก็ทนๆอ่านกันไปเถอะนะคะ
ขอบพระคุณที่ติดตาม เจ้าคร่า